แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
วันนี้รู้กันอยู่แล้วว่าทำบุญปีใหม่ รับศีลเพื่อปีใหม่ ทำทานเพื่อปีใหม่ เพื่อให้มันใหม่ออกไปจนสุดหนทางที่เราได้ตั้งไว้ ไม่ใช่เดินทางใหม่ อย่าเข้าใจว่าเปลี่ยนหนทางใหม่ นั่นมันเป็นไปไม่ได้ ตามทางเดิมที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ เพียงแต่ว่าเดินต่อไป เดินต่อไปให้มันถึงปลายทาง คนที่เขาพูดว่าปีใหม่เวียนมาบรรจบครบเข้ารอบหนึ่งแล้ว คนที่พูดแบบนั้นมันเวียนอยู่ตรงนั้นแหละ ว่าเวียนบรรจบวงหนึ่งอีกแล้ว เวียนบรรจบวงหนึ่งอีกแล้ว เวียนบรรจบวงหนึ่งอีกแล้ว มันก็อยู่ตรงนั้นไปไหนไม่ได้ เราจะไม่พูดว่าเวียนมาบรรจบครบปีหนึ่งอีกแล้ว เราจะพูดว่ามันต้องเดินต่อไป เหมือนกับหลักกิโลเมตรน่ะ หลักกิโลที่เขาปักข้างทางน่ะ เลขลำดับมันก็ หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า หก ถึงร้อยกิโลพันกิโล ครบปีใหม่ทีนึงขอให้ถือว่าเหมือน กับถึงหลักกิโลอีกหลักหนึ่งแล้ว หลักที่หนึ่งแล้วก็หลักที่สอง ครบปีใหม่อีกมันก็ถึงหลักที่สาม ครบปีใหม่อีกมันก็ถึงหลักที่สี่ เรื่อยๆ จนห้าสิบหกสิบกิโล ร้อยกิโล ถึงที่หมายปลายทาง
ถ้ามัวแต่พูดว่าเวียนมาบรรจบครบปีหนึ่งอีกแล้ว มันอยู่ตรงนั้นแหละ มันไม่ได้ไปไหนแหละ มันก็ตายเปล่าๆ แหละ ขอให้ขึ้นปีใหม่แบบที่ว่ามันเลื่อนไป เลื่อนไป เช่นเดียวกับอายุของเราทุกคนน่ะ ใครมันอายุหยุดบ้างล่ะ หรือใครอายุมันถอยหลังบ้าง ไม่มีนี่ อายุมันเพิ่มขึ้นทีละปี ทีละปี ทีละปี เราก็จะต้องเดิน ให้ชีวิตนี่มันเหมือนกับเดินไปเป็นปีๆ ก็เหนื่อยนัก ครบปี เหนื่อยนัก หยุด หายเหนื่อยเดินอีก เดินต่อไปอีก พอเหนื่อยนัก หยุด ในวันสิ้นปีนี่เหมือนกับเหนื่อยเลยหยุดอยู่ พอรุ่งขึ้น วันนี้วันปีใหม่ก็เดินต่อไป เดินมาปีหนึ่งเหนื่อยนักก็หยุดพักให้หายเหนื่อยแล้วก็เดินต่อไป ทำแบบนี้มันก้าวหน้าไปเรื่อยๆ แต่ถ้ามัวแต่เวียนบรรจบครบรอบปีหนึ่ง มันก็อยู่ตรงนั้น มันไม่เดินต่อไป
ขอให้ทำในใจ เหมือนกับที่อุปมานี่ให้สำเร็จประโยชน์ด้วย คือต้องดีกว่าที่แล้วมา เช่นเราเดินแบบนี้ มันก็ใกล้เข้าไปทุกที เราเดินไปหลักกิโลหนึ่งมันก็ใกล้กิโลหนึ่ง สองหลักกิโลมันก็ใกล้สองหลักกิโล ยิ่งเดินยิ่งใกล้ เราทำบุญปีใหม่ก็ขอให้ดีขึ้นทุกที ทำบุญปีใหม่ปีนี้ กาย วาจา ใจ จะต้องดีกว่าปีที่แล้ว เช่นเดียวกับว่าปีที่แล้วๆ มามันดีขึ้นทุกปี ขอให้ตั้งปณิธานว่าจะมีความก้าวหน้าทางกาย ทางวาจา ทางใจ ไปตามลำดับ
ถ้าพูดถึงการทำการงาน ก็จะพูดว่า ขอให้ทำการงานไอ้ที่มันค้างคาอยู่นั่นให้คืบหน้าต่อไปอีก ต่อไปอีก นี่คือปีใหม่ งานที่ต้องทำจนตลอดชีวิตมันทำยังไม่ทันเสร็จ พอปีหนึ่งมันต้องให้ก้าวหน้าไป คืบหน้าไป ปีหนึ่งให้คืบหน้าไป มันใกล้ความสำเร็จ สิ่งอะไรที่ค้างคาอยู่ยังทำไม่สำเร็จก็รีบทำต่อไป นี่รุ่งขึ้นปีใหม่ ให้รีบทำต่อไป ทำนา ทำไร่ ทำบ้าน ทำเรือน ทำสวน ก็สุดแท้ ไอ้ที่มันค้างคาอยู่ก็ขอให้รีบทำต่อไปให้สำเร็จ ในด้านจิตใจก็ขอให้มันก้าวหน้าต่อไปตามลำดับ ความเป็นอุบาสกอุบาสิกาของเราจะต้องดีกว่าปีที่แล้วมา ให้ปีนี้เราเป็นอุบาสกอุบาสิกาหรือภิกษุสามเณรอะไรก็ตามดีกว่าปีที่แล้วมา
เพราะฉะนั้นมันต้องการการตรวจสอบบ้าง ขอให้ทุกคนตรวจสอบอย่าได้ประมาท มันชะงัก อุปสรรคอย่างไร หรือมันมาติดอยู่ที่ไหน ต้องแก้ไขให้มันก้าวหน้าต่อไป ปีที่แล้วมาทำไม่ได้ ปีนี้ต้องทำได้ ถึงไม่ทั้งหมดก็ต้องทำได้ เรื่องสวดมนต์ เรื่องทำทาน เรื่องถือศีล เรื่องปฏิบัติจิตใจอะไรก็ตาม ต้องก้าวหน้า ต้องเขยิบก้าวหน้าให้มากกว่าปีที่แล้ว นี่จึงจะเรียกว่าปีใหม่ ขอให้มันเป็นปีใหม่จริงๆ นะ ตักบาตรปีใหม่นี้ มันก็ควรจะดีกว่าปีเก่า อย่าตักบาตรเหมือนกับตักบาตรแบบให้คนตายไปแล้ว ถ้าตายไปแล้วเขาตักบาตรอุทิศให้แล้วเลิกกันน่ะ มันไม่ใช่ตักบาตรปีใหม่ ปีใหม่มันไม่ตาย ถ้าตักบาตรให้คนตายมันไม่ใช่เรื่องของปีใหม่ เป็นปีใหม่ต้องตักบาตรเพื่อให้มันเจริญงอกงามตามแบบของปีใหม่ ขอให้ตั้งใจกันแบบนี้แหละ วันนี้มันต้องทำให้เพิ่มแหละ ทุกๆ ประการ เราจะต้องทำอะไรบ้าง นับตั้งแต่การให้ทาน การรักษาศีล
ฉันก็เหมือนกัน พยายามทำที่จะทำได้เท่าที่จะทำได้ ถึงแม้มันจะมีความชราอายุมาก แต่มันก็ยังมีสิ่งที่ทำได้ มันก็ทำเพิ่มขึ้นเหมือนกัน ไม่ใช่ดีแต่ให้คนอื่นทำ ไม่ใช่คอยจะเกณฑ์ให้คนอื่นทำแล้วตัวเองไม่ทำ ฉันก็ต้องทำ ต้องทำอะไรให้เพิ่ม ให้มาก ให้แปลก ให้ใหม่ยิ่งไปกว่าปีที่แล้วมา ถ้าทุกคนเอาอย่าง พระศาสนาก็จะต้องดีขึ้นกว่านี้ ประเทศชาติอะไรก็ตามจะต้องดีขึ้นกว่านี้ ทุกๆ อย่างจะดีขึ้นกว่านี้ ในฐานะที่เป็นพลเมืองดีของประเทศไทยก็ตาม ในฐานะที่เป็นพุทธบริษัทของพระพุทธเจ้าก็ตาม หรือว่าในฐานะที่เป็นสัตว์ตัวหนึ่งในโลกนี้ก็ตาม ขอให้สำนึกถึงหน้าที่ที่จะต้องกระทำให้บ้านเมืองดีขึ้น ให้ศาสนาดีขึ้น ให้โลกดีขึ้น คือให้บุคคลได้รับความสุขที่แท้จริง เรียกว่าสันติสุข ให้โลกได้รับความสุขแท้จริงที่เรียกว่าสันติภาพ นี่ก็มีเท่านั้นเอง หน้าที่ของเรามีเพียงว่าทำให้ได้รับประโยชน์ทั้งตนเองและผู้อื่น
การที่มองเห็นแต่ตัวเองไม่นึกถึงผู้อื่นนั้นไม่ได้ คนนั้นไม่มีสิทธิที่จะอยู่ในโลก ไปตายเสียดีกว่า เพราะมันอยู่คนเดียวไม่ได้นี่ในโลกน่ะ เอาเถอะ ใครลองอวดดีมาอยู่คนเดียวในโลกดูสักที ลองคิดดูสักนิด ตั้งอกตั้งใจคิดดูสิว่าเราจะอยู่ได้ไม่ได้ นี่ถ้าสมมติว่าไปกันเสียให้หมด ตายกันเสียให้หมด ให้เหลือแต่เราคนเดียวในโลก จะอยู่ได้หรือไม่ได้ มันคงอยู่ไม่ได้ ไม่กี่ชั่วโมงมันก็บ้าแล้วก็ตายไปเองแหละ มันอยู่ไม่ได้ คนเดียวน่ะ เราจะต้องนึกถึงทุกๆ คนเลยที่อยู่แล้วช่วยกันทำให้สิ่งต่างๆ มันเกิดขึ้น ตามที่มันควรจะเกิดอย่างครบถ้วนอย่างบริบูรณ์
นี่น่ะอยู่ในโลกกันตั้งสามสี่พันล้านคนโน่น ไม่ใช่สองสามคน สามสี่พันล้านคนตอนนี้ ทุกคนก็ทำหน้าที่ตามที่จะทำได้ ในโลกมันจึงจะมีอะไรที่น่าดู ได้รับความสุขความสะดวกความสบาย แต่ส่วนที่มันเฟ้อ มันเกินนั่น ช่างหัวมันแหละ มันบ้า มันเกินไปบ้าง เราอย่าไปเอากับเขาก็แล้วกัน ไอ้ส่วนที่เฟ้อที่เกินนี่จะไม่ถือว่าของใหม่ที่ควรจะเอา มันเป็นเรื่องที่บ้า ไม่ควรจะไปแตะต้อง เอาแต่ส่วนที่มันไม่เฟ้อและไม่เกิน ไปทำให้ดี ให้เต็ม ให้เข้มข้น ให้ถึงที่สุด ขอให้คิดดู โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องศีลธรรม ขอให้ช่วยกันทำให้มีศีลธรรมเพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้นในโลก เพราะศีลธรรมไม่มีโลกนี้มันก็วินาศแหละ ไอ้นี่มันก็กำลังจะวินาศอยู่แล้วเพราะศีลธรรมมันน้อยลง น้อยลง ถ้าศีลธรรมไม่กลับมาโลกาวินาศ ช่วยๆ ท่องบทนี้ด้วย ถ้าศีลธรรมไม่กลับมาโลกาวินาศ นี่มันเหลือน้อยเต็มทีแล้ว ฉะนั้นทุกคนช่วยโลกกันสักที ช่วยให้มีศีลธรรม ให้โลกมันสงบ เยือกเย็นเป็นสุข
คอมมิวนิสต์มันเกิดขึ้นเพราะโลกไม่มีศีลธรรม โลกในสมัยที่คอมมิวนิสต์เกิดหรือตรงบ้านเมืองนั้นน่ะมันไม่มีศีลธรรม คือมันเห็นแก่ตัว มันแยกมึงแยกกูกันจนคนรวยไม่เอื้อเฟื้อคนจน คนมีอำนาจไม่เอื้อเฟื้อคนที่ไม่มีอำนาจ คนแข็งแรงไม่เอื้อเฟื้อคนอ่อนแอ คนฉลาดไม่เอื้อเฟื้อคนโง่ มันไม่มีศีลธรรม นี่เป็นช่องโหว่ให้คอมมิวนิสต์เกิดขึ้นมาในโลก ถ้าคนยังมีศาสนายังมีศีลธรรมคอมมิวนิสต์ไม่มีช่องไม่มีโอกาสที่จะเกิดขึ้นมาในโลก
ฉะนั้นเราอย่าไปโทษคอมมิวนิสต์เลย โทษตัวเองที่มันไม่มีศีลธรรมนั่น เปิดช่องโหว่ให้คนที่จะเรียกร้องความยุติธรรมความอะไรเกิดขึ้นมาได้ในโลก มันก็ถูกแล้วแหละ เพราะคนมันเลวนี่ มันไม่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ไม่สงเคราะห์เจือจาน ไม่รักกันอย่างแต่ก่อนนี่ เมื่อก่อนน่ะคนที่ร่ำรวยมันเอ็นดูคนที่ยากจน เขาเรียกว่าเศรษฐีใจบุญ มีมาแต่ครั้งพุทธกาล ในศาสนาไหนมันก็ส่งเสริมเศรษฐีใจบุญแล้วก็เอื้อเฟื้อคนยากคนจน เศรษฐีนั่นเขารวบรวมเงินทองสะสมเอาไว้เพื่อจะช่วยเหลือสังคม นี่เขาเรียกว่าเศรษฐีใจบุญ อุตส่าห์ชักชวนกันทำการทำงานหาทรัพย์สะสมไว้เพื่อเลี้ยงโรงทาน เขามีโรงทาน นี่มันเอื้อเฟื้อกันเสียถึงอย่างนี้ คนจนมันก็ไม่มีโอกาสที่จะเป็นคอมมิวนิสต์ หรือท้วงเรื่องสิทธิ์ เรื่องอะไรต่างๆ เพราะว่าเศรษฐีมันใจบุญ
นี่ต่อมามันละทิ้งศาสนากัน ในประเทศที่มันเกิดลัทธิคอมมิวนิสต์ บ้านเมืองที่นายมาร์กซ์เกิดนั่นแหละ ศาสนามันกำลังเสื่อมเสีย มันไม่มีศีลธรรม มันเกิดช่องโหว่ให้เป็นเหตุผลสำหรับที่เรียกร้อง มันจึงเกิดคอมมิวนิสต์ เพราะว่าเศรษฐีใจบุญตายหมด เกิดนายทุนใจบาปขึ้นมา เกิดนายทุนใจร้ายใจโหดขึ้นมา มันก็ทำจนอยู่กันไม่ได้ จนต้องรบต้องฆ่าต้องอะไรกันนี่แหละ
ทีนี้ขอให้ดูสักนิดนึงว่าศีลธรรมนั่นมันสำคัญ พอไม่มีศีลธรรมก็จะเกิดอะไรที่รุนแรง เช่นว่าเกิดคอมมิวนิสต์ เป็นต้น มันเกิดปัญหาใหญ่โต ถ้าเราไม่อยากให้คอมมิวนิสต์เกิดก็ชวนกันมีศีลธรรม ถ้าต้อง การให้คอมมิวนิสต์หมดไปเราก็ชวนกันมีศีลธรรม คนรวยเอื้อเฟื้อคนจน คนฉลาดเอื้อเฟื้อคนโง่ คนแข็งแรงเอื้อเฟื้อคนอ่อนแอ คนมีอำนาจวาสนาเอื้อเฟื้อคนที่อับโชควาสนา แล้วมันจะเกิดยังไงได้ หนทางมันมีทางเดียวแหละคือว่ามีศีลธรรม แล้วก็เพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น ดังนั้นขอให้ทุกคนเพิ่มศีลธรรม ปีใหม่นี่ขอให้เพิ่มศีลธรรม แล้วปีหน้าโน้นก็เพิ่มศีลธรรมอีก ปีโน้นก็เพิ่มศีลธรรมอีก มันก็เดินไปตามหลักกิโล เพิ่มขึ้น มากขึ้น มากขึ้นทุกๆ ปี แล้วปัญหาก็จะหมดไป ปัญหาเรื่องคอมมิวนิสต์ก็จะหมดไป ปัญหายาเสพติดก็จะหมดไป ปัญหาคอรัปชันก็หมดไป ปัญหาภัยสังคมก็หมดไป ปัญหาล่วงเกินสิทธิมนุษยชนก็หมดไป ถ้ามันมีศีลธรรมคำเดียวเท่านั้นแหละ มันเกิดสิ่งชั่วร้ายเหล่านี้ไม่ได้
ดังนั้นอย่ามาเที่ยวบ่น เที่ยวด่า เที่ยวว่าให้มันเหนื่อยเปล่าๆ มันแก้ไม่ได้ แก้ได้วิธีเดียวคือช่วยกันให้มีศีลธรรม จึงขอให้ทุกคนมีความก้าวหน้าในทางศีลธรรมยิ่งขึ้นในปีใหม่นี้ อาตมาพูดว่าสิ่งที่ค้างคาให้ทำให้เสร็จ นี่คือสิ่งที่ค้างคา คือศีลธรรมยังไม่พอ ในที่บางแห่งศีลธรรมเกือบจะไม่มี หาทำยาหยอดตาก็ไม่ค่อยจะได้ อย่าว่าแต่จะเอามาทำอะไรเลย ในบางแห่งศีลธรรมมันไม่มี ให้ช่วยกันใหม่ให้ศีลธรรมมันมี ให้มันเต็มไปด้วยศีลธรรมเหมือนกับสมัยที่เขามีศีลธรรม ที่เรียกว่านอนไม่ต้องปิดประตูเรือนนั่น ศาสนาที่มีศีลธรรม ศาสนาพระศรีอารย์นี่เรียกว่านอนไม่ต้องปิดประตูเรือน แล้วคนเหมือนกันหมดจนไม่รู้ว่าคนไหนลูกของเรา คนไหนผัวของเรา คนไหนเมียของเรา ดูไม่ออก มันเหมือนกันไปหมด คือมันดีเหมือนกันไปหมด นี่เขาเขียนไว้แบบนี้ นั่นแหละผลของการที่มีศีลธรรม เหลียวไปทางไหนก็มีแต่มิตรสหาย มีแต่ความสงบสุข ไม่มีอันธพาลที่จะคอยทำลายความสงบสุขของผู้อื่น นี่เรียกว่าอานิสงส์ของศีลธรรม ขอให้ช่วยจดช่วยจำไปช่วยคิดนึกปรึกษาหารือแก้ไขกันให้ดีๆ
โดยเฉพาะเด็กตัวเล็กๆ นั่นสำคัญมาก คนแก่ๆ นี่ช่วยทำให้เด็กเล็กๆ รู้จักศีลธรรม รู้จักว่าทุกคนเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ให้เด็กๆ รู้จักบังคับความรู้สึก อย่าโกรธเร็ว อย่ารักเร็ว อย่ากลัวเร็ว อย่าเกลียดเร็ว อย่าโศกเศร้าเร็ว อะไรแบบนี้ ให้บังคับความรู้สึกให้มันคงที่ มันก็ไม่ทำอะไรผิด แล้วไม่ต้องเป็นทุกข์ และให้เด็กๆ มันพอใจในเมื่อรู้สึกว่าได้ทำดี ข้อนี้สำคัญที่สุด
ขอพูด ถึงแม้ว่าจะเปลืองเวลาบ้างก็อย่าเพิ่งรำคาญ ว่าขอให้ทุกๆ คนนั่นมีความสุขเมื่อรู้สึกว่าเราได้ทำดี อย่าไปหวังจะเอาความสุขเมื่อได้เงินได้ของได้กามารมณ์ได้อะไร มันเรื่องบ้านะ มันไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง ความสุขที่แท้จริงก็มันเมื่อเราได้รู้สึกว่าเราทำดี แล้วจิตใจมันเป็นสุข แล้วมันไหว้ตัวเองได้ มันยกมือไหว้ตัวเองได้ นั่นแหละคือความสุข เมื่อรู้สึกว่าได้ทำดี ข้อนี้มันมีกันมาแต่กำเนิดนะ ฉันกล้าพูด ท่านไม่เชื่อก็ตามใจแต่ต้องคิดว่าจริงหรือไม่จริง
ไอ้ความรู้สึกเป็นสุขเมื่อเราได้ทำดีนี่มันมีมาแต่กำเนิด ขอให้สังเกตดูเด็กๆ ตัวเล็กๆ นิดๆ น่ะ พอได้ทำอะไรถูกใจแม่ แม่ว่าดีมันก็ดีใจเหลือประมาณ ไอ้เด็กตัวเล็กน่ะ เต้นแร้งเต้นกา เอามือตบพุงแปะๆๆๆ มันยังไม่ได้นุ่งผ้านะ มันยังไม่นุ่งผ้าสักที พอแม่ว่าดีมันก็ดีใจเหลือประมาณ เต้นๆโลดๆ เอามือทุบพุง ก็มันดีใจทนก็ไม่ได้ นี่แสดงว่าเด็กๆ มันก็รู้จักดี แล้วมันมีความสุขเมื่อได้รู้สึกว่าได้ทำความดี แม่ว่าดีเท่านั้นแหละ หรือพ่อว่าดี ไม่ได้ให้เงิน ไม่ได้ให้ขนม ไม่ได้ให้ของกิน ไม่ได้ให้รางวัลอะไร พูดว่าดีคำเดียวนี้ เด็กๆ มันก็ยังเป็นสุขตัวลอย ทั้งที่ยังไม่ทันจะนุ่งผ้าสักที ไม่เคยมีบ้างหรือใครๆ นี่ ฉันเข้าใจว่าต้องเคยมีแต่ไม่สังเกต
ทีนี้พอโตขึ้นมาโตขึ้นมานี่มันไม่ค่อยชอบแบบนี้เสียแล้วนี่ ถ้าว่าดีเฉยๆ ไม่ชอบแล้วนี่ มันจะเอานั่นเอานี่ มันจะเอาโน่น พอต่อมามันจะเอาดีที่สวยที่สนุกสนานที่เรื่องบ้าๆ ทั้งนั้น นั่น เด็กมันเสียนิสัยเพราะว่าพ่อแม่ไม่ช่วยรักษาไว้ ช่วยรักษาเอาไว้ให้เด็กๆ มันยังนิยมว่าดีที่เราได้ทำดี จนโตจนเข้าโรงเรียนจนเป็นหนุ่มเป็นสาวอะไรก็ตาม ขอให้ความรู้สึกอันนี้ยังเหลืออยู่ เป็นสุขเมื่อรู้สึกว่าได้ทำดี
ขอฝากไปด้วย ให้บิดามารดาปู่ย่าตายายนี่แหละไประวังในข้อนี้ คือรักษาจิตใจของเด็กให้ยึดถืออยู่ในหลักว่าดีนั่นล่ะคือดี ไม่ต้องให้รางวัลมัน ให้มีความสุขที่ได้ทำดี ไม่ใช่ว่ามีความสุขต่อเมื่อได้เงินจากการทำดี ไอ้เงินน่ะมันไม่แน่ เอามาจากการทำชั่วก็ได้ แต่ว่าถ้าดีนี่มันแน่ ถ้ามีความสุขจากการทำดีมันก็ดีแน่ มันเป็นความสุขที่ดีแน่
เวลานี้คนไม่ชอบไอ้ความดีหรือความสุขชนิดนี้ ไปบูชาเงินกันเสียหมด นี่เปลี่ยนศาสนาไปบูชาเงินกันเสียหมด แล้วมีมึงมีกูจนไม่สงเคราะห์กันมันจึงได้เกิดฆ่าฟันกัน เกิดลัทธิที่ต้องฆ่าฟันกันไม่สิ้นไม่สุด นี่ขอร้องเพิ่มขึ้นมาสักอย่างหนึ่งสำหรับปีใหม่ปีนี้ ว่าไปช่วยอบรมเด็กตัวเล็กๆ ที่ยังไม่ทันจะนุ่งผ้า ว่าให้มันรู้จักดีเมื่อมันได้ทำดี พอพ่อหรือแม่บอกว่าดีแล้วมันดีใจเนื้อเต้น กระโดดโลดเต้น ขอให้เป็นแบบนั้น ให้มันมาตามลำดับจนโตขึ้น โตขึ้น ก็ยังให้ถือหลักว่าดีเมื่อได้ทำดี มีความสุขเมื่อได้ทำดี แล้วก็จะเป็นพุทธบริษัทที่ดี ได้เป็นคนไทยที่ดีด้วยก็ได้
นี่เรียกว่าของดีของคนไทย ซึ่งเหมือนถูกละเลย ขอให้ดึงกลับมา ไม่ใช่ของใหม่ไม่ใช่ มันของเก่าแก่ตามธรรมชาติเมื่อโบราณกาลมาแล้ว ก็มันเป็นแบบนี้ เด็กๆ มันก็เคยเป็นแบบนี้ แต่เราไม่ช่วยกันส่งเสริมให้เด็กๆ รู้จักเคารพนับถือตัวเอง พอเราว่าดีเมื่อมันทำดีแล้วมันจะเคารพตัวเองนับถือตัวเอง พอเข้มเข้ามันจะไหว้ตัวเองได้ ถ้าเด็กคนไหนมันไหว้ตัวเองได้ เด็กคนนั้นรับประกันได้ว่าจะทำชั่วไม่ได้จนตลอดชีวิตเลย นั่นแหละ พูดกันก็พอเข้าใจกันแล้วว่าปีใหม่นี้มันต้องเดินออกไปอีกสักหลักกิโล อย่าเดินแบบวนเวียนครบรอบปี วนเวียนครบรอบปี มันจะบ้าอยู่ตรงนั้นแหละ มันไปไหนไม่ได้ ขอให้เดินต่อไปต่อไป ปลายปีเก่านี่เหนื่อยหยุดพัก รุ่งขึ้นปีใหม่เดินต่อ พอเหนื่อยหยุดพัก หายเหนื่อยเดินต่อ เหนื่อยหยุดพัก หายเหนื่อยเดินต่อ ให้ไปแบบนี้จนกว่ามันจะเน่าเข้าโลง มันเดินไม่ได้แล้วไม่ต้องพูด
เอ้า, เข้าใจกันดีแล้วก็ทำพิธีต่อไป คือรับศีล เอ้า, ตั้งใจรับศีล วันนี้อาราธนาแต่ศีลแปด คนที่จะรับศีลห้าทำอย่างไรกันล่ะ เลือกรับเอาเอง นั่นแหละ อาราธนาแล้ว อาราธนาแต่ศีลแปดนี่ ทีนี้คนที่รับศีลห้าทำอย่างไรกัน ให้เลือกรับเอาเอง ว่าแล้วหรือ เอ้า, ฉันไม่ได้ยิน
(นาทีที่ 33.15 ถึง 48.56 เป็นบทสวดมนต์)
เอ้า, ตักบาตรปีนี้ให้เรียบร้อยกว่าปีที่แล้ว การเข้ามาตักบาตรน่ะปีนี้ขอให้เรียบร้อยกว่าปีที่แล้ว คือตกลงกันเสียก่อน อย่าคิดว่าจะต้องตรงมายังตรงกลางนี้ทั้งหมด ใครอยู่ตรงไหนขอให้เข้าตรงนั้นแหละ แล้วก็เลี้ยวไปทางขวาเรื่อยไปเสีย อย่าทวนซ้าย เลี้ยวไปทางขวามือเรื่อยไป อย่าทวนเกล็ด มันจะชนกันแล้วก็ติดกันยุ่ง ถ้าว่าสุดปลายแล้วก็ให้ตั้งต้นไปหาทางต้นโน้นสุด ทางด้านโน้นก็ได้ มันเป็นการได้ตักทุกองค์อยู่ดีแหละ ช่วยอย่าให้มันมาอัดแน่นกันอยู่ตรงนี้จนเดินไม่ได้ นั่น เอาออกมาทางนั้นแหละ มันจะขวางทางเดิน หลบไปเสียไป เอ้า, ยกนี่ไป ยกๆ นี่ไปเสีย หลบเสีย หลบไปทางโน้น