แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
วันอาทิตย์เป็นวันตอบปัญหา ใครมีปัญหาก็ลองว่ามา ให้เป็นปัญหาที่มันจะเป็นปัญหาขึ้นมาจริงๆ ในอนาคตก็ได้ แล้วเป็นปัญหาของเรื่องที่มันจะต้องเกิดขึ้นจริงๆ จึงจะได้เอาไปใช้ประโยชน์ได้จริงๆ มีไหม
ถาม: ปัญหาข้อแรก เท่าที่ท่านอาจารย์ได้ศึกษามา อาจารย์ได้ทราบถึงการบริหารงานกิจการสงฆ์ของพระพุทธเจ้าอย่างไร หน้าที่ของอัครสาวกฝ่ายซ้ายฝ่ายขวามีอย่างไรบ้าง
ตอบ: นี่ปัญหาของคุณหรอ ปัญหาของที่มันจะเกิดขึ้นจริงอย่างนั้นเหรอ มันก็เป็นเรื่องของความรู้ เราอาจจะเอามาใช้เป็นหลักได้หรือไม่ มันก็...พูดให้สรุปโดยใจความดีกว่า การบริหารสงฆ์ของพระพุทธเจ้า เป็นรูปแบบที่เรียกว่าเผด็จการ คือวินัยทุกข้อไม่ใช้กับพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านก็อยู่เหนือวินัย แล้วจะสั่งอย่างไรต้องการอย่างไรอะไรก็ได้ ที่เกี่ยวกับวินัยหรือการปกครอง ต่อมาในระยะหลังๆ ตอนปลายๆ นี้ยังจะค่อยเป็นประชาธิปไตย คือว่าให้สงฆ์หาทางลงมติ ตกลงกันอย่างไรก็เอาอย่างนั้น แต่มันแปลกอยู่หน่อยหนึ่ง แปลกแต่/จาก(นาทีที่ 3.98)เรื่องของเดี๋ยวนี้คือว่ามติสงฆ์ต้องเป็นเอกฉันท์ ถ้าค้านอยู่แม้แต่องค์เดียวก็ยังไม่เอา ไอ้อย่างในโลกปัจจุบันนี้เขามีเกินครึ่งบ้าง สองในสามบ้างอะไรบ้างก็ใช้ได้แล้ว ประชาธิปไตยของสงฆ์นั้นคือต้องเอกฉันท์ ร้อยเลยไม่มีแม้แต่หนึ่งที่จะค้านอยู่ นี่ถ้าว่ามันเป็นเรื่องที่เรียกว่าเรื่องของสงฆ์ ถ้าไม่ถึงขนาดนั้น ไม่ถึงขนาดที่เป็นเรื่องของสงฆ์มันก็แล้วแต่ คืออาศัยไอ้ความรักสามัคคีความอะไรนั้น แล้วเคารพผู้เฒ่าผู้แก่ แล้วเมื่อพระพุทธเจ้าท่านยังมีพระชนม์อยู่ ก็ไม่มีเรื่องญัตติอะไรที่จะทำให้คลุมไปถึงพระพุทธเจ้า ท่านก็แสดงพระพุทธประสงค์ หรือว่าจะคำสั่งก็ได้ ได้เลย เป็นประชาธิปไตยมีผู้เผด็จการ ไอ้เรื่องพระอัครสาวกนี้ดูจะเป็นเรื่องธรรมเนียมเสียมากกว่า คล้ายๆ มันเป็นเรื่องธรรมเนียมมาแต่ก่อน หรือตลอดไปว่าพระพุทธเจ้าต้องมีอัครสาวก หรืออัครสาวิกาด้วย ที่เรื่องราวที่เราพบในพระบาลีก็ไม่ค่อยมีหน้าที่อะไรที่จัดไว้เฉพาะ มีบ้างก็ว่าเรื่องสำคัญให้ไปเอาพระสงฆ์ที่แตกแยกไปกับพระเทวทัตกลับมานี่ พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ ทำหน้าที่เอากลับมาได้ คือมีความสามารถ องค์อื่นคงทำไม่ได้ มีเรื่องในวินัยว่าพระโมคคัลลานะควบคุมนวกรรมคือการก่อสร้าง ซึ่งสาวกองค์อื่นทำไม่ได้อย่างนี้ ทำให้สันนิฐานว่าเรื่องบางเรื่องที่มันยาก หรือมันเป็นเทคนิค ต้องใช้สติปัญญามาก คงจะได้อาศัยพระอัครสาวก ก็ดูเป็นเรื่องปลีกย่อยเสียมาก ทำหน้าที่ต่อต้านพวกข้าศึกภายนอกนี่ก็มี พวกเดียรถีย์ภายนอก เขาถือว่าพระอัครสาวกนี่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรง เป็นมือขวา ถ้าทำลายเสียได้ก็จะดี เขาก็มีแผนการที่จะทำลายพระอัครสาวกเหมือนกัน ดูตามเรื่องตามราวแล้วมันคล้ายๆ กับว่าพระอัครสาวกนี้จะมีอายุแก่กว่าพระพุทธเจ้ากระมัง คงจะมีไว้ในฐานะเป็นคนแก่ที่รอบรู้ที่สามารถ แล้วก็นิพพานก่อนพระพุทธเจ้า ไล่เลี่ยกันแต่ว่าก่อนพระพุทธเจ้า แต่อ่านดูแล้วมันรู้สึกคล้ายๆ กับเป็นธรรมเนียม เขามี บุค/Book(นาทีที่ 9.26)ตัวกันมาเสร็จ พระพุทธเจ้าองค์ไหน ใครจะเป็นอัครสาวกใครจะเป็นอัครสาวิกา แม้กระทั่งว่าใครจะเป็นพุทธมารดาพุทธบิดามีมาเสร็จ ก็เป็นธรรมเนียมที่ต้องมี
ดูเหมือนเราจะไม่สามารถนำหลักการอันนี้มาใช้ สำหรับเราที่มันเป็นเพียงคนธรรมดา หรือเป็นหัวหน้าครอบครัวก็ได้ จะมีหลักการอย่างนี้ใช้คงไม่ได้ เอาไว้เป็นเรื่องของพระพุทธเจ้าก็แล้วกัน ทำนองเดี๋ยวนี้พระสังฆราชก็มีปลัดซ้ายปลัดขวา ไม่ใช้คำว่าอัครสาวก พระสังฆราชมีปลัดซ้ายมีปลัดขวา เลือกตั้งผู้ที่มีความรู้ความสามารถช่วยการงาน การบริหารคณะสงฆ์ นี่ผมรู้สึกอย่างนี้ ที่จะให้ชี้ลงไปว่าจะเอาหลักการนี้มาใช้กันอย่างไรสำหรับพวกเรานี้ ยังมองไม่เห็น เอ้า, ปัญหาต่อไปดีกว่า
ถาม: ปัญหาข้อที่สอง พระพุทธเจ้ามีวิธีการสอนแก่พุทธศาสนิกชนอย่างไรบ้าง
ตอบ: ในนวโกวาทมี มันเป็นเรื่องที่กว้างขวาง คือความตรัสรู้ของท่าน มันทำให้ท่านสามารถที่จะวินิจฉัยได้เลย ได้เอง ได้เฉพาะเรื่องว่าสอนคนนี้ต้องสอนอย่างไร สอนพวกนี้ต้องสอนอย่างไร ตามสมควรแก่บริษัท สอนพระราชานี่จะสอนอย่างไร แม้กระทั่งจะสอนเดียรถีย์อื่น เดียรถีย์อื่นหมายความว่าเจ้าลัทธิอื่นที่เป็นคู่ต่อสู้ปรปักษ์นี่จะต้องสอนอย่างไร ก็มีเหมือนกันที่เขามาโต้กันแล้วก็ยอมแพ้ แล้วก็กลายมาเป็นพุทธอย่างนี้ก็มี แล้วมันยิ่งกว่านั้นมันยังมีเฉพาะกรณี เฉพาะบุคคล อย่างที่คุณก็เคยอ่านเรื่ององคุลีมาลอย่างนี้ มันเป็นหลักการอะไรนัก ที่เราไม่อาจะถือเป็นหลักการได้ มันเป็นปฏิภาณ/ปฏิพาน(นาทีที่12.57)เฉพาะพระพุทธเจ้า แล้วก็เฉพาะเรื่องนั้น มันไม่ใช่หลักการใหญ่ที่จะวางไว้ได้ ถึงวางได้มันก็ไม่พอใช้สำหรับทั้งหมด จึงมีเรื่องที่ตรัสเฉพาะคน สอนเฉพาะคนโดยอุบายที่พลิกแพลง เรื่องที่เกี่ยวกับองคุลีมาลนี้ฟังดูคล้ายๆ กับว่าวิธีสอนอย่างเซน อย่างนิกายเซน พูดด้วยคำพูดที่มีน้ำหนัก หรือมีความหมาย มีอะไรพิเศษพูดคำเดียวรู้แจ้งไปเลยอย่างนี้ อย่างนี้มันเหมือนๆ กับวิธีการของนิกายเซน แต่ก็มีไม่กี่เรื่องนักในประวัติของพระพุทธเจ้า นอกนั้นท่านก็สอนตามธรรมดา นี่มีสูตรอยู่สูตรหนึ่ง ดูจะชื่อโมคคัลลานสูตร มีคนถามว่าพระองค์สอนสาวกอย่างไรนี่ ก็ตรัสเป็นลำดับๆ ไปตั้งแต่เรื่องศีล เรื่องศีล ปาฏิโมกข์สังวร อินทรีย์สังวร มีเรื่องธุดงค์รวมอยู่บ้าง เรื่อง...ไปตามลำดับไปจนถึงกับว่าบรรลุปฐมฌาน ทุติยฌาน ไปหาอ่านดู เป็นรายละเอียดมากที่สุด ก็จะมีคำเชื่อมความว่า ครั้นเขาปฏิบัติได้อย่างนี้แล้ว ตถาคตก็สอนสืบต่อไปถึงอย่างนั้นอย่างนั้นๆ เป็นขั้นๆๆ คณกโมคคัลลานสูตรนั่น ชื่อนี้ในพระไตรปิฎกแปลไทย ละเอียดที่สุดเขาสอนอย่างไร นี่ผมเห็นว่าที่มาพูดไว้ในนวโกวาทนี่ดีที่สุดนะ คุณอ่านหรือยังนวโกวาท คุณอ่านหรือยัง มีไหม มีแล้วเหรอ (มีแล้วครับ) นั่นแหละไปใคร่ครวญดู ก็ต้องสอนด้วยวิธีที่ให้เขาเข้าใจได้ ให้เขาเข้าใจได้น่ะ นั่นสำคัญ สอนให้ผู้ฟังเข้าใจได้ สามารถจะเข้าใจได้นั่นสำคัญที่สุด แล้วเขาก็จะเชื่อ แล้วเขาก็จะมีความตั้งใจ จะมีความกล้าหาญในการที่จะปฏิบัตินี่ ถ้าสอนได้สำเร็จอย่างนี้ก็ดี นี่เขาเรียกว่าความอัศจรรย์ ความน่าอัศจรรย์ในการสอน คือสอนให้มันเข้าใจได้ แล้วให้มันยอมเชื่อยอมทำตาม จนคนนั้นทนอยู่ไม่ได้ต้องปฏิบัติตามด้วยความพอใจ แล้วก็ไม่ใช่เป็นเรื่องเศร้า หรือว่าเป็นเรื่องน่าเบื่อระอา มันกลายเป็นเรื่องที่ชวนให้ปฏิบัติตามอย่างสนุกสนานไปเลย จริงๆ จะเรียกพระพุทธเจ้าว่าสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือเรียกว่าสัพพัญญู สัพพัญญู ผู้รู้ทุกสิ่ง ผู้รู้ธรรมทั้งปวง เพราะความเป็นสัพพัญญูจึงสามารถสอนให้สำเร็จได้ โดยเฉพาะบุคคลบางคนที่สอนยาก ที่ทรมานยาก ท่านก็สอนได้สำเร็จ แต่ก็เป็นที่เชื่อได้ว่าไอ้พวกปทปรมะสอนไม่ได้มันก็ยังคงมีอยู่ พระพุทธเจ้าก็สอนไม่ได้ ในเรื่องพระบาลีแท้ๆ ก็ยังมีอยู่ว่า พระสาวกบางองค์ดื้อดึงต่อพระพุทธเจ้าก็มีเหมือนกัน แม้ที่สุด แต่ว่าอย่าเพิ่งไปก่อน อยู่ด้วยกันก่อน ต้องการอาศัย มันก็ยังมีพระบางองค์ที่ดื้อดึงทิ้งพระพุทธเจ้าไป ไม่ยอมรับใช้ทำนองอย่างนี้ก็ยังมี ไม่น่าเชื่อ ถ้าคุณประสงค์ว่าจะมีวิธีสอนผู้อื่นอย่างไร ควบคุมผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาอย่างไร ก็ใช้วิธีอย่างที่กล่าวไว้ในพระนวโกวาทนี่ล่ะดี ไปศึกษาใคร่ครวญดูให้ดี รวมความว่าต้องให้เขาเข้าใจให้จงได้ เป็นเรื่องทำความเข้าใจ ไม่ใช่เรื่องบังคับกันให้เชื่อ จะสอนลูกสอนหลาน สอนบุตรภรรยา สอนใครก็ตามมันต้องมุ่งไปยังการทำความเข้าใจกันให้ได้ ไม่มีเรื่องบังคับให้เชื่อ และมันมีเหตุผลที่ทำให้เขายินดีที่จะเชื่อ รับที่จะเชื่อ แล้วก็มีสิ่งที่เร้าใจอยู่ในนั้น ส่วนนี้เขาเรียกว่าปาฏิหาริย์ สอนอย่างมีปาฏิหาริย์ ต้องไปค้นเอาเหตุผลคำบรรยายอธิบายที่มันเร้าใจอย่างยิ่ง แล้วมันต้องรู้จักไอ้คนที่เราจะสอนเขานั้นดีทีเดียว ว่าเขาเป็นคนมีนิสัยอย่างไร มีอะไรอย่างไร กระทั่งว่ามีกิเลสอย่างไร มีปัญหาอย่างไร แล้วก็สอนให้มันตรงกับเรื่อง แล้วมันยังมีไอ้ส่วนประกอบอื่นๆ เช่นว่ามันพิสูจน์ความรักความหวังดีในการที่สอนนั่นน่ะ ผู้รับการสอนมันก็จะยินดีรับ เพราะมันพิสูจน์ว่าทำไปด้วยความรักความหวังดี ไม่ใช่การกดขี่ หรือว่าไม่ใช่ทำส่งๆ ไป เดี๋ยวนี้การสอนของเราที่มันมีอยู่ในโลก มันขาดคุณสมบัติเหล่านี้อยู่มาก แล้วมัน... ไอ้การสอนมันกลายเป็นอาชีพไปเสีย กลายเป็นผู้หวังประโยชน์และรักษาประโยชน์อะไรของตนมากไป เราควรจะสอนอย่างสอนลูกของเราด้วยความรักและความหวังดี ด้วยความเมตตากรุณา ด้วยแผนการที่เหมาะสม ที่มันถูกต้อง แล้วมันก็มี ต้องมี มีพิธีการน่ะคือระยะยาว ต้องทำอย่างมีแผนการ แล้วก็ระยะยาว ไม่ใช่ว่าสอนแล้วก็จะได้ผลทันที แล้วก็...มันหวังมากเกินไป เมื่อไม่ได้ผลทันทีก็ล้มเลย ล้มเลิกไปเลยไม่ได้พยายาม เขามีแผนการที่จะสอนหรือจะทรมานใครนี้ ถึงขนาดว่าเป็นปีๆ เรื่องประวัติบางเรื่องที่เขาจะไปเอาคนฉลาดมาเข้าพวกนี้ ต้องไปติดต่ออยู่ด้วย ไปบิณฑบาตที่บ้านนั้นเป็นปีๆ กว่าจะได้โอกาส กว่าจะได้ทำความสนิทสนมคุ้นเคย กว่าจะทรมานได้สำเร็จ นี่เรียกว่าท่านเอาจริง เอาจริงกันยิ่งกว่าเรา เพราะว่าคนๆ นั้นมันฉลาดเหลือประมาณ ต้องมีอะไรมาเหนือกว่า และต้องมีโอกาสที่จะเข้าถึงได้ การที่เขาจะทรมานบุคคลที่จะเอามาเป็นพระนาคเสน หรือเป็นอะไรเหล่านี้ในประวัติ มีเรื่องมาก คือมีแผนการระยะยาวและลึกซึ้งพอ ซึ่งเดี๋ยวนี้ดูจะไม่ค่อยทำกัน ไม่ค่อยจริงถึงขนาดนั้น ขอให้ไปดูเอาจากหนังสือนวโกวาท หารายละเอียดประกอบเอา เอ้า, ต่อไปอีก
ถาม: ปัญหาข้อที่สาม พุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทมีวิธีการสอนให้คนมีความศรัทธาก่อนอย่างในประเทศไทยนี้ ไม่ทราบว่าจะถูกพุทธประสงค์หรือเปล่า เพราะตามสภาพความเป็นจริงแล้วในปัจจุบันไม่ได้ผล มีคนเข้าใจศาสนาน้อยมาก คนขาดศีลธรรมที่มีศีลบ้างส่วนมากก็เป็นสีลัพพตปรามาส
ตอบ: ไหนว่าอย่างไรนะ ชักจะ (อ่านข้อหนึ่งข้อสองคร่าวๆ สรุปไปในทีเลยดีกว่าผมว่า)
ถาม: พุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทมีวิธีการสอนให้คนมีความศรัทธาก่อนอย่างในประเทศไทยนี้ ไม่ทราบว่าจะถูกพุทธประสงค์หรือเปล่า เพราะตามสภาพความเป็นจริงแล้วในปัจจุบันไม่ได้ผล มีคนเข้าใจศาสนาน้อยมาก คนขาดศีลธรรม ที่มีศีลบ้างส่วนมากก็เป็นสีลัพพตปรามาส วิธีแก้ไข วิธีการสอนควรจะเปลี่ยนแปลงหรือไม่ เช่นกระบวนการพิธีกรรม หรือพิธีรีตองต่างๆ
ตอบ: ก็ไม่ได้มีหลักว่าสอนให้ศรัทธาก่อน ไอ้หลักที่มันจะสำเร็จประโยชน์มันก็สอนให้มีสัมมาทิฐิก่อน และต่อไปนั้นมันก็รู้จักเชื่อ รู้จักอะไรของมันเอง ไอ้มาสอนให้มีศรัทธาก่อนนี่มัน มันไม่ใช่หลักการ แต่ว่ามันเป็นสิ่งที่มันตกค้างเหลืออยู่ เพราะว่าไอ้ความถูกต้องที่เคยมีมันหายไปเสีย มันเหลือแต่ขนบธรรมเนียมประเพณีที่ทำให้คนศรัทธา สอนให้เริ่มด้วยศรัทธานี้ไม่ถูกตามหลักของพุทธศาสนา มันเริ่มด้วยสัมมาทิฐิ แล้วมันจึงค่อยมีศรัทธา การที่จะใช้ศรัทธาเป็นเครื่องผูกพัน ผู้ฟังเอามาทำไม่ค่อยได้ ถ้าเป็นเรื่องทำบุญสุนทานตามประเพณีแล้วก็จะไปได้ นิยมกันแต่สอนให้ศรัทธาให้เสียสละ ให้เชื่อบุญเชื่อบาป ให้เชื่อกรรมเชื่อไอ้อย่างนั้น มันก็เป็นเรื่องที่มันตกต่ำลงมา มันไม่มีอะไรที่จะทำได้ดีกว่านั้น มันก็ทำกันเพียงเท่านั้น เป็นความตกต่ำเสียแล้ว ให้เชื่อว่าทำบุญแล้วจะไปสวรรค์ ก็ต้องมาสอนกันแต่เรื่องทำบุญอย่างไร จนกระทั่งมันเลยเถิด เลยถูกเลยเถิดไปเสีย มันก็ถูกแล้ว ผมก็เห็นว่าควรจะปรับปรุงให้มันวกกลับไปหาไอ้ความถูกต้อง สอน สอนให้ลืมหูลืมตา ให้เป็นผู้รู้ผู้ตื่นขึ้นมา ก็จะทำอย่างไร ถ้าว่าประชาชนส่วนใหญ่เขาไม่ประสงค์ เดี๋ยวนี้จะมาชวนเรื่องของขลัง ของศักดิ์สิทธิ์ เครื่องรางอะไรนี่ง่ายที่สุด แล้วมาขอกันเรื่อย มาขอกันมาก แล้วเราก็ไม่มีให้ เลยทำกันไม่ได้ จะสอนให้มีวิชาความรู้ ไม่สนใจ แม้แต่จะให้มาดูศึกษารูปภาพในโรงหนังก็ไม่สนใจ ต้องการแต่จะได้พระเครื่อง หรือน้ำมนต์หรือพิธีแบบนั้น เลยเป็นอันว่าจำเป็นจะตัดทิ้งไปเลย จำนวนมากจำนวนใหญ่ ไม่รู้จะทำอย่างไร มันก็ต้องตัดทิ้งไป ที่จะพูดกันให้รู้เรื่องเข้าใจธรรมะพอใจธรรมะเอาไปปฏิบัติให้เป็นประโยชน์ได้นั้นเป็นส่วนน้อยมาก ปีหนึ่งพบไม่กี่คนหรอก ที่ผมอยู่ที่นี่ แต่ที่พวกที่ต้องการเครื่องรางของขลัง เครื่องศักดิ์สิทธิ์นี่เป็นร้อยๆ พันๆ เลย ก็คิดอยู่เหมือนกันที่ว่าจะทำอย่างไรจะให้มันเปลี่ยนรูปเป็นเรื่องของปัญญา สัมมาทิฐิ แล้วก้าวหน้าไปตามแบบนั้น เขาก็ไม่เอาอีก แล้วเขาก็กลับไป เขาก็ไปแสวงหาที่อื่นได้ เรื่องของศรัทธาในเรื่องเครื่องรางของขลังของอะไรนี้ คือของพิเศษให้มันเป็นพิเศษ พิสูจน์ไม่ได้ ให้เป็นเรื่องต่อตายแล้ว หรือไอ้ทำนองนั้น มาก มีมาก ต้องเข้าใจว่าคณะสงฆ์ก็ทำไม่ได้ มันต้องปล่อยไว้ชุดหนึ่ง พวกหนึ่ง มีศรัทธางมงายจนกระทั่งว่ามันเป็นโรคประสาทเป็นบ้าไปเลย ทีนี้ในพวกจำนวนใหญ่นั่นน่ะมันก็มีบางคนที่มันจะเข้าถึงขั้นนี้แล้วมันก็เปลี่ยน คือมันค่อยๆ รู้ขึ้นมาว่าไอ้เรื่องขลัง เรื่องศักดิ์สิทธิ์นี่มันไม่ไหว ก็ค่อยๆ เปลี่ยนมาสู่ระบบศรัทธาหรือปัญญานี่ก็มี ผมเองก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรเหมือนกัน ก็ได้แต่ออกคำสอนโฆษณาอะไรไปตามที่จะทำได้ ว่าพุทธศาสนานี่มันต้องเป็นศาสนาของปัญญา ถ้ามีศรัทธาก็มาทีหลังของปัญญา เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ไอ้สามคำนี้ช่วยกันรักษาไว้ให้เป็นหลักของพุทธบริษัท ช่วยกันและกันให้ได้เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ตื่นจากความโง่ความหลับ ตื่นนอน พระสิทธัตถะก็เป็นผู้หลับตลอดมา แล้วเป็นผู้ตื่น กลายเป็นพระพุทธเจ้าไปก็เมื่อตรัสรู้ แต่ถ้าดูให้ดีเราพอจะแบ่งแยกได้ว่าพระสิทธัตถะนั้นก็เป็นคนธรรมดา หลับอยู่ด้วยกิเลส แต่ไม่ถึงกับว่ามืดมิด รู้สึกว่าจะต้องมีอะไรที่ดีกว่านี้ มีดีกว่าการครองบ้านครองเมืองอยู่ในเรื่องของโลก หลงอยู่ในสิ่งที่มีความเกิด แก่ เจ็บ ตายเป็นธรรมดา อยากจะออกไปหาไอ้สิ่งที่ดีกว่านี้ แต่แล้วก็ยังไม่เรียกว่าเป็นผู้ตื่นจากอวิชชา หรือกิเลสโดยสมบูรณ์จนกว่าจะตรัสรู้ ถึงนาที วินาทีที่ตรัสรู้เรียกว่าตื่น ตื่นจากหลับ พุทธแปลว่าตื่นจากหลับ รากศัพท์มีความหมายเป็นเรื่องตื่นนอน ตื่นจากหลับเป็นความหมายที่หนึ่ง ความหมายที่สองเป็นผู้รู้นี่ และความหมายที่สามเป็นผู้เบิกบาน จะต้องเป็นว่า...พวกคุณที่รู้สึกลืมตาอะไรบ้างแล้วนี่ ไปช่วยเริ่มยุคของสัมมาทิฏฐิ เพื่อจะ เพื่อจะอะไร...เพื่อจะข้ามไอ้ยุคศรัทธาไปได้ ช่วยกันพูด ช่วยกันปลุก ช่วยกันอะไรให้มันเป็นสัมมาทิฏฐิ มีสัมมาทิฐิแล้วศรัทธาก็ถูกต้องเอง ที่จริงสัมมาทิฏฐิมันเป็นตัวศรัทธา เพราะว่าถ้ามันมีมองเห็นอย่างไรมันก็เชื่ออย่างนั้นเสมอ คนเรา ในลัทธิอื่นในประเทศอินเดีย ลัทธินิครนถ์ ลัทธิพวกฝ่ายนู้นน่ะ เขาขึ้นด้วยว่าสัมมาศรัทธาก็มี สัมมาศรัทธา สัมมาญาณะ ทีนี้คำว่าศรัทธามันเล่นตลกอยู่ ที่อย่างงมงายก็เรียกว่าศรัทธา อย่างถูกต้องเฉลียวฉลาดก็เรียกว่าศรัทธา ช่วยกันเปลี่ยนให้ศรัทธามันเป็นศรัทธาที่ถูกต้อง เราคงจะมีเพื่อนฝูงหรือบิดามารดาคนในครอบครัวอะไรก็ตามที่จะพูดกันรู้เรื่องบ้างเป็นแน่ ช่วยกันไปทำ เปลี่ยนศรัทธาให้มันกลายเป็นสัมมา... เป็นศรัทธาอย่างสัมมาทิฏฐิ ที่เขาเชื่อกันว่าเอ้า,ทำบุญแล้วก็จะดีจะได้ผลดี ซึ่งเขาหมายถึงไปสวรรค์ก่อน ตัวอยู่ที่นี่ก็รวยหรือสบาย ที่แล้วมันไม่มีผลเป็นอย่างนั้น ทำบุญเท่าไรๆ มันก็ไม่รู้จักรวย ไม่รู้จักสบาย เลยเป็นโรคเส้นประสาทหนักเข้าไปอีก เพราะรู้จักคำว่าศรัทธาไม่ถูกต้อง รู้จักคำว่าบุญกุศลไม่ถูกต้อง ไม่มีสัมมาทิฏฐิ ในฐานะที่เป็นสาวกของพระพุทธเจ้านี่ไปช่วยกันหน่อย ต่อไปนี้ไปช่วยกันหน่อย ตามที่เราจะทำได้ ทุกโอกาสตามที่ทำได้ คือทำให้เกิดสัมมาทิฏฐิขึ้นมาก็แล้วกัน ต่อจากนั้นมันไปของมันได้เอง ขอให้สัมมาทิฏฐิเกิดขึ้นเป็นสิ่งแรก มันก็จะถูกไปหมดทุกเรื่อง คุณปรารภสถานการณ์ของประชาชนในยุคปัจจุบันมากกว่า มันไม่ใช่หลักของพระพุทธศาสนา แล้วก็ไม่ใช่เป็นแต่เถรวาท มหายานก็เป็น มหายานก็ยิ่งต้องการศรัทธามาก ถ้าเป็นนิกาย นิกายสำหรับคนทั่วไป คำว่ามหาก็แปลว่ากว้างใหญ่ออกไปมากๆ นี่คนมากๆ ส่วนมากในโลกมันโง่ ก็ใช้ระบบศรัทธาอย่างกว้างขวางยิ่งกว่าฝ่ายเถรวาทเสียอีก แต่เนื่องจากมหายานเขามีหลายนิกาย หลายชั้นหลายระดับ ระดับที่ไม่ยุ่งกับศรัทธาอย่างนี้ก็มี เขาไปหาไอ้เรื่องปรมัตถ์เลยก็มี แต่ถ้านิกายที่เรียกว่านิกายเชนไท้(นาทีที่41.04) คือนิกายสุขาวดีอย่างนี้เอาศรัทธาพอ ออกชื่ออมิตาภะให้ได้สักกี่หมื่นครั้ง เขาก็พอ โดยที่เขาไม่รู้ว่าอมิตาภะนั้นคืออะไร อมิตาภะ มันคืออสังขตธรรม อมิตาภะมีแสงว่างคำนวณไม่ได้ อมิตายุมีอายุคำนวณไม่ได้ มันก็คือธรรมะชั้นหลุดพ้น ชั้นที่เป็นอสังขตไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง พระพุทธเจ้าอมิตาภะหมายถึงไอ้ภาวะอย่างนี้ เขาไม่รู้ เขาก็เลยมีสอนกันง่ายๆ ทุกคนทำได้ เพียงแต่ออกชื่อพระพุทธเจ้าอมิตาภะวันละพันครั้ง ทุกคนมันก็ทำได้ เมื่อศรัทธาก็ทำได้ พวกอาซิ้มทุกคนทำได้ ไปตามโรงเจ ง่ายๆ เขาก็สอนกันแต่สวดมนต์อมิตาภะ นี่มหายานพื้นฐานเป็นอย่างนี้ มันก็แปลว่าให้คนเหล่านี้ตั้งอยู่ได้ในบุญในกุศลไม่ไปทำชั่ว เพราะมันมีศรัทธาในพระพุทธเจ้าอมิตาภะ แล้วจะไปสวรรค์กัน ก็เว้นจากทำชั่ว ทำเลวต่างๆ มันก็ดี มีผลทางศีลธรรมของสังคม ก็มีประโยชน์ มันมีประโยชน์อยู่ชั้นหนึ่งชั้นพื้นฐานอย่างนี้ แล้วคนจำนวนมากเขาทำได้ ผมยังเห็นว่าพวกศรัทธาอย่างนี้นะ อย่างอาซิ้มพวกนี้ยังปลอดภัยกว่าไอ้ศรัทธาแบบที่ไม่ใช่อาซิ้ม ที่ไม่ใช่มหายานอย่างอาซิ้ม มีศรัทธาทำบุญจะไปสวรรค์นั่นแหละ แต่เผลอเข้าโกง เผลอก็ขโมย เผลอเข้าขี้ฉ้อ นี่มันเป็นอย่างนี้ ทั้งฝ่ายเถรวาททั้งฝ่ายมหายานจะต้องปรับปรุงเรื่องศรัทธากันทั้งนั้นแหละ ให้มันก้าวหน้าให้มันสูงขึ้นไป ถ้าไม่มีใครเป็นผู้รับผิดชอบ ก็เป็นเรื่องของผู้ที่มองเห็น ที่หวังดีต่อเพื่อนมนุษย์จริงๆ ที่จะต้องช่วยกันทำ นี่เราเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าก็ต้องเห็นต้องช่วยกันทำ แต่จะไปมีแผนการแก่ใครที่ไหนอย่างเหมือนกับแผนการธรรมดานี่มันคงทำไม่ได้ มันไม่มี มันไม่มีอำนาจถึงขนาดนั้น และมันทำด้วยอำนาจก็ไม่ได้ มันต้องทำด้วยความเข้าใจ ทำให้เกิดความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง ถ้าเราจะบังคับได้ก็บังคับให้คนศึกษากันให้มันถูกต้องมากขึ้น มีปัญหาอะไรต่อไปอีก
ถาม: ปัญหาโดยผู้ถามคนเดียวกัน ข้อสี่ วิธีการสอนของฝ่ายมหายาน โดยเฉพาะแบบเซน ได้รับความสำเร็จและนิยมอย่างกว้างขวางแม้ในยุโรปและสหรัฐอเมริกา เราจะมีวิธีการอย่างใดที่จะนำพุทธศาสนาแบบเถรวาทให้ได้รับความสำเร็จอย่างนั้นบ้าง
ตอบ: ไอ้นี่มันเกี่ยวกับข้อเท็จจริง เดี๋ยวนี้ก็ปรากฏว่าพวกฝรั่ง ยุโรปอเมริกาก็ตาม ก็เริ่มสนใจเถรวาทกันมากขึ้น ทีแรกที่มันได้แตกตื่นฮือกันขึ้น นิยมพุทธศาสนาอย่างเซนนั้นมันก็มีเหตุผลธรรมดานี่ คือมันไม่เคยมีมาก่อน มันไม่เคยมีปรากฏมาก่อน และปรากฏออกมามันก็เป็นของแปลก แล้วมันก็มีข้อเท็จจริงอยู่อย่างหนึ่งว่าแบบเซนนี้มันแบบสำหรับผู้ที่ฉลาด พุทธศาสนานิกายเซนมันเกิดขึ้นในประเทศจีน ยุคที่มันมีความฉลาด ประชาชนจีนมันเรียนหลักศีลธรรม หลักปรัชญาของขงจื้อ ของเล่าจื้อ ก็ฉลาดอยู่แล้วเป็นพื้นฐาน จะมาสอนพุทธศาสนาระดับให้ค่อยๆ คลานไปๆ นี้มันก็ทำไม่ได้ เขาจึงสอนแบบวิธีฉับพลันอย่างที่เรียกว่าเซน ก็เป็นที่พอใจ ก็เรียกว่าเป็นพุทธศาสนาใหม่ก็ได้ คือวิธีการมันใหม่ ประสบความสำเร็จในชนชั้นปัญญาชน แต่ชนชั้นชาวบ้านมันก็ไม่สำเร็จเหมือนกัน อย่าเข้าใจว่าจะสำเร็จเหมือนกับที่เรานึกกันเอง มันก็เป็นไปได้แต่ในพวกปัญญาชน แต่มันก็เป็นชาวบ้านก็ได้เพราะชาวบ้านที่มีปัญญาก็มี ไม่ใช่ว่าจะต้องผ่านมหาวิทยาลัยแล้วจึงเป็นปัญญาชน พูดได้ง่ายๆ ว่ามันจะเป็นไปได้แต่ในคนที่มีแววฉลาด ไปประเทศญี่ปุ่นมันก็ปรับปรุงกันขึ้นได้อีก เพราะคนญี่ปุ่นมันก็ฉลาดไปอีกแบบหนึ่ง ดังนั้นเซนอย่างจีนกับเซนอย่างญี่ปุ่นคงไม่เหมือนกันร้อยเปอร์เซ็นต์ ญี่ปุ่นเขาได้รับทีหลัง เขาก็ปรับมันให้เหมาะกับคนญี่ปุ่นยิ่งขึ้นไปอีก ทีนี้มันก็ปิด ปิดม่านกันพักหนึ่ง ด้วยเหตุอะไรก็ตาม เรื่องการเมืองเรื่องอะไรก็ไม่รู้ มันปิดม่านกันพักหนึ่ง พอมันเปิดม่านมันก็ออกไปถึงพวกฝรั่งรุ่นนี้ ก็เป็นของแปลก แล้วมันก็ถูกใจฝรั่งอีกแหละ เพราะฝรั่งส่วนมากมันเป็นปัญญาชน รูปแบบสำหรับปัญญาชนมันจึงถูกใจฝรั่ง
ทีนี้ผมอยากจะพูดเป็นส่วนตัวอีกอย่างว่า พวกฝรั่งนั้นมันไม่ชอบ ไม่ชอบระบบศีล หรือวินัย จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ฝรั่งก็ไม่ชอบ ถ้าจะไปบวชเซนมันสบายกว่า มันไม่ต้องถือวินัยเรื่องนุ่งเรื่องห่มเรื่องกินเรื่องอยู่อะไรให้มันลำบากคับแคบเหมือนอย่างเถรวาท ดังนั้นฝรั่งที่เขาไม่ชอบไอ้ระเบียบวินัยหยุมหยิมอย่างเถรวาทนี่ เขาจึงเลือกเอาฝ่ายเซน ก็ด้วยเหตุผลง่ายๆ มันไม่เกี่ยวกันเว้ย เอาแต่เรื่องสติปัญญาก็แล้วกัน เรื่องศีลเรื่องวินัยลำบากเปล่าๆ นี่เป็นเหตุให้ฝรั่งชอบเซนมากขึ้นอีกส่วนหนึ่ง เพิ่มจากที่ว่ามันเป็นเรื่องของปัญญาชน เดี๋ยวนี้มันก็ล่วงมาตั้งห้าสิบหกสิบปีแล้วที่ว่าฝรั่งมันเริ่มรู้จักพุทธศาสนาเซนนี่ ต่อมานี่ก็พบว่าในเถรวาทมีอะไรที่ยังแปลกออกไปจากเซน ก็หันมานิยมเถรวาทกันมากขึ้น เมื่อสมาคม Pali Text Society ในลอนดอน เขาแปลพระไตรปิฎกออกเป็นภาษาอังกฤษก็ช่วยได้มาก ทำให้ฝรั่งได้รู้ได้ฟังได้เห็น ได้อะไรในหลักของเถรวาทที่ผิดไปจากพวกเซน เขาก็เลยชอบใจ ก็พูดได้ว่าฝรั่งที่เป็นนักศึกษาปัญญาชนยุคปัจจุบันเขาก็ไม่ได้นิยมเซนท่าเดียว หรือว่ามากเหมือนกับยุคที่แล้วมา ต่อไปนี้ก็มีหวังว่าพุทธศาสนาอย่างเถรวาทจะได้รับความสนใจเพิ่มขึ้น ถ้าหากว่าเป็นไปได้คือเราช่วยอธิบายธรรมะอย่างเถรวาทนี่ให้เป็นที่เข้าใจง่ายแก่พวกฝรั่ง ผมเชื่อว่าฝรั่งจะสนใจเถรวาทมากกว่าเซนก็ได้ ต่อไปในอนาคต ไอ้ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยอย่างนี้แหละ มันเปลี่ยนแปลงได้ หรือมันมาถึงจุดอิ่มตัวแล้วมันก็เปลี่ยนแปลงได้ ถ้าเราอยากจะเรียกว่ากู้ๆ กู้เถรวาท ก็รีบศึกษาเถรวาทให้เข้าถึงจุดลึกซึ้งสูงสุด แล้วไปอธิบายให้เขา ให้คนในโลกมันเข้าใจเรื่องนี้ นั่นแหละคือวิธีที่จะทำให้เถรวาทได้รับความสนใจอย่างเดียวกับเซนยุคที่แล้วมา ยุคที่แล้วมานี้ ถึงแม้ว่าเราจะปล่อยไว้อย่างนี้ ต่อไปนี้มันก็จะเป็นคู่แข่งขันกันไปเรื่อย เป็นคู่แข่งที่วิ่งแข่งกันไปได้เรื่อย เมื่อเซน เรื่องเซนมันพ้นจากความเป็นของใหม่ หรือของแปลกแล้วต่อไปมันก็ลงมาอยู่ในระดับนี้ เป็นคู่แข่งขันกันไปเรื่อย ผมพยายามสังเกตทั้งสองฝ่ายรู้สึกว่า ไอ้ที่ดีที่มากๆ ของฝ่ายเถรวาทนี้มันไม่ถูกเผยแผ่ มันไม่ถูกเผยแผ่ เอ้า, ก็มาช่วยกันเผยแผ่ต่อไปนี้ มีปัญหาอะไรอีก
ถาม: ปัญหาจากคนเดียวกันข้อสุดท้าย กระผมรวมสองข้อเป็นข้อเดียวเลย ถามว่า การบรรลุอรหันต์จริงๆถ้าไม่ใช่อย่างนามธรรม จะยังมีโมหะชนิดที่เป็นสังโยชน์หลงอยู่หรือไม่ และการบรรลุอรหันต์แบบฝ่ายเถรวาทบางครั้งดูเป็นการเอาเปรียบสังคมเช่นปัจเจกพุทธไม่สามารถจะสอนคนอื่นได้ ทั้งๆ ที่เลี้ยงชีพอยู่ด้วยศรัทธาของคนอื่น ไม่ทราบว่าอาจารย์มีความเห็นอย่างไร
ตอบ: นี่ฟังไม่ค่อยถูก คือไม่มีพระอรหันต์หลายแบบหรอก ถ้าเป็นพระอรหันต์ก็ต้องหมดกิเลส โลภะ โทสะ โมหะ หมดเลย ไม่มีพระอรหันต์ชนิดไหนที่ว่าจะมีกิเลสอะไรเหลือ เพราะว่าความสิ้นแห่งกิเลสทั้งปวงนั่นคือความเป็นพระอรหันต์ แล้วถามว่าอย่างไรตอนท้าย
ถาม: การบรรลุอรหันต์แบบฝ่ายเถรวาท บางครั้งดูเป็นการเอาเปรียบสังคมเช่นปัจเจกพุทธไม่สามารถจะสอนคนอื่นได้ ทั้งที่เลี้ยงชีพอยู่ด้วยศรัทธาของคนอื่น
ตอบ: เรื่องนี้มันเป็นคำถามที่รวมๆ ทั้งการออกบวช เป็นพระอรหันต์หรือไม่ก็ตาม เป็นการเอาเปรียบ คุณต้องมองกันให้กว้าง จนกระทั่งพบว่ามีพระอรหันต์อยู่ในโลกเท่านั้นก็พอ แม้ว่าไม่ได้สอนนะ มีไว้ดูเล่นก็ยังพอ แต่ตามข้อเท็จจริงนั้นพระอรหันต์ท่านจะสอนตามโอกาส และตามที่จะสอนได้ทั้งนั้นแหละ พระพุทธเจ้านั้นเป็นอันว่าไม่มีปัญหา สอนถึงที่สุด แต่พระปัจเจกพุทธเจ้านี่เขาถือว่าสอนไม่ได้เสียเลยนี่ผมว่าไม่จริง พระปัจเจกพุทธเจ้า ไปคุยกับท่านเถอะไอ้เรื่องที่ท่านพูดได้นึกได้สอนได้มันก็ต้องมี เพราะว่ามันมีความรู้อยู่ในใจเหมือนกัน แต่มันไม่ถึงขนาดพระพุทธเจ้า ไม่อาจจะมอบหมายให้เป็นผู้สอนด้วยประการทั้งปวง มันก็มีเหมือนกันเรื่องในพระคัมภีร์ที่พระปัจเจกพุทธเจ้าท่านพูดอะไรได้บ้างคำสองคำแล้วตามเรื่อง แล้วก็ได้ผลเหมือนกัน เอาละเป็นอันว่าท่านไม่สอนหรือสอนไม่ได้ แต่ให้มีพระปัจเจกพุทธเจ้าอยู่ในโลกนี้มันก็ยังมีประโยชน์ คือมีบุรุษมนุษย์ที่ไม่มีอันตราย เป็นบุรุษที่มีความสุขอยู่เหนือปัญหาโดยประการทั้งปวง มันก็ทำให้โลกนี้มีของดี มีคนดีอยู่ในโลก จะเอาอย่างไรกันอีก ทีนี้ลดต่ำลงมาถึงพระอรหันต์ทั้งหลาย พระอรหันต์ทั้งหลายส่วนมากสอนทั้งนั้น ตามมากตามน้อย อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านทรงส่งสาวกไปประกาศศาสนา ที่เป็นพระอรหันต์ก็สอน ยังไม่ถึงพระอรหันต์ก็ยังสอน เพราะฉะนั้นส่วนมากท่านก็สอน มันอยู่ที่ว่าไม่มีใครไปคุยกับท่าน ไม่มีใครไปถามท่าน ก็ลองให้มีใครไปถามท่าน ท่านก็ต้องบอกได้ตามความรู้สึกของท่าน แล้วก็จะเป็นความรู้ที่ดี เป็นความรู้ที่รู้จริงที่ออกมาจากจิตใจ ประโยชน์มันได้แก่โลกโดยส่วนรวม โดยไม่รู้สึก โดยมองไม่เห็นนี้มันมากกว่า มากกว่าค่าของข้าวปลาอาหารที่ประชาชนเลี้ยงชีวิตท่านไว้ นี่ก็เรียกว่าไม่ได้เอาเปรียบสังคม และก็ไม่ได้เป็นการตัดช่องน้อยแต่พอตัว อย่างที่เขามักจะพูดกัน มันมีคนดีอยู่ในโลกทำให้โลกมันมีคนดี มีหลักมีเกณฑ์มีตัวอย่างมีอะไรอยู่ คนมีความทุกข์ได้เห็นบุคคลที่ไม่มีความทุกข์นี้มันก็มีประโยชน์เหลือประมาณแล้ว ได้เห็นผู้ที่มีความรู้จริง มีการปฏิบัติจริง ได้รับผลจริง เพียงแต่ได้เห็นก็ถือว่ามันพอเสียแล้ว แต่นี่มันหายาก มันหาดูยาก ขอให้มันมีมาเถอะ ถ้าจะเอากันปุบปับก็คงไม่ได้ มันต้องใช้เวลาบ้าง ในการที่จะต้องดูไปกว่าจะเข้าใจว่าคนนี้มันเป็นอย่างไร เราถือว่าเอาไว้เป็นคนดีในโลก เป็นมิ่งขวัญของโลกก็ได้ แม้ว่าจะเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ไม่มีหน้าที่สอน ไม่มีหน้าที่ออกไปสั่งสอน เป็นวรรณะปลัด1.00.27เก็บตัวอยู่ในป่า ที่ออกเที่ยวสั่งสอนนั่นเขาเรียกว่าสัญญาสี...สันญาติ(.... 1.00.36) ผู้รู้ที่เที่ยวสั่งสอนนั้นเขาเรียกว่าสัญญาสี1.00.40 อย่างพระพุทธเจ้า หรือสาวกในพุทธศาสนา ถ้าเป็นปัจเจกพุทธท่านเก็บตัวอยู่ในป่า ก็ไม่มารบกวนข้าวปลาอาหารอะไรนัก นานๆ จะมาที เป็นวรรณะปลัด มองเห็นแล้วก็จะหมด จะหมดข้อรังเกียจว่าเอาเปรียบผู้อื่น หรือว่าตัดช่องน้อยแต่พอตัว เอ้า, มีปัญหาอะไรอีก
ถาม: ปัญหาที่หก กระผมใคร่อยากกราบเรียนถามท่านอาจารย์ เกี่ยวกับเรื่องว่าแนวปรัชญาทางศาสนาเกี่ยวกับการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม คือกระผมเคยได้อภิปรายกับเพื่อนๆ ทั้งที่เป็นชาวไทยและชาวต่างประเทศเกี่ยวกับเรื่องว่า ทำไมประเทศหนึ่ง หรือว่าภูมิภาคหนึ่งของโลกนี้ ความเจริญความก้าวหน้าทางวิชาการและสังคมเศรษฐกิจไม่เท่ากัน ก็ เราก็ได้มาลงเอยว่าปัจจัยอันหนึ่งที่ทำให้เกิดเช่นนั้นคือแนวปรัชญาทางศาสนา เพราะว่าเมื่อคิดย้อนหลังไปประมาณสามถึงสี่พันปี จะเห็นได้ว่าประเทศจีนก็ดี ประเทศอินเดียก็ดีเจริญมาก ในขณะที่ในยุโรปนั้นนี่ อยากจะเรียกว่าเป็นคนป่าอยู่ก็ได้ เพราะว่ายังไม่มีความเจริญก้าวหน้าอะไรเลย แต่ว่าพอมาสมัยหลังจากพระเวทก็ดี ในสมัยสมัยพราหมณ์ หรือมาลัทธิเต๋า หรือทางศาสนาพุทธนั้น คนในทางเอเชียนั้นมาสนใจในเรื่องของการมองเข้าหาตัวเอง คือมาศึกษาเรื่องจิตมากขึ้นอย่างที่เรียกว่า Invert looking ในขณะที่ระยะนั้นนี่ ประมาณสองพันกว่าปี ทางด้านกรีกก็ดี เริ่มจะมองไปข้างนอก คือเขาเริ่มมองศึกษาเกี่ยวกับเรื่องทะเล เรื่องธรรมชาติ ดูดาว แล้วก็แตกแยกแขนงออกเป็นวิชาสาขาต่างๆ จากคำว่า Philosophy คำเดียวก็แตกแยกออกไป ดังยุคสมัย Aristotle ไป แล้วก็เขาก็มีการ ในแง่ของวิชาการนั้นก็เจริญไปเรื่อย ในขณะที่ว่าทางฝ่ายเราคือทางฝ่ายเอเชียนั้นน่ะ มีลักษณะ Invert looking คือมองในเรื่องที่ว่าทำอย่างไรตัวเราเองนั้นจะเข้า อยู่เข้าได้กับธรรมชาติ ในขณะที่ปรัชญาทางฝ่ายตะวันตกนั้นพยามที่ จะทำอย่างไรที่จะเอาธรรมชาตินั้นน่ะ ปรับธรรมชาติให้ดีขึ้นเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ซึ่งอันนี้ผมคิดว่ามันอาจจะเป็นปัจจัยอันหนึ่งในการที่ทำให้ประเทศต่างๆ ในโลกนี้มีความเจริญไม่เท่ากัน แต่ว่าในปัจจุบันนี้ผมคิดว่าไอ้เรื่องเหล่านี้น่าจะจัดการแก้ไขได้ ถ้าสมมติว่าทุกคนพยายามจะมองดูทั้งในแง่ของวัตถุและจิตใจเท่าๆ กัน เพื่อจะดึงความเจริญ ทั้งฝ่ายตะวันออกและตะวันตกมาหาจุดศูนย์กลางร่วมกัน กระผมใคร่ขอเรียนถามความเห็นของท่านอาจารย์ เกี่ยวกับเรื่องปรัชญาศาสนา แล้วก็ความเจริญทางเศรษฐกิจและสังคมในภู มิภาคนี้ด้วยครับ
ตอบ: คุณเกือบจะเป็นผู้ตอบนะ ไม่ใช่ผู้ถาม สรุปคำถามว่าอย่างไร สรุปคำถามตอนท้ายว่าอย่างไร
ถาม: คือผมอยากเรียนถามท่านอาจารย์ว่า ท่านอาจารย์ ความเห็นท่านอาจารย์ เกี่ยวกับเรื่องที่ว่าปรัชญาศาสนาที่ เป็นจริงหรือเปล่าที่ว่าปรัชญาทางศาสนานี่ทำให้ความเจริญไม่เท่ากันนะครับ แล้วที่ว่าเราจะพยายามทำอย่างไรที่จะดึงปรัชญาศาสนานี่มาทำให้ความเจริญในแต่ละภาคของภูมิภาคของโลกนี้ มาเจริญให้เท่าๆ กัน
ตอบ: มันต้องนึกถึงหลักใหญ่ที่สุด ที่ว่าทุกอย่างมันจะต้องไปตามเหตุตามปัจจัยเฉพาะของมัน การที่ฝ่ายตะวันตกพอตื่นขึ้นมา แล้วก็มุ่งเรื่องนอกตัว มุ่งเรื่องความเฉลียวฉลาด รู้จักวิชาปรัชญา คือวิชาที่ทำให้คนฉลาดว่าอย่างนี้ก็แล้วกัน แล้วมันก็ใช้ความฉลาดไปในทางที่เห็นๆ คือนอก คือวัตถุ คือทางวัตถุ หรือเพ่งสังคมเป็นใหญ่ ไม่เพ่งเรื่องจิตใจเฉพาะคน หรือภายใน เมื่อมันทำอย่างนั้น เหตุปัจจัยมันก็ทำให้ก้าวหน้าในเรื่องนั้น แล้วก็สืบทอดกันมาด้วยความก้าวหน้าทางวัตถุ ทีนี้ตะวันตกมันจึงเจริญด้วยเรื่องวัตถุเต็มที่ แล้วก็จนเฟ้อ จนเกินความจำเป็นเกินความเหมาะสม จะโทษ จะยกให้เป็นเรื่องของศาสนาโดยตรงก็ไม่ได้ ควรจะถือว่ามันฟลุ๊คมากกว่า เพราะว่าเมื่อตื่นขึ้นมามันก็นิยมไอ้ความเฉลียวฉลาด เพื่อสังคม เพื่อวัตถุ เพื่อสังคม เพื่อภายนอก มันก็ได้อย่างนั้น ทีนี้ทางตะวันออกตั้งแต่แต่แรกเริ่มเดิมทีมามันก็สาละวนอยู่แต่เรื่องภายในเรื่องจิตใจในรูปแบบของศาสนา มันก็ต้องการความจำเป็นทางวัตถุน้อย คือไม่สู้สนใจความก้าวหน้าทางวัตถุ จนเป็นนิสัยไป แต่อย่าลืมว่าถ้าทุกคนมันมีจิตใจดีตามแบบนี้ล่ะก็ มันก็ไม่มีปัญหาทางสังคม แล้วก็ไม่นำสู่การแข่งขันทางเศรษฐกิจทางสังคมจนเป็นปัจจัยให้เกิดสงครามหรืออะไรต่างๆ มันก็อยู่กันมาด้วยความสงบ พอมาถึงตอนนี้มันก็มีปรากฏการณ์ออกมาว่า พวกนี้มีความสะดวกสบายน้อย พวกตะวันออกมีความสะดวกสบายน้อย แต่มันไปอาศัยความสงบทางจิตใจทดแทน ชดเชย ทีนี้ทางฝ่ายตะวันตกมันเจริญทางวัตถุมาก มากจนเฟ้อ มีความสงบทางจิตใจ หรือรู้เรื่องทางจิตใจน้อย มันก็เป็นอย่างที่ฝรั่งเขาเป็นกันอยู่เดี๋ยวนี้ เอ้า, แล้วใครจะดีกว่า ว่าใครจะดีกว่าก็ไม่ถูก ต้องว่าใครมันถูกต้องกว่า มันก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าไอ้ฝรั่งเดี๋ยวนี้มันก็แย่ มันหาความสงบสุขไม่ได้ นี่เป็นต้นเหตุ เป็นต้นตอแห่งความสับสนวุ่นวายโกลาหลกันทั้งโลก ลัทธิจักรวรรดินิยมก็ดี นายทุนก็ดีมันมาจากตะวันตกทั้งนั้น มันเป็นมูลเหตุให้สับสนวุ่นวายเป็นวิกฤตการณ์กันทั้งโลก มันก็แปลว่าไม่เป็นที่พึ่งแก่โลก พวกฝรั่งก็เริ่มมองเห็น และอันนี้เองเป็นเหตุทำให้พวกฝรั่งเฉลียวถึงสิ่งที่เรียกว่าศาสนากันใหม่ มันก็มีหวังอยู่ว่า ไอ้ศาสนาจะได้รับความสนใจมากขึ้นในหมู่พวกวัตถุนิยมเหล่านั้น ถ้าเขาเกิดความเข้าใจในเรื่องของธรรมะศาสนาถูกต้อง เขาก็จะลดไอ้ความหลงในทางวัตถุนั้นลงบ้าง โดยเอามาชดเชยกันกับความสนใจในเรื่องทางจิตใจ มันก็จะมาอยู่ในระดับที่ถูกต้องได้ ทีนี้ทางฝ่ายตะวันออกนี่ก็เพิ่มไอ้เรื่องความก้าวหน้าทางวัตถุขึ้นบ้าง ไอ้ส่วนจิตใจนั้น ถ้ามันมากก็ลดลงเสียบ้าง หรือเอาไว้ตามที่มันจะต้องมีก็ได้ แล้วก็มาเพิ่มความก้าวหน้าไอ้ทางวัตถุ ที่เรียกว่าทางเศรษฐกิจ ทางอะไรก็ตามนี่ขึ้นบ้าง นั้นนะมันจะกลมกลืนกัน มันจะมาพบกันได้พอดี ให้ตะวันตกลดเรื่องวัตถุเพิ่มเรื่องจิตใจ ฝ่ายตะวันออกก็ลดเรื่องจิตใจบ้างเพิ่มเรื่องวัตถุให้มากขึ้น มันก็จะมาในระดับที่ว่าเหมาะสมกัน เป็นโลกที่มีสันติภาพ ถ้าตะวันตกเขายังหลงในเรื่องวัตถุนี้ไม่มีทางที่โลกนี้จะมีสันติภาพ แล้วดูก็ยังหวังยากเหมือนกันที่ว่าไอ้พวกทางตะวันตกที่มันหลงในวัตถุ มันจะคลายความหลงในวัตถุ เพราะมันสนุกนี่ มันมีสติปัญญาความก้าวหน้าทางวัตถุ ทางวิทยาศาสตร์ ฝ่ายวัตถุมันก็สนุก แล้วมันก็ยั่วยวนให้คิดค้นไม่มีที่สิ้นสุด เดี๋ยวนี้ใช้น้ำมันกันหมดแล้วในโลก มันก็คิดหาไอ้พลังงานอื่นมาแทน ปรมาณู ไอ้ใหม่ๆ หยกๆ ก็เรียกว่า laser fusion นั่นนะ ต่อไปจะมาแทนปรมาณู เป็นพลังงานของโลก มันก็สนุก มันไม่มีจบ มันไม่ตายด้าน มันคิดของมันได้เรื่อย แล้วมันก็ยากที่จะลดมาหาเรื่องทางจิตใจ แต่ตามความรู้สึกของผม ถ้าผมพูดตามความรู้สึกก็พูดอย่างที่พูดแล้ว ฝ่ายตะวันตกหยุดบ้าเรื่องวัตถุลงเสียบ้าง เพิ่มเรื่องทางจิตใจขึ้นมาให้สูงพอดีกันสมดุลกัน ทางฝ่ายตะวันออกลดความเมาในเรื่องจิตใจกันเสียบ้าง แล้วก็มาเพิ่มเรื่องทางวัตถุนี้ขึ้นมาชดเชยกัน ก็จะเป็นมนุษย์ที่เข้ากันได้ โลกก็จะมีสันติภาพได้
ไอ้เรื่องศาสนานั้นมันต้องเป็นเรื่องทางจิตใจเสมอ เพราะศาสนามันเกิดขึ้นเมื่อมีปัญหาทางจิตใจ คือเขาเห็นความทุกข์ หรือปัญหาทางจิตใจนี่เป็นเรื่องสำคัญ แม้ศาสนาคริสต์เตียนก็ดี ศาสนาที่มีพระเจ้าก็ดี มันก็เพื่อแก้ปัญหาทางจิตใจทั้งนั้น มันมีฉลาดในทางจิตใจเช่นเดียวกับฝ่ายตะวันตก มันฉลาดในเรื่องวัตถุ เรื่องสังคม เรื่องภายนอก ศาสนาคริสต์เตียน อิสลามแถวตะวันออกกลาง แถวนั้น เราต้องจัดเป็นฝ่ายตะวันออกด้วยเหมือนกัน ทางฝ่ายตะวันตกแทบจะไม่มีศาสนาอะไรเลย นับตั้งแต่ศาสนาโซโรสเตอร์(นาที่1.13.15) คริสต์เตียน ยิว อิสลามอะไรมันอยู่ฝ่ายตะวันออก ดังนั้นตะวันออกมันเป็นเจ้าของศาสนา เช่นเดียวกับฝ่ายตะวันตกมันเป็นเจ้าของวิชาทางฝ่ายวัตถุ เมื่อไรพวกฝรั่งเขามองเห็นไอ้ข้อเท็จจริงอันนี้ แล้วเขาหันมานิยมศาสนากันอีก โลกก็จะดีขึ้น ฝรั่งก็เคยดีในทางศาสนา แล้วเคยหลง เคยผิด เคยพลาดเกี่ยวกับศาสนา จนเกลียดศาสนา จนหันไปหาวัตถุอย่างเดียว ตะพึด จนเกิดความเหลื่อมล้ำต่ำสูงทางเศรษฐกิจ จนต้องเกิดคอมมิวนิสต์ โซเชี่ยลลิสต์(นาทีที1.14.05)อะไรขึ้นมา มีศาสนากันใหม่มนุษย์รักเพื่อนมนุษย์ด้วยกันอีก ก็จะมีทางที่จะสันติภาพ ไม่มีอะไรที่จำเป็นหรือที่ดีสำหรับมนุษย์เรานอกจากสันติภาพ ดังนั้นสันติภาพจะมีมาได้ทางไหน ทางนั้นแหละถูก ไปพูดไปบอกไปศึกษากับเพื่อนที่เป็นชาวต่างประเทศ เป็นฝรั่งนั้นให้นึกดูใหม่ ว่าสันติภาพจะมีได้อย่างไร ถ้าเราหลงใหลกันแต่ในเรื่องวัตถุที่มันทำให้เกิดความเอร็ดอร่อย และเห็นแก่ตัวยิ่งๆ ขึ้นไป ไม่มีทางที่จะมีสันติภาพ อย่าไปหลงทางวัตถุนัก มารู้เรื่องทางจิตใจบ้าง ทำจิตใจให้สงบตามแบบของศาสนา แล้วก็รักผู้อื่น พอรักผู้อื่นปัญหาในโลกนี้หมด เดี๋ยวนี้ไม่มีใครรักใคร ไม่มีใครรักผู้อื่นในโลก ไอ้ฝ่ายที่เคยเคร่งทางศาสนา ที่เคยรักผู้อื่นมันก็เลยหายๆ ไปเพราะถูกอิทธิพลวัตถุครอบงำ เพราะอย่างนั้นเมืองจีนก็ดี อินเดียก็ดี อียิปต์โบราณนี่ก็ดี มันเปลี่ยนมานิยมวัตถุ ปัญหามันก็เกิดขึ้นมาใหม่ ถ้าไปหลงวัตถุแล้วมันก็จะต้องเห็นแก่ตัว ไปรักผู้อื่นไม่ได้ หลงทางจิตใจนี่มันก็จะรักผู้อื่นได้ง่าย ไปบอกกันให้ดี ชวนกันปรับปรุงเสียใหม่ เฉลี่ยกันให้ดี คือให้พอดีระหว่างเรื่องทางวัตถุกับเรื่องทางจิตใจ ทั้งสองฝ่ายมันมีปรัชญาด้วยกันทั้งนั้น ฝ่ายวัตถุมันก็มีปรัชญาแบบวัตถุ ฝ่ายจิตใจก็มีแบบจิตใจ ต้องรู้จักประนีประนอมกัน ตามความรู้สึกของผม คล้ายกับละเมอเพ้อฝัน ฝันไปในทางที่ว่าสักวันหนึ่ง ฝรั่งเขาจะหยุดความหลงใหลในทางวัตถุ หรือมองดูกันแต่ในทางวัตถุ แม้จะเป็นเรื่องสังคมก็เป็นสังคมที่บูชาวัตถุ เขาจะหันไปหาศาสนากันใหม่ได้
ขอโอกาสพูดเลยไปอีกหน่อย เป็นเรื่องส่วนตัว ว่าทำไมพวกฝรั่งจึงสลัดทิ้งศาสนา เช่นศาสนาคริสต์ต์ ก็เพราะว่าเขาไม่เข้าใจถึงหัวใจของศาสนาคริสต์ต์ เพราะเหตุว่ามีการทำผิดร้ายแรงอยู่อย่างหนึ่งคือ ไม่รู้จักศึกษาศาสนา ทั้งฝ่ายภาษาคนและภาษาธรรม ไอ้คำพูดมันเป็นภาษาคนที่มีคำพูดพ้องกับภาษา...เขาพูดภาษาธรรมที่มีคำพูดพ้องกับภาษาคน ไปถือเอาภาษาคนไม่รู้ภาษาธรรม ก็เลยเข้าใจศาสนาของตนไม่ได้ คือมาถึงสมัยที่อิสระ มีปัญญาชนอิสระแล้วมันก็ไม่เชื่อศาสนาที่เคยเชื่อมาแต่ก่อน เช่นไม่เชื่อเรื่องพระเจ้า เดี๋ยวนี้เป็นเอามากจนถึงกับว่าพระเจ้าตายแล้วนะ ไอ้พวกฝรั่งนี่ เขาถือว่าพระเจ้าตายแล้ว แล้วพอต่อมาก็เกิดกลัวขึ้นมา เอ้ย, นี่เราจะเอาอะไรให้เด็กยึดถือ ถ้าพระเจ้าไม่มีแล้ว พระเจ้าตายแล้ว นี่ฝรั่งกำลังมีปัญหาว่าจะเอาอะไรให้เด็กๆ ยึดถือ ก็มีคนที่คิดจะให้เด็กๆ กลับไปยึดถือพระเจ้าอีก ก็ไปไม่ไหวเพราะว่ามัน คำพูดนั้นมันไม่เข้าใจ เขาพูดพระเจ้าอย่างภาษาคน พระเจ้าเป็นคน พระเจ้าสร้างโลก พระเจ้านี่เขาเชื่อไม่ได้ รับไม่ได้ ที่จริงเมื่อพูดด้วยภาษาธรรม พระเจ้ามันคือกฎของธรรมชาติ กฎของวิวัฒนาการโดยธรรมชาติ ตามธรรมชาติ ถ้าอย่างนี้ล่ะก็เขาก็เชื่อได้ เชื่อพระเจ้า รับพระเจ้า รับนับถือพระเจ้า พยายามที่จะปฏิบัติให้ตรงตามกฎ หรือตามความประสงค์ของพระเจ้า นี่คัมภีร์ศาสนาคริสต์ต์เตียน หรือศาสนาอื่นที่ถือพระเจ้าเป็นหลัก คือไม่ใช่พุทธศาสนา ก็ต้องไปอธิบายกันเสียใหม่ให้ถูกต้องโดยภาษาธรรม เช่นพระเจ้านั้นคือกฎของธรรมชาติ คัมภีร์ไบเบิลแผ่นแรก หน้าแรกมันมีว่า พระเจ้าสร้างแสงสว่าง the light, light คือแสงสว่างนี่ วันที่ 1 แล้วสร้างอะไรขลุกขลักกันมาจนถึงวันที่ 4 จึงสร้างดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ มันก็ขัดกับความรู้สึก ขัดกับความรู้สึกของคน วิทยาศาสตร์เดี๋ยวนี้ ไม่มีดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์จะมีแสงสว่างได้อย่างไร ถ้ามันมีแสงสว่างแล้วทำไมต้องมาสร้างดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์อีก อย่างนี้มันเข้าใจไม่ได้ มันจะเข้าใจได้ต่อเมื่อรู้ความหมายที่ถูกต้องในภาษาธรรม light ที่มันสร้างวันแรก มีแต่วันแรกนั่นน่ะมันคือกฎของธรรมชาติ กฎของ Evolution อะไรพวกนี้มันมีอยู่แล้วตั้งแต่วันแรก มาถึงวันที่สี่หรือยุคที่สี่มันจึงเกิดดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ขึ้นตามกฎแห่งวิวัฒนาการนั่นเอง อย่างนี้มันก็รับได้ทันที ยอมรับได้ทันทีคือกลืนลงไปได้ พวกฝรั่ง พวกนักวิทยาศาสตร์อะไรทั้งหลายมันก็กลืนเข้าไปได้ คือรับนับถือศาสนานั้นได้ แต่ข้อความอื่นๆ ทั้งหมดในคัมภีร์คริสต์เตียนมันก็ยอมรับได้ ผมเคยพูดกับพวกฝรั่งที่ถือคริสต์เตียนอย่างนี้บ่อยๆ ว่า ถ้าคัมภีร์คริสต์เตียน ไบเบิลนั้นได้รับการตีความทั้งสองแบบคือทั้งภาษาคนและภาษาธรรมแล้วจะเป็นคัมภีร์ที่น่ารักที่สุด น่าเชื่อถือ น่านับถือที่สุด แล้วฝรั่งก็จะนับถือศาสนากันอีก นั่นเรียกว่ามันไม่เข้าถึงความหมายของศาสนา ทุกใบมาเลย คัมภีร์ไบเบิลทุกใบต้องอธิบายด้วยภาษาธรรม เช่นกินลูกไม้ของต้นไม้ที่ให้รู้ดีรู้ชั่วแล้วทำไมจะต้องตาย ในภาษา ในคัมภีร์มันเขียนไว้อย่างนั้น รู้ดีรู้ชั่วสำหรับยึดถือและเป็นทุกข์นั่นน่ะคือตาย มันไม่อธิบายไอ้คำๆ นั้นให้มันชัดลงไปว่า กินผลไม้นั้นเข้าไปทำไมจึงต้องตาย มันกินเข้าไปเพื่อให้รู้จักดีรู้จักชั่ว สำหรับยึดถือดียึดถือชั่ว จนเกิดกิเลส จนเกิดความเห็นแก่ตัว ทางฝ่ายพุทธศาสนานี้ถ้าเขารู้จักดีรู้จักชั่วก็รู้สำหรับจะไม่ยึดถือ ไม่ยึดถือดีชั่วก็ไม่เกิดกิเลส ไม่เกิดความทุกข์ ไม่เกิดความเห็นแก่ตัว นี่ไอ้คัมภีร์ใหม่ คัมภีร์พระเยซูนี้ก็ว่าแรกเริ่มเดิมทีก็มีแต่คำ พระคำ word อยู่กับพระเจ้า แล้วเป็นพระเจ้าแล้วก็สร้างอะไรต่างๆ ไอ้ word น่ะคือคำพูด มันคือคำพูดอะไร มันก็คือกฎของธรรมชาติ กฎของEvolution มันมีอยู่ก่อนสิ่งใด แล้วมาอยู่กับพระเจ้า ขึ้นมาเป็นพระเจ้า ทำให้สิ่งต่างๆ เกิดขึ้น ควบคุมสิ่งต่างๆ ตลอดมา ถ้าอธิบายโดยภาษาธรรม ตามวิธีที่เราศึกษาพุทธศาสนาแล้ว คัมภีร์ไบเบิลนั่นแหละจะถูกใจนักวิทยาศาสตร์ชั้นเลิศของพวกฝรั่งนั่นเอง แต่ทีนี้นักวิทยาศาสตร์มันไม่ยอมรับพระเจ้าที่เขียนไว้อย่างนั้น หรือการสร้างโลกที่เขียนไว้อย่างนั้น ถ้าว่าเราทำได้ ให้มีการศึกษากันด้วยวิธีการทางภาษาธรรม ให้พวกฝรั่งที่เฉลียวฉลาดที่สุดในโลกเวลานี้มันรู้จักศาสนาโดยภาษาธรรม ก็จะหันไปหาพระศาสนา จะไปก้าวหน้าทางจิตใจ แล้วก็ลดเรื่องทางวัตถุลงเสียบ้างเพราะมันบ้า มันเฟ้อ มันเหนื่อยเปล่าๆ ที่อยู่ดีกินดีแบบที่ไม่จำเป็นนี่มันเหนื่อยเปล่าๆ แล้วมันเปลืองที่สุดเลย ไม่มีสันติภาพเพราะเหตุนี้ จะต้องมองให้เห็นว่า ถ้าว่ารับเอาศาสนาไปเข้าใจไปปฏิบัติอย่างถูกต้องแล้วปัญหาจะหมด ฝ่ายตะวันตกก็ถือศาสนาคริสต์เตียนตามเดิมได้ ฝ่ายตะวันออกก็ถือพุทธศาสนาตามที่ถือกันอยู่ได้ ก็จะไปพบกันในลักษณะที่คล้ายกัน ที่เหมือนกันเข้ากันได้ คืออยู่อย่างพอดีทั้งฝ่ายวัตถุและฝ่ายจิตใจด้วยกันทั้งสองซีกโลก ก็จะมีความสุขใจเต็มที่ และมีความสะดวกสบายทางฝ่ายวัตถุเต็มตามที่ควรจะมี ต้องจำกัดไว้ด้วยคำว่าควรจะมีนะ ไม่ใช่เฟ้อ เดี๋ยวนี้มันเฟ้อเกินควรจะมี ความก้าวหน้าทางกินอยู่ ประดับประดาตกแต่งนี้ หรือความเพลิดเพลินทั้งหลายนี้มันเกินแล้ว มันเกินที่มนุษย์ควรจะมี มันก็สร้างปัญหาอาชญากรรมขึ้น แม้แต่เรื่องศิลปะมันก็เฟ้อที่สุดแล้วเวลานี้ เอาเวลา เอาเรี่ยวแรง เอาทุนรอนไปสร้างศิลปะแบบเฟ้อ ไอ้ที่ถ่ายรูปมาให้ดูกันน่ะ ที่สร้างอะไรขึ้นก็ไม่รู้ สร้างขึ้นไปสูงๆ มี เป็นรูปอะไรก็ดูยาก จะเป็นคนก็ไม่ใช่เป็นผีก็ไม่เชิง ก็นิยมกันว่าที่ตรงนั้นตรงนี้มีศิลปะของศิลปินคนนั้น หนังสืออะไรของไอ้สถานทูตอเมริกันฉบับที่มาวันนี้นะ ลงรูปภาพไอ้ศิลปะแบบที่ไปจัดในหนองในบึงด้วยเส้นยุ่งๆๆ ดูไม่ออกเลย เป็นเรื่องบ้าชัดๆ เลย นี่กำลังได้รับความนิยมสูงสุด ไปทำตามในบึงในป่ารกในริมภูเขาด้วยเส้นไม้ไผ่บ้าง กระดานบ้างอะไรบ้าง ผมดูไม่ออก เพราะมันบ้าๆ เกินความคิดของเรา นี่กำลังได้รับความนิยมมากไอ้ศิลปะชนิดนี้ ยิ่งกว่าไอ้ศิลปะอะไร Art แต่วันก่อนเสียอีก นี่กำลังบ้า เขาเรียกอะไร Art นะ ไอ้ศิลปะเก่า เมื่อสักสองสามปีมานี้ ไอ้ที่ยุ่งๆ ดูไม่ออกน่ะ, อะไร Art, Abstract Art เดี๋ยวนี้ไปไกลกว่านั้นอีก นี่อย่าไปเฟ้อชนิดนั้น ลดลงมา มันเปลืองเปล่าๆ เสียเวลาเปล่าๆ มาเอาเพียงแค่ว่าอยู่กันสบายสะดวก แล้วก็มาสนใจเรื่องจิตใจ สงบเย็นเข้าถึงพระเจ้า ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เป็นตามที่พระเจ้าสร้างอย่างนั้นเอง เราไม่กลัวเรื่องความเกิดหรือความตาย มีความปกติอยู่เสมอ จะเป็นเรื่องเจ็บหรือเรื่องไข้ หรือเป็นเรื่องหาย หรือเรื่องตาย เรื่องอะไรให้มันเป็นปกติเสมอ ดังนั้นจึงไม่ต้องมีปัญหามากเกี่ยวกับ แม้แต่การแพทย์ การแพทย์เดี๋ยวนี้มันตัดซี่โครงไปปะจมูกที่ยุบ มันทำไปทำไม มันมีมากนะ ไอ้การแพทย์ที่เฟ้อ ที่ไม่จำเป็น มันควรจะมีแต่เพียงว่าพอดีๆ อย่างปากแหว่งนี้ไม่ต้องเย็บก็ได้ แต่นี่มันแตกตื่นกัน เย็บปากแหว่งกันทั้งเมืองทั้งประเทศ นี่มาคิดดูสิ เอาเวลามาใช้ในเรื่องจิตใจกันบ้าง ให้ศาสนากลับมาเอาล่ะมันจะเกินไปเสียแล้วที่จะให้คนตาบอดทำอะไรได้เหมือนคนตาดี คนหูหนวกทำอะไรได้เหมือนคนหูดี ทำได้ก็ดีแต่ถ้ามันเกินไป มันลำบากเปล่าๆ มันไม่คุ้มค่า ก็ควรจะปล่อยไว้ตามพอสมควรว่าคนตาบอดก็อยู่อย่างคนตาบอดอย่าให้ต้องลำบากมาก คนหูหนวก คนเป็นใบ้พวกนี้ก็อยู่ตามพอที่จะอยู่ได้ ไม่ต้องเร่งขึ้นมาที่ให้เหมือนกับคนที่ปกติ ความสันโดษของศาสนาเขามีอย่างนั้น จึงไม่มีอะไรเฟ้อ มาช่วยกันพูดจา เพื่อนฝูงที่เป็นฝรั่งเป็นชาวต่างประเทศให้เขากลับไปเห็นคุณค่าของศาสนาหรือศีลธรรม ถ้ามันฟลุ๊คถึงกับว่าไอ้ตัวอาจารย์ใหญ่ของประเทศมันเกิดมองเห็น แล้วมันก็แนะนำรัฐบาลให้หมุนเข็มของมนุษย์ ของประเทศชาติไปในทางจิตทางวิญญาณทางศาสนา คือให้ศีลธรรมกลับมา ก็เป็นโชคดีแก่มนุษย์ในโลกจะอยู่กันอย่างสันติ เดี๋ยวนี้มันแข่งขันกันในเรื่องทางวัตถุ ยื้อแย่งกันทางวัตถุ ทะเลาะวิวาทกันด้วยเรื่องทางวัตถุ มันจะฆ่าฟันกันไม่มีสิ้นสุด ด้วยปัญหาทางวัตถุ มีปัญหาอะไรอีก อีกสิบห้านาทีหมดเวลา
ถาม: ขออีกซักปัญหาครับ ปัญหานี้มาไกล มีญาติโยมจากทางกรุงเทพให้เรียนถามท่านอาจารย์เกี่ยวกับปัญหาใกล้ตัว คือเขาถามว่า คนเรานี่เกิดมาทำไม และก็ผมมีปัญหาต่อท้ายอีกนิดหนึ่งสำ หรับคำว่านิพพานทางไปสู่นิพพาน ที่ท่านอาจารย์ ท่านพูดเสมอว่าตายเสียก่อนตาย ผมมีความเห็นว่าบางครั้งมันก็ง่ายไอ้การเข้าสู่นิพพานนี่ บางครั้งมันก็ยาก แต่ไอ้การที่จะทำให้ขันธ์ดับคือขันธ์รูปนี่ ดับด้วยความสุข ด้วยความพอใจนี่ มันแตกต่างกันอย่างไรกับทางเข้าสู่นิพพาน ขอเรียนถามท่านอาจารย์
ตอบ: หลายปัญหาพร้อมๆ กันนะ เกิดมาทำไม มันก็ปัญหาหนึ่ง แล้วก็ว่านิพพาน และการทำให้ขันธ์ดับ เย็น เมื่อรู้เรื่องขันธ์ทุกขันธ์ดีแล้ว ก็ไม่ไปยึดถือโดยความเป็นตัวตนของตน ขันธ์นั้นก็ดับ ดับด้วยอาการอย่างนั้นก็คือเย็น ไม่ร้อนเพราะความยึดถือว่าเป็นตัวตน
ถาม: กระผมหมายถึงฆ่าตัวตาย สมมติว่าฆ่าให้ตายไปเลยให้ร่างกายดับไป แล้วอย่างอื่นมันก็หายไป
ตอบ: ไอ้นั่นมันก็คือความยึดถือ ยึดถือขันธ์ ยึดถือเวทนา ยึดถืออะไรก็ตามจนถึงกับฆ่าตัวตาย มันก็ร้อน ร้อนตั้งแต่คิดจะฆ่า แล้วก็ร้อนจนตายไป ดับไปด้วยความร้อน
ถาม: คือให้เย็นก่อน ให้เย็นให้มีความสุขก่อนที่จะตายน่ะครับ
ตอบ: นั่นล่ะต้องเย็น มีความสุขก่อนจะตายนั่นเรียกว่านิพพานก่อนตาย ให้แยก ถ้าแยกเป็นขันธ์ทั้งห้าก็ให้ขันธ์ทั้งห้าทุกขันธ์มันเย็น เพราะไม่ได้ยึดถือเป็นตัวตนเป็นของตน มันร้อนเพราะไปยึดถือเป็นตัวตนของตน ไม่ถูกยึดถือมันก็เป็นขันธ์ที่เย็น เป็นขันธ์ล้วนๆ ไม่มีความยึดถือเข้าไปปนอยู่ คือพระอรหันต์ทั้งหลาย เขาเรียกว่ามีบริสุทธิขันธ์ มีขันธ์อันบริสุทธิ์ คือขันธ์ที่ไม่มีความยึดถือ ปราศจากความยึดถือ เป็นขันธ์บริสุทธิ์ มันก็คงเกิดรูปเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณอยู่ตามปกติแล้วก็เย็น เป็นเบญจขันธ์ที่เย็นที่บริสุทธิ์ อาการนี้ก็เรียกได้ว่าตายก่อนตายเหมือนกัน คือตัวกูของกูไม่อาจจะเกิดอีกแล้ว ตายหมดแล้ว ร่างกายยังไม่ตายสักทียังมีเบญจขันธ์จนกว่ามันจะดับอีกทีหนึ่ง นั่นเรียกว่าตายอย่างของเบญจขันธ์ ไอ้ตายของกิเลสคือตัวกูของกูนี่ตายแล้ว แต่ก่อนเบญจขันธ์ตาย ก็คือเดี๋ยวนี้ คือความเป็นพระอรหันต์ เรียกว่าเขาตายแล้วก่อนตาย ตัวตนตายหมดแล้วก่อนแต่ร่างกายตาย แล้วเขาถามว่าเกิดมาทำไม คุณตอบเขาว่าอย่างไร
ถาม: ผมจะรอคำตอบจากท่านอาจารย์ครับ
ตอบ: นั่นก็ เป็นเรื่องของคุณ คุณก็ควรจะรู้สิว่าเกิดมาทำไม ตอบอย่างนั้นดีกว่า
ถาม: มันเป็นคำตอบที่ยากนะครับผมว่า
ตอบ: นั่นน่ะมันเป็นคำตอบที่ยาก มันตั้งแต่ว่า มันมีเรานั้นจริงหรือเปล่าเล่า แล้วมันมีการเกิดจริงหรือเปล่าเล่า มันก็จะยิ่งยากมากขึ้นไปอีก เพราะว่าโดยความจริงมันไม่ได้มีตัวเรานี่ ไม่มีตัวเรา ถ้าไม่มีตัวเราแล้วอะไรมันจะเกิดล่ะ มันก็เลยไม่มีเกิด
ถาม: คือผู้ถามอาจจะไม่เข้าใจลึกซึ้งพอนะครับ แต่กระผมเองคิดว่าผมเข้าใจตามที่ท่านอาจารย์พร่ำสอน
ตอบ: นั่นแหละ ก็ไปให้เขาคิดของเขาเองบ้างสิ ไหนคุณอยู่ที่ไหนมาดูสิ ถ้ามันอยู่ที่ร่างกายนี้ ที่ว่ายึดถือว่าของเราว่าตัวเราเราก็กลายเป็นมีเรา แล้วก็ เพราะว่าเรามันยึดถือขึ้นมาเป็นเรา แล้วยึดถือว่าการเกิดนี้เป็นเกิดของเรา จะเกิดจากท้องแม่หรือว่าเกิดจากอะไรก็ตาม หากเกิดมาทำไม เมื่อคุณยึดถือว่าคุณเกิดมา คุณก็เลือกเอาเองสิว่าจะเกิดมาทำไม ก็ยึดถือเอาได้อีกว่าเราจะเกิดมาทำไม ถ้าเขาว่าเกิดมาเพื่อจะมีความสุข ก็เอาสิ มันสุขจริงหรือไม่จริงดูให้ดี มันไม่ใช่ปัญหาของพุทธศาสนา เพราะว่าพุทธศาสนามันมุ่งแต่จะไม่ให้มีตัวเรา ให้มองเห็นเป็นไม่มีตัวเรา ก็เลยกลายเป็นว่าไม่มีใครเกิดมา เพราะฉะนั้นถามว่าเกิดมาทำไม มันก็ไม่ต้องถามสิ เพราะมันไม่ได้เกิดมา จะตอบตลบหลังก็บอกว่า เกิดมาเพื่อให้รู้ว่าไม่ได้เกิดมาโว้ย ก็จะสนุกเท่านั้นน่ะ เกิดมาเพื่อให้รู้ว่าไม่ได้เกิดมาโว้ย คือรู้ความจริงว่ามันไม่มีตัวตนที่เกิดมา แล้วเมื่อนั้นแหละก็ดับทุกข์ ดับทุกข์กันหมดตรงนั้นแหละ ดับทุกข์กันเมื่อรู้ความจริงว่าเราไม่ได้เกิดมาเว้ย ไม่ได้มีตัวเราที่อยู่เว้ย ก็ดับทุกข์ได้ ก็กลายเป็นเกิดมาเพื่อดับทุกข์ให้ได้ หรือจะโยกโย้ไปทางอื่นก็ได้ เกิดมาเพื่อได้ศึกษาเว้ย, ถ้าไม่ได้เกิดมาก็ไม่รู้ว่าจะศึกษาอะไรกัน เพราะมันมีเกิดมาจึงได้มีจิตมีกายมีอะไรสำหรับศึกษา ก็ศึกษาๆๆ ไปจน... ถ้ารู้จริงก็ไปอยู่จบที่ว่างที่ไม่มีใครเกิดมาอีก ที่ไม่มีตัวตน แต่นี่เราก็ไม่ได้ตั้งใจจะเกิด เพราะเมื่อเกิดเราไม่ได้ตั้งใจนี่ เมื่อเกิดมาแล้วเราจึงได้รู้สึกว่าเราเกิดมาแล้ว แล้วมีปัญหาขึ้นมาว่าเกิดมาทำไม แล้วใครมารับผิดชอบการเกิดอันนี้ เมื่อเราก็ไม่ได้ตั้งใจจะเกิดมา แล้วก็เกิดมาจากท้องบิดามารดา จนมาเป็นอย่างนี้อยู่แล้ว ควรจะตั้งปัญหาถามในรูปอื่นว่า ที่ได้เกิดมาแล้วอย่างนี้ควรจะทำอะไรต่อไป ควรจะทำอะไรดี ก็คล้ายๆ กันนะ ปัญหามันก็คล้ายๆ กัน ก็บอกว่าทำไปชนิดที่ทำให้ความเกิดนี้ไม่มีความทุกข์โว้ย แล้วมันก็ไปจบตรงที่ว่ารู้ว่าไม่ได้มีตัวตน ไม่ได้มีสัตว์ ไม่ได้มีบุคคล ไม่มีใครเกิดมา แล้วเรื่องมันก็จบทันที เพราะไม่มีใครเกิดมา มีแต่ความว่างจากตัวตน พระพุทธเจ้าท่านจึงไม่ให้ตั้งปัญหาอย่างนี้ ให้ตั้งปัญหาว่าจะดับทุกข์กันอย่างไร เดี๋ยวนี้จะดับทุกข์กันอย่างไร ถ้าใครรู้สึกว่ามีความทุกข์ ให้ตั้งปัญหากันแต่เพียงว่าเดี๋ยวนี้จะดับทุกข์กันอย่างไร มันก็ไปสู่จุดเดียวกันอีกแหละ คนจะดับทุกข์ได้ต่อเมื่อเข้าถึงความไม่มีตัวตน เข้าถึงความจริงที่ว่ามันไม่ได้มีตัวตน สัตว์ บุคคลอะไร ก็ดับทุกข์ได้ จุดสุดท้ายมันก็อยู่ที่ความรู้แจ้งโดยประจักษ์ว่าไม่มีตัวตน สัตว์ บุคคลอะไร มีแต่กระแสแห่งอิทัปปัจจยตา มันเป็นเช่นนั้นเอง เมื่อเป็นเช่นนั้นเองก็ไม่ต้องไปยินดียินร้ายอะไร ไม่ต้องไปชอบไปรัก มันอย่างนั้นเองตามกฎของอิทัปปัจจยตา ก็ไม่หลงเรื่องน่ารัก ไม่โกรธเรื่องน่าเกลียดน่าโกรธ แล้วก็ไม่กลัวเรื่องที่เห็นว่าน่ากลัว พระอรหันต์ไม่มีเรื่องที่ต้องกลัว ไม่มีเรื่องที่ต้องเศร้า ต้องรัก ต้องเกลียด ต้องโกรธ เพราะรู้ เพราะเข้าถึงไอ้ความจริงของความเป็นเช่นนั้นเองคือ ตถาตา หรืออิทัปปัจจยตาก็ได้ นี่มันลึกๆ ไกลเกินไปกว่าที่ชาวบ้านธรรมดาจะรู้ว่าเราเกิดมาเพื่อให้รู้สิ่งนี้ มันก็ยังงง ยังตีบตันอยู่ว่าเกิดมาทำไม เกิดมาทำไมๆ เรียกว่าวนงงอยู่ในอวิชชา มันมีสำนวนที่จะตอบได้มากมาย เกิดมาเพื่อให้รู้ว่าไม่ต้องเกิดเว้ย หรือว่าไม่มีเกิด ไม่มีการเกิดเว้ย แล้วก็หยุดจบกัน เป็นนิพพาน ไม่มีตัวตนไม่เกิดตัวตน
ถาม: คงพอจะมีเวลานะครับท่านอาจารย์
ตอบ: ห้านาที
ถาม: ครับ เมื่อกี้ผมได้ฟังที่ท่านอาจารย์พูดว่า การหันมาให้พุทธบริษัทเข้าใจสัมมาทิฏฐินั้นเป็นสิ่งที่ดี จะทำให้สามารถที่จะศึกษาต่อๆ ไปได้ และเมื่อมีการถามปัญหาขึ้นว่าเกิดมาทำไมนี้ กระผมเห็นว่าตรงประเด็นนี้แหละที่จะทำให้พุทธบริษัท หรือสัตว์โลกทั้งมวล ผู้ร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ได้เริ่มมีสัมมาทิฏฐิขึ้น หากเราได้อธิบายหรือชี้แนะให้เข้าใจว่าเกิดมาทำไมซึ่งเป็นภาษาโลกนั้นให้เขาได้เข้าใจภาษาธรรม คือการที่เขาไม่เข้าใจ โดยการอธิบายหลัก หรือว่าให้ทราบถึงคำว่ามีตัวตนอย่างแท้จริงแล้วเขาจะเริ่มเห็นสัมมาทิฏฐิได้อย่างแท้จริง
ตอบ: นั่นแหละคือสัมมาทิฐิ นั่นแหละคือสัมมาทิฐิ ก็เป็นว่าเกิดมาเพื่อให้มันมีสัมมาทิฏฐิก็ได้ แล้วเรื่องมันจะจบเอง (ครับ) จุดตั้งต้นมันอยู่ที่สัมมาทิฏฐิ เกิดมาให้เข้ามาถึงจุดอันนี้ เป็นเงื่อนต้นของพระนิพพาน เกิดมาเพื่อนิพพาน ก็ต้องตั้งต้นที่สัมมาทิฏฐิ เกิดมาให้รู้ว่าเกิดมาทำไม แต่กลายเป็นรู้ว่าไม่มีใครเกิดมา (ครับ) เป็นเพียงกระแสอิทัปปัจจยตา นี่คือสัมมาทิฐิอย่างยิ่ง เราจะตอบอย่างไรก็ได้ ก็ใช้วิธีเหมือนกับเซนนั่นแหละ ตอบอย่างไหนมันกินใจ สว่างไสว โล่งไปเลยก็ตอบอย่างนั้น ดังนั้นคำตอบต้องมีหลายสิบคำ ถูกทั้งนั้นใช้ได้ทั้งนั้น ถ้าถามว่าเกิดมาทำไม
ถาม: ครับ แล้วถ้าสมมุติว่าผู้ที่เขาเริ่มสนใจว่าเกิดมาทำไมนี้ ถ้าได้ศึกษาด้วยตนเองอย่างแท้จริงแล้วกระผมเชื่อว่าจะหาคำตอบให้กับตนเองได้ครับ
ตอบ: แน่นอนล่ะ ถ้าเขาสนใจคิดค้นอยู่เสมอ เขาก็จะพบคำตอบ (จะเข้าถึงคำว่าตายก่อนตาย) เช่นเดียวกับคนแรกในโลกน่ะใครมันสอน ทำไมเขาคิดได้ล่ะ ทำไมเขาค้นพบ เขานึกออกล่ะ เขาคิดจนเห็นล่ะ ไม่มีใครสอนนี่ เพราะก่อนนั้นก็ไม่มีใครรู้นี่ แล้วไอ้คนๆ แรกที่มันรู้ มันรู้ขึ้นมาได้โดยวิธีใด วิธีที่มันคอยสังเกตศึกษาอยู่โดยแท้จริง โดยตรงจุดตรงตัว จนรู้ว่าอะไรเป็นอะไร อะไรคืออะไร
ถาม: แล้วสุดท้ายนี้กระผมฝากเรียนเพื่อนสหธรรมจารีย์(นาทีที่1.43.41)ไว้ว่า กรุณาใช้ความคิดให้ลึกซึ้ง หมั่นคิดหาคำตอบให้ตัวเอง อย่าพยายามถามจนกว่าจะตันถึงที่สุดแล้ว เท่านี้ล่ะครับ
ตอบ: มันก็เป็นหลักที่ควรจะถือว่าอย่าชอบถาม ชอบคิดเองให้มาก ชอบถามมันก็ไม่คิด ก็รอไว้ถาม ถามแล้วก็ได้ฟัง ก็พอจะจำไว้ได้แต่ไม่เข้าใจ ไม่ทันไรก็ลืมอีก ถ้าถามก็ต้องถามจนให้มันเกิดความเข้าใจแจ่มแจ้งไปเลย แล้วมันก็ไม่ลืม ถ้าถามเพื่อจะจำไว้ๆ อย่างนี้มันคงลืมหมด ผมเคยพูดไว้ไม่น้อยกว่าหนึ่งครั้ง คราวไหนก็ไม่ทราบ เขาจะได้พิมพ์แล้วด้วยซ้ำ อาจารย์ของพระพุทธเจ้าชื่อนายคลำ นายคลำ ท่านไปเรียนกับอาจารย์คนนั้นคนนี้ไม่สำเร็จประโยชน์ เลิก ในที่สุดท่านไปคลำพบของท่านเอง อาจารย์ของพระพุทธเจ้าก็มี โดยแท้จริงชื่อนายคลำ นี่มันก็สมควรแก่เวลาแล้วขอปิดประชุม อากาศมันหนาวเยือกขึ้นมาแล้ว มันก็จะไม่ค่อยสบาย ในการคลำก็ต้องคลำถูกทิศทาง ถ้ามันเกิดออกไปทางอื่นแล้วมันก็คลำต่อไปสนุก ไปที่อื่นแล้ว มันไปหาพบจุดอื่น ปลายทางอย่างอื่น ต้องคลำหาดับทุกข์ๆ อยู่เรื่อยไป สุดแห่งความทุกข์