แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
คุณสุคำ : ขอขอบคุณพระคุณเจ้าที่เคารพและนับถือ แต่ผมไม่เคยได้พูดเลยนะ ไอ้เรื่องที่จะพูดกับคนลูกหลานอะไรนี่ไม่ได้เคยพูดเลย แต่ข้าพเจ้าพูดอาจจะพูดคำไทยภาษากลางน่ะไม่ชัดเจนนะ อาจจะติดอ๊ะๆอ่างๆก็ได้นะครับ แต่ว่าทุกท่านที่มาจากจังหวัดต่างๆ ท่านที่เคารพ ที่ว่าเราที่จะมาศึกษากับท่านอาจารย์ เพียงจะหาความรู้ความเฉลียวฉลาดมาประดับ สิ่งที่จะเป็นประโยชน์จะไปสอนลูกสอนหลานนั่นแหละคือมันมีความสำคัญ ไม่ใช่ว่าเด็กนะ ผู้ใหญ่ของเรานี่แหละเป็นตัวสำคัญที่สุด มาฟังคำสั่งสอนของท่านอาจารย์ทั้งหลายไม่เอาไปปฏิบัติเลย เพียงได้มาสนุกสนานเท่านั้นแหละ ไม่ใช่มาเอาความจริงไปทำงาน ไม่ได้ทำกันอย่างนั้นจริงๆเลย ทุกจังหวัดที่มานะ คือว่าสวนโมกข์ สวนโมกข์น่ะมา เหมารถเขามา เสียเงินเสียทองอะไรมากมาย แต่ความรู้ความเฉลียวฉลาดไม่เอาไปใช้เลย ไม่ประพฤติปฏิบัติเลย ทำอะไรทุกสิ่งทุกอย่างนี่ทำอย่าง…….(นาทีที่ 02:27) อย่างขนาดหนัก จะเอาไปทำปฏิบัติสิ เป็นตัวจริงๆนะไม่ค่อยมีเลย เพราะฉะนั้นกระผมนะอยากขอวิงวอนท่านทั้งหลายจงเอาไป ไปทำเป็นจริงๆเลย ปฏิบัติจริงๆเลย การปฏิบัตินั่นแหละทุกสิ่งทุกอย่างต้องทำการทำงาน ทำอะไรทุกสิ่งทุกอย่าง ส่วนมากเราไม่ได้เอาไปทำ แต่เราพูดได้ พูดเก่งเรียนเก่งอะไรเก่งทั้งนั้นแหละแต่ปฏิบัติไม่เก่งเลย อย่างนี้นะกระผมเสียใจมากที่สุด เพราะจะเล่าศีลธรรมขึ้นมาๆนี่มันก็พูดแต่คำปากเท่านั้นนะ ตัวของเราจริงๆไม่ทำเลย บอกให้คนอื่นทำ แนะให้คนอื่นทำ ตัวเราไม่ทำเลย ตั้งพุทธสมาคมขึ้นมาก็ไม่เห็นประโยชน์อะไรเลย เพียงเสนอญัตติอย่างนั้นอย่างนี้ อย่างนั้นอย่างนี้ก็เปล่า เงียบจี๋เลย อย่างนี้พวกท่านทั้งหลายที่เคารพที่รักทั้งหลายเป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ให้ประพฤติปฏิบัติอย่างนี้แหละเราจะมีประโยชน์ เอ้า, เราลองคิดดูสิ ทุกสิ่งทุกอย่างของที่ไม่เคยใช้ก็ใช้ ของที่เราไม่เคยกินก็กินนะ เพื่อโอ้อวดซึ่งกันและกัน เพราะข้าพเจ้าพูดนี่อาจจะหยาบคายอย่างที่สุดก็ขออภัยนะ ที่ต้องพูดอย่างนี้นี่อาจจะมีความหยาบคายอย่างที่สุดนะ เพราะว่าเขาก็จะต้องการจะทำอย่างไร เพราะตัวเราเองไม่ทำงาน บอกให้คนอื่นทำงาน ทุกสิ่งทุกอย่างนะ ทุกสิ่งทุกอย่างแหละ อะไรทุกสิ่งนี้มาก็มาสนุกสนานเฮฮาโลเลกัน ทุกสิ่งทุกอย่าง อย่างว่าทำอะไรทุกสิ่งทุกอย่างนี่ อย่างจะทำงานนะทำเป็นส่วนที่ฟุ้งเฟ้อ อย่างโอ่อ่าอวดคนอื่นว่าได้ทำอย่างนั้นได้ทำอย่างนี้ ได้ทำบุญอย่างนั้นได้ทำบุญอย่างนี้ ปั้ด, เสียประโยชน์เปล่าๆเสียเงินเปล่าๆ อ้างว่าเศรษฐกิจไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ แหมเงินล้นเหลือเลย บางคนจ่ายอย่างงานศพนี่เสียเงินตั้งสามสี่หมื่น ห้าหกหมื่นก็ยอมเสีย แต่ประพฤติปฏิบัติไม่ดีเลย นี่กระผมก็อยากจะพูดอย่างนี้ ไม่ได้พูดมากมายอะไรนะ ขอให้พี่น้องทั้งหลายทุกคนนะก็พยายามว่าจะเอาไปใช้ได้หรือไม่ ถ้าใช้ไม่ได้ก็อันนั้นเป็นเรื่องของท่านทั้งหลายที่จะประพฤติปฏิบัติ ตั้งใจกันมานะ ผมมาจากลำปาง จากสงขลาก็มี ที่ไหนก็มีปัตตานีก็มี ยะลาก็มี ที่ไหนก็มีเยอะแยะแหละ แต่ยังไม่ มันยัง ยังไม่เป็นประโยชน์กับธรรมะเลยนะ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราทำมานี่เราจะหาความสงบ ก็ว่ามาสวนโมกข์ สวนโมกข์ เพื่อว่าจะขูดเกลาให้มันเกลี้ยงให้หมด ให้มันเกลี้ยงให้หมดไปหลุดไปไม่มีเลย จะยิ่งเพิ่มฐานะขึ้นไป ยิ่งมากขึ้นไป มากขึ้นไป มากขึ้นไปอย่างทุกวันนี่ลองคิดดูสิ ทุกสิ่งทุกอย่างทำอะไร ทุกสิ่งทุกอย่างทำให้อวดโอ่ โอ่โถงแก่คนทั้งหลายให้รู้ว่าเมื่อทำอะไรเป็น ไม่ประหยัดแล้วก็พูดว่าเอ้อ, รัดเข็มขัด รัดเข็มขัด เปล่า แหมรวบเข้า เพราะว่าคนทุกคนนะเบียดเบียนซึ่งกันและกัน เราไปพูดว่าเด็กไม่ดีไม่ได้ผู้ใหญ่ไม่ดีนะครับ ผู้ใหญ่นี่ตัวร้ายที่สุดนะ ผมอยากอบรมผู้ใหญ่ไม่ใช่อบรมเด็กนะ ผู้ใหญ่ตัวๆสำคัญที่สุด ไม่ใช่ว่าไอ้ตัวดีนะตัวไม่ดีเลย ผมพูดหยาบคายอย่างนี้แหละ ผมขออภัยนะ ผมก็จำเป็นที่จะพูดอย่างนี้แหละเพราะเราพูดธรรมะแล้ว เราต้องจำเป็นพูดอย่างนี้แหละ ผมก็มีคำพูดเท่านี้แหละ ขอขอบคุณทุกคนเพื่อเป็นที่เคารพและนับถือ และพระคุณเจ้าและท่านทั้งหลายที่มาร่วมๆ ร่วมทำงานทำบุญวันนี้เพื่อเป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติ ไม่ใช่ประโยชน์ของข้าพเจ้าคนเดียวนะครับ ประโยชน์ทั้งหมดกันนะขอให้ความทุกสิ่งทุกอย่างเป็นประโยชน์กับสิ่งที่ประเทศชาติของเรา ที่เราร้องขอว่าเรารักชาติๆนะเรารักแต่คำปากนะ ใจเราไม่รักเลยนะ ยิ่ง ยิ่งพูดอย่างนี้รักชาติ รักศาสนา พระมหากษัตริย์นี่ผมว่าน้อยคนที่สุด ร้อยหนึ่งมีคนเดียวเท่านั้นแหละจะรักอย่างนี้ ผมขอพูดอย่างนี้ พูดหยาบๆอย่างนี้ พูดตรงๆนะ ไม่ได้ ไม่ได้พูดอ้อมค้อมอะไรเลย เราพูดต่อหน้านี่ ต่อหน้ากันทั้งหมดเลย ต่อหน้าพระคุณเจ้าด้วย ขอขอบพระคุณ ผมก็ขอยุติลงเพียงเท่านี้แหละครับ
หมอประยูร : ขอประกาศให้ทราบครับว่าพ่อเลี้ยงนี่อายุแปดสิบแล้วนะครับ แต่พอดูท่าแล้วผมอายเลยครับคือนึกว่าสิบแปดครับ นะครับคือนึกว่าสิบแปด คือท่าทางนี่ยังแข็งแรงแหละ นี่แหละคือผู้ปฏิบัติแท้ ปฏิบัติธรรม ปฏิบัติตรง ปฏิบัติจริงด้วย เอาเข้าไปสินะครับ อย่างนี้แหละครับเขาจึงเรียกว่ามันจะได้ผล ได้ผลแม้แต่สุขภาพอนามัยก็แข็งแรง ท่านที่อายุยังไม่ทันถึงแปดสิบดูๆไว้บ้างนะครับว่าจะทำแข็งแรงได้เหมือนท่านหรือไม่ นะครับ นี่แหละครับธรรมะมันช่วยส่งเสริมให้อย่างนี้ คนที่มีความปีติในธรรม ภาคภูมิในธรรมนะครับมันมีกำลังจิตใจเข้มแข็ง ร่างกายก็แข็งแรงตามไปด้วย ผมในฐานะหมอก็อดเสียไม่ได้ที่อยากจะพูดส่งเสริมอยู่ตลอดเวลาเลยครับว่าปฏิบัติธรรมนี่แหละมันเพื่อสุขภาพให้แข็งแรงได้ จิตใจมันสงบสบายเสียอย่างเดียว คิดถูกแล้วอย่างมันทำถูก แล้วมันก็มันแข็งแรงไปเองแหละครับ เพราะฉะนั้นดูตัวอย่างพ่อเลี้ยงนี้เป็นต้น จึงได้เน้นนักเน้นหนาว่าเรามาช่วยกันปฏิบัติเถิด อย่ามัวแต่พร่ำพูดๆ พูดๆ พูดกันไป พูดกันมาจนน้ำลายนองวัดไปก็ไม่ได้เรื่องนะครับ ผมก็ยังจำคำที่พระเดชพระคุณท่านอาจารย์เขาได้สอน มีอยู่ในตำราเยอะแยะไปเสียหมดแล้วว่าไอ้คนที่มัวแต่พูดมัวแต่เรียน แล้วก็ไม่ยอมปฏิบัตินั้นก็เหมือนกับคนเลี้ยงไก่แล้วเอาไข่ไปให้หมากินนั่นน่าฟังเหมือนกันนะครับ เหมือนกับเลี้ยงไก่แล้วเวลาไก่ไข่แล้วไม่กิน เราเอาไปให้หมากินเสีย นั่นแหละครับดูแล้วมันโง่กันแค่ไหน เพราะฉะนั้นการปฏิบัตินี้เป็นสิ่งที่เราละทิ้งเสียไม่ได้แล้วนะครับ เป็นหัวใจ เป็นตัวแท้ที่จะทำให้ศีลธรรมกลับมาได้นะครับ ตัวเราเองก็จะหลุดพ้นได้เกลี้ยงได้ มาถึงสวนโมกข์ก็ด้วยการปฏิบัติอย่างที่พ่อเลี้ยงได้เน้นแล้วเน้นอีก พ่อเลี้ยงไม่ได้พูดจาหยาบคายอะไรเลยนะครับ ผมก็เรียนให้ทราบว่าท่านพูดความจริงเท่านั้นนะ พูดความจริงอย่างเดียวไม่ได้พูดจาหยาบคาย พูดความจริงที่เป็นจริงอยู่เดี๋ยวนี้ด้วย แล้วมันจริงๆอย่างที่พ่อเลี้ยงว่า เพราะฉะนั้นเป็นสิ่งที่เราต้องช่วยกันคิดช่วยกันนึก แล้วก็ช่วยกันเอาไปปฏิบัติต่อทุกๆท่านกันนะครับ นะครับนี่เป็นขอบคุณ ขอขอบคุณพ่อเลี้ยงอีกสักครั้งหนึ่ง เอาแหละครับทีนี้ตอนถึงตาคุณเปงฮั้วล่ะนะครับว่าพระเดชพระคุณท่านอาจารย์ได้มอบพระให้แก่พวกเราไปแล้วนะครับ คนละองค์ๆแล้วว่ามันเป็นเช่นนั้นเองแหละ ยู่สีถ้าผมจำไม่ผิดนะครับยู่สี ยู่สี เพราะฉะนั้นคุณเปงฮั้วก็ขึ้นชื่อลือชามาแล้วในทางปลุกเสกพระนะครับ ในทางปลุกเสกพระ เพราะฉะนั้นช่วยมาปลุกเสกพระยู่สีที่อาจารย์ให้แขวนไว้ที่คอนี่ให้แก่พวกเราทุกๆท่าน ให้พระนี้มันขลังศักดิ์สิทธิ์จริงๆ สามารถจะช่วยเหลือพวกเราให้อยู่รอดได้จริงๆ หลุดพ้นได้จริงๆ จากพระที่พระเดชพระคุณท่านอาจารย์ได้มอบให้วันนี้ คุณเปงฮั้วมาช่วย มาช่วยกันเสกเป่ากันต่อไปขอเชิญครับ
คุณเปงฮั้ว : ขอนมัสการพระคุณเจ้า สวัสดีท่านผู้เคารพ วันนี้เรามาพบกันอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งเป็นเวลาที่เรากำลัง กำลังจะต้องการอยู่คือเวลาที่จะถึงปีใหม่ ซึ่งเวลานี้ใจคอก็เต้นอย่างตึกตักๆ เพราะเวลามันขาดอีก ๑ ชั่วโมงนะครับ วันนี้เราก็ได้ของขวัญ ได้จากพระคุณเจ้าซึ่งเป็นอาจารย์พระ ก็ท่านก็ให้ของขวัญเราคือว่าคำที่เรียกว่ายู่สี เรียกว่า ตถตา ตถตา คือให้ ให้คำนี้ไว้ แต่คำนี้นะครับคือคำนี้นะถ้าเราไม่ค่อยเข้าใจนะมันก็ไม่ได้ประโยชน์ แต่ว่าถ้าเข้าใจแล้วเป็นประโยชน์อย่างยิ่งนะครับ เป็นประโยชน์ ทำไมจึงเรียกว่ายู่สี ก็เพราะว่าเป็นอย่างนั้นแหละ เป็นอย่างนั้น แล้วเป็นอย่างนี้นะอย่างที่อาจารย์ว่า ที่บอกว่าเป็นอย่างนั้นหรือเป็นอย่างนี้นั้นคือหมายความว่าเมื่อเหตุการณ์มันปรากฏขึ้นมาแล้วเราจึงบอกว่าเป็นอย่างนั้นหรือเป็นอย่างนี้ ที่จริงนะถ้าเราเกิดเจ็บป่วยขึ้นเราก็ ตอนที่เราเจ็บป่วยเราก็รู้ว่าอ๋อ, เจ็บป่วยนะมันเป็นไปได้ มัน มันจะต้องเจ็บป่วย ฉะนั้นเวลาเจ็บป่วยเราก็รู้ว่าอ๋อ, เป็นอย่างนั้นแหละ เพราะว่าเราสามารถที่จะหัวเราะได้ก็เพราะว่าเราเคยร้องไห้มา เวลาเราร้องไห้น่ะก็เพราะว่าเราหัวเราะ เพราะเราเคยหัวเราะมาแล้วแต่นี่เราต้องร้องไห้ ฉะนั้นถึงคราวที่เราหัวเราะหรือถึงคราวที่เราร้องไห้ นะครับเราก็ว่าเป็นอย่างนั้นแหละ ก็เพราะว่าการที่เราร้องไห้หรือหัวเราะนั่นน่ะมันเป็นเรื่องที่จะต้องเป็นไป เพราะว่าเรา เราไม่ใช่พระอรหันต์นะ ถ้าพระอรหันต์ก็ไม่หัวเราะ ก็ไม่ร้องไห้ด้วยนะครับ ไม่ร้องไห้ ฉะนั้นถ้าเราหัวเราะด้วย เราร้องไห้ได้ หรือเราหัวเราะได้นี่นะเราก็เป็นอย่างนั้นแหละ พออย่างนี้ล่ะก็ทำให้เรานี่ไม่มีการหัวเราะไม่มีการร้องไห้ นั่นแหละเขาเรียกว่าเป็นอย่างนั้นแหละ ทำไมจึงพูดอย่างนี้นะครับ เพราะว่าเราหัวเราะนั่นน่ะเราเกิดพอใจขึ้นมา ดีใจขึ้นมา ตื่นเต้นขึ้นมา แต่ไอ้ความดีใจหรือความตื่นเต้นจากที่เราประสบในสิ่งนั้น เพราะว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งซึ่งเราปรารถนา ที่เราปรารถนานั้นนะ ปรารถนานั่นจะเสียความปรารถนา จนไม่ได้ปรารถนานั้นเราก็เกิดร้องไห้ ฉะนั้นการที่เราหัวเราะหรือการที่เราร้องไห้นั้นน่ะก็เพราะว่าเราเกิดจากความปรารถนาหรือไม่ปรารถนา ฉะนั้นเมื่อมีการปรารถนาและไม่ปรารถนานั้นน่ะเขาเรียกอยู่ในวัฏฏะ อยู่ในวัฏฏะจะต้องหมุนเวียนว่ายตายเกิดอยู่อย่างนี้ ที่อาจารย์ให้คำว่า ตถตา นั้นน่ะยู่สีนั่นน่ะหมายความว่าพ้นจากวัฏฏะ อันนี้ประเสริฐยิ่งนะ ถ้าท่านรับเอาไว้ได้นะครับเป็นของประเสริฐ เราจะได้เงินเป็นหลายหมื่นล้านหลายพันล้านก็สู้คำนี้ไม่ได้นะ สู้คำนี้ไม่ได้เพราะว่าเงินเหล่านั้นมันก็อาจจะเป็นของนอกกาย มันมีแล้วมันก็อาจจะไม่มี อาจจะหมดไป อาจจะเสียไปได้ หรือ แต่ว่าคำนี้แล้วไม่มีหาย เพราะว่ามันเป็นสัจธรรม มันเป็นอมตะ เขาเรียกอมตะ ฉะนั้นถ้าเราได้คำเป็นอมตะอันนี้ติดตัวไว้ ไม่ใช่ไปแขวนคอนะครับ แขวนคอเราก็แย่นะครับ เพราะว่าถ้าเรามีอะไรแขวนคอนะหมายความว่าเราถูกผูกมัด เพราะว่าเราถูกผูกมัด แต่ว่าเราเอาเก็บไว้ในใจดีกว่า ที่อาจารย์ให้มาวันนี้เราเก็บไว้ในใจนะครับ เก็บไว้ในใจ ก็เป็นเซฟ เป็นเซฟที่ดี เป็นตู้เซฟที่ดีคือเก็บไว้ในใจนี่แหละมันไม่มีใครขโมยไปได้ แล้วเราก็ไม่ลืมนะครับ ไม่ลืมวางไว้ที่โน่นที่นี่ บางคนแขวนพระแล้วก็เวลาจะเข้าห้องส้วมต้องเอาไว้ข้างนอก แล้วเวลาเข้าห้องส้วมออกมาแล้วพระก็หาย มันเป็นอย่างนี้ครับ แต่ว่าถ้าเราเก็บของขวัญที่อาจารย์ให้ไว้ในใจนี่แหละเราไม่ต้องไปแขวน แล้วไม่ต้องไปถอดแขวนที่ไหนนะครับ เป็นอย่างนี้ครับ ฉะนั้นการที่วันนี้นะเราได้คำว่ายู่สีจากอาจารย์นี้ อาจารย์ที่ให้นี้นะ เราก็ระลึกไปอีกครั้งหนึ่งว่าสิ่งทั้งหลายซึ่งเราได้รับการนับถือนะครับ เราได้รับการเคารพ ก็มีสิ่งซึ่งไม่เคารพตามหลังอยู่เป็นเงา เป็นเงาตามตัวมา ซึ่งเวลานี้นะครับอาจารย์เราก็มี เป็นผู้ที่เขาเคารพกันอย่างยิ่งก็มีเงานะครับ มีเงาตามมาซึ่งไม่เคารพ ฉะนั้นที่มีสิ่ง มีผู้เคารพมีผู้ที่ไม่เคารพนั้นนะมันก็ยู่สีอีกแหละครับ มันก็เป็นเรื่องเป็นอย่างนั้นแหละ ฉะนั้นเรื่องที่คืนนี้ผมจะเสนอนี้นะมันเป็นเรื่องแมลงปอ แมลงปอมาเขย่าเสาหินนะครับ คือมีแมลงปอนี่เขย่าเสาหิน คือเข้าใจว่าเสาหินนี่สามารถที่จะเขย่ามันได้ แมลงปอเข้าใจนะครับ คนไทยก็ชอบที่จะพูดว่าแมงมุมขยุ้มหลังคา คือแมงมุมนี่นะเข้าใจว่าไอ้หลังคานี่เราขยุ้มทีเดียวมันก็จะ จะพัง ขยุ้มหลังคา ฉะนั้นไอ้ ไอ้เรื่องนี้ต้องเอาไว้ทีหลังครับ เอาไว้ทีหลัง ตอนนี้ก็ ก็มีนักพูดหลายคนที่จะต้องเสนอตัวอยู่ ฉะนั้นก็เพียงพูดแต่เพียงแค่คำว่ายู่สี แล้วก็อย่างนั้นแหละอย่างนี้แหละ เอา เอาเท่านี้ก่อนครับ ขอบพระคุณครับ
หมอประยูร : มันก็อย่างนั้นแหละ สำหรับเวลาเราเกิดอะไรขึ้นมาแล้วก็อย่างนั้นแหละ จะได้ไม่ต้องร้องไห้ นี่คือพระอย่างนั้นแหละพระยู่สี มันได้ประโยชน์อย่างนั้น ได้ประโยชน์สำหรับว่าอย่างนั้นแหละ แล้วมันจะได้ไม่ต้องร้องไห้นะครับ ทีนี้ผมกลัวอย่างเดียว ชักเป็นห่วงเหมือนกันนะครับว่าไอ้พระยู่สีนี่มันจะเบี้ยวได้เหมือนกันนะ กลัวจะเบี้ยวเอาเหมือนกันนะครับ มันจะอย่างนั้นแหละเสียเรื่อยไปนะครับ มันจะอย่างนั้นแหละ อย่างนั้นแหละเสียเรื่อยไป มันจะทำอะไรผิดก็เอ้อ, อย่างนั้นแหละ มันก็อย่างนั้นแหละ มันจะอย่างนั้นแหละเสียเรื่อยไป มันมีทางที่จะเบี้ยวได้เหมือนกันนะครับ หรืออย่างไรเสียก็ผมใคร่เชิญคุณวิโรจน์เถอะครับ คุณวิโรจน์ครับ พระไตรปิฎกเคลื่อนที่เหมือนกันครับ ขอเชิญคุณวิโรจน์ครับ ขอเชิญคุณวิโรจน์หน่อยครับ ลองมาวิจารณ์กันสิว่ายู่สีอย่างนั้นแหละนี่พระนี้จะเบี้ยวได้ไหมครับนะครับ เราใช้ภาษา ภาษาสมัยใหม่กันว่ามันเบี้ยว มันเบี้ยว เบี้ยวได้หรือไม่ได้ครับ มาคุยกันเล่นดีกว่าครับ
คุณวิโรจน์ : ท่านอาจารย์ แล้วก็พระคุณเจ้าที่เคารพ แล้วท่านผู้ฟังที่เคารพทุกท่าน สิ่งที่น่าจะนำมาพิจารณากันก็คือว่าเรากำลังจะเริ่มต้นปีใหม่ ทีนี้สิ่งที่คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์ก็คือว่าเราจะช่วยกันทำอย่างไร อย่างที่หมอประยูรได้ปรารภในตอนแรกว่าเราจะช่วยกันทำอย่างไรที่จะให้บ้านเมืองของเรานี่มันน่าอยู่หรือสงบร่มเย็นมากขึ้น โดยที่ทางมูลนิธิเผยแพร่ชีวิตประเสริฐนี้ได้รับโอกาสจากทางราชการให้ไปช่วยให้ความรู้ทางด้านศีลธรรมแก่ครู ซึ่งเราก็ได้ไปทำงานมาแล้วร้อยกว่าแห่ง แล้วก็ได้ประสบการณ์บางอย่างที่จะมาเล่าสู่กันฟังบ้างเล็กน้อย ก็ตรงที่ว่าเมืองไทยเราเป็นเมืองพุทธ แต่ว่าครูของเราส่วนใหญ่นั้นดูเหมือนจะห่างจากพุทธเป็นจำนวนมาก ก็หมายความว่าไอ้ที่ว่าห่างในที่นี้ก็หมายความว่าไม่รู้ทิศทางเดินของชีวิต ผมอยากจะเรียนว่าอย่างนี้ครับ ทีนี้เราก็รู้สึกวิตกว่าเมื่อครูเองนี่ยังไม่รู้จักทิศทางเดินของชีวิตว่าชีวิตนี้ควรจะเดินไปทางไหนทิศไหน แล้วเพื่อจะไปได้อะไรในที่สุด แล้วจะไปนำเด็กได้อย่างไร มันก็ดีอยู่อย่างตรงที่ว่าทำให้เกิดกำลังใจแก่คณะ ทั้งพระคุณเจ้าที่ ที่สวนโมกข์นี้ที่ผมได้อาราธนาไปเป็นองค์บรรยายหลายองค์ด้วยกัน แล้วก็ทั้งที่อื่นด้วย ก็เกิดกำลังใจว่าเราจะต้องทำงานกันให้เข้มแข็งมากขึ้น หนักแน่นมากขึ้น คือว่าต้องช่วยกันปลุก ก็เลยมองเห็นต่อไปว่าไอ้การที่บ้านเมืองของเราจะดีได้ สงบร่มเย็นขึ้นมาได้นั้นต้องปลุกให้ครูตื่นขึ้นมาให้ได้ก่อน ด้วยเหตุว่าถ้า ถ้าครูตื่นขึ้นมาได้ก็หมายความว่าจะได้ไปนำเด็กในทางที่ถูกต้องได้ ทีนี้สิ่งหนึ่งที่เราจะไปปลุกครูนั้นนะ สิ่งหนึ่งที่ ที่ผมเอง ถ้าผม ผมได้มีโอกาสพูดหรือได้มีโอกาสไปทำความเข้าใจกับครู สิ่งนั้นก็คือว่าต้องพยายามช่วยครูให้รู้ว่า เกิดมาทำไม แล้วนั่นแหละถ้า ถ้ารู้ว่าเกิดมาทำไมแล้วรู้ว่าไอ้จุดหมายสูงสุดของชีวิตนี้มันคืออะไรกันแน่ หรือว่าไอ้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์เราควรจะได้คืออะไรกันแน่ ถ้ารู้อย่างนี้ได้ รู้ได้อย่างถูกต้องแล้วนี่ไอ้คำว่ายู่สี หรือ suchness หรือความเป็นอย่างนั้นแหละมันก็จะไม่เบี้ยวอย่างที่หมอประยูรกำลังวิตกอยู่ แต่ถ้าหากว่าไม่รู้เป้าหมายของชีวิตเบี้ยวแน่ ผมรู้สึกว่ามันเบี้ยวได้ด้วย เหมือนกับจิตว่างที่มันๆ มันอยู่ในลักษณะที่ว่าเป็นจิตว่างที่ประกอบด้วยสัมมาทิฏฐิ หรือว่าจิตว่างที่ประกอบด้วยมิจฉาทิฏฐิ ก็คือจิตว่างอันธพาลนั่นเอง ทีนี้เราก็มองดูมองดูว่าเมื่อเราต้องการให้บ้านเมืองของเราสงบร่มเย็น ทีนี้เราซึ่งเป็นสมาชิกหน่วยหนึ่งๆของสังคมนี่เราจะไม่ทำตัวเราเอง นี่คือผมเล่าประสบการณ์นะครับว่า ว่าไปชี้แจงกับพวกครูว่าถ้าหากว่าเราซึ่งเป็นสมาชิกหน่วยหนึ่งๆของสังคมเราไม่ช่วยทำตัวเราเองให้มันสงบให้มันเย็นก่อน แล้วสังคมมันจะสงบมันจะร่มเย็นได้อย่างไร เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าหน้าที่ที่เราจะต้องทำอย่างรีบด่วนที่สุดก็คือว่าจัดการกับตัวเองก่อน ก็นี่แหละครับเรา การที่เราไปทำงานมาร้อยกว่าแห่งนี่มันก็ปรากฏผลว่ามีครูเป็นจำนวนหนึ่ง จำนวนหนึ่งจะเท่าไหร่นี่ผมก็ประเมินยาก ก็รู้สึกว่าตื่นตัวขึ้นมาบ้างพอสมควร โดยเฉพาะในเขตการศึกษา ๑๐ คือในเขต เขตการศึกษา ๑๐ นี่อยู่ที่จังหวัดอุบลราชธานี ก็ปรากฏว่าหลายจังหวัด มี ๖ จังหวัดซึ่งขึ้น ขึ้นอยู่ในเขต เขตการศึกษา ๑๐ เกิดมีห้องพระหรือห้องจริยธรรมขึ้นในโรงเรียน แล้วมีการจัดกลุ่มตั้งเป็นชมรมพุทธขึ้นมาในโรงเรียนหลายแห่ง เท่าเรา เท่าที่เราได้ประสบได้ไปพบมา เพราะฉะนั้นนี่มันก็อยู่ตรงที่ว่ามีความเห็นถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องของชีวิต เกี่ยวกับเรื่องของโลกมากน้อยแค่ไหน ถ้าเกี่ยว ถ้ามีความเห็นถูกต้องในเรื่องของชีวิตของตัวเองกับเรื่องของโลกถูกต้องแล้วคำว่า suchness หรือว่ายู่สี หรือว่าความเป็นอย่างนั้นแหละมันไม่เบี้ยว แต่ว่าถ้าเข้าใจชีวิตของตัวเองก็ยังผิดอยู่ เข้าใจโลกก็ยังผิดอยู่ ไอ้คำว่ายู่สีนี่มีโอกาสที่จะเบี้ยวได้ เอาแหละครับผมก็ขอเสนอความเห็นเพียงแค่นี้ก่อนครับ ขอขอบคุณครับ
หมอประยูร : ขอบคุณคุณวิโรจน์มากครับ นี่ได้จากประสบการณ์นะครับที่คุณวิโรจน์ไปพบมา แล้วก็ถูกต้องอย่างที่สุด คือที่ผมเป็นห่วงๆไม่ใช่อะไรหรอกครับ มันเช่น เพราะเคยประสบการณ์เรื่องจิตว่างอันธพาลมาแล้ว แล้วมีคนเยาะเย้ยถากถางอาจารย์ พระเดชพระคุณท่านอาจารย์อยู่มาสมัยหนึ่งนะครับ เดี๋ยวนี้ชักเงียบไปแล้วนะครับ เยาะเย้ยเป็นแบบถากถางแบบจิตว่างอันธพาลอยู่ตลอดเวลา อะไรๆ อะไรก็ทำด้วยจิตว่างหมดนะครับ แม้จะไปเตะคนต่อยคนก็ต่อยด้วยจิตว่างหมด เดี๋ยวก็ยู่สีหมดอีกเหมือนกันแหละ เดี๋ยวมันก็เป็นเช่นนั้นแหละ เขาบอกมาเดี๋ยวๆก็ไปเปลี่ยนเป็นบ้านหลังเบ้อเริ่มร้อยล้านพันล้านก็เป็นเช่นนั้นแหละ เขามีเงินนี่ก็เป็นเช่นนั้นแหละ เดี๋ยวมันก็เบี้ยวกันไปหมดนะครับ เพราะฉะนั้น แต่พอลงท้ายอย่างคุณวิโรจน์ว่านี่นะครับถูกต้องอย่างที่สุดครับ ถ้าเรามีเป้าหมายของชีวิตไว้แล้วนะครับ ถ้าทุกคนเข้าใจเป้าหมายของชีวิตของตัวเองแบบชาวพุทธนะครับ ตั้งเป้าหมายของชีวิตแบบชาวพุทธไว้แล้ว กำกับไว้แล้วแล้วก็มันจะมุ่งไปสู่สิ่งนั้นแหละครับ จะไม่มีทางพลาดได้ ทีนี้ปัญหาที่ว่าเป้าหมายของชาวพุทธนั่นสิครับมันควรจะเป็นอะไร ถ้าหากว่าชีวิตคือการเดินทาง ชีวิตเป็นสิ่งที่ต้องพัฒนาให้ได้โดยเฉพาะปีใหม่ ปีใหม่ทีหนึ่งต้องพัฒนาชีวิตให้มันใหม่เข้าไปๆ ไม่ใช่ชีวิตเวียนมาบรรจบครบรอบอย่างพระเดชพระคุณท่านอาจารย์ได้พูดแล้ว เมื่อตอนตั้งต้นเหมือนกับเชือดควาย จะมาเป็นควายกันหรืออย่างไร เวียนมาบรรจบครบรอบทีหนึ่งก็เมาทีหนึ่ง ก็คงเป็นควายกันไปอีกแล้วสิเพราะมันครบรอบทีก็เมาที ก็เมาอยู่ในรอบๆปีอยู่แล้วยังเมาอีก วันครบรอบอีก ไอ้อย่างนี้มันก็ไม่มีเป้าหมายในชีวิต เห็นไหมครับ ชีวิตมันไม่ได้พัฒนา ชีวิตมันไม่ได้เดินทาง ชีวิตมันไม่ได้ไปข้างหน้า ทีนี้มันมีปัญหาว่าไอ้เป้าหมายหรือว่าจุดมุ่งหมายของชีวิตเราแบบชาวพุทธนั่นสิครับมันจะเอาอะไรกัน ไปสู่ที่ไหนกัน สิ่งไหนที่ควรพัฒนากันแน่ ควรจะเจริญ ที่ว่าเจริญๆกันแบบไหน แล้วควรจะพัฒนากันแน่ไปอย่างไร นี่น่าจะเอามาพูดกันต่อสิครับนะครับ ให้เห็นให้มันแจ่มแจ้งไปเลยว่าทุกคนจะต้องมีเป้าหมาย จะต้องมีจุดมุ่งหวัง จะต้องมีสถานีปลายทาง ถ้าชีวิตนี่คือการเดินทางแต่เดินแบบไม่รู้ว่าทิศมันอยู่ตรงไหน ทิศที่จะไปทางไหน ปลายทางอยู่ไหน แล้วเดินอย่างไรเล่าครับ มันก็เดินตกคู เดินวกๆวนๆหลงอยู่ในป่านี่แหละไม่รู้ทางจะออกกันได้ เพราะฉะนั้นอันดับต่อไปนี้ก็น่าจะมาพูดกันให้ชัดเจนสิครับว่าเป้าหมาย หรือจุดมุ่งหมายของชีวิตนั้นควรจะเป็นอย่างไรตามแบบชาวพุทธของเรานะครับ ถ้าเป้าหมายของ ของคนอื่นนะหรือเป้าหมายพวกอื่นหรือเป้าหมายผู้ที่มีกิเลสทั้งหลายนั้นมันไม่แน่นะเยอะแยะไปหมด เพราะฉะนั้นขอเชิญได้มาคุยกันถึงเรื่องเป้าหมายนะครับของชีวิตก็คือคุณเชาว์ครับ นะครับคุณเชาว์ก็ตอนนี้ก็ชักใกล้ฝั่งเป้าหมายมาแยะแล้วสมควร ขอเชิญคุณเชาว์ครับ คุณเชาว์ ทรัพย์พงษ์ ครับ ต้องใส่นามสกุลสักหน่อยเดี๋ยวจะไม่มา หลายเชาว์เหมือนกันนะครับ ขอเชิญคุณเชาว์ครับ เรามาคุยกันถึงเป้าหมายชีวิตเสียบ้าง หรืออย่างคุณวิโรจน์ได้พูดนำมาแล้วเมื่อสักครู่บอกเกิดมาทำไมนี่นะครับ คือเป้าหมายชีวิตที่สำคัญสำหรับจะได้มุ่งกันครับ
คุณเชาว์ : นมัสการพระเดชพระคุณเจ้าท่านอาจารย์ และท่านพระภิกษุที่เป็นสาวกขององค์พระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า และท่านเพื่อนที่ร่วมธรรมในคืนวันนี้ ที่ได้มาในวันสุดท้ายของที่เราสมมติตามที่พระเดชพระคุณได้บอกว่าเป็นวันที่สุดสิ้นของปี ๒๒ และคุณหมอประยูรก็ได้คิดขึ้นมาว่าเราจะเดินทางไปอย่างไร และถึงเป้าหมายของชีวิตอย่างไรโดยให้กระผมมาเป็นผู้เริ่มในหัวข้อนี้ สำหรับความรู้สึกของผมซึ่งทุกคนก็ ที่มาแห่ง ณ สถานที่นี้ ก็สถานที่นี้เป็นนามอันมงคลสำหรับที่จะทำให้หลุดพ้น และถึงเป้าหมายของชีวิตอันเป็นหลักชัยแห่งชีวิตที่จะประสบแห่งความสำเร็จ ก่อให้เกิดประโยชน์แก่ชีวิตเป็นอย่างมาก ถ้าเราจะมองตั้งแต่บทต้นของในพระไตรปิฎกทั้งหมดก็จะขึ้นต้น มีบทต้นและบทสุดท้าย พระเดชพระคุณเจ้าได้บอกหัวใจบทสุดท้ายว่า ตถตา ก็เป็นอย่างนั้น แต่ทีนี้ไอ้บทที่เราจะต้องถึงเป้าหมายนั้นจะเป็นอย่างไร ท่านลองนั่งคิดและนึกภายในเสี้ยววินาทีของท่านเองว่าในขณะนี้ท่านจะเดินทางให้ถึงเป้าหมายของท่านด้วยวิธีอันใด ที่ท่านได้นำตนมาสู่ในสถานที่นี้ สำหรับตัวผมเองนั้นเมื่อได้เดินทางเข้ามาสู่เป้าหมายตามวัยและเวลา ซึ่งอายุผมขณะนี้ก็ใกล้เวลา เขาบอกว่าเลื่อนลงไปทางข้างค่อนจะไปสู่สภาพลงไปอยู่ในพื้นดิน ตามที่เราบอกว่ามันก็ตายเท่านั้น ฉะนั้นเป้าหมายที่คุณวิโรจน์ได้ตั้งเอาไว้ว่าท่านเกิดมาแล้วท่านเกิดมาเพื่ออะไร นั่นก็เป็นสิ่งที่คาถาอันหนึ่งที่จะปลุกคนให้ลุกขึ้น ก็เป็นสิ่งที่ทุกคนจะตอบด้วยตนเอง สำหรับผมซึ่งจะมากล่าวในบทที่ว่าจะถึงเป้าหมายนั้น ก็มีอยู่ว่าเมื่อเราเข้าถึงเอกลักษณ์ของชาวพุทธก็คือธรรมอันเป็นเครื่องที่จะโน้มนำให้ท่านพบความสำเร็จและเป้าหมายของชีวิต โดยที่บทต้น โย จะ พุทธัญจะ ธัมมัญจะ สังฆัญจะ สะระณัง คะโต เราถึงซึ่งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นสรณะ เห็นอริยสัจคือความจริงอันประเสริฐ ๔ ด้วยปัญญาอันชอบ คือทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ซึ่งอาจารย์ก็บอกไว้แล้วว่ามันก็เป็นแก่นพระพุทธศาสนาที่จะรวมลงไว้ซึ่งคำสุดท้ายคือว่า ตถตา ความเป็นอย่างนั้น ฉะนั้นอันแรกคือการปลุกพระในตัวของท่าน คือปลุกตัวของท่านเองให้เกิด เป็นเอกลักษณ์ของชาวพุทธโดยแท้จริงคือปลุกด้วยธรรม อันเป็นหน้าที่ที่ท่านจะต้องกระทำทุกขั้นตอนตั้งแต่เด็กจนกระทั่งเข้าโลง แล้วนั่นแหละครับเป้าหมายของท่านคือการที่จะทำประโยชน์ตนให้มาก ก็เป็นประโยชน์ให้แก่ผู้อื่นได้มากที่ถูกต้องตามในหลักธรรมที่เป็นสัมมาทิฏฐิโดยไม่ใช่เป็นมิจฉาทิฏฐิ ผมก็ขอเป้าหมายของชีวิตในกระบวนการของธรรมะไว้แต่เพียงข้อนี้ ผมขอความสุขสวัสดี เพียงแค่นี้แหละครับ สวัสดีครับ
หมอประยูร : ไม่ใช่เป้าหมายชีวิตอยู่ที่หลุมฝังศพนะครับ นักประพันธ์ทั้งหลายชอบพูดกันนักกันหนา เราย่อมไปทันกันที่หลุมฝังศพ นั่นมันเรือนร่างชีวิตแบบเด็กๆ เขาเรียกว่าชีวิตแบบเด็กๆมันก็รู้สึกอย่างนั้นนะครับ ลงสุดท้ายก็ไปตายที่หลุมฝังศพ แต่ถ้าเรามาคุยกันถึงเป้าหมายแบบชาวพุทธกันแล้ว ลงสุดท้ายที่คุณเชาว์ได้ขึ้นมาพูดเราว่าให้เราได้ถึงซึ่งธรรมเป็นที่พึ่ง ถ้าถึง ถึงซึ่งธรรมเป็นที่พึ่งแล้วทุกขั้นตอนของชีวิตเราปฏิบัติให้ถูกต้องเถิดจะเป็นเป้าหมายของมันเองทุกขั้นตอน อย่างนี้ก็น่าฟังเหมือนกันนะครับ ทุกขั้นตอนของชีวิตเราปฏิบัติธรรมก็คือปฏิบัติให้ถูกต้องในวัยนั้นๆ นั่นแหละก็เป็นเป้าหมายของชีวิตในวัยนั้นๆทุกขั้นตอน ในวัยเด็กก็ปฏิบัติให้ถูกต้องไปตามวัยเด็กนะครับเป็นวัยพรหมจารีย์ มาถึงวัยเป็นผู้ใหญ่ก็ปฏิบัติให้ถูกต้องตามวัยของผู้ใหญ่ วัยทำมาหากิน ก็เป็นพื้นฐานต่อไปสำหรับวัยต่อไปสำหรับถูกต้อง สำหรับเป็นวัยคนแก่วานปรัสถ์นะครับ แล้วลงสุดท้ายก็เป็นวัย ครั้งสุดท้ายนะครับ นะครับวัยสุดท้ายที่จะถึงเป้าหมายสุดท้ายของชีวิตมันก็จะถึงเป้าหมายจริงๆ ก็คือถึงตัวธรรมที่แท้จริงอีกแหละครับ เป็นธรรมประเภทอีกประเภทหนึ่งคือความสงบ สันติ ความสุขจากความสงบ เป็นเป้าหมาย คงจะเป็นเป้าหมายสุดท้าย นี่ที่ผมมาขยายของคุณเชาว์ไปอีกครั้งหนึ่งนะครับว่าคงจะเป็นในแง่นั้นที่คุณเชาว์พูด ก็คือเป้าหมายของชีวิตก็คือธรรม แล้วปฏิบัติให้ถูกต้องทุกๆวัยก็แล้วกัน ปฏิบัติหน้าที่ให้ถูกต้อง ธรรมะตัวนี้ก็ทำตัวหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติให้มันถูกต้องทุกขั้นตอนแห่งชีวิตทั้งเกี่ยวกับตนเองและเกี่ยว กับผู้อื่น ทั้งเกี่ยวกับทั้งร่างกายและเกี่ยวกับทั้งจิตใจ นั่นธรรมะมันต้องมีความมีศิลปะอย่างนั้น มันต้องกลมกลืนกันทั้งร่างกายและจิตใจด้วย ปฏิบัติให้ถูกต้องทั้งร่างกายและจิตใจ ปฏิบัติให้ถูกต้องทั้งตนเองและต่อสังคมต่อผู้อื่น แล้วให้ถูกต้องตามวัยด้วยนั่น วัยไหนควรจะทำอะไร วัยไหนควรจะทำอย่างไรนะครับเป็นวัยไป แล้วก็จะถูกต้องเกี่ยวโยงต่อเนื่องเป็นเหตุเป็นผลซึ่งกันและกันอยู่เรื่อย ลงสุดท้ายก็ไปถึงเป้าหมายที่แท้จริง ได้สิ่งดีสิ่งประเสริฐที่มนุษย์จะได้พบก็คือโมกขะความเกลี้ยง ความหลุดพ้นของจิตใจนี่แหละครับ เหมือนกับเรามานั่งในโมกขะที่นี่แหละครับ นี่คือโรงเรียนแห่งชีวิต เป็นมหาวิทยาลัยแห่งชีวิต เป็นที่ที่ได้ผลิตบัณฑิตขึ้นมาแล้ว เอ้า,กระผมก็ขอถือโอกาสประกาศตอนนี้เลย แต่ว่าบางท่านก็คงทราบอยู่แล้ว สวนโมกข์นี่แหละครับสถานที่แห่งนี้แหละครับได้ผลิตบัณฑิตกิติมศักดิ์ดุษฎีบัณฑิตแล้ว สาขาพุทธศาสน์ ผมขออนุญาตพระเดชพระคุณครับ ผมไม่อยากจะ ไม่ใช่ต้องการจะโฆษณาพระคุณท่านหรอกนะครับ แต่ว่าเป็นที่เอามาพูดคุยกันว่าสถานที่อย่างนี้แหละครับผลิตแล้ว ผลิตบัณฑิตกิติมศักดิ์สาขาพุทธศาสน์ดุษฎีบัณฑิต เห็นไหมครับใช้ชีวิตเป็นเดิมพันนะครับ โดยไม่ต้องไปเรียนที่ไหน เรียนที่ในนี้แหละครับนะครับ พระคุณท่านใช้ชีวิตเป็นเดิมพันก็ได้ขึ้นมาเองนะครับจากผลของการปฏิบัติ ฉะนั้นเราก็ต้องเลียนแบบ ดูแบบอย่างพระคุณท่านสำหรับจะได้ค้นคว้าไปพบเป้าหมายที่แท้จริงบ้าง ปฏิบัติไป ปฏิบัติธรรมไปทุกขั้นทุกตอนแห่งชีวิตที่เราเป็นอยู่นี้แหละ ก็สักวันหนึ่งเราจะพบเหมือนกันนะครับ จะพบ พบเป้าหมายอย่างแท้จริงได้บ้างเหมือนกัน แต่ว่าโอกาสต่อไปนะครับก็คงยังมีอีก มีคนอื่นอีกได้สำหรับขึ้นมาพูด ที่ผมพูดไปนี้ก็ไม่ใช่มันจะว่าจะจบเกมเรื่องธรรมะแค่นี้ แต่คงจะมีเคล็ดลับ มีแนวการปฏิบัติ มีการกระตุ้น มีการชักจูงกันอย่างไรนะครับในแง่ของการปฏิบัติบ้าง และโดยเฉพาะธรรมะนี่แหมมันพูดกันยากจังเลย ไม่ใช่จะบังคับให้คนทำกันได้ง่ายๆ แล้วแม้แต่ตัวเราเองก็เหมือนกันเถอะครับก็ไม่ใช่ว่าจะปฏิบัติกันได้ง่ายๆ มันต้องมีซิกแซกหน่อยนะครับ มันต้องอยู่ด้วยองค์ประกอบอะไรต่ออะไรหลายต่อหลายอย่าง ฉะนั้นโอกาสนี้ผมขอเชิญคุณนิดเถอะครับ คุณนิดฝ่ายนักปฏิบัติธรรมเหมือนกันนะครับ ขอเชิญคุณนิดขึ้นมาคุยกันเถอะครับ ในแง่ของการปฏิบัติธรรมเป็นการส่งท้ายปีเก่า เพื่อจะได้ทำชีวิตให้ใหม่ขึ้นในปีหน้าที่จะถึงนี่แหละนะครับ ให้มันใหม่กัน ทำอะไรกันให้ใหม่แน่นะครับ อะไรที่จะใหม่กันได้ ขอเชิญคุณนิดมาคุยกันเถอะครับ
คุณนิด : ขอนมัสการพระเดชพระคุณท่านอาจารย์และพระคุณเจ้าทุกรูป รวมทั้งพวกเราที่มาสนใจใฝ่ธรรมในโอกาสส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ทุกท่าน ชีวิตของเรานั้นคือการเดินทาง เราเดินทางกันมาตั้งแต่เกิด บัดนี้แต่ละคนก็เดินทางกันมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว ถึงไหนแล้วยังผมก็ไม่ทราบ แต่บัดนี้ก็ถึงสวนโมกข์แล้ว เราเดินทางกันเป็นช่วงๆเป็นปีๆไป ปี ๒๕๒๒ เราก็เดินทางมาจะสิ้นปีแล้วอีกครึ่งชั่วโมง ในการเดินทางนั้นเราเดินทางไปไหน ก็น่าจะถามตนเองว่าเรานี่เกิดมาทำไม ไม่ทราบว่าจะเคยถามกันบ้างหรือยัง ถ้าไม่เคยก็ต้องถาม ถามว่าเราเกิดมาทำไม ถ้าได้คำตอบว่าเกิดมาเพื่อเดินทางก็ต้องถามต่อว่าเราเดินทางไปไหน เที่ยวนี้ก็ต้องการกันอยู่แล้วว่าเดินทางไปไหนหรือเกิดมาทำไม ก็เกิดมาเพื่อต้องการความสุข ที่ทำอยู่ทุกวันนี้ก็ทำเพื่อต้องการความสุข แต่ความสุขนั้นเป็นความสุขชนิดไหน ความสุขที่แท้จริงหรือเปล่า อันนี้ก็ต้องมีปัญญาจึงจะรู้ว่าอันไหนเป็นความสุขที่แท้หรือความสุขที่ปลอม ท่านที่มาสวนโมกข์วันนี้รู้สึกเป็นโชคดีมากที่ได้มาได้รับพระเครื่องจากพระเดชพระคุณท่านอาจารย์ไปทุกคน แล้วเป็นพระเครื่องที่ท่านปลุกเสกแล้วด้วย อันนี้แหละครับเป็นเรื่องสำคัญมาก หวังว่าทุกท่านก็คงจะจำได้ดี สมัยนี้เขานิยมแจกพระเครื่องกัน หลวงพ่อหลวงปู่ทั้งหลายก็แจกกัน พระเดชพระคุณท่านอาจารย์ก็บอกว่าท่านก็แจกเหมือนกัน แต่ว่าเป็นพระเครื่องคนละอย่าง นั่นก็คือพระเครื่องที่เราได้ทราบกันอยู่แล้วและรับกันไว้แล้ว เช่นนั้นเอง ตถตา ยู่สี แล้วแต่จะใช้ภาษาไหน มี ๓ ภาษา ท่านผู้ใดที่เป็นไทยก็ใช้ไทย ที่ชอบบาลีมคธก็ใช้ภาษาบาลี ที่เป็นพี่น้องชาวจีน จะถนัดภาษาจีนก็คงจะขลังมากกว่า แต่ว่าจะให้ขลังนั้นจะต้องปลุกเสกวันนี้ พระเดชพระคุณอาจารย์ก็ปลุกเสกให้เรียบร้อยแล้ว เป็นองค์พระเครื่องที่สวยงามแล้ว จะคุ้มครองภัยในระหว่างสองข้างทางซึ่งเต็มไปด้วยมารร้ายและผีร้ายได้ ถ้าหากว่าพระเครื่องนั้นยังคงขลังอยู่เพราะปลุกเสกอยู่เสมอ การปลุกเสกก็คือการคิดพิจารณาให้รู้ว่า ตถตา เป็นชั้นนั้น ยู่สีนั้นความหมายคืออะไร ถ้าเรายังเข้าใจความหมายอยู่จากการคิดพิจารณา จากการอ่านจากการฟัง เราก็จะเข้าใจคำว่ายู่สีนั้นอย่างไรชัดเจน แล้วนี่แหละคือพระเครื่องที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด คุ้มครองเราให้เราเดินทางไปสู่จุดหมายสูงสุดของชีวิตได้ และนี่คือการปฏิบัติธรรมะเป็นประจำวันในชีวิตของเรา เราจะมีหน้าที่อะไรก็ตาม จะทำอะไรก็ตาม เราจะทำงานนั้นๆได้ดีที่สุดไม่มีผิดพลาดไม่มีเสียหาย อย่างที่พระเดชพระคุณอาจารย์ได้กล่าวแล้ว เพราะฉะนั้นวันนี้ผมถือว่าถ้าใครได้มาสวนโมกข์ในปีนี้ก็เป็นผู้ที่โชคดี จะโชคดียิ่งขึ้นถ้าหากว่าสามารถรักษาพระเครื่องไว้ได้ตลอดไป ถ้าหากว่าเสื่อมไปในเรื่องการปลุกเสกก็ขอให้มาสวนโมกข์ใหม่ในโอกาสต่างๆ ซึ่งมูลนิธิก็จะพอจะนำท่านมา มาเพื่อปลุกเสกพระเครื่ององค์นี้ให้ศักดิ์สิทธิ์ตลอดไปครับ แล้วก็จะได้ป้องกันภัยป้องกันผีร้ายให้เราถึงสิ่งสูงสุดในชีวิต นั่นคือนิพพานครับ ผมขอจบแค่นี้ครับ