แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ในการพูดกันครั้งสุดท้ายนี้ เหมือนกับว่าเป็นการปิดประชุม เป็นการลาหรือรับการลาด้วยการปราศรัยเล็กๆน้อยพร้อมกันไปกับการสรุปเรื่องที่บรรยายต่างๆ คือจะกล่าวว่า เรื่องทุกเรื่องที่เราได้ฟังได้ยินได้พูดกันมาแล้วนี้ อาจจะสรุปได้เป็นคำพูดสั้นๆว่าเป็นเรื่องการดำรงจิตไว้อย่างถูกต้อง ขอให้ช่วยจำว่าพระพุทธศาสนาทั้งหมดทั้งสิ้นก็คือการดำรงจิตไว้อย่างถูกต้อง ก็ย่อมจะได้รับผลอยู่ในตัวความถูกต้องนั้นเอง ขอให้เราพยายามส่วนที่เป็นการดำรงจิตและก็ดำรงจิตไว้ให้ถูกต้อง
พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้เป็นใจความสรุปได้สั้นๆว่า ถ้าดำรงจิตไว้อย่างถูกต้อง จะได้รับประโยชน์ ความสุข ทุกอย่างทุกประการ เหมือนกับว่าญาติมิตรสหายคนหวังดีทั้งหมด ช่วยเหลือเรา ช่วยกระทำให้แก่เรา และถ้าเราดำรงจิตไว้ผิด เราก็จะสูญเสียประโยชน์ มีความเสียหายได้รับความทุกข์ เหมือนกับว่าคนที่เป็นข้าศึกศัตรูคู่อาฆาตทั้งหลายทั้งหมด เขามารุมกันกระทำให้แก่เรา คิดดู นั้นอยู่ที่ว่าดำรงจิตไว้ถูกต้องหรือดำรงจิตไว้ผิด และถูกต้องได้รับประโยชน์ ถ้าดำรงไว้ผิดก็สูญเสียประโยชน์ นี้ถึงว่าเรื่องทั้งหมดมันอยู่ที่การดำรงจิตให้ถูกต้อง เราจะเรียนรู้เรื่องอะไร เรื่องขันธ์ เรื่องธาตุ เรื่องอายตนะ เรื่องอริยสัจ เรื่องอะไรทั้งหมด ทุกเรื่องมันก็มาสรุปรวมอยู่ที่ว่าเพื่อการดำรงจิตไว้อย่างถูกต้อง
จะดำรงจิตอย่างไร รายละเอียดมันก็มีมาก เพราะมันจึงมีความรู้ละเอียดปลีกย่อยนั้นมาก แต่มันก็อาจจะสรุปความให้สั้นๆได้ว่า มันเป็นการดำรงจิตไว้อย่างถูกต้อง ทีนี้ก็จะเปรียบโดยอุปมาให้จำง่ายและเข้าใจง่ายได้อีกสักคำหนึ่งว่า เหมือนกับขี่รถจักรยานจิต ขอให้ทุกๆคนเข้าใจและทำในใจเหมือนกับว่าเรากำลังขี่รถจักรยานจิต ทำไมถึงเปรียบกับการขี่รถจักรยาน เพราะว่ามันคล้ายกันมาก เกือบจะทุกอย่างทุกประการ นับตั้งแต่ว่าการขี่รถจักรยานนั้น มันก็มีที่หมายปลายทางว่าจะไปที่ไหนสักแห่งหนึ่ง นี่เราขี่รถจักรยานจิตก็มีที่หมายปลายทางว่าจะไปที่ไหนสักแห่งหนึ่ง คือความหมดทุกข์ ดับทุกข์สิ้นเชิง ที่เรียกว่าพระนิพพาน เป็นจุดหมายปลายทาง นี้รถจักรยานจะขี่ได้ ขี่ไปได้นั้น มันมีความหมาย ๒ ความหมายซ้อนกันอยู่คือควบคุมรถจักรยานได้ไม่ให้ล้มนี้ตอนหนึ่ง และก็ออกแรงทำให้มันวิ่งไป แล่นไป เคลื่อนที่ไปนี้อีกอีกตอนหนึ่ง ถ้ามันล้มเสียมันก็ไปไม่ได้ ถ้าไปได้ก็คือไม่ล้ม และไอ้ที่มันถ้าไม่ล้มและไปได้นั้นมันเนื่องกัน อย่างที่จะแยกกันไม่ออก ถ้ารถจักรยานมันมีการพุ่งไปข้างหน้า มันก็ไม่ค่อยมีโอกาสจะล้ม แต่เราก็ต้องระวัง มันไม่ให้ล้มและให้มันพุ่งไปข้างหน้าได้ ไอ้การที่มันไม่ล้มกับการที่มันจะพุ่งไปข้างหน้านั้นมันแฝดกันอยู่ เรื่องขี่รถจักรยานจิตก็เหมือนกันแหละ ต้องทำจิตให้ตั้งมั่นอยู่ในลักษณะที่เป็นสมาธิ และให้มันพุ่งไปข้างหน้า คือรู้แจ่มแจ้งในอะไรได้ไกลออกไปนี่ ซึ่งเป็นลักษณะของวิปัสสนาหรือปัญญา
เรื่องเกี่ยวกับจิตแบ่งเป็น ๒ ตอน ตอนสมาธิหรือสมถะนี่ คุมจิตให้อยู่ในอำนาจและตั้งมั่นอยู่ได้ พร้อมที่จะทำงานของมัน และก็เป็นขั้นต่อไปก็คือวิปัสสนาหรือปัญญา ที่มันจะแล่นไปด้วยกระแสแห่งความรู้ รู้ รู้ รู้ รู้ รู้ จนถึงที่สุด มันก็หลุดพ้นและปล่อยวาง นี่มัน มันเหมือนๆกันอย่างนี้สังเกตดู ก็เข้าใจว่าทุกคนนี่คงขี่รถจักรยานเป็น เพียงแต่จะไม่สังเกตเท่านั้นเอง ทีนี้มันยังเหมือนกันในข้อที่ว่า มันล้มง่าย นี่หมายถึงรถจักรยานสองล้อซึ่งมันล้มง่าย ตามลำพังมันตั้งอยู่ไม่ได้ โดยไม่มีขาค้ำนะ มันลำพังสองล้อมันตั้งอยู่ไม่ได้ มันล้มง่าย มันล้มเก่ง แล้วมันก็ต้องบังคับหรือบังคับยาก
จิตนี่ก็เหมือนแหละ มันล้มง่าย คือมันฟุ้งซ่าน มันออกนอกลู่นอกทางง่าย คือมันบังคับยาก นั้นจึงเปรียบรถจักรยานมันล้มง่ายอย่างไร จิตก็ล้มง่ายอย่างนั้น นี่เราต้องฝึกฝนกันจนจะบังคับมันได้และขี่มันได้ และที่มันยังเหมือนกันอีกข้อหนึ่งเป็นข้อสุดท้ายซึ่งสำคัญมาก ก็คือข้อที่ว่า มันสอนกันไม่ได้ ใช้คนอื่นสอนไม่ได้ มันต้องสอนด้วยตนเอง ด้วยตัวมันเอง นี้คนไม่ค่อยเชื่อ หาว่าคนพูดนี่โง่หรือหลับตาพูด คือเราบอกเขาว่าไอ้การขี่รถจักรยานนั้นมันสอนกันไม่ได้ ไอ้คนโง่นี่มันก็เถียงว่า อ้าว,ก็มีคนมาช่วยจับ ช่วยยึด ช่วยแนะ ช่วยอธิบายในตอนแรกก่อนมิใช่รึ เราก็บอกว่านั้นมันก็จริงแต่มันไม่สำเร็จประโยชน์ การสอนนั้นไม่สำเร็จประโยชน์ มันเพียงแต่บอกให้รู้ว่าทำอย่างไร เอ้า,พอสอนให้เสร็จ อธิบายให้เสร็จ พอให้ขึ้นขี่มันก็ล้มเท่านั้น พอขึ้นขี่มันก็ล้ม หรือจับเสือกไปมันก็ไปล้ม นี่ ตอนนี้จะสอนกันยังไงก็สอนไม่ได้ จะให้มีใครมาสอนให้เราจับมือของรถแล้วทำให้เกิด balance ถูกต้องไม่ล้มไปได้เลยนี่ ทำไม่ได้ ตอนนี้ไม่มีใครสอนได้ ขอให้เข้าใจตอนนี้มากๆ อย่าไปโง่เหมือนคนบางคน หรือคนแทบทั้งหมด มันหวังแต่จะให้คนอื่นสอนเรื่อยไป อะไรสักนิดหนึ่งก็จะให้คนอื่นสอนเรื่อยไป จะฟัง จะเรียนไปเสียตะพึด ไม่พยายามที่จะสอนตัวเอง รู้ตัวเอง
ถ้าถามว่าการที่ขี่รถจักรยานเป็น ใครมันสอนให้ เราจะต้องบอกว่า ไอ้รถจักรยานนั่นแหละมันสอนให้ หรือว่าการล้มของรถจักรยานนั่นแหละเป็นสิ่งที่สอนให้ การล้มลงไปทีหนึ่ง มันสอนให้ทีหนึ่ง ล้มอีกทีหนึ่ง มันก็สอนให้อีกทีหนึ่ง ล้มอีกทีหนึ่ง ก็สอนให้อีกทีหนึ่ง จนรู้จักทำความสมดุล ไม่ล้ม ทีนี้มันก็ไปได้งอกแงก งอกแงก งอกแงก เหมือนกับคนเมา ทีนี้ใครจะสอนได้อีก กว่าที่จะขี่ได้เรียบไป มันไม่มีใครสอนได้ นอกจากไอ้รถจักรยานนั่นเอง การที่มันไปงอกแงก งอกแงก งอกแงกนี่ มันสอนให้ทุกที จนกระทั่งเรารู้จักทำให้สมดุล มันก็ไม่งอกแงก มันก็ไปเรียบ รู้จักใช้กำลังผลักดัน ขี่ให้มันพอดีกันกับการที่จะบังคับมือสองข้างให้มันสัมพันธ์กันดี เหมาะสมกันดี แล้วมันก็ขี่ไปได้เรียบตามต้องการ ทีนี้มันยังจะสอนกันอีกชั้นหนึ่ง ซึ่งเป็นชั้นละเอียดประณีตสุดยอด คือจะขี่รถจักรยานชนิดที่ปล่อยมือเลย เลี้ยวได้ตามต้องการ อาตมาทำได้ไม่ใช่อวดดี เมื่อเป็นฆราวาสนะขี่รถจักรยานปล่อยมือทั้งนั้น ตอนที่ขี่ได้ด้วยมือจับ อาตมาเป็นการขี่ปล่อยมือนี่ไม่มีทางที่มีใครจะสอนให้ได้ เพราะมันเป็นการใช้ลำตัว สะเอว น้ำหนัก ศูนย์ถ่วง นี่บังคับ และมันต้องไปเร็วๆด้วย แม้กระทั่งขี่รถจักรยานปล่อยมือ เลี้ยวได้อะไรได้ ตลอดเวลานี่ไม่มีใครสอนได้ นอกจากจักรยานนั่นเอง ถ้าพูดให้ถูกมันก็ต้องเรียกว่าไอ้การล้มนั่นเอง ล้มเจ็บมากๆก็ยิ่งสอนมาก จนมันไม่ล้ม มันก็สำเร็จประโยชน์ในการขี่รถจักรยาน ไปถึงจุดหมายที่ตัวต้องการได้โดยไม่มีใครสอนได้
นี้เรื่องฝึกจิตก็เหมือนกัน อย่าไปคิดว่าใครมันจะสอนกันให้ได้ จะมานั่งจับ จูง อะไรกันอยู่อย่างนี้ มันก็ได้แต่บอกเรื่องว่าจะต้องทำอย่างไร เหมือนกับแนะให้ทำ ให้จับรถจักรยานอย่างไร ให้ถีบยังไง อะไรยังไง แนะได้บ้าง ไม่ใช่จะไม่แนะได้เสียเลย แต่แล้วมันไม่สำเร็จประโยชน์อะไรเลย ด้วยการแนะเพียงเท่านั้น มันก็ต้องขึ้นขี่รถจักรยานจิต แล้วมันก็ล้มให้ดู คือทำไม่ได้ จิตมันละจากอารมณ์คือ ไม่แน่วแน่เป็นสมาธิเราเรียกเหมือนกับล้มนั่นแหละ ถ้าเขามีหลักว่าให้จิตนี้กำหนดลงไปที่อารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง จะเป็นเรื่องพุทโธ หรือจะเป็นเรื่องหายใจออกเข้าหรืออะไรก็ตามมันมีอารมณ์ ที่จะเรียกว่านิมิตก็ได้สำหรับจิตกำหนด ถ้ามีการกำหนดอารมณ์ ก็เหมือนกับขึ้นขี่รถจักรยานแล้วมันก็ล้ม คือจิตมันไม่กำหนด จิตมันเถลไถลไปเสียที่อื่น นี่ก็เรียกว่าบังคับมันไม่ได้ ทีนี้ก็ต้องต่อสู้กัน มันล้มอย่างไร มันไม่ได้ด้วยเหตุใด ต้องเอาอันนั้นแหละมาเป็นครูสอน ทำการสังเกตให้ละเอียดลออ ว่าต้องทำอย่างนี้ หรือลองทำอย่างนี้ หรือลองทำอย่างนี้ หรือลองทำอย่างนี้ ทุกๆทีที่มันล้ม หรือมันละจากอารมณ์ มันไปเสียที่อื่น จนกระทั่งค่อยๆพบไอ้สิ่งลึกลับ ทีละนิดทีละหน่อย จนสามารถบังคับจิตให้กำหนดอยู่ที่อารมณ์ได้นาน เป็นที่พอใจ นี่เรียกว่าสำเร็จในขั้นที่เป็นสมถะหรือสมาธิแล้ว เพียงแต่เรารู้จักทำให้มันไม่ล้ม ไม่ล้มแล้ว ทีนี้มันยังไม่ไป มันไม่ยังไม่พุ่งไปข้างหน้า มันยัง เปะๆปะๆ มันจึงต้องเลื่อนขึ้นไปสู่ระดับที่เรียกว่าปัญญา พิจารณาเพื่อให้เกิดความรู้ ก็รู้ยิ่งๆขึ้นไปจนตัดกิเลส จนบรรลุมรรคผลนิพพาน
เรื่องของจิตมันจึงมีอยู่เป็น ๒ ตอน คือตอนที่เป็นสมาธิ นี่หมายถึงบังคับจิตได้ นี้ตอนที่เป็นปัญญา ใช้จิตที่เป็นสมาธินั่นแล้วนั้น พิจารณา ให้เห็นแจ้ง ที่ว่าดู ดู ดู ดู จนเห็นแจ้ง ไม่ใช่มามัวคิดนึกตามวิธีเหตุผล ตรรกะ ปรัชญา ก็เปล่าทั้งนั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิถึงที่สุดแล้วก็ดู เพ่งดูลงไปที่สิ่งที่เราจะต้องดู เช่นว่าเมื่อทำลมหายใจจนจิตเป็นสมาธิแล้ว ก็เพ่งดูลมหายใจที่มันไม่เที่ยง หรือเป็นทุกข์ หรือเป็นอนัตตา หรือเพ่งดูเวทนาที่เป็นสุขที่เกิดมาจากสมาธินั้นว่ามันก็ไม่เที่ยงเป็นทุกข์ เป็นอนัตตา และก็ดูไอ้จิตนั้นเอง
ดูไอ้ตัวจิตนั้นเอง ว่ามันก็มีเหตุปัจจัยปรุงแต่ง ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา จนเกิดความรู้เรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตามากพอ และจิตมันก็ถอนจากความยึดมั่น ที่เคยยึดมั่นในสิ่งใดมาแต่ก่อน ก็ยังต้องดูอีกแหละ ดู อย่าไปคิดนำ ถ้าไปคิดนำแล้วมันเป็นเรื่องออกนอกลู่นอกทาง เป็นเรื่องผิดไปได้ ไม่ทันรู้ เพราะ ความจริง หรือของจริงนั้นน่ะมันเป็นสิ่งที่เราต้องดู ไม่ใช่ว่าไปคิดนำมัน มันจริงอยู่ในตัวมันแล้วก็ดูให้เห็นความจริง ข้อนี้ก็สำเร็จเพราะเห็นความจริง เห็นความจริงแล้วจิตก็เบื่อหน่ายจากการยึดมั่นถือมั่น คลายความยึดมั่นถือมั่น จนกระทั่งไม่ยึดมั่นถือมั่น ก็เรียกว่าหลุดรอด นั้นถ้าท่านผู้ใดสนใจในพุทธศาสนา ถึงขั้นที่ว่าถึงหัวใจของพุทธศาสนา ก็จะต้องศึกษาและปฏิบัติกันจนเข้าใจเรื่องนี้
เรื่องการดำรงจิตไว้ถูกต้อง ความถูกต้องในขั้นแรกต้องเป็นสมาธิได้ นี่ก็สบายมากแล้วนะ กิเลสไม่รบกวน ไม่หมดกิเลสแต่กิเลสไม่รบกวน เป็นอยู่ได้ด้วยความรู้สึกที่เป็นสุขเพราะกิเลสไม่รบกวน คืออยู่ด้วยสมาธิ จะคิดนึกอะไรก็คิดได้ดี จะเรียนหนังสือก็เรียนได้ดี จะทำการทำงานก็ทำด้วยความสนุกสนาน ด้วยจิตที่มันเป็นสมาธิ นี่เราตั้งจิตไว้ถูกต้องในขั้นแรกคือให้มันมีสมาธิได้ นี้ตั้งจิตไว้ถูกต้องในอันดับที่สองก็คือให้มีปัญญา มีวิปัสสนา มีความรู้ มีสัมปชัญญะ รู้สึกตัวอยู่เสมอว่าอะไรเป็นอะไร เคยพิจารณาเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ว่ามันเป็นอย่างไร และก็ให้ไอ้ความรู้อันนี้มาทันท่วงที ไม่ให้เผลอสติ ไม่ให้หลง เผลอสติ จนเกิดกิเลส ความรู้ที่แจ่มแจ้งเข้ามาทันท่วงทีโดยอำนาจของสติ และจิตนี้ก็ไม่มีทางที่จะเกิดกิเลส ทำได้อย่างนี้เรื่อยไปจนตายตัว มันก็เป็นการบรรลุมรรคผล นี่เรียกว่าไปถึงขั้นสุดท้าย
ทีนี้ถ้าพูดถึงคนอยู่ในโลก ถ้าคนที่อยู่ในโลกตามปกติธรรมดาสามัญ มันก็ต้องการ การดำรงจิตไว้อย่างถูกต้องนี่เหมือนกัน เพราะดำรงจิตไว้ไม่ถูกต้องเช่นควบคุมไม่ได้ มันก็เหหันไปในทางต่ำในทางเลว ในทางที่ไม่มีประโยชน์ ซึ่งเต็มไปด้วยความยั่วยวน หมายความว่าสิ่งที่มันจะยั่วให้ไม่ถูกต้องนี่มันมีมาก มันเต็มไปทั้งโลก และเราก็ไม่สามารถที่จะควบคุมบังคับจิต จิตมันก็เหไปในทางที่ไม่ถูกต้อง นั้นจึงไม่ประสบสำเร็จ จึงไม่ประสบความสำเร็จแม้แต่ในการเล่าเรียน กระทั่งถึงการทำงาน มันก็ไม่ประสบความสำเร็จแก่ผู้ที่ควบคุมจิตไม่ได้ ไม่ดำรงจิตไว้ในความถูกต้อง สำหรับความถูกต้องในที่นี้ให้ความหมายมันกว้างเข้าไว้
ถูกต้องคือมันสำเร็จประโยชน์ในสิ่งที่เราจะทำ สิ่งใดเราต้องการจะทำหรือทำให้ได้ ถ้าทำได้สำเร็จ ต้องเรียกว่ามีความถูกต้อง ไอ้ความผิดหรือความถูกนั้นอย่าไปเชื่อคนอื่นนัก อย่าไปเอาตามตัวหนังสือ ตำรับตำราอะไรนัก ให้เอาที่ตัวมันนั่นเอง ถ้ามันให้เกิดความสำเร็จประโยชน์จริงและก็ให้ถือว่าถูกต้องเถอะ ถ้ามันไม่ได้สำเร็จประโยชน์ก็ให้ถือว่ามันผิดก็แล้วกัน อย่าไปถูกไปผิดตามตัวหนังสือ ตามความเขาว่า ตามเขายึดถือกันมาเป็นประเพณี เป็นอะไรก็ไม่ ไม่ ไม่ต้อง เรื่องนี้ไปหาอ่านดูจากกาลามสูตร คือพระพุทธเจ้าท่านตรัสให้ถือว่ามันถูกต้อง เมื่อได้รู้สึกว่าด้วยตนเอง มันถูกต้องคือมันเกิดประโยชน์ขึ้นมาได้ นั้นเราจะเล่าเรียน หรือเราจะทำการงาน หรือเราจะทำอะไรส่วนย่อยๆ ปลีกย่อยออกไป มันก็เกี่ยวกับความถูกต้องหรือไม่ถูกต้องทั้งนั้น นั้นเราพยายามเรื่อยไป สังเกต ศึกษา ปรับปรุง อยู่เรื่อยๆไป ให้มันเกิดความสำเร็จประโยชน์และก็ค่อยๆรู้ความถูกต้องมากขึ้น จนถูกต้องไปทุกสิ่ง จนถูกต้องถึงที่สุด เพราะมันหมดปัญหา แล้วเรื่องมันมีเท่านั้น เพราะความถูกต้องนั้นจะเป็นไปเรื่อยจนกระทั่งถึงบรรลุมรรคผลนิพพาน มันมีเท่านั้นเอง
นั้นขออย่าได้เข้าใจผิด และเห็นว่าไอ้เรื่องดำรงจิตไว้ถูกต้องนี้เป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆเกินไป ที่จริงมันเป็นเรื่องใหญ่ เป็นเรื่องทั้งหมด มีความสำคัญทั้งหมด ถ้าเราดำรงจิตไว้ไม่ถูกต้องมันก็ทำอะไรให้สำเร็จไม่ได้ แม้แต่การเล่าเรียน และเมื่อไม่ถูกต้องมากเข้ามันก็จะเกิดความชินเป็นนิสัย มันก็จะเกิดความฟุ้งซ่าน เกิดการบังคับไม่ได้ มันก็จะเป็นโรคประสาท แล้วมันก็จะเป็นบ้า แล้วมันก็จะต้องตาย ถ้าว่าดำรงจิตไว้ไม่ถูกต้อง มันจะเป็นอย่างนี้ มันจะถึงกับเป็นบ้าและตาย พวกที่เขาเป็นโรคเส้นประสาทกันมากๆและมากขึ้นนี้เพราะว่าเขาดำรงจิตไว้ไม่ถูกต้อง ในโลกที่มันสับสนวุ่นว่ายยิ่งขึ้นทุกทีคือโลกปัจจุบันนี้ มันมีความสับสนมาก มีความยากแก่การที่จะดำรงจิตไว้ให้ปกติหรือถูกต้อง นั้นหมอเขาได้ออกรายงานมาว่า ในโลกปัจจุบันนี้คนเป็นโรคประสาทเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบตามส่วนของพลเมืองแม้ที่มันเพิ่มขึ้นก็จริง แต่อาการเป็นโรคประสาทมันยังมากกว่าการเทียบส่วนตามจำนวนของพลเมืองในโลก ก็หมายความว่ามันมีการดำรงจิตไม่ถูกต้องมากขึ้น เพราะสิ่งที่มายั่วเย้ามากระทบกระทั่ง มาเบียดเบียนในโลกนี้มันมากขึ้น
นั้นจึงหวังว่าท่านทั้งหลาย ที่ยังจะต้องอยู่ในโลกต่อไปอีกหลายปี ช่วยสนใจในข้อนี้ สนใจในข้อที่ว่าจะมีความรู้เพียงพอที่จะดำรงจิตไว้ให้ถูกต้อง สามารถเผชิญหน้ากันกับสิ่งต่างๆในโลกนี้ ที่จะมารบกวน ที่จะมาหลอกลวง ที่จะมากระทบกระทั่ง ที่จะมาบีบคั้นบังคับให้มากขึ้น จะต้องฉลาดพอที่จะไม่ถูกสิ่งเหล่านั้นครอบงำย่ำยี ฉลาดพอที่จะปลอดภัยอยู่ในท่ามกลางโลกที่มันมีแต่ความเลวร้ายมากขึ้นทุกที
อยากจะให้ทุกคนนี่จำรูปภาพรูปหนึ่งในตึกตรงหลังนั้นไปด้วย รูปที่ว่านั่งในปากงู เหมือนลิ้นงูอยู่ในปากงู ถ้าไม่ได้สนใจก็ไปดูเสียใหม่ ถ้าสนใจแล้วก็จะนึกได้ ถึงว่าการอยู่ในโลกปัจจุบันนี้ ต้องดำรงการอยู่เหมือนกับลิ้นงูอยู่ในปากงู ภาพนั้นก็เขียนเป็นงูตัวใหญ่นั่งอ้าปากอยู่และก็มีพระองค์หนึ่งนั่งอยู่ในปากงู ให้คำเปรียบว่าเหมือนลิ้นงูอยู่ในปากงูไม่ถูกกันกับเขี้ยวงู นี่เราก็อยู่ในปากงูชนิดที่ไม่ถูกกันกับเขี้ยวงูอย่างนั้นเหมือนกัน คือโลกปัจจุบันนี้มันมีลักษณะเหมือนปากงูที่เต็มไปด้วยเขี้ยวงู เราก็อยู่ในโลกนี้โดยที่ไม่ถูกกันกับเขี้ยวของโลก เช่นเดียวกับลิ้นงูอยู่ในปากงูไม่ถูกกับเขี้ยวของงู นี่คือผลหรืออานิสงส์ของการที่จะดำรงจิตไว้อย่างถูกต้อง ไม่มีความผิดพลาด ไม่กระทบกระทั่งกันเข้ากับความผิดพลาด เราก็ได้รับประโยชน์มาก คือสามารถจะทำอะไรได้ตามที่เราต้องการ แล้วก็เป็นสุขสบายอยู่ในตัวการทำการงานนั้นเอง
เมื่อดำรงจิตไว้ถูกต้องแล้วการงานก็สนุก การงานกลายเป็นของสนุก ก็เลยได้กำไร ความสุขความสนุกก็ได้ ผลของการงานก็ได้ ถ้าเราดำรงจิตไว้ไม่ถูกต้องแล้วการงานจะเป็นที่น่าเบื่อหน่าย ไม่อยากจะทำ เหมือนที่ไม่อยากจะเล่าเรียน หรือไม่อยากจะทำหน้าที่การงานในออฟฟิศตามเวลานี่ เพราะว่ามันไม่สนุก เพราะว่าเขาดำรงจิตไว้ไม่ถูกต้อง ถ้าเขาดำรงจิตไว้ถูกต้องตามวิธีแล้ว มันจะสนุกในการทำงาน แม้จะเหนื่อยก็ยังสนุก เพราะจิตมันดำรงอยู่อย่างถูกต้อง ไปในทางของความถูกต้อง มันจึงรู้สึกเป็นสุขในการที่ทำหน้าที่ คือมันมีความรู้ว่าการทำหน้าที่คือสิ่งสูงสุดของมนุษย์
มนุษย์ที่ทำหน้าที่ของมนุษย์คือเป็นมนุษย์ที่ถูกต้อง นั้นจึงพอใจในหน้าที่ ในการทำหน้าที่ ขอให้ทุกคนดำรงจิตของตนไว้ในลักษณะที่ถูกต้องอย่างนี้ ในลักษณะอย่างที่ว่ามานี้ คือจะมีความพอใจโดยอัตโนมัติอยู่ในตัวมันเอง ไม่มานั่งเศร้าสร้อย หงอยเหงาอยู่เหมือนคนโดยมาก และก็ไม่ต้องบ้าบอจนถึงกับไปกินยาตาย ก็ทุกอย่างมันไม่เป็นไปอย่างราบรื่น ถ้าดำรงจิตไว้ถูกต้องทุกอย่างมันจะมีความเยือกเย็นเป็นสุขอยู่ในตัวมันเอง และก็ก้าวหน้าในการทำงาน เปรียบเหมือนกับจิตที่เป็นสมาธิแล้วก็มั่นคงเป็นสุข รู้สึกเป็นสุขจากสมาธินั้นอยู่ในตัวมันเอง แล้วมันก้าวหน้าในทางการงาน คือเรื่องของปัญญาแจ่มแจ้งออกไป ออกไปจนกว่าจะถึงที่สุด นี่ขอให้ดำรงชีวิตอยู่ด้วยความถูกต้องของสมาธิและของปัญญาอย่างนี้
นี่ถ้าไปอ่านหนังสือเล่มไหน ธรรมะเรื่องอะไรมากหรือน้อยอย่างไรก็จับใจความสำคัญของมันให้ได้ ว่าเรื่องนั้นคัมภีร์นั้นที่เราอ่านนั้น มันสอนวิธีดำรงจิตให้ถูกต้องอย่างไร นี่สำคัญมาก อย่างว่าทำอานาปานสตินี้ กำหนดในหมวดที่ ๑ นี่เป็นเรื่องสมาธิ หมวดที่ ๒ ที่ ๓ ก็เป็นเรื่องสมาธิ เป็นเรื่องปัญญาปนกันไป ในหมวดที่ ๔ เป็นเรื่องปัญญาล้วน ถ้าสนใจอยากจะได้รับประโยชน์จากของขวัญอันประเสริฐ จากพระพุทธเจ้าแล้วก็ต้องสนใจเรื่องนี้ อย่างนี้ ถ้าไม่ต้องการก็แล้วไป มันก็เป็นเรื่องที่ไม่รู้ว่าจะศึกษาพุทธศาสนากันไปทำไมให้เสียเวลา ไม่ให้เสียเวลาก็ให้มันรู้จักประโยชน์หรือผลที่จะได้รับ คือดำรงจิตไว้ถูกต้องแล้ว ปัญหาทั้งหมดก็จะหมดไป
จึงขอร้องให้สนใจการศึกษาหลักธรรมในพระพุทธศาสนาทุกเรื่องทุกราว ให้จับฉวยเอาให้ได้ในข้อที่ว่าจะดำรงจิตไว้ถูกต้องอย่างไร แล้วก็จะไม่มีความทุกข์ ทุกข์เล็ก ทุกข์น้อย ทุกข์ใหญ่ ทุกมหาศาล ทุกข์อะไรมันก็ไม่ต้องมี เดี๋ยวนี้ยังมีคนเป็นอันมากเป็นโรคเส้นประสาทอยู่ คือไม่พอใจในชีวิตของตน ไม่รู้สึกเป็นสุขหรือพอใจในความมีชีวิตอยู่ของตนแต่ละวัน ละวัน หายใจเข้าออกอยู่ด้วยความคิดที่วิปริตฟุ้งซ่าน ไม่มีความพอใจในตัวชีวิตนั้นเลย นี่มันเริ่มบ้าแล้ว คือมันเริ่มเป็นโรคประสาทแล้ว ถ้ามันไม่มีความรู้สึกที่พอใจในความเป็นอยู่ของตนหรือการกระทำของตนนี่มันเริ่มบ้าแล้ว มันเริ่มมีความวิปริตทางจิตแล้ว มันจะเป็นโรคประสาทหรือเป็นบ้าในที่สุด ของที่จะคุ้มกันได้ก็คือธรรมะในลักษณะที่จะช่วยให้ดำรงจิตไว้อย่างถูกต้อง
อาตมาจึงเห็นว่ามันเป็นเรื่องที่ควรนำมาพูด เป็นเรื่องขมวดสุดท้ายเรื่องอื่นๆ ก็ทุกเรื่องที่สอนให้ดำรงจิตไว้อย่างถูกต้อง แล้วเราก็พูดกันเรื่องนี้ ใช้คำง่ายๆกันลืม ว่าเป็นการขี่รถจักรยานจิต รายละเอียดก็เหมือนกับที่กล่าวมาแล้วแต่ต้น ว่าทุกคนจงขี่รถจักรยานจิตให้สำเร็จประโยชน์ ให้ปลิวแล่นฉิวไปสู่จุดหมายปลายทางให้จนได้ ก็ไม่เสียทีที่มาสวนโมกข์ เสียเงินค่ารถลำบากยุ่งยากต่างๆนานาแล้วไม่ได้ประโยชน์อะไร ก็ป่วยการ มันก็ควรจะได้อะไรที่คุ้มค่าหรือเกินค่า เราก็มีกันแต่พระธรรมของพระพุทธเจ้า ที่ได้ตรัสสอนไว้อย่างไร จะเป็นประโยชน์แก่มหาชนอย่างไร คือให้มหาชนได้ก้าวหน้าตามวิถีทางของมนุษย์จนถึงระดับสูงสุดที่มนุษย์จะเข้าถึงได้ ขอให้สำเร็จประโยชน์ตามนี้
ในที่สุดนี้ขอกล่าวคำอวยพร ให้ท่านทั้งหลายทุกคนจงมีความกล้าหาญเพียงพอ มีความแน่ใจเพียงพอ มีความร่าเริงสนุกสนานในการที่จะปฏิบัติธรรมะตามหลักของพระพุทธศาสนา จนรู้เท่าทันสิ่งทั้งปวง สามารถดำรงจิตไว้อย่างถูกต้องแล้ว ชีวิตนี้ทั้งหมดก็จะดำเนินไปในลักษณะที่น่าพึงพอใจอย่างยิ่ง คือมีความสุขอยู่ในตัวมันเอง เหมือนกับคนกำลังขี่รถจักรยานแล่นไปนี่มันก็เป็นสุข แล้วมันไปถึงจุดหมายปลายทางแล้วมันก็เป็นสุข ก็ขอให้ชีวิตของท่านทั้งหลายเป็นไปในลักษณะนี้ ตลอดทุกทิพาราตรีกาลเทอญ.