แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [ลองพูดคุยกับ AI ทาง Line]
ณ บัดนี้ อาตมาภาพจะได้วิสัชนาพระธรรมเทศนาเป็นเครื่องประดับปัญญา ฉลองศรัทธาความเชื่อความเลื่อมใสของท่านทั้งหลายผู้เป็นพุทธบริษัทให้เจริญงอกงามก้าวหน้าตามทางแห่งพระศาสนาของสมเด็จพระบรมศาสดา อันเป็นที่พึ่งของเราทั้งหลายกว่าจะยุติลงด้วยเวลา ธรรมเทศนาเป็นปุพพาปรลำดับ คือสืบต่อจากธรรมเทศนาที่แสดงแล้วในตอนเย็น
เนื่องจากวันนี้เป็นวันอาสาฬหบูชา เป็นวันที่กำหนดไว้ว่าเป็นวันสำหรับพระธรรม เรียกว่าเป็นวันพระธรรมเพราะว่าเป็นวันแรกที่พระธรรมปรากฏขึ้นมาในโลก โดยการทรงแสดงของพระผู้ทีพระภาคเจ้า เรากล่าวได้ว่าก่อนหน้าแต่นั้น ยังไม่มีพระธรรมอย่างนี้ปรากฏขึ้นมาในโลก คือยังไม่มีใครแสดง ครั้นถึงวันเช่นวันนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงแสดงธรรมนี้ เนื่องจากเป็นครั้งแรก จึงได้เรียกว่า ปฐมเทศนา เนื่องจากเป็นการเผยแผ่พระพุทธศาสนาซึ่งเป็นเหมือนกับธรรมาณาจักรของพระองค์ เราจึงได้เรียกว่า ธรรมจักร พระธรรมจักรกัปปวัตตนะ คือการยังธรรมจักรให้เป็นไป พระองค์ทรงยังธรรมจักร คือพระธรรมให้เป็นไป เพื่อประโยชน์อะไร เป็นสิ่งที่จะต้องทำความเข้าใจกันให้ยิ่งๆ ขึ้นไป จนกระทั่งสำเร็จประโยชน์นั่นเอง
ขอให้ท่านทั้งหลายกำหนดจดจำไว้ว่า วันนี้เป็นวันพระธรรม คนทั่วไปถือปฏิทินจันทรคติ ก็ขอให้ถือว่ากลางเดือนแปด วันเพ็ญเดือนแปดนี้เป็นวันพระธรรม ทุกๆ ปีพอถึงวันกลางเดือนแปด ก็ให้ระลึกนึกได้ว่าเป็นวันพระธรรม เราจะได้คิดนึกถึงสิ่งที่เรียกว่าพระธรรมนั้นกันเป็นพิเศษ คิดนึกให้มีความรู้ความเข้าใจยิ่งๆ ขึ้นไป แล้วจะได้ปฏิบัติธรรมะนั้นให้ยิ่งๆ ขึ้นไป
ทำไมจะต้องทำอย่างนั้น จะทำไปทำไม ก็เพราะว่าเพื่อความเป็นมนุษย์ของเราจะได้สูงยิ่งๆ ขึ้นไป คือมีความเป็นมนุษย์มากขึ้นจนถึงที่สุดของความเป็นมนุษย์ นี่เป็นการส่งเสริมของพระธรรม เป็นการค้ำจุนของพระธรรม เป็นการคุ้มครองของพระธรรม เรารอดอยู่ได้เพราะพระธรรม พระธรรมส่งเสริมให้สูงขึ้นไป สูงขึ้นไป เป็นมนุษย์ยิ่งๆ ขึ้นไป จนถึงที่สุดแห่งความเป็นมนุษย์ นี่คืออาการที่พระธรรมทรงผู้ปฏิบัติไว้ และส่งให้สูงยิ่งๆ ขึ้นไปจนกว่าจะถึงที่สุด จึงควรจะจำไว้อย่างหนึ่งว่า คำว่าธรรม เหมือนพระธรรมตามตัวหนังสือ ก็แปลว่าสิ่งที่ทรงไว้ “ธรรมะ” แปลว่าทรง ทรงอะไร ก็ทรงตัวธรรมะเองก็ได้ คือยังคงมีอยู่ได้ และทรงผู้ปฏิบัติไม่ให้ตกต่ำลงไป มีแต่ส่งให้สูงยิ่งๆ ขึ้นไป จึงเป็นอันว่าธรรมะนั้นคือสิ่งที่ทรงตัวเองไว้ได้ก็ได้ สิ่งที่ทรงมนุษย์ส่งเสริมมนุษย์ให้สูงยิ่งๆ ขึ้นไป ดังนี้ก็ได้ ตามตัวหนังสือเป็นอย่างนี้
แต่ถ้าโดยใจความแล้ว ก็เหมือนกับที่อาตมาได้กล่าวแล้วกล่าวอีก ย้ำแล้วย้ำเล่า ว่าธรรมะคือความถูกต้อง ธรรมะคือการปฏิบัติที่ถูกต้อง มีความถูกต้องอยู่ในการปฏิบัติ มีความถูกต้องสำหรับความเป็นมนุษย์ทุกขั้นทุกตอนแห่งวิวัฒนาการของเขา เพื่อให้เขาได้รับประโยชน์เป็นความสุขทั้งส่วนตัวและส่วนสังคม นี่ธรรมะคือการปฏิบัติที่ถูกต้อง เพราะฉะนั้นเราก็ถือเอาความถูกต้องนั่นแหละเป็นตัวธรรมะ ตัวความถูกต้องนั่นแหละมันทรงผู้ประพฤติหรือกระทำไว้ไม่ให้ตกลงไป มีแต่ให้สูงขึ้นๆ
ทีนี้ก็จะอธิบายให้ความให้มากออกไปว่าธรรมะมีความหมายอย่างไรต่อไปอีก อาตมาได้เคยกล่าวแล้วกล่าวอีกในเรื่องธรรมะ ๔ ความหมาย และคนที่จำได้ดีอยู่แล้วอย่าเพิ่งรำคาญที่จะฟังอีก เพราะว่ายังมีคนที่ยังไม่ได้ฟังก็มี
ธรรม ๔ ความหมายนี้ก็คือ ธรรมะที่เป็นตัวธรรมชาติอย่างหนึ่ง ธรรมะที่เป็นตัวกฎของธรรมชาติ ธรรมะที่เป็นหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ ธรรมะคือผลที่ได้รับจากการปฏิบัติหน้าที่ รวมเป็น ๔ อย่าง อย่างแรกธรรมะคือตัวธรรมชาติ ก็หมายความว่าสิ่งที่เป็นอยู่เองตามธรรมชาติตามธรรมดา ที่มันเป็นธรรมะ ก็เรียกว่าธรรมะ เพราะมันทรงตัวมันเองอยู่ได้ อย่างดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ วิญญาณ ธาตุทั้ง ๖ ประการนี้ มันก็ทรงตัวมันเองอยู่ได้ จึงเรียกว่าธาตุ “ธาตุ” ก็แปลว่าทรงอยู่ด้วยเหมือนกัน “ธาตุ” ก็แปลว่าทรง “ธรรมะ” ก็แปลว่าทรง ฉะนั้น “ธาตุ” กับ “ธรรมะ” นี่จึงเป็นสิ่งเดียวกันได้ รวมกันอยู่ได้โดยความหมาย
ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ วิญญาณ เป็นธรรมชาติ ที่เป็นดิน น้ำ ลม ไฟ นี้ก็เรียกว่า รูปธาตุ ที่เป็นวิญญาณก็เป็น นามธาตุ ที่เป็นอากาศก็คือที่ว่างสำหรับเป็นที่ตั้งที่อาศัยแห่งธาตุอื่นๆ นี่เป็นตัวธรรมชาติที่ภายนอกตัวเราก็คือทุกสิ่งในโลก ที่เป็นภายในตัวเราก็คือเนื้อหนังร่างกาย จิตใจนี่เป็นตัวเรา เป็นธาตุที่อยู่ภายในตัวเรา ก็เรียกว่าธรรมชาติ ร่างกายกับจิตใจเรียกว่าธรรมหรือธรรมชาติที่เป็นภายใน รู้จักกันไว้ให้ดีว่าส่วนที่เป็นดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ วิญญาณ ประกอบกันเข้าเป็นร่างกายนี้ นี่คือตัวธรรมชาติ หรือเรียกสั้นๆ ว่า ธรรมะ ในฐานะที่เป็นตัวธรรมชาติ
เราจะแยกดูเป็น ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นอาการ ๓๒ หรือว่าเป็นอะไรก็ได้ทั้งนั้นแหละ ขอให้ดูเป็นว่ามันเป็นธรรมชาติที่มีอยู่เป็นภายใน นี้เรียกว่าธรรมะในความหมายที่หนึ่ง อุตส่าห์สนใจให้เข้าใจ แล้วก็มองเห็นในข้อที่ว่ามันดำรงตัวมันเองอยู่ได้ เราจึงเรียกว่า ธาตุ หรือ ธรรม ธรรมะ
ทีนี้ ถัดไปอีก ก็คือสัจจะ หรือกฎ เรียกว่ากฎก็ได้ เรียกว่าสัจจะก็ได้ ของธรรมชาติ คือในธรรมชาติทุกสิ่งมันมีกฎเกณฑ์สิงอยู่ในนั้น บังคับธรรมชาตินั้นๆ ให้เป็นไปตามกฎ ที่เป็นภายนอกเช่นว่าแผ่นดิน โลกทั้งหมดนี้ประกอบอยู่ด้วยอะไร กี่อย่างก็ตามใจ มันก็มีกฎของธรรมชาติสิงอยู่ในสิ่งเหล่านั้น เราเรียกว่ากฎธรรมชาติ ฉะนั้นแผ่นดินโลกนี้มันจึงต้องเป็นไปตามกฎ ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาว อากาศ น้ำ ต้นไม้ แผ่นดิน สัตว์ทั้งหลายที่อาศัยอยู่ในแผ่นดิน ล้วนแต่มีกฎธรรมชาติบังคับอยู่ มันต้องเป็นไปตามกฎธรรมชาติ มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ตามกฎของธรรมชาติ ก็ไปดูที่ตัวกฎธรรมชาติที่มันบังคับให้ธรรมชาติเป็นไป
ทีนี้ที่เป็นภายใน ภายในของร่างกายเรานี้มีกายกับใจ มันก็เป็นไปตามกฎของธรรมชาติ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง อย่างนี้ เปลี่ยนแปลงไปตามกฎของธรรมชาติ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป แม้แต่สิ่งที่เรียกว่าจิตใจ มันก็เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ตามกฎของธรรมชาติ นี่ก็เพราะว่าไอ้กฎของธรรมชาตินั่นแหละมันสิงอยู่ มันบังคับตัวธรรมชาติทั้งหลายให้เป็นไปตามกฎ มันมีความจริงของมันเอง เที่ยงแท้ แน่นอน เด็ดขาด บังคับสิ่งทั้งหลายเป็นไปอย่างนี้ ถ้าถามว่าอะไรมันสร้างขึ้นมา อะไรมันควบคุมอยู่ มันบังคับอยู่ ก็เรียกว่ากฎของธรรมชาตินี่สร้างสิ่งเหล่านี้ให้มันเกิดขึ้นมา แล้วให้มันเปลี่ยน แล้วให้มันดับไป แล้วให้มันเกิดขึ้นมา มันเปลี่ยนไป แล้วมันดับไป
กฎนี้มันก็ทรงตัวมันเองอยู่ได้ เป็นสัจจะ เป็นธาตุอันหนึ่งด้วยเหมือนกัน กฎนี้เป็นธาตุ ธา-ตุ อันหนึ่งด้วยเหมือนกัน แล้วเป็นธรรมเพราะว่ามันทรงตัวมันเองอยู่ได้ ถ้าเรารู้จักร่างกายนี้ว่ามันเป็นตัวธรรมชาติ แล้วก็มีกฎของธรรมชาติควบคุมอยู่
เอ้า, ทีนี้ก็ดูต่อไปเป็นสิ่งที่สาม เรียกว่าหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ ทุกอย่างที่เป็นภายนอกตัวเรากับที่เป็นภายในตัวเรามันมีหน้าที่ที่จะต้องประพฤติกระทำให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ มิฉะนั้นมันจะต้องตาย สิ่งที่มีชีวิตทั้งหลาย นับตั้งแต่ต้นไม้ขึ้นไปนี่ มันต้องทำอะไรให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ แล้วมันก็ดำรงอยู่ มีชีวิตอยู่ ถ้ามันทำผิด มันก็ต้องตาย สัตว์เดรัจฉานทั้งหลายมันก็ต้องมีหน้าที่ประพฤติกระทำให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ ซึ่งก็คล้ายกับมนุษย์มาก เช่นมันต้องกินอาหาร ต้องถ่ายอุจจาระปัสสาวะ ต้องมีการเคลื่อนไหว มีการออกกำลัง มีการอาบแดด มีการลงน้ำ มี แล้วแต่มันจะต้องทำ เพื่อให้มันรอดชีวิตอยู่ได้
นี่มาถึงคนเรา ก็มีหน้าที่ที่จะต้องทำให้รอดชีวิตอยู่ได้อย่างที่เห็นๆ กันอยู่ว่าต้องกิน ต้องอาบ ต้องถ่าย ที่มันกระทำไปโดยกฎของธรรมชาติที่เราไม่ต้องเจตนาก็มี เช่น มันต้องหายใจ ต้องสูบฉีดโลหิต อย่างนี้มันก็ทำไปได้โดยกฎธรรมชาตินั้นโดยที่ไม่ต้องเจตนา ที่เราต้องเจตนาจะต้องทำ เช่น ต้องกิน ต้องอาบ ต้องถ่าย นี้ก็ทำไปด้วยเจตนา แต่ทั้งหมดนั้นมันต้องถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ จึงจะรอดชีวิตอยู่ ทั้งหมดนี้เราเรียกว่าหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ ที่เป็นชั้นต่ำทั่วไปก็คือให้รอดชีวิตอยู่ ที่เป็นชั้นสูงก็คือให้มีความสงบสุขยิ่งๆ ขึ้นไปจนกระทั่งเรียกว่าบรรลุมรรคผลนิพพาน
การบรรลุมรรคผลนิพพานก็เป็นหน้าที่ของมนุษย์ที่ต้องการจะให้ถึงระดับสูงสุดของความเป็นมนุษย์ ถ้าไม่ต้องการจะไปให้ถึงสูงสุด ระดับสูงสุดของความเป็นมนุษย์ ก็ได้เหมือนกัน ไม่ต้องทำ แต่ว่ามันก็เป็นมนุษย์ที่ไม่สมบูรณ์ เป็นมนุษย์ที่จะเสียชาติเกิดก็ได้ เป็นมนุษย์ทั้งทีแล้วมันก็ต้องเลื่อนขึ้นไป เลื่อนขึ้นไปให้ถึงที่สุด ระดับสูงสุด ฉะนั้นจึงถือว่าเป็นหน้าที่ เป็นหน้าที่ด้วยเหมือนกัน หน้าที่ที่เราจะไปให้ถึงระดับสูงสุดของความเป็นมนุษย์ เราจึงทำหน้าที่ทั่วไปหาเลี้ยงชีวิตให้รอดอยู่ได้ หน้าที่พิเศษก็คือให้มันก้าวหน้าสูงสุดจนบรรลุมรรคผลนิพพาน
ตัวหน้าที่นี้ก็เรียกว่าธรรม ธรรมะในฐานะที่เป็นหน้าที่ มันเป็นธรรมธาตุอันหนึ่งด้วยเหมือนกัน คือเป็นธาตุอันหนึ่งด้วยเหมือนกัน ซึ่งเราไม่ค่อยได้ยิน ไม่เคยได้ยินได้ฟัง แต่อาศัยหลักของพระพุทธศาสนาแล้ว สิ่งนี้ก็เป็นธาตุอันหนึ่งด้วยเหมือนกัน เป็นธาตุแห่งการกระทำ มันก็ต้องกระทำ และมันทรงตัวมันอยู่ได้ในฐานะที่เป็นหน้าที่ แล้วมันก็ทรงผู้กระทำหน้าที่นั้นให้รอดชีวิตอยู่ได้ ฉะนั้นจึงเรียกว่าธรรม แบ่งกันอย่างนี้ก็ได้ว่า หน้าที่ที่มันทรงตัวมันเองอยู่ได้ การทรงตัวเองอยู่ได้นี้เรียกว่า ธาตุ หรือ ธา-ตุ ที่มันทรงผู้ปฏิบัติให้รอดอยู่ได้ ให้เจริญยิ่งๆ ขึ้นไป นี้ก็เรียกว่าธรรม นี่เราก็มีธรรมคือหน้าที่ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ
ท่านทั้งหลายอุตส่าห์มาฟังเทศน์ ก็เพื่อจะได้รู้เรื่องหน้าที่ที่จะต้องทำให้สูงยิ่งๆ ขึ้นไปจนกว่าจะบรรลุมรรคผลนิพพาน มิฉะนั้นแล้วจะมาทนลำบาก มาฟังกันอยู่ทำไม มันเป็นหน้าที่ที่จะต้องฟังก่อน ครั้นรู้ครั้นเข้าใจแล้วก็ประพฤติปฏิบัติให้ได้รับผลเต็มตามนั้น การศึกษาการฟังก็เป็นหน้าที่ การปฏิบัติก็เป็นหน้าที่ เราศึกษาเราฟังนี้ก็เพื่อให้รู้จักความจริงที่เป็นกฎของธรรมชาติว่ามีอยู่อย่างไร ครั้นรู้แล้วก็ทำหน้าที่อันนั้น คือปฏิบัติ เช่นว่าจะต้องละกิเลสเป็นหน้าที่ ก็ละกิเลส มีการฝึกฝนอบรมอยู่ตลอดเวลา เพื่อป้องกันไม่ให้กิเลสมันเกิดขึ้น มันก็ไม่มีความเคยชินที่จะเกิดขึ้น กิเลสมันก็จะหมดไป เบญจขันธ์นี่ก็จะบริสุทธิ์สะอาดไม่มีความทุกข์ นี้เรียกว่าธรรม ธรรมะ ที่ทรงผู้ปฏิบัติไม่ให้ตกลงไปในความทุกข์ ธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ มีแล้วก็ทรงตัวผู้ปฏิบัติไม่ให้ตกลงไปในความทุกข์
ทีนี้ธรรมะในความหมายที่สี่ หมายถึงผลจากหน้าที่ มันก็คือประโยชน์ที่ได้รับนั่นเอง รอดชีวิตอยู่ได้ก็เป็นผลของการทำหน้าที่ ก็มีการเลื่อนสูงขึ้นไป คือบรรลุธรรมะที่สูงขึ้นไปๆ สูงขึ้นไป นี่ก็เป็นผลของการปฏิบัติหน้าที่ มันเป็นส่วนผลของการกระทำ การกระทำนั้นก็เป็นหน้าที่ เป็นธรรมะในส่วนที่เป็นหน้าที่ ครั้นได้รับผลมาก็เป็นธรรมะ ในฐานะที่เป็นผลของการทำหน้าที่ เมื่อเราได้ยินได้ฟังแล้วไปประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้อง แล้วมันก็ได้รับผลของการปฏิบัติ มันจึงสำคัญอยู่ที่ความถูกต้อง ถ้าไม่ถูกต้องมันไม่ได้รับผลของการปฏิบัติ
ทีนี้ถูกต้องตามอะไร ก็ถูกต้องตามกฎของธรรมชาตินั่นเอง เราจึงกล่าวว่ามีหน้าที่ที่จะต้องประพฤติกระทำให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ ทีนี้ความถูกต้องนั้นคืออะไร คือความถูกต้องสำหรับที่จะรอดอยู่ได้ ถูกต้องเพื่อจะรอดอยู่ได้ ไม่ได้ถูกต้องเพื่ออย่างอื่น มันจะรอดอยู่ได้โดยวิธีใด มันก็ต้องเป็นไปอย่างนั้น เรียกว่าถูกต้องสำหรับที่จะรอดอยู่ได้
ทีนี้พระพุทธเจ้าท่านทรงเปิดเผย ชี้แนะให้เลยว่า ถูกต้อง ๘ ประการที่เรียกว่าอัฏฐังคิกมรรค สัมมาทิฐิ ถูกต้องในเรื่องความรู้ ความคิด ความเห็น ความเชื่อ สัมมาสังกัปโป ถูกต้องในเรื่องของความใฝ่ฝัน ปรารถนา ดำริตริตรึก สัมมาวาจา ถูกต้องในการพูดจา สัมมากัมมันโต ถูกต้องในการกระทำการงาน สัมมาอาชีโว ถูกต้องในที่จะดำรงชีวิตอยู่ สัมมาวายาโม ถูกต้องของความพากเพียร พยายาม ดิ้นรนขวนขวายอยู่ สัมมาสติ ถูกต้องในการที่จะระลึกไว้เป็นหลักประจำใจ เช่นว่าหน้าที่มีอยู่อย่างไร ระลึกไว้อย่างถูกต้อง อย่าให้มันลืมเสีย สัมมาสมาธิ มันก็ถูกต้องในการดำรงจิตไว้อย่างมั่นคง พบความถูกต้องแล้ว ดำรงจิตไว้ในความถูกต้องนั้นอย่างมั่นคง จึงมีความถูกต้องที่พระองค์ทรงเปิดเผยไว้ให้แล้วว่ามันมีอยู่ ๘ ประการ ถ้าให้เราคิดเอาเองมันคงจะไม่พบก็ได้ จะตายเปล่า ไม่พบก็ได้ คว้าเอาเอง อาจจะพบก็ได้ แต่มันลำบากมาก
เดี๋ยวนี้มันเป็นบุญเป็นกุศลอย่างยิ่งอยู่แล้วที่พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงความถูกต้อง ๘ ประการนี้ไว้ให้ในฐานะเป็นหนทาง ก็คือเป็นหน้าที่นั่นเอง มีหน้าที่ที่จะปฏิบัติในความถูกต้องทั้ง ๘ ประการนี้ ขอให้ท่านทั้งหลายกำหนดจดจำไว้ให้ดีๆ เพราะว่าวันนี้เป็นวันพระธรรม อย่านั่งใจลอย อย่านั่งมึนชาโงกง่วง เสีย มาตั้งใจให้ดีๆ ว่าวันนี้เป็นวันพระธรรม เป็นวันพระธรรม เป็นวันพระธรรม ออกชื่อพระธรรม คิดนึกถึงพระธรรม
วันนี้เป็นวันพระธรรม ศึกษาเรื่องความถูกต้องแล้วก็ปฏิบัติในความถูกต้อง ให้ถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์ มีความถูกต้องแล้วก็จะดำรงไว้ซึ่งบุคคลผู้นั้น ถ้าไม่ถูกต้องแล้วมันก็ไม่ดำรง มันก็ไปในทางความผิดพลาด มันก็จมลงไปในความทุกข์ ถ้าถูกต้องแล้วมันก็ขึ้นมาจากความทุกข์ ความถูกต้องมันเป็นอย่างนี้
ทีนี้ก็ขอให้ระลึกนึกไว้เสมอว่าธรรมะคือระบบการปฏิบัติที่ถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์ทุกขั้นทุกตอนแห่งวิวัฒนาการของเขาทั้งเพื่อประโยชน์ตนและเพื่อประโยชน์สังคมรวมกันทั้งหมด หมายความว่าท่านทั้งหลายจะต้องไปกระทำให้เกิดผลดีทั้งแก่ตนเองและแก่ผู้อื่นทั้งหมด คือทำให้เกิดความถูกต้องตรงตามหลักของธรรมะที่เป็นหน้าที่สำหรับสิ่งที่มีชีวิตจะต้องประพฤติและกระทำ
เราก็มานึกดู สอบสวนดู ทดสอบดูว่าในตัวเรานี้มันมีความถูกต้องหรือหาไม่ หรือมีแต่ความผิดพลาด เช่นว่าเราเผลอนิดเดียว มีสติไม่ถูกต้องเพียงนิดเดียว มันก็เกิดกิเลส เช่น โลภะ โทสะ โมหะ ขึ้นมาในใจ แม้ที่สุด จะหงุดหงิดอยู่สักนิดหนึ่ง ก็เรียกว่ามันผิดแล้ว มันผิดแล้ว ถ้ามันมีความหงุดหงิด กระทบกระทั่งแห่งจิต เป็นความไม่สบายอยู่ในจิตสักนิดหนึ่งเท่านั้นแหละ ก็เรียกว่ามันผิดแล้ว มันไม่ถูกต้องแล้ว ไปจัดการกันเสียใหม่ ปรับปรุงแก้ไขกันเสียใหม่ ให้มันมีความถูกต้องจนสิ่งที่เป็นความทุกข์นั้นมันหายไป นี้เรียกว่าความถูกต้องอย่างนี้
ชีวิตนี้มันรอดอยู่ได้ด้วยความถูกต้อง ย้ำแล้วย้ำอีกว่าชีวิตนี้มันรอดอยู่ได้ด้วยความถูกต้อง ชีวิตนี้มันจะเจริญรุ่งเรืองพัฒนายิ่งๆ ขึ้นไปก็เพราะความถูกต้องอีกเหมือนกัน มันถูกต้องสำหรับจะมีชีวิตอยู่ ให้มันถูกต้องสำหรับความที่จะเจริญสูงยิ่งๆ ขึ้นไปจนบรรลุมรรคผลนิพพาน มันรวมอยู่ในคำว่าถูกต้องนั่นเอง
เป็นอันว่าวันนี้ คือ วันอาสาฬหปุณณมี นี้ เป็นวันที่พระองค์ทรงแสดงความถูกต้องให้แก่มนุษย์ทั้งหลายที่เรียกว่า มัชฌิมาปฏิปทา อัฏฐังคิโก มัคโค มันเป็นความถูกต้อง เป็นระบบ ประพฤติปฏิบัติระบบใหญ่ระบบหนึ่ง ซึ่งมีความถูกต้องสำหรับจะบรรลุมรรคผลนิพพาน เราทั้งหลายทุกคนมารับนับถือพระองค์เป็นพระศาสดาเป็นที่พึ่งนี้มันเข้ามาด้วยความโง่ความหลับตา หรือว่าเข้ามาด้วยความฉลาด หรือว่าเข้ามารับเอาพระธรรมนี้ด้วยการเห่อๆ ตามๆ กันมา ถ้ามันเข้ามาด้วยความโง่หรือเห่อๆ ตามๆ กันมา นั้นมันยังไม่ถูกต้อง รีบแก้ไขให้มันเห็นแจ่มแจ้งชัดเจน โดยไม่ต้องเห่อๆ ตามๆ กันมา เห็นชัดอยู่ว่าพระธรรมนั้นเป็นอย่างไร จะทำให้เกิดความรอดและความก้าวหน้าไปจนถึงมรรคผลนิพพานได้อย่างไรกัน
วันนี้เป็นวันพระธรรม ต้องชำระ สะสาง สอบสวน สอบไล่ สอบอะไรก็ตามกันเป็นการใหญ่ เพื่อผลดีแก่การมีพระธรรม เราควรจะทำอย่างนี้ และเราได้ทำอย่างนี้กันหรือเปล่า ทุกคนก็ดูเอาเอง รู้จักตัวเอง ทดสอบตัวเองว่า วันนี้ได้ทำอย่างนี้หรือเปล่า ได้สนใจเกี่ยวกับพระธรรม รับเอาพระธรรมมาได้สำหรับประพฤติปฏิบัติให้เกิดความถูกต้องอย่างเพียงพอแก่ความเป็นมนุษย์ของตน นี่อย่าให้เสียทีที่ว่าได้มีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นแล้วในโลก และได้ทรงแสดงธรรมที่เป็นไปเพื่อพระนิพพานให้แล้ว และเรารับเอาไม่ได้ เรารับเอาไม่ได้มันก็เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์และได้พบพระพุทธศาสนาแล้วรับเอาไม่ได้ เหมือนกับว่ามีแสงแดด เราได้ถูกแสงแดด ได้รับประโยชน์จากแสงแดด มันอย่างนั้นแหละ แต่นี่มีพระธรรมส่องแสงอยู่ในโลกโดยพระพุทธเจ้าทรงกระทำให้เป็นไป เราได้รับแสงแห่งพระธรรม มาใช้ให้เป็นประโยชน์หรือเปล่า หรือยังไม่ได้รับประโยชน์อะไรเลย เหมือนกับว่าได้รับแสงแดงแล้วแต่ไม่เป็นประโยชน์อะไรเลย นี่มันก็ไม่ถูก
มันควรจะได้รับประโยชน์เต็มที่เต็มเปี่ยมของที่แสงแดดมันจะมีประโยชน์ให้อย่างไร นี้ก็เหมือนกันแหละว่าพระธรรมมีประโยชน์อย่างไร จะให้ประโยชน์อย่างไร เรารับเอาให้ได้ รับเอาให้หมด ฉะนั้นขอให้สนใจในเรื่องนี้ และทำให้ได้ก่อนตาย ก่อนแต่ที่จะตาย อาตมาพูดว่าก่อนแต่ที่จะตาย ให้ได้รับแสงแห่งพระธรรม แล้วก็ได้รับประโยชน์จากแสงนั้นด้วย จึงจะเป็นพุทธบริษัท เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ได้รับประโยชน์จากการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า มีผลพิเศษประเสริฐน่าอัศจรรย์ยิ่ง ไม่มีอะไรจะน่าอัศจรรย์ยิ่งไปกว่าพระธรรม สำหรับจะเรียนรู้ก็น่าอัศจรรย์เหลือเกิน สำหรับจะปฏิบัติก็น่าอัศจรรย์เหลือเกิน สำหรับจะเป็นผลของการปฏิบัติเพื่อความสุขมันก็น่าอัศจรรย์เหลือเกิน ไม่มีอะไรจะน่าอัศจรรย์ยิ่งไปกว่าพระธรรม แต่แล้วมนุษย์ก็ไม่ได้สนใจในพระธรรมให้สมกับความดี ความประเสริฐ ความน่าอัศจรรย์ของพระธรรมนั้น
มนุษย์ในโลกปัจจุบันไปบูชาของหลอกๆ คือความสุข สนุกสนาน เอร็ดอร่อยทางวัตถุ ทางเนื้อ ทางหนัง ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ซึ่งท่านทั้งหลายก็เห็นอยู่ชัดๆ แล้วว่าลูกหลานของเราเขากำลังหลงใหลกันอย่างไร ลูกหลานของเราคงจะคิดว่าคุณพ่อคุณแม่ของเราช่างแสนโง่ มานั่งประชุมพูดบ้าๆ บอๆ อะไรกันไม่รู้ ทำไมไม่ไปดูหนัง ดูละคร ฟังเพลง กิน ดื่ม เล่นให้สนุกสนาน เหมือนที่เขากำลังไปกระทำกันอยู่ ทำไมมานั่งพูดเรื่องอะไรก็ไม่รู้อยู่ที่ตรงนี้ คิดดูเถิดว่าลูกหลานของเราเป็นอย่างไร แล้วเรานี้เป็นอย่างไร และมันจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อลูกหลานของเราไม่สนใจในพระธรรม มันจะเกิดอะไรขึ้นถ้าจะไม่ได้รับอะไรอย่างที่เราได้รับ เขาจะไม่มีธรรมะ ไม่รู้ธรรมะ ไม่ปฏิบัติธรรมะ ไม่ได้รับความสงบเย็นเป็นมรรคผลนิพพานจากพระธรรม เพราะว่าเขาไม่มีพระธรรม เพราะว่าวันนี้ไม่ใช่วันพระธรรมสำหรับเขา เขาจึงไม่มาสนใจในพระธรรม
ขอให้นึกถึงลูกหลานของเราให้มาก ไอ้คนแก่ๆ เหล่านี้ ไม่เท่าไรก็ตาย แล้วก็เหลืออยู่แต่ลูกหลานซึ่งไม่มีธรรมะ ไม่มีพระธรรม แล้วโลกนี้มันจะเป็นอย่างไร อาตมาเชื่อว่าโลกนี้มันต้องวินาศแน่นอน ถ้ามีแต่คนสักว่าเป็นคนที่ไม่มีพระธรรม มันต้องมีมนุษย์ที่ประกอบไปด้วยธรรม มันจึงจะรอดอยู่ได้ ก็ทำผิด ไม่มีความถูกต้อง มันก็มีความวินาศเกิดขึ้นในจิตใจในตัวของเขาก่อน แล้วมันก็ค่อยๆ ออกมากระทบกระทั่งกับผู้อื่น แล้วมันก็เบียดเบียนกัน ก็ทำความวินาศให้แก่กันและกันในทางร่างกายและทางวัตถุ ทรัพย์สมบัติก็วินาศไป ชีวิตก็สูญสิ้นไป เพราะความไม่มีธรรมะของมนุษย์ ไม่มีธรรมะของคน นี่เรามาแบ่งกันตรงนี้ ถ้าคนยังไม่ต้องมีธรรมะก็ได้ แต่ถ้าเป็นมนุษย์แล้ว ควรจะเรียกว่าธรรมะ ก็เรียกว่ามีธรรมะ เพราะคำว่ามนุษย์นั้น มันแปลว่ามีจิตใจสูง
เรานึกถึงลูกหลานของเรา ถ้าเขาไม่มีธรรมะ เขาก็จะมีจิตใจต่ำ ก็วินาศไปด้วยอำนาจของกิเลส วินาศทางใจ วินาศทางจิต วินาศทางวิญญาณในภายใน แล้วมันก็ขยายตัวออกมาถึงภายนอก มันมีการประพฤติกระทำทางกายทางวาจาที่ผิดพลาด ก็ทำความวินาศมาถึงภายนอกออกไปถึงคนอื่นๆ จนเกิดการประทุษร้ายเบียดเบียนกัน อาฆาตจองเวรกันไม่มีที่สิ้นสุด เหมือนกับที่คนบางพวกกำลังจองล้างจองผลาญ ประพฤติประทุษร้ายต่อกันอย่างไม่มีวันจะสิ้นสุดหยุดลงได้ นี่แหละความที่มันขาดพระธรรม ถ้ามันมีพระธรรมมันก็ไม่เป็นอย่างนี้ มันก็จะพูดกันรู้เรื่อง และมันก็จะเมตตากรุณากัน จะรักใคร่กัน และเป็นอยู่กันด้วยความรัก ไม่มีการเบียดเบียนกันเลย นี่พระธรรมจะคุ้มครองโลกอย่างนี้
ทีนี้เราเห็นว่าในโลกนี้มันมีแต่การแข่งขันแย่งชิง อิจฉาริษยา เบียดเบียน สร้างสรรค์อาวุธอันร้ายกาจสูงสุดที่จะทำลายกันให้หมดเกลี้ยงไปในพริบตาเดียวนี้ก็ยังได้ และอีกทางหนึ่งก็สร้างสรรค์แข่งขันกันในทางเศรษฐกิจ คือเพื่อจะเอาประโยชน์ เอากำลังอำนาจทางเงิน ทางอะไรต่างๆ มาเป็นของตัวให้มาก เพื่อจะไว้เป็นเครื่องทำลายผู้อื่น ก็สร้างเศรษฐกิจกันนี้ก็ไม่ใช่เพื่อตัวเองจะมีความสุขอะไร จะเป็นความมุ่งหมายอันแท้จริงก็หาไม่ มันมุ่งหมายจะทำลายผู้อื่น จะครอบงำผู้อื่น และจะเอาประโยชน์ของผู้อื่นมาเป็นของตัวให้มันมากขึ้น นี่แหละเศรษฐกิจ
จิตใจของมนุษย์มันมีอย่างนี้ เราจึงได้เห็นว่าในโลกนี้มีการแข่งขันในทางเศรษฐกิจอย่างนี้ ถ้ามีอะไรมาขัดขวางก็ทำสงครามกัน เข่นฆ่ากัน ไม่มีที่สิ้นสุด อะไรๆ ที่มันเป็นปัญหานี่มันก็มีมูลมาจากความต้องการของคนที่จะเป็นใหญ่ เป็นจ้าวโลก จะครอบครองให้หมดทั้งโลก มันจึงทำให้โลกนี้สั่นสะเทือนไปทั้งโลก ไม่มีความสงบสุขเลย นี่หมายความว่ามันไม่มีธรรมะกว้างออกไป ไม่มีธรรมะยิ่งขึ้นๆ จนไม่มีธรรมะในโลก ไม่มีธรรมะกันทั้งโลก โลกนี้มันก็จะวินาศ
ทีนี้เรามาคิดดูว่ามันเป็นความรับผิดชอบของเราหรือไม่ ถ้าคิดได้ มันก็เห็นว่าเราอยู่คนเดียวในโลกไม่ได้ มันเนื่องกัน ฉะนั้นจงช่วยกันให้มีความถูกต้องในโลก หรือถ้าเรานับถือพระพุทธศาสนา เรายังจะต้องทำให้ตรงตามพระพุทธประสงค์ พระพุทธองค์ทรงประสงค์ว่าให้เราประพฤติประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่นให้ครบถ้วนทั้งหมดไม่มีเหลือ คือ ทั้งเทวดาและมนุษย์ ให้เกิดประโยชน์แก่ผู้อื่นโดยครบถ้วน ทั้งที่เป็นเทวดาและเป็นมนุษย์ นี้เป็นพระพุทธประสงค์ที่ได้แสดงไว้ ให้พุทธบริษัทกระทำ ฉะนั้นเราก็จะต้องสนองพระพุทธประสงค์ คือนึกถึงผู้อื่นด้วย นึกถึงคนทั่วไปทั้งโลกด้วย อะไรจะพอทำได้ก็ต้องทำ ถ้าไม่อย่างนั้นก็เรียกว่าเป็นคนกบฏต่อพระพุทธประสงค์
ทำไมปรับโทษกันถึงกบฏ ก็เพราะว่าเราปฏิญาณตัวเองเป็นพุทธบริษัท เป็นภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา เป็นพุทธบริษัทหมายความว่าจะทำตามพระพุทธประสงค์ ยึดถือพระพุทธองค์เป็นหลัก เป็นคนของพระพุทธองค์ ก็ต้องประพฤติและทำให้ถูกต้องตามพระพุทธประสงค์ ดังนั้นอาตมาจึงพูดแล้วพูดเล่า พูดแล้วพูดอีกว่า จงมานึกถึงพระธรรม มานึกถึงข้อที่พระธรรมกำลังจางหายไปจากโลก โลกนี้จะวินาศ การที่โลกนี้วินาศ ไม่ใช่พระพุทธประสงค์ การที่โลกนี้ยังอยู่และเจริญรุ่งเรืองนั้นเป็นพระพุทธประสงค์ พระองค์ตรัสไว้อย่างนั้น
เราก็สนองพระพุทธประสงค์ให้ธรรมะมีอยู่ในโลก สำหรับคุ้มครองโลก ทรงโลกไว้ไม่ให้แตกทำลายไปเสีย และให้เจริญก้าวหน้าไปในทางที่ถูกต้อง เดี๋ยวนี้มันกำลังเจริญก้าวหน้าไปในทางผิด คือสร้างเหยื่อของกิเลสขึ้นมาในโลกให้เต็มไปหมด ทุกคนมึนเมาด้วยเหยื่อของกิเลส แล้วก็ประหัตประหารกัน แล้วอะไรมันจะเหลือนอกจากความวินาศ มันจะมีแต่ความวินาศ เขากำลังสร้างเหยื่อของกิเลสขึ้นมาในโลกในลักษณะที่ใหญ่โตใหญ่หลวงเรียกว่าอุตสาหกรรม การอุตสาหกรรมคือการทำอย่างใหญ่หลวง ทำด้วยเครื่องจักร ทำกันอย่างมากมายมหาศาล
เดี๋ยวนี้ในโลกเต็มไปด้วยอุตสาหกรรม อุตสาหกรรมนั้นผลิตสิ่งที่เป็นเหยื่อของกิเลสทั้งนั้น พูดอย่างนี้ก็เหมือนกับดูถูกคนอื่น ด่าคนอื่น แต่มันเป็นความจริง ท่านทั้งหลายก็สังเกตดูเถิดว่าที่มันเป็นอุตสาหกรรมผลิตอะไรขึ้นมานั้น มันไม่จำเป็นจะต้องทำก็ได้ ไม่จำเป็นจะต้องมีก็ได้ มันเป็นสิ่งที่เกินความจำเป็น ทำแล้ว ทำขึ้นมาแล้วสำหรับทำให้คนหลงใหลในสิ่งนั้น เพื่อความสุข สนุกสนาน เอร็ดอร่อยจากสิ่งนั้น แล้วก็หลงใหลในสิ่งนั้น ไม่เห็นว่ามันจะนำมาซึ่งความทุกข์ เขาจึงต้องทนทุกข์ทั้งที่ไม่รู้สึกตัว
เดี๋ยวนี้โลกกำลังอยู่ในลักษณะที่ว่าเป็นทุกข์ เพราะมนุษย์หรือคนนั้นมันสร้างขึ้นมาเอง นี่มันโง่สักเท่าไร และมันบ้าสักเท่าไรที่มันสร้างสิ่งที่จะทำให้ตนเองเป็นทุกข์ขึ้นมาในโลกจนเต็มไปหมด ไม่ระมัดระวังให้ดี ไม่กระทำแต่สิ่งที่ควรทำ มันไปทำสิ่งที่ส่งเสริมกิเลสหรือเป็นเหยื่อของกิเลสให้มันหลงใหลอยู่ในเหยื่อเหล่านั้นให้มากยิ่งขึ้นๆ มันกินเกิน มันแต่งเนื้อแต่งตัวเกิน มันใช้สอยเกิน มันเล่นหัวเกิน มันอะไรๆ ก็แต่เกินไปตามอำนาจของกิเลส นี่พระธรรมกำลังไม่มีกำลังหายไป เราจะต้องนึกถึงสิ่งนี้เพื่อความเป็นพุทธบริษัทที่สนองพระพุทธประสงค์ดังที่กล่าวแล้ว
ฉะนั้นการที่เรามาประชุมกันที่นี่ในวันนี้ ซึ่งเป็นวันของพระธรรม เราต้องตั้งใจทำเพื่อพระธรรม จะต้องอุทิศทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อพระธรรม เราจะอดหลับอดนอนกันบ้าง ก็เพื่อประโยชน์แก่พระธรรม จะเอาสิ่งที่เรียกว่าพระธรรมขึ้นมาศึกษา มาเฟ้น มาเลือก มาวินิจฉัย มาใคร่ครวญสอบสวน ให้มันเกิดการกระทำที่ถูกต้องขึ้นมาและยิ่งๆ ขึ้นไป ทั้งเพื่อตัวเราเองและเพื่อสังคม
ท่านทั้งหลายอุตส่าห์มาจากที่ไกล ต่างจังหวัดไกลๆ เสียเงินเสียทอง เสียเวลา เหน็ดเหนื่อย ท่านจะได้อะไร อาตมาบอกว่าจะได้สิ่งที่ดีที่สุดที่เป็นประโยชน์ที่สุดแก่ความเป็นมนุษย์ของท่าน ก็คือการศึกษาเรื่องพระธรรม เพื่อปฏิบัติพระธรรมให้เกิดความถูกต้องที่สูงยิ่งๆ ขึ้นไป เพื่อความเป็นมนุษย์ของเรามันมากขึ้น เพื่อความเป็นพุทธบริษัทของเรามันมากขึ้นๆ ๆ มีคุณค่าในทางธรรมะนี่มากขึ้นๆ โดยส่วนตัวก็จะบรรลุมรรคผลนิพพาน โดยส่วนรวมก็จะมีสันติภาพอยู่กันในโลกเป็นผาสุก แม้ว่ายังไม่บรรลุมรรคผลนิพพาน ก็จะอยู่กันอย่างผาสุก เรียกกันว่าโลกของพระศรีอาริยเมตตรัย อยู่กันด้วยความรักใคร่และเป็นสุข ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเป็นพระอรหันต์ ไม่ต้องเป็นพระอรหันต์กันทุกคน แต่ก็มีธรรมะแล้ว ก็อยู่เป็นสุขได้ด้วยกันทั้งนั้น
อาตมาพูดว่าพระอรหันต์ เอ้ย, พูดว่าโลกของพระศรีอาริยเมตตรัยอยู่แค่ปลายจมูก หมายความว่าไม่มีใครเห็น เมื่อไม่มีใครเห็นแล้วก็ไม่มีใครเอา ก็มันไม่เห็นนี่แล้วมันจะเอาอย่างไรได้ มันอยู่ปลายจมูกแท้ๆ มันยังมองไม่เห็น ที่ว่าอยู่ปลายจมูกนี้ก็คือว่า มันอยู่ที่ว่ารักผู้อื่นเท่านั้นแหละ ก็เป็นโลกพระศรีอาริยเมตตรัยขึ้นมา บางคนฟังจนเบื่อที่จะฟังอีกแล้ว แต่บางคนยังไม่เคยฟัง อาตมาก็จะขอพูดกับคนที่ยังไม่เคยฟังว่า รักผู้อื่นเท่านั้นแหละ โลกนี้ก็กลายเป็นโลกพระศรีอาริยเมตตรัย เพระเหตุไร เพระเหตุว่ารักผู้อื่นแล้วมันฆ่ากันไม่ได้ รักผู้อื่นแล้วมันลักขโมยกันไม่ได้ รักผู้อื่นแล้วมันประพฤติผิดกาเมต่อกันไม่ได้ รักผู้อื่นแล้วมันโกหกหลอกลวงกันไม่ได้ รักผู้อื่นแล้วมันกินเหล้าเมายาให้ผู้อื่นรำคาญไม่ได้ รักผู้อื่นแล้วก็สามัคคีกัน ช่วยทำโลกนี้ให้มีความสงบสุข พอไม่มีฆ่า ไม่มีขโมย ไม่มีประพฤติเลวทรามต่างๆ มันก็อยู่สบายเป็นโลกของพระศรีอาริยเมตตรัย เหลียวไปทางไหนก็มีแต่คนรัก ไม่มีศัตรู นี่เขาจึงว่าเป็นโลกของพระศรีอาริยเมตตรัย
“เมตตรัย” แปลว่าเนื่องด้วยความเป็นมิตร หรือมีความเป็นมิตร มีความเป็นมิตรสูงสุดจนเรียกว่า ศรีอาริยเมตตรัยยะ มีความเมตตาสูงสุดประเสริฐ มันก็ไม่มีอันตราย จึงอยู่กันเป็นสุขสบาย เรียกว่าเป็นโลกพิเศษ ถ้าเกิดขึ้นได้ในสมัยนี้ คือสมัยที่ความเจริญทางวัตถุก็มีมากด้วยแล้ว ความสะดวกสบายก็จะมีมากยิ่งกว่าสมัยพระพุทธเจ้า สมัยพระพุทธกาลที่ล่วงมาแล้วกว่าสองพันปี สมัยนั้นไม่มีความก้าวหน้าทางวัตถุ พระพุทธเจ้าไม่เคยนั่งรถยนต์ พระพุทธเจ้าจะนั่งรถยนต์อย่างไรได้ แม้แต่ร่มก็ไม่มี แม้แต่รองเท้าก็ไม่มี แม้แต่มุ้งก็ไม่มี ถ้าเป็นอย่างสมัยนี้ก็มีอะไรๆ ก็ต้องมีห้องเย็น ถ้าว่ามันเป็นมนุษย์ที่ดี รักใคร่เมตตากรุณากัน สิ่งอำนวยความสุขความสะดวกมันมีมาก เทียบส่วนกันมันก็เป็นโลกพระศรีอาริยเมตตรัยได้จริง
ขอให้ท่านทั้งหลายจงได้รีบช่วยกันทำให้ธรรมะกลับมาในหมู่มนุษย์ที่กำลังก้าวหน้าในทางวัตถุ แล้วก็จะสมบูรณ์ทั้งทางจิตทั้งทางกาย ทางจิตก็มีธรรมะสูงสุด ทางกายก็มีวัตถุปัจจัยเกื้อกูลแก่ความสะดวกความผาสุกทางกาย มันก็เป็นโลกที่น่าดูน่าอยู่ แต่อย่าไปหลงมันก็แล้วกัน ทีนี้มีอะไรสักนิดหนึ่งก็มักจะหลงกันเสียแล้ว มันก็มีสำหรับจะเป็นทุกข์ ถ้ามีสำหรับจะหลงใหลมันก็มีสำหรับจะเป็นทุกข์ ฉะนั้นมีไว้สำหรับจะใช้ให้เป็นประโยชน์เท่าที่ควรจะมีจะใช้ มันก็ไม่เป็นทุกข์ เอาแต่ความสะดวกเถิด อย่าเอาความสนุกสนานเอร็ดอร่อยมันมากไปเลย เอาแต่ความสะดวกเถิด ไปไหนมีรถยนต์ขี่ มีรถยนต์ มีรถไฟขี่ มีเรือบินขี่ เอาแต่ความสะดวกเถิด อย่าไปหลงไปบ้ากับสิ่งเหล่านั้นเลย ไม่มีก็ได้ ถ้าไม่มีก็ไม่เป็นไร ก็ใช้กันไป ถ้าไม่มีก็ไม่เป็นไร ถ้ามีก็ใช้กันไป ขอแต่ให้จิตใจมันสะอาด สว่าง สงบเต็มที่ตามความหมายของพระธรรม
นี่วันนี้เป็นวันพระธรรม ไม่รู้จะพูดอะไรดี ก็พูดแต่เรื่องพระธรรม เดี๋ยวก็ธรรม เดี๋ยวก็ธรรม เดี๋ยวก็ธรรม ไม่รู้กี่ร้อยกี่พันคำแล้วว่าเกี่ยวกับพระธรรม ขอให้นึกถึงคำว่า ธรรม หรือการปฏิบัติที่เรียกว่า พระธรรม คุ้ยเขี่ยขึ้นมาชำระสะสางให้เกิดความถูกต้องยิ่งๆ ขึ้นไป แล้วความถูกต้องนั้นก็จะช่วยมนุษย์ให้ได้รับประโยชน์สูงสุดเต็มตามความหมายของคำว่ามนุษย์ และมีมนุษยธรรม ธรรมะสำหรับมนุษย์เพื่อความสูงสุดของมนุษย์ เกิดมาต้องได้รับสิ่งที่ดีที่สุด คือความไม่มีความทุกข์เลย มีจิตใจว่างจากความทุกข์ ว่างจากความเศร้าหมอง ว่างจากกิเลสซึ่งเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ มันก็เรียกว่ามีเบญจขันธ์อันบริสุทธิ์ รูปก็บริสุทธิ์ เวทนาก็บริสุทธิ์ สัญญาก็บริสุทธิ์ สังขารก็บริสุทธิ์ วิญญาณก็บริสุทธิ์ เพราะมันไม่ถูกจับเอาด้วยกิเลส มันไม่ถูกยึดครองด้วยอุปาทาน มันก็เป็นวิสุทธิขันธ์ เป็นขันธ์ที่บริสุทธิ์ มันไม่เป็นปัญจุปาทานขันธ์ คือขันธ์ที่ถูกจับยึดด้วยอุปาทานแล้วก็มีความทุกข์ นั้นมันผิดธรรมะมันจึงมีความทุกข์ มันไม่ถูกต้อง มันไม่มีความถูกต้องตามความหมายของคำว่าธรรมะที่ถูกต้องสำหรับความเป็นมนุษย์เพื่อจะไม่เป็นทุกข์ มันก็ถูกต้องสำหรับที่จะเป็นทุกข์ มันก็เป็นทุกข์ ถ้ามันถูกต้องสำหรับจะไม่เป็นทุกข์ มันก็ไม่เป็นทุกข์ มันมีอยู่อย่างนี้ ทีนี้ความถูกต้องที่เราต้องการนั้น มันถูกต้องสำหรับจะไม่เป็นทุกข์ อย่าไปเอาถูกต้องสำหรับที่จะเป็นทุกข์เลย มันไม่ได้ประโยชน์อะไร มันเป็นทุกข์ทั้งนั้น
ฉะนั้นตั้งใจไว้ให้ดีๆ พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้อย่างนี้ ถ้ามันจะทุกข์หรือมันจะสุข ก็เพราะว่ามันตั้งใจไว้ผิด ตั้งใจไว้ถูก นั้นเอง ตั้งใจไว้ผิด มันก็ต้องเป็นทุกข์ ไม่มีใครช่วยได้ ตั้งใจไว้ถูก มันก็ไม่มีทุกข์ ไม่ต้องมีใครมาช่วย มันก็ไม่เป็นทุกข์ของมันเอง
นี่เราศึกษาพระธรรมให้ถึงที่สุด เพื่อตั้งใจไว้อย่างถูกต้องสำหรับที่จะไม่เป็นทุกข์ นี่หละมันคุ้มค่าคุ้มเวลาในการที่ท่านทั้งหลายอุตส่าห์มา ลงทุนกันด้วยความเหน็ดเหนื่อยลำบากหมดเปลืองเสียเวลา เป็นต้น และก็มาจากที่ไกล ถ้ามันมาจากที่ไกลไม่ได้อะไรกลับไปแล้วผีมันโห่นะ อาตมาว่าอย่างนี้ กลับไปให้ผีมันโห่ มาจากจังหวัดไกลๆ ทางโน้น แล้วกลับไปไม่ได้อะไรแล้วผีมันโห่ ฉะนั้นจะต้องระวังให้ดี กลับไปบ้านนี้มันต้องได้อะไรไปบ้าง อย่าให้ผีมันโห่ ให้เรามันโห่ผี มันจึงจะถูกกับเรื่องว่าเดี๋ยวนี้ฉันมีอะไรดีๆ มาแล้ว แกจะทำอะไรฉันไม่ได้ ฉันมีความถูกต้องที่จะไม่เป็นทุกข์
ผีในที่นี้ก็คือกิเลสก็ได้ อย่าให้กิเลสมันโห่ ให้กิเลสมันได้เปรียบ มันตีปีก เยาะให้คนที่มันไม่ได้อะไรไปสำหรับจะปราบปรามกิเลส เรามีธรรมะได้ไปเพียงพอสำหรับจะปราบปรามกิเลส กิเลสมันไม่มีโอกาสจะโห่เรา ได้เพียงเท่านี้อย่างนี้นี่คุ้มกันหรือยังที่อุตส่าห์ลงทุนลงแรงมาทั้งที มันได้เพียงเท่านี้มันคุ้มกันหรือยัง อาตมาว่าคุ้มเกินคุ้มไปเสียอีก ตัวเองก็ได้รับประโยชน์ เพื่อนมนุษย์ทุกคนก็ได้รับประโยชน์ในการที่เรามีธรรมะ ประพฤติปฏิบัติอยู่ กำจัดความทุกข์ให้สูญไปให้หายไป ตัวเองก็เป็นสุข เพื่อนมนุษย์ก็อยู่เป็นสุข สมตามพระพุทธประสงค์ว่าพุทธบริษัททั้งหลาย จะช่วยกันรักษาธรรมะวินัยที่ตถาคตแสดงแล้ว ประกาศแล้วนี้ไว้เพื่อประโยชน์แก่มหาชนทั้งเทวดาและมนุษย์
คำว่าทั้งเทวดาและมนุษย์นี่ขอพูดซ้ำอีก ขอจำกัดความซ้ำๆ อีกว่าให้มันทุกคน ไม่ยกเว้นอะไร ไม่ยกเว้นใคร เทวดาคือคนไม่รู้จักเหงื่อ มนุษย์คือผู้รู้จักเหงื่อ ต้องอาบเหงื่อนี่ ทั้งคนที่รู้จักเหงื่อและไม่รู้จักเหงื่อ ให้มันได้รอดตัว ก็แปลว่าหมด มันไม่มียกเว้นใคร พระพุทธองค์ทรงหวังไว้อย่างนี้ว่า ธรรมวินัยนี้จะเป็นประโยชน์แก่ทุกคนได้จริง ทั้งคนที่รู้จักเหงื่อและคนที่ไม่รู้จักเหงื่อ เอากันในโลกนี้ก็ได้ คนไม่รู้จักเหงื่อในโลกนี้แหละเป็นเทวดา มันเห็นได้ง่าย แม้ว่าเทวดาในสวรรค์ข้างบนโน้นที่ไม่เคยไปเห็นนั้น มันก็มีความหมายอย่างนี้แหละ มันไม่ต้องไม่มีเหงื่อ ถ้ามันมีเหงื่อแล้วมันจุติจากเทวดา มันกลายมาเป็นมนุษย์นั่น เทวดาในสวรรค์ ชั้นสวรรค์นั้นแหละ มันก็ไม่รู้จักเหงื่อ พอมันรู้จักเหงื่อมันก็จุติลงมาเป็นมนุษย์นั่น ฉะนั้นเราใช้คำนี้ก็ดีแล้วว่า รู้จักเหงื่อกับไม่รู้จักเหงื่อ
พออาตมาอธิบายอย่างนี้มีคนด่า ด่าว่าพูดเอาใหม่ ยกเลิกของเก่า ทำลายศาสนา อย่างนี้ก็มี ไม่เป็นไร เขาอยากจะพูดอย่างไรก็พูดไป แต่อาตมาต้องการจะให้ท่านทั้งหลายเข้าใจเรื่องนี้ให้มันถูก ให้มันตรง ให้มันเห็นชัด ให้เข้าใจเรื่องเทวดาและมนุษย์นี้อย่างเห็นชัด เป็นสันทิฏฐิโก เห็นชัดด้วยตนเอง รู้สึกด้วยใจเองว่า มีเหงื่อนั้นมันอย่างหนึ่ง ไม่มีเหงื่อนั้นมันอย่างหนึ่ง นี่คือเทวดาและมนุษย์ เป็นปัจจัตตัง เวทิตัพโพ เรารู้ได้ด้วยตัวเราเองว่า บางเวลาเรามีเหงื่อก็เป็นมนุษย์ บางเวลาเราไม่ต้องมีเหงื่อสบายดี เราก็เป็นเทวดา เราก็เป็นเทวดาบ้างเป็นมนุษย์บ้างสลับกันไปด้วยการที่ว่ามันมีเหงื่อหรือไม่มีเหงื่อ
สุขสบายไม่ต้องอนาทรร้อนใจอะไรในเรื่องธรรมดาสามัญนี้ ก็จัดเป็นเทวดาได้ แม้ว่ากิเลสมันจะยังมีอยู่ แต่กิเลสมันไม่ได้สำแดงบทบาท มันสำแดงไม่ได้เพราะเรามีการประพฤติบางอย่างอยู่ กิเลสไม่สำแดงบทบาทได้ มันก็พอเป็นเทวดาไปได้ เป็นสุขพอใจตัวเองอยู่ได้ แต่ความจริงที่พูดอย่างนี้ ต้องการอย่างนี้นั้น ต้องการแต่เพียงว่าให้มันทุกคน ไม่ยกเว้นใคร ได้รับประโยชน์จากพระธรรมคำสอนของพระองค์ ว่าคนจนก็ได้รับ คนมั่งมีก็ได้รับ มนุษย์ธรรมดาก็ได้รับ เทวดาก็ได้รับ ให้มันทุกคนได้รับ บรรดาสัตว์ที่มีความรู้สึกคิดนึกด้วยจิตด้วยใจได้แล้วก็ขอให้ได้รับ
พระธรรมนี้มีไว้สำหรับสัตว์ที่มีความรู้สึกคิดนึกได้ สัตว์เดรัจฉานนั่นไม่มีปัญญาคิดนึกอะไรไม่ได้ คนมีปัญญาคิดนึกอะไรได้ ฉะนั้นสัตว์ “คน” นี่จะต้องได้รับพระธรรม ต้องมีพระธรรม ก่อนสัตว์เดรัจฉาน สัตว์เดรัจฉานเขาทำอะไรถูกต้องไปตามสัญชาติญาณของสัตว์เดรัจฉาน ไม่เกี่ยวกับปัญญา มันก็มีความถูกต้องเท่านั้นแหละ ถูกต้องในระดับสัตว์เดรัจฉาน มันก็ไม่เป็นทุกข์ไปตามระดับของสัตว์เดรัจฉาน แต่มนุษย์นี้มีสติปัญญา เมื่อทำความถูกต้อง ก็เลยทำได้มากกว่าสัตว์เดรัจฉาน ก็ได้รับประโยชน์จากธรรมะยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน
แต่ถ้าไปทำผิดเข้า มันก็ผิดมากกว่าสัตว์เดรัจฉานเหมือนกัน มนุษย์จึงมีความทุกข์ยากลำบากมากกว่าสัตว์เดรัจฉานเพราะเหตุนี้ เดี๋ยวนี้ไม่เป็นไร เรามีพระธรรม มีหลักของพระธรรม มาเป็นเครื่องกำกับความถูกต้อง ให้มันมีแต่ความถูกต้อง ขอให้สติปัญญาของเราประกอบอยู่ด้วยพระธรรมอย่างเต็มที่เถิด มันก็จะมีความถูกต้องสำหรับมนุษย์ทุกขั้นทุกตอนแห่งวิวัฒนาการของตน ของตน เราก็จะมีความสุข พูดกัน เรียกอย่างโฆษณาสักหน่อยเขาก็เรียกว่า มีความสุขทุกขั้นทุกตอนแห่งวิวัฒนาการของตน ถ้าพูดอย่างมากแล้วก็คือไม่มีทุกข์ อยู่อย่างไม่มีทุกข์ทุกขั้นทุกตอนแห่งวิวัฒนาการของตน
พูดว่าสุขนี่มันไม่จริง พูดว่าไม่มีทุกข์นั้น จริงกว่า พูดว่าสุขนี่หลอกลวง มันโฆษณาชวนเชื่อ พูดว่าไม่มีทุกข์นี่มันพูดจริง พูดเท่าที่เป็นจริง เท่าที่มีอยู่จริง เราหวังความไม่มีทุกข์ก็แล้วกัน เป็นที่สิ้นสุดแห่งความทุกข์ก็คือพระนิพพาน เอาเพียงว่าดับทุกข์สิ้นเชิงไม่มีความทุกข์เหลือก็พอแล้ว ธรรมะมีให้มากถึงอย่างนั้น เอาไปสร้างความดับทุกข์สิ้นเชิงไม่มีความทุกข์เหลือ ก็ปัญหาก็หมด มนุษย์ก็ควรจะหมดปัญหากันเพียงเท่านี้แหละ อย่าไปสร้างปัญหาอะไรให้มันมากกว่านี้ ไปเที่ยวสงสัยเรื่องตายเกิด ตายไม่เกิด ให้มันเป็นปัญหาขึ้นมาทำไมอีก เอาแต่ว่ามันไม่มีความทุกข์จริงๆ ก็พอแล้ว
เป็นอันว่าบัดนี้เราได้พูดกันถึงพระธรรม ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่สุด มีความหมายมากที่สุดสำหรับวันๆ นี้ คือวันเพ็ญเดือนแปด เป็นวันที่พระธรรมโผล่ขึ้นมาในโลกด้วยการประกาศเปิดเผยของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทำในใจไว้อย่างนี้เสมอ พอถึงกลางเดือนแปดแล้วรีบนึกถึงพระธรรม มาประชุมกันเป็นพิเศษในลักษณะอย่างนี้เพื่อพระธรรม เพื่อประโยชน์แก่เรา แต่ว่าเป็นที่ระลึกแก่พระธรรม นี้ดูจะเอาเปรียบสักหน่อย พระธรรมท่านไม่ต้องการประโยชน์อะไรหรอก พระธรรมต้องการแต่จะให้ประโยชน์แก่เรา และทำเพื่อประโยชน์แก่เรา เป็นที่ระลึกแก่พระธรรม เพื่อบูชาพระธรรม
ขอให้ท่านทั้งหลายสำนึกในคุณของพระธรรม บูชาพระธรรม ทำการบูชาระลึกแก่พระธรรม ที่เรียกว่า อาสาฬหบูชา แต่แล้วก็เป็นประโยชน์สุขเกื้อกูลแก่เราทั้งหลายตราบกาลนาน (ฟังไม่ชัด นาทีที่ 61.20) ต่อไปนี้ก็ให้นึกถึงผู้อื่น นึกถึงลูกหลานที่กำลังจะสูญสิ้นธรรมะ นึกถึงเพื่อนมนุษย์ที่กำลังลำบากทนทรมานอยู่เพราะไม่มีธรรมะ เพราะว่าธรรมะมันหายไปจากโลก หายไปจากโลก เพราะโลกมันทำผิด เพราะว่าโลกนี้มันให้การศึกษาที่เว้าๆ แหว่งๆ ขาดๆ ด้วนๆ คือไม่มีการศึกษาที่เป็นส่วนของพระธรรมนั่นเอง ถ้าหากว่ามันไม่มีใครมาช่วยทำให้ได้ เรานี่แหละจะทำ พุทธบริษัททั้งสี่นี่แหละจะทำ จะทำให้ธรรมะยังคงมีอยู่ในโลก ช่วยกันศึกษาให้ลูกเด็กๆ เขามีพระธรรม มีความรู้ในพระธรรม ถ้าโรงเรียนหรือรัฐบาลเขาจัดให้ไม่ได้ด้วยเหตุใดก็ตามใจ เรานี่จะทำ เราจะช่วยกันทำให้ลูกเด็กๆ รู้เรื่องพระธรรม และให้ปฏิบัติธรรม ให้ธรรมะมันกลับเข้ามาอยู่ในชีวิตของมนุษย์ อย่าให้มนุษย์มันเป็นเหมือนกับสัตว์หางด้วน หางด้วนแล้วมันดูไม่งาม การศึกษามันมีหางด้วน แล้วหางมันมางอกที่คน คนมันก็จะไม่เป็นคนเพราะมันเกิดหางออกมา คือความผิดพลาด เรารีบทำให้การศึกษาไม่ขาด ไม่ด้วน ไม่แหว่ง ไม่วิ่น คนก็ไม่งอกหาง ค่อยๆ จะหมดหาง ซึ่งเป็นลักษณะของทำให้ถูกต้อง