แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
นักศึกษาผู้มีความสนใจในธรรมทั้งหลาย การบรรยายธรรมะเป็นครั้งแรก ในบัดนี้ จะได้กล่าวโดยหัวข้อว่า ความสับสนที่มีอยู่ในการศึกษาธรรมะ หมายความว่าในการศึกษาธรรมะยังสับสน และก็ได้แก่ การศึกษาธรรมะของท่านทั้งหลายนั่นเอง อาตมาเห็นว่านี่เป็นหัวข้อที่สำคัญ ที่จะต้องพูดกันก่อนแล้วจึงค่อยพูดเรื่องธรรมะเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยเฉพาะเป็นเรื่องๆไป เดี๋ยวนี้การศึกษาธรรมะของท่านทั้งหลายยังสับสน โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือไม่รู้ว่าจะศึกษาไปทำไมหรืออะไร เป็นมูลเหตุอันแท้จริงที่ทำให้มาศึกษาธรรมะ บางคนก็มาสนใจธรรมะด้วยเห่อเห่อตามกันมาว่าเป็นเรื่องที่ดีมีประโยชน์หรือคงจะดีแน่ หรือว่ามาเพราะเหตุที่เป็นสมาชิกกลุ่มพุทธศาสตร์ หรือว่าต้องการจะให้เป็นความรู้รอบตัว อย่างนี้เสียโดยมาก แม้พวกฝรั่งที่มาที่นี่หลายคนหรือหลายพวกแล้ว เมื่อถามถึงข้อที่ว่าอะไรเป็นมูลเหตุอันแท้จริงหรือโดยตรงที่ทำให้ท่านมาสนใจศึกษาพุทธศาสนา ก็ตอบอย่างอ้อมแอ้ม รู้สึกว่า ไม่รู้เหมือนกัน ที่ตอบกันมากที่สุดก็ตอบว่า หวังจะได้ความรู้ ที่จะไปปรับปรุงการเป็นอยู่ในชีวิตในอนาคตให้มันดีขึ้น นี่ก็เป็นคำตอบที่น่าฟังหรือมีเหตุผลเพียงพออยู่เหมือนกัน พวกเราที่นี่จะมุ่งหมายอย่างนั้นด้วยหรือเปล่าก็ลองไปสังเกตดูตัวเอง ที่จริงแล้วก็อยากจะให้เปรียบเทียบดูกับเรื่องที่ธรรมดาสามัญอีกเรื่องหนึ่ง คือเรื่องการเจ็บไข้ การแพทย์หรือการอนามัย คนไปโรงพยาบาลก็เพราะมีเจ็บป่วยอย่างใดอย่างหนึ่งไปขอรับการรักษาและหมอก็รักษาให้ เพราะมันมีการเจ็บป่วยปรากฏอยู่ ทีนี้คนบางพวกก็ไม่มีการเจ็บป่วยปรากฏอยู่ ไปขอให้คุณหมอช่วยตรวจสอบและแนะนำว่าควรจะทำอย่างไร นี่ก็หมายความว่าคนๆนั้นมันไม่ได้เจ็บป่วยอะไร มันไม่รู้สึกว่าเจ็บป่วยอะไร ถามเข้าก็ตอบไม่ถูกแต่ก็ต้องการความช่วยเหลือจากหมอ นี่ก็ด้วยหวังว่ามันคงจะปลอดภัยหรือเป็นผลดีแก่ชีวิตในอนาคต ทั้งที่เวลานี้กำลังไม่ได้เจ็บป่วยอะไร แต่เรื่องอย่างนี้มันเป็นเรื่องสุขภาพอนามัยเสียมากกกว่าที่จะเป็นเรื่องเจ็บไข้ หรือเป็นเรื่องของการแพทย์โดยตรง ทีนี้คนที่ไป โรงพยาบาลเพื่อเหตุผลทางอนามัยอย่างนี้ก็มีอยู่มากไม่แพ้คนที่มันมีการเจ็บป่วยโดยตรง ขอให้ไปบำบัดเยียวยากันเฉพาะโรคนั้น นี่คนที่มาเกี่ยวข้องกับธรรมะก็มีลักษณะอย่างนี้ บางคนมันมีความทุกข์โดยตรงต้องการธรรมะเพื่อจะขจัดความทุกข์นั้นโดยตรง นี่ก็พวกหนึ่ง อีกพวกหนึ่งก็คือศึกษาเผื่อไว้ว่าจะต้องรู้ไว้ให้รอบรู้ไว้สำหรับจะประพฤติปฏิบัติ แต่แล้วส่วนมากก็ไม่ค่อยได้ประพฤติปฏิบัติ ก็มันไม่รู้สึกว่าเจ็บป่วยอะไร นี่การมาศึกษาธรรมะก็ดูจะเป็นอย่างนี้อยู่มาก คนน้อยคนจะมีความทุกข์โดยตรงมาสำหรับให้ช่วยแก้ไขเยียวยารักษา ส่วนใหญ่ก็มาเพื่อจะศึกษาคลุมๆรอบด้านเอาไปไว้สำหรับพูดจากันเสียมากกว่า จะว่าเอาไปไว้เผื่อเมื่อมีความทุกข์เกิดขึ้นก็ดูจะไม่เชิง เพราะยังทำไม่ได้ถึงขนาดนั้น ไม่รู้จักแม้แต่กิเลส ไม่รู้จักแม้แต่ความทุกข์มาฟังๆ จำๆ ไปไม่เท่าไหร่มันก็ลืม นี้เรียกว่าการศึกษาธรรมะมันยังสับสน มันไม่ตรงกับเรื่อง มันยังไขว้เขวกันอยู่ นี่อยากจะบอกให้หมดจดสิ้นเชิงเพราะว่าธรรมะนี้มันมีประโยชน์หรือ อานิสงส์แตกแยกไปได้หลายแขนง หรือทุกแขนง ทีนี้คนมันไม่เหมือนกันนี่ทำให้เกิดมีการศึกษาหลายแขนง ถ้าถามว่าธรรมะคืออะไร ขอให้ช่วยจดจำไว้อย่างแม่นยำมั่นคงเสียเดี๋ยวนี้ว่า ธรรมะนั้นคือระบบของการประพฤติกระทำ ที่ถูกตรงต่อความเป็นมนุษย์ทุกขั้นทุกตอนแห่งวิวัฒนาการของเขา มนุษย์กำลังวิวัฒนาการตั้งแต่เป็นเด็กเป็นหนุ่มสาวเป็นผู้ใหญ่ ผู้แก่ ผู้เฒ่า หรือมีวิวัฒนาการทางจิตใจ คนโง่ไม่รู้อะไร กระทั่งคนรู้ คนรู้มาก คนฉลาด นี่เป็นวิวัฒนาการอยู่ในความเป็นมนุษย์นั้น นี่การประพฤติกระทำให้ถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์ ทุกขั้นทุกตอนแห่งวิวัฒนาการของเขานั้นคือสิ่งที่เรียกว่า “ธรรมะ” ดังนั้นท่านย่อมเห็นได้เองว่าธรรมะย่อมจะต้องมีหลายแขนง หรือจะเรียกว่า หลายระดับชั้นก็ได้ หลายทิศทางก็ได้ เพราะว่ามนุษย์อยู่ในสภาพที่ต่างกัน มีปัญหาต่างกัน ฉะนั้นเราจะต้องดูให้ดีว่า เราเองคนหนึ่งโดยเฉพาะนี้ ต้องการธรรมะอะไร ต้องการระบบปฏิบัติชนิดไหน ถ้าจะพูดให้มันกว้างออกไปอีกตามหลักของภาษา คำว่า ธรรมะ แปลว่าหน้าที่ของมนุษย์ที่จะต้องประพฤติให้ถูกต้องตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติอันเฉียบขาด การที่มนุษย์ปฏิบัติได้ถูกต้องตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติอันเฉียบขาดนั่นแหละ คือธรรมะ อยากจะพูดบ่อยๆ แม้ว่าเคยพูดมาแล้วว่าธรรมะนี่มีความหมาย ๔ความหมาย ธรรมะคือตัวธรรมชาติทั่วๆไปทั้งหมดทั้งสิ้น ไม่ยกเว้นอะไรนี่ก็เรียกโดย บาลีว่าธรรม ว่าธรรมะ กฎของธรรมชาติทั้งหมดทั้งสิ้น ตั้งแต่ก่อนที่จะเกิดมีธรรมชาติขึ้นมาในโลกนี้มันมีกฎของธรรมชาติอยู่แล้ว ดังนั้นธรรมชาติปรากฏการณ์ทั้งหลายจึงเกิดขึ้นมา นี่คือกฎของธรรมชาติมันมีอยู่สำหรับให้ธรรมชาติเกิดขึ้นและเปลี่ยนไป ไอ้กฎธรรมชาตินี้ก็เรียกว่า “ธรรม” หรือ “ธรรมะ” ด้วยเหมือนกัน ที่นี้หน้าที่ที่สิ่งมีชีวิตจะต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติเหล่านั้น นี่ก็คือตัวธรรมะที่สำคัญที่สุด ดังนั้นปทานุกรมธรรมดาสามัญในประเทศอินเดียก็ได้ให้คำแปลของคำว่าธรรมะนี้ไว้สั้นๆ แต่เพียงว่า “หน้าที่” ธรรมะแปลว่าหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ สิ่งที่มีชีวิตย่อมมีหน้าที่ อย่างครบถ้วนตามเรื่องราวของมันที่มันจะต้องประพฤติปฏิบัติ หน้าที่นี้คือธรรมะ จึงมีทั้งทางร่างกาย ทางวัตถุ ทางจิตใจ และจะต้องประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้องไปทุกอย่าง คือต้องมีอาหารกินให้ถูกต้อง มีเครื่องใช้ไม้สอยถูกต้อง มีความเป็นอยู่ เกี่ยวกับร่างกาย เกี่ยวกับอนามัยให้ถูกต้อง นี่มันก็เป็นธรรมะส่วนร่างกาย นี่ก็มีการปฏิบัติให้ถูกต้องตามเรื่องของจิตใจ อย่าให้มีความทุกข์ ทางจิตใจ นี่ก็ถือว่าเป็นหน้าที่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นหน้าที่มันจึงมีทั้งทางกาย และทั้งทางจิต ทางวิญญาณ ทางกายนี้เลื่อนออกไปถึงทางวัตถุสิ่งของด้วย มีวัตถุสิ่งของการใช้สอย วัตถุสิ่งของถูกต้อง มีร่างกาย การปฏิบัติต่อร่างกายที่ถูกต้อง มีการปฏิบัติต่อจิตใจมีอบรมจิตใจให้ดีที่สุด กระทั่งใช้ให้มันเป็นประโยชน์ที่สุด กระทั่งไม่มีความทุกข์เลย นี่เรียกว่า หน้าที่ตามกฎของธรรมชาติที่มนุษย์จะต้องปฏิบัติ หน้าที่นี้คือธรรมะ ธรรมะคือหน้าที่ ที่เหลืออยู่อีกอันสุดท้าย คือผลที่เกิดจากหน้าที่ นี่ไม่ต้องพูดก็ได้ คือเมื่อทำหน้าที่แล้วก็มีผล เกิดเป็นความสุข ความทุกข์อะไรขึ้นมานี่มันเป็นผล ก็เรียกว่า ธรรมะเหมือนกัน ดังนั้นธรรมะในความหมายที่สำคัญที่สุดก็คือหน้าที่ ที่เราจะต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามความหมายของคำว่าเป็น มนุษย์ เพราะฉะนั้นจึงไปเข้ากันกับ บทนิยามทีแรกที่ว่า ธรรมะคือ ระบอบปฏิบัติที่ถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์ในทุกขั้นทุกตอนแห่งวิวัฒนาการของเขา เดี๋ยวนี้อาจจะใช้คำว่าหน้าที่ที่มนุษย์จะต้องประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ เมื่อชีวิตนี้มันเป็นตัวธรรมชาติ เป็นเรื่องของธรรมชาติ กฎของธรรมชาติควบคุมอยู่จึงต้องประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ มันจึงรอดชีวิตอยู่ได้ นี่ก็ได้ความว่าธรรมะนี่มันคือระบบปฏิบัติเพื่อให้รอดชีวิตอยู่ได้ ทีนี้ถ้าให้รอดชีวิตอยู่อย่างเลว อย่างไม่ค่อยมีสาระอะไรมันก็ไม่ไหวเหมือนกัน เพราะฉะนั้นจึงมุ่งหวังจะได้ทำสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ทำ ให้มนุษย์ก็จะได้รับสิ่งที่ดีที่ใดที่มนุษย์ควรจะได้รับ นี่คือ ธรรมะในระดับสูงสุด
ฉะนั้นจึงขอให้สนใจคำว่าหน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิตนับตั้งแต่จะต้องกินอาหาร จะต้องบริหารร่างกายให้รอดชีวิตอยู่ ว่าอย่าง เพื่อให้ดีที่สุด อย่างจะให้ดีที่สุดก็ต้องศึกษาเล่าเรียนอย่างนักศึกษาทั้งหลายกำลังเล่าเรียน นี่ก็เพื่อว่าจะให้มันดีที่สุดในส่วนการเป็นอยู่ ยังไม่ถึงการดับทุกข์ นี่จะขอพูดเสียเลยว่า การศึกษาเล่าเรียนที่นักศึกษาทั้งหลายศึกษาเล่าเรียนกันอยู่นี้ มันเป็นแต่เพียงเพื่อมีชีวิตรอดอยู่ได้ในลักษณะที่ตัวพอใจ เพราะว่าการศึกษาทั้งหลายในโลกเวลานี้มันมีแต่เพียงให้รู้หนังสือซึ่งเป็นเครื่องมือเบื้องต้น และก็เพื่อศึกษาวิชาชีพให้ดีที่สุดตามที่ตัวจะชอบจะพอใจ จะเรียนกฎหมาย จะเรียนแพทย์ หรือจะเรียนอะไรก็สุดแท้ มันจบลงเพียงแค่อาชีพสำหรับดำรงชีวิตอยู่อย่างเป็นที่พอใจของตน ฉะนั้นการศึกษาในโลกมันจึงมีเพียงเพื่ออาชีพ แม้เรียนหนังสือ ก็เรียนเพื่อให้สามารถ เรียนอาชีพ และก็เรียนอาชีพและก็จบกัน มันไม่มีการศึกษาในมหาวิทยาลัยไหน ที่มันสอนเรื่องจิตใจให้รู้ว่ามนุษย์เกิดมาทำอะไร และยังต้องทำสิ่งนั้นให้ถึงที่สุด อย่างนี้มันยังไม่มี มันไม่มี ให้ถือว่าเป็นส่วนที่ยังขาดอยู่ ช่วยจำคำนี้ไว้ให้ดีๆว่า คือส่วนที่มันยังขาดอยู่สำหรับมนุษย์ ผู้เรียนวิชาชีพ เรียนเทคโนโลยีทุกๆ แขนงมีปริญญายาวเป็นหางยิ่งกว่าหางลิง ยาวกว่าหางลิง มันก็แก้ปัญหาในชีวิตไม่ได้ แม้แต่ส่วนตัวยังแก้ปัญหาชีวิตของสังคมคือสันติภาพของโลกนี้ มันก็ยิ่งไม่ได้ เพราะว่าการศึกษานั้นมันไม่ได้เรียนมาเพื่อจะสร้างสันติภาพในโลก มันเรียนแต่เพียงเพื่อประโยชน์ส่วนตัว ยิ่งเรียนมากมันก็ยิ่งเป็นโอกาสที่จะเกิดความเห็นแก่ตัว เมื่อมีอาชีพ สะดวก ดาย กว้างขวาง ง่ายมันก็เปิดโอกาสไปในทางให้เห็นแก่ตัว มันก็ไม่สร้างสันติภาพขึ้นในโลก มันกลายเป็นเรื่องกอบโกยของบุคคลเฉพาะคนไป เราจึงถือว่าการศึกษาเท่าที่มีอยู่ในโลก ปัจจุบันนี้ที่เขาจัดๆกันอยู่นี้ไม่สามารถจะช่วยมนุษย์ให้พ้นจากความทุกข์ได้แม้ส่วนตัว แม้ส่วนรวมด้วยกันทั้งโลก ส่วนที่ขาดอยู่นี้ก็คือเรื่องของธรรมะ ที่ธรรมะจะต้องเข้าไปแทน มันจะมีโอกาสหรือไม่มันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง มันเป็นอีกปัญหาหนึ่ง มันขึ้นอยู่กับความโง่ ความฉลาด ของมนุษย์นั่นเอง ว่าเขาจะต้องการสิ่งนี้หรือหาไม่ เดี๋ยวนี้โลกมันก้าวหน้าในทางวัตถุมาก เร็วเกินไป จนเกิดปัญหาทางจิตใจมากมายเหลือประมาณและก็แก้กันไม่ได้ โลกนี้มันก็เป็นโลกของปัญหาทางจิตใจ มันเฟ้อในทางวัตถุ และมันก็ขาดในทางจิตใจ แล้วเป็นโลกที่ต้องทนทุกข์ทรมานอย่างที่เราเห็นๆกันอยู่ เป็นสังคมที่เลวทราม เต็มไปด้วยอันธพาล เต็มไปด้วยการฆ่า เต็มไปด้วยการลักขโมย เต็มไปด้วยการประพฤติผิดในกาม เต็มไปด้วยความโกหก หลอกลวง เต็มไปด้วยของมึนเมาเสพติด สมัยก่อนไม่มากอย่างนี้ เมื่อมนุษย์เขายังอยู่กันอย่างยึดถือพระศาสนาเป็นหลัก ต่อมามนุษย์เริ่มละทิ้งศาสนา เอาการศึกษาอย่างวัตถุนี้เป็นหลัก มันก็เจริญด้วยเรื่องทางวัตถุ มันก็ขาดในเรื่องทางจิตใจ ดังนั้นในบ้านเมืองมันจึงเต็มไปด้วยอาชญากรรมในโลกนี้มันก็ยิ่งเต็มไปด้วยอาชญากรรม ขอให้ลองคิดดูให้ดี
ถ้าธรรมะไม่เข้ามาช่วยอย่างเพียงพอ โลกนี้ก็จะมีลักษณะเลวร้ายทำนองนี้ยิ่งขึ้นๆ ไม่ใช่หยุดอยู่หรือลดลง ถ้าไม่ตายเสียเร็วเกินไป ก็ขอให้คอยสังเกตดูว่าโลกในอนาคตอันใกล้นี้มันจะเป็นอย่างไร ถ้าธรรมะไม่เข้ามาช่วยคุ้มครอง นี่มันพูดเลยมาถึงปัจจุบัน ปัญหาปัจจุบัน อยากจะขอพูดเรื่องของอดีต ให้สิ้นกระแสความเสียก่อน ว่ามนุษย์ในอดีตนั้นสนใจในธรรมะ เกี่ยวข้องกับธรรมะ พอใจในธรรมะ บูชาธรรมะเอามาไว้เป็นของประจำตัว นี่ก็เพราะว่า ได้รับการชี้แจงแนะนำที่ดี แม้ว่าจะไม่แจ่มแจ้ง แต่ก็พอที่จะพิสูจน์ให้เห็นผล คนจึงถือธรรมะ คือเขามองเห็นว่าเราจะมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ในฐานะเป็นชาวนา ชาวสวนก็ต้องมีธรรมะ มิฉะนั้นมันจะมีความร้อนใจเกิดขึ้น ความทุกข์ในใจเกิดขึ้น ไม่รู้จะปัดเป่ากันอย่างไร เขาจึงมีธรรมะสำหรับจะปัดเป่าในความทุกข์ที่จะเกิดขึ้นในการงาน นี่หมายความว่า เขายอมรับว่ามนุษย์ต้องทำการงานให้ดีที่สุด ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ที่ในการงานของมนุษย์ หรือการเป็นอยู่ในสังคมของมนุษย์ที่เต็มไปด้วยการงานนั้น มันจะต้องเกิดสิ่งที่ทำให้ร้อนใจ คือกิเลสอย่างใดอย่างหนึ่ง ในภายในก็ได้ แม้ที่สุดแต่ในภายนอกคือธรรมชาติ มันไม่เป็นไปตามที่เราต้องการอย่างเช่น เดือนนี้ฝนแล้งเหลือประมาณ ไร่นาเสียหายหมด มันก็เกิดความทุกข์ ความร้อนใจ นี่เรียกว่าความทุกข์ ความร้อนใจมันมีทางที่จะมีได้มากในหมู่มนุษย์ผู้ประกอบการงาน เพราะฉะนั้นเขาจึงศึกษาธรรมะสำหรับจะแก้ไขปัญหาข้อนี้ในทางจิตใจที่เรียกว่าความปล่อยวาง หรือการควบคุมกิเลสไม่ให้เกิดขึ้นมา ก็มีความสุขอยู่ได้ในโลกนี้ ใช้คำว่าในโลกนี้ ก็เป็น ชาวไร่ ชาวนา ชาวสวน เป็นพ่อค้า เป็นอะไรก็ตาม เป็นคนธรรมดาสามัญนี่ถ้าเขารู้จักทำจิตใจไม่ให้ต้องเป็นทุกข์เดือดร้อน เพราะสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นมาเป็นอุปสรรค นี่มันก็เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับคนธรรมดาสามัญ เป็นชาวบ้านตามธรรมดาสามัญจะต้องรู้ธรรมะ มีธรรมะเพื่อมาแก้ปัญหาของตนในการดำรงชีวิตอยู่หรือประกอบอาชีพอยู่ นี่เข้าใจให้ถูกกันเสียทีว่าธรรมะนี่ไม่ได้ต้องการให้คนออกไปบวช ไปอยู่ป่า อยู่วัด ไม่ได้ต้องการให้คนทิ้งโลกออกไปบ้าบออยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ แต่ต้องการให้อยู่ในโลกนี้ด้วยชัยชนะ เป็นชาวไร่ ชาวนา ไปตามเรื่องและก็จะมีจิตใจที่ไม่มีความทุกข์ ประกอบการงานอยู่ด้วยความสนุกสนาน ไม่ได้สอนให้ฝืนธรรมดาว่าจะต้องทิ้งโลกออกไปอยู่เป็นนักบวช เป็นฤๅษี มุนี อย่างนั้นมันทำไม่ได้ มันทำได้แต่บางคน ถ้าใครชอบใจจะทำก็เอา แต่ส่วนใหญ่มันทำไม่ได้ มันต้องอยู่กันที่นี่ ในโลกนี้ แล้วก็ต้องศึกษาธรรมะ ให้เพียงพอสำหรับจะอยู่ที่นี่ ตรงนี้ก็อยากจะให้มองเห็นกันทุกๆคนว่า ไอ้เรื่องทางจิตใจนั้นมันสำคัญ ถ้าเราแก้ปัญหาไม่ตก ชีวิตนี้ก็จะเป็นทุกข์ไปหมดสิ้น แม้ที่สุดแต่เรื่องความเจ็บปวดตามธรรมดา ความเจ็บไข้ ตามธรรมดา ถ้าคนมันโง่ มันยึดถือมาก มันก็เจ็บมาก แม้จะเป็นฝี เป็นหนอง เป็นบาดแผล เป็นถูกยิง ถูกแทง อะไรก็ตาม ถ้าคนมันโง่ มันยึดถือมาก มันก็จะเจ็บมาก ถ้าคนมันไม่ยึดถือมันบังคับจิตได้ มันก็เจ็บน้อย หรือไม่รู้สึกเจ็บเลย แม้กระทั่งตายไปมันก็ไม่รู้สึกเจ็บเลย ความเจ็บปวดตามธรรมดานั้นน้อยมาก ไอ้ความเจ็บปวดเพราะจิตไปยึดถือว่าความเจ็บของกู กูจะตายแล้วนี่เป็นความเจ็บมาก พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้เป็นอุปมาเพื่อจำง่ายๆว่า คนโง่ มันจะถูกลูกศรดอกที่ ๒ คนฉลาดนั้นมันถูกแต่ดอกศรลูกที่ ๑ เช่นว่าคนยิงมามันก็เจ็บเท่านั้นแหละ เท่าที่มันถูกยิง นี่เรียกว่าพิษสงของลูกศรดอกที่ ๑ มันมีเท่านั้น แต่ถ้าคนโง่มันกลัวมาก มันยึดถือมาก ยึดถือความเจ็บ ยึดถือความตาย ยึดถือ ตัวกู มันกลัวมากเป็นทุกข์มาก นี่เป็นลูกศรดอกที่ ๒ ไว้ให้คนโง่ ซึ่งจะถูกแล้วจะเจ็บปวดเป็นอย่างมาก พระอรหันต์เท่านั้นที่จะไม่ถูกลูกศรดอกที่ ๒ คือมีจิตใจที่ไม่มีความยึดถือหรือว่าบังคับได้ มันก็เจ็บปวดไปด้วยลูกศรตามธรรมดาดอกที่ ๑ แต่ถึงอย่างไรก็ดี คนที่ยังไม่เป็นพระอรหันต์ ก็ควรจะเอาอย่างพระอรหันต์ คืออย่าให้ถูกลูกศรดอกที่ ๒ ครอบงำย่ำยีมากนัก เพราะว่าเราต้องอยู่ในโลกที่มันหลีกไม่พ้นจากการที่จะไม่ถูกลูกศร คือว่าเดี๋ยวความเจ็บป่วยอย่างนั้นมา เดี๋ยวความวิบัติเสียหายอย่างนี้มา ให้มันเป็นเพียงเท่านั้นและเห็นเป็นของธรรมดา และก็ทำงานต่อไป อย่าให้มันกลายเป็นเรื่องสำหรับร้องห่มร้องไห้เป็นโรคประสาท เป็นบ้าเป็นหลังกระทั่งตายไป ให้รู้ว่าในโลกนี้มันจะต้องเป็นอย่างนี้ เรื่องมีความเจ็บไข้ เรื่องประสบอันตราย จะต้องประสบกับการเบียดเบียนกลั่นแกล้ง หรือหลายๆอย่าง หลายๆประการ เราไม่ต้องการจะกระทบกับสิ่งเหล่านี้ เราก็ขวนขวายที่จะหลบหลีกอยู่แล้ว แต่ทีนี้ถ้าว่ามันมาถูกเข้า ก็ขอให้มันถูกเพียงในระยะที่เป็นของธรรมดา อย่าให้มากจนถึงกับว่าทำให้เป็นบ้าเป็นทุกข์ นี่ประโยชน์ของธรรมะ ที่คนทั่วไปในโลกนี้จะต้องมีจะต้องใช้ คือใช้บำบัดความทุกข์หรือป้องกันไม่ให้เกิดความทุกข์เปล่าๆ ปลี้ๆ ที่เรียกว่าเป็นลูกศรดอกที่ ๒ มันเป็นเรื่องของจิตใจ ลูกศรดอกที่ ๑ เป็นเรื่องของร่างกาย เช่นว่า มีดบาดมันก็เจ็บ ก็เป็นเรื่องของร่างกาย เป็นลูกศรดอกที่ ๑ ถ้าในจิตใจมันโง่ มันไปกลัวมาก มันไปยึดถือมาก หน้าซีดหน้าเซียวเป็นลม ใหญ่โตไปอย่างนี้มันก็มี นี่เรียกว่าลูกศรดอกที่ ๒ เป็นเรื่องทางจิตใจ เป็นเรื่องของความยึดมั่นถือมั่น นี่ส่วนที่เป็นทุกข์ ทีนี้ส่วนที่เรียกกันว่าความสุขมันก็เหมือนกันแหละ ต้องปฏิบัติโดยวิธีเดียวกัน ได้อะไรมาก็ให้ถือว่าเป็นของธรรมดา อย่าไปดีใจลิงโลดให้เหมือนคนบ้า เด็กๆ เมื่อได้อะไรถูกใจก็กระโดดโลดเต้นเหมือนกับคนบ้า ถูกลอตเตอรี่ที่ ๑ มันก็นอนไม่หลับกันหลายวันอย่างนี้ นี่เรียกว่าเรื่องฝ่ายที่มันได้มา ก็ให้มันเป็นเรื่องของธรรมดาอย่าให้มาปรับมาปรุงแต่งให้เป็นเรื่องของความยึดมั่นถือมั่น เหมือนกับเรื่องของคนบ้า นี่เรียกว่าเรื่องฝ่ายที่ได้มาเป็นความพอใจ มันก็ไม่ต้องมีปัญหา ที่เสียไปเป็นเรื่องของความไม่พอใจก็ไม่ต้องเป็นปัญหา ให้ธรรมะนี้มันช่วยประคับประคองชีวิตนี้อยู่ในลักษณะที่ถูกต้องหรือปรกติที่สุด คือ ตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ นี่คนโบราณเขาต้องการธรรมะในลักษณะพื้นฐานอย่างนี้ก่อน ในสมัยพระพุทธเจ้าก็ดี สมัยก่อนพระพุทธเจ้าก็ดี เขารู้จักประโยชน์อันนี้ของสิ่งที่เรียกว่า ธรรมะ หลังจากพระพุทธเจ้ามา เขาก็รู้จักประโยชน์อันนี้ของสิ่งที่เรียกว่าธรรมะ แล้วเขาก็เผยแผ่ต่อๆ กันลงมาไกลออกไป กว้างออกไปที่เรียกว่าเผยแผ่พระศาสนา ก็เผยแผ่วิธีที่จะดำรงจิตใจให้อยู่เหนือความทุกข์ เพราะว่าความทุกข์เป็นสิ่งที่ธรรมดาสามัญที่สุด ที่จะเกิดขึ้นและครอบงำจิตใจ ฉะนั้นเราก็รู้จักให้เพียงพอ ความเป็นมนุษย์ของเราก็จะปรกติไม่ขึ้นๆลงๆ ไม่ฟูๆ แฟบ เหมือนกับที่ปล่อยไปตามบุญตามกรรมคือไม่มีธรรมะ ตอนนี้ขอสรุปใจความให้เข้าใจกันทุกคนก่อนว่า ธรรมะสำหรับชาวบ้าน ฆราวาส ธรรมดาสามัญทุกคนตามบ้านตามเรือน ที่จะต้องมีไว้สำหรับแก้ปัญหาในทางจิตใจควบคู่กันไป กับงานอาชีพซึ่งต้องกระทำไปตามทางของร่างกาย จนมันเกิดความถูกต้องทั้งทางร่างกายและความถูกต้องทั้งทางจิตใจ เราก็เป็นมนุษย์ที่ดี เป็นฆราวาสที่ดี อยู่ในโลกนี้ที่ไม่ต้องทนทรมาน นี่เป็นหลักพื้นฐานที่ว่าทุกคนจะต้องมีธรรมะ อาตมาอยากจะแทรกข้อความตรงนี้ลงไปสักหน่อยว่า ถ้ามันมีธรรมะ ชีวิตนี้จะเป็นสุขสนุกสนานแม้แต่การงานที่กระทำ ก็จะกลายเป็นสิ่งสนุกสนาน เพราะคนมันรู้ดีรู้จริงว่านี่เป็นหน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิต พอได้ทำการงานแม้จะเหน็ดเหนื่อย เหงื่อไหลไคลย้อยกลางแดดกลางลมมันก็ยังสนุก เพราะมันรู้สึกว่าได้ทำหน้าที่ที่ถูกต้อง และโดยตรง เพราะอย่างนั้นการงานจึงเป็นของสนุก ส่วนคนไม่มองเห็นอย่างนี้ การงานไม่สนุกมันเบื่อ มันก็ไม่ทำ มันก็สมัครที่จะไปเป็นขโมย เพราะมันไม่อยากจะทำงาน มันก็ทำงานไม่สนุก แต่คนที่มีธรรมะแล้วการงานจะสนุก ให้ไปสังเกตเอาเอง ขอให้เข้าถึงธรรมะเถอะ การงานจะสนุก แม้ที่สุดแต่การศึกษาเล่าเรียนในโรงเรียน ในวิทยาลัย ในอะไรก็ตาม ถ้าจิตประกอบไปด้วยธรรมะแล้ว การงานหรือการเรียนนั้นจะไม่เป็นทุกข์ จะไม่เป็นที่ทรมาน กลับจะสนุกสนาน เป็นที่พอใจอยู่ตลอดเวลา นี่เพราะว่าเขาเข้าถึงธรรมะ ซึ่งเป็นตัวหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ จนกลายเป็นความถูกต้อง แก่ความเป็นมนุษย์ของเขาทุกขั้นทุกตอน แห่งวิวัฒนาการ นี้โดยหลักพื้นฐานคนเราต้องมีธรรมะในส่วนจิตใจควบคู่กันไปกับการงานซึ่งเป็นส่วนร่างกาย เราจะเอาอย่างสัตว์เดรัจฉานนั้นไม่ได้ สัตว์เดรัจฉานมันมีแต่เรื่องทางร่างกาย มันไม่ก้าวหน้าทางจิตใจ มันมีกินอิ่มแล้วก็พอแล้วสำหรับสัตว์เดรัจฉาน แต่มนุษย์ยังคิดนึกอะไรได้มากยังทำอะไรได้มาก มันก็มีปัญหามาก เพราะมีเรื่องทางจิตใจ ที่จะทำให้รัก ให้โกรธ ให้เกลียด ให้กลัว ให้เศร้า ให้บ้าบอ อะไรต่างๆนี้มันมาก มนุษย์มันจำเป็นที่จะต้องมีธรรมะมาแก้ปัญหาส่วนนี้ ซึ่งไม่จำเป็นสำหรับสัตว์เดรัจฉานเลย ดังนั้นธรรมะจึงสำหรับมนุษย์ที่ต้องการจะมีความเป็นมนุษย์ให้ถูกต้อง ตามความหมายของคำว่า มนุษย์ นี่ก็จะเป็นการเพียงพอแล้วที่จะชี้ให้เห็นว่าธรรมะนี้จำเป็นอย่างไร ที่เราจะต้องมี ที่เราจะต้องสนใจ มิฉะนั้นแล้วความเป็นมนุษย์ของบุคคลผู้นั้น มันจะไม่มี มันจะมีอย่างเลว มันจะมีอย่างทนทรมาน นี่ถ้าถามว่าทำไมจึงมาสนใจธรรมะก็เพื่อว่าให้มันมีความถูกต้องสำหรับความเป็นมนุษย์ทุกขั้นทุกตอน แห่งวิวัฒนาการของเรา เราจึงรวบรวมสะสมความรู้ทางธรรมะเพื่อให้เกิดการกระทำถูกต้องในทางฝ่ายจิตใจ นี่เป็นพื้นฐานสำหรับมนุษย์ทุกคนที่จะอยู่ในโลกนี้ ทีนี้มันก็มีมนุษย์อีกบางคนหรือบางประเภท มันมีความรู้สึกก้าวไกลไปกว่านั้น จึงศึกษาธรรมะในขั้นสูงเพื่อความหมดสิ้นแห่งกิเลสจนบรรลุมรรคผลเป็นพระโสดาบัน พระสกทาคามี อนาคามี เป็นพระอรหันต์ในที่สุด นั้นก็เป็นธรรมะอีกระดับหนึ่ง เป็นระดับสูงสุดของวิวัฒนาการ เพราะมนุษย์คนนั้นก็ต้องการจะเป็นมนุษย์สูงสุดคือเอาชนะกิเลสได้สิ้นเชิง ไม่หลงใหล คือไปหลงใหลในเรื่องของกิเลส หลงใหลในเรื่องของความทุกข์เห็นเป็นความสุข อย่างที่เห็นกงจักรเป็นดอกบัว เราจะยกตัวอย่างพระพุทธเจ้า ท่านเป็นเจ้านายอยู่ในบ้านในเมืองที่จะต้องการความสุข สนุกสนานทางกามารมณ์ ทางเพศ ทางอะไรสักเท่าไหร่ก็ได้ แต่แล้วท่านก็ไม่หลงติดอยู่ที่นั่น เลื่อนชั้นจนกระทั่งออกไปบวชเป็นพระพุทธเจ้า ทีนี้ก็มาเทียบกันดูกับคนหนุ่มสาวสมัยนี้ที่มันลุ่มหลงเรื่องเพศ เรื่องกามารมณ์นี่ มันของนิดเดียวถ้าไปเทียบกับของพระพุทธเจ้า และมันก็ยังลุ่มหลงกันอยู่ได้ไม่รู้จักสร่าง ไม่รู้จักซา นี่ก็เพราะว่าระดับแห่งจิตใจมันต่างกัน ไม่มีใครว่าอะไรถ้าอยากจะหลงก็หลงไป แต่คนที่ไม่อยากจะหลงมันก็ควรจะได้เลื่อนชั้นต่อไป เพราะฉะนั้นคนหนุ่มสาวเหล่านี้อย่าโง่มากจนถึงกับไปพูดว่าพระพุทธเจ้าโง่ไม่อยู่ครองบ้านครองเมืองเสวยสุขในโลก นี่เขาจัดพระพุทธเจ้าเป็นคนโง่ไปเสียก็มี บางคนวิจารณ์พระพุทธเจ้าว่าเป็นคนมีจิตไม่สมประกอบก็มี นี่เคยอ่านพบในหนังสือที่พวกฝรั่งเขียน เพราะไม่ทำประโยชน์อย่างที่มนุษย์ธรรมดาเขาทำกัน ไม่เสวยสุขในโลกนี้อย่างที่มนุษย์เขากระทำกัน ก็เลยจัดให้เป็นคนโง่คนหลง คนสติไม่สมประกอบ นี่กลัวไปว่าคนหนุ่มสาว ไทยๆเรานี่ที่จะไปตามก้นฝรั่งกันนัก จะไปเกิดมีความคิดอย่างนั้นกันขึ้นมาก็ได้ ถ้าอย่างนี้เราก็เลิกกันไม่ต้องมาศึกษาธรรมะให้มันป่วยการ มาทำไมให้เสียเวลาให้เสียค่าใช้จ่าย ธรรมะส่วนนั้นมันเป็นของสำหรับบุคคล ที่มันมีอะไรพิเศษในทางจิตใจ จะเรียกอย่างภาษาวิทยาศาสตร์ ว่า ไอคิวมันสูงก็ได้ สูงเกินไม่พอใจของธรรมดาสามัญอย่างนี้ ไม่พอใจสิ่งสูงสุดที่มนุษย์มันจะไปกันได้ ท่านจึงออกไปบวช ไปแสวงหาสิ่งสูงสุด จนได้พบธรรมะนั้น ธรรมะส่วนนี้ต้องยกไว้ให้อีกระดับหนึ่ง ไม่ได้มีไว้สำหรับคนธรรมดาสามัญ ที่จะอยู่ในโลก ในบ้านเรือน แต่แล้วอย่าลืมว่ามันเป็นเรื่องเดียวกัน คือต้องไม่ลุ่มหลง ในเรื่องของกิเลสตัณหา ด้วยกัน เพียงแต่ว่าเราทำไม่ได้มากและก็ทำไปตามสติปัญญาของเรา แล้วก็เพื่ออย่าได้หลงในเรื่องของกิเลสตัณหาให้มันมาก จนกลายเป็นบ้าหรือว่าตายไปเพราะกิเลสตัณหา มีธรรมะก็สำหรับให้มนุษย์ปลอดภัย จากกิเลสตัณหาทั้งนั้นแหละ ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ชนิดที่อยู่ครองบ้านครองเรือน หรือมนุษย์ที่จะออกไปจากบ้านจากเรือน แต่ธรรมะโดยแท้จริงนั้น ไม่ได้ต้องการจะดึงคนออกไปจากบ้านจากเรือน เพราะว่าคนมันก็ไม่สมัครจะไป มันสมัครจะอยู่ในโลก เพราะคนอยู่กับโลกเอาธรรมะมาเป็นเครื่องช่วยประคับประคอง เพื่อการอยู่ในโลกนี้โดยไม่ต้องเป็นทุกข์มากนัก หรือให้มันพอปรกติสุขอยู่ได้ก็ยังดี แต่ต้องเป็นตามภาษาโลก ตามระดับโลก ถ้าต้องการถึงที่สุดก็ปฏิบัติธรรมะชนิดเหนือโลก ออกไปจากโลกและก็ไปเป็นพระอรหันต์ เราจะต้องการธรรมะชนิดไหนกัน ก็ขอให้มองให้เห็นให้ชัด แต่อาตมาอยากจะบอกอย่างที่กล่าวมาแล้วว่าให้ต้องการธรรมะชนิดที่เอาไปไว้เป็นคู่กับชีวิต เพื่อว่าจะได้อยู่ในโลกนี้โดยไม่ต้องเป็นทุกข์ เหมือนกับคนที่ไม่มีธรรมะนะมันมีความทุกข์มาก เราอยู่อย่างมีความชนะในโลกนี้ ไม่อยู่อย่างผู้พ่ายแพ้ คืออยู่ในโลกอย่างชนะโลกนี้ตามสมควร อย่าอยู่อย่างพ่ายแพ้เหมือนที่เขาอยู่กันอย่างอันธพาล ประกอบกรรมอันเลวทราม ทารุณโหดร้าย ไม่มีอะไรดี ไม่มีอะไรเป็นประโยชน์แก่ใคร นี่มันอยู่ในโลกนี้อย่างเลวทราม และก็ไม่ใช่ว่ามันจะมีความสุขได้ เมื่อมันอยู่อย่างเลวทรามอย่างนั้น ผลสะท้อนรอบด้านก็จะไปหาบุคคลนั้น ชนิดที่จะเป็นสุขอยู่ไม่ได้ มันจะต้องถูกฆ่าตายในอนาคตอันใกล้ หรือมันจะต้องเป็นบ้า ถ้ามีธรรมะแล้วก็ไม่ต้องเป็นอย่างนั้น ก็ช่วยให้อยู่ในโลกนี้ได้อย่างพอดูได้ อย่างน่าดู หรือว่าอย่างงดงาม หรืออย่างเอาชนะสิ่งต่างๆ ในโลกได้ ชนะความยากจนได้ ชนะไอ้ความไม่มีอะไรดีได้ เป็นผู้มีเกียรติ เป็นผู้ที่อยู่อย่างสะดวกสบายได้ นี่ก็เรียกว่าชนะโลก อยู่ในโลก ถ้าจะชนะสูงขึ้นไป ชนะกิเลส ชนะธรรมะ ก็มันก็เลื่อนไปเป็นเรื่องของการบรรลุพระอรหันต์ หรือความเป็นอริยบุคคลนี่คือสิ่งที่เอามาแนะให้เห็นในวันนี้ว่า เอาความสับสน ที่มีอยู่ในการศึกษาธรรมะ แม้ของนักศึกษา ได้ยินนักศึกษาหลายคนถามปัญหาอย่างนั้น ถามปัญหาอย่างนี้ต่างๆกัน มาสรุปความก็เห็นได้ว่า แต่ละคนไม่รู้ว่าจะศึกษาธรรมะทำไม หรือธรรมะนั้นคืออะไรก็ไม่รู้ และจะไปรู้ได้อย่างไรว่าจะศึกษาอย่างไร ถ้ามาศึกษาอย่างเผื่อๆ ไว้ก็ได้เหมือนกัน มันเหมือนกับศึกษาเอาไปตรวจสอบตัวเองว่าจะมีอะไรบกพร่อง ต้องระวังต้องแก้ไข เหมือนกับไปปรึกษาหมอ ทางสุขภาพอนามัยให้เขาช่วยวางหลักสูตรปฏิบัติให้อย่างปลอดภัยนี่ก็ได้เหมือนกัน มันก็เป็นระบบใหญ่ระบบหนึ่งที่จะต้องประพฤติให้ถูกต้อง ทางกาย ทางวาจา ทางจิต ทางความคิด ทางความรู้สึก สติปัญญา ก็ต้องศึกษามากหน่อย ศึกษาให้เพียงพอ สำหรับไปประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้อง ยิ่งสมัยนี้แล้วก็รู้สึกว่าออกจะมากเพราะสมัยนี้มันมีความตกต่ำแห่งวัฒนธรรมของชนชาติไทย สมัยโบราณนั้นในครอบครัวหนึ่งๆ มันมั่นคงหนักแน่นอยู่ในวัฒนธรรมซึ่งถอดรูปแบบออกมาจากพระศาสนา ฉะนั้นจึงเป็นการปฏิบัติธรรมอยู่โดยไม่รู้สึกตั้งแต่เด็กๆ แรกคลอดออกมา ตั้งอยู่ในความถูกต้องที่จะป้องกันไม่ให้เกิดกิเลส เกิดความเลว ความชั่วในชีวิตนั้นๆ นั่นเขาไม่ได้สอนกันมากเหมือนสมัยนี้ เขาก็มีความปลอดภัย เป็นบิดามารดาที่ดี มีบุตรมีหลานที่ดี ไม่มีปัญหาที่จะต้องเป็นอันธพาลเหมือนคนสมัยนี้ ซึ่งละทิ้งธรรมะหรือศาสนา ยิ่งๆขึ้นไปทุกที และก็ไปบูชาความเอร็ดอร่อยทางวัตถุ มันก็ส่งเสริมกิเลสให้เกิดความเห็นแก่ตัว เมื่อเห็นแก่ตัวแล้วมันก็ฆ่าบ้าง มันก็ลักขโมยบ้าง มันก็ประพฤติผิดในกามบ้าง โกหกหลอกลวงบ้าง หรือว่าทำทุกอย่างที่มันไม่มีธรรมะ ฉะนั้นจึงพูดกันยากสำหรับคนสมัยนี้ ซึ่งวัฒนธรรมแห่งพระศาสนามันเสื่อมไปจางไป จากความเป็นมนุษย์ ถ้าอย่างไรก็ไปปรึกษาหารือกันดูใหม่ทำให้มันกลับมา อาตมาอยากจะพูดอีกสักนิดหนึ่ง แม้ว่าจะพูดมากไปแล้วก็คือจะพูดในข้อที่ว่า กิเลสมันเพิ่งตั้งต้น เมื่อเด็กๆ เราเริ่มรู้จักความเอร็ดอร่อยในทางอายตนะ กิเลสไม่ได้เกิดมาตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ หรือเพิ่งคลอดออกมาเดี๋ยวนี้ มันก็ยังมีกิเลสไม่ได้ ต่อเมื่อเด็กนั้นโตพอที่จะรู้เรื่องของความอร่อยและความไม่อร่อย ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางผิวหนัง หรือว่าทางจิตใจนี่ พอเขารู้รสของความอร่อยครั้งหนึ่งแล้วก็ยึดถือมัน ในฐานะเป็นสิ่งสูงสุดพิเศษ สำหรับที่จะเกิดความรัก หรือความต้องการ หรือสำหรับที่จะเกิดความโกรธ เมื่อไม่ได้ตามต้องการ หรือจะเกิดความหลงใหล มัวเมาในเมื่อระคนกันอยู่ อย่างว่าเป็นสิ่งที่น่ารัก น่าบูชา ความโลภ ความโกรธ ความหลง นี่เพิ่งก่อกำเนิด เป็นจุดตั้งต้น เมื่อคนเรารู้เรื่องความอร่อยหรือความไม่อร่อย จนกระทั่งสูงขึ้นมาสูงขึ้นมาเป็นเรื่องของกามารมณ์ระหว่างเพศ นี่ก็เป็นสิ่งที่ควบคุมยาก ตอนมาถึงตอนนี้ ฉะนั้นขอให้สนใจว่าตั้งแต่เด็กเล็กๆมา เขาอร่อย เขาพอใจ เขาเกิดราคะ ความกำหนัด หรือเกิดความโลภ ความต้องการขึ้นมาครั้งหนึ่ง เดี๋ยวก็มีอีกครั้งหนึ่ง เดี๋ยวก็มีอีกครั้งหนึ่ง เรื่องของโทสะ ความโกรธก็เหมือนกันเกิดขึ้นครั้งแรก และก็ไม่ใช่จะหยุดอยู่เพียงเท่านั้น เดี๋ยวก็เกิดขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง เดี๋ยวก็เกิดขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ความโง่ ความสะเพร่า ความหลงใหล โมหะ ก็เหมือนกัน เดี๋ยวก็เกิดขึ้นมาครั้งหนึ่ง เดี๋ยวก็เกิดมาครั้งหนึ่ง เกิดกิเลสโดยตรง ก็เรียกว่ากิเลส เกิดกิเลสโดยตรงเป็นความโลภ ความโกรธ ความหลง นี่เรียกว่ากิเลส ช่วยจำคำว่ากิเลส พอมันเกิดโลภ เกิดโกรธ เกิดหลง ขึ้นมา เรียกว่า กิเลส แต่พอมันเกิดทีหนึ่ง มันก็ใส่ไอ้ความเคยชินของกิเลสชนิดนั้นนะไว้ หน่วยหนึ่ง คือมันเช่นว่าความโลภ โลภเป็นครั้งหนึ่ง เรื่องโลภนั้นมันเสร็จไปแล้ว แต่มันใส่ความเคยชินที่จะโลภลงไปในสันดานของคนนั้นนะหน่วยหนึ่ง และมันพร้อมที่จะโลภอีกอย่างรวดเร็วด้วย ส่วนนี้เขาเรียกว่าอนุสัย เขาไม่เรียกว่ากิเลสแล้ว เมื่อโลภ เมื่อกำหนัด เมื่อโลภก็ยินดีนั้นเรียกว่ากิเลส พอเกิดขึ้นมาครั้งหนึ่งมันก็ใส่ความเคยชินไว้ในสันดานหน่วยหนึ่งเรียกว่า อนุสัย ที่จะโลภหรือที่จะกำหนัด เรียกว่า อนุสัย จะเพิ่มไว้ทุกทีทุกที ที่คนเรามันกำหนัดหรือโลภ ความโกรธก็เหมือนกัน พอมันโกรธครั้งหนึ่งมันก็เป็นเรื่องโกรธไปแล้ว เป็นเรื่องกิเลสไปแล้ว แต่มันก็เพิ่มความเคยชิน หรืออนุสัย ที่จะโกรธเร็ว โกรธง่าย โกรธไว ไว้หน่วยหนึ่งในสันดาน นี่ก็เรียกว่าสร้างอนุสัยไว้ ในสันดานสำหรับจะโกรธ ทีนี้จะหลงใหล มัวเมา จะสะเพร่า จะประมาท จะเลินเล่อ ที่เรียกว่า โมหะ นั้นก็เหมือนกัน โง่ไปทีหนึ่ง มันก็สร้างอนุสัยที่จะโง่ซ้ำๆ ไว้ในสันดานหน่วยหนึ่ง มันก็เลยมีอนุสัยที่สะสมไว้ในสันดานครบทั้ง ๓ อย่าง คือทั้งฝ่ายความโลภ นี่ก็เรียกว่า ราคานุสัย ฝ่ายความโกรธเรียกว่า ปฏิฆานุสัย ฝ่ายความโง่ ความหลง ก็เรียกว่าอวิชชานุสัย นี่ตั้งแต่เด็กๆเล็กๆ เริ่มรู้จักโลภ รู้จักโกรธ รู้จักหลง เขาเกิดกิเลสประจำวันพร้อมกันนั้นเขาก็สร้างอนุสัย ความเคยชินสำหรับจะเป็นอย่างนั้นไว้ในสันดาน เรียกว่า อนุสัย อนุสัยนี่มันจะมากขึ้นๆๆ ถ้าเรามีแต่เกิดกิเลสกันเรื่อยไป ทีนี้ถ้าเราไม่เกิดกิเลส ในกรณีที่ควรจะเกิดกิเลส บังคับได้ ไม่เกิดกิเลส อนุสัยนั้นจะลดลง ฉะนั้นใครที่โลภมาก กำหนัดมาก อะไรมากนี่ พยายามปฏิบัติธรรมะควบคุมไว้ให้ได้ อย่าให้มันเกิดกำหนัด เกิดโลภขึ้นมา มันก็จะลดหน่วยอนุสัยในสันดาน ที่เคยชิน ในความโลภนั้นลดลงๆ ทีนี้ถ้าเราไม่ควบคุมปล่อยให้มันเกิดตามสบาย มันก็เพิ่มขึ้นเพิ่มขึ้น นี่ส่วนมากมันเป็นไปในทางเพิ่มขึ้น ฉะนั้นคนจึงมีความเคยชินในความโลภ ความโกรธ ความหลง เพิ่มขึ้นๆๆ จนโลภง่าย โลภไว โลภเร็ว โกรธง่าย โกรธไว โกรธเร็ว หรือโง่ง่าย โง่ไว โง่เร็ว นี่เพราะอำนาจของอนุสัย ที่เติมลงไปในสันดาน ตั้งแต่เป็นเด็กๆ ที่รู้ความสำหรับจะรู้จักยึดถือว่านี่อร่อย นี่ไม่อร่อย นี่น่ารัก นี่ไม่น่ารักเป็นต้น นี่คนมันก็เต็มไปด้วยอนุสัย เป็นหนุ่มเป็นสาวขึ้นมา กระทั่งเป็นผู้ใหญ่ เป็นคนแก่ คนเฒ่า มันก็มีปัญหาโดยเรื่องอนุสัยในสันดานนี้ มันยากที่จะควบคุมความโลภ มันยากที่จะควบคุมความโกรธ มันยากที่จะควบคุมความหลง มันไม่รู้ว่าเป็นสิ่งที่ต้องควบคุมด้วยซ้ำไป นี่พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสรู้เรื่องนี้ท่านจึงสอนให้อย่างเพียงพอว่าไอ้ความโลภ ความโกรธ ความหลงมันเกิดขึ้นมาอย่างไร มันเกิดขึ้นมาแล้ว มันสะสมไว้ในสันดานเป็นอนุสัย เพิ่มเติมอยู่ในสันดานอย่างไร แล้วมันพร้อมที่จะล้นออกมาภายนอก เขาเรียกว่าอาสวะ จะออกมาเป็นความโลภ ความโกรธ ความหลง เมื่อไรก็ได้ เพราะมันอัดแน่นอยู่ข้างใน ล้น พร้อมที่จะล้นปรี่ออกมาข้างนอกนี่ คืออาสวะ อย่างนั้นชีวิตของคนมันอยู่ด้วยกิเลส ด้วยอนุสัย และด้วยอาสวะอย่างนี้ ถ้าปฏิบัติธรรมะสูงสุด อนุสัย ลดลง จนอาสวะก็ไม่มีเหลือ นี่ก็เป็นพระอรหันต์ไป เรียกว่าสิ้นกิเลส สิ้นอาสวะ ถ้ามันยังมากเกินไปสำหรับเรา ยังไม่อาจจะสิ้นกิเลส สิ้นอาสวะได้ ก็ควบคุมมันไว้ อย่าให้มันทวี ให้มันคงที่ ให้มันลดลง ก็จะหาความสุขอันแท้จริงได้จากการที่กิเลสไม่รบกวนหรืออนุสัยไม่รบกวน คนเราอยู่ด้วยความยากลำบากเพราะอนุสัย รบกวน ความคิดนึกมันปรุงขึ้นมาได้สำหรับจะรัก จะโกรธ จะหลง จะกลัว จะเป็นทุกข์มันปรุงขึ้นมาในจิตใจได้ เราก็ต้องเป็นทุกข์ ถ้าเรามีธรรมะพอ เราก็ควบคุมมันได้ หรือว่าเราสามารถจะลดมันลงไป ลดลงไปเรื่อยๆ จนมันหมดสิ้น ถ้ามีธรรมะ มันก็ไม่เกิดกิเลส มันไม่เพิ่มอนุสัย มันก็ไม่มีอาสวะ ที่จะทำให้เกิดความทุกข์ ถ้าเราไม่มีธรรมะ ปล่อยไปตามบุญตามกรรม มันก็มีกิเลสเกิดมากขึ้น แล้วก็มีอนุสัย ที่สะสมหมักดองไว้ในสันดานมากขึ้น ก็มีอาสวะ ที่จะล้นออกมาเป็นความทุกข์ เป็นกิเลส เป็นความทุกข์มากขึ้น มันมีอยู่อย่างนี้ มันไม่เป็นอย่างอื่น มันมีอยู่แต่เพียงอย่างนี้ ถ้าเกิดกิเลสก็สะสม อนุสัย เป็น อาสวะ ออกมาเป็นความทุกข์ ถ้าไม่เกิดกิเลสก็ไม่สะสมอนุสัย ก็ไม่เป็นอาสวะ ออกมาเป็นความทุกข์ ฉะนั้นเรามีธรรมะมากพอที่ในวันหนึ่งๆ อย่าได้เกิดความโลภ หรือความกำหนัดเลย มีสติปัญญา มีสติสัมปชัญญะ ควบคุมความรู้สึกอันนี้ไว้ แม้ที่สุดแต่จะประพฤติกิจกรรมทางเพศ ก็กระทำไปด้วยสติสัมปชัญญะ อย่าให้มันกลายเป็นเรื่องของกิเลส มันก็ยังดีกว่ากันมากมาย มันไม่ทำความยุ่งยากลำบากให้เหมือนกับคนโง่ที่ปล่อยไปตามอำนาจของกิเลสเสียตะพึดไป นี่ขอให้รู้จักประโยชน์รู้จักอานิสงส์ของพระธรรมที่จะมาช่วยในการที่จะไม่เกิดกิเลส ที่จะมาช่วยในการที่จะไม่สะสมอนุสัย และก็จะตัดทอนอาสวะให้สิ้นไป เพราะมันไม่มีอนุสัย เพิ่มขึ้น นี่ธรรมะสูงสุดมันอยู่ที่ตรงนี้ เป็นพระอรหันต์เมื่อไรก็ได้ แม้ไม่ออกไปอยู่ป่าก็เป็นพระอรหันต์ในบ้านในเรือนได้ มันก็คงออกของมันไปเอง แต่ว่าธรรมะนี้มันมุ่งหมายตรงนี้ ที่จะกำจัดกิเลส ไม่ให้กิเลสเกิดขึ้น ป้องกันไม่ให้กิเลสเกิดขึ้น แล้วอนุสัยก็ไม่มี อาสวะก็ไม่มี แล้วคนนั้นก็เป็นมนุษย์ที่สูงสุดของความเป็นมนุษย์ ได้ประสบวิวัฒนาการชั้นสูงสุดของความเป็นมนุษย์คือเป็นพระอริยบุคคล จะเป็นโสดาบัน พระสกทาคามี อนาคามี อรหันต์ ก็แล้วแต่เรื่อง แต่ทั้งหมดนี้มันเป็นไปได้ด้วยอานิสงส์ของธรรมะ อาตมาก็ได้เล่าเรื่องนี้ตลอดเรื่องแล้วก็ไปคิดดูเอง นักศึกษาทั้งหลายทุกคนจงไปคิดดูเองว่าต้องการธรรมะทำไม มาศึกษาธรรมะทำไม ธรรมะจะช่วยให้ได้อะไร จะมีประโยชน์อะไร ในความเป็นมนุษย์ของตน ที่จริงธรรมะนี้ทำให้ใจคอปรกติ เมื่อใจคอปรกติแล้วเป็นประโยชน์ทั้งนั้นแหละ ในการเรียนก็ดี ในการงานก็ดี ในการเป็นอยู่ก็ดี ในการพักผ่อนก็ดี ถ้าใจคอไม่ปรกติแล้วมันไม่เป็นการพักผ่อนหรอก แม้แต่จะพักผ่อนก็ต้องมีจิตใจที่ประกอบอยู่ด้วยธรรมะ มันจึงจะเป็นการพักผ่อน มิฉะนั้นแล้วมันเป็นการหลอนตัวเอง ไปพักผ่อนที่มิใช่เป็นการพักผ่อน มันไปส่งเสริมกิเลสให้มากขึ้นเสียอีก มันยิ่งไม่มีการพักผ่อน ศึกษาธรรมะสำหรับควบคุมจิตใจให้ปรกติ มันก็สบายไปหมด เมื่อทำการงานก็เป็นสุข เมื่อพักผ่อนก็เป็นสุข เป็นมนุษย์ที่ดีที่สุด คือได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ ก็เพราะข้อนี้ นี่ธรรมะที่แท้จริงมันมีหลักเกณฑ์อย่างนี้ พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสรู้ ท่านได้สอนไว้อย่างนี้ มันมีแนวของมันอย่างนี้ นี่เราก็มาศึกษาสังเกต สรุปใจความเอาตามที่เรามองเห็น มันก็ได้อย่างที่ว่ามาแล้วว่า ธรรมะนี่คือการปฏิบัติที่ถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์ทุกขั้นทุกตอน แห่งวิวัฒนาการของเขา เพราะว่ามันเป็นการทำหน้าที่ที่ถูกที่ตรงตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ ตรงตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติไม่ผิดพลาดและก็ได้รับประโยชน์ที่ควรจะได้รับจากธรรมชาติ ในที่สุดก็มีความปรกติ คือมีความถูกต้องนั่นเอง ถูกต้องตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติแล้วมันก็สงบ มันไม่วุ่นวาย มันไม่ต้องตีกัน มันไม่ต้องกระทบกระทั่งกัน
เดี๋ยวนี้มานั่งอยู่ที่นี่ ก็น่าจะนึกเห็นได้บ้างว่าไอ้ธรรมชาติแท้ๆ นั้นมันจะเป็นไปในทางหยุด เป็นไปในทางสงบ นี่มานั่งกันตรงนี้ มันก็คงจะมีความสงบบ้าง ผิดจากที่เราไปนั่งไปอยู่ในสถานที่ที่มันผิดธรรมชาติเกินไป พระพุทธเจ้าประสูติกลางดิน พระพุทธเจ้าตรัสรู้กลางดิน พระพุทธเจ้าสอนสาวกกลางดิน พระพุทธเจ้านิพพานกลางดิน กุฏิของท่านก็พื้นดิน ต้องถือว่าท่านเป็นนักธรรมชาติ เป็นนักธรรมชาติสูงสุด อยู่กับธรรมชาติตลอดเวลา ฉะนั้นเราได้มานั่งกลางดินกันอย่างนี้ ควรจะมีพุทธานุสติระลึกถึง พระพุทธเจ้าผู้ประสูติกลางดิน ตรัสรู้กลางดิน สอนกลางดิน นิพพานกลางดิน อะไรก็ล้วนแต่กลางดินกันให้พอสมควร คงจะคุ้มค่าที่มาสวนโมกข์ คุ้มค่าเวลา คุ้มค่าใช้จ่าย ที่มาสวนโมกข์ คือได้รู้จักธรรมชาติเท่านี้ก็พอแล้ว ถ้าไม่อย่างนั้น ก็ไม่คุ้มค่าเหนื่อยเปล่า เปลืองเปล่า เสียเวลาเปล่าไม่รู้จักสิ่งที่เรียกว่าธรรมชาติ ไม่รู้จักสิ่งที่เรียกว่ากฎของธรรมชาติ ไม่รู้จักสิ่งที่เรียกว่าหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ ไม่รู้จักสิ่งที่เรียกว่าผลอันยุติธรรมที่สุด ที่เกิดจากการปฏิบัติหน้าที่ตามธรรมชาติ ทั้งหมดนี้มันอยู่ในตัวเรา เราทำให้มันเป็นธรรมชาติให้มากที่สุด ร่างกายจิตใจล้วนๆนี้มันเป็นตัวธรรมชาติ มันมีตัวกฎของธรรมชาติ ควบคุมร่างกาย จิตใจของเราอยู่ เราก็มีหน้าที่ปฏิบัติตามกฎของธรรมชาติ ต้องกินอาหาร ต้องบริหารร่างกาย ต้องบริหารจิต นี่คือปฏิบัติหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ แล้วเราก็ได้รับผลเป็นความสงบสุข หรือถ้าเราทำผิดไป เราก็ต้องได้รับผลเป็นความทุกข์ ฉะนั้นธรรมชาติใน ๔ ความหมายนี่มันอยู่ในตัวเรานั่นแหละ ไปดูให้ดี ศึกษาธรรมะจริงต้องศึกษาจากภายใน จากตัวเรา พระพุทธเจ้าท่านทรงกำชับไว้อย่างนี้ ว่าศึกษาธรรมะนั้นจงศึกษาจากภายในร่างกายที่มีจิตใจ ร่างกายที่ยังเป็นๆ คือยังมีสัญญาและใจ ในร่างกายที่ตายแล้วใช้ศึกษาอะไรไม่ได้ ร่างกายที่ยังเป็นๆ มีสัญญามีใจ ยาวประมาณวาหนึ่ง นี่มันมีอะไรครบอยู่ในนั้น จนถึงกับท่านใช้คำว่า โลกทั้งหมด เหตุให้เกิดโลกทั้งหมด ความดับแห่งโลกทั้งหมด หนทางให้ถึงความดับแห่งโลกทั้งหมดนี้ ให้ศึกษาจากภายในของร่างกายที่ยาวประมาณวาหนึ่งนี้ นี่คือเรื่องธรรมชาติ เรามาพูดมาศึกษามาทำความเข้าใจกัน ก็เพื่อให้รู้จัก ศึกษาปฏิบัติต่อไปเกี่ยวกับเรื่องภายในของตัวเอง ธรรมะจริงๆ มีอยู่อย่างนี้ ไม่อาจจะอาศัยความช่วยเหลือของใคร ไม่อาจจะอาศัยไอ้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายนอก เพราะว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายในมันมีมากพออยู่แล้ว รีบดูให้เห็นและก็รีบกระทำให้มันถูกต้อง มีสติสัมปชัญญะ เพียงพอที่จะควบคุมการเกิดแห่งกิเลส อย่าให้เกิดกิเลสก็ไม่เกิดอนุสัย ไม่เกิดอนุสัยก็ไม่มีอาสวะ ที่จะทำให้เป็นทุกข์ เรื่องมันก็จบ เราค่อยพูดกันเรื่องกิเลส เรื่องอาสวะ เรื่องความทุกข์ ให้ละเอียดกันคราวอื่นๆ ในวันนี้พูดแต่เพียงข้อเท็จจริงอันหนึ่ง ว่าการศึกษาของพวกท่านทั้งหลายยังสับสน ยังไม่มีต้นยังไม่มีปลาย ยังไม่รู้ว่าต้องการอะไรเพื่ออะไร ในทิศทางไหน มันยังสับสน บางคนก็ศึกษาเพื่อว่าจะเป็นความรู้รอบตัว บางคนก็เห่อตามๆ กันมา บางคนก็ว่าหน้าที่มันบังคับ เพราะว่าเราเป็นสมาชิกหรือเป็นหัวหน้ากลุ่มพุทธศาสตร์อย่างนี้เป็นต้น ไปดูเสียให้ดีว่า เราควรจะศึกษาธรรมะด้วยเหตุผลอะไร แล้วก็ทำให้ได้ตรงตามนั้นเรื่อยๆไป ไม่เท่าไร ก็จะมีธรรมะพอสำหรับความเป็นมนุษย์ ไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์ และพบพระพุทธศาสนา ด้วยกันทุกคน อาตมารู้สึกว่าได้บรรยายในเรื่องนี้พอสมควรแก่เวลาแล้ว ก็ขอยุติการบรรยายในครั้งนี้ไว้แต่เพียงเท่านี้