แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
นักศึกษาผู้มีความสนใจในธรรมทั้งหลาย เมื่อได้ทราบจากหนังสือของท่าน ประโยคหนึ่งว่าตั้งใจจะมาประพฤติธรรมด้วย ไม่ใช่เพียงแต่มาฟังอย่างเดียว อย่างนี้ก็รู้สึกยินดีมาก ที่เขียนมาตั้งใจจะมาประพฤติธรรมด้วย เพราะว่าเรื่องประพฤติธรรมกับเรื่องศึกษาด้วยการฟังอย่างเดียวนั้นมันคนละเรื่องกัน นี่เรามันจะได้ทั้งสองเรื่อง แต่ถึงอย่างไรมันก็เกี่ยวข้องกันนั่นแหละ มันต้องรู้เรื่องมันจึงจะประพฤติธรรมได้ นี่จะพูดถึงเรื่องประพฤติธรรมอย่างไรกันเสียก่อน ก็มีนักศึกษาที่แล้วมาหลายพวกตั้งใจอย่างนี้ ถือโอกาสประพฤติธรรมในระหว่างที่พักอยู่ที่นี่ ก็มีความตั้งอกตั้งใจที่จะเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ก็เลยได้ผล การประพฤติธรรมในที่นี้มีความหมายว่า เราจะประพฤติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าให้มากที่สุดเท่าที่ว่ามันจะอำนวยให้ เท่าที่การอยู่ที่นี่จะอำนวยให้ หรือว่าตามที่ธรรมชาติที่นี่มันจะอำนวยให้
คำสอนของพระพุทธเจ้าในข้อที่ว่า เป็นอยู่พอดี ไม่มีส่วนเกิน เกี่ยวกับการกินอาหารก็ดี การนุ่งห่มก็ดี การบำรุงร่างกายบริหารร่างกายก็ดีไม่ให้มันมีส่วนเกิน ก็ปฏิบัติดู หรือว่าที่ต่ำลงไปกว่านั้นอีกก็คือจะมีการเป็นอยู่ชนิดที่ใกล้ชิดธรรมชาติที่สุด เป็นอยู่ที่เหมือนพระพุทธเจ้าท่านเป็นอยู่ให้มากที่สุด เพื่อจะเข้าใจคำสั่งสอนของท่านได้ดี การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้านั่นก็คือการตรัสรู้เรื่องความจริงของธรรมชาติ เช่น ตัวธรรมชาติเอง ตัวกฏของธรรมชาติ หน้าที่ให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ อะไร ๆ มันก็มีธรรมชาตินั่นแหละเป็นหลัก นี่ถ้าเป็นอยู่ให้ใกล้ชิดธรรมชาติให้มากที่สุด มันก็เข้าใจธรรมชาติได้โดยง่าย การมาพักอยู่ที่นี่มันช่วยให้มีการเป็นอยู่ที่ใกล้ชิดธรรมชาติมากที่สุด แม้ที่สุดแต่ว่าเรามานั่งกันอยู่ที่นี่ ก็ใกล้ชิดธรรมชาติมากที่สุดมันเหมือน ๆ กับที่พระพุทธเจ้าท่านประพฤติกระทำอยู่ในสมัยนู้น ต้องนึกย้อนไปถึงข้อที่ว่าพระพุทธเจ้าท่านประสูติกลางพื้นดิน แม้จะเป็นราชา เป็นกษัตริย์ จะเป็นกษัตริย์อยู่วัง การประสูติของท่านนั้นประสูติที่พื้นดินที่สวนสุมพินี เมื่อตรัสรู้ก็ตรัสรู้พื้นดิน นั่งพื้นดินใต้โคนไม้ เมื่อนิพพานก็นอน ประทับนิพพานนี่กลางดิน เมื่อสอนสาวกทั้งหลายก็สอนเหมือนนั่งกันอยู่กลางดินที่ไหนก็ได้ กำลังเดินทางอยู่ก็ได้ แล้วกุฏิของท่านก็พื้นดิน ฉะนั้นเรามานั่งที่นั่งที่นอนของพระพุทธเจ้า ทำในใจใกล้ชิดกับธรรมชาติ นี่มานั่งพูด นั่งฟังกันกลางดินอย่างนี้ มันอย่างเดียวกันกับที่พระพุทธเจ้าท่านกระทำแก่สาวกของท่านในครั้งกระโน้น คือพูดกันกลางดิน ฉะนั้นมันต้องผิดกันกับที่จะพูดกันในห้องเรียน ในตึกรามที่ราคาแพงและหรูหรา จิตใจมันไม่เหมือนกัน เมื่อเรามานั่งกลางดินอย่างนี้ ในบรรยากาศตามธรรมชาติที่สุดอย่างนี้ มันก็มีจิตใจเหมาะที่จะศึกษาเรื่องราวของธรรมชาติ เท่าที่ได้ผ่านมาในการศึกษาสังเกตุ ก็จะพูดได้ว่าพระศาสดาทุกองค์ของพระศาสนาทุกศาสนานี่ก็เป็นอยู่ใกล้ชิดธรรมชาติอย่างนี้ ทุกองค์ก็ตรัสรู้คือการเป็นพระศาสดาในขณะนั้นของท่านก็เมื่ออยู่ตามธรรมชาติอยู่กลางดินอย่างนี้ทั้งนั้น ไม่มีศาสดาองค์ไหน รู้ธรรมะถึงขนาดเป็นศาสดาในขณะที่อยู่บนตึกราม หรือบนปราสาทหรืออะไรไม่มี อยู่ในป่า อยู่ในถ้ำ อยู่บนภูเขาแล้วแต่เลือก ฉะนั้นเราควรจะนึกถึงข้อนี้ ก็รวมเอาไว้ในคำว่า ทดลองปฏิบัติธรรม เป็นอยู่ใกล้ชิดกับธรรมชาติลอดเวลาที่อยู่ที่นี่ ทุกอย่าง ทุกประการ และยังจะได้ทดลองปฏิบัติธรรมในรูปแบบของขนบธรรมเนียมประเพณีของคนไทยที่ดี ชาวพุทธที่ดีมาแต่โบราณกาล เมื่อเข้ามาในวัดซึ่งเป็นสมบัติของศาสนาของทุกคน เขาก็ช่วยกันรักษาทะนุถนอม มันจึงมีขนบธรรมเนียมประเพณีที่ช่วยกันรักษาความสะอาด แล้วปรับปรุงอะไรเท่าที่จะมีได้ แล้วก็หัดเป็นผู้ที่ปฏิบัติขนบธรรมเนียมประเพณี ฝรั่งที่เป็นผู้มีเกียรติเป็น Professor ของมหาวิทยาลัยในเยอรมนี เข้ามาแล้วก็พักอยู่ แล้วเขากลับไป เห็นว่าเขาได้ทำตัวถูกต้องตามวัฒนธรรมไทย ปัด กวาด เก็บหมอน เสื่อ มุ้ง กวาดห้อง เขาก็ยังมาบอกว่าเขาทำทุกอย่างแล้ว คุณลองคิดดูว่ามันเป็นโอกาสที่จะฝึกฝนปฏิบัติ รักษาขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรมไทย แล้วบางคนก็ยังช่วยกวาดลานวัดนะ เพราะธรรมดาเขาไม่ทำ ทำไม่ได้หรอก เพราะว่าเขาเป็นผู้อยู่ในฐานะสูง มีคนใช้ มีลูกจ้าง แต่พอเขามาอยู่เองเลำพังคนเดียว นี่เขาทำจนน่าคิด น่านึก แล้วก็อยากจะทำ เขายินดีที่จะทำ เพราะว่าการทำนั้นมันเป็นประโยชน์แก่เขา ขอให้พยายามนึกถึงข้อนี้ว่าที่เรียกว่าจะมาปฏิบัติธรรมะที่สวนโมกข์นั่นนะคือทำอย่างไร สรุปความแล้วคือว่า ปฏิบัติหลักธรรมะเท่าที่จะปฏิบัติได้อย่างหนึ่ง และเป็นอยู่ให้ใกล้ชิดกับธรรมชาติที่สุดเท่าที่จะปฏิบัติได้ ทำได้ แล้วก็รักษาขนบธรรมเนียมประเพณีวัฒนธรรมไทยที่เกี่ยวกับบุคคลจะต้องประพฤติต่อวัด สัตตบุรุษ ทายก ทายิกาจะต้องประพฤติต่อวัดวาอารามอย่างไร จะต้องทำอย่างนั้นแล้วก็จะได้รับประโยชน์
ที่นี้ก็อยากจะพูดถึงเรื่องหลักธรรมะที่เป็นวิชาที่จะต้องได้ยินได้ฟัง หลักธรรมะนี้มันก็มีอยู่เป็นชั้น ๆ เข้าใจว่าคงเดาถูกทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่คงเดาถูกว่าหลักธรรมะมีอยู่เป็นชั้น ๆ ที่เป็นชั้น ๆ ก็มุ่งหมายตามความต้องการของคนเรา ที่จะต้องอยู่เป็นชั้น ๆ นั่นเอง ชั้นเด็ก ชั้นผู้ใหญ่ ชั้นคนแก่คนเฒ่า หรือ ว่าชั้นที่มีหน้าที่การงานต่ำ หน้าที่การงานสูง และหน้าที่การงานสูงสุด มันก็มีอยู่กันเป็นชั้น ๆ และยิ่งกว่านั้นมันยังมีเป็นชั้น ๆ เชิงว่าเราศึกษาธรรมะกัน เพื่อให้เป็นผลดีแก่การเล่าเรียนของเรา นี่อย่างว่าเป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัย ถ้ารู้ธรรมะ มีธรรมะประพฤติปฏิบัติธรรมะอยู่เป็นเนื้อเป็นตัว อย่างนี้แล้วการเรียนก็จะดี เป็นนักเรียน นักศึกษาที่บังคับตัวเองให้เป็นนักเรียน นักศึกษาที่แท้จริง นักศึกษาบ้า ๆ บอ ๆ ชอบยาเสพย์ติด เป็นเจ้าชู้กันจนการเรียนล้มเหลว มีการประพฤติสกปรกโสมมจนต้องซ่อนเร้น อย่างนี้มันจะมีการเรียนที่ดีได้อย่างไร เราปฏิบัติธรรมะของศาสนาอยู่ก็จะช่วยให้มีการเป็นอยู่ที่ถูกต้องเหมาะสม เช่นการเรียนนั้นเป็นไปอย่างสนุกสนาน ประสบผลดี ช่วยจำไว้ด้วยว่า ได้พูดว่าไอ้การเรียนนั้นจะสนุกสนาน การเรียนไม่สนุกสนานสำหรับคนโง่ ไม่สนุกสนานสำหรับคนอันธพาล คนเหลวไหล มันฝืนเรียนมันทนเรียน อยากถึงเวลาหยุดเรียนเร็ว ๆ มันไม่สนุกในการงาน แต่การเรียนนั้นจะเป็นการสนุกสนาน เป็นความสนุกสนานสำหรับผู้มีปัญญา เมื่อเรียนอยู่นั่นแหละมีความสุขอย่างยิ่งในห้องเรียน ก็มีความพอใจอย่างยิ่ง ไม่อยากให้ถึงเวลาหยุดเรียน ไม่อยากให้ถึงเวลาปิดภาคเรียนอย่างนี้เป็นต้น ก็ตัวการเรียนมันเป็นความสุขเสียเอง นี่เพราะมีธรรมะอยู่ในบุคคลนั้นโดยที่เขารู้ตัวก็ได้ ไม่รู้ตัวก็ได้ หมายความว่าเขาฝึกฝนตนเองให้เป็นผู้รักการเรียน สนุกสนานในการเรียนก็ได้ หรือมันเป็นนิสัยของเขาโดยที่เขาไม่ได้เจตนา มันก็มีเหมือนกัน มันบังเอิญก็ได้ แต่มันก็ต้องมีธรรมะจึงจะมีความสนุกสนานในการเรียน นี่เรามีธรรมะเพื่อความเป็นนักเรียน นักศึกษาที่ดีได้ผลการเรียนดีนี่ก็อย่างนึง ที่สูงขึ้นไปเราก็มีการเรียนสำหรับเป็นมนุษย์ที่ดีมีการงานการอาชีพการอะไรที่ดี ที่ถูกต้องที่สนุกสนานอยู่ในงานอาชีพนั้น ก็เรียกว่าเป็นมนุษย์ที่ดีเหมือนกัน คือเป็นมนุษย์ที่มีความสุขในการงาน ธรรมดามนุษย์มันไม่ได้ชอบทำงาน มันทำงานด้วยจำเป็น จำใจทั้งนั้นแหละ งั้นจึงคอยโกงเวลา โกงเวลาทำงานเท่าที่จะโกงได้กันทั้งนั้นเลย ก็เพราะมันไม่ชอบทำงาน แต่อยากจะเอาเงินเดือน อยากจะเอาประโยชน์ นี่เราก็จะต้องมองดูให้เห็น แล้วเราจะต้องไม่เป็นอย่างนั้น เราจะต้องมีความสนุกในการทำงาน มีความสุขเมื่อกำลังทำงานอยู่ นี่เขาจะมีความสุขต่อเมื่อหยุดงาน แล้วก็ไปเที่ยว ไปเล่น หรือว่าเงินเดือนออกแล้วก็ไปเที่ยวกันให้หัวหกก้นขวิดจึงจะมีความสุข นั้นเป็นความสุขอีกแบบหนึ่ง เป็นความสุขของกิเลส เป็นความสุขอย่างภูตผีปีศาจ ไม่ใช่เป็นความสุขอย่างสัตตบุรุษในพระพุทธศาสนา ถึงจะเป็นสัตตบุรุษในพระพุทธศาสนาจะมีความสุขเมื่อทำงานนั่นเอง ไม่ต้องพูดถึงเงินเดือนออก หรือเอาเงินเดือนไปกินไปเล่น เมื่อได้ทำการงานอยู่เสียอีกก็จะพอใจเป็นสุข เคารพตัวเอง นับถือตัวเอง ยกมือไหว้ตัวเองที่ทำหน้าที่ดีที่สุดอย่างสนุกสนาน มันมีความสุขอันแท้จริง ไม่ใช่ความสุขของกิเลส แต่มันเป็นความสุขของสติปัญญา คือมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง นี่การรู้ธรรมะมันช่วยให้เป็นอย่างนี้ นี่ก็สูงขึ้นไปอีก ความรู้ในทางธรรมมะจะช่วยแก้ปัญหาทางจิตใจ ที่เรียกกันว่าทางวิญญาณนั้น อีกชั้นหนึ่ง ที่เรามีความทุกข์ในทางจิตใจ เพราะความโลภ ความโกรธ ความหลง เพราะความกลัว เพราะความเกลียด เพราะความอิจฉาริษยาความรู้สึกเลวร้ายต่าง ๆ นานาที่มันมีอยู่ มันเกิดขึ้นและทำให้เราเป็นทุกข์ ธรรมะจะช่วยขจัดความรู้สึกที่เลวร้ายเหล่านี้ออกไปเสียให้สิ้น และเป็นคนมีจิตใจที่เกลี้ยงไม่มีกิเลส ไม่มีความรู้สึกที่เป็นทุกข์ เพราะสิ่งที่ต้องเป็นไปธรรมดาเป็นความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความกระทบกันเข้ากับสิ่งที่ไม่ปรารถนา ที่ไม่น่าปรารถนา และพลัดพรากจากสิ่งหรือภาวะที่มันน่าปรารถนา ซึ่งมันต้องมี ถ้ามีธรรมะจะไม่เป็นทุกข์เพราะเหตุนี้ ถ้าไม่เป็นทุกข์ได้เลยก็เรียกว่าได้รับประโยชน์สูงสุดของสิ่งที่เรียกว่าธรรมะ เกิดมาเป็นผู้ที่จะไม่รู้จักกับความทุกข์อีกต่อไป นี่เราเรียกว่าสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ความจะได้รับมันอยู่ที่นี้ คือจะไม่มีความทุกข์โดยประการทั้งปวง จะแก้ปัญหาต่างๆ ได้หมดสิ้น มีความเป็นอยู่ชนิดที่ไม่เกิดปัญหาใดอะไร ไม่ว่าโลกนี้จะเป็นไปในลักษณะอย่างไร ก็ไม่ทำให้คนนั้นมีความทุกข์ได้ แม้ที่สุดแต่ว่าความตาย คือถ้ารู้แน่ว่าจะตายพร้อม ๆ กันทั้งโลกด้วยระเบิดปรมาณูอะไรก็ตาม มันก็ไม่รู้สึกว่าแปลกประหลาดอะไร อย่างนี้เขาเรียกว่าจิตใจมันอยู่เหนือโลก คือเหนือปัญหาของโลก ก็เรียกว่าดีที่สุดที่มนุษย์จะถึงได้ เรื่องที่ต่ำ ๆ กว่านั้นมันก็ไม่มีปัญหา เรื่องที่ทำยาก ปฏิบัติยาก มันก็ทำได้เสียแล้ว เรียกว่าเรา เป็นมนุษย์กันนี่ก็เพื่อให้ถึงจุดสูงสุดอันนี้ คือไม่รู้จักกันกับความทุกข์เพราะเป็นนิรันดร หมายความว่าจนกระทั่งดับจิตตายไป อย่างเรานี้ก็เรียกกันตรง ๆ ทางพุทธศาสนาเรียกตรง ๆ ว่าที่สุดแห่งความทุกข์ ไม่มีความทุกข์เลย ผู้ที่เขาถือศาสนาอย่างอื่น เขาจะใช้ชื่อเรียกอย่างอื่น จะเรียกว่าอยู่กับพระเจ้า มันเป็นคำพูดที่โฆษณาชวนเชื่อไพเราะมาก แต่ความหมายของคำว่าไปอยู่กับพระเจ้าก็ไม่มีอะไรหรอก นอกจากว่าไม่มีความทุกข์เลยนั่นแหละ ไป ๆ มา ๆ มันก็อยู่ที่ความไม่มีความทุกข์เลย ไม่รู้จักกันกับความทุกข์เลย นี่ธรรมะช่วยให้เราได้ความรู้ถึงขนาดนี้ คือในทางจิตทางวิญญาณไม่มีความทุกข์เลย ในทางที่เป็นอยู่ในโลกนี้ทางสังคม ก็รู้จักจัด รู้จักทำไม่ให้เกิดปัญหา ทางทรัพย์สมบัติก็ดี ทางร่างกายก็ดี ทำไม่ให้มีปัญหาได้ เพราะความเฉลียวฉลาดของตน เมื่อเกิดมาทีนึงก็ได้พบกันกับภาวะชนิดหนึ่งซึ่งไม่มีความทุกข์เลย ถ้าถามว่าเกิดมาทำไม คนที่มองเห็นจริงเห็นถูกก็จะต้องตอบว่าเพื่อความเป็นอย่างนี้ แต่เดี่ยวนี้มันไม่ได้สอนกันนี่ว่าคนเกิดมาทำไม เข้าใจว่าในมหาวิทยาลัยทุกแห่งในโลกไม่มีหัวข้อเป็นหลักสูตรสำหรับสอนให้รู้ว่าคนเกิดมาทำไม เขาไม่ได้สนใจกับปัญหานี้ เขาสนใจเฉพาะวิชาเฉพาะสาขาว่าจะเรียนอะไร จะเรียนกฏหมาย จะเรียนวิทยาศาสตร์ จะเรียนเทคโนโลยีแขนงไหน มันก็สนใจกันแต่วิชานั้น ปัญหาที่ว่าเกิดทำไมไม่ทีช่องทางที่จะเข้ามาอยู่ในหลักสูตรหรือแม้แต่การพูดจา นักเรียนและครูก็ง่วนกันอยู่ แต่จะถามและตอบเกี่ยวกับวิชาเฉพาะ เฉพาะวิชาตามที่ตั้งใจจะเรียนจะสอนกันทั้งนั้น เพราะฉะนั้นเราจึงไม่เคยวินิจฉัยกันว่าเกิดมาทำไม บางคนจะแย้งว่าฉันไม่ได้ตั้งใจจะเกิดมา ฉะนั้นไม่ต้องตอบปัญหานี้ ฉันเกิดละเมอ ๆ มา ไม่ได้มีเจตนา ฉันก็ไม่ต้องตอบปัญหานี้ มันจะยิ่งโง่หนักเข้าไปอีก แม้ว่าเขาจะไม่ได้ตั้งใจจะเกิดมา แต่มันเกิดมาแล้วมันก็หลีกไม่พ้นที่เขาจะต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุดสำหรับการเกิดมานั่นเอง แล้วมันก็คือสิ่งนั้นแหละคือสิ่งที่จะต้องทำเราเกิดมาทำให้ดีที่สุด ก็เป็นเรื่องเดียวกันว่าเราจะต้องทำอะไร สำหรับเกิดมาเป็นมนุษย์ให้ดีที่สุด ขอให้สนใจ ถ้าหากว่าตั้งใจมาที่นี่เพื่อจะศึกษาธรรมมะ ก็ขอให้สนใจในข้อนี้แหละเป็นข้อแรก คือให้รู้กันเสียก่อนว่าเกิดมาทำไม ถ้าไม่อย่างนั้นมันก็ทำไปไม่ถูกหรอกว่าเกิดมาทำไม แล้วก็ทำงานทำอาชีพ ทำอะไรต่าง ๆ ไม่เป็นไปอย่างสมคล้อยกันกับข้อที่ว่าเกิดมาทำไม ฉะนั้นจึงไปทำสิ่งที่ไม่ควรทำ เราจึงได้เห็นมนุษย์ส่วนใหญ่ทำสิ่งที่ไม่ควรจะทำ คือทำให้เป็นอันตราย เป็นปัญหาขึ้นมาทั้งตนเองและผู้อื่น แล้วเป็นอันธพาลโดยไม่รู้สึกตัว เป็นอันธพาลโดยไม่รู้สึกตัวนี่ขอให้สนใจให้มาก มันอาจจะกำลังเป็นอยู่ที่ตัวเรา คือเราทำอะไรผิดไปโดยไม่รู้สึกตัว ทำผิดอยู่โดยไม่รู้สึกตัว ทำไมเรียนจบมหาวิทยาลัยแล้วมันยังไปบูชายาเสพติด มันโง่กี่มากน้อย จะไปเป็นฮิปปี้ก็ได้ไม่เป็นฮิปปี้ก็ได้ ไม่ตั้งตัวเป็นฮิปปี้ จะไปบูชายาเสพย์ติดทั้งที่เรียนจบมหาวิทยาลัยมาแล้วมันก็มีนะ แล้วมันยังไปทำอะไรที่ไม่ควรจะทำอีกมาก หรือว่าในที่สุดเป็นเจ้าเป็นนายเป็นผู้มีหน้าที่รับผิดชอบสูงมันก็ยังทำคอรัปชั่น ทำไมมันจึงโง่มากถึงขนาดนี้ เพราะอะไรมันบังคับ ถ้าพูดอย่างภาษาหยาบคาย ก็ว่าเพราะกิเลสอะไรไสหัวให้ไปทำคอรัปชั่น มันจะต้องมองกันอย่างนั้นมากกว่า ทำไมอุตส่าห์เรียนมาจนจบ ที่ว่าจะเรียนได้แล้วมันก็ยังมีความผิดพลาด ทำไมต้องขอร้องกันทั่วโลก ให้ช่วยกันปราบยาเสพย์ติด ให้ช่วยกันระมัดระวังไอ้เรื่องที่เป็นคอรัปชั่น คอรัปชั่นชั้นระดับโลกก็มี คอรัปชั่นระหว่างชาติก็มี ทำไมยังจะต้องขอร้องกันทั้งโลกให้ช่วยกันฟื้นฟูระเบียบรักษาสิทธิมนุษยชน ล่วงเกินสิทธิของผู้อื่นกันอยู่ตลอดเวลา แล้วก็ดู ๆ มันก็เป็นเรื่องหลอกกันซึ่ง ๆ หน้า ผู้ชักชวนให้เคารพสิทธิมนุษยชนเองนั่นแหละมันก็ละเมิดสิทธิมนุษยชนอยู่ทางหนึ่งมันไม่จริงอย่างนี้ เพราะว่ามันไม่มีธรรมะ ถ้าเรามีธรรมะมันก็จะไม่มีอะไรที่เป็นปัญหาเกิดขึ้น สิ่งเลวร้ายทั้งหลายจะมีกี่ร้อยอย่างกี่พันอย่างที่เกิดขึ้นมาในโลกนี้ก็เพราะความไม่มีธรรมะของมนุษย์นั่นเอง โดยเจตนาก็มี โดยไม่รู้สึกตัวก็มี ถ้ามนุษย์ยังมีธรรมะยังถือศาสนาของแต่ละคน แต่ละศาสนาอยู่แล้ว สิ่งเลวร้ายเกิดขึ้นไม่ได้ คุณจะช่วยคิดนึกข้อนี้สักหน่อยจะไม่ได้หรืออย่างไร ช่วยคิดกันสักนักหน่อยว่าถ้ามนุษย์ในโลกทุกคน ยังถือธรรมะยึดมั่นอยู่ในศาสนาของตน ๆ แล้วสิ่งเลวร้ายมันจะเกิดขึ้นไม่ได้ แม้แต่เท่าขี้ฝุ่นนึงก็ไม่ได้ มันจะไม่มีการเบียดเบียน มันจะไม่มีการล่วงละเมิดผู้อื่น มันจะรักผู้อื่นทั้งหมด เหมือนกับรักตัวเอง ถ้ามันมีธรรมะนะ ไปศึกษาต่อไปข้างหน้าเถิดถ้ามันมีธรรมะอะไรอย่างไรแล้วมันจึงทำให้มนุษย์เป็นอย่างนี้ ทุกศาสนาเขาก็มุ่งหมายผลที่จะได้ในระดับนี้ด้วยกันทั้งนั้น คือทุก ๆ ศาสนาจะมีกล่าวถึงเรื่อง พระพุทธเจ้า หรือพระศาสดา หรืออะไรก็แล้วแต่ ที่เรียกกันโดยรวม ๆ ทั่ว ๆ ไปว่า พระศรีอริยเมตไตรย ในศาสนาฮินดูก็มี ศาสนาคริสเตียนก็มี ศาสนาไหนก็มี บุคคลทำนองที่เทียบกันได้กับพระศรีอริยเมตไตรยเกิดขึ้นแล้ว ก็ทำให้โลกนี้หมดความทุกข์ หมดปัญหา มีคนประพฤติธรรมะเหมือนกันจนไม่มีความแตกต่าง จนไม่รู้ว่ามีใครเป็นใคร คือมันดีเหมือนกันไปหมด ไม่มีการเบียดเบียน เขาเรียกว่านอนไม่ต้องปิดประตูเรือน นี่หมายความว่ามันไม่มีขโมย แล้วมันก็ไม่มีการเบียดเบียน แล้วมีการช่วยเหลือเอื้อเฟื้อกัน ไม่มีใครขาดแคลน พูดว่ามีต้นไม้กัลปพฤกษ์ใครต้องการอะไรไปเอาที่นั้น มันไม่มีใครขาดแคลน นี่ก็หมายความว่ามีระบบงาน ระบบสวัสดิการ ระบบอะไรก็ตามที่มันช่วยเหลือเอื้อเฟื้อกันจนไม่มีใครขาดแคลน นี่เพราะอำนาจของธรรมะ มันจึงทำให้เป็นอย่างนี้ ที่เราจะเห็นได้ง่าย ๆ ใกล้ตัวเรา เมื่อก่อนนี้ คนถือธรรมะ ถือศาสนาของตน ๆ ยิ่งกว่าเดี๋ยวนี้ เพราะว่าเมื่อก่อนนี้มันไม่มีวัตถุนิยมไม่มีของยั่วของเอร็ดอร่อยทางวัตถุมายั่ว คนไม่ตกเป็นเหยื่อของวัตถุนิยมมันจึงง่ายที่จะยึดมั่นในธรรมะหรือในศาสนา แล้วเขาก็มีความสุขการมีธรรมะ ดีใจพอใจตัวเองเมื่อมีธรรมะ แล้วก็มีความสุข ไอ้การกระทำอย่างเลวร้ายมันก็มีขึ้นไม่ได้ การที่คนจนจะรวมหัวกันเพื่อทำลายคนมั่งมีมันมีไม่ได้ มันเพิ่งมีต่อเมื่อมนุษย์ในโลกนี่ละเลยธรรมะไม่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กัน คนหนึ่งได้เปรียบกลายเป็นคนร่ำรวยแข็งแรงขึ้นมา ก็ยิ่งไม่เอื้อเฟื้อคนยากจน คนอ่อนแอ คนโง่ มันก็เกิดการแตกแยกกัน คือเดินกันคนละทาง จนในที่สุด คนจนทนไม่ไหว มันก็จับกลุ่มกันขึ้นต่อต้านทำลายคนมั่งมี เช่น ลัทธิคอมมูนิสต์ เป็นต้น ซึ่งเมื่อก่อนมันมีไม่ได้ ในสมัยที่คนมันมีธรรมะ มันเอื้อเฟื้อผื่อแผ่มันรักคนทุกคนเหมือนกับพี่น้องของเราหมด ลัทธินี้มันเกิดไม่ได้ จนกว่าเมื่อไรมันเกิดไม่ถือธรรมะกัน มีตัวมึง ตัวมึง ตัวกู เท่าไหร่มันก็เหลื่อมล้ำกว่ากันจนมันเป็นศัตรูกัน แล้วลองคำนวนดูว่าในปัจจุบันนี้ปัญหาเกี่ยวกับคนจนกับนายทุนนี่มันมีปัญหาสักกี่มากน้อย เป็นปัญหาทั่วโลก เป็นปัญหาที่ไม่รู้จักสิ้นสุด และเป็นปัญหาปลีกย่อยอีกนานาอย่างแม้ในประเทศไทยเรา พูดกันไม่รู้เรื่อง คนมั่งมีไม่มีธรรมะสำหรับจะรักหรือเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แก่คนจน นี่คือมันขาดธรรมะ ถ้ามีธรรมะอยู่ลัทธิอย่างลัทธิคอมมูนิสต์นี่เกิดขึ้นในโลกไม่ได้ มันจะเกิดได้ต่อเมื่อ เมื่อมันขาดธรรมะที่คนมั่งมีจะเอื้อเฟื้อให้คนจน ในสมัยโบราณมันก็จะมีเศรษฐีใจบุญ มันไม่มีนายทุนหน้าขูดรีด มันมีแต่เศรษฐีใจบุญ คือมันไม่มีนายทุนขูดรีด เดี๋ยวนี้เศรษฐีใจบุญมันหายไปไหนหมด มีนายทุนขูดรีดขึ้นมาแทนโลกมันก็เปลี่ยน ปัญหาของมนุษย์เราก็เปลี่ยน เมื่อก่อนนี้ก็มีคนพลเมืองที่ยากจนทั่ว ๆ ไปเป็นคนที่มีธรรมะ ยอมรับสภาพกรรมของตัวว่าเรามันมีกรรม คือกรรมมันจัดให้เราจน เราก็พยายามต่อสู้แก้ไขไปตามกรรมของเรา ไม่ต้องคิดที่จะฆ่าหรือทำลายล้างผู้อื่น หรือบางทีก็จะคิดว่าเราทำไม่ถูกต้อง เป็นที่รักใคร่กัน เขาก็จะเอื้อเฟื้อเรา มันก็ร่วมมือกันได้ ความจริงนั้นถ้ามันไม่มีกรรมกรแล้วนายทุนมันก็อยู่ไม่ได้ มันก็ตายหมดเหมือนกัน ถ้ากรรมกรไม่มี ไม่มีใครจะทำงานตามโครงการของนายทุน นายทุนมันก็อยู่ไม่ได้ ฉะนั้นนายทุนก็ควรจะเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กรรมกรด้วยความเมตตารักใคร่มันอยู่กันได้ ปัญหามันก็จะหมดไป กรรมกรก็เหมือนกันถ้าไม่มีนายทุนมันก็อยู่ไม่ได้ ถ้าไม่มีนายทุนใครมันจะลงทุนให้มีงานให้กรรมกรทำ ถ้าไม่มีนายทุนกรรมกรมันก็อยู่ไม่ได้ หรือถ้าไม่มีกรรมกร นายทุนมันก็อยู่ไม่ได้ เห็นได้ชัด ๆ เลย แต่ต่างฝ่ายต่างก็ไม่มีธรรมะพอที่จะมีความรักสามัคคีร่วมมือร่วมแรงกัน นี่มันขาดธรรมะปัญหาจึงเกิดขึ้น พอธรรมะเข้ามาเมื่อไหร่ ปัญหานี้จะหมดไป และจะไม่มีคำว่านายทุนขูดรีดในโลก เศรษฐีใจบุญก็จะกลับมาอยู่ในโลกแทนนายทุน ชนกรรมาชีพอันโหดร้ายมันก็ไม่มี เพราะมันถือธรรมะ มันก็เปลี่ยนเป็นคนธรรมดาสามัญ เป็นสัตตบุรุษมีธรรมะ เป็นสมาชิกในศาสนา ประพฤติตนดีงามตามหลักของพระศาสนา มันก็ไม่มีชนกรรมาชีพที่มุ่งจะฆ่านายทุนอีกต่อไป โลกนี้มันก็หมดปัญหา ฉะนั้นคุณจะเห็นได้ว่าไอ้เรื่องซ้ายเรื่องขวานี้มันเรื่องบ้า ๆ บอ ๆ ทั้งนั้นแหละ อย่าไปเอากับมันเลย เอาที่ตรงกลางที่มันถูกต้อง ที่มันร่วมมือกันได้ระหว่างซ้ายกับขวานั่นแหละคือธรรมะ ถ้ามันแยกเป็นซ้ายเป็นขวาแล้วมันเรื่องบ้าทั้งนั้นแหละ ไม่มีธรรมะได้หรอก ทีนี้เมื่อไหร่มันมาสัมพันธ์กันให้ร่วมมือกัน แก้ไขปัญหาให้ลุล่วงไป มันก็มีธรรมะ ธรรมะมันช่วยแก้ปัญหาของมนุษย์ถึงขนาดนี้ แล้วเมื่อไม่มีธรรมะมันจะเลวร้ายสำหรับมนุษย์ถึงขนาดนี้ คิดจะมีแต่คอยจ้องล้างผลาญกัน อย่างน้อยก็คอยจ้องเอาเปรียบกัน นี่มันมีอย่างนี้ ถ้ามีธรรมมะเข้ามามันไม่มีที่จะคอยจ้องทำลายล้างหรือเอาเปรียบกัน มันมีแต่คอยจ้องที่จะสงเคราะห์กัน ฟังแล้วไม่น่าเชื่อนะ ทุกคนในโลกมีแต่คอยจ้องจะสงเคราะห์กันด้วยความรักด้วยความเมตตา ฉะนั้นเราจงมองเห็นว่าธรรมะนี่มันสำคัญที่สุดสำหรับมนุษย์ ที่มนุษย์มันจะเป็นมนุษย์ได้ก็เพราะมันมีธรรมะ ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วมันก็ไม่เป็นมนุษย์ คำพูดนี้มีมาแต่โบราณกาลก่อนพุทธกาล ในประเทศอินเดียที่ใช้คำว่าธรรมะ หรือถือธรรมะ ที่เขาถือเป็นหลักว่า ถ้าปราศจากธรรมะแล้ว คนกันสัตว์เดรัจฉานก็เท่ากัน ที่นี่มนุษย์เป็นมนุษย์ เป็นคนได้ก็เพราะมีธรรมะ นอกนั้นมันเหมือนกันเรื่องกิน เรื่องหาอาหารกิน เรื่องขี้กลาก เรื่องวิ่งหนี เรื่องนอน มีความสุข เรื่องสืบพันธุ์อะไรต่าง ๆ นี่มันเหมือนกันทั้งคนและสัตว์ มันผิดกันเพราะว่ามีธรรมะ ฉะนั้นเราจงพยายามอย่างยิ่งที่จะรู้จักสิ่งที่เรียกว่าธรรมะ ถ้าคุณมาที่นี่ มาพัก มาค้างคืนอยู่ที่นี้ด้วยความมุ่งหมายจะศึกษาธรรมะนี่ก็นับว่าเป็นที่น่าพอใจ หรือยังมีอีกอย่างหนึ่งว่าจะพยายามปฏิบัติธรรมะด้วยก็ยิ่งดี คือมันครบ มันไม่ใช่แต่เรียนรู้อย่างเดียว มันต้องการจะปฏิบัติด้วย ดังนั้นขอให้ลองปฏิบัติ คุณอย่าเป็นคนบรมโง่ ถึงกับเข้าใจไปว่าพระพุทธเจ้าโง่ ถ้าคุณเข้าใจว่าพระพุทธเจ้าโง่ คุณก็เป็นบรมโง่ คุณอย่าเป็นบรมโง่จึงเข้าใจว่าพระพุทธเจ้าโง่ บางคนคิดว่าพระพุทธเจ้าสอนให้อดข้าวเย็นถือศีลแปด มันว่าพระพุทธเจ้าโง่ พูดสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ ทำให้เขาลำบากเปล่า ๆ คุณเคยคิดบ้างไหมว่าศีลแปด ไม่กินข้าวตอนเย็น ไม่ฟ้อนรำขับร้อง ประโคมดีดสีตีเป่า ไม่นั่งนอนบนที่นั่งที่นอนที่มันสูงมันใหญ่ แต่คนที่มันชอบอย่างนั้นมันก็หาว่าพระพุทธเจ้าโง่ ที่ไปบัญญัติอย่างนี้ ส่วนที่ตัวเองเป็นบรมโง่เหลือเกิน มันไม่มอง มองไม่ออก มองไม่เห็น ฉะนั้นอย่าเพิ่งเข้าใจว่าพระพุทธเจ้าโง่ที่บัญญัติศีลแปด แล้วคุณก็ไม่อยากจะลองปฏิบัติด้วยก็ยิ่งไม่รู้กันใหญ่ ถ้าลองปฏิบัติดูจะรู้ว่าปฏิบัติศีลแปดแล้วผลมันจะเกิดขึ้นมาอย่างไร ข้อนี้มันเกี่ยวกับหลักทั่ว ๆ ไปในการเป็นอยู่ของมนุษย์เรา พระพุทธเจ้าท่านทรงมุ่งหมายว่าจะไม่ให้เป็นอยู่ด้วยส่วนเกิน ถ้าเป็นอยู่ด้วยส่วนเกินแล้วจะเกิดกิเลสทันที ถ้าอยากจะจำประโยคสั้น ๆ นะก็ช่วยจำประโยคนี้นะ ว่ากิเลสนั้นเกิดขึ้นเพราะเราเป็นอยู่ด้วยส่วนเกิน ถ้าเราไม่มีส่วนเกินกิเลสไม่อาจจะเกิด เราต้องการเกิน ต้องการนั่นต้องการนี่ ต้องการกิน ต้องการอะไรเกิน มันก็เกิดความโลภ มันก็เกิดความโลภ ที่นี้เราก็ต้องการเกินกว่าที่เราควรจะได้ มันก็ไม่ได้ พอไม่ได้เราก็โกรธ ก็มีความโกรธ มีความโลภแล้วก็มีความโกรธ ที่นี้ความที่เราต้องการให้มันเกิน ลำบากเปล่า ๆ นั้นมันคือความโง่ โมหะ ความหลง กิเลสนี่สรุปแล้วมีอยู่ 3 พวกเท่านั้น คือความโลภ ความโกรธ ความหลง ความโลภ ความโกรธ ความหลง ความโง่ มาจากคนต้องการส่วนเกินหรือเป็นอยู่ด้วยส่วนเกิน ดังนั้นอย่าอยากให้มันเกิน แล้วมันก็ไม่มีทางจะโลภ เมื่อมันไม่อยากเกิน มันก็ไม่มีทางที่จะต้องโกรธเพราะมันขาดแคลน แล้วก็ไม่ไปทำอะไรเสียเวลาเปล่า ๆ เรื่องที่มันเกิน ท่านจึงแนะไม่ให้กินอาหารส่วนเกิน ด้วยข้อที่ว่าเว้นอาหารในเวลาวิกาลเสีย ก็หมายความว่าคนทั่วไป ไม่ได้เป็นกุลีขนข้าวสาร ไม่ใช่กุลีแบกข้าวสารทั้งวันทั้งคืนที่มันจะต้องกินอาหารมาก ๆ หลาย ๆ มื้อ ตามธรรมดาสามัญ ยิ่งเป็นนักศึกษาเหมือนกับพระกับเณรนี่ด้วยแล้ว อาหารตอนเย็นไม่ต้องกินก็ได้ แล้วมันก็จะสบายแก่ร่างกาย คือมันจะได้พักผ่อนการย่อยอาหาร กระเพาะจะได้พักผ่อนในการย่อยอาหาร โลหิตที่จะไปใช้ในการย่อยอาหารนั่นหน่ะก็เอามาใช้ในการคิดนึกศึกษา คือมาบำรุงเลี้ยงสมองให้สมองทำงานได้ดี เมื่อสมองจะทำงานตามหน้าที่ของสมองมันต้องการโลหิตมาเลี้ยงมาก กระเพาะก็เหมือนกันเมื่อจะย่อยอาหารมันต้องการโลหิตไปหล่อเลี้ยงที่กระเพาะ ที่ลำไส้มาก ถ้าเราไม่ต้องใช้โลหิตที่กระเพาะ ที่ลำไส้ มันก็มาเลี้ยงสมอง สมองมันก็ทำหน้าที่ได้ดี ขอให้สังเกตดูสักหน่อยว่าเราจะคิดนึกอะไรด้วยสมอง คิดนึกเมื่อท้องว่างออกดีกว่า แต่ไม่ได้หมายความว่าหิวจนกระวนกระวาย เช่นเมื่อตอนเช้ายังไม่ทันจะกินอาหารอะไรลงไป ลองคิดอะไรเถอะคิดได้ดี รวดเร็วลึกซึ้ง สนุก รอบคอบ นี้มันปรากฎแก่อาตมาเองมาแล้วไม่ใช่ว่าต้องไปยืมความรู้ความคิดของใครมา ถือเป็นหลักปฏิบัติมานานแล้ว ถ้าจะคิดไอ้เรื่องที่จะต้องคิดชนิดแยบคาย ลึกซึ้ง เป็นโครงการเป็นอะไรแล้วมันก็จะคิดในเวลาที่สมองมีกำลังมาก ไม่มีอาหารอยู่ในท้องสำหรับจะแย่งโลหิตไปย่อยอาหาร ก็ลองไปสังเกตดู ดังนั้นใช้เวลาตอนนี้ให้มากที่สุด ก่อนอาหารเช้า ใช้เวลาในทางคิดนึก ศึกษาทางสมองให้มาก แล้วก็เมื่อจะกินอาหารเช้าก็อย่ากินให้มาก กินแค่พอประทังไอ้ความกระวนกระวายหรือกินแต่น้อย ไอ้เวลาที่จะคิดทำงานทางสมองมันก็จะได้ยืดออกไป เพราะฉะนั้นเราอย่ารีบกินอาหารเช้าเร็วนัก ทิ้งระยะเวลาให้มันยาวพอ จะได้ใช้มันมาก ๆ แล้วเมื่อกินอาหารเช้านั้นอย่ากินให้มันมากนัก มันก็ไม่เกิดอาการชนิดที่เรียกว่าอึดอัดขึ้นมา แล้วก็มีโอกาสที่จะใช้เวลาตอนเช้านี่ทำงานทางสมองดีเต็มที่ ก็ไปถึงเวลากินอาหารอิ่มอึดอัดแล้วก็ทำอย่างอื่นเถิด นี่การที่จะไม่กินอาหารตอนเย็นนั้นมันมีความมุ่งหมายอย่างนี้ คืออย่าให้เกิดการเกินในทางอาหาร ถ้ามันพออยู่ได้ในทางพอดี เดี๋ยวนี้มันก็กินกันเสียจนชินเป็นนิสัย บ่ายก็กิน เย็นก็กิน ค่ำแล้วก็กิน จะนอนอยู่หยก ๆ แล้วมันก็ยังกิน ลองไปดูกันเอง นี่จะนอนแล้วมันยังชวนไปกิน อะไรกันอีก จนมันเกิดเรื่องเกิดราวมันก็กินเพื่อส่งเสริมเนื้อหนัง แล้วก็ส่งเสริมกิเลสตัณหา มันก็เรียนดีไม่ได้ แล้วมันก็จะทับไปเป็นทาสของกิเลสตัณหามากขึ้นเพราะมันกินเกิน เพราะฉะนั้นเราอย่ากินให้มันเกินนะ โดยเวลานี่อย่าให้มันเกิน ที่โดยปริมาณก็อย่าให้มันเกิน โดยคุณค่า โดยราคาก็อย่าให้มันเกิน มันคิดกันว่าได้กินอาหารแพง ๆ แล้วก็มีเกียรติ มันไม่รู้ว่านั่นมันคือโง่ มันชอบกินอาหารแพง ๆ มันคิดว่ามีเกียรติ ไม่รู้ว่านี้คือโง่ แล้วมันโง่ชนิดที่จะกินให้เกิน มันจึงไปชอบของที่แต่งรส ของชูรสนี่คุณอย่าไปคิดว่ามันดีนะ มันเป็นสิ่งที่ทำให้โง่ และทำให้กินเกิน แล้วพวกหมอเขาก็ยืนยันว่าล้วนแต่ไม่มีประโยชน์แก่ร่างกาย ไอ้กินชูรสทั้งหลายไม่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย แล้วบางอย่างเป็นโทษด้วย ถ้ามันเป็นของปลอมไอ้สิ่งชูรสที่เป็นของปลอมยิ่งให้โทษ ที่แน่ ๆ ถ้าเราใส่ลงไปให้มันอร่อย คนมันก็กินมากให้โทษก็ไปอยู่ที่คนกิน กำไรนั้นก็มาอยู่ที่แม่ค้า ฉะนั้นอย่าไปชอบผงชูรส ด้วยของชูรส แล้วก็อยากจะให้ตั้งข้อสังเกตด้วยว่าไอ้น้ำจิ้มถ้วยเล็ก ๆ นั่นแหละศัตรูอันร้ายกาจ เพราะมันทำให้คนกินเกิน ไอ้น้ำจิ้มรสแปลก ๆ มันทำให้คนกินได้อีก ที่จริงเรารู้สึกอิ่มแล้วถ้ากินตามธรรมดา พอมีของชูรส มีผงชูรส มีน้ำจิ้มรสแปลก ๆ มันก็ยังกินได้อีกแล้วมันก็เกิน เราอย่าไปดูเป็นของมีเกียรติ โก้เก๋ว่าให้มันหรูหรา มีน้ำจิ้มตั้งสิบชนิด ยี่สิบชนิดมันจะทำให้เรามันโง่ คือให้เราทำในสิ่งที่เกิน ไปดูตามภัตตาคาร ตามอะไรต่าง ๆ ก็มีวิธีที่ทำให้คนกินมาก กินเกิน เราไม่ตกเป็นเหยื่อของเขา เดี๋ยวนี้ก็มีอาหารที่กินกันมื้อละพัน มื้อละหมื่น นี่มันเกินเกินที่จะเกิน ที่ว่ามันเกินโดยราคา หรือเกินโดยวิธีการกิน เราอย่าให้เกินโดยเวลา โดยวิธี โดยอะไร อย่าให้มีการเกินเรื่องกิน ให้เป็นอยู่แต่พอดี นี่ลองงดเว้นอาหารเย็น ถือศีลแปดดูสักมื้อนึงจะหายโง่ คือ หายกลัว ว่าถ้าไม่ได้กินแล้วมันจะตาย เพราะคนมันคิดไว้ล่วงหน้าว่าถ้าไม่ได้กินแล้วจะเป็นลม ถ้าขาดอาหารไปสักมื้อหนึ่งแล้วจะเป็นลม นั่นไอ้ความโง่มันทำให้คิดไปได้มากถึงอย่างนั้น เราเคยเว้นทั้งวันแล้วไม่เห็นจะเป็นลม แล้วถ้าเว้นสักมื้อนึงแล้วมันจะเป็นลมอย่างไรได้ แล้วมันจะได้รู้ว่าอย่างไรมาก อย่างไรน้อย อย่างไรเกิน อย่างไรไม่เกิน อย่างไรพอดี จะได้พบชีวิตที่เป็นอิสระ ไม่เป็นทาสของลิ้น มันไม่ใช่เป็นเรื่องที่เหลวไหลไร้เหตุผล หรือเป็นเรื่องที่บัญญัติด้วยความงมงาม แต่เป็นเรื่องที่มีเหตุผลที่จะต้องชักจูงให้ทำอย่างนั้น ให้เราไม่เป็นทาสแก่การกิน แล้วก็ลองดูเราจะพบความสบายในการที่จะไม่เป็นทาสแก่การกิน ที่นี้คนมันเคยกิน มันเคยชิน มันกลัวล่วงหน้า ถ้าไม่ได้กินแล้วมันจะเป็นลม ความจริงมันจะไม่ได้เอร็ดอร่อยสนุกสนานตามที่มันเคยชินต่างหาก ถ้าเราเว้นเสียได้ เราก็จะเป็นผู้บังคับจิตได้ บังคับระบบประสาทได้ ซึ่งต่อไปจะมีประโยชน์มาก เราฝึกบทเรียนที่ทำให้เราบังคับระบบประสาทได้นั้น จะมีประโยชน์มากแล้วเราก็จะไม่ต้องเสียเงินเป็นค่าอาหารที่เกินนั้นด้วย แล้วเราก็จะได้มีอนามัยที่ดี มีระบบการย่อยอาหารที่แข็งแรงดี เพราะมันได้การพักผ่อนมาก รู้จักใช้สมองให้เต็มที่ ก็ไม่เสียเวลาไปในเรื่องเกี่ยวกับอาหาร ที่นี้เราก็ได้ผลดีเกี่ยวกับอาหาร เกี่ยวกับเรื่องที่เรียกว่าอาหาร เรื่องอาหารนี่มันก็เป็นสิ่งที่จำเป็นที่สัตว์จะต้องกินอาหาร แต่มันมีความสำคัญที่สุดอยู่ที่ว่า เขาจะต้องรู้จักกินอาหารให้พอดี อย่าให้มีเรื่องเกิน ถ้าเราลองเว้นอาหารที่เว้นเสียได้ เราจะได้ประโยชน์จะได้กำไร หรือจะได้ประโยชน์ ดังนั้นก็ขอให้ลองดู นักศึกษาหลายพวกนะที่มาที่นี่ หลายพวกที่สมัครถือศีลแปดเว้นอาหารมือเย็น ถ้าหิวนัก ก็ถ้ามันรู้สึกหิวจริง ๆ ไม่ใช่แกล้งหิว ไม่ใช่หิวด้วยอุปาทานก็กินน้ำ หรืออะไรนิด ๆ หน่อย ๆ ซึ่งมันจะหายไปได้ น้ำผลไม่คั้น โดยมากจะใช้น้ำผลไม้คั้น ทีนี้เรื่องศีลแปดข้อถัดไป เรื่องฟ้อนรำขับร้องประโคมดีดสี กระทั่งลูบทาของหอมประดับประดาตกแต่งนี่เกือบจะไม่ต้องบอกก็คงจะเข้าใจกันได้ว่ามันไม่ใช่เรื่องจำเป็น มันเป็นเรื่องของความรู้สึกในส่วนเกิน ที่มันจะต้องเต้นรำร้องเพลงที่มันจะต้องทำให้หอมทำให้สวยทำให้อะไรต่าง ๆ นี้ มันไม่ใช่เรื่องจำเป็น แต่มันเป็นความรู้สึกผิด ๆ ของกิเลส ความรู้สึกประเภทกิเลส คือความรู้สึกผิด ๆ ที่เราเพาะเลี้ยงมันมา ก็เรียกว่าการตามใจตัว ถ้าเคยอ่านหนังสือกามนิต ก็พบข้อความที่เขาเอาไปจากพระไตรปิฎกไปเป็นเขียนไว้ในหนังสือกามิตว่าการร้องเพลงนี่ก็คือการร้องไห้ เต้นรำ คือ อาการของคนบ้า หัวเราะ คืออาการของเด็กอ่อนแบเบาะ นี่เป็นคำที่พระพุทธเจ้าตรัส มันอยู่ในคัมภีร์พระไตรปิฎก คนแต่งหนังสือกามนิตเขาเอาไปเขียน ร้องเพลงเหมือนกับร้องไห้ เพราะมันต้องมีการบังคับกล้ามเนื้อหน้าตา คอคาง อะไรเหมือนกับคนร้องไห้ ไอ้ร้องไห้มันก็หยี ๆ ไอ้ร้องเพลงมันก็หยี ๆ อย่างนี้จึงเหมือนกับร้องไห้ นี้เต้นรำ มันอาการของคนบ้า มันมีอะไรกระตุ้นข้างใน มันจึงลุกขึ้นกระโดดโลดเต้น ถ้ามันเป็นการกระตุ้นของความรู้สึกที่ถูกต้อง มันก็จะดี แต่นี่มันเป็นความรู้สึกกระตุ้นของกิเลส เป็นการกระตุ้นของความรู้สึกชนิดกิเลส คือไม่บังคับตัว มันไม่บังคับตัวมันจึงกระโดดโลดเต้น ถือว่าเป็นสัญชาตญานตามเดิมอย่างที่สัตว์เดรัจฉานก็ได้ เมื่อความรู้สึกภายในมีมากขึ้นกระตุ้นมากขึ้น กดดันมากขึ้น สัตว์มันก็กระโดดโลดเต้นเหมือนกัน ถ้าเราจะเอาเพียงอย่างสัตว์ก็ได้ แต่ถ้าเราจะเอาอย่างมนุษย์มันก็ควรบังคับความรู้สึกอันนี้ได้ ถ้าเป็นความยินดีในทางธรรมทำให้กระโดดโลดเต้น ก็จะน่าดูอยู่เหมือนกัน รู้ธรรมะพอใจในธรรมะ แล้วมันทำให้นั่งอยู่ไม่ได้ ลุกขึ้นยืน ลุกขึ้นกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ มันก็ยังจะได้ ยังมีประโยชน์อยู่ เรียกว่าเต้นรำในภาษาธรรม ถ้ากระโดดโลดเต้นด้วยอำนาจของกิเลสเพื่อส่งเสริมกิเลสให้ยิ่งขึ้นไปแล้วก็มันเป็นอันตราย ฉะนั้นจึงอยู่ในข้อที่ห้ามเสียว่าอย่าไปเอากับมันเลย มันเกิน เต้นรำ ร้องเพลง หรือว่าไอ้เครื่องกระตุ้นด้วยเสียงเพลง ด้วยดนตรีด้วยอะไรก็ตามมันเหมือนกับสิ่งกระตุ้นที่เป็นของเมาแต่เดี๋ยวนี้เขาก็นิยมกันเพราะเขาต้องการจะกระตุ้น เช่นเดียวกับเขาไม่ยอมเว้นของเมา คนที่เขาอ้างตัวเองว่าเขามีความเจริญ มีวัฒนธรรมก็ยังกินเหล้า เขาชอบกินเหล้า ใช้เหล้าเป็นเครื่องกระตุ้นให้เขารู้สึกคลึ้ม สบายอย่างนี้ ไอ้เรื่องขับร้อง ร้องเพลงดีดสีตีเป่าดนตรี มันก็เหมือนกัน มันกระตุ้นให้รู้สึกมึนเมาในทำนองเดียวกัน นี่พระพุทธเจ้าท่านต้องการให้คนเป็นอิสระ ไม่ต้องการให้ถูกกระตุ้น ไม่ต้องการให้เป็นทาสของสิ่งที่มากระตุ้น ท่านจึงบอกว่าควรเว้นเสีย ถ้าไม่เว้นทุกวันก็เว้นเสียบางวัน เป็นครั้งเป็นคราวเป็นยุคเป็นสมัยก็ได้ที่เราจะบังคับตัวให้อยู่ในระบบนี้ที่เรียกว่าศีลแปด ศีลอุโบสถ ไอ้ลูบทาเครื่องหอมนี่มันก็เพื่อส่งเสริมความรู้สึกประเภทกิเลสเหมือนกัน เอาแต่เพียงสะอาดก็พอแล้วไอ้ความรู้สึกทางเพศทางกามารมณ์ มันก็ไม่ได้รับการกระตุ้น ถ้าเราไปส่งเสริมเรื่องหอมเรื่องอะไรอย่างนี้มันก็ได้รับการกระตุ้น มันก็ทำความลำบากให้ ในเรื่องประดับประดานี่ เสื้อผ้าอาภรณ์อะไรทั้งหลายนี้ ถ้ามันเลยขึ้นไปถึงเป็นการประดับประดาแล้วท่านจัดเป็นของเกิน แต่ถ้าเราทำไปเท่าที่จำเป็นที่เราจะต้องสวมเสื้อหรือต้องมีอะไรนี่ ก็พอดีนี่ไม่เรียกว่าเกิน แต่ถ้าทำไปในลักษณะที่มันไม่จำเป็น ก็อยากจะทำเพราะว่าเขานิยมกัน หรือเพราะว่าเราชอบหรืออะไรก็ตาม มันเป็นของเกิน เพราะฉะนั้นเราจึงต้องโง่ลง เพราะไปชอบของเกิน ไปหลงของเกิน แล้วเราก็จะต้องเสียเงินมากขึ้น เพราะไปชอบของที่ถือกันว่าสวยว่างาม แล้วดูเสื้อผ้า ที่เราใช้กันอยู่ถ้าเราไปเพ่งให้มันงาม มันก็ต้องแพง เพราะค่าที่ทำให้มันงาม ถ้าเอาอย่างธรรมดาสามัญมันก็ไม่ต้องแพงนัก แถมมันจะทนทานดีกว่าด้วย ในการที่ยังไปหลงในเรื่องเสื้อผ้าสวยงามอยู่นี้ ก็เรียกว่าไม่ได้เป็นมนุษย์ที่ฉลาดเลย ในการกระทำนั้นจะเกิน เมื่อเกินก็จะเป็นโอกาสของกิเลสอย่างที่ว่ามาแล้ว ถ้าไม่เกินกิเลสไม่อาจจะเกิน พอเกินแล้วกิเลสก็จะได้ช่องได้โอกาสที่จะเกิด ฉะนั้นลองสมาทานศีลที่ป้องกันส่วนเกินกันดูบ้าง ถ้าว่าจะมาอยู่ที่สวนโมกข์เพื่อปฏิบัติธรรม ก็จะแนะในข้อนี้ คือ ระหว่างอยู่ที่นี่ จะถือศีล คือการปฏิบัติที่ไม่เกี่ยวข้องกับส่วนเกิน หรือสิ่งเกิน เรื่องอาหารการกินก็ดี เรื่องเครื่องนุ่งห่มก็ดี เรื่องเครื่องใช้ไม้สอยก็ดี เรื่องการบริหารกายให้มีความสุขสะดวกสบายก็ดี อย่าให้มันเกินได้ เช่นว่านอนมากไปมันก็เกิน เราก็หัดตื่นตั้งแต่ตีสี่มาไหว้พระสวดมนต์ นี่มันจะหัดนิสัยไม่ให้นอนเกิน แล้วเราอย่าไปนอน อย่าไปคิดนอนตั้งแต่หนึ่งทุ่ม สองทุ่ม มันควรจะอยู่ถึงสามทุ่มสี่ทุ่ม เหมือนกับเขาแหละ แล้วก็ไปตื่นไอ้ตีสี่ มาไหว้พระสวดมนต์ มันก็จะบังคับตัวเองได้ดีขึ้น บังคับกิเลสได้ดีขึ้น จะทนหนาวได้ดีขึ้น จะไม่เห็นแก่ความสุขในการนอน มันก็ดีนะ มันก็เข้ารูปแบบของธรรมะ คือการบังคับตัวเอง ไม่ปล่อยไปตามอำนาจของกิเลส ระหว่างที่อยู่ที่นี่ขอให้ทุกคนพยายามประพฤติธรรมะตามที่ตั้งใจมาให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ แต่ก็บอกไม่ได้ว่าเท่าไหร่ สำหรับใคร จะบอกว่าขอให้ทำให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ อย่าให้มีการเกินในเรื่องกินอาหาร เรื่องนุ่งห่ม เรื่องนอน เรื่องอะไรก็ตาม นี่มันก็ใกล้ชิดธรรมชาติเข้าไปส่วนหนึ่งด้วยเหมือนกัน ไม่ใช่เพียงแต่มานั่งกลางดิน ใกล้ชิดธรรมชาติ ในการที่เราไม่แตะต้องส่วนเกินนั่นแหละ คือเป็นธรรมชาติมากขึ้น ใกล้ชิดธรรมชาติมากขึ้น ธรรมชาติมันก็เป็นหลักทั่วไปที่ว่าจะไม่มีขาดไม่มีเกิน พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติคำสอนของท่านที่เรียกว่ามัชฌิมาปฏิปฐา ก็คือไม่มีขาดมีเกิน ท่านก็อนุโลมตามหลักของธรรมชาติ ธรรมชาตินี่มันจะพอดี ในความพอดีทำให้คนอยู่ได้ ถ้าคุณเรียนชีววิทยาคงจะผ่านประโยคที่ว่า the fittest, the survival สิ่งที่เหมาะนั่นแหละจะรอดอยู่ จะเป็นคำสอนทางชีววิทยาที่ก้องไปทั้งโลก ไอ้ที่มันเหมาะ the fittest เหมาะที่สุด survival มันจะรอดชีวิตอยู่ อันไหนไม่เหมาะมันตายไปแล้ว มันก็ได้ตายไปแล้ว เพราะขาดบ้าง เพราะเกินบ้างมากมายแล้ว เพราะฉะนั้นสิ่งมีชีวิตทั้งหลายรอดอยู่โลกนี้ ในจักรวาลนี้เพราะมันไม่ขาดไม่เกิน คือมันพอเหมาะเราจะถือเป็นหลักว่าธรรมชาติ มันก็มีหลักที่ไม่เกินไม่ขาดมันจึงรอดอยู่ได้ ก็ดูกันง่าย ๆ ก็แล้วกัน ต้นไม้อย่างนี้ได้น้ำเกินก็ตาย ขาดน้ำก็ตาย ได้ปุ๋ยมากเกินไปมันก็ตาย ปุ๋ยไม่พอมันก็ตาย เพราะว่ามันจะต้องอยู่ที่พอดี ไอ้เราก็เหมือนกันเอาใจใส่ในเรื่องนี้ให้มาก คืออย่าให้มันขาด และอย่าให้มันเกิน ที่นี้ส่วนที่ขาดนั้นไม่ค่อยมี เพราะมันมีความเคยชินที่จะเกินอยู่จนเป็นนิสัยเสียแล้ว เพราะฉะนั้นไม่ต้องห้ามนะไอ้เรื่องขาด มีแต่บอกห้ามเรื่องเกิน จริงไหม ไปคิดดู เด็ก ๆ ก็เห็นได้ เราไม่ต้องห้ามไอ้เรื่องที่ขาด เราต้องข้ามไอ้เรื่องที่เกิน เราผู้ใหญ่แล้วก็รู้เอาเองว่าที่ให้มัธยัถต์ให้ประหยัดนี่จะต้องพูดกัน อย่าไปกินให้มาก ไอ้เกินนี่ไม่ต้องสอน มันเกินอยู่แล้ว แล้วมันก็ต้องการอย่างนั้นอยู่แล้ว ไม่ต้องไปยุมัน เราอยู่กับธรรมชาติ ศึกษาจากธรรมชาติให้รู้ความปกติที่ไม่ขาดไม่เกิน แล้วธรรมชาติก็ยังคงอยู่ด้วยหลักเกณฑ์อันนี้ไม่รู้ว่ากี่ล้าน ๆ ปีมาแล้ว ตั้งแต่แรกมีโลก แล้วก็มีสิ่งที่มีชีวิตในโลก แล้ววิวัฒนาการขึ้นมาด้วยความพอเหมาะพอดี ให้ถือหลักธรรมะ โดยคำบัญญัติที่ได้เป็นที่เข้าใจ ได้ยิน ได้ฟัง กันมาทั่วทุกคนแล้วว่าสายกลาง ทางสายกลาง มัชฌิมาปฏิปทา อย่าให้ขาดและอย่าให้เกิน ฉะนั้นเรามาหัดอยู่ มาอยู่หัด มาอยู่ฝึกหัด เป็นอยู่ที่ไม่ขาดไม่เกินทุกเรื่องทุกราวในขณะที่พักอยู่ที่นี่ บางทีมันก็ทำได้ง่ายขึ้น สมมุติว่าที่นี่มันเป็นที่ศักดิ์สิทธิ์ก็ได้ ไม่โง่อะไรหรอกที่จะสมมุติที่นี่เป็นที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับให้คุณปฏิบัติในเรื่องที่ไม่เกิน ถ้าไม่ศักดิ์สิทธิ์เดี๋ยวไม่ปฏิบัติ ถ้าถือว่ามันศักดิ์สิทธิ์มันก็จะอาศัยเป็นที่ปฏิบัติเป็นอยู่โดยไม่มีเรื่องเกิน ไม่มีส่วนเกิน ให้ดูการเป็นอยู่ของพระเณรก็ได้ ที่เป็นมนุษย์หน่ะ แล้วก็ดูการเป็นอยู่ของสัตว์ของต้นไม้ ของอะไรก็ตามธรรมชาตินี้ก็ได้ว่ามันต้องอยู่กันอย่างไม่เกิน อยู่กันอย่างถูกต้องตามกฎเกณฑ์ของเหตุปัจจัย แล้วก็ไม่มีการเกิน รวมความว่าถ้าจะปฏิบัติอะไรได้ ก็ขอให้ปฏิบัติทุกอย่างตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่ เอ้า ที่นี่อยากจะพูดต่อไปว่า บางคนเขาเข้าใจผิด เขาเข้าใจว่าป่วยการที่จะไปทำให้ตัวลำบาก สู้ไม่ถืออะไรไม่ได้ ปล่อยไปตามเรื่องไม่ต้องมีอะไรที่ว่าจะต้องคอยระวังคอยสำรวมคอยประหยัดมัธยัสถ์ เขาถือซะว่าให้เขามีความรู้มาก ๆ ก็แล้วกัน เอ้าจะพูดตรง ๆ คุณก็อย่าโกรธว่าคุณมาที่นี่แล้วก็ต้องการจะให้รู้อะไรมาก ๆ ก็แล้วกัน ไอ้ส่วนเรื่องที่จะปฏิบัติควบคุมกาย วาจา ใจนั้นไม่ต้อง ฉะนั้นต้องการที่จะรู้อะไรมาก ๆ นั้นไม่ได้ เรื่องนี้ไม่ได้ ทำไม่ได้ มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ อย่าเข้าใจว่าความรู้มาก ๆ แล้วนั้นมันจะช่วยได้ ไอ้ความรู้มาก ๆ นั้นต้องมีอะไรประกอบเข้าด้วย ไอ้ความรู้มาก ๆ จึงจะไม่เป็นอันตราย มิฉะนั้นไอ้ความรู้มาก ๆ นั้นจะเป็นอันตรายอย่างยิ่ง จะทำลายคนนั้นวินาศเลย เพราะมันใช้ความรู้เพื่อกิเลส ใช้ความรู้เพื่อความเห็นแก่ตัว เหมือนกับว่านายทุนที่ฉลาดนี่ เขาก็ใช้ความฉลาดของเขา ที่จะทำให้คนจนเดือนร้อน หรือตาย เพราะว่าความฉลาดนั้นมันไม่ถูกควบคุมด้วยธรรมะ ความฉลาดที่ไม่ถูกควบคุมด้วยธรรมะ มันก็ฉลาดเพื่อเห็นแก่ตัว ฉะนั้นคุณอย่าชอบแต่ว่าความรู้และความฉลาดอย่างเดียว ต้องชอบธรรมะอื่นอีกที่จะช่วยควบคุมความฉลาด มาที่นี่มันก็สะดวกแล้ว อยากจะแนะว่ามีเวลาเมื่อไรก็ไปเยี่ยมไอ้รูปปั้น อวโลกิเตศวร อยู่บนเสาสูงสนามหญ้าทางโน้น คงจะเดินผ่านแล้วเห็นแล้วก็ได้ มีรูปปั้นแขนหักครึ่งท่อนหน่ะ เขาเรียกว่ารูปอวโลกิเตศวร เป็นสัญลักษณ์ เป็นธรรมะ เราถือว่าหลักธรรมะ ของอวโลกิเตศวรนี่สรุปได้ 4 อย่าง เป็นหัวข้อสำคัญ ๆ 4 อย่าง ช่วยจำนะ ช่วยจำ สุทธิ ปัญญา เมตตา ขันตี สุทธิ ปัญญา เมตตา ขันตี จดก็ดีแต่ไม่จดก็คงจะจำได้ เพราะว่ามันมี สุทธิ ปัญญา เมตตา ขันตี เอาประทับฝังลงไปในจิตใจของเรา ในดวงวิญญาณของเรา ธรรมะของอวโลกิเตศวร สัญลักษณ์ของธรรมะที่สมบูรณ์ มีปัญญาอยู่ในนั้นจริง แต่มันยังมีอีก 3 อย่างคือสุทธิ เมตตา และขันตี ถ้ามีแต่ปัญญาพอแล้วจะต้องไปพูดถึง สุทธิ เมตตา ขันตี ทำไม ให้มันเสียเวลา หรือให้มันลำบากหล่ะ ปัญญาอย่างเดียวพอ ปัญญา ก็รู้ รู้ทุกอย่างที่ควรจะรู้ แต่ต้องประคับประคองอยู่ด้วย สุทธิ เมตตา และขันตี สุทธิ คือความบริสุทธิ์ ไม่หน้าไหว้หลังหลอกก็แล้วกัน สุทธิคือความบริสุทธิ์ ซื่อตรง ไม่หน้าไหว้หลังหลอก ไม่มีความลับ ไม่มีสิ่งซ่อนเร้น เป็นคนเปิดเผย นี่เรียกว่าสุทธิต้องมีด้วย มีแต่ปัญญาไม่ได้ เดี๋ยวมันก็กลายเป็นผู้เห็นแก่ตัว ผู้คดโกง ยิ่งฉลาดยิ่งโกงมาก คนฉลาดนี่เขาโกงได้มากกว่าคนโง่ เพราะฉะนั้นจึงมีสุทธิ ที่จะนำปัญญาซะด้วยนะ ให้ความบริสุทธิ์นำปัญญา เมตตา ความรักผู้อื่น รักสิ่งที่มีชีวิตทั้งหมดทั้งหลายในฐานะเป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น นี่เรียกว่าเมตตา เอามาพ่วงท้ายปัญญา ให้ปัญญานี้อย่าเห็นแก่ตัว ปัญญานี้อย่าเห็นแก่ตัว ปัญญานี้อย่าขี้ฉ้อ อย่าหลอกลวงเพื่อความเห็นแก่ตัว จะต้องมีเมตตา คือความเป็นมิตร เมตตาแปลว่าความเป็นมิตร คือความรักอย่างมิตรในทุกสิ่งที่มีชีวิต ดังนั้นปัญญามันก็ไม่เป็นอันตรายแก่ใคร แล้วยังมีรากฐานมาด้วยขันตี คือความอดทน อดกลั้น อย่าเข้าใจว่าเรามีปัญญาแล้วจะไม่ต้องอดทน มันเป็นไปไม่ได้ ยิ่งจะทำอะไรให้มีประโยชน์ใหญ่หลวงสูงสุด ยิ่งจะต้องอดทนมาก ยิ่งจะเป็นผู้บังคับบัญชาแล้วยิ่งต้องอดทนมากอย่างครูบาอาจารย์ของพวกคุณต้องอดทนมากกว่าพวกคุณ พวกคุณมันรวมหัวกันรวนอาจารย์มากี่มากน้อยแล้วนั่น อาจารย์คนไหนทนไม่ได้แล้วก็ล้มละลาย ฉะนั้นไอ้สิ่งรำคาญที่ลูกศิษย์ทำให้ อาจารย์ทนได้ ผู้บังคับบัญชายิ่งสูงขึ้นไปเท่าไหร่ ยิ่งต้องทนมากเท่านั้น ไม่อย่างนั้นไม่ประสบความสำเร็จ ยิ่งจะเป็นแม่ทัพ เป็นจอมทัพทั้งหมดก็ยิ่งจะต้องอดทนมากต่อการประพฤติกระทำของพลทหาร ไม่อย่างนั้นมันเป็นไปไม่ได้ อย่าเข้าใจว่าเรามีอำนาจแล้วเราจะไม่ต้องอดทน เราจะบังคับเขา เราจะพึ่งเขา ข้อเท็จจริงไม่เป็นอย่างนั้น ยิ่งไปทำกับคนโง่ยิ่งก็ต้องทนมาก ถ้าลูกศิษย์ทั้งหลายเป็นคนโง่ อาจารย์จะต้องอดทนมาก ข้อนี้ไม่ได้ยืมใครมาพูด มันประสบมาแล้วแก่ตนเอง ถ้ายิ่งทำกับลูกศิษย์โง่ ๆ เท่าไหร่ ผู้ที่เป็นอาจารย์จะยิ่งต้องอดทนมาก อดทนเลือดตาไหลก็ยังได้ เพราะความโง่ของผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชา ฉะนั้นระวังให้ดี อย่าต้องการแต่ความรู้ เพื่อต้องการแต่ความรู้ไม่ต้องการการปฏิบัติ ต้องการแต่ความรู้มันก็มีแต่ปัญญามันก็พาไปหาความเห็นแก่ตัว มันก็จะต้องเกิดเรื่องล้มละลายแน่ ฉะนั้นใครชอบปัญญา ชอบการศึกษา ชอบปัญญาแล้วก็ต้องเอาไอ้สุทธิ เมตตา ขันตีนั้นเข้าไปผนวกไว้ด้วยอย่างหนาแน่น จะได้ควบคุมปัญญาให้บริสุทธิ์ ควบคุมปัญญาให้เป็นไปในทางเมตตา เอ็นดู รักใคร่ สิ่งที่มีชีวิตด้วยกัน แล้วก็ต้องอดกลั้น อดทนได้ จึงจะประสบความสำเร็จ ถ้าจะทำการงานในโลกนี้ ต้องอดทน ไม่มีความอดทนแล้วจะไม่ประสบความสำเร็จ จะล้มละลายหมด จะบันดาลโทสะ บ่อนแตก หรือจะไม่อดทนต่ออุปสรรคทั้งหลายที่มันมีอยู่ในโลก ก็ไม่ทำ ก็ทำไปไม่ได้ ไม่อดทนต่อหนาว ร้อน ความยากลำบาก ความเจ็บความใคร่ ไม่อดทนนี้มันก็ล้มละลายหมด ฉะนั้นขอให้จำหลักธรรมะ 4 ข้อนี้ไปด้วย สุทธิ ปัญญา เมตตา ขันตี เอาไปใช้กันจนตลอดชีวิต เมื่อเป็นนักเรียนนักศึกษาอยู่ก็ต้องใช้กันอย่างยิ่ง แล้วก็ยังจะต้องใช้ต่อไปจนตลอดชีวิต เมื่อรู้หลักธรรมะนี่แล้วจงประพฤติปฏิบัติให้มันเกิดเป็นตัวการปฏิบัติขึ้นมามีความบริสุทธิ์ มีปัญญา มีเมตตา มีขันตี แล้วความชั่วเลวร้ายทั้งหลายในโลกนี้จะหมดไป ถ้าทุกคนมีสุทธิ ปัญญา เมตตา ขันตี โลกนี้เป็นโลกพระศรีอารย์ขึ้นมาทันที ปัญหาเรื่องคอมมูนิสต์ ก็เป็นปัญหาขี้ฝุ่น มันเล็กนิดเดียว เอาธรรมะเข้ามาคอมมูนิสต์ก็ตายหมด เพราะมันไม่มีลัทธิที่ทำให้นายทุนขูดรีดคนจน แล้วคนจนจะไปทำอะไรกับใคร คนจนก็ไม่มีปัญหาที่จะต้องต่อสู้กับคนมั่งมี เพราะคนมั่งมีมันมีธรรมะเสียแล้ว การที่ช่วยกันทำให้โลกนี้มีธรรมะนั่นแหละเป็นการแก้ปัญหาทั้งหมดได้ สิ่งเลวร้ายทุกชนิดเกิดขึ้นมาในโลก เพราะมนุษย์ขาดธรรมะที่แล้วมาแต่หนหลัง หรือในอนาคตก็ตาม นี่พอมนุษย์ทำให้ธรรมะมีขึ้นมาในโลกสิ่งเลวร้ายเหล่านั้นจะหมดไป แล้วจะไม่เกิดอีก ขอให้บูชาสิ่งสูงสุดคือธรรมะ ซึ่งพระพุทธเจ้าก็บูชา ที่นั่งอยู่ตรงนี้ถ้าใครยังไม่ทราบว่าพระพุทธเจ้าบูชาอะไร นับถืออะไรก็ขอให้ทราบเถิดว่า พระพุทธเจ้าท่านตรัสเองว่าท่านเคารพบูชาธรรมะ ธรรมะที่ท่านตรัสรู้และนำมาสอนนี่ ท่านยังเคารพอีกทีหนึ่ง เดี๋ยวนี้อาตมาก็บอกคนทุกคนที่มาคุยด้วยว่าไอ้ธรรมะนี่แหละคือพระเจ้า ธรรมะนี่คือพระเจ้า ดังนั้นเราก็ต้องบูชา เคารพ เชื่อฟังพระเจ้า ไม่มีอะไรสูงสุดกว่านั้นแล้ว ธรรมะในฐานะที่เป็นกฎของธรรมชาตินี่คือธรรมะที่ควรจะเรียกว่าพระเจ้า พระเจ้าสร้างโลก กฎของธรรมชาตินี่มันสร้างโลกควบคุมโลกทำลายโลกมันมีอะไรทุกอย่างที่เฉียบขาดเหมือนกับพระเจ้า นี่พวกหนึ่งเขาพูดให้เป็นบุคคล พระเจ้าเป็นบุคคลรู้สึก คิดนึกได้นั่นก็ตามใจเขา เขาก็บูชาไปตามแบบของเขา เขาก็อ้อนวอนไปตามแบบของเขา ไอ้เรานี่มีพระเจ้าเป็นกฏของธรรมชาติไม่ใช่บุคคลแล้วก็ศักดิ์สิทธิ์มีอำนาจสูงสุดพอกันหรือยิ่งกว่า เราก็บูชาพระเจ้าอย่างของเรา อ้อนวอนพระเจ้าอย่างของเราคือพยายามที่สุดที่จะประพฤติปฏิบัติให้ถูกตรงตามกฎของธรรมชาติ เราพยายามปฏิบัติให้ถูกตรง ตามกฏของธรรมชาตินั่นแหละคือการที่เราบูชาอ้อนวอนพระเจ้าตามแบบของเรา แล้วก็ไม่ยิ่งหย่อนกว่าใคร เพราะฉะนั้นขอให้รู้จักธรรมะในฐานะที่เป็นพระเจ้า แล้วต่อไปนี้ทุกคนขอให้บูชาพระเจ้า แล้วก็ปฏิบัติสุดความสามารถตามพระประสงค์ของพระเจ้า คือกฏของธรรมชาติที่ถูกต้องว่าเราจะต้องทำอย่างไร เราจึงจะได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ คำว่าธรรมะนี้เป็นของแปลก ประหลาดอธิบายลำบาก เพราะมันเป็นทุกสิ่ง เข้าใจว่าบางคนที่นั่งอยู่ที่นี่ บางคนคงจะได้เคยอ่านมาแล้วบ้าง บางคนอาจจะยัง คือเราบอกให้ทราบว่า ไอ้คำว่าธรรมะ หรือธรรมเฉย ๆ นี่ มันมีความหมายรวบยอดอยู่ 4 อย่าง ธรรม คือธรรมชาติทั้งหมด ตัวธรรมชาติทั้งหมด เป็นรูปธรรม เป็นนามธรรม มีชีวิต ไม่มีชีวิต อะไรที่เรียกว่าธรรมชาติ ธรรมชาติทั้งหมดนี้ภาษาบาลีเขาเรียกว่าธรรม ธรรมะ ที่นี้กฏของธรรมชาติที่มีอยู่ในธรรมชาตินั้นนะก็เรียกว่าธรรมเหมือนกัน เรียกว่าธรรมะเหมือนกัน โดยภาษาบาลีนะ ที่นี้หน้าที่ที่ทุกคนจะต้องปฏิบัติตามกฏของธรรมชาติให้ถูกต้อง นี่ก็เรียกว่าธรรมะเหมือนกัน นี่ธรรมะในความหมายธรรมดาที่เราประพฤติกระทำกันอยู่คือข้อ ข้อที่ 3 นี่ หน้าที่ตามกฏของธรรมชาติเรียกว่าธรรมะ ที่นี้ผลที่ได้รับตามสมควรแก่หน้าที่นั่นก็เรียกว่าธรรม ธรรมเหมือนกัน ธรรมะ ธรรมะมีความหมายที่เป็นรวบยอดอยู่ 4 ความหมาย คือตัวธรรมชาติอย่างหนึ่ง ตัวกฎของธรรมชาติอย่างหนึ่ง ตัวหน้าที่ตามกฏธรรมชาติอย่างหนึ่ง ตัวผลตามสมควรแก่หน้าที่นั่นอย่างหนึ่ง ธรรมะคืออย่างนี้ เรียกเป็นภาษาบาลี แปลเป็นไทยไม่ได้ ใครมีปัญญาลองแปลซิ จะแปลว่าอะไร ปู่ย่าตายายของเรายอมแพ้ แปลไม่ได้ ก็เรียกว่าธรรม หรือพระธรรมไปตามคำเดิม พวกฝรั่งก็ยอมแพ้ ถ้าจะแปลเป็นภาษาอังกฤษ ภาษาเยอรมันแปลไม่ได้ พยามยามเท่าไหร่ ๆ มันก็แปลไม่ได้ แปลออกไปมันได้นิดเดียว มันไม่เต็มทั้ง 4 ความหมาย เดี่ยวนี้เขาก็ใช้คำว่าธรรม เหมือนกับพวกเราคนไทยใช้คำว่าธรรม คนเยอรมันมาถามดูก็บอกเหมือนกัน ถ้าใช้เยอรมันก็ต้องใช้คำว่าธรรม ภาษาอังกฤษนั่นใช้คำว่าธรรมมานานแล้ว ถ้าเป็นคุณศัพท์เขาว่าธารามิก ธารามิก (นาทีที่ 01.25.38) ก็ตรงกับภาษาบาลีอีกนั่นแหละ ภาษาบาลีถ้าเป็นคุณศัพท์มันก็ ธรรมมิก ที่นี้ฝรั่งเขาไปใช้ ธารามิก (นาทีที่ 01:25:46) ธรรมะเป็นนาม ธารามิกเป็นคุณศัพท์ นี่คือตัวสำคัญตัวพระเจ้า แล้วอย่าไปหาที่อื่นนะ หาที่อื่นไม่มี ไม่มีประโยชน์ หาในตัวเรา ตัวธรรมชาตินี่ร่างกาย เนื้อหนังทุกส่วน กระทั่งจิตใจที่มีอยู่ตามปกตินี่คือตัวธรรมชาติเพราะมันมีกฏธรรมชาติอยู่ในเนื้อหนัง ในตัวเรานี้ด้วย เพราะฉะนั้นร่างกายนี้จึงเปลี่ยนไปวิวัฒนาไปตามกฏของธรรมชาติ เพราะมันมีกฎของธรรมชาติอยู่ในตัวธรรมชาติในตัวเรา และเราก็มีหน้าที่ตามกฎธรรมชาติ เราอยู่เฉย ๆ ไม่ได้เราต้องบริหารกาย เราต้องกินอาหาร ต้องถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ ต้องอาบน้ำ ต้องทำทุกอย่างให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติเพื่อรอดชีวิตอยู่ แล้วเรายังจะต้องทำให้ถูกกฎของธรรมชาติในการที่จะไม่เป็นทุกข์ทางจิตใจด้วย ฉะนั้นเราจึงมีหน้าที่ที่จะศึกษาธรรมะให้รู้และปฏิบัติธรรมะ อย่าให้เกิดโลภ โกรธ หลง แล้วเราก็อยู่สบาย นี่ก็เป็นหน้าที่ หน้าที่ตามกฎของธรรมชาติก็มีอยู่ในตัวเรา อยู่ที่กาย วาจา ใจของเรา เราทำอยู่ทุกวัน เราก็ได้รับผลเป็นความสุข หรือเป็นความทุกข์ แล้วแต่เราจะทำผิดหรือทำถูก ฉะนั้นขอให้ค้นหาให้มองดูให้พบธรรมะ ทั้ง 4 ความหมายในตัวเรา แล้วเราก็จะมีโอกาสสามารถที่จะพัฒนาธรรมะให้เป็นประโยชน์แก่เรายิ่งขึ้น ๆ มันไม่เกี่ยวกับเรื่องภายนอก ไม่เกี่ยวกับผีสางเทวดา ไม่เกี่ยวกับพิธีรีตอง มันไม่เกี่ยวอะไร นอกจากเกี่ยวกับการประพฤติกระทำที่ถูกต้องต่อธรรมะทั้ง 4 ความหมายนี้ ซึ่งเราเป็นนักศึกษาทั้งที อย่าให้มันเสียเหลี่ยมว่านักศึกษาไม่รู้จักธรรมะที่มีอยู่ในตัวเรา แล้วไปเข้าใจผิด ไปหลงในเรื่อง งมงาย อย่าให้มันมีเรื่องงมงายเกี่ยวกับธรรมะเลย มีหน้าที่ที่จะต้องประพฤติจะทำให้ถูกต้องตามกฏของธรรมชาติ โดยที่ความทุกข์เกิดไม่ได้ เอาความทุกข์เกิดไม่ได้เป็นข้อตัดสินว่าเป็นความถูกต้องในการมีธรรมะอย่างนี้แหละเราจะมีพระพุทธอยู่ในเรา มีพระธรรมอยูในเรา มีพระสงฆ์อยู่ในเรา ไอ้จิตที่มันรู้ธรรมะอย่างถูกต้องมันเป็นพระพุทธเจ้า แล้วธรรมะที่เรารู้และเราปฏิบัตินี่ก็เป็นพระธรรม และความพยายามของเราที่ปฏิบัตินี่มันเป็นพระสงฆ์ ดังนั้นเราก็เป็นคนมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อยู่ในตัวเราเสร็จ มันมีค่ามาก มันมีความปลอดภัยมาก เพราะเรามีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นเครื่องคุ้มครองเราจริง ขอให้ทุกคนเข้าใจข้อนี้ อย่าให้เสียทีที่มานอนที่สวนโมกข์ให้ยุงมันกัด ไม่ฉะนั้นจะไม่คุ้มค้ามานอนให้ยุงมันกัด เว้นไว้แต่คุณจะแก้ตัวว่ายุงกัดนี้ก็เป็นการปฏิบัติธรรมก็ดีเหมือนกัน ก็จะได้ฝึกฝนความอดทน เราอย่าพูดว่าอย่าให้มันไม่คุ้มค่ามานนอนทนให้ยุงมันกัด ขอให้เข้าใจสิ่งเหล่านี้ว่าธรรมะคืออย่างนี้ เพราะเราเรียน เพราะเราปฏิบัติ เพื่อให้เราประสบความสำเร็จในหน้าที่ของเรา ถ้าเราเป็นนักศึกษาหน้าที่ของเราก็คือการเรียนในมหาวิทยาลัย ถ้าเรามีธรรมะเราเรียนได้ดี และสนุกเป็นสุขในการเรียน ที่นี้พอเราเรียนเสร็จแล้วเราจะไปประกอบอาชีพที่สนุกอีก แล้วเราจะสามารถควบคุมจิตใจไม่ให้มีความทุกข์เลยเป็นอยู่โดยไม่มีความทุกข์เลย เราก็เรียกว่ามีธรรมะไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์ ได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ พูดไปตั้งชั่วโมงครึ่งแล้วจะต้องหยุดกันที สรุปความว่าเรามาเป็นอยู่ใกล้ชิดธรรมชาติอย่างเดียวกับที่พระพุทธเจ้าท่านเป็นอยู่เพื่อจะเข้าใจคำสอนของท่านได้โดยง่าย คือ เข้าถึงธรรมะได้โดยง่าย แล้วทำให้เรามีความเปลี่ยนแปลงที่มันเคยผิดพลาดมันก็จะกลายเป็นถูกต้องที่เคยเห็นผิดเข้าใจผิดเป็นมิจฉาทิฐิมันก็จะเห็นถูกเป็นสัมมาทิฐิขึ้นมา แล้วเราก็จะพบวิธีปฏิบัติที่พอดี คือว่าไม่ขาดไม่เกิน นี่เราต้องมีความเข้มแข็งในการที่จะไม่แตะต้องส่วนเกิน เพราะการที่จะเป็นไปในส่วนขาดนั้นมันไม่เป็นไป มันคอยแต่จะเป็นไปในส่วนเกิน ฉะนั้นระวังในการที่จะเป็นไปในส่วนเกิน ต่อสู้กิเลสบังคับกิเลสอย่างกัดฟัน ทนทีเดียวจะไม่ให้มันมีความผิดพลาด เป็นไปในส่วนเกิน เรื่องอาหารการกิน เรื่องนุ่งห่ม เรื่องที่อยู่อาศัย เรื่องเจ็บไข้ได้ป่วย อะไร อะไรที่เรียกว่าปัจจัยสี่ต้องไม่มีการเกิน แล้วชีวิตนี้ก็จะงดงาม จะน่าดูเพราะว่ามีธรรมะ การบรรยายยุติต่อไปนี้เป็นเวลาสำหรับถาม ถ้ามีอะไรจะถามก็ถามได้ ให้ถาม
(คำถาม) นี้เป็นปัญหาของเพื่อนนักศึกษานะครับ กระผมขอเรียนถามว่าการที่เราอยู่อย่างสันโดษตามหลักแบบของพระพุทธเจ้า กระผมเห็นว่ามันจะไม่ทำให้สังคมเจริญขึ้น เพราะมนุษย์ก็มีสิ่งที่มีอยู่เท่านั้น จะไม่มีทางกระตือรือร้นขึ้นเลย ทำให้สังคมไม่เจริญ
(ท่านพุทธทาสตอบ) เอ้า, นี่เขาถามว่าสันโดษทำให้หยุดชะงัก ไม่ก้าวหน้า ไม่เจริญ ปัญหานี้เก่าคร่ำเต็มทีแล้ว คือปัญหาอย่างนี้มีมาหลายปีแล้ว 20 30 ปีแล้วที่เคยถูกถาม แล้วเขาก็วินิจฉัยกันมาก แล้วก็เป็นที่เข้าใจกันไปแล้วก็มาก แต่มันก็ยังเหลือสำหรับไม่เป็นที่เข้าใจ เพราะว่าแปลคำว่าสันโดษผิด สันโดษก็แปลว่ายินดีในสิ่งที่มี ตัวหนังสือเขาแปลว่าอย่างนี้ ไม่ได้บอกว่ายินดีในสิ่งที่มีแล้วจะไม่ต้องทำอะไรอีกต่อไป ถ้าคนไม่รู้จักพอใจในสิ่งที่มีนะไม่กี่วันละบ้า นี่กล้ายืนยันอย่างนี้ ถ้าใครไม่พอใจในสิ่งที่มี แล้วมันก็จะไม่มีความพอใจอะไรเลย แล้วเขาก็จะมีประสาทที่วิปริตปั่นป่วนเป็นคนที่หิว กระหาย ขาดแคลนอยู่เรื่อย ก็เป็นโรคประสาท เป็นบ้า แล้วก็ตาย ที่เราทำดีลงไปได้เท่าไหร่เราควรจะพอใจ แม้ที่สุดเป็นเพียงการกระทำ ยังไม่มีผลของการกระทำ เราควรจะพอใจ เป็นสุขนั่นแหละเรียกว่าสันโดษที่ถูกต้อง เช่นคุณเรียนอยู่ในปีที่ 1 กำลังเรียนอยู่ จงพอใจยินดีกับที่มันเรียนได้ในปีที่ 1 แล้วก็เป็นสุข แล้วก็ไม่หิวในทางจิตทางวิญญาน แล้วมีจิตใจปกติเรียนต่อไปได้ ถ้าคุณไม่พอใจเท่าที่มันเรียนในปี 1 มันก็รู้สึกว่าไม่มีอะไร ไม่ได้อะไร หวาดกลัวอยู่เรื่อยมันก็เป็นโรคประสาท แม้แต่จะทำไร่ทำนามันก็เหมือนกันแหละ พอปลูกลงไปแล้วมันก็ต้องพอใจแล้ว ต้องสบายใจชั้นหนึ่งแล้ว ปลูกเม็ดลงไปแล้วยังไม่ทันงอก พองอกขึ้นมาก็ยินดีอีก เติบโตก็ยินดีอีก จนกว่าจะเก็บเกี่ยวได้ ยินดีได้ เราก็อยู่ด้วยความยินดี ความพอใจ เหมือนกับคนมีอะไร มีทรัพย์สมบัติ มันก็มีความสุข ดังนั้นท่านจึงกล่าวไว้ว่า สันตุฏฐี ปรมัง ธนัง สันโดษนั่นแหละเป็นทรัพย์สมบัติอย่างยิ่ง มันทำให้เราพอใจ เหมือนกับรู้สึกว่ามันมีทรัพย์สมบัติ ถ้าเราไม่มีความรู้สึกนี้เราก็จะหิว จะกระหาย จะรู้สึกว่าขาดอยู่เสมอไม่เท่าไหร่ประสาทจะวิปริต แล้วจะเป็นบ้า แล้วจะตายด้วย ถ้าเรายินดี เราพอใจ เราก็ทำต่อไปได้ เพราะมันไม่มีข้อห้ามที่ไหนว่าไม่ให้ทำ เรายินดี เราพอใจเราก็ยิ่งทำมากขึ้นเท่านั้น นี่คำตอบมีอยู่อย่างนี้ แล้วก็ได้ตอบกันมาตั้ง 20 ปีกว่าแล้วไอ้ปัญหานี้
(คำถาม) ขอขอบคุณครับ กระผมขอเรียนถามต่อไปอีกว่า การสอนศาสนาธรรม การประกาศพระศาสนาของพระพุทธเจ้า มีมาตั้งแต่สมัยพระพุทธเจ้าอยู่ ก็เพื่อจะให้สังคมเกิดความสงบสันติสุขจนกระทั่งบัดนี้ สังคมก็ยังไม่มีความสงบ ไม่มีความสันติสุขอย่างแท้จริง เมื่อเป็นเช่นนี้กระผมจึงเห็นว่าศาสนานี้แก้ปัญหาสังคมไม่ได้ ในประเทศอื่นโลกในประเทศคอมมูนิสต์ เขาแก้ปัญหาให้ประชาชนอยู่เย็นเป็นสุขได้ ฉะนั้นการแก้ปัญหาสังคมผมคิดว่าการแก้ทางนั้นมันจะรวดเร็วทันใจกว่าการใช้ศาสนาครับ
(ท่านพุทธทาสตอบ) นี่ปัญหานี้ก็เหมือนกัน มันเป็นปัญหาที่มีขึ้นมาเมื่อเกิดลัทธิคอมมูนิสต์ขึ้นมาในโลก กล่าวหาศาสนาว่าเป็นยาเสพติด เปล่าๆ ไม่มีประโยชน์อะไร ศาสนามีมาในโลกตั้งแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว โลกนี้มันก็ยังไม่ดีขึ้น เราควรจะเลิกศาสนาเสีย นี่มันเพราะว่ามันมองกันคนละแง่ หรือมันมองด้วยสายตาคนละแง่ ปัญหาเลวร้ายหรือความตกต่ำมันเกิดขึ้นเมื่อคนไม่ฏิบัติศาสนา ศาสนามีแต่ไม่มีใครปฏิบัติ มันก็เหมือนกับ ไม่มี เหมือนกับคุณนี่ไม่มีการปฏิบัติ มันก็ไม่มีศาสนาทั้งนั้น ถ้ามันมีการปฏิบัติมันก็มีศาสนา ถ้ามันมีการปฏิบัติศาสนามันก็ไม่เกิดปัญหาอย่างที่เกิด อย่างที่ว่าเกิดลัทธิคอมมูนิสต์หรือว่าถ้าคนมันมีศาสนา คนมันเห็นการงานเป็นความสุขมันเว้นอบายมุขสิ่งผิดพลาดเลวร้ายโดยเด็ดขาด และมันทำการงานด้วยความสนุกสนานมันก็แก้ มันก็ไม่มีปัญหาทางสังคม เดี๋ยวนี้คนมันไปทำอบายมุข ดื่มน้ำเมาเที่ยวกลางคืนดูการเล่น เล่นการพนันคบคนชั่วเป็นมิตรเกียจคร้านทำการงานแล้วมันเสื่อม แล้วมันจะมาโทษว่าศาสนาช่วยไม่ได้อย่างนี้ก็ไม่ถูก เพราะมันไม่มีศาสนามันไม่ปฏิบัติศาสนา ถ้ามีศาสนามันเว้นไอ้ส่วนควรเว้น แล้วมันทำส่วนควรทำ เพราะทุกศาสนามันสอนให้ทำสิ่งที่ควรทำแล้วคนมันไม่ทำ ที่นี้มันมีศาสนากันแต่ปากแต่เปลือก ถ้าคุณยกตัวอย่างประเทศจีนปัจจุบันนี้ นั่นคือมันขโมยศาสนาไปใช้โดยที่มันไม่เรียกว่าศาสนา มันปฏิบัติหลักศาสนาอยู่ทุกข้อทุกกระทง แล้วมันไม่เรียกว่าศาสนา เป็นคนขโมย ขโมยศาสนาไปใช้อยู่ การที่มีศีลธรรมมีความขยันขันแข็งมีอะไรต่างๆ นั่นคือหลักศาสนาทั้งนั้นเล่า ที่เอาขโมยไปเป็นคอมมูนิสต์อย่างนั้นมันไม่ถูก มันคือศาสนาทุกศาสนาในโลกที่เขาสอนให้ขยันขันแข็ง สอนให้เว้นความชั่ว สอนให้อยู่อย่างมีศีลธรรม ที่ว่า ต่อไปข้างหน้าถ้าว่ามนุษย์มีศีลธรรม มีศาสนาแล้วล่ะก็ปัญหาไม่มี แล้วก็มีการพัฒนาเหมือนกัน เพราะมันสนใจในการทำหน้าที่และทำให้ดียิ่ง ๆ ขึ้น อย่าเข้าใจว่าศาสนาเป็นของไร้สาระ ไม่ทำให้มนุษย์ก้าวหน้าหรือเจริญเพราะมองไปในแง่ที่ว่าศาสนามันทำให้มนุษย์เป็นมนุษย์ให้มีความเป็นมนุษย์ที่ถูกต้อง แล้วก็มีความเจริญ เดี๋ยวนี้มนุษย์มันไปเป็นทาสของวัตถุนิยม มันไปถือศาสนาวัตถุนิยมมันไม่ถือศาสนาของศาสนา มันก็เกิดปัญหาขึ้นมา เดี๋ยวนี้เรากำลังต่อสู้กับปีศาจวัตถุนิยม แล้วเราก็พ่ายแพ้แก่มันมากขึ้น ๆ ๆ ๆ ที่นี้พวกคอมมูนิสต์เมืองจีนเขาเข้มแข็ง แล้วก็เกิดเข้มแข็งขึ้นมา เขาต่อสู้วัตุนิยมได้ เขาไม่เป็นทาสของวัตถุนิยม เขาทำแต่การแต่งานที่มันควรจะทำ เอาศาสนาไปใช้แก้ปัญหาอยู่แล้ว นี่คำตอบมันมีอย่างนี้ เพราะว่าเราไม่ใช้ศาสนาในการแก้ปัญหา
(คำถาม ปัญหาข้อต่อไปนะครับ ขอเรียนถามหลวงพ่อว่าการที่มีนิสิตนักศึกษาประชาชนจำนวนหนึ่งหนีเข้าป่าเพื่อจับอาวุธปฏิวัติโค่นล้มอำนาจของรัฐบาลเพื่อจะทำให้สังคมดีขึ้น เป็นการแก้ปัญหาสังคมที่ถูกต้องหรือไม่
(ท่านพุทธทาสตอบ) โอ๊ยนี่อย่าไปเกณฑ์ให้ตอบแทนพวกนั้นมันคงไม่ได้ เราไม่ได้ เราไม่ได้เป็นอย่างนั้นนะ แต่ถ้าจะเกณฑ์ให้ตอบ เราก็จะตอบว่าเขาตกอยู่ภายใต้อำนาจการโฆษณาชวนเชื่อของอีกฝ่ายหนึ่ง ถ้าตอบปัญหาข้อนี้มันก็ต้องกลายเป็นตอบปัญหาเรื่องที่เกี่ยวคอมมูนิสต์ เขาคิดว่าลัทธิคอมมูนิสต์จะแก้ปัญหาในโลกได้ ไม่เฉพาะประเทศไทยอ่ะ นี่เขา คนไทยก็ยกเอาประเทศไทยเป็นหลัก เขาไปเข้าป่าโดยถือหลักว่าจะช่วยกันทำลายนายทุน แล้วประเทศไทยก็จะดีขึ้น เราว่าไม่ถูก การทำลายนายทุนนั้นไม่ถูก เพราะมันผิดธรรมชาติ มันต้องมีความเลื่อมล้ำต่ำสูงอยู่ในโลก ถ้าเราจะแก้ปัญหาให้ได้ เราต้องทำในลักษณะที่ให้มันอยู่กันได้ทั้งที่มันเหลื่อมล้ำต่ำสูง คุณฟังถูกไหม ถ้าจะแก้ปัญหาที่ถูกที่ดีต้องทำให้มันอยู่กันได้ ทั้งที่มันมีความเหลื่อมล้ำต่ำสูง อย่าไปฟันฟาดไอ้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งให้มันหมดไป ใช่ว่านายทุนจะปราบชนกรรมาชีพให้หมดไป หรือว่าชนกรรมาชีพจะปราบนายทุนให้หมดไปข้างใดข้างหนึ่งอย่างนี้ ไม่มีประโยชน์อะไร เพราะการที่มันจะต้องเหลื่อมล้ำต่ำสูงนี่มันเป็นสิ่งที่หลีกไม่ได้เพราะมันต้องเป็นไปโดยธรรมชาติที่มันต้องเหลื่อมล้ำต่ำสูง มันเป็นไปโดยกฎแห่งกรรม คือกระทำมันก็จะต้องเหลื่อมล้ำต่ำสูง ขอให้ถือว่าความเหลื่อมล้ำต่ำสูงนี่มันเป็นสิ่งที่ต้องมี ที่นี้มันเกิดความเหลื่อมล้ำต่ำสูงขึ้นมาแล้วจะแก้ปัญหาในโลกนี้อย่างไร ทางศาสนาก็ถือว่าทำให้มันอยู่กันได้ให้มันรักใคร่ร่วมมือกันได้ นี่ทางลัทธิอื่น ๆ ลัทธิอื่นที่เขารังเกียจศาสนาเพราะว่าชนกรรมาชีพต้องทำลายนายทุนลงเสีย ก็แปลว่าเรามีวิธีการต่างกันเท่านั้น ปัญหาเหมือนกันคือว่าโลกนี้ไม่มีความถูกต้อง ไม่มีความสงบสุข ทางศาสนาก็ต้องการให้โลกนี้มีความสงบสุข ทางคอมมูนิสต์ก็ต้องการให้โลกนี้มีความสงบสุข เรียกว่ามีวัตถุประสงค์ตรงกันที่ทำให้โลกนี้มีความสงบสุข แต่พอมาถึงวิธีที่จะทำให้เกิดความสงบสุขนี่เรามีวิธีต่างกัน เราที่มีศาสนานี้มีวิธีที่ทำให้มันอยู่ด้วยกันได้ ให้มันรักกันได้แล้วคำว่านายทุนก็หมดไป คำว่าชนกรรมาชีพก็หมดไปเอง นี่เขาว่าไม่ใช่อย่างนั้น ทำอย่างนั้นไม่ได้ก็ต้องฆ่านายทุนให้หมด แล้วอะไรจะเกิดขึ้นคอยดู ไอ้ความเหลื่อมล้ำต่ำสูงต้องมีเป็นธรรมดา ความโง่ความฉลาดก็ต้องมี ความอ่อนแอความแข็งแรงจะต้องมี การผิดกันจะต้องมี ฉะนั้นทางที่ดีทำให้มันอยู่ด้วยกันได้ อย่าไปฆ่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งซะเลย เมื่อตะกี้ก็พูดแล้วว่าถ้าไม่มีนายทุน กรรมกรก็ไม่มีงานทำ ถ้าไม่มีกรรมกร นายทุนก็ไม่รู้จะใช้ใครทำ มันก็ทำไม่ได้ มันก็ต้องมีกันทั้งกรรมกรและทั้งนายทุน แล้วก็ทำงานกันให้ถูกหน้าที่ด้วยความเมตตากรุณา ใช้หลัก 4 ประการเมื่อตะกี้นี้ สุทธิ ปัญญา เมตตา ขันตี เข้ามา นายทุนหมดไปจากโลก ชนกรรมาชีพอันเหี้ยมเกรียมนั้นก็หมดไปจากโลก เหลือแต่คนที่มีความรู้สึกรักใคร่ ประนีประนอมกันอยู่ด้วยกัน ก็เป็นไปด้วยกันได้ ถ้าเข้าไปในป่าเพื่อไปคิดตั้งกองล้างผลาญนายทุนนี้มันไม่ถูกหลักของศาสนา ฉะนั้นเรามาคิดว่ามีวิธีที่ทำให้อยู่ด้วยกันอย่างเมตตา กรุณา อย่างความรักใคร่ดีกว่า คนที่อยู่ในป่าควรจะกลับมาแล้วก็มีความคิดใหม่ เพื่อทำให้มันอยู่ด้วยกันได้ อย่าต้องทำลายฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งลงไปเลย นั่งตรงนี้ ก็พอจะเห็นได้ว่าต้นไม้สูง ๆ ก็พวกตะใคร่เขียว ๆ ที่โคนนั้นทำไมมันอยู่กันได้ ต้นไม้ที่สูงลิบ ตะใคร่เขียว ๆ ที่อยู่ที่โคนนั้นมันอยู่นิดเดียว ต่ำนิดเดียวทำไมมันอยู่กันได้ เอ้า, ถ้าว่าตัดต้นไม้สูง ๆ นี้ออก แดดมันเผาไอ้นั้นตายโหงหมด ตะใคร่มันอยู่ไม่ได้ เข้าใจไหม ตะใคร่เขียว ๆ ที่อยู่ที่โคนนั้นจะอยู่ไม่ได้ถ้าตัดต้นไม้นี้ออก ถ้าแดดมันลงมา เดี๋ยวนี้เราก็ว่าไอ้ต้นไม้ต้นนี้ ถ้าไม่มีตะใคร่เขียวๆ ช่วยทำความชื้นให้บ้างมันก็ไม่งอกงามอย่างนี้ แล้วหญ้า บอน เล็ก ๆ น้อย ๆ เฟิร์น ๆ ที่อยู่ข้างใต้นี้ มันช่วยทำให้ต้นไม้ใหญ่อยู่สบายได้ แล้วต้นไม้ใหญ่นี้มันก็ช่วยบังแดดให้ไอ้ตะใคร่หรือเฟิร์นนี้ได้ มันอยู่ด้วยกันได้อย่างนี้ทั้งที่มันผิดกันมาก ที่มนุษย์มันไม่ได้ผิดกันมากถึงขนาดนี้ มันก็ควรจะทำสหกรณ์ร่วมกันได้ อยู่ด้วยกันได้ทั้งที่มันเหลื่อมล้ำต่ำสูงกว่ากัน ดังนั้นศาสนาก็มุ่งหมายจะให้คนที่เหลื่อมล้ำต่ำสูงกว่ากันอยู่ด้วยกันได้ด้วยความเมตตากรุณาคือธรรมะ ไม่ต้องการให้ทำลายล้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสีย ให้กรรมกรคิดว่าถ้าไม่มีนายทุนเราก็ไม่มีงานทำ ให้นายทุนคิดว่าถ้าไม่มีกรรมกรเราก็ไม่รู้จะใช้แรงงานที่ไหน ฉะนั้นเราต้องผ่อนสั้นผ่อนยาวให้มันอยู่ในลักษณะที่ไปด้วยกันได้ ก็ไม่มีคำว่านายทุน จะไม่มีคำว่านายทุน และจะไม่มีคำว่าชนกรรมาชีพที่ว่ากำลังโกรธแค้นขัดใจ มันมีแต่มนุษย์ธรรมดา ร่วมมือร่วมแรงประสานงานกันอยู่ด้วยกันได้ พวกที่อยู่ในป่าก็ควรจะเปลี่ยนความคิดเห็นในเรื่องที่จะทำลายนายทุนเสียดีกว่า ที่เมืองจีนมันก็คิดทำลายนายทุน เดี๋ยวนี้มันก็เป็นไปไม่ได้ เพราะว่าการที่ว่าจะบีบบังคับนั้นหน่ะ ฝ่ายใดก็ตามที่การจะบีบบังคับอีกฝ่ายหนึ่ง มันต้องเงื้อดาบอยู่เรื่อย ถ้าเราจะบีบบังคับอะไรให้ไปตามหรือฝืนนั้น มันจะต้องเงื้อดาบอยู่เรื่อย เดี๋ยวมันก็เมื่อยมือ เดี๋ยวกันก็ไม่ได้เงื้อนะ มันจะต้องลุกขึ้นมาอีก ไม่มีประโยชน์ในการที่จะต้องเงื้อดาบอยู่เรื่อย ทำโดยวิธีที่จะไม่ต้องเงื้อดาบอยู่เรื่อยดีกว่า คอยจ้องปืนกันอยู่เรื่อย มันสนุกหรือมันไม่เมื่อยมือกันบ้างหรือ เราทำโดยที่เอาปืนไปทิ้ง แล้วมากอดคอกันดีกว่า
(คำถาม ปัญหาในทางการเมืองก็หมดแล้วนะครับหลวงพ่อ ต่อไปนี้ผมอยากจะเรียนถามว่าอยากจะทราบผลประโยชน์ของการทำวัตรนะครับ มีประโยชน์อย่างไรบ้าง
(ท่านพุทธทาสตอบ) ประโยชน์ของการทำวัตร ก็ได้เหมือนกัน เท่าที่มันเป็นมาแล้วประโยชน์ของการทำวัตรนี่มันมีหลายอย่าง ข้อแรกที่สุดคือ ท่องจำ หลักที่ควรจะจำไว้ ถ้าเราไม่ได้เอามาท่องมาทำอยู่เสมอนี่มันลืม ข้อที่หนึ่งมันทำให้จำไอ้สิ่งที่ควรจะจำ ข้อที่สอง มันเป็นสมาธิชนิดหนึ่ง เป็นสมาธิแบบหนึ่ง เหมือนกับฝึกสมาธิแบบหนึ่งอยู่เป็นประจำ แล้วก็เรา เข้าใจความหมายของคำทำวัตร เช่นทำวัตรแปล เข้าใจความหมายของคำทำวัตรนี้มันก็มีโอกาสที่จะเห็นแจ้งในธรรม ในธรรมะนั่นหน่ะ โพล่ง พุ่งโพล่งออกไปได้สักวันหนึ่ง แล้วเราก็เหมือนกับว่าไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ทุกวัน ๆ เพราะว่าเราพรรณนาพระคุณของพระพุทธเจ้าอย่างดีที่สุด ถ้าเราตั้งใจดี เราจะซึมซาบในคุณของพระพุทธเจ้าเหมือนกับไปเฝ้าพระพุทธเจ้าทุกวัน นี่ทำให้เรามันก้าวหน้าในพุทธานุสติ ก้าวหน้าในพุทธานุสติคือมีพระพุทธเจ้ามากขึ้น ๆ ในจิตใจของเรา เพียงเท่านี้มันก็คุ้มกันแล้ว ขอให้ตั้งใจทำวัตรอย่างจริง ๆ อย่างแท้จริงด้วยจิตที่เป็นสมาธิ ด้วยจิตที่พร้อมที่จะเข้าใจซึมซาบในความหมายของคำที่เรากล่าว มันมีสูตรอยู่สูตรหนึ่งใช้คำว่าสาธยาย เมื่อสาธยายธรรมะอยู่ จิตอาจจะรวมตัวเหมาะสมสงบ ระงับปิติ ปราโมทย์ แล้วบรรลุธรรมะคือบรรลุมรรคผลได้ แม้ในการสาธยายธรรม
(คำถาม) มีเพื่อนนักศึกษาถามมาว่าศาสนาเป็นส่วนหนึ่งของสังคมและการปกครองประเทศเท่านั้น ไม่สามารถจะแก้ปัญหาความวุ่นวายของบ้านเมืองได้ เพื่อนเข้าใจว่าต้องมีการปลูกฝังประชาธิปไตยตั้งแต่เริ่มต้น บ้านเมืองจึงจะอยู่เรียบร้อยเป็นปกติ
(ท่านพุทธทาสตอบ) ช่วยอ่านอีกทีให้ชัด ๆ หน่อย ฟังไม่ดีตะกุกตะกัก
ตั้งคำถามอีกครั้ง เพื่อนนักศึกษาเข้าใจว่าศาสนาเป็นส่วนหนึ่งของสังคมและการปกครองประเทศเท่านั้น....
มันเป็นปัญหาที่บัญญัติเอาเองมาก คือว่า ศาสนานั่นแหละเป็นรากฐานของประชาธิปไตย คุณไปสังเกตดูให้ดีว่าความมีศาสนา ความมีหลักอย่างศาสนานั่นแหละเป็นรากฐานของประชาธิปไตย ประชาธิปไตยที่ไม่มีธรรมะเป็นรากฐานนั้นเป็นไปไม่ได้ เช่นเดี๋ยวนี้เรากำลังไม่มีประชาธิปไตย เพราะว่าเราไม่มีศีลธรรม ประชาธิปไตยนั้นมันจะมีได้แก่ผู้มีศีลธรรมเท่านั้น มันมีไม่ได้แก่ผู้ที่มีกิเลสเป็นอัฐ เป็นเจ้าเรือน คือมันเห็นแก่ตัว เมื่อทุกคนเห็นแก่ตัว แล้วก็มีประชาธิปไตย ก็มีประชาธิปไตยสำหรับจะทำลายกันเท่านั้นแหละ ทีสิทธิมีโอกาสที่จะทำลายกันทั้งนั้น ฉะนั้นถ้าจะมีประชาธิปไตยจริง ๆ หล่ะก็ทำให้พลเมืองมีศีลธรรม มีศาสนาเสียก่อน ถ้าว่ามีศาสนาจริง กลัวบาป รักบุญและกลัวบาปกันจริง คนไม่ทำความผิดความชั่ว ฉะนั้นการปกครองดีที่สุด บ้านเมืองสงบเย็นเป็นสุขที่สุด คนไม่ทำชั่วเพราะกลัวบาปกลัวพระเจ้า นั่นแหละแท้จริงกว่าคนที่ไม่ทำชั่วเพราะกลัวตำรวจจับ เดี๋ยวนี้ที่มันเว้นชั่วกันไม่ได้เพราะมันเพียงแต่กลัวตำรวจจับ มันก็ไม่กลัว มันคิดว่าจะจับไม่ได้อยู่เรื่อย แต่ถ้าว่าไม่ทำบาปไม่ทำชั่วเพราะกลัวบาป เพราะกลัวพระเจ้านี้มันไม่ทำทั้งในที่ลับและที่แจ้ง ฉะนั้นเราปลูกฝังคนให้มีศาสนา ให้กลัวบาป ไม่ทำชั่ว เพราะกลัวบาป เพราะกลัวพระเจ้า แล้วบ้านเมืองจะวิเศษ วิเศษจนบอกกันไม่ถูกแล้วหละ วิเศษสูงสุด ฉะนั้นจะบีบบังคันกันด้วยอำนาจนั่นหน่ะ มันได้แต่ต่อหน้าแล้วมันก็สามารถที่จะหลบหลีกต้านทานอะไรได้ ฉะนั้นเราจึงเห็นอาชญากรรมมากขึ้นเพราะคนไม่กลัวบาป สมัยปู่ย่าตายายของเรา อาชญากรรมน้อยเพราะว่าคนเขาอยู่ได้ตามลำพังโดยกลัวบาป เพราะมีศาสนา ไม่ทำชั่วเพราะมีศาสนานั้นหน่ะ แน่นอนกว่าไม่ทำชั่วเพราะกลัวตำรวจจับ ไปมองดูเสียใหม่ ศาสนาจำเป็นที่จะต้องมาเป็นรากฐานของประชาธิปไตย คือคนที่ดีมีศีลธรรมมีสิทธิที่จะใช้ในระบบการปกครอง มันก็เป็นการปกครองที่ดี ถ้าคนไม่มีศีลธรรมมาใช้ระบบประชาธิปไตยมันวินาศ วินาศไม่มีที่หลือ ไม่มีส่วนเหลือมันใช้สิทธิอำนาจของคนมีกิเลส จะออกกฎหมายมาก็ดี จะทำอะไรก็ดี มันเป็นเรื่อง เป็นไปตามกิเลสทั้งนั้น แล้วมันก็เป็นไปไม่ได้ เพราะว่าคนที่มีกิเลสนี้แหละมาทะเลาะกันจนตกลงกันไม่ได้ จนประชาธิปไตยก็เกิดขึ้นไม่ได้ ก็ประชาธิปไตยมันเป็นของสำหรับคนดีมีศีลธรรม