แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านผู้เป็นสหธรรมมิก หรือสหายธรรมทั้งหลาย เรามาพบกันที่นี้ เพื่อประโยชน์แก่กิจการอย่างไร อาตมาก็เรียกท่านทั้งหลาย โดยความหมายอันนั้น จะเป็นครูบาอาจาร์ย นักศึกษาอะไรก็สุดแท้ แต่เดี๋ยวนี้เรากำลังเป็น สหธรรมมิก หรือว่าเป็นสหายธรรม สหธรรมมิก แปลว่าผู้เกี่ยวข้องกับธรรม เพื่อประโยชน์ที่ร่วมกัน ธรรมดาใช้สำหรับนักบวชหรือบรรพชิต เมื่อเป็นสหธรรมิกต่อกัน ก็ตัวหนังสือนี้อำนวยให้ หรือคำว่าผู้เกี่ยวข้องด้วยธรรม ด้วยพระธรรมร่วมกัน เป็นภาษาไทยธรรมดาก็คือคำว่าสหายธรรม สหายโดยธรรม เดี๋ยวนี้เราเป็นสหายโดยธรรม จึงจะเรียกได้ว่าสหธรรมมิก ไม่ว่าจะเป็นผู้เฒ่า ผู้แก่ ผู้ใหญ่หรือเด็กโดยธรรมชาติ อาตมารู้สึกว่าเป็นสหธรรมมิกคือเขาต้องการจะใช้สิ่งที่เรียกว่าธรรมให้เป็นประโยชน์ให้มากที่สุด จึงเห็นเรามาประชุมกันที่นี่ ด้วยความมุ่งหมายตามที่อาตมาเชื่อว่าเราประสงค์จะใช้สิ่งที่เรียกว่าธรรม ให้เป็นประโยชน์ให้มากที่สุด ผู้แก่ ผู้เฒ่า หรือแม้แต่คนหนุ่ม คนสาวหรือกระทั่งเด็กๆ ก็ขอให้ไปเชิญมาดูให้ดี เขาจะตั้งอยู่ในฐานะที่จะใช้ธรรมให้เป็นประโยชน์มากที่สุด แต่เขาไม่รู้จักเรียกสิ่งนี้ว่าชื่ออะไร ก็เลยไม่ได้พูดออกมาอย่างนี้ แต่สถานะของเขาก็บังคับให้ เขาขวญขวายเพื่อจะใช้ธรรมะให้เป็นประโยชน์ที่สุด เหมือนกับว่าชีวิตมันต้องการธรรมะอยู่ตลอดเวลา ต้องการให้มันดีขึ้นด้วย ไม่ใช่ต้องการเพียงให้รอดชีวิตอยู่ เราจะสังเกตุเห็นลักษณะอันนี้มีอยู่ในทุกสิ่งที่มีชีวิต เดี๋ยวนี้เรามาพบกันที่นี่ดูกันตามหลักการที่อาจาร์ยระวี กำหนดไว้ มันก็สรุปความได้ว่าเราประสงค์จะใช้ สิ่งที่เรียก ว่า ธรรมให้เป็นประโยชน์มากที่สุด ไม่เพียงให้เป็นประโยชน์ต่อตัวเราแต่ละคน ต้องการให้เป็นประโยชน์ต่อแก่คน ทั้งประเทศ หรือเรากล้าพูดว่าทั้งโลก ถ้าใจเรากว้างพอเราก็จะนึกถึงทั้งโลก เราจึงจัดองค์การหรือแผนการหรืออะไรก็สุดแท้ เพื่อให้ได้ทำกิจกรรมอันมีค่าอันนี้ ถ้ามองอย่างนี้ยิ่งเห็นว่าเราเป็นสหธรรมมิกต่อกันอย่างยิ่ง คือเข้ามาเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เรียกว่าธรรมด้วยการกระทำที่ร่วมกัน ด้วยผลประโยชน์ร่วมกัน อะไรก็แล้วแต่ร่วมกัน เราจึงเรียกกันว่าสหธรรมมิกหรือ สหายธรรม เพื่อให้เกิดความรู้สึกเข้มแข็งในหน้าที่ของตน
สิ่งที่เรียกว่าธรรมกำลังเป็นปัญหา ก็แม้กระทั่งรู้ว่าธรรมคืออะไร ก็ยังเป็นการยากลำบาก จึงเถียงกัน นี้เพราะว่าเราใช้ภาษาต่างๆกัน แม้แต่สิ่งเดียวกันเราก็เรียกชื่อต่างกัน เพราะภาษาต่างกัน เดี๋ยวนี้เราจะทำความเข้าใจกันระหว่างคนหลายชาติ หลายภาษา คำพูดก็ย่อมเป็นปัญหาที่ต้องทำความเข้าใจกันในเบื้องต้น อาตมาจึงตั้งใจที่จะพูด อธิบายหรือ ชี้แนะในสิ่งที่เรียกว่าธรรม ในลักษณะที่จะเป็นที่เข้าใจกันได้ ทั่วถึงกันหมด จึงมีหัวข้อสำหรับจะบรรยายกันในวันนี้ว่า ธรรมมะก็คือวิทยาการแห่งทางวิทยาศาสตร์ของธรรมชาติ พระธรรมนั้นเป็นเรื่องวิทยาการตามวิถีทางวิทยาศาสตร์ และก็ของธรรมชาติ นี่ก็เพื่อให้เข้าใจกันในเบื้องตนซะก่อนว่า มันไม่ใช่ของใคร หรือของพวกหนึ่งพวกใดโดยเฉพาะ มันเป็นของธรรมชาติ เมื่อเราจำเป็นเข้าไปแตะต้องสิ่งนี้ทางวิธีการทางวิทยาศาตร์ เราไม่สามารถจะแตะต้องสิ่งนี้ด้วยวิธีการทางปรัชญาหรืออะไรทำนองนั้น โดยก็ โดยจิตวิทยาที่เราไม่สามารถจะสัมผัสตัวแท้ของสิ่งที่เรียกว่า ธรรม นี้วิธีเดียว คือวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ได้แก่การสัมผัสสิ่งนั้นลงไป ด้วยวิธีการศึกษา พิสูจน์ ทดลอง โดยไม่ต้องมีการคำนวณ ไม่ต้องมีสมมติฐานขึ้นมาก่อนแล้วค่อยคำนวณเพื่อจะหาข้อสรุป เมื่อธรรมะมันเป็นเรื่องของธรรมชาติ เป็นวิทยาการอันหนึ่งที่แตะต้อง หรือต้องกระทำ ต้องดำเนิน ไปด้วยวิถีทางวิทยาศาสตร์ เราจะต้องเข้าถึงธรรมะในลักษณะนี้ เราจึงจะนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ให้มากที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโลกแห่งยุคปัจจุบัน ได้พูดมาแล้วเบื้องต้นว่า เรามุ่งหมายจะทำประโยชน์สูงสุดแก่เพื่อนมนุษย์ ทั่วสากล หรือทั่วโลก อะไรจะเป็นเครื่องมือ ก็ไม่มีอะไรนอกจากสิ่งที่เรียกว่าธรรม สิ่งที่เรียกว่าธรรมมันมีปัญหา คือว่า ต่างคน ต่างพวก ต่างศาสนาก็ต่างมีสิ่งที่เรียกว่าธรรม และมันก็มีแง่เงื่อนเสียอีก ถ้าร่วมกันไม่ได้ ก็มีอยู่ อันนี้เป็นเหตุให้ศาสนาทุกศาสนารวมตัวกันโดยสนิทสนม ซึ่งบำเพ็ญหน้าที่อันสำคัญนี้แก่โลกไม่ได้ อาตมาจึงเห็นว่าการทำความเข้าใจกัน ระหว่างหลัก ลัทธิ ศาสนา หรือธรรมะของศาสนาเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในสมัยปัจจุบันนี้ เราทำสำเร็จ เราทำให้ศาสนาเป็นประโยชน์แก่โลกมากที่สุด ถ้ามีอะไรที่ยังทำความเข้าใจกันไม่ได้ในระหว่างศาสนา เราก็ต้องแก้ปัญหาอันนั้นก่อน ให้ธรรมะในทุกๆลัทธิของศาสนา กลมกลืนกันหรือถึงกับเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ขอให้นึกถึงข้อที่ว่า เรามีปัญหาอันนี้จริงหรือไม่ โดยธรรมชาติของศาสนา ไม่มีการขัดแย้งกัน คือโดยลักษณะแท้จริง โดยเนเจอร์ของสิ่งที่เรียกว่าศาสนานั้น มันไม่มีการขัดแย้งกัน แต่มันมีอะไรบางอย่างนอกไปกว่านั้น ซึ่งจะเรียกว่า เป็นเปลือก เป็นอะไรก็ได้ที่ทำความขัดแย้งกัน เราจะต้องจัดการกับสิ่งเหล่านี้ อาตมาก็มุ่งหมายเอาสิ่งที่จะเป็นตัวกลางหรือเป็นแกนกลาง ที่ให้ทุกศาสนาไปรวมจุดกันได้ที่นั้น สิ่งนั้นก็คือสิ่งที่เรียกว่าธรรมชาติ งั้นวันนี้เราก็จะพูดกันถึงสิ่งที่เรียกกันว่าธรรมชาตินั่นแหละ ยิ่งกว่าสิ่งอื่น เมื่อพูดถึงศาสนา เรามีหลักใหญ่ๆ หลักสำคัญและหลักเบื้องต้นที่ถือว่าขัดกันอยู่ เช่นว่า โลกนี้หรือคนเรานี้มาจากการสร้างสรรค์ของพระเจ้า นี้พวกหนึ่ง พวกหนึ่งว่าโลกนี้คนเรานี้เป็นผลแห่งวิวัฒนาการ โดยไม่เกี่ยว กับพระเจ้า ประเทศไทยเราได้รับลัทธิสั่งสอนว่าโลกนี้พระเจ้าสร้างขึ้นก่อน คือถือว่ากว่าสองพันปีมาแล้ว ชาวอินเดียเข้ามาเป็นครูบาอาจาร์ย ของมนุษย์แถวนี้แถว สุวรรณภูมิ เขาก็มาสอนลัทธิของเขาตามแบบของครูบาอาจาร์ยอินเดียสมัยนั้น ตั้งแต่ก่อนพุทธกาลมา พวกอินเดียเขามีลัทธิถือว่า พระเจ้า หรือพระพรหม เขาใช้คำว่าพระพรหม ก็มี เขาใช้คำว่าอิศระ อิศวร ก็มี เป็นจุดสร้างมนุษย์ สร้างโลก สร้างทุกสิ่งขึ้นมา คนไทยเรา หรือจะเป็นคนชาติไหนก็ตามที่มันเป็นบรรพบุรุษของคนไทย ที่อยู่ที่แผ่นดินนี้ ได้รับคำสั่งสอนนี้ฝังลงไปในจิตใจแล้วว่า ไอ้โลกนี้พระเจ้าสร้างขึ้น ยังถือกันมาบัดนี้ ความรุ้นี้ยังอยู่ ยังเหลืออยู่ ต่อมาเมื่อพุทธศาสนาเกิดขึ้น ก็มีการส่งผู้เผยแผ่พระพุทธศาสนามายังแดนสุวรรณภูมิอีก ก็มาเผยแผ่พระพุทธศาสนาในรูปแบบที่ตรงกันข้ามคือเรื่องอิทัปปัจจยตา มีเหตุ มีปัจจัย เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้ จึงมี เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้ จึงมี ที่เราเรียกว่า ปฎิจสมุปบาท พระพุทธศาสนามาก็มาสอนอย่างนี้แก่บุคคลที่มีความเชื่อถือว่า โลกหรือมนุษย์มีพระเจ้าสร้าง อ่านดูตามเรื่องราวที่ส่งสาวกมาประกาศพระพุทธศาสนาทางนี้มีข้อความที่น่าสนใจอยู่ตอนหนึ่งว่า ต้องมาปราบยักษ์ ปราบผี ปราบอะไรที่ร้ายกาจที่สุดกันก่อน จึงจะสอนพุทธศาสนาได้ อาตมาจึง สันนิษฐานว่าไม่มีอะไรนอกจากมากระทบกันระหว่างลัทธิที่มันต่างกัน จะมาสอนลัทธิอิทัปปัจจยตาหรือลัทธิที่เรียกกันว่าอีโวลูชั่นนี่กับพวกที่มันถือว่าลัทธิที่พระเจ้าสร้างอยู่ก่อนแล้วมันก็กระทบกันอย่างยิ่ง กว่าจะทําความเข้าใจกันได้หรือสอนกันได้นี่ละคือประชาชนคนไทยเรา คือลัทธิพระเจ้าสร้างทุกสิ่งมาเป็นพื้นฐานแห่งจิตใจ ซึ่งต่อมาได้รับความรู้ที่ตรงกันข้าม และมันก็น่าประหลาดอย่างยิ่งที่ว่าเขาถือกันมาได้ เมื่อสนทนากับคนแก่ๆแม้ว่าเร็วๆนี้เขาก็ยังว่าพระเจ้าสร้าง พระทรงสร้าง พระวิษณุควบคุม พระอิศวรทำลายล้าง นี่เป็นคำพูดรุ่นหลังต่อๆมา แต่พร้อมกันนั้นยังถือกรรม เชื่อกรรม ทำดี ๆ ทำชั่วๆ สิ่งทั้งหลายเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยได้ พร้อมกันไป น่าหัวเราะอย่างยิ่งที่ว่าถือศาสนาที่เดียวสองศาสนานั้นพร้อมๆกันไปได้ โดยไม่ต้องทะเลาะวิวาทกัน ปู่ย่าตายายของเราฉลาด เมื่อจะต้องพูดอย่างนี้ก็ต้องพูดอย่างนี้ เมื่อจะต้องพูดอย่างนี้ก็ต้องพูดอย่างนี้ และก็จัดหลีกไม่ให้มันกระทบกันได้ น่าชมเชยในข้อนี้ ท่านถือพระเจ้าและก็ถือกฎแห่งกรรมกันได้พร้อมกันไป และจะเป็นลักษณะอย่างนี้เป็นพิเศษแก่ชนชาติไทยเรื่อยๆมา จนกระทั่งบัดนี้ คนแก่ๆที่เขาสอนสื่อกันมาด้วยปากเขายังเชื่อพระเจ้าสร้าง อยู่นั่นแหละ ถึงแม้ว่าจะมีคำสั่งสอนใหม่ๆออกมาให้รู้วิทยาศาสตร์ ก็ต้องรู้ศาสนา เรื่องที่ยกเลิกพระเจ้า ก็รับได้ เป็นสิ่งที่น่ากลัว นี่เราจะทำอย่างไรดี ในโลกนี้มีศาสนาอยู่กลุ่มหนึ่งที่ยึดหลักมีพระเจ้าสร้าง แล้ววิทยาศาสตร์ก็เกิดขึ้นมาว่าไม่มีพระเจ้า มีแต่การเป็นไปตามกฎแห่งวิวัฒนาการ เห็นเขาเรียกกันในหนังสือบางเล่มว่า เอฟโวลูชั่นนิสคือพวกที่ถือเอฟโวลูชั่น เมื่อมีครีเอชั่นนิสก็ถือว่ามีการสร้างหรือการเนรมิต พอมาเผชิญหน้ากันมันก็พูดกันไม่ค่อยจะรู้เรื่อง เป็นปัญหา อาตมาเชื่อว่าเป็นปัญหาใหญ่ที่เคยเผชิญกันมาแล้ว ในหนังสือเล่มหนึ่ง ในหัวข้อว่ามนุษย์เรามีอยู่ในโลกนี้มาจากการ ครีเอชั่นหรือมาจากเอฟโวลูชั่น หนังสือนั้นพิมพ์ตั้ง 60 ล้านเล่ม น่าตกใจ ที่จะชี้แจงกันในหมู่ชนที่เขาสนใจ หรือว่าจะต่อสู้เพื่อลัทธิศาสนา แต่หนังสือเล่มนี้พิมพ์โดยฝ่ายที่ถือครีเอชั่นคือมีพระเจ้าและมีของขำๆ ที่ว่าโต้แย้งด้วยวิธีที่ประหลาดๆ เช่นว่าถ้าจะเอาเหล็ก อลูมิเนียม ทองเหลือง เอาไม้ เอายาง เอากระจก อะไรมาใส่ถังบาเรนแล้วก็หมุนๆอยู่ตั้งปีหนึ่งมันจะออกมาเป็นรถยนต์บ้างไหมอย่างนี้เป็นต้น นี่เป็นเพราะเรามองกันไปคนละทาง ถ้ามองกันอย่างนี้แล้วก็ไม่มีทางที่จะทำความเข้าใจกันได้ ขอให้มองกันอย่างพุทธบริษัท ถอดรูปแบบของหลักเกณท์ ต่างๆออกมาจากหลักพุทธศาสนา เรายังมีทางที่จะทำความเข้าใจกันได้เกี่ยวกับเรื่องนี้ อาตมามีหลักการเรื่องการตีความของพระคัมภีร์ ในรูปแบบภาษาคนหรือภาษาธรรม เอามาใช้ให้ถูกวิธีเถิด เราจะทำความเข้าใจกันได้เกี่ยวกับเรื่องนี้ อยากจะอวดสักหน่อย ขอโอกาสอวดสักหน่อยว่าบทเขียนของอาตมาที่แปลเป็นภาษาอังกฤษนะ ที่ได้รับความสนใจมากที่สุดก็คือ บทความในหนังสือเรื่อง “ ภาษาคน ภาษาธรรม “ ในทวีปยุโรปเนี่ยมีคนสนใจกันมาก แปลเป็นภาษาอื่นๆออกจากภาษาอังกฤษก็มี คนเหล่านั้นเชื่อว่า นี่เป็นวิธีที่เราจะทำความเข้าใจกันได้ระหว่างศาสนา หมายความว่าเราไม่ถือเอาตามนั้น ตามตัวหนังสือทุกอักษร หรือว่าเราถือ ต้องถือใจความให้ถูกต้อง ไม่ถือตามตัวอักษร หลักอันนี้เขาใช้มา ในกลุ่มพุทธศาสนาว่า ตัวอักษรไม่สำเร็จประโยชน์ ความหมายสำเร็จประโยชน์ มันต้องเอาความหมาย ให้ถูกต้อง ไม่เอาตัวอักษรหรือตัวพยัญชนะเป็นหลักเกณท์ ภาษาธรรมเป็นความหมายที่ละเอียด ลึกซึ้ง อยู่เบื้องหลังของตัวอักษรซึ่งเป็นภาษาคน คำว่าพระเจ้าสร้างหรือว่าเป็นไปตามกฎของวิวัฒนาการ สองอย่างนี้ พยายามถือเอาความหมายให้ถูกต้อง เท่าที่อาตมาได้ศึกษามา ก็รู้สึกว่าพระเจ้าตามที่กล่าวไว้ในคัมภีร์ไม่ได้สร้างโลกในพริบตาเดียวเป็นโลก อย่างคัมภีร์ เยเนซีสไบเบิลนี้ ก็พระเจ้าใช้เวลาตั้ง 6 -7 วันและสร้างตามลำดับ ๆ นี่ไม่ได้สร้างในพริบตา เดียวมาเป็นโลกอย่างสมบูรณ์ และก็ยังมีระยะการที่ปล่อยทิ้งให้มันเพิ่มเติมให้มันงอกงามขึ้นมาอีกและก็ยังสร้างเดอะไล๊น์ วันแรก และวันที่สี่ ที่ห้า ถึงสร้างดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ นี่หมายความว่ามี ไล๊น์ อะไรอันหนึ่งซึ่งไม่ใช่แสงอาทิตย์ แสงจันทร์ ไม่ใช่พลังงานของโลกที่นักวิทยาศาสตร์เรียก ไอ้ไล็น์ นั่นเองตามความรู้สึกของอาตมาว่า มันกฎอันทรงอำนาจของวิวัฒนาการ ท่านสร้างเป็นวันแรกและก็สร้างน้ำ สร้างดิน สร้างอะไรต่างๆ กระทั่งตอนสุดท้าย จึงสร้างสัตว์ สร้างพืช สร้างมนุษย์ มนุษย์ก็ไม่ได้จะสร้างทีหลังกันหมด เลือกสร้าง อาดัมกับอีฟ นี่แสดงว่าครีเอชั่นนั้นไม่ใช่สิ่งที่ทำในพริบตาเดียวต้องมีระยะกาล เป็นช่วงๆ เป็นยุคๆ คำว่า เดอร์ เวิล์ด แอด เดอะ บีกินนิ่งเดอะ เวิล์ด วอเตอร์ ของคัมภีร์โยฮัน บุคออฟโยฮัน คัมภีร์ใหม่นั้นนะ ถือว่ามีอยู่ก่อนพระเจ้า เพราะถ้าคำว่าแรกเริ่มเดิมทีมี มีแต่เดอะเวิล์ด ได้อยู่กับพระเจ้า แล้วมาเป็นพระเจ้าเสียเองตอนหลัง ไอ้เวิล์ดอันนี้เข้าใจว่าเป็นกฎ อันมีอำนาจสูงสุดแห่งวิวัฒนาการหรือกฎวิวัฒนาการ มันก็ต้องมี ไอ้สิ่งที่มีอำนาจสูงสุดในฐานะเป็นกฎอยู่ก่อนและสิ่งต่างๆก็เป็นไปตามกฎ นี่เราเรียกว่าตีความ หมายโดยภาษาธรรมไม่เอาตามตัวหนังสือ เพราะว่าเดอะเวิล์ด เดี๋ยวนี้มันแปลว่าพระธรรมหรือคำพูด ชาวบ้านฟังไม่รู้เรื่อง เดอะเวิล์ดนั่นคือคำบัญชา บัญชาของอะไร บัญชาของกฎ กฎอะไร กฎของธรรมชาติ ของวิวัฒนาการ สร้างให้สิ่งต่างๆเป็นไปตลอดเวลาไม่อยู่นิ่ง ขอให้เข้าใจคำว่ากฎ กฎวิทยาศาสตร์ กฎอะไร ก็ตาม มันเป้นสิ่งที่มีอำนาจสูงสุด ไม่มีอะไรจะไปสู้มันได้ มันบังคับให้สิ่งต่างๆคงที่อยู่ไม่ได้ให้ต้องเป็นไปตามกฏ งั้นช่วงเวลาล่วงไปวินาทีหนึ่งมันก็ต้องเปลี่ยนไปวินาทีหนึ่ง การเกิดใหม่ก็ต้องเปลี่ยนไปตามที่มัน ก่อนหลังกันอย่างไร ถ้าเราเข้าใจคำว่าเดอะไล๊น์ในคัมภีร์เยเนซีส ถ้าเข้าใจความว่า เดอะเวิลด์ในบุคออฟโยฮัน คงจะเข้าใจเรื่องวิวัฒนาการได้ สรุปความได้ว่าพระเจ้าไม่ได้สร้างสิ่งเหล่านี้โดยพริบตาเดียวแต่ได้ แต่ได้เป็นไปตามยุคๆ เรามาเปรียบเทียบกันดูระหว่างการสร้างกับการเป็นมาโดยวิวัฒนาการ อยากจะเล่าเรื่องน่าหัวหรือชวนหัวว่า กฎ อาตมาบอกเพื่อนฝูงที่เป็นฝรั่งที่เขามาถามว่า พุทธศาสนามีสอนไหม มี แต่เราเรียกมันสั้นไป ที่เรียกว่า กฎ คำว่า กฎ คุณออกเสียงให้ยาว มันก็เป็นกอด เลยหัวเราะกันใหญ่ เรามีกฎนั่นแหละเป็นกอด กฎของธรรมชาติทั้งหลายโดยเฉพาะอย่างยิ่ง กฎปฎิจสมุปบาท อิทัปปัจยตา ก็คือกฎที่จะเป็นพระเจ้า ในความหมายแต่ครั้งก่อน เดี๋ยวนี้เรามันยังรวมกันไม่ได้ในข้อที่ว่าจะเป็น ครีเอชั่นหรือจะเป็นเอโวลูชั่น แต่เรารวมกันได้ในความหมายอันหนึ่งว่าเราต้องมีจุดตั้งต้นที่เรียกว่า เดอะเฟิร์ส คอส (The First Cause ) หรือปฐมเหตุ เดอะเฟิร์ส คอส เหตุตัวแรก มีพระเจ้าเป็นเหตุตัวแรกก็ได้ มีกฎแห่งวิวัฒนาการเป็นเหตุตัวแรกเป็นปฐมเหตุก็ได้ อันนี้มันมารวมกัน ใช้วิชา ลอจิกหรือปรัชญามาช่วยหน่อยก็จะสรุปได้ว่าทั้งสองพวกมีปฐมเหตุ พวกที่ถือพระเจ้าสร้างก็มีพระเจ้าเป็นปฐมเหตุ พวกที่ถือว่ามีเอฟดวลูชั่นมันก็มีจุดตั้งต้นที่เป็นปฐมเหตุ เมื่อพูดอะไรไม่ออก มันก็ไปหยุดอยู่ที่กฎแห่งวิวัฒนาการว่าเป็นปฐมเหตุ นี่เราเข้ามากันคนละครึ่งทางแล้ว เรามาพบกันได้ว่า เรามีปฐมเหตุจบกันหรือร่วมกัน เอาทีนี้ เดี๋ยวนี้ ปัจจุบันนี้มันได้มีมนุษย์เกิดขึ้นแล้ว มันก็ต้องมาจากปฐมเหตุมันถึงจะเป็นอันเดียวกันได้แต่กริยาที่มันมานั้น มันจะเป็นครีเอชั่นหรือจะเป็นเอฟโวลูชั่น นี่มัน มันไม่เป็นไร นั้นจะมาด้วยวิธีไหนก็ตามใจ แต่มันได้ออกมาแล้วจากปฐมเหตุ แล้วเดี๋ยวนี้ก็มามีมนุษย์ อยู่เต็มไปทั้งโลก นี่เรียกว่า ถ้ามองกันในแง่ของปรากฎการณ์ ปัจจุบันนี้ก็มีมนุษย์อยู่เต็มโลกแล้วมาจากปฐมเหตุ ถ้ามองในแง่ของการเมือง มันก็มีได้มนุษย์อยู่แล้วในโลก ปัญหาทางการเมืองมันก็ได้เกิดขึ้นแล้ว ปัญหาก็จะเหลืออยู่แต่ที่ว่า จะจัดการกับมนุษย์ที่ได้มีอยู่แล้วในโลกอย่างไรต่างหาก มนุษย์จะมีมาโดยครีเอชั่นหรือมาโดยเอฟโวลูชั่น ไม่มีปัญหาแล้วเลิกเถียงกันได้แล้ว และมันยอมรับได้มาจากปฐมเหตุซึ่งเป็นอันเดียวกันแน่ และก็มาเป็นมนุษย์อยู่ในปัจจุบันนี้ เต็มไปด้วยปัญหาในโลกและจะมาเถียงกันในเรื่องครีเอชั่นหรือเอฟโวลูชั่นนั้นไม่มีประโยชน์อะไร มันเลิกเถียงกันได้ ยกปัญหามาวางไว้ ตรงที่ว่าเมื่อมนุษย์ มันมีอยู่แล้วอย่างนี้ เราจะต้องทำอย่างไรแก้ปัญหานี้ไปได้ แล้วนี่จะเป็นหนทางให้ทุกศาสนามาจับมือกันได้เพื่อจะจัดการ ปัญหาที่ว่า เดี๋ยวนี้มนุษย์ได้มีอยู่แล้วในโลกในสภาพอย่างนี้ ซึ่งมีแต่วิกฤติการณ์ไม่มีสันติภาพ แล้วจะทำอย่างไร ปัญหาที่จะให้เกิดความขัดแย้งตัดทิ้งไปหมด มันไม่สำคัญอะไร เพราะปัญหาใหญ่มันตกลงกันได้แล้ว มันออกมาจากปฐมเหตุ มาเป็นมนุษย์อยู่ก็กำลังเป็นปัญหาอยู่ ต้อง รีบสะสางปัญหานี้ ถ้าไม่ทำอย่างนั้นแล้ว มนุษย์ก็จะวินาศ มนุษย์ก็จะต้องตายหมด ไม่สมความประสงค์ของพระเจ้า ที่จะสร้างมนุษย์ ให้.........31m 02.7s ถ้ามัวเถียงกันอยู่อย่างนี้ ไม่ยอมตัดปัญหาเฉพาะหน้าอย่างนี้มนุษย์จะวินาศ แล้วจะเอาเหตุผลทางศาสนาที่ว่าพระเจ้าสร้าง หรือวิวัฒนาการเป็นมา มาเถียงกัน เราก็ไม่มีทางจะเป็นมิตรกันได้ นั้นควรเอาอย่างปู่ย่า ตายายในเมืองไทย เขาถือศาสนาสองอย่างพร้อมกันได้ คือถือพระเจ้าสร้าง พร้อมทั้งกับถือหลักปฎิจสมุทรปบาทได้ มันก็เลยอยู่กันมาได้ มีนิทานธรรมะในพุทธศานาอยู่เรื่องหนึ่ง ซึ่งควรจะเอามาสนใจ ว่าคนๆหนึ่งเขาถูกยิงด้วยลูกศรอาบยาพิษ เจ็บปวดจะขาดใจตายอยู่แล้ว คือเขาไม่ยอมให้หมอรักษาถ้าว่ายังสืบทราบไม่ได้ว่า ใครยิงเขา ยิงเพราะเหตุอะไร ยิงด้วย คันศร ชนิดไหน สายทำด้วยอะไร คันทำด้วยอะไร ลูกศรทำด้วยอะไร อาบยาพิษอะไรไม่ทราบ ยังไม่รู้ ข้อเท็จจริงเหล่านี้ หมดแล้ว เขาไม่ยอมให้รักษา งั้นเขาก็ตายปล่าว เขาไม่ยอมให้รักษา เนี่ยเรา เดี๋ยวนี้เป็นมนุษย์ ในโลกเรียกว่ากำลังถูกสอน มันเจ็บปวดนี่ มันจะตายอยู่มะรอมมะร่อแล้ว อยู่กันมา ขัดแย้งกันก็แค่ว่าโลกนี้พระเจ้าสร้างหรือ โลกนี้เป็นเอฟโวลูชั่น มันเป็นส่วนๆ พอเรามาเถียงกันอย่างนี้ มนุษย์ก็ต้องตายอย่างหมดแน่ ไม่มีการรักษาเยียวยาอะไร เราจะต้องมุ่งการรักษาเยียวยาให้รอดตายไปได้ โดยที่ไม่ต้องไปตอบปัญหาว่าไอ้โลกนี้พระเจ้าสร้างหรือผลิตผลของวิวัฒนาการ นี่อาตมาเห็นว่าวิถีทางมีอยู่อย่างนี้ ที่เราจะทำความเข้าใจระหว่างศาสนา ทีนี้ อาตมาก็อยากจะ ค่อยๆให้ทราบถึงความคิดอันหนึ่งว่า คำว่าครีเอชั่น สร้างโลกนี้ มันจะต้องมีลักษณะ เหมือนกับสร้างขึ้นมาอย่างเนรมิต ในพริบตาเดียว ลัทธิในอินเดียเขาก็สอนอยู่ก่อนพุทธกาล แล้วในครั้งพุทธกาล แม้กระทั่งต่อมา โดยถือว่ามีพระเจ้า เขาจะเรียกชื่อพระเจ้าว่าอะไร ก็เปลี่ยนไปเรื่อย ในบาลีแท้ ๆ ที่มีอยู่ในพระไตรปิฏก จริงๆ จะเรียกว่า ....33m58s .ผู้เป็น ... แต่ที่เรียกอย่างมีความหมายสุดก็เรียกว่าอิศระ โดยภาษาบาลี เป็นอิศระ อิศรภาพ คำนี้อิศระ ในภาษาสันสกฤต อิศระนิมานเหสุข เหตุเพราะอิศระ เนรมิตรขึ้นมา 34 m 15.2s ทีนี้ทางเอโวลูชั่นมันก็ไม่เป็นอย่างนั้น ไม่มีอิศระไรสร้างขึ้นมานอกจากกฎของธรรมชาติ หรือกฎวิวัฒนาการ มันก็คือกฎปฎิจสมุทปบาท ถ้าสนใจก็ไปศึกษาเรื่อง ปฎิจสมุทปบาทและอิทัปปัจยตาให้เป็นที่เข้าใจแจ่มแจ้ง นี่มานึกถึงกฎปฎิจสมุทปบาท นี่ มันยังพบได้สองความหมาย คือกฎปรุงแต่งอย่างปฎิจสมุทปบาทนั้นเป็นไปอย่างฉับพลันก็มี เป็นไปอย่างเฉื่อยฉาก็มี คือเป็นไปอย่างเอื่อยๆ ไปก็มีสิ่งที่เป็นไปตาม กฎอิทัป ปัจยตาหรือกฎปฎิจสมุทปบาท มีทั้งอย่างชนิดฉับพลัน ชนิดที่ค่อยๆไปตามลำดับ ไอ้กฎปฎิจสมุทปบาทที่เป็นไปอย่างฉับพลันนั้นแหละ มันมีความหมายอย่างเดียวกับพระเจ้าเนรมิต พระเจ้าสร้าง พระเจ้าเนรมิต อิศระนิมานเหสุข เหตุแห่งอิศระ เนรมิต งั้นในกฎของปฎิจสมุทปบาท งั้นมันมีอาการที่เรียกว่าครีเอชั่น คือสร้างขึ้นอย่างเนรมิตได้ในพริบตาเดียว นี่ไม่ใช่เรื่องสร้างขึ้นเอาเอง แสดงอยู่ในพระคัมภีร์มีเหตุผลว่า อาการปรุงแต่งของปฎิจสมุทรปบาทนั้น มีได้ อย่างฉับพลันทันทีและอย่างค่อยเป็นค่อยไป มันโดยกฎนี้ก็มารวมกันได้ว่ามี ครีเอชั่น ในเมื่อมันเป็นไปอย่างฉับพลัน ในเมื่อมันเป็นไปอย่างฉับพลัน และเป็นไปอย่างเอื่ยยๆก็คือเป็นได้ เอฟโวลูชั่น โดยกฎปฎิจสมุทรปบาทนี้ สิ่งที่เรียกว่าครีเอชั่นกับเอฟโวลูชั่น ก็เป็นอันเดียวกันได้ เป็นสิ่งเดียวกันได้ แล้วก็หมดปัญหากันซักทีว่าโลกนี้มาจากอะไร มนุษย์มาจากอะไร ธรรมะมาจากอะไร สัจจะมาจากอะไร นี่ข้อที่นำมาปรึกษาทีแรก คือว่า ทุกศาสนา ไม่มีข้อขัดแย้งโดยธรรมชาติ ข้อขัดแย้งเกิดขึ้นเพราะมนุษย์ ครั้งหลังๆอธิบายอะไรบางอย่าง ให้มัน มันเควก ไป 36.49.8 และก็ยืนยันส่วนใดส่วนหนึ่งมากเกินไป ไม่เพ่งเล็งไปสู่ใจความหรือธรรมชาติอันแท้จริงของสิ่งนั้นๆ หรือของพระธรรมนั้นๆ ซึ่งจะทำให้เป็นอันเดียวกันได้ โดยความรู้สึกของอาตมาและก็ได้เคยกล่าวไปหลายครั้งหลายหนแก่คนหลายคนไปแล้วว่า พระศาสดาทั้งหลาย เป็นเพียงปากเท่านั้น ส่วนตัวจริง เจ้าของเสียงนั้นคือสิ่งสูงสุด ซึ่งจะเรียกอะไรก็แล้วแต่ .....37.33.9 จะเรียก สำหรับพระเจ้าเป็นสิ่งสูงสุด พระเยซูก็เป็นเพียงปากของพระเจ้า พระโมฮัมมัดก็เป็นเพียงปากของพระเจ้า พระพุทธเจ้า ก็เป็นเพียงปากของพระเจ้า ศาสดาของคริสต์ของ......37.55.9 .เป็นปากของพระเจ้าที่พูดแต่เรื่องที่เหมาะสม ต่อคนที่นั้นยุคนั้นเวลานั้นเท่านั้นและไอ้สิ่งสูงสุดนั้นคืออะไรนะขอให้สนใจ ว่าสิ่งสูงสุดนั้นถ้าพูดกันเดี๋ยวนี้ประหยัดเวลาก็พูดว่า กฎของเอฟโวลูชั่นหรือกฎ ........ 38.18.8 นั่นเอง เราสามารถจะทำให้ครีเอชั่นกับเอฟโวลูชั่นเป็นสิ่งเดียวกันได้ โดยกฎของ ปฎิจสมุทปบาท กฎสูงสุดของทุกสิ่งที่เรียกว่ากฎของสากลของจักรวาล มีอำนาจเหนือสิ่งทั้งปวงคือพระเจ้า ที่ท่านพูดมาทางปากต่างๆ ทางพระศาสดาองค์นั้น องค์นี้ ตามยุคสมัยต่างๆกันในแผ่นดินที่ต่างๆ กัน ไอ้คนเหล่านั้น มันมีพื้นเพ ต่างๆกันก็ต้องพูดต่างๆกัน แต่เรื่องที่พูดนั้นตรงกันหมดแหละ กล้าพูดอย่างนี้เลย ว่าเสียงที่พูดออกมาจากปาก ปากไหน อย่างตรงกันหมด ตรงที่มีความมุ่งหมายจะดับทุกข์ รู้จักปัญหาของมนุษย์ ไม่ว่าศาสนาไหนจะจุดมุ่งหมายที่จะดับทุกข์ของมนุษย์ทั้งนั้น ถ้าพูดอย่างไม่เกี่ยวกับศาสนา แต่ว่าให้มนุษย์มันได้รับสิ่งที่ดีที่สุด ที่มนุษย์ควรจะได้รับ งั้นเดี๋ยวนี้เรามาเลิก มาเลิกพูดถึงสิ่งอื่นกันเสียทีก็ได้ จะพูดถึงสิ่งเดียวอะไรคือสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ และจะต้องมองลงไปที่ปัญหาว่ามนุษย์กำลังมีปัญหาอะไร หรือปัญหาที่ปัญหาคือสิ่งที่เราไม่ปราถนา ปัญหาคือสิ่งที่เราไม่ปราถนาคือสิ่งที่ทำอันตรายเรา รบกวนเรา เราเกียจเราชัง เราอยากให้หมดไปเสีย ปัญหานั้นคืออะไร เราจะขจัดปัญหานั้นอย่างไร เรามาระดมทุมเทกันทุกคนเพื่อจะขจัดปัญหานี้ ตามวิธีที่ตนชอบ ตามวิธีที่พระศาสดาหลายๆองค์ได้บอกไว้แล้วอย่างไร ตามแบบฉบับนั้นๆ จะถือเอาความแตกต่างของตัวหนังสือเป็นหลักไม่ได้ เอาความ หมายอันแท้จริงที่มันจะตรงกันหมดทุกศาสนามาเป็นหลัก แต่อยากยังอยากจะยืนยันว่าตัวหนังสือในพระคัมภีร์ถ้าแปลความหมายถูกต้องตามหลักวิธีของภาษาธรรมแล้วจะตรงกันหมดเหมือนกัน อาตมาเคยคิด เคยพยายาม เคยสอดส่อง ว่าคัมภีร์ไบเบิลนี่ ถ้าเราตีความหมายตามทางของภาษาธรรมแล้วก็เป็นพุทธศาสนาทั้งดุ้นเลย ไม่มีอะไรที่ขัดแย้งกับพุทธศาสนา ถ้าใครจะพูดว่า ถ้าตีความหมายทางภาษาธรรมแล้วก็คัมภีร์ไบเบิลจะน่ารัก น่าอ่าน น่าพอใจยิ่งกว่าที่พูดกันตามตัวหนังสือตรงๆ ในปัจจุบันนี้เสียอีกเป็นอย่างนี้ นี่พวกลังกาเขาเลยระดมด่ากันมาเป็นการใหญ่ อาตมาพูดทำนองที่ ลดเกียรติ์ศาสนาตัวเองไปยกย่องศาสนาอื่น เขาเขียนด่าอย่างหยาบคาย อาตมาก็ไม่ได้เปลี่ยนความคิดอันนี่ ยังมีความคิดที่จะทำความเข้าใจระหว่างศาสนาโดยวิธีการอันนี้อยูเรื่อยไปเพราะมองเห็นชัดว่า ทุกศาสนามุ่งจะขจัดปัญหาของมนุษย์ เดี๋ยวนี้นึกถึงไอ้ข้อขัดแย้ง ไอ้เปลือก ไอ้เสก็ด ไอ้กระพี้ต่างๆ ที่มัน สีสันต่างๆ อะไรต่างๆ เลิก เลิกคิดได้ คิดแต่ว่าจะขจัดปัญหาของมนุษย์ทั้งหมดทั้งสากลจักรวาลนี้โดยวิธีใด
นี้เราก็มาถึงสิ่งที่เรียกว่าธรรมหรือพระธรรม เรารู้เรื่องพระธรรมซึ่งเป็นทุกสิ่ง และเรื่องที่เป็นทุกสิ่งได้แล้วก็จะพบตัวปัญหา ตัวของแก้ปัญหาโดยทุกอย่างอยู่ในคำๆเดียวว่าธรรม จึงขอให้ท่านที่ยังไม่ทราบโปรดทราบซะด้วยว่าคำว่าธรรม เนี่ยจะเป็นคำที่ประหลาดที่สุดในบรรดาคำที่มีอยู่ในภาษามนุษย์ คำว่าธรรมคำเดียวนี่มันหมายถึงหมด ไม่มี ทุกสิ่งหมดไม่ยกเว้นอะไรแม้แต่พระเจ้า สูงสุดก็รวมอยู่ในคำว่าธรรม แม้แต่สิ่งที่พระเจ้าสร้างขึ้นก็รวมอยู่ในสิ่งที่เรียกว่าธรรม แม้แต่การงานการกระทำของมนุษย์ ผลดี ผลร้ายอะไรของมนุษย์เขาเรียกว่าธรรม มันเป็นคำที่ประหลาด เป็นทั้งจักษุปรารภ ธรรมปรารภ กรณียปรารภ 42.57.6 เป็นหมดเลยคำว่าธรรมคำเดียว เลยมีผลออกมาว่าแปลเป็นภาษาอะไรไม่ได้ นักศึกษาทางภาษาก็ได้พยายามแปลคำว่าธรรมออกเป็นภาษาอังกฤษด้วยเจตนา เขาแปลได้ถึง 32 คำหรือ 40 คำ เป็นภาษาอังกฤษ ก็ยังไม่หมดความหมายคําว่าธรรม ก็เลยยอมแพ้ ไม่ต้องแปลคำว่าธรรมออกมาเป็นภาษาอังกฤษหรือเป็นภาษาอื่นใด เช่นเดียวกับภาษาไทย ไม่แปลคำว่าธรรม เอาแต่ว่าธรรมมาใช้ภาษาไทยเสียเลย และเราก็ต้องศึกษาสิ่งที่เรียกว่าธรรม มันเป็นสิ่งประหลาด น่าประหลาด มหัศจรรย์นี้ให้เป็นที่เข้าใจ และก็จะตัดปัญหาได้ถ้าตัวปัญหาก็คือสิ่งที่เรียกว่าธรรม ไอ้ผู้ที่จะตัดปัญหาก็คือสิ่งที่เรียกว่าธรรม ไอ้อาวุธที่จะตัดปัญหาก็เรียกว่าธรรม ผลที่ได้ก็เรียกว่าธรรม ผลที่เสียก็เรียกว่าธรรม อะไรก็เรียกว่าธรรม งั้นมาเข้าใจคำว่าธรรมกันในทุกความหมายเถอะแล้วจะเข้าใจทุกอย่างที่กำลังเป็นปัญหาจะจัดการให้ได้ตามที่เราปราถนา เดี๋ยวนี้อยากจะพูดอย่างธรรมดาสามัญที่สุดก่อนไม่เกี่ยวกับศาสนา ถ้าเรามีปัญหาอย่างไร มนุษย์ทุกคนนี่มีอะไรเป็นปัญหาของตน คือตนยังไม่พอใจอะไร เนี่ยเป็นปัญหา ในที่สุดก็พบว่ามีปัญหาด้วยกันทั้งนั้น จนกระทั่งพูดได้ว่าถ้ามีชีวิตอยู่ ก็ต้องมีปัญหา ต้องกิน ต้องอาบ ต้องถ่าย ต้องทำการงาน ต้องบริหารกาย ต้องทำทุกอย่าง เพื่อให้ชีวิตมันอยู่ได้มันก็เป็นปัญหา อย่างน้อยก็มีความเกิด ความแก่ ความเจ็บไข้ ความตาย รบกวน มันก็มีปัญหา นี่ก็เรียกว่าความทุกข์ก็ได้ ถ้าจะเรียกเป็นวิทยาศาสตร์เสียหน่อยก็จะเรียกว่าปัญหา ที่นี้เราจะตัดปัญหาได้อย่างไร ท่านทั้งหลายที่นั่งอยู่นี่ว่าท่านมีอิศระที่จะคิดว่าท่านจะตัดปัญหาอย่างไร อาตมากล้าพูดว่าถ้าท่านตัดปัญหาของท่านได้มันก็จะเป็นตรงกับคำสอนของพระศาสดา และคำสอนของพระศาสดาทุกๆศาสนามันจะตัดปัญหาได้ ที่ท่านไม่เชื่อพระศาสดาเหล่านั้น ท่านไปคิดของท่านเอง ถ้าท่านเกิดตัดปัญหาขึ้นมาได้ แล้วมันจะไปตรงกับคำสอนของศาสดานั้นๆ อย่างเหมาะเจาะทีเดียว ท่านจะตัดปัญหาของท่านอย่างไร เราก็เกิดแก่เจ็บตายอยู่อย่างนี้ มีอะไรที่ไม่เป็นไปตามที่เราหวัง เราต้องการอยู่อย่างนี้ จะต้องทนอยู่อย่างนี้ต่อไป อย่างน้อยพอไม่เท่าไร ก็มีความเจ็บ ความใคร่ ความชราครอบงํา มีครอบครัวก็ล้วนแต่ไม่เป็นไปตามที่เราต้องการ จะต้องต่อสู้กับปัญหาอยู่เรื่อยไป แม้ว่าจะมีครอบครัวที่ดีหน่อย มันก็ยังมีปัญหาไปตามแบบที่มันดีหน่อย เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่ต้องเป็นไปตามกฎของธรรมชาติ เหมือนพระเจ้าถูกสาบ มันทำบาป มีบาปย่อมเดินมา ถ่ายทอดกันมา ต้องมีปัญหา มีความทุกข์ มนุษย์คนแรกได้รับบาปอันนี้มาจากการทำผิด มนุษย์ต่อมาก็ต้องมีความยึดมั่นถือมั่น เป็นกิเลส เป็นความทุกข์ เป็นความยึดมั่นถือมั่น อยุ่ตลอด กี่ร้อยศตวรรษจนบัดนี้ จะตัดปัญหานี้อย่างไร มันเหนือความสามารถของท่าน ท่านจะตัดมันอย่างไร นี้ก็มีคนอาจจะคิด หรือชวนท่านว่า เรามาฆ่าตัวตายกันเอาไหม มันจะได้หมดปัญหาเสียที เอาไหม ที่นั่งอยู่นี้ เอาไหมเราฆ่าตัวตายเสียเดี๋ยวนี้ ก็คงจะมีใครเอาแต่เมื่อไม่นานมานี้อ่านหนังสือข่าวหนังสือพิมพ์ว่ามีพวก ลัทธินิกายอะไรนะ นิกายแซมเปิล 47.31.1 ชวนไปกินยาพิษตายไปหลายๆพันคน นั้นแหละ เขาคงมีความคิดอย่างนี้ ตัดปัญหาต่างๆด้วยการฆ่าตัวตาย เขาเป็นคริสเตียน เขานับถือ ท่าน....................47.45.9 เชื่อว่าพระเจ้า โกรธ เขารัก เขาตายลงไปต้องไปดี ไปอยู่กับพระเจ้า เพราะฉนั้นจะมามัวรีรอทนทุกข์อยู่ที่นี้ทำไม แล้วก็ชวนกันไปกินยาพิษตายก็ไปอยู่กับพระเจ้า เขาตัดปัญหาอย่างนี้ถูกหรือผิดก็ตามใจ แต่เราเห็นว่ามันไม่ตรงกับพระประสงค์ของพระเจ้าที่จะให้คนตัดปัญหาด้วยการฆ่าตัวตาย พระเจ้าต้องการอย่างอื่น แต่มีคนหา ทางออกอย่างนั้นมันก็เป็นไปได้และมันก็ดูจะง่ายดี พอโมโหขึ้นมาก็กินยาตายปัญหาก็หมดกัน ก็มีคนเคยทำนะ ไม่ใช่ไม่มีใครทำ แต่ว่ามนุษย์ทั้งหมดในโลกนี่ตัดปัญหาโดยวิธีฆ่าตัวตาย มันจะง่ายและมันจะโง่ มากไปนั้น และมันต้องนึกถึงข้อนี้ ทีนี้มัน มันก็ต้องมีสิ่งจะต้องเลือกเอาอีกอย่างหนึ่ง เมื่อเราจนปัญญาไม่รู้จะตัดปัญหาอย่างไรแล้ว เราต้องมีจุดหมายว่าเราจะอยู่กันอย่างไรที่เรียกว่าไม่มีปัญหา หรือจะเป็นความไม่เข้าใจ เป็นอวิชชา เป็นความโง่ที่น่ากลัวอีกอันหนึ่งก็ได้ เขายอมให้เราเลือก พระเจ้ายอมให้เราเลือกว่าเอาอย่างไร อยู่อย่างไร ต้องการอย่างไรบอกมา เราก็ยังจนปัญญาไม่รู้จะเอาอย่างไร จะอยู่อย่างไร แม้ว่าเราจะศึกษาศาสนามาเรื่อยๆ ต่างคนต่างมีศาสนา ศึกษากันมามาเรื่อยๆ เราก็ไม่รู้ว่าจะเอาอย่างไรกันแน่ มันได้แต่ตอบตามธรรมเนียม ตามประเพณี ว่าดีที่สุด สูงสุด ไปแล้วก็ไปนิพพาน มันหลับตาพูดก็ได้ พูดอย่างโง่เขลาที่สุดก็ได้หรือ ตายแล้วไปอยุ่กับพระเจ้าก็ได้ พูดได้ พูดตามตัวหนังสือมันก็พูดได้แต่ไม่รู้ว่ามันมีความหมายอย่างไร ไปอยู่กับพระเจ้า มันต้องมีความหมายซิ คือมันหมดปัญหานะ มันต้องอยู่ที่หมดปัญหา หมดความทุกข์ หมดสิ่งที่รบกวนจิตใจ ไม่มีปัญหาเนี่ย เรียกว่าไปอยู่กับพระเจ้า มีผลอย่างนั้น เป็นที่พอใจอย่างยิ่ง ถ้าจะเอาผู้ตอบว่า ไปอยู่ ไปนิพพาน บรรลุนิพพานเป็นตัวปราถนา มันก็ต้องรู้ว่า นิพพานนั้นคืออย่างไร เดี๋ยวนี้ลูกเด็กๆ ได้รับการสั่งสอนจากการศึกษาที่โง่เขลา มันสอนแต่เพียงว่านิพพานคือความตายของพระอรหันต์ ในชั่วโมงเรียนราชาศัพท์ หมาตายเรียกว่าอะไร ช้างตายเรียกว่าอะไร คนตายเรียกว่าอะไร ขุนนางตายเรียกว่าอะไร นายพลตายเรียกว่าอะไร พระเจ้าอยู่หัวตายเรียกว่าอะไร พระพุทธเจ้าตายเรียกว่าอะไร นี่ ไอ้คำเหล่านั้นกลายว่าแปลว่าตายไปหมด ปรินิพพานแปลว่าตาย ถ้าให้ พระอรหันต์ พระพุทธเจ้า 50.49.6 มันเป็นคำสั่งสอนที่ผิด ที่สุดที่บ้าบอที่สุด ที่โง่เขลาที่สุด เพราะคำว่าปรินิพพานไม่ได้แปลอย่างนั้น ยืนยันได้เลย เอาพระบาลีมาดู มันมีประโยคอยู่ประโยคเดียวเท่านั้นก็พอแล้วที่พูดว่า ปรินิพพุทโธโสภควา ปรินิพพานายามะธรรมมังเกเสติ 51.15.3 พระพุทธเจ้าปรินิพานแล้ว ปรินิพพุทโธโสภควา พระผู้มีพระภาคปรินิพานแล้ว ปรินิพพานายามะธรรมมังเกเสติ ย่อมทรงแสดงพระธรรมเพื่อปรินิพพาน ตายแล้วแสดงธรรมได้เหรอ ท่านปรินิพพานแล้วยังมานั่งแสดงธรรมเพื่อให้คนทั้งหลายปรินิพพานอยู่อีก คำว่าปรินิพพานมันไม่ได้แปลว่าตาย ทำไมมาสอนเด็กๆให้โง่ ให้เขลาว่า ปรินิพพานแปลว่าตาย ใช้กับพระอรหันต์ มันยังโง่เขลาที่สุดที่ใช้คำว่าตายแก่พระอรหันต์ พระอรหันต์หรือพระพุทธเจ้าต้องไม่ตายนะ ถ้ายังตายไม่เป็นพระอรหันต์ ไม่เป็นพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ขึ้นไปต้องไม่ตาย ต้องไม่มีตาย ไม่มีคำว่าตาย จะไปใช้กับท่าน ไม่มีคำว่าตาย จะไปใช้แก่พระอรหันต์ แต่คำว่าปรินิพพานมันก็ได้ เพราะคำว่าปรินิพพานแปลว่าเย็นสนิท เย็นสนิท นิพพานะ แปลว่าดับ เย็น ปริก็ถึงที่สุด นะ เอามาจากภาษาชาวบ้านอะไรที่มันร้อนแล้วมันเย็นลงแล้วก็เรียกว่าปรินิพพาน ควรจะเข้าใจจุดหมายปลายทางหรือสิ่งสูงสุด ตามแบบของพระพุทธศาสนา ดีที่สุดที่คนต้องการนั้นคืออะไร มันกลายเป็นเรื่องนี้ แหละคือเรื่อง ปรินิพพาน คือเย็นสนิท และต้องมีความรู้เรื่องความเย็นสนิทและอยู่ด้วยความเย็นสนิท นั้นแหละ สิ่งสูงสุดที่ควรปราถนาที่จะดับปัญหาทั้งปวงได้ อยากจะบอกให้ทราบว่า ไอ้คำธรรมะในทางศาสนาโดยเฉพาะในอินเดียทั้งหมดเขายืมมาจากคำชาวบ้านทั้งนั้น คือเกิดค้นพบด้วยทางจิตใจใหม่ขึ้นมา เขาจะเรียกว่าอะไร มันก็ไม่มีคําจะเรียก เพราะมัน ไม่เคยมีสิ่งที่ถูกพบ ถ้าไปตั้งคำขึ้นใหม่ คนก็ไม่รู้ก็ไม่เข้าใจ ก็ไม่ยอมรับ มันต้องไปเอาคำที่มนุษย์รู้กันอยู่แล้วใช้กันอยู่แล้ว มาเป็นชื่อของธรรมะที่พบใหม่ในทางจิตใจ พอมาบอกเข้าพวกนี้ก็รู้ ฉันพบความเย็นที่สุดเลย มันก็ยกมือกันเป็นแถวว่าต้องการ เพราะเขารู้อยู่ว่าความเย็นถึงที่สุดมันต้องมีแน่ๆ และเรื่องนิพพานนี้แล้วก็ของร้อนมันดับเย็นลงไป ที่ชาวบ้านพูดกันอยู่ เช่น เอาถ่านไฟแดงๆเขี่ยมาจากกองไฟ มันก็ดำ ถ่านไฟไปนิพพานแล้ว ถ่านไฟนิพพานแล้ว ยังร้อนอยู่ก็รออีกหน่อย ดำด้วย เย็นด้วยเนี่ย เกิดไปนิพพานแล้วเย็นสนิท หรือว่าข้าวต้ม ข้าวยาคุก คือข้าวต้มร้อนอยู่กินไม่ได้ รอก่อน พอเย็น พอกินได้ ไอ้คนในครัวมันร้องตะโกนบอกคนข้างนอกว่ามาๆ เดี๋ยวนี้ ยาคุก นิพพานแล้ว กินได้แล้ว มากินข้าวต้มกันได้ นี้คำว่านิพพานใช้กับวัตถุมาแต่เดิมกันอย่างนี้ และมีคำที่ใช้กับสัตว์เดรฉาน เมื่อสัตว์เดรฉานตัวนี้เย็นสนิทหมดคืออันตราย จะเป็นหมา เป็นแมวเป็นม้าเป็นอะไร คือจะไม่มีอันตรายเกิดจากสัตว์ตัวนี้แล้ว กับตัวนี้เรียกว่านิพพานได้เหมือนกันใช้กับสัตว์เดรฉานหมายความอย่างนี้ อาตมาอธิบายอย่างนี้มีคนเอาไปด่าว่ากันว่า เอาคำว่านิพพานไปใช้กับสัตว์เดรฉาน เอาไปหลอกคน อาตมาไม่ได้หลอกใคร พูดไปตามมันมีอยู่ในบาลี ทีนี้ไอ้นิพพานที่ใครออกมาก็คือว่าถ้ามีกามคุณสมบูรณ์ มีกามอารมณ์ กามคุณสมบูรณ์ ความเร่าร้อน ระงับไปพักหนึ่งก็เรียกว่านิพพาน เพราะมีกามอารมณ์สมบูรณ์ ต่อมาคนบางพวกไม่เอานะยังเลวนัก แต่เอาปฐมฌาน ทำสมาธิถึงปฐมฌาน ได้เพียงเท่านั้น ทำเกินกว่านั้นทำไม่ได้ก็ว่า นั่นเป็นนิพพาน งั้นความสงบใจเพียงแค่ปฐมฌานก็ถูกบรรญัติว่าเป็นนิพพานมาแล้ว ต่อมาคนพวกหนึ่งเขาทำได้สูงกว่านั้นถึงขั้น ทุติยฌาน เอาความสงบใจขั้นทุติยฌานเป็นนิพพานกันอีกทีหนึ่ง ต่อมาคนทีหลังทำถึงตติยฌาน เอาตติยฌานเป็นนิพพานอีกครั้งหนึ่ง เดิมคนเอาจตุตถฌานที่ 4 เป็นปรินิพพาน ถ้าเย็นที่สุดก็เป็นมาอย่างนี้ นั้นนิพพานใช้คำว่า ปรมนิพพานในทิศธรรมมีอยู่ 5 ความหมายในบาลี พรหมจลสูตร ทิศธิ 62 56.24.3 กามารมณ์ก็เคยเป็นนิพพาน สมาธิในขั้นปฐมฌาน ก็เคยเป็นนิพพาน ขั้นทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌานก็ล้วนแต่เคยเป็นนิพพานมาแล้วทั้งนั้น เพราะ ว่ามันเย็น ๆๆๆลงไปตามลำดับหรือว่าเย็นยิ่งขึ้นตามลำดับ ที่มนุษย์ไม่เคยรู้มาก่อน ต่อมาก็รู้เรื่องอรูปฌาน เรื่องที่สูงยิ่งขึ้นกว่านั้น อากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ ก็เอานี้เป็นนิพพาน เมื่อพระพุทธเจ้าออกบวช บวชแล้วรู้กันสูงสุดเพียงแค่ เนวสัญญานาสัญญายตนะ เป็นนิพพาน คืออุททกดาบส รามบุตร อาจารย์คนหนึ่งของพระพุทธเจ้าสอนได้เพียงแค่นั้น และเพียงเท่านั้น ไม่มีใครสอนสูงกว่าไปได้กว่านั้น หมายความว่าในยุคที่พระพุทธเจ้าเกิดขึ้นนั้น เขาสอนนิพพานกันสูงเพียงแค่ เนวสัญญานาสัญญายตนะ ไม่ทราบว่า ไม่ใช่ ๆ ยังไม่ถึง ต้องไปค้นของท่านเองจนพบว่าความหมดกิเลสโดยสิ้นเชิงเป็นนิพพาน ขอให้เข้าใจคำว่าปรินิพพาน คำว่าเย็นสนิท เมื่อองคุลีมาลฟังคำตรัสของพระพุทธเจ้า บรรลุ คือสิ้นพยศ ความที่องคุลีมาลสิ้นพยศเขาก็เรียกว่าปรินิพพานเหมือนกัน จนกระทั่งว่าองคุลีมาลเป็นแค่อรหันต์ นี่ก็ปรินิพพานโดยสมบูรณ์ เมื่อปรินิพพาน หมดพยศเย็นลง ก็ยังใช้คำว่าปริพิพานแก่องคุลีมาล นั้นแปลว่าเย็นสนิท งั้นขอให้ท่านทั้งหลายเข้าใจคำว่าเย็นสนิทซะให้ดี ๆ เพราะอันนี้เป็นตัวสำคัญที่สุด ที่จะต้องยึดเป็นหลักให้สำหรับมนุษย์ในการที่จะประพฤติประโยชน์ให้แก่กันและกัน ถ้าจะให้เลือกจะต้องเลือกความที่มีจิตใจเย็นสนิท มันต้องการ ทำอย่างไรก็ได้ เอามา ทำมา ถ้ากล้า ทำเองก็ไม่ต้องเชื่อพระพุทธเจ้า ไปค้นมาเถอะ ไปค้น เอาเองเถอะ ถ้าพบเย็นสนิทจริงๆนะนี้จะไป นี้ตรงกับที่พระเจ้าท่านตรัสคือความหมดกิเลส งั้นเราต้องการความเย็นสนิท ชีวิต ประจำวันจะต้องเย็นสนิท อย่าพึ่งเถียง อย่าพึ่งค้านว่ามันเป็นไปไม่ได้ อย่าพึ่งเถียงในข้อนั้น นี้แสดงหลักการต่างหากว่า เรามันมุ่งหมายอย่างนั้น เราต้องการความเย็นสนิทอยู่ตลอดเวลา เราตื่นนอนขึ้นมา เรากินอาหาร เราอาบน้ำ เราไปอ็อฟฟิส เราไปทำงาน เรากลับมาพักผ่อนอะไร ก็ขออย่าให้มีความร้อนในจิตใจ ให้มันเย็นสนิท เป็นนิพพาน เป็นปรินิพพาน แปลว่าชั่วคราวไม่ได้เด็จขาดโดยสมบูรณ์ ขอให้ชั่วคราวอย่างนี้ไปก่อนเถิด ถ้าสมบูรณ์เป็นพระอรหันต์ มันไม่กลับร้อนได้อีก เดี๋ยวนี้เราต้องการเย็นสนิทที่ควบคุมไว้ ประพฤติตามหลักพระพุทธศาสนาไว้ให้เย็นอยู่ งั้นเรามีความสุข หรือพูดสั้นๆว่า ไอ้ที่เราปราถนา มาตรฐานที่เราต้องการนั้นก็คือความสุขส่วนตัวเรา เย็น ไม่มีอะไรมาเผาให้ร้อน นี้เป็นข้อที่ 1 เย็นเฉยๆ เป็นสุขเฉยๆนั้นไม่พอ ต้องให้ความมีชีวิตอยู่นั้น เป็นประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่นด้วย เนี่ยสำคัญที่สุด ส่วนตัวเราเย็น ปรินิพพาน ถ้าชีวิตของเราหรือความเคลื่อนไหวแต่ละวันในแต่ละอิริยาบศเป็นประโยชน์ตน เป็นประโยชน์ผู้อื่น เพื่อประโยชน์สังคม เป็นประโยชน์ต่อโลกด้วยนี่อีกข้อหนึ่ง รวมเป็นสองข้อนี้แล้ว หมด หมดแล้ว ๆ ไม่มีแล้ว ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้แล้ว เราเย็น เป็นสุขไม่มีความทุกข์และความมีชีวิตอยู่ของเราทุกอิริยาบศเป็นประโยชน์ทั้ง แก่เราและแก่ผู้อื่นอยู่ ไปตั้งสมาคมไปตั้งองค์การอะไรก็ตามใจ เพื่อเผยแผ่สั่งสอนอบรมพระพุทธศาสนา ขอให้ได้ผลว่าไอ้คนเหล่านั้นมันเย็นเป็นสุขและการเคลื่อนไหวของมันเป็นประโยชน์ตน เป็นประโยชน์ท่าน อยู่ทุกกิริยาบทหรือว่าทุกๆวินาที ทุกๆอะไรก็แล้วแต่จะใช้มาตรฐานอันไหนมาพูด นี่ถ้าเราจะมาเกี่ยวข้องกับธรรมะ เราจะอวดหรือไม่อวดก็ไม่รู้แต่เราได้พูดไปแล้ว ว่าเราจะจัดการกับธรรมะ จะจัดการกับพระศาสนา จะตั้งองค์การเพื่อประโยชน์แก่พระศาสนา เพื่อเผยแผ่ เพื่อให้เป็นประโยชน์แก่มนุษย์นี่เราต้องรู้ว่าเราต้องการอะไร เราจะให้อะไรแก่เขา หรือว่าสมาชิกเราทุกคนต้องการอะไร ถ้าเรารู้อย่างนี้ มันก็ง่ายๆมันก็ชัดลงนะไปว่าเรามุ่งหมาย ให้คนทุกคนมีชีวิตเย็น เป็นปรินิพพานอยู่ตลอดเวลา แม้ชนิดชั่วคราวแล้วเขามีความเคลื่อนไหวที่เป็นประโยน์ต่อผู้อื่นรวมทั้งตนเองอยู่ทุกวินาที ทุกอิริยาบท ไปทำมาก็แล้วกัน ถ้ามันได้อย่างนี้ คือได้หมด ครบถ้วนบริสุทธิบริบูรณ์ตามจุดมุ่งหมายของพระศาสนาทุกศาสนา อาตมามีความคิดอย่างนี้ มีความเห็นอย่างนี้ เมื่อขอร้องให้แสดงความคิดความเห็น อาตมาก็ต้องพูดต้องตรงๆอย่างนี้ ก็พูดออกมาอย่างนี้ ตามที่รู้มา ศึกษามาเป็นเวลา สี่ห้าสิบปี เนี่ยมันรู้อย่างนี้ มันมองเห็นอย่างนี้ และก็ไม่รังเกียจศาสนาไหนเลย อาตมามีพระคัมภีร์ของทุกๆศาสนาเท่าที่หาได้ ได้...62.44. 9 มาด้วยความเคารพ และมันก็พบว่าท่านต้องการดับความร้อนของคนในโลกและให้เขาอยู่กัน ด้วยความเป็นประโยชน์แก่กันและกันทุกอิริยาบท ทุกพระศาสดาสอนอย่างนี้ มุ่งหมายอย่างนี้ ขอให้ทุกคนอยู่ด้วยจิตใจที่เย็นเป็นสุข และให้เคลื่อนไหวในลักษณะเป็นประโยชน์แก่กันและกันอยู่ทุกอิริยาบท ไม่ต้องการอะไรมากกว่านี้ นี้เราจะไม่เป็นศาสนาไหน พูดเป็นศาสนาทั้งหมดของโลกก็ต้องเป็นอย่างนี้ พระพุทธศาสนาก็อยู่ในลักษณะอย่างนี้ ไม่เชื่อก็ไปค้นดู พระพุทธเจ้าสอนเพื่อให้มันเย็น พระองค์เย็นแล้วก็สอนให้เย็น ประโยคนี้อย่าลืมนะ พระผู้มีพระภาค ปรินิพพานแล้ว ทรงแสดงธรรมเพื่อการปรินิพพาน เมื่อพระองค์ตรัสรู้แล้ว ใหม่ๆ ก็ตรัสแก่สาวก 60 รูปว่า ไป ไป ไป เดี๋ยวนี้ ฉันก็พ้นจากบ่วงแล้ว แกก็พ้นจากบ่วง แล้วแกจงไป ไปทำให้คนในโลกมันพ้นจากบ่วง อย่าไปทางเดียวกันสองรูป ให้แยกกันไปคนเดียวๆจะได้มากสาย ให้ไปปลดคนออกจากบ่วง บ่วงคือปัญหา มันมาด้วยความทุกทรมาณและไม่เป็นประโยชน์อะไรแก่กันและกัน และเพื่อผลักบ่วงเสีย เขาจะได้มีความเย็นไม่เป็นทุกข์และเคลื่อนไหวในทางที่เป็นประโยชน์แก่กันและกันอยู่ทุกอิริยาบท เนี่ยก็มีเท่านั้น หลักการที่ลายละเอียดนั่นมันก็มีมาก แต่ขอให้รู้ว่าตั้งต้นที่ไหนกัน ไปจบที่ไหนกันเสียก่อน มนุษย์มันมีปัญหาโดยธรรมชาติ อย่างน้อยมันก็เจ็บไข้ ไม่รู้จักหาหมอรักษาไม่ได้ มันก็จะตัดปัญหาด้วยการฆ่าตัวตาย นี่มันไม่ถูกต้องตามศาสนา หรือว่าเขาไม่ประสบความสำเร็จอะไรไปเสียหมด เขาอยากฆ่าตัวตายนี้ไม่ถูกตามหลักพระพุทธศาสนา ก็ต้องแก้ปัญหามันให้ได้ ทำความ รู้สึกแก่จิตใจเสียใหม่ ไม่ต้องเป็นทุกข์ ไม่ต้องมีปัญหา ให้มันเย็น ให้มันบำเพ็ญประโยชน์ แม้มันจะต้องเจ็บ ต้องไข้ ต้องตาย มันก็ต้องไม่มีความทุกข์ มันคล้ายๆกับประกาศ อย่าขาดกับความทุกข์ว่า ฉันไม่มี ฉันไม่ต้องการ ฉันไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นทุกข์ งั้นก็สลัดไอ้ความรู้สึกนั้นออกไปเสีย ทำจิตใจเสียใหม่ ไม่ต้องเป็นทุกข์ แม้ว่าเจ็บป่วยจะตายอยู่หยกๆ ไม่ต้องเป็นทุกข์ ฟังดูแล้วมันไม่น่าจะทำได้ เจ็บปวดจะตายอยู่แล้ว ก็ไม่ต้องเป็นทุกข์ ตายก็ตายไม่ต้องเป็นทุกข์ มันต้องถึงขนาดนี้ เรียกว่าถึงที่สุด เรายังไม่ถึงขนาดนั้นนะ แต่ขอให้มันเป็นไปตามนั้น ตามทำนองนั้น ที่จะไม่ต้องเป็นทุกข์และมีชีวิตอยู่ด้วยการเป็นประโยชน์แก่กันกัน นี่เป็นเหมือนกับว่ากล่าวเปิดทาง เบิกทางในปราวแรก เมื่อเราจะช่วยกันทำอย่างไร นี่อาตมาถือว่าท่านทั้งหลายมาที่นี่นะเพื่อพบปะกัน ปรึกษากัน ในการที่หาหนทาง ใช้สิ่งที่เรียกว่าธรรมะให้เป็นประโยชน์แก่มนุษย์มากที่สุด อาตมาเชื่อว่าคงตรงกับความประสงค์ของท่านทั้งหลาย มาเพื่อปรึกษากัน หาวิธีใช้สิ่งที่เรียกว่าธรรมะให้เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ที่สุด ถ้าไม่ต้องการอย่างนี้ ก็เชิญกลับได้ ไม่มีอะไรที่จะพูดให้ฟังและ แต่ถ้าว่า มาพูดกันว่าจะใช้ธรรมะให้เป็นประโยชน์ที่สุดได้ พูดกันได้หลายเดือน หลายวัน หลายปี ตามที่จะนึกออก เดี๋ยวนี้สิ่งที่เรียกว่าธรรรมไม่ได้ถูกใช้ให้เป็นประโยชน์ มันเป็นหมันเสียส่วนใหญ่ ส่วนที่ใช้ให้เป็นประโยชน์มันส่วนน้อย แล้วยังเอามาติดฉลากปลอม ว่าธรรมะ ซึ่งไม่ใช่ธรรมะ เอามาโฆษณา เผยเผยแพ่กันเกร่อไปหมด มันก็ไม่ใช่ธรรมะ มันก็ไม่มีประโยชน์จากธรรมะ ขอให้มาคิดนึกกัน อุทิศพระธรรม อุทิศธรรมะเพื่อให้ธรรมะเป็นประโยชน์แก่มนุษย์มากที่สุด พระเจ้าก็รวมอยู่ในธรรมะ อะไรๆก็รวมอยู่ในคำว่าธรรมะ ใช้ธรรมะ ใช้สิ่งที่เรียกว่าธรรมะเป็นประโยชน์มากที่สุด เรายอมอุทิศทุกอย่าง จะเป็น เรี่ยวแรงอุทิศ เวลาอุทิศ ร่างกายก็อุทิศ ทรัพย์สมบัติก็อุทิศ อุทิศเพื่อให้ธรรมะเป็นประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์มากที่สุด นี้เราถือว่าตรงตามพระประสงค์ของพระศาสดาทุกพระองค์และก็ตรงตามเจตนารมณ์ของพระเจ้า ถ้าพระเจ้าเป็นบุคคลมีเจตนารมณ์อย่างนั้น เราก็ทำให้ตรงแต่ถ้าเราถือกฎธรรมชาติเป็นพระเจ้า เราก็ยังถืออย่างเดียวกัน แม้แต่กฎของธรรมชาติ มันก็ต้องการวิวัฒนาการ เราต้องการให้มันเป็นวิวัฒนาการ ก็ตรงกับความหมายของกฎแห่งวิวัฒนาการ มันต้องดีขึ้น อย่าหยุดอยู่ อย่าเลวลงเลย งั้นก็มาช่วยกันทำให้ธรรมะนี้ เป็นประโยชน์ตามหน้าที่ของธรรมะให้มากที่สุด เราควรจะพูดกันถึงสิ่งที่เรียกว่าธรรมะบ้าง นี่ก็พูดนานแล้ว ยังไม่ได้พูดคำว่าธรรมะเลย ก็พูดแต่หัวข้อซึ่งอยากจะให้ช่วยกันจำไว้เป็นหลัก สำหรับพูดจากันต่อไปข้างหน้าโดยสะดวก
ธรรมะคืออะไร หมายความธรรมะ คือวิทยาการทางวิทยาศาสตร์ของธรรมชาติ วิทยาการนี้ขอให้เป็นระบบใหญ่รวมหมด ทั้งวิชา ทั้งการปฎิบัติ ค้นคว้า ทดลอง อะไรก็ตามนะ รวมกับคำว่าคือวิทยาการ ธรรมะคือวิทยาการตามรูปแบบแห่งวิทยาศาสตร์ของธรรมชาติ มันสำคัญอยู่ที่คำว่าธรรมชาติ มันน่าประหลาดที่คำ คำบาลี คำว่าธรรมคำเดียวแปลว่าธรรมะก็ได้ แปลว่าธรรมชาติก็ได้ ธรรมชาตินี้คืออะไรก็เคยพูดมามากแล้ว เข้าใจว่าที่นั่งอยู่ที่นี่ก็เคยได้ยินแล้ว จนจะเบื่อไปแล้วก็ได้ แต่บางคนอาจจะยังไม่เคยได้ยิน ไอ้คำว่าธรรมะคือธรรมชาตินั้นมัน 4 ความหมาย ธรรมะคือ ตัวธรรมชาติทั้งหลาย ปรากฎการณ์ในธรรมชาติทั้งหลาย รูปแบบไหนก็ตามที่เป็นตัวธรรมชาติ เราก็เรียกว่าธรรมที่เป็นตัวธรรมชาติและธรรมที่สองที่เป็นกฎของธรรมชาติ ในตัวธรรมชาติไม่ว่าอย่างไหนหมด มีกฎประจำอยู่และก็ต้องเป็นไปตามกฎนั้น อย่างเราคนหนึ่งเนี่ยร่างกายจิตใจคนหนึ่งนั้นมันเป็นตัวธรรมชาติ แม้ในตัวเรามีกฎธรรมชาติสิงอยู่ บังคับในทุกอณู ทุกปรมาณูดีกว่า ในตัวเราเปลี่ยนแปลงไปตามกฏนั้นอยู่ตลอดเวลานี่เรียกว่าคนมีชีวิต ทีนี้ไอ้ของที่ไม่มีชีวิต ผนังคอนกรีต นี้ทุกๆอณูของมันกฎของธรรมชาติสิงอยู่มันยังต้องเปลี่ยนแปลงไปตามกฏนั้น ทุกๆเสี้ยวของวินาทีคือทุกขณะจิต ก็แล้วธรรมชาติที่มีชีวิตก็ดี ไม่มีชีวิตก็ดี มีกฎของธรรมชาติสิงอยู่ มันกำลังเป็นไปตามกฏนั้นทุกขณะจิต วินาทียังช้า วินาทีต้องแบ่งส่วนพันส่วน หมื่นส่วน ขณะจิต มันเปลี่ยนแปลง ทุกขณะจิตและก็ทุกๆปรมาณูของมัน หรือที่เราจะแบ่งแยกให้เล็กเท่าไรได้เป็นอนุภาคที่สุด ทุกอนุภาคๆก็ต้องเปลี่ยนอยู่ทุกๆขณะจิตนี่คือกฏของธรรมชาติ มีความหมายอย่างเดียวกับพระเจ้า เป็นสิ่งสูงสุด มีอยู่ในที่ทุกหนทุกแห่ง ครอบงำทุกสิ่ง กฎของธรรมชาติ ถ้าขยาย คำพูดให้ยาวกฎก็เป็น กอด เป็นเรื่องน่าหัว นี้ธรรมในความหมายที่ 3 คือหน้าที่ ที่สิ่งที่มีชีวิตจะต้องปฎิบัติตามกฎของธรรมชาติ กฎของธรรมชาติคือบรรญัติของพระเป็นเจ้า หน้าที่ของมนุษย์คือทำตามกฎของธรรมชาติ คือตามพระบรรญัติของพระเจ้า ในประเทศอินเดีย คำว่าธรรมะในความหมายธรรมดาสามัญไม่เกี่ยวกับศาสนาเขาแปลคำๆนี้ ว่าหน้าที่ ธรรมะแปลว่าหน้าที่ ไม่ได้แปลว่าคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าอย่างในเมืองไทย ในเมืองไทยคำว่าธรรมะในบรรณานุกรมหรืออะไรต่างมักจะแปลว่าคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า นี่เอาตามที่ได้ยินมาตอนหลัง ยุคหลัง ทีหลัง ว่าธรรมะดั้งเดิมแท้ๆ มันเป็นของลึกลับอันหนึ่งซึ่งมนุษย์จะต้องประพฤติกระทำต่อด้วย เขาเรียกว่าธรรมคือหน้าที่ หรือเมื่อรู้จักหน้าที่จึงใช้คำว่าธรรมะขึ้นมาเป็นคำแรก ธรรมเลยรวมถึงหน้าที่ที่สิ่งมีชีวิตจะต้องเคลื่อนไหวไปตามกฎของธรรมชาติ ธรรมะจึงคือหน้าที่ งั้นเราต้องทำหน้าที่ ตามกฎของธรรมชาติเต็มไปหมด หน้าที่จะต้องกินอาหาร ต้องถ่ายอุจาระ ปัสสาวะ ต้องบริหารกายให้รอดอยู่ได้ นี้ก็เป็นหน้าที่ ต้องทำหน้าที่ให้สูงขึ้นไปกว่านั้นกระทั่งหน้าที่ แก่สังคม แก่โลก หน้าที่สูงสุดคือสอนผู้อื่นๆ ช่วยผู้อื่นก็เป็นหน้าที่ไปทั้งนั้น นั่นคือธรรม ข้อสุดท้าย ผลอันใดเกิดขึ้นจากการทำหน้าที่อันนั้นก็ยังเรียกว่าธรรมะอยู่นั่นแหละ ขอให้จำคำว่าว่าธรรมะ แปลว่าอะไรก็ไม่รู้ ไม่อยากแปล คือแปลมันก็ยิ่งไม่รู้เลยแหละ ยิ่งผิดน่ะ เรียกว่าธรรม ไปก็แล้วกัน ถ้าเกี่ยวกับธรรม เป็น adjective ธรรมิก ธรรมิกธารมิก 74.28.3 ธรรม คือตัวธรรม เกี่ยวกับธรรม เรียกว่าธรรมิก เราก็รู้จักสิ่งที่ประหลาดที่สุด คือเป็นทุกสิ่งทุกอย่างคือสิ่งที่เรียกว่าธรรม เป็นตัวธรรมชาติด้วย เป็นตัวกฎของธรรมชาติด้วย เป็นตัวหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติด้วย เป็นผลจากหน้าที่นั้นๆด้วย คือหมดไม่มี อะไรเหลือ พระเป็นเจ้าก็ถูกรวมไว้ในธรรม ในความหมายของคำๆนี้ คือกฎของธรรมชาติ สูงสุดกว่าสิ่งใด เดี๋ยวนี้มนุษย์เรามันโง่สอนกันไม่ดีโดยเฉพาะในประเทศไทย ไม่มีความรู้เกี่ยวกับคำว่าธรรมชาติ รู้จักคำว่าธรรมชาติน้อยเกินไป เช่นอย่างนี้ก็ไม่ใช่ธรรมชาติเสียแล้ว ตึกหลังนี้ไม่ใช่ธรรมชาติเสียแล้ว โดยข้อเท็จจริงโดยความจริงมันก็ยังคงเป็นธรรมชาติอยู่มันรูปธรรม เป็นนามธรรม เป็นรูปธรรมประกอบเป็นภาพทั้งสี่ อย่างนี้ก็เป็นไปตามกฎของธรรมชาติอยู่ ถ้าเรากินน้ำในลำธารเราพูดว่าเรากินน้ำตามธรรมชาติ แต่ถ้าเราไปกินนํ้าอัดลมในขวดเราไม่เรียกว่านํ้าธรรมชาติและเราไปเรียกนํ้าวิทยาศาสตร์ซะแล้ว เรามันโง่เองเราต้องเสียสตางค์ ซื้อมันกินไม่มีที่สิ้นสุด เพราะเรามันโง่เอง มันไม่มีอะไรที่จะออกไปจากธรรมชาติได้ แม้จะเปลี่ยนรูปมาอยู่ในลักษณะแปลกกันมาก ทั้งการที่มีเรือบิน มียานอวกาศ มีอิเล็คโทรนิค มีคอมพิวเตอร์ มันไม่ใช่เรื่องที่ออกไปจากธรรมชาติได้ มันยังคงวงเวียน คงวนเวียนอยู่ในตัวธรรมชาติ ตัวกฎของธรรมชาติ ตัวหน้าที่ตามกฏของธรรมชาติ และก็ผลที่ออกมาตรงตามหน้าที่ แม้ในคอมพิวเตอร์ เครื่องหนึ่งมันก็ยังไม่หลีกไปจากความหมาย 4 ความหมายนี้ ถ้าเราอย่าไปแยกธรรมชาติออกไปเหลือนิดเดียวและก็ไม่ค่อยมีใครชอบเสียด้วย เราไปชอบของที่ไม่ใช่ธรรมชาติ ชอบของวิทยาศาสตร์ สวยงามเอร็จอร่อยทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ที่เขาผลิตขึ้นมาเป็นอุตสาหกรรมหลอกเอาเงินคนในโลก เราอย่าไปหลงมันว่ามันไม่ใช่ธรรมชาติ ถ้าเราเห็นว่าเป็นธรรมชาติเราก็ไม่ควรไปหลง มีเท่านี้เอง เห็นเป็นธรรมชาติเป็นของธรรมดา เราก็ไม่หลง เราจะกินนํ้าอัดลม เราก็ไม่หลงบูชามันยิ่งไปกว่านํ้าในลำธาร ซึ่งมันมาปรุงๆๆ ปรุงนั้น ปรุงนี้ให้มันหลอกลิ้น ไปตามกฎของธรรมชาติ อีกแหละ การที่ลิ้นของเราได้รับรสของนํ้าอัดลมแปลกออกไปจนพอใจนั้นก็เป็นไปตามกฏของธรรมชาติและก็โดยตัวสิ่งที่ยังเป็นธรรมชาติ จะเป็นน้ำหรือ เป็นน้ำตาล เป็นแก็ส หรือเป็นอะไรก็ยังเป็นธรรมชาติ ไม่มองกันในส่วนนี้ นี้ขอสรุปความในวันนี้ว่าไอ้ธรรมชาตินั่นแหละคือตัวธรรมะ วิทยาการเกี่ยวกับธรรมชาติคือตัวธรรมะ แต่วิทยาการอันนี้ต้องเป็นไปตามวิถีทางวิทยาศาสตร์ อย่าได้เป็นไปทางปรัชญา ทางลอจิค ทางจิตวิทยาอะไรพวกเหล่านั้น ไม่ใช่ธรรมะที่แท้จริง ถ้าจริงต้องจริงต้องตรงๆ ไม่ต้องคำนวณ ไม่ต้องอนุมาน ไม่ต้องใช้ลอจิค ให้มันก็ตรงของมันจริงๆก็แล้วกัน อาตมาจึงอยากจะพูดไว้ว่าเป็นเครื่องยืนยันสัญญาซักคำหนึ่งว่า พระธรรมหรือ พระศาสนานี่ต้องเป็นไปตามวิถีทางของวิทยาศาสตร์ ไม่เป็นไปตามวิถีทางของปรัชญาหรือลอจิกเป็นต้น แต่ว่าเราสามารถนะ ที่จะเอาธรรมะศาสนา ไปพูดในรูปแบบของปรัชญา พูดได้ แต่ว่าเพ้อเจ้อไม่มีที่สิ้นสุด เอาธรรมะในพระศาสนาไปพูดเป็นปรัชญา ก็พูดได้และก็จะเพ้อเจ้อไม่มีที่สิ้นสุด เอาธรรมะในพระศาสนามาพูดในรูปแบบของวิทยาศาสตร์ในวงอันจำกัดคือสัมผัสได้ พิสูจน์ได้ ทดลองได้ ผลออกมาจากการสัมผัส อย่างนี้จะเป็นธรรมะจริง งั้นขอให้สนใจธรรมะหรือพระศาสนา ในฐานะที่เป็นวิทยาการทางวิทยาศาสตร์ ทีนี้คนเขาชอบปรัชญา เขาเมาปรัชญา อะไรๆก็จะเป็นปรัชญา จะรอดตัวได้ต้องมีปรัชญา เป็นปรัชญาแต่ว่าไม่ได้ เพ้อเจ้อ บ้า ไม่มีที่สิ้นสุด ธรรมะหรือศาสนาต้องเป็นรูปแบบของสัจจะที่สัมผัสได้ มีผลจริงๆออกมาจากการพิสูจน์ ทดลอง โดยตรงๆ จริงๆ ปราศจากคำนวณ อนุมาน อุปมานหรืออะไรไม่ต้องใช้ เมื่อยังใช้ยังเป็นปรัชญา เมื่อเราเอาเรื่องอริยสัจจสี่มาพูด เอาเรื่องปฎิจสมุปบาทมาพูดเนี่ย จะเป็นปรัชญา ถูกแล้ว เป็นปรัชญา ไม่สำเร็จประโยชน์อะไร ถ้าเราไปปฎิบัติเข้ามันก็เป็นวิทยาศาสตร์และก็สำเร็จประโยชน์ อย่างปฎิจสมุปบาท นี้ก็ว่าไป 11 อาการ อวิชา ปรัชญา 80.21.3..... อย่างนั้นเป็นปรัชญา แต่พอเป็นวิทยาศาสตร์ ไม่เป็นอย่างนั้น ไม่เป็นอย่างนั้น มันเป็นอยู่ที่ว่าเรา ควบคุม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มีสติเมื่อตาเห็นรูปเป็นต้น ไม่เกิดผัสสะโง่ ไม่เกิดเวทนาโง่ ไม่เกิดความตันหาโง่ ไม่เกิดความทุกข์ นี่เป็นวิทยาศาสตร์ อริยสัจสี่ พูดว่าทุกข์อย่างนั้นน๊ะ เกิดมาจากตัณหาอย่างนั้นน๊ะ ดับตัณหาเสีย ดับทุกข์ได้ อันนี้มันเป็นปรัชญาได้ เป็นทฤษฎี พอจะดับทุกข์ต้องปฎิบัติ ตามมรรคมีองค์แปด ตัวอย่าง เมื่อตาเห็นรูป เมื่อหูฟังเสียง ไม่โง่ ไม่หลง ไม่ทำผิด ในทุกขั้นทุกตอน นี่ละจึงจะเป็นอริยสัจ ที่เป็นตัวพระศาสนาเป็น ตัวธรรมะ เป็นในลักษณะรูปแบบของวิทยาศาสตร์ หลักธรรมะทุกข้อไปเอาไปพูดแบบปรัชญาก็ได้ แต่มันยังไม่มีผลแห่งความดับทุกข์ แต่เมื่อปฎิบัติลงไปในลักษณะ ที่เป็นวิทยาศาสตร์นั้นจะดับทุกข์ มีผลแห่งความดับทุกข์ งั้นเดี๋ยวนี้ถ้าเราจะตั้งองค์การเผยแผ่ทางพระพุทธศาสนา อาตมาเห็นว่ามันไม่จำเป็นแล้วที่จะมาพูดกันถึงไอ้ทฤษฏี ทั้งหลายในรูปแบบของปรัชญา เรามาพูดกันในรูปแบบที่เอาทฤษฎีนั้นๆมาทำให้เป็นปฎิบัติ เป็นวิทยาศาสตร์ เลิกปรัชญามาเป็นวิทยาศาสตร์ ที่เคยพูดกันไว้ในรูปแบบของปรัชญา เอามาทำให้เป็นวิทยาศาสตร์ อยู่ที่เนื้อ ที่ตัว ที่ตา ที่หู ที่จมูก ที่ลิ้น ที่กาย ที่ใจ งั้นจะตั้งสมาคมองค์การเผยแผ่ธรรม ขอให้มุ่งหมายให้ข้อนี้ มุ่งหมายเอาหลักพระธรรมซึ่งเป็นทฤษฎี เป็นปรัชญานั้นมาอยู่ในรูปแบบของวิทยาศาสตร์คือการปฎิบัติลงไปโดยตรง เพราะเป็นของธรรมชาติที่เป็นสื่อกลางจะมารวมกันได้ทุกศาสนา ธรรมชาติจะเป็นสื่อกลางให้ทุกๆศาสนามารวมกันและจับมือกันได้ ถ้าเราไม่หันไปหาจุดของธรรมชาติแล้ว เราจะมีความรู้สึกว่าแตกต่างกันระหว่างศาสนา ระหว่างศาสนานั้นศาสนานี้จนแล่นไปคนละทิศคนละทาง พอตีความบทบัญญัติของพระศาสนาลงเป็นกฎของธรรมชาติ เป็นหน้าที่ของธรรมชาติ ไอ้คำว่าธรรมชาติจะเป็นสื่อกลาง จุดกลางให้ ธรรมะทุกทิศทุกทาง ทุกศาสนามารวมกันที่นี่ พบกันที่นี่ แล้วเราก็หมดความขัดแย้งระหว่างศาสนา แม้แต่ความขัดแย้งว่าพระเจ้าสร้างหรือเป็นไปตามกฎวิวัฒนาการนี้ก็ไม่มีเหลือ มันเรื่องธรรมชาติ กลายเป็นเรื่องของธรรมชาติโดยเนื้อแท้ อาตมาเห็นว่า การพูดจาครั้งแรกซึ่งเป็นเหมือนกับการแพร้วถางทาง เพื่อจะให้เกิดหนทาง ที่เราจะร่วมมือกันได้ โดยไม่มีความแตกต่างระหว่างศาสนาเป็นอุปสรรค เราจะร่วมมือกันได้ ขจัดปัญหาของมนุษย์ทั้งโลกได้ ด้วยการใช้สิ่งที่เรียกว่าธรรมะ ๆๆๆๆซึ่งเป็นหัวใจของทุกศาสนา เป็นเนื้อแท้ ตัวแท้ของทุกๆศาสนา เป็นอันว่าเรามาปรึกษากันว่าจะใช้สิ่งที่เรียกว่าธรรมะให้เป็นประโยชน์สูงสุดได้อย่างไร อาตมารู้สึกว่าการบรรยายนี้ พอสมควรแก่เวลา เพราะรู้สึกเหนื่อยแล้ว ขอยุติไว้ในฐานะเป็นการเบิกโรงแค่นั้น ขอยุติการบรรยายในวันนี้เพียงเท่านี้