แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ตามที่เคยทำมาแต่ก่อนนั้น วันอาทิตย์กลางคืนเป็นเวลากำหนดไว้สำหรับสนทนาตอบปัญหา ถ้าอากาศดีคือสำหรับผม ถ้าอากาศชื้นแล้วก็ไม่สบาย ถ้าอากาศพอแห้งบ้างก็เรียกว่าอากาศดี นี่พอจะทำได้ นี่ก็ล่วงมาสองถึงสามอาทิตย์แล้วยังไม่ได้ทำ วันนี้เห็นว่าอากาศดีก็เลยทำตามที่เคยทำ จะสนทนากันก็ได้หรือจะตอบถามถามตอบปัญหาก็ได้ เมื่อมันเป็นปัญหาที่..ที่ควรจะถามได้รับประโยชน์ร่วมกัน ฉะนั้นใครมีปัญหาอะไรก็ถามได้เลยเดี๋ยวนี้ โดยเฉพาะที่เพิ่งบวชใหม่พรรษานี้นั้นมีปัญหาอะไรถามมาได้
(ผู้ถาม) พระเดชพระคุณเจ้าที่เคารพอย่างยิ่ง การให้ธรรมนั้นขึ้นชื่อว่าเหนือกว่าการให้ทั้งปวง กระผมในนามพระนวกะใคร่อยากจะถามปัญหาเป็นปฐมเบื้องต้นเสียก่อนว่า การศึกษาพุทธศาสนาซึ่งพระคุณเจ้าได้ดำเนินการมานั้น พวกกระผมรู้สึกซาบซึ้งและได้ประโยชน์อย่างยิ่ง จึงใคร่กราบเรียนถามว่ามีสิ่งใดเป็นเครื่องดลใจให้พระคุณเจ้าสนใจพุทธศาสนาอย่างยิ่ง
(ท่านพุทธทาส) ถามว่าอะไรทำให้สนใจพุทธศาสนาอย่างยิ่ง ทั้งในทางที่จะศึกษาเพื่อตนเองและเพื่อเผยแพร่แก่ผู้อื่น ถามอย่างนี้หรือ
(ผู้ถาม) ครับ
(ท่านพุทธทาส) มันก็คล้าย ๆ กับถามประวัติไม่ได้จะถามธรรมะ ถามเรื่องส่วนตัวบุคคล ก็ไม่มีอะไรมากมันเป็นเรื่องเรียกว่าบังเอิญเสียมากกว่า ผมก็บวชตามธรรมเนียมของผู้ที่ครบบวช บวชให้โยมตามธรรมเนียมและกำหนดไว้ว่าบวชสามเดือนแล้วก็สึก ครั้นงานอะไรที่เป็นหน้าที่ของตัวที่บ้านก็ซุก ๆ ๆไว้ก่อนไม่ต้องให้ใครทำอะไรพอสามเดือนจะกลับออกไปทำ ทีนี้มันก็ไม่ได้สึก พูดถึงความสนใจสนใจมาแต่ก่อนบวช ก็มีหนังสือหลักสูตรนักธรรมตรี โท เอกตั้งแต่ก่อนบวชสี่ห้าปี เพราะความที่มันอยากรู้และก็มีเชื้อความพอใจในธรรมะเกิดขึ้น นี่มันก็..มันก็คล้าย ๆ กับว่ามันบังเอิญ อ้ายความอยากรู้ธรรมะเพื่อตัวเองและเพื่อถกเถียงกับผู้อื่นก็เกิดขึ้น เพราะว่าที่บ้านของผมเมื่อยังไม่บวชมันเป็นที่ถกเถียงธรรมะกันระหว่างหลาย ๆ คนทั้งตอนเช้าทั้งตอนค่ำ แล้วเราเจ้าของบ้านก็ถูกอุปโลกน์ให้เป็นผู้รู้หรือผู้ตอบด้วยเหมือนกัน ฉะนั้นมันก็ขวนขวายเพื่อการนี้ก่อน แต่ในธรรมะนี่มันก็มีความประหลาดอัศจรรย์ขลังศักดิ์สิทธิ์อยู่มาก ไปแตะต้องเข้ามันก็ชอบมันก็ชอบมันก็ชอบมากเข้ามันลึกเข้าจนมันกลายเป็นชอบอย่างแน่นแฟ้น แล้วพอถึงเวลาที่จะสึกมันก็ยังไม่สึก มันขอผลัดมันก็ผลัดไปเรื่อยมาจนเรียนนักธรรมกับเขาได้ถึงสามปีสามชั้น ก็เรียนบาลีบ้างแล้วก็ยังไม่พอใจก็มาศึกษาค้นคว้าเรื่องการปฏิบัติบ้าง จนกระทั่งเปิดสวนโมกขพลารามที่ตำบลพุมเรียงไปทางนั้น เพื่อเป็นที่ทดลองเป็นที่ค้นคว้าเป็นที่ชุมนุมผู้ตั้งใจจะรื้อฟื้นการปฏิบัติธรรม นี่ก็เรียกว่าตัวเองมันก็ถลำลึกเข้าไปเรื่อยทั้งในทางที่จะศึกษาเพื่อตัวเองและทางที่จะตอบปัญหากับผู้อื่น ฉะนั้นก็เลยต้องเรียกว่าถลำลึกเข้าไปในธรรมะจนติดธรรมะเป็นยาเสพติดถอนตัวไม่ออก นี่จึงทำมากในการศึกษาค้นคว้าก็ดีในการเผยแผ่ก็ดี มันก็ดำเนินเรื่อย ๆ มาก็เรียกว่าก้าวหน้าหรือเป็นปึกแผ่นยิ่งขึ้นในทุกทางที่มันจะเป็นไปได้ กระทั่งมีสวนโมกข์นี้จนพวกคุณได้มาพบปะกันที่นี่ นี้ก็ดูเอาเองว่าอะไรมันเป็นเหตุให้สนใจ แต่สรุปแล้วในตอนหลังเมื่อมันเป็นจริงเป็นจังขึ้นมาก็คือความประเสริฐดีเลิศของธรรมะ เพราะว่ามันเป็นเครื่องดึงกระตุ้นทำให้สนใจ ดังนั้นมองเห็นว่าไม่มี.ไม่มีการงานใด ๆ ที่จะดีไปกว่าการศึกษาและการเผยแผ่ธรรมะ ถ้าเราสึกออกไปก็ไปทำงานอ้ายเป็นเล่นชนิดเด็ก ๆ ถ้าเราอยู่ในบรรพชานี้มันทำงานอย่างใหญ่โตกว้างขวางลึกซึ้งได้มันก็เลยสนุกทำเรื่อยมาจนบัดนี้ ได้รับความพอใจด้วยตนเองของตนเองเรื่อยเรื่อยมา มีเท่านี้ ใครก็ดูเอาเองว่าอะไรมันเป็นเหตุให้สนใจและสนใจยิ่ง ๆ ขึ้นไป จนเดี๋ยวนี้ก็ต้องเรียกว่าความสนใจนั้นยังอยู่ก็จะเดินต่อไปให้มันถึงที่สุด เอ้า,ใครมีปัญหาอะไรอีก ให้เป็นปัญหาที่เกี่ยวกับธรรมะนะอย่าต้องเกี่ยวกับบุคคล
(ผู้ถาม) กระผมมีปัญหาที่จะกราบเรียนถามท่านอาจารย์เกี่ยวกับการแสดงพระธรรมเทศนาของท่านอาจารย์เมื่อวันเสาร์ที่ ๒๗ จำได้ว่าเป็นครั้งที่ ๔ เกี่ยวกับระบบใต้สำนึกของมนุษย์ ผมสงสัยว่าจะเรียกว่าเป็นสัญชาตญาณได้หรือไม่ หรือถ้าเรียกเป็นสัญชาตญาณจะแตกต่างกับลางสังหรณ์มากน้อยแค่ไหน ขอกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์
(ท่านพุทธทาส) นี่ก็ยังไม่ใช่ปัญหาธรรมะอีกนั่นแหละแต่มันก็เกี่ยวข้องกันอยู่ คำว่าระบบใต้สำนึกเป็นที่สนใจของนักศึกษาค้นคว้า เพราะว่ามันมีประโยชน์หรือมีอำนาจที่ซ่อนเร้นลึกลับอยู่ ถ้าเราควบคุมมันได้ใช้ประโยชน์ได้เต็มที่ก็มีประโยชน์มาก อ้ายระบบเต็มสำนึกที่เรารู้สึกนี่คือรู้สึกจริง ๆ เป็นconscious ขึ้นมานี้ มันก็มาจากอ้ายที่สะสมไว้ใต้สำนึก เช่นความจำความอะไรต่าง ๆ มันก็เป็นประเภทเหมือนกับว่ามันสะสม เรียกว่ามันมีความเคยชิน เราไม่ถือเป็นว่าดุ้นเป็นก้อนตายตัวเก็บไว้อย่างนั้นไม่ใช่ มันเป็นความเคยชินที่จะเกิดได้ง่าย ระบบใต้สำนึกโดยทั่วไปมันก็ต้องอาศัยอยู่กับสัญชาตญาณ ความรู้อะไรที่เป็นไปได้ตามสัญชาตญาณมันก็เก็บอยู่ใต้สำนึก สัตว์หรือคนนี่เขาก็ทำอะไรไปได้ตามสัญชาตญาณ ถ้าว่าเก็บอยู่ที่ไหนมันก็ต้องถือว่าเก็บอยู่ใต้สำนึก ถ้าสัญชาตญาณนั้นน่ะถูกกระทำคือปรับปรุงมีdevelopedมากไปกว่าที่เป็นสัญชาตญาณมันก็เป็นสติปัญญา ดังนั้นอ้ายการศึกษาอะไรที่เราเรียกว่าสติปัญญานี้ มันก็คือไปเสริมความรู้อย่างที่เป็นสัญชาตญาณให้กลายเป็นญาณที่เราได้ทำให้มันมากขึ้น สัญชาต.สัญชาตญาณแปลว่าอ้ายความรู้ที่มันเกิดอยู่เอง เดี๋ยวนี้เรามันทำให้ความรู้นั้นพัฒนาเราจะเรียกกันใหม่ว่าภาวิตญาณ ผมเรียกเอาเองนะมันไม่มีใน.ในตำราที่เขาเรียนกันในโรงเรียน ภาวิตะนี้แปลว่าทำให้เจริญขึ้นมาแล้ว ตรงกับคำว่าdeveloped ใส่edเข้าไป ฉะนั้นเรามีภาวิตญาณเพิ่มขึ้นตามการศึกษา ฉะนั้นความรู้ที่เป็นสัญชาตญาณมันก็เปลี่ยนไป.เปลี่ยนไปมาเป็นความรู้ที่มากกว่าสัญชาตญาณ อ้ายความรู้ทั้งสองประเภทนี้มันเก็บอยู่ใต้สำนึกพร้อมที่จะออกมา บางทีเราก็ทำให้มันออกมาได้มาก บางทีเราก็ไม่ได้ทำให้มันออกมาได้ก็มีไม่สามารถทำให้มันออกมาได้ก็มี มันแล้วแต่เหตุปัจจัยอยู่เหมือนกัน ผมเคยเห็นอ้าย.อ้ายพวกนักวิทยาศาสตร์ทางจิตค้นคว้าพวกนี้เขาเคยตั้งสมาคมกันขึ้นเพื่อค้นคว้าเกี่ยวกับจิตใต้สำนึกน่าสนใจมากนะ เขาเคยออกหนังสือรายเดือนโดยมุ่งหมายจะให้คนเราเอาจิตหรือความรู้ใต้สำนึกมาใช้ให้เป็นประโยชน์ให้มากที่สุด ตอนหลัง ๆ นี้ไม่ได้.ไม่ได้.ไม่ได้ข่าวหรือไม่ได้ติดต่อเลยไม่รู้เรื่อง แต่มีสมาคมอยู่ทางประเทศอังกฤษทางนั้น ถ้าว่าเราจัดการกับมันได้ระบบใต้สำนึกนี่จะช่วยได้มาก จะช่วยให้คิดเก่งคิดเร็วอะไรรวดเร็วถูกต้องสมบูรณ์ได้ ผมก็ไม่มีปัญญาไม่มีความรู้ก็นึกถึงอ้ายความเคยชินที่เราเรียกกันในบาลีว่าอนุสัย อ้ายกรรมต่าง ๆ ที่มันทำไปแล้วมันก็สะสมที่จะทำอีก อ้ายความเคยชินที่จะทำอีกเป็นอีกไว้ในสันดานในส่วนลึกของสันดานเรียกว่าอนุสัย เรียกว่าอนุสัยเมื่อหมายถึงอ้ายฝ่ายที่ไม่ดี นี่เอาตามคำที่เราใช้ ๆ กันอยู่ ถ้าเป็นไปฝ่ายดีก็เรียกว่าอุปนิสัยหรือบารมี ความรู้ดีทำดีคิดดีพูดดีอะไรดีเราจะเรียกว่ามันสะสมไว้ใต้สำนึกในสันดานเรียกอุปนิสัยหรือบารมีสำหรับจะให้ไปข้างหน้าเรื่อย ๆ ไปถึงที่สุด แต่ถ้าฝ่ายชั่วเป็นฝ่ายกิเลสเราก็ไปเรียกว่าอนุสัย คำนี้มีใช้อยู่ในพระบาลีในพระคัมภีร์แปลว่านอนตามหรือตามนอน บางคนอธิบายเป็นของตายตัวตามนอนเหมือนกับของอะไรไปนอนอยู่อย่างเที่ยงแท้ก็มี ไม่ถูกอธิบายอย่างนี้ไม่ถูก เพราะว่าไม่มีอะไรที่มันจะเป็นก้อนเป็นตนเป็นตัวอย่างนั้นได้ หมายความว่ามันเป็นความเคยชินที่มันจะเกิดง่ายและเกิดเร็ว เหมือนกับว่าเราสะสมไว้มากมันจึงมีปัญหาในทางที่ว่าคนมันจะทำชั่วคิดชั่วพูดชั่วได้โดยง่ายโดยเร็วเหมือนพวกอันธพาลทั้งหลาย ก็เพราะว่ามันมีสิ่งที่เรียกว่าอนุสัยใต้สำนึกนี้มาก ทีนี้ฝ่ายตรงกันข้ามคือฝ่ายดีฝ่ายคนดีมันก็พร้อมหรือรวดเร็วที่จะปรุงขึ้นมาเป็นคิดดีทำดีพูดดีอะไรนี้โดยง่าย นี่โดยส่วนใหญ่ ๆ มันก็จะมีเพียงเท่านี้ ส่วนที่มันจะลึกลับคล้าย ๆ กับว่าของวิเศษลึกลับศักดิ์สิทธิ์นั้นไม่ต้องไปสนใจก็ได้
ที่ผมยังจำได้ในหนังสือที่เคยอ่านนั้นน่ะมันมีลักษณะเป็นทางเนื้อหนังระบบประสาทคือเป็นทางฟิสิกส์เสียมากกว่า เช่นเขาเอาเข็มไปจี้หลังอ้ายคนที่เป็นอัมพาตไม่รู้สึกเลย จี้เข้าไปทางด้านหลังนี่สามครั้ง อ้ายคนนั้นก็ไม่ได้สะดุ้งไม่ได้รู้สึกอะไรมันไม่ได้.ไม่ได้มันไม่รู้สึก เป็นอัมพาตสมบูรณ์ ทีนี้เขาก็พูดทับศัพท์ถามว่าคุณจงลองนึกจำนวนเลขจำนวนใดจำนวนหนึ่งที่คุณอยากจะนึกออกมาเดี๋ยวนี้ ลองนึกว่ามา คนนั้นมันก็บอกเลขตรงตามจำนวนที่เข็มจี้ที่ถูกจี้ ทดลองกี่ทีกี่ทีมันก็ยังเป็นอย่างนั้น จี้สามทีมันบอกเลขสาม จี้ห้าทีมันนึกออกเลขห้า นี้ก็เชื่อว่าอ้ายจิตใต้สำนึกในลักษณะอย่างนี้ก็มีอยู่ คล้ายกับเรื่องผีเรื่องขลังเรื่องศักดิ์สิทธิ์ไป.ไปเลย นี่เป็นตัวอย่างว่ามันมีอะไรอยู่ที่มนุษย์ยังศึกษาไม่ถึงที่สุดเกี่ยวกับความรู้สึกใต้สำนึก ก็มีหมู่คณะบุคคลที่เขาสนใจจะค้นคว้าจะศึกษาให้รู้ใช้ประโยชน์ให้ได้มาก ถ้าอย่างนี้มันก็เกิน.เกินธรรมดามนุษย์มันก็เป็นเรื่องพิเศษไป ถ้าเป็นเรื่องของธรรมะนี่เราเอาแต่ที่มันอยู่ในวิสัยที่มันเป็นไป.ไปได้เอง เอาอย่างที่ว่าเมื่อสักครู่นี้ถ้าทำไปในทางดีมันก็เก็บไว้ใต้สำนึกในเรื่องดีพร้อมที่จะออกมาเป็นดีเร็ว ๆ ทำไปในทางชั่วมันเก็บไว้ใต้สำนึกพร้อมที่ออกมาเป็นความชั่วเร็ว ๆ ระมัดระวังอย่าไปทำความเคยชินการทำชั่ว พูดชั่ว คิดชั่ว ทำกันมาแต่ในทางที่มันจะดีพูดดี คิดดี ทำดีให้มันชิน เช่นเราฝึกให้มีสติสัมปชัญญะเร็ว ๆ และถูกต้อง พอฝึกเข้าฝึกเข้ามันก็ได้ผลคือเร็วจริงเหมือนกัน นี้มันไปเก็บไว้ที่ใต้สำนึก ผลของการฝึกมันเก็บไว้ใต้สำนึกแล้วก็ได้รับผลคุ้มค่าจะกลายเป็นคนที่มีสติสัมปชัญญะเร็ว เกี่ยวกับธรรมะมันก็จะมีกันเพียงเท่านี้ ฝึกกระทำไปในทางที่ดีให้เก็บความเคยชินในทางดีฝังไว้ใต้จิตสำนึกกลายเป็นมีนิสัยดี มีอุปนิสัยดี มีบารมีดี มันก็จะไปในทางดีไปในทางของพระนิพพาน มีอยู่อีกคำหนึ่งว่าครึ่งสำนึก นึกว่ายังไม่.ไม่.ไม่นึกนักจะออกมาเร็วกว่าที่ใต้สำนึก นี่ครึ่งสำนึก มันมีsubconscious มีsemiconscious แล้วก็มีconscious เป็นไปตามธรรมชาติเป็นไปตามเหตุปัจจัยตามกฏของธรรมชาติ แล้วก็ทำการปฏิบัติทำ(ธรรม)(นาทีที่24:51)ตามคำสอนที่มีอยู่สอนมีสอนอยู่แล้วเป็นระบบชัด ๆ นั้นทำไปเถิด ไม่ได้มีผลทั้งทางเต็มสำนึก ครึ่งสำนึก ใต้สำนึกแน่ ๆ อบรมอยู่แต่กับเรื่องของความดีความถูกต้องที่มันไม่ใช่กิเลส ที่มันตรงกันข้ามจากกิเลส นิสัยสันดานมันเปลี่ยนได้ก็คืออ้ายความรู้สึกใต้สำนึกมันเปลี่ยนได้ อบรมคนที่ไม่ดีให้กลายเป็นคนดีได้มันก็เปลี่ยนข้างใน เมื่อเราพอใจอบรมตัวเองอยู่ตลอดเวลาก็เปลี่ยนได้ นี่ถือว่าการกระทำนั้นมีผลไม่ใช่สูญเปล่า การกระทำทั้งหลายมันมีผล
สรุปความว่าเมื่อมองดูกันในแง่ของธรรมะ เราก็อุตส่าห์ระมัดระวังสังวรณ์ทำแต่ที่ดี กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม คงจะมีคลังใต้สำนึกที่ดีอย่างที่มีประโยชน์ที่สุดขึ้นมาเอง ถ้าจะไปพิสูจน์ค้นคว้ากันในแง่ของวิทยาศาสตร์ให้มากเกินไปก็ยังไม่ทราบและไม่รู้จะไปทำกันที่ไหน และดูจะว่ายังไม่จำเป็นถึงขนาดนั้น เอาเพียงเท่านี้ก็พอ หมายมั่นที่จะทำดีแล้วทำไป สัญชาตญาณนี้มันถูกปรับปรุงได้เปลี่ยนแปลงได้และควบคุมได้ ส่วนสัญชาตญาณในทางฝ่ายต่ำนี่มันก็เปลี่ยนแปลงได้ควบคุมได้จนหมดไป การที่จะเปลี่ยนให้คนไม่โลภไม่โกรธ ไม่หลงก็เป็นสิ่งที่ทำได้ หรือว่าอยู่ได้อย่างไม่ต้องอยู่กันเป็นผัวเมียอย่างนี้มันก็ทำได้เพราะว่ามันมีการเปลี่ยนแปลงในภายใน ขอให้พยายามตั้งใจดี ๆ ให้ได้ประโยชน์จากเรื่องนี้ให้มากที่สุด ใครมีปัญหาอะไรอีก
(ผู้ถาม) ปัญหาข้อต่อไปเป็นของพระเสรี ในปัจจุบันนี้อบายมุขทุกรูปแบบได้วิวัฒนาการขึ้นอย่างมากมาย เราจะใช้ธรรมข้อใดและวิธีใดเพื่อให้อบายมุขเหล่านี้ลดลงได้บ้าง
(ท่านพุทธทาส) มันกลายเป็นปัญหาการเมืองของโลกในโลกไป คำว่าเรานี้ก็หมายถึงมันเป็นบุคคลคนหนึ่งและไม่ได้รับผิดชอบไม่มีหน้าที่รับผิดชอบอ้ายเรื่องเหล่านั้น เราไม่สามารถที่จะไปควบคุมอ้ายสังคมใหญ่หรือสังคมโลกได้ เมื่อเขานิยมกันอย่างนั้นมันก็เป็นอย่างนั้นมันมากขึ้น ฉะนั้นสำหรับเราจะทำได้ก็เพียงแต่ว่าอย่าให้อ้ายสิ่งนั้นมันมาครอบงำเรา ให้อบายมุขทุกอย่างที่มีอยู่นี่(นาทีที่29:59)ครอบงำเราไม่ได้มันก็หมดปัญหาสำหรับเรา แต่เราจะไปจัดโลกถึงกับเอาอบายมุขออกไปนี่เราจะเอาอำนาจไหนมาทำ แต่ที่เกี่ยวกับเราที่มันมาจะเล่นมันจะมันจะมาเล่นงานเรานี่เราทำได้ คือเราไม่เอากับมัน หรือว่าให้มันน้อยที่สุดให้ขึ้นชื่อว่าอบายมุขแล้วไม่ควรจะมีเลย ลองคิดดูดื่มน้ำเมานี้ไม่ไหวเอากับมันบ้างก็ไม่ไหว เที่ยวกลางคืนนี้ก็มันไม่ไหว ดูการเล่นยั่วกิเลสก็ไม่ไหว เล่นการพนันนี้ก็ยิ่งไม่ไหว คบคนชั่วเป็นมิตรก็ยิ่งไม่ไหว เกียจคร้านทำการงานก็ไม่ไหวเหมือนกัน แต่ธรรมดาเราก็เกียจคร้านอยู่แล้วก็เกียจคร้านให้น้อยหน่อยเท่านั้น ผมถือว่าทุกคนนี่เกียจคร้านทำการงานไม่จำเป็นไม่ทำหรอก แม้แต่พวกที่มันขยันเป็นกรรมกรเป็นลูกจ้างเป็นอะไรนั้นน่ะมันไม่ได้อยากทำหรอกมันจำเป็นบังคับโดยเนื้อแท้มันไม่อยากทำ ใคร ๆ ก็ไม่อยากทำเพราะมันเป็นธรรมชาติไม่จำเป็นก็ไม่ลุกขึ้นมาทำงาน แม้แต่สัตว์เดรัจฉานไม่จำเป็นมันก็ไม่ลุกขึ้นมาหากิน มันนอนสบายกว่าแต่ความหิวบังคับให้ลุกขึ้นมาหากินอะไรต่าง ๆ ดังนั้นถือว่าอ้ายไม่อยากทำงานนี่คือสัญชาติญาณเดิม แล้วมันเป็นไปไม่ได้มันให้โทษมันต้องควบคุมกันใหม่ ให้ขยันทำงานให้อยากทำงานเห็นเป็นของดีมีค่าจะเรียกว่าจำเป็นก็ได้สำหรับมนุษย์ คือมนุษย์จะได้ก้าวหน้าไปในทางสูงแล้วก็นิพพานได้ ผมอยากจะพูดสักคำหนึ่งว่ายิ่งไม่ทำงานก็ยิ่งไม่รู้จักสิ่งทั้งปวงนี่คุณจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ถ้าเชื่อก็จำเอาไปยิ่งไม่ทำงานจะยิ่งไม่รู้จักสิ่งทั้งปวงตามที่เป็นจริง ฉะนั้นขยันทำงานเถิด มันจะพบนั่นพบนี่พบโน่นในตัวการงานก็ดีในเพื่อนฝูงก็ดีอะไรก็ดีมันจะพบอะไรมาก ยิ่งทำการงานก็ยิ่งรู้จักสิ่งทั้งปวงตามที่เป็นจริง ทีนี้การบรรลุมรรคผลนิพพานมันขึ้นอยู่กับการรู้จักสิ่งทั้งปวงตามที่เป็นจริงและปฏิบัติไม่ผิดไม่ยึดมั่นถือมั่น ถ้าว่าใครมันมีบุญไม่ต้องทำงานมันก็อยู่ได้แล้วมันก็ไม่ทำงานมันก็ไม่รู้จักสิ่งทั้งปวงตามที่เป็นจริงแล้วมันจะโง่ มันจะโง่มากเกินไปก็ได้ แม้ว่าเราไม่จำเป็นไม่มีความจำเป็นบังคับเราก็ทำงานเพื่อให้ก้าวหน้าทางจิตใจ ให้จิตใจมันรู้จักสิ่งทั้งปวงมันจะรู้จักอนิจจังทุกขังอนัตตา จะรู้จักความไม่ควร.ความไม่ควรยึดมั่นถือมั่นยิ่ง ๆ ขึ้นไป นั่นมันดีอย่างนั้น แต่ในเรื่องของฆราวาสในเรื่องอบายมุขนั้นหมายถึงคนขี้เกียจแล้วเป็นอันธพาล เดี๋ยวนี้เราพูดไกลลึกไปกว่านั้นว่าคนเราควรจะชอบทำงาน หมายความว่าไม่.ไม่อยู่นิ่งสิ่งใดเป็นประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่นก็ทำ ถ้าทำในทางที่ดีมันก็จะเป็นประโยชน์ทั้งแก่ตนและแก่ผู้อื่น มองเห็นอันนี้แล้วก็สนุกในการทำงาน ฉะนั้นคนที่จะสนุกในการทำงานก็เพราะมองเห็นข้อนี้ อ้ายที่เขาทำงานเอาผลเช่นทำกสิกรรมเอาผลผลิตอย่างนี้มันก็คงจะสนุกเหมือนกันถ้าเขาหวังผลเห็นผลอยู่ นั้นมันเป็นผลอย่างวัตถุอย่างโลก ๆ เดี๋ยวนี้เราจะเอาผลทางนามธรรมทางจิตใจที่มีแนวไปยังพระนิพพานเพื่อจะให้สัมผัสทุกสิ่งในโลกตามที่เป็นจริง มีปัญญามีจิตใจสูงไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใดเพราะว่ารู้จักสิ่งนั้น ๆ ดีว่ามันเป็นอย่างไร เป็นการสอนอยู่ในตัวชีวิตในตัวการงานนั้นเอง ฉะนั้นคนที่มีอ้ายความเคย.เคยแล้วความผ่านไปแล้วที่เขาเรียกทักษะexperience อะไรก็ตามนี้มันยิ่งมากเท่าไรมันก็ยิ่งดี ให้รู้จักทุกอย่างรวมทั้งตัวเองด้วยในทางที่จะพัฒนาไปในทางสูงหรือไปนิพพาน ใครมีปัญหาอะไรอีก
(ผู้ถาม) ปัญหาของพระคุณครูนะครับ กระผมได้ศึกษาแนวคิดของท่านอาจารย์ว่ามีความเป็นห่วงในศีลธรรมของสังคมในขณะนี้เป็นอย่างมาก พระนวกะจำนวนหลายรูปที่ทำหน้าที่ครูอยากจะเรียนถามท่านอาจารย์ว่า ในฐานะครูอาจารย์ควรสอนนักเรียนอย่างไรให้เป็นผู้มีศีลธรรม
(ท่านพุทธทาส) นี่ปัญหาเฉพาะ.เฉพาะแง่เฉพาะมุมเฉพาะพวก ผมมันรู้แต่เรื่องกว้าง ๆ เรื่องเฉพาะเจาะจงมันก็ไม่ค่อยรู้ ครูจะสอนอย่างไรให้เด็กมีศีลธรรมอย่างนั้นใช่ไหม ปัญหามันว่าอย่างนั้นใช่ไหม นี่ก็เป็นเรื่องที่ผมกำลังเกี่ยวข้องอยู่หรือคิดอยู่ว่าทำอย่างไรศีลธรรมจะกลับมา ทีนี้ในโลกไม่ค่อยมีศีลธรรมจนหาทำยาตา(ธรรมยาตรา)(นาทีที่37:26)ก็ไม่ค่อยได้ ทำอย่างไรมันจะกลับมา มันก็นึกถึงข้อที่ว่าทำให้ประชาชนมีการศึกษาที่ถูกต้องมีการศึกษาที่เพียงพอ การศึกษาที่ขาดในส่วนศีลธรรมนั้นน่ะเราล้อ.เราล้อว่ามันเป็นการศึกษาหมาไม่มีหางหมาหางขาดและต้องทำให้การศึกษาสมบูรณ์ หนึ่ง มีความรู้หนังสือ สอง รู้อาชีพ สาม รู้ธรรม ธรรมะสำหรับควบคุมอ้ายวิชาหนังสือและอาชีพ เดี๋ยวนี้รู้แต่หนังสือกับอาชีพไม่มีธรรมะสำหรับควบคุมมันก็เป็นอันธพาล เด็ก ๆ ของเราไม่มีความรู้ทางธรรมะพอก็ควบคุมตัวเองไม่ได้ รู้หนังสือมันทำให้ฉลาด ฉลาดมันเดินผิดทางก็ได้คือมันไปเห็นแก่ตัวมันก็เดินผิดทาง อาชีพนี้มันไม่ใช่ได้ช่วยให้เราควบคุมตัวเอง มันก็อยากจะเอามาก ๆ อ้ายความรู้ทางอาชีพมันก็อยากจะเอามาก ๆ ไม่ทันใจมันก็เอาในทางทุจริตแล้วก็ประกอบอาชีพทุจริต คนที่ไปอยู่ในคุกในตะรางมันมีความรู้ทางอาชีพทั้งนั้นก็ว่าได้ เขาโชว์สินค้าที่ผลิตออกมาจากเรือนจำมันก็ถึงขนาดศิลปินกันนะช่างฝีมือชั้นเอกมันอยู่ใน.ใน.ในคุก ทำไมมันดันไปอยู่ในคุกก็เพราะมันควบคุมตัวเองไม่ได้ ศิลปินหรือช่างฝีมือไปออกันอยู่ในคุกเพราะมันไม่มีศีลธรรมที่จะควบคุมตัวเองให้.ให้อยู่ในร่องในรอย ฉะนั้นความรู้ของเขานั้นแหละถ้าเขาไปทำก็มีเงินได้รับประโยชน์มีเงินใช้ถมเถไปไม่ต้องไปคดไปโกงอะไร อ้ายโต๊ะไม้ดำประดับมุกมันทำสวยเหมือนกับมาจากเมืองจีนแต่ว่าทำใน.ใน.ในคุกลหุโทษคุกอย่างนี้ ทำไมมันไม่ทำขายเอาเงินเลี้ยงชีวิตไม่ต้องไปอยู่ในคุก นี่เขาไม่มองกันในแง่นี้ก็เลยเห็น.ไม่เห็นความจำเป็นของอ้ายธรรมะของศีลธรรม ผู้จัดการศึกษาของประเทศหรือของโลกไม่เห็นความสำคัญของธรรมหรือศีลธรรม ไม่รีบจัดให้การศึกษามันประกอบอยู่ด้วยธรรม ทีนี้เราเป็นครูเราเอา.เอาอำนาจไหนมาที่จะวางระเบียบหลักสูตรอะไรได้เอง มันก็ต้องมาจากผู้มีอำนาจเบื้องบนให้หลักการมาว่า เอ้า,ทำให้เด็ก ๆ มีศีลธรรมก็ยังดี อย่างเราก็ได้ขวนขวายไปตามเรื่องของเราที่จะทำให้เด็ก ๆ มีศีลธรรม ทีนี้ทำอย่างไรให้ลูกเล็ก ๆ มันมีรากฐานของศีลธรรม ตอบอย่างกว้าง ๆ ได้ใจความว่าทำโดยวิธีใดก็สุดแท้ให้เขากลัวบาปแล้วก็กล้าบุญ เขาใช้คำอย่างนี้กันมาแต่ก่อนนี้ หนังสือเก่า ๆ ก็มีคำใช้ กลัวบาป และกล้าบุญ
ทีนี้ผมเห็นว่าอ้ายที่อบรมกันอยู่บ้างสอนกันอยู่บ้าง โรงเรียนวันอาทิตย์โรงเรียนอะไรก็ดียังไม่ถึงขนาด ไม่มีผลถึงกับว่าให้ลูกเด็ก ๆ กลัวบาป มันอาจจะจำพุทธประวัติได้มากจำหัวข้อธรรมะได้มากท่องได้มาก เขียนไว้เต็มสมุดเป็นเล่ม ๆ แต่เด็กคนนั้นยังไม่กลัวบาปเลย มันยังไม่รู้จักบาปด้วยซ้ำไป ฉะนั้นการที่ให้เรียน ๆ ๆ กันอย่างที่ทำกันอยู่นี้ยังไม่พอที่จะให้เด็ก ๆ นั้นเกิดนิสัยกลัวบาป มีความกลัวบาปอยู่ใต้สำนึก นี่ก็จนปัญญา ตอบได้แต่เพียงว่าต้องทำให้เด็กลูกเล็ก ๆ ชั้นอนุบาลลงไปนี่มันมีความรู้สึกกลัวบาปกลัวพระเจ้า ถ้าเป็นพวกที่เขาถือพระเจ้าศาสนาที่มีพระเจ้า เขาก็อบรมเด็ก ๆ ตั้งแต่แรกคลอดมาให้กลัวพระเจ้าเชื่อพระเจ้าไม่กล้าทำบาป ทีนี้ศาสนาพุทธเราไม่มีหลักเรื่องพระเจ้าแต่เราก็มีคำว่าบาปอยู่ ฉะนั้นทำให้เด็ก ๆ กลัวบาปขยะแขยงเกลียดกลัวบาปวิธีใดก็เอาทั้งนั้น มันเหมือนอบรมเด็ก ๆ ที่ค่อยเล็ก ๆ ที่ค่อย ๆโตขึ้นมาให้เกลียดความชั่วให้เกลียดของสกปรกให้มันเกลียดของสกปรก เดี๋ยวนี้เอาบาปเข้าไปแทนของสกปรกให้มันเกลียดบาป ให้มีหิริโอตัปปะนั่นเอง เกลียดบาปด้วยกลัวบาปด้วย
อยากจะเล่าอะไรสักนิดหนึ่งว่า สมัยก่อนที่การศึกษายังไม่เจริญอย่างนี้ เด็ก ๆ ก็เรียน กอ ขอ นอโม(นาทีที่43:42) อะอาอิอี เขาเรียกว่าเรียนนอโม (นาทีที่ 43:46 ) ถ้าเรียนนอโมก็คือมันต้องเรียน กอขอ กอกา อะอาอิอี เสร็จพร้อมที่จะเริ่มอ่านหนังสือ เข้ามาเรียนนอโมแล้วก็นั่งอ่านหนังสือ เขาก็สอนแบบอย่างสำเร็จรูปเหมือนกับเรียนหนังสือจีน ให้อ่านหนังสือที่มีอยู่สมัยนั้นเขียนลงในสมุดข่อยพับไปพับมาสีดำ ๆ แล้วเรื่องที่เราสังเกตเห็นว่ามันคงมีอิทธิพลมากที่สุดก็เช่นเรื่องสุบิน นิทานเรื่องสุบินที่แต่งกันขึ้นที่นครศรีธรรมราชเป็นแน่นอน เข้าใจเก็บเป็นหลักฐานต่าง ๆ มันส่ออย่างนั้น และในนิทานสุบินนั่นแหละเรื่องสุบินนั้นแหละฝังนิสัยเด็กให้กลัวบาปและกล้าบุญ ในตระกูลนายพรานนั้นมันมีเด็กเล็ก ๆ เกิดขึ้น อายุเจ็ดขวบมันก็แหวกแนวมันก็..พ่อมันตายมันก็ไม่รับ ช่วงพ่อเป็น.เป็นพรานแม่บังคับมันก็ไม่ยอม มันก็ไปบวช และอ้างเหตุว่าแม่ไล่คือแม่ไม่ให้เกี่ยวข้องเพราะแม่ไล่ อุปัชฌาย์อาจารย์ก็บวชให้ ข้างแม่นั้นก็จนลง ๆ จนต้องหักฟืนขายไปนอนอยู่ในป่าก็เหนื่อย ถึงเวลาที่เจ้าหน้าที่จากนรกคือพวกยมบาลมันขึ้นมาสำรวจเห็นยายนี่ผิดปกติมาเอาตัวลงไปในนรก ก็ถามตามแบบของเขาว่าได้ทำบุญกุศลอะไรบ้าง เขาบอกเปล่าเลย ๆ ทั้งนั้น เจ้าหน้าที่ในเมืองนรกเขาก็ตัดสิน ถ้าอย่างนั้นก็ต้องลงโทษตามระเบียบคือเอาไปต้มไปเผาในหม้อนรกตามที่มีอยู่ ผู้หญิงคนนี้พอเห็นไฟนรกมันก็ร้องออกมาว่าเหมือนกับสีจีวรของลูกสุบินคือสามเณร พวกยมบาลก็ถามว่าเอ้า,ไหนบอกว่าไม่เคยทำบุญอะไรเลยนี่มีลูกสุบินบวชอย่างนั้นหรือ นี่มันก็ว่าอย่างนั้น ในที่สุดก็เป็นอันว่าไม่ลงโทษแล้วเพราะมันยังมีลูกบวช แต่ขอพาไปเที่ยวดูให้ทั่วนรกและจำเอาไปด้วย เขาก็พาไปดูนรกทุก ๆ ชนิดแล้วส่งกลับมานอนที่เดิม ผู้หญิงคนนี้ตื่นขึ้นมาก็กลัวตัวสั่นอย่างนีก็วิ่งไปหาเณรที่วัดเลยไม่กลับบ้าน ไปดีกับเณรไปอะไรขอเปลี่ยนชีวิตใหม่อยู่วัด และเล่าเรื่องนรกที่ได้เห็นมาให้ประชาชนฟังให้พระราชาฟัง กลายเป็นคนมีความดีความชอบใหญ่หลวง จนพระราชารับเป็นเจ้าภาพบวชเณรสุบิน ถ้าว่าครบบวชเป็นพระเมื่อไหร่จะเอาไปเป็นนาคหลวง แล้วก็ทำอย่างนั้นจริง ๆ อ้ายเด็ก ๆ มันก็เริ่มไปอ่านเข้าโดยที่ไม่มีอะไรไม่มีความรู้อะไรอื่นมาก่อน เรียกว่าจิตมันยังว่างไม่ได้บรรจุอะไรลงไป มันก็บรรจุเรื่องนรกเรื่องอย่างนี้เป็นเรื่องแรกลงไป มันก็ไปอยู่ใต้สำนึกมันก็กลัวบาปได้ง่าย กล้าบุญได้ง่าย มีคำว่าบวชเณรโปรดแม่บวชพระโปรดพ่อเกิดเป็นขนบธรรมเนียมประเพณีอะไรขึ้นมานี่ อ้าย วัฒนธรรมแบบนี้ที่ทำให้คนมีศีลธรรม แม้ว่าจะงมงายก็ไม่เป็นไรดูในทางหนึ่งก็คล้าย ๆ กับงมงายแต่มันงมงายไปในทางที่มีผลดี กลัวบาปอย่างงมงายกล้าบุญอย่างงมงาย นี้มันเป็นไปทางที่ให้สังคมมีศีลธรรม เดี๋ยวนี้เราไม่เป็นอย่างนั้นลูกเด็ก ๆ อนุบาลไม่เคยอ่านหนังสืออย่างนี้ มันอ่านการ์ตูนมันอ่านเรื่องปรมาณูเรื่องอะไรไปทางนั้น มันไม่เคยมาผ่านกับเรื่องที่ทำให้จิตใจฝังอยู่กับเรื่องบาปเรื่องบุญ นี่ผมคิดว่าคงทำยากที่จะทำให้ลูกเด็ก ๆ สมัยนี้กลัวบาปและกล้าบุญเหมือนกับวิธีโบราณอย่างที่เล่าให้ฟัง ถ้ามันมีวิธีทางจิตวิทยาสมัยใหม่อะไรก็ได้ให้เด็ก ๆ กลัวบาปและกล้าบุญมันก็คงได้เหมือนกัน จิตวิทยาสำหรับครูควรจะเปลี่ยนมาให้ถูกเรื่องคือสามารถทำให้เด็กกลัวบาปแต่กล้าบุญโดยวิชาจิตวิทยาสำหรับครูนั่นเอง มันจะรู้เรื่องพุทธประวัติมากหรือน้อย ข้อธรรมะมากน้อยจะสวดมนต์ได้หรือไม่ได้ ไม่สำคัญเท่ากับว่าให้มันกลัวบาปอย่างสุดชีวิตจิตใจ ให้มันหวังบุญอย่างสุดชีวิตจิตใจ ลงรากฐานให้จริงจังเสียก่อนตั้งแต่เล็ก ๆ ก็ไปเรียนประถมมัธยมอุดมอะไรมันก็อ้ายรากฐานนี้มันอยู่ก่อนมันลบยาก มันคงจะมีผลดีเหมือนคนหลอกให้เด็ก ๆ กลัวจิ้งจก กิ้งกือ ตุ๊กแต นี้มันก็กลัวจนตายมันลบไม่ออก มันถูกหลอกไปตั้งแต่เล็ก วิธีเดียวกันนี้ให้เขากลัวบาปกล้าบุญไปตั้งแต่เล็กให้ติดอยู่จนตาย เป็นสัตบุรุษโดยนิสัยสันดาน มีรากฐานฝ่ายข้างดีอยู่ใต้สำนึกตลอดชีวิต
นี่เราจะทำได้หรือไม่ เราเป็นครูทำตามหลักสูตรของอ้ายกระทรวง แล้วก็เราจะทำอะไรได้กี่มากน้อยนี่ผมก็ไม่ทราบ จะมีได้อยู่ก็แต่ว่าครูคนนั้นสมัครเป็นครูจริง ๆไม่ใช่เป็นครูของกระทรวงกินเงินเดือนเท่าที่จำเป็นบังคับ มันต้องเป็นครูจริง ๆ หวังบุญหวังกุศลจริง ๆ มีแผนการของตัวจริง ๆ ใช้วิชาการวิธีการอุบายจิตวิทยาอะไรก็ตามให้เด็ก ๆ มันกลัวบาปเหมือนกับกลัวผีเหมือนกับกลัวอะไรที่มันกลัวกันนักนักน่ะนักหนาเลย จะทำได้หรือไม่ก็อยู่ที่สมรรถภาพคนนั้นหรือโอกาสหรือเหตุปัจจัยอื่น ๆ ผมนึกมากที่สุดเรื่องนี้แต่ก็จนปัญญาอยู่อย่างนี้ว่าทำอย่างไรศีลธรรมจะกลับมา มันก็มุ่งหมายอย่างนี้ให้คนทุกคนมันมีหลักรากฐานของศีลธรรม กลัวบาปและกล้าบุญโลกนี้ก็จะเป็นสุข
มันควรจะเป็นหน้าที่ขององค์การโลกที่เกี่ยวกับจัดการศึกษาของโลก ดึงศาสนากลับมาทุกศาสนากลับมาสู่ประชาชน แล้วก็ฝังรากกลัวบาปกลัวพระเจ้าเชื่อพระเจ้า อะไรกันก็แล้วแต่เล็ก ๆ เดี๋ยวนี้ในองค์การโลกมันก็ไม่ได้ทำงานนี้เลย ไม่พูดถึงอ้ายเรื่องธรรมะหรือสันติภาพ มีแต่พูดไปในทางที่จะให้คนมันต่อสู้กันฟัดเหวี่ยงกันไม่มีที่สิ้นสุด ถ้าใครทำได้ก็ชื่อว่าทำบุญกุศลอันใหญ่หลวง ครูคนไหนสามารถดำเนินการสอนให้เด็กกลัวบาปเป็นนิสัยไปเลยก็วิเศษ ทีนี้ครูส่วนใหญ่ไม่ได้สนใจเรื่องธรรมะเรื่องศีลธรรม เขาสนใจแต่ประโยชน์ของเขาเอง ไม่มีเวลาที่จะมา(นาทีที่53:21)เลี้ยงดูวิญญาณของลูกเด็ก ๆ ให้มันเดินถูกทาง ผมปวารณาไว้เลยว่ายินดีร่วมมือจะเป็นครูหรือไม่เป็นครูใครก็ตามถ้าจะมาช่วยกันทำให้ศีลธรรมกลับมา ให้เด็ก ๆ กลัวบาปกล้าบุญ แล้วมา.มาร่วมมือร่วมแรงร่วมความคิดร่วมอะไรก็ได้ผมเอาเต็มที่ ดังนั้นเดี๋ยวนี้ตอบไม่ได้ว่าทำอย่างไร ได้แต่ตอบว่าทำให้เด็ก ๆ กลัวบาปและกล้าบุญก็พอ ไม่ต้องรู้อะไรมากไม่ต้องเรียนอะไรมากเกินไป เรียนก็ดีแหละแต่ว่าอ้ายหัวใจแท้ ๆ มันอยู่ที่ทำให้เด็กเกิดกลัวบาปและกล้าบุญขึ้นมาให้ได้แล้วก็พอ เราให้เรียนแต่ในเรื่องราวมากเกินไป อ้ายเรื่องปฏิบัติด้วยจิตใจมันไม่มี ถึงเขาจะเรียนมากสอบอะไรสอบพุทธศาสนาวันอาทิตย์ได้อะไรได้มันก็ยังไม่กลัวบาป ดังนั้นถ้าใครทำให้เด็กกลัวบาปได้คนนั้นก็เรียกว่าทำได้ผล แต่ทำให้เด็กเพียงแต่รู้มากสอบไล่ได้มากกลับจะเหิม อ้ายอวดดีต่อไปทางนั้นแล้วก็ไม่สำเร็จ.ไม่สำเร็จในเรื่องนี้ มันกลายเป็นความรู้ธรรมดาสามัญไปเสีย ไม่เปลี่ยนจิตใจของคนเพราะว่าก่อนแต่ที่เด็ก ๆ จะมาเรียนธรรมะนี้มันมีอะไรใส่เข้าไปไว้แทน เป็นเรื่องความสุขส่วนตัว เห็นแก่ตัวประโยชน์ของตัวอะไรมากเกินไป คำว่าบาปหรือคำว่าบุญยังไม่มีความหมาย เท่าที่เห็นเด็กสมัยนี้กับเด็กสมัยผมเป็นเด็ก ๆ มันต่างกันมาก ชั่วเวลาหกสิบเจ็ดสิบปีมันต่างกันมาก สำหรับความหมายของคำว่า บาปกับบุญ เด็กรุ่นนั้นมันเรียนมาอย่างเก่าคล้าย ๆ กับอย่างที่เล่าให้ฟัง มันก็กลัวบาปโดยที่ไม่รู้ว่าบาปคืออะไร แต่มันบอกกันมาถ่ายทอดกันมาโดยเด็ก ๆ เด็ก ๆ ว่าบาป.บาป เพื่อนทักว่าบาปแล้วมันสะดุ้งมันหยุดชะงัก แล้วค่อยพูดกัน เด็กสมัยนี้เพื่อนทักว่าบาปมันก็แลบลิ้นหลอก นี่มันเปลี่ยนมากถึงขนาดนี้ เพราะการศึกษามันเปลี่ยนการแวดล้อมมันเปลี่ยนวัฒนธรรมมันเปลี่ยนเปลี่ยนหมด ถ้าเกิดมาในตระกูลที่มีวัฒนธรรมให้กลัวบาปอย่างเก่ามาแล้วมันก็กลัวบาปมาแต่แรกคลอด มันมีสิ่งแวดล้อมที่ทำให้สะดุ้งต่อคำว่าบาปจนมันโตขึ้นมา นี่มันง่ายอย่างนี้ ฉะนั้นก็จึงไม่ได้พูดเรื่องบาปเรื่องบุญอะไรกันนักในโรงเรียน ไม่ได้ก็ยังไม่ได้พูดเหมือนกันแหละแต่มันติดมาแล้วจากบ้าน อาจจะมีคนสงสัยว่าการศึกษาสมัยนั้นในโรงเรียนก็ไม่ได้สอนเรื่องศาสนาเรื่องธรรมะอะไรกันนักทำไมคนมันจึงกลัวบาปมากกว่า เพราะมันสอนมาในสายโลหิตมันติดมาจากพ่อแม่ที่มันกลัวบาป ลูกออกมามันก็ได้รับการแวดล้อมแต่ในทางให้กลัวบาปแม้จะงมงายก็.ก็ยังดี ฉะนั้นคนสมัยนั้นจึงกลัวบาป คำว่าบาปนี้มันมีความหมายมาก มันสะดุ้ง เดี๋ยวนี้มันเปลี่ยนเป็นเรื่องเอร็ดอร่อยทางเนื้อทางหนังเป็นดี บาปจะมาขัดคอไม่ได้ ฉันต้องการแต่เรื่องได้อร่อยอย่างนี้ ความหมายคำว่าบาปมันก็ลดไปลดไป ดูครอบครัวบางครอบครัวที่เขาร่ำรวยเขาไม่มีความหมายของคำว่าบาปว่าบุญให้ลูกเด็ก ๆ เขาพะเน้าพะนอให้ลูกเด็ก ๆ ของเขาเฉลียวฉลาดให้สวยให้งามให้เก่งให้กล้าให้อะไรไปตามเรื่อง หวังเรื่องได้อะไรมาก ๆ ไปข้างหน้า ไม่ต้องระวังเรื่องบุญเรื่องบาป จะเป็นกันทั้งโลก
นี่มันตอบได้เพียงเท่านี้ว่าทำให้เด็กเขากลัวบาปที่สุด วิธีการโดยละเอียดจะมีอย่างไรยังตอบไม่ได้ มันก็พอจะมี ถ้าพูดกันปรึกษากันเฉพาะเรื่องนี้เป็นกรณีพิเศษในรูปแบบสัมมนาอะไรก็คงจะพบบ้าง ว่าในโรงเรียนจะต้องมีวิธีการอย่างนั้น.อย่างนั้น.อย่างนั้น.อย่างนั้นเป็นประจำ เด็กก็จะมีนิสัยกลัวบาป ถ้ากระทรวงเขาเอาด้วยก็ได้แน่ แต่ถ้ากระทรวงเขาไม่เอาด้วยเขาไม่เห็นอ้ายข้อเท็จจริงอันนี้มันก็ยากที่ครูคนไหนจะดันไปได้ตามลำพังตน ที่เราสอนกันอยู่บ้างอบรมกันอยู่บ้างสวดมนต์ไหว้พระอะไรกันอยู่บ้างมันยังไม่พอ.มันยังไม่พอ ไหว้พระก่อนเล่าเรียนหรือว่าสวดมนต์อะไรอยู่บ้าง ทำบุญกุศลอยู่บ้างมันยังไม่พอ เพราะมันไม่ทำความเข้าใจกันให้เพียงพอ เรียกว่ามันไม่ลงไปใต้สำนึกมันอยู่ผิว ๆ มันก็หายไปหลุดไปง่าย เราต้องตั้งความปรารถนาแบบมีองค์การ.มีองค์การเถื่อนหรือมีสังคมเถื่อนอ้ายสมาคมเถื่อนคิดกันเรื่องนี้กันก็ดีเหมือนกัน ทำไปเรื่อย ๆ คงจะมีผลบ้าง เดี๋ยวนี้มันไม่อยู่ในความนิยมของประชาชนและไม่อยู่ในหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการไม่รู้จะทำอย่างไร แต่ผมขอยืนยันข้อนี้ทำให้เด็กกลัวบาปกล้าบุญได้แล้วก็เป็นพอ เอ้า,ใครมีปัญหาอะไรอีก ไม่ต้องออกชื่อ เป็นปัญหาของทุกคนก็ได้
(ผู้ถาม) ปัญหาต่อไปนะครับ การทำบุญกับการทำทานต่างกันหรือไม่อย่างไร การอุทิศส่วนกุศลแก่ผู้ล่วงลับไปแล้วจะได้ผลอย่างไรบ้าง
(ท่านพุทธทาส) นี่เป็นปัญหาทางภาษากระมัง ทำทานก็คือทำบุญนั่นแหละ ถ้าทำทานถูกต้องก็คือทำบุญ เรียกติดเป็นคำแฝดเป็นคำเดียวกันไปเสีย ทำบุญทำทาน ถ้าเอาตามตัวหนังสือคำว่า“บุญ” นี่ต้องแปลว่าเครื่อง..เครื่อง..เครื่องภูมิใจ(นาทีที่1:01) เครื่องสบายใจ เครื่องพอใจ คำว่าบุญ แล้วมันก็ข่มบาปและล้างบาป นั่นน่ะความหมายของมัน มันจึงมีว่าเครื่องล้างบาป ทำให้ใจฟูขึ้นมาด้วยความบุญด้วยบุญด้วยความดีมันจะล้างบาป โดยพยัญชนะแปลว่าเครื่องทำให้ฟูใจ สบายใจ โดยอรรถะหมายความว่าเครื่องล้างบาปเรียกว่าบุญ คำว่า “ทาน” แปลว่าให้ คือการให้ เมื่อทำการให้มันก็เป็นบุญสบายใจฟูใจ แล้วก็ล้างบาปคือความตระหนี่ขี้เหนียว เมื่อเอาบวกเป็นอันเดียวกัน แต่ว่าทำบุญทำทานนี่มันเป็นเรื่องทำเพื่อจะให้ล้างความชั่ว คือขี้เหนียวเห็นแก่ตัว ก็เห็นแก่ผู้อื่น มา..มา..มาเป็นเห็นแก่ผู้อื่น มันก็คือได้บุญ ล้างบาปล้างความชั่ว แล้วผลจากนั้นก็คือ ความสุข นี่คนทุกคนควรจะทำบุญ
ทีนี้เรื่องที่สอง(นาทีที่1:03)มันอีกเรื่องต่างหาก ที่ว่าจะอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้วนั้น นั่นมันอีกเรื่องหนึ่ง ถ้าถามว่าได้หรือไม่ได้ คือได้แก่ผู้ที่ตายล่วงลับไปแล้วนั้นจะได้หรือไม่ได้นี้ตอบไม่ได้หรอก มันได้แต่ตอบตามธรรมเนียมตามคำสอนตามธรรมเนียมที่เขามีไว้ว่ามันได้ เพื่อให้คนที่จะทำนั้นมีแก่ใจที่จะทำ ได้แก่คนที่ตายไปแล้ว แต่ว่าแก่คนที่ยังอยู่ยังเป็น ๆ อยู่นี้ได้แน่ ก็เพราะมันทำบุญอย่างที่ว่ามาแล้ว คนที่ทำที่เป็น ๆ นี้มันได้แน่ แต่ที่จะได้แก่คนที่ตายไปแล้วหรือไม่นั้นก็ต้องว่าได้ตามที่เขาถือกันว่าได้ และการถืออย่างนั้นดีกว่า มีประโยชน์กว่าว่าไม่ได้ นี่เราเชื่อว่า ได้ดีกว่าที่จะเชื่อว่าไม่ได้ แต่นี่ไม่ใช่เรื่องสัจธรรมอะไรนัก มันเป็นเรื่องศีลธรรม เป็นเรื่องวัฒนธรรมขนบธรรมเนียมประเพณีที่จะให้มีความกตัญญูกตเวทีอยู่ในหมู่มนุษย์ ถ้าใครยังทำบุญถึงคนที่ตายแล้วอยู่เป็นประจำแล้วก็มันก็ต้องมีความกตัญญูกตเวที เป็นคนดีเป็นคนทำมนุษย์ให้เจริญ อ้ายคำที่เขียนไว้ในอรรถกถานี้มันก็มี ผู้ทำ.ทำบุญที่ถูกต้องตามวิธีทำ(นาทีที่1:05) แล้วก็อุทิศให้แก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ถ้าผู้ที่ล่วงลับไปแล้วรู้..รู้เรื่องนี้โดยวิถีทางใดทางหนึ่งก็ตามใจ เขาไม่ได้บอกว่าทางใด ให้มันรู้ ถ้ามันรู้ ถ้ารู้โดยเทวดาไปบอก หรือว่ารู้โดยวิธีอะไรแล้วเขาก็ต้องยินดีและอนุโมทนาด้วย ผู้ที่ล่วงลับไปแล้วรู้และยินดีและอนุโมทนาด้วยเขาจึงจะได้รับส่วนกุศลอันนี้ ข้อความในพระคัมภีร์มีอยู่อย่างนี้ ผู้ที่จะทำอยากจะทำก็ทำให้ถูก ทำบุญให้ดีและอุทิศให้ตามหน้าที่ ทีนี้ทางฝ่ายผู้รับก็เป็นเรื่องอย่างที่ว่า แต่ถึงอย่างไรก็ดีการทำอย่างนี้มีประโยชน์ทางศีลธรรมทางสังคม จะสร้างสังคมที่เต็มไปด้วยความกตัญญูกตเวทีให้มันดีเอง ทีนี้มันดีอย่างอื่น ๆ ต่อไปอีกเอง มันมีปัญหาส่วนตัวบุคคลเกิดขึ้นคือว่า คนที่รักนี่มันตายลง พ่อแม่อะไรก็ตามมันตาย..ตายลง ทีนี้อ้ายลูกหลานนี้มันรักแล้วมันก็เสียใจ มันก็กระวนกระวายเป็นทุกข์เป็นร้อนคิดไปมาก ว่าจะทำอย่างไรดีก็มีความทุกข์อย่างนี้ เขาจึงมีอ้ายคำสอนระบบนี้ขึ้นมาว่า ให้ทำบุญอุทิศส่งไปให้แล้วเขาก็ได้ ๆ ๆ ๆ คนนี้ไม่ต้องมาเสียใจมาร้องไห้มาอาลัยอาวรณ์ให้เป็นทุกข์ ดังนั้นจึงมีระบบการทำบุญให้แก่ผู้ตาย เมื่อเราเป็นทุกข์เพราะความรัก ความรักคนที่ตายไปแล้วอย่างอื่นไม่.ไม่.ไม่ดีเท่า ทีนี้ผลมันก็เกิด ที่เรียกว่าการทำบุญนั้นมันเป็นการสงเคราะห์สังคม จะทำบุญให้ผู้ตายก็จริงแต่การกระทำนั้นมันเป็นการสงเคราะห์สังคม สงเคราะห์วัดวาอาราม สงเคราะห์อะไรต่าง ๆ ที่มันเป็นเรื่องประโยชน์ของสังคมมันก็ดี ส่วนนี้มันก็ดี
ถ้าถามว่าได้หรือไม่ได้นี่ผมตอบไม่ได้หรอก แต่ว่าตอบตามที่มีหลักคำสอนเขาก็ว่าอย่างนี้ ก็ว่าได้โดยวิธีอย่างนี้ไม่ใช่ยืนยันว่าได้จริง อย่างนี้ตอบไม่ได้ ก็มันเป็นคนละโลกไปแล้ว คนที่ตายกับคนที่ยังอยู่ แต่เขาไม่สอนเขาไม่ได้ให้พูดอย่างนี้นะ คือมันไม่ส่งเสริมให้คนเชื่อยึดถือหรือทำบุญ เขาสอนให้เชื่อมั่น.ให้เชื่อมั่นดีกว่า ให้เชื่อมั่นว่าได้ คนตายแล้วไปเกิดไปเกิดแล้วเราก็ทำบุญส่งไปให้ ไปถึงแล้วก็ได้ นี้เป็นรากฐานมั่นคงของศีลธรรมเหมือนกัน มีประโยชน์อย่าไปเลิกล้างอะไร อย่าไปคัดค้านอย่าไปกระแนะกระแหนอะไร ขนบธรรมเนียมประเพณีอันนี้ เพราะอย่างน้อยมันมีประโยชน์ชัดอย่างยิ่งแก่สังคมหรือแก่ตัวผู้กระทำนั้นด้วย ถ้าไปตั้งปัญหาจู้จี้แล้วมันก็มีแต่จะเป็นผลเสียทางประโยชน์ของสังคม มีปัญหาอะไรอีก
(ผู้ถาม) ปัญหานี้มีสามข้อ ข้อหนึ่ง พระธรรมไตรปิฎกของพระพุทธศาสนาในประเทศไทยมีมาได้ ต้นฉบับได้มาจากไหน หรือใครเป็นผู้บันทึกไว้ก่อน
(ท่านพุทธทาส) เรื่องโบราณคดีไม่เกี่ยวกับธรรมะ คือว่าตามที่เขาถือหรือเชื่อกัน เขาว่าผ่านมาทางลังกา เพราะพระไตรปิฎกเพิ่งไปมีการเขียนกันที่ลังกา เมื่ออยู่ในอินเดียไม่มีการเขียนมีการท่องจำด้วยปาก แล้วก็พาไปลังกาไปเขียนกันเป็นลายลักษณ์อักษรที่นั่น แต่บางคนนักโบราณคดีบางคนเขาบอกว่ามันก็มีเขียนไปบ้างแล้วจากอินเดีย จากอินเดียนี้ จะไป(นาทีที่1:10)คงจะเป็นส่วนน้อย ที่มันไปเขียนกันเต็มที่เขาว่าเขียนกันที่ลังกา แล้วจึงค่อยแผ่ไปตามประเทศต่าง ๆ ที่มันเกี่ยวข้อง ก็เป็นมาตามแบบของอ้ายนี่ตามแบบที่เรียกว่ามนุษย์มันก็มีการขวนขวายถ่ายเทกันไปตามเรื่องจนมาอยู่ในเมืองไทย แล้วเขียนอยู่ด้วยอักษรขอมไม่มีอักษรลังกาเลย พระไตรปิฎกในประเทศไทยทีแรกก็มาอยู่ในอักษรขอมในใบลาน แล้วมันก็น่าสงสัยว่าเอาฉบับลังกามา แล้วเอามาแปลงเป็นอักษรขอมนี่ทำไปทำไม ทำไมไม่รักษาฉบับลังกาอักษรลังกาไว้ ต่อมาเขาก็แปลงตัวอักษรขอมมาเป็นตัวอักษรไทยพิมพ์เป็นอักษรไทยเป็นเล่มสมุด เรื่องอย่างนี้ควรจะตัดบทออกไปเสียอย่าไปสนใจอ้ายเรื่องโบราณคดีในทางที่จะทำให้เสื่อมคลายความเชื่อถือ เอาเป็นว่ามีพระไตรปิฎกแล้ว แล้วเราก็ไม่ได้เชื่อตามพระไตรปิฎกตามตัวหนังสืออย่างที่เรียกว่าพออ่านแล้วก็เชื่อ ก็ถือตามหลักของพระพุทธเจ้าว่ามันว่าอย่างไร มันสอนว่าอย่างไร แล้วมาพิจารณาดูว่าถ้าทำตามกันแล้วมันจะมีผลดีอย่างนั้นจริงหรือไม่ ถ้าเห็นเค้าเงื่อนว่าทำตามกันแล้วจะมีผลดีอย่างนั้นจริงก็ลองทำดู มันก็จะพิสูจน์ว่ามีผลดีจริงแล้วก็ทำให้มากมากยิ่ง ๆ ขึ้นไป เรามีหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติต่อพระไตรปิฎกอย่างนี้แหละ มีแต่สอนให้ทำดีอย่างนั้นแหละ แล้วมันยังยุ่ง ทำดีอย่างมีตัวมีตนก็มี ทำดีอย่างไม่มีตัวไม่มีตนก็มีมันยุ่งมันตีกันยุ่งเหมือนกัน คนมีตัวมีตนก็ทำดีอย่างมีตัวมีตน คนอยากจะพ้นตัวพ้นตนก็ทำดีอย่างที่ว่าไม่ต้องมีตัวไม่มีตน ข้อความในพระไตรปิฎกนั้นมีทั้งอย่างที่มีตัวตนและไม่มีตัวตน
ข้อความตอนหนึ่งว่าเรามีความเกิดเป็นธรรมดาไม่พ้นความเกิดไปได้ มีความแก่เป็นธรรมดาไม่พ้นความแก่ไปได้ ทั้งมีความตายเป็นธรรมดาไม่พ้นความตาย นี่คุณก็สวดกันบ้างใช่ไหม นี่ตอนอย่างนี้มันก็มี ว่าเราไม่อาจจะพ้นอ้ายความเกิด แก่ เจ็บ ตายไปได้ ก็.ก็เห็นว่าอยู่ในรูปพุทธภาษิตเหมือนกัน ถ้าอย่างนี้แล้วมันก็ขัดกันอย่างสิ้นเชิง จะว่าพุทธศาสนาพระพุทธเจ้าต้องการให้อยู่เหนือพ้น.พ้นความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย คือพระนิพพาน นี่แหละอย่างหนึ่งมันก็สอนอย่างมีตัวมีตน อย่างเอาวัตถุบุคคลเนื้อหนังร่างกายนี้เป็นหลัก ร่างกายนี้มันก็ไม่พ้นความตายไปได้ แต่อีกทางหนึ่งมันสอนอย่างไม่ต้องมีนั่น ว่าจิตนี้มันจะอยู่เหนือความตายได้ เราไม่เอาเรื่องอย่างนี้มาเป็นเรื่องขัดขวางกัน เรามีความทุกข์อย่างไรก็หาวิธีดับทุกข์โดยตรง เมื่อทุกข์.ความทุกข์เกิดมาจากอุปาทานเกิดจากตัณหาก็อย่าเกิดตัณหาอุปาทานนั้นถูกแล้ว พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าที่เรียกกาลามสูตรไปศึกษาดู มันมีบทสำคัญที่ว่าไม่รับมาเชื่อเพราะเหตุว่ามีในปิฎก ไม่รับเอามาเชื่อนี้มันผู้พูดเป็นครูของเราหรือผู้พูดอยู่ในฐานะที่จะเชื่อได้ หมายความว่าท่านไม่ต้องการให้เชื่อไปตามตัวอักษร ต้องเอาฟังมาว่ามันว่าอย่างไร มันมีหลักว่าอย่างไรเอามาใคร่ครวญดู พอเห็นเค้าว่าทำตามแล้วมันจะมีประโยชน์แน่ก็จะทำตาม เช่นบอกว่าความโลภมันเป็นความทุกข์นะ ทำลายเสียนะ ทำลายไปแล้วจะมีความสุข นี่เราก็มองเห็นเราก็ทำตามได้เรียกว่าเราเชื่อเรา เชื่อปัญญาตามที่เห็นตามที่เป็นจริง ไม่เชื่อด้วยเหตุว่ามันมีผู้กล่าว ผู้กล่าวควรเชื่อได้ผู้กล่าวเป็นครูของเราหรือว่าถ้อยคำนี้มีอยู่ในพระไตรปิฎก นี่พระพุทธเจ้าท่านให้เสรีภาพมากถึงขนาดนี้ ทำปัญญาให้เกิดขึ้นในสิ่งนั้น ใคร่ครวญดูว่ามัน.มันดับทุกข์ได้จริงแล้วก็เอามาลองดู พอลองดูมันดับได้จริงจึงค่อยเชื่ออีกทีหนึ่ง เชื่อการพิสูจน์ทดลองนี้ก็ทำต่อ ๆ ๆ ไปจนดับทุกข์หมดได้จริง นี่มันเป็นวิทยาศาสตร์อย่างนี้ อย่างนี้ผมเรียกว่าเป็นวิทยาศาสตร์ไม่ใช่เป็นปรัชญาที่คำนวณด้วยเหตุผลฝากไว้กับเหตุผล เหตุผลมันก็เปลี่ยนได้ มันก็ มันไม่มั่นคง
ฉะนั้นพระไตรปิฎกจะมาอย่างไร อย่าไปสนใจให้มันเหนื่อย สนใจเดี๋ยวนี้มันมีพระไตรปิฎกอยู่อย่างนี้ แล้วว่าอย่างไรเยอะแยะไปหมด เพราะตั้ง ๘๔,๐๐๐ ประเด็นหัวข้อ ทีนี้เราก็ดูว่าหัวข้อไหนมันว่าอย่างไรที่น่าสนใจเอามาสนใจดูมาใคร่ครวญดู ถ้าเห็นว่าอย่างนี้ทำตามแล้วดับทุกข์ได้ก็เอาเอาลองดูทำตาม แล้วก็พิสูจน์เองว่าได้ผลก็ทำต่อไป พยายามปฏิบัติต่อพระไตรปิฎกอย่างนี้จะตรงตามพระพุทธประสงค์ ถ้ามาเอามาเชื่ออย่างงมงายตามตัวอักษรเดี๋ยวยุ่งหัว เพราะทางนี้ก็พูดอย่างมีตัวตน ทางนี้ก็พูดอย่างไม่มีตัวตน ทางนี้ก็พูดอย่างว่าได้ ทางโน้นอย่างว่าไม่ได้หรือไม่เอา เป็นการตอบคำถามที่อ้อมเลี่ยงไปจากคำถาม พระไตรปิฎกมาอย่างไรมาสู่ประเทศไทยบอกว่าอย่าไปสนใจเลย ไปอ่านดูไปศึกษาดูว่าสอนว่าอย่างไร อะไรจะมีประโยชน์ก็มาลองดู เดี๋ยวนี้ก็พอจะยุติได้แล้วเพราะมันตรงกันหมด พอจะยึดถือเป็นหลักได้ว่าพระไตรปิฎกมันมีอยู่อย่างนั้นจริง คือฉบับที่ลังกาก็ดี ฉบับเมืองไทยก็ดี พม่า มอญ ลาวนี่ก็เหมือนกันหมด ตรงกันเรียกว่าตรงกันไม่มีปัญหาแล้ว พระไตรปิฎกฝ่ายเถรวาท เป็นอันว่ามีอยู่อย่างนี้จริง ๆ ทีนี้ใครจะสนใจคำไหนข้อไหนตอนไหนมาปฏิบัติ ก็เอามาศึกษาเฉพาะข้อนั้นตอนนั้นก็เลือกดู มันมากมาย อย่างที่เราเอามาให้สวด เป็นสวดมนตร์ทำวัตรเช้าเย็นกันอยู่นี้ที่เป็นตัวบทธรรมะนั้นมันก็มาจากพระไตรปิฎกทั้งนั้น เอ้า ใครมีปัญหายังไงต่อไปอีก
(ผู้ถาม) ข้อต่อไปนะครับ การสอนโดยทั่วไปโดยเฉพาะสมัยโบราณสอนให้เห็นบาปบุญคุณโทษมักจะอ้างเอาสวรรค์และนรก เป็นผลของการกระทำ แต่การสอนของท่านอาจารย์ไม่ได้กล่าวอ้างดังแต่ก่อน มีเหตุปัจจัยมาอย่างไร
(ท่านพุทธทาส) ไม่ได้กล่าวอ้างอย่างแต่ก่อนนั้นหมายความว่าอย่างไร
(ผู้ถาม) กระผมทบทวนอีกทีนะครับ การสอนโดยทั่วไปโดยเฉพาะสมัยโบราณสอนให้เห็นบาปบุญคุณโทษมักจะอ้างเอาสวรรค์และนรกเป็นผลของการกระทำ แต่การสอนของท่านอาจารย์ไม่ได้กล่าวอ้างดังแต่ก่อน มีเหตุผลปัจจัยอย่างไร
(ท่านพุทธทาส) คงจะ.คงจะมองไปทางที่อีกทางหนึ่ง คือว่าเราก็ยังคงสอนว่าทำดี ดี ทำชั่ว ชั่ว ผลของความดีคือสวรรค์ ผลของความไม่ดีคือนรกอยู่นั่นแหละ ไม่ได้เปลี่ยนข้อนี้ ไม่ได้ยกเลิกคำว่านรกคำว่าสวรรค์ หรืออันนี้ไม่ได้ยกเลิก จะแปลกบ้างก็ตรงที่ว่า ที่เขาพูดว่าสวรรค์อยู่ข้างบน.สวรรค์อยู่ข้างบนนั้น นรกอยู่ข้างใต้.ใต้ดินนั้น แล้วก็จะไปถึงกันต่อเมื่อตายแล้ว ตายแล้วจึงจะไปนรกไปสวรรค์ เขาก็สอนเป็นธรรมเนียมกันมาอย่างนั้น นอกพุทธศาสนาก็มีสอนอย่างนี้ ศาสนาฮินดูศาสนาอะไรในครั้งพุทธกาลก็สอนอย่างนี้ ที่นี้ผมมาแนะว่า อ้ายนรกข้างบน.นรกข้างใต้สวรรค์ข้างบนถึงกับตายแล้วนั้นเก็บไว้ทีก่อน พักไว้พักไว้พักเอาไว้ก่อน มาเอานรกที่เรารู้สึกได้ สวรรค์ที่เรารู้สึกได้ที่นี่และเดี๋ยวนี้ พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าอ้ายนรกที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจฉันเห็นแล้ว สวรรค์ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจฉันเห็นแล้ว นี่มันตรงกับคำสอนของปู่ย่าตายายอีกพวกหนึ่งซึ่งฉลาดมาก คนแก่ ๆ ปู่ย่าตายายของเราเคยพูดมาแล้วว่า สวรรค์อยู่ในอกนรกอยู่ในใจไม่ได้อยู่ข้างบน นรกไม่ได้อยู่ข้างล่าง หรือถึงกับตายแล้วท่านไม่ได้ว่าอย่างนั้น สวรรค์อยู่ในอกนรกอยู่ในใจ แล้วก็ต้องในอกในใจของคนยังเป็น ๆ ถ้าคนตายแล้วมันจะรู้สึกอะไรได้ เพราะว่าอยู่ในใจคือรู้สึกได้ ดังนั้นความหมายของสวรรค์ก็คือว่าพอใจ ไม่มีความทุกข์สบายใจอิ่มใจเย็นใจนี่คือสวรรค์ ความหมายของสวรรค์ ถ้าร้อนเป็นไฟก็คือนรก อย่ามีนรกที่นี่ชาตินี้ เดี๋ยวนี้ที่นี่อย่ามีนรก แล้วก็มีสวรรค์ให้มาก ๆ ที่นี่เดี๋ยวนี้ ให้พอใจรักตัวเองยกมือไหว้ตัวเองอะไรได้อยู่ ก็เป็นสวรรค์ที่นี่และเดี๋ยวนี้ ถ้าได้อย่างนี้แล้วก็พอ เรียกว่ามีสวรรค์จริง นรกจริง แล้วก็ไม่ต้องกลัวอ้ายนรก ก็ตายแล้วใต้ดินมันก็ไม่ตกหรอก ถ้าเราไม่ตกนรกที่นี่ ไม่.ไม่.ไม่ตกนรกในอกในใจนี้แล้วก็ไม่.ไม่.ไม่ตกนรกหลังจากตายแล้ว ถ้าเราได้สวรรค์ในอกในใจอย่างที่นี่แล้วก็เราก็ต้องได้สวรรค์ชนิดต่อตายแล้วเพราะว่ามันเป็นผลของความดี ฉะนั้นทำความดีให้ได้สวรรค์ในอกในใจนี้แล้วก็ไม่ตกนรกในอกในใจที่นี่ นี้มันจริงกว่า มัน.มันเรียกว่าสันทิฎฐิโก ธรรมะต้องเป็นสันทิฎฐิโกคือเห็นได้เอง และก็ต้องเป็นอกาลิโกไม่ขึ้นอยู่กับเวลา ปัจจัตตัง เวทิตัพโพผู้มีปัญญามองเห็นได้ด้วยตน นี่เราบอกนรกสวรรค์อย่างนี้เป็นสันทิฎฐิโก อกาลิโก ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ คือเป็นเอหิปัสสิโกอาจชวนคนให้มาดู ผมบอกอย่างนี้นะ ไม่ได้.ไม่ได้เคยยกเลิกว่าสวรรค์เมื่อตายแล้วไม่มีอย่างนี้ ยกเลิกนี้ไม่มี บางทีผมก็พูดติดตลกว่าไม่ต้องไปลบภาพเขียนที่ในโบสถ์เรื่องพระมาลัยอย่างนี้ก็มี ขอให้สนใจสวรรค์ในอกนรกในใจที่นี่ ทีนี้กำลัง.กำลังมีคนหาเรื่องด่า.ด่าผมว่าผมมันไปยกเลิกอ้ายนรกสวรรค์อย่างที่เขากล่าวไว้แต่ก่อน แล้วมาพูดเอาเองใหม่ว่าอย่างนี้ มันไม่ใช่อย่างนี้ ผมไม่เคยยกเลิกไม่ได้ยกเลิก ไปดูคำเทศน์คำปาฐกถาบรรยายที่มีปรากฎอยู่เป็นหลักฐาน ไม่ได้บอกว่านั้นไม่จริงหรือว่านั้นหลอกลวงไม่ได้เคยมี จะบอกว่ามันอยู่ที่นี่ ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี้ก็ไม่ใช่ความรู้ของผม เป็นคำตรัสของพระพุทธเจ้าว่ามันอยู่ที่อายตนะทั้ง ๖ นี้แล้วเราก็เห็นด้วยก็รู้สึกเห็นด้วย เห็นรู้สึกคือเห็นจริง ๆ รู้สึกจริง ๆ จึงเอามาบอกต่อ ๆ กันไปว่า ที่ปู่ย่าตายายเขาพูดว่านรก. สวรรค์ในอกนรกในใจนั้นถูกแล้วดู.ดูอย่างนี้ ดังนั้นอย่าตกนรกที่นี่ ให้ได้ขึ้นสวรรค์ที่นี่ ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจมันก็พอ รับประกันได้ตลอดคือหมดเลย ที่นี่หรือว่าต่อตายแล้ว หรือชาติ ๆ ต่อถัดนั้นไปอีกก็ได้ทั้งนั้น มันไปแถวเดียวกันหมด เราพูดอย่างนี้ก็เพื่อให้เห็นชัดกันเดี๋ยวนี้เข้าใจกันได้เดี๋ยวนี้แล้วก็ให้ทำได้เดี๋ยวนี้ คือประยุกต์ได้applyได้ ฉะนั้นที่.ที่พูดว่าผมไม่.ไม่สอนอย่างนั้นก็ไม่ถูกหรอก เพียงแต่ผมอธิบายเสียใหม่ว่าให้.ให้มองกันอย่างนี้ แล้วพอก็จะไปหาเรื่องนั้น คือทำดี ดีไปสวรรค์ ทำชั่ว ชั่วไปนรกเป็นนรก พอทำชั่ว มันก็ชั่วแล้วก็เป็นนรกอยู่ที่นั่นแหละ พอทำดีมันก็ดีแล้วมันก็เป็นสวรรค์อยู่ที่นั่น ผมใช้คำพูดว่าทำดีก็ดี ทำชั่วก็ชั่ว ไม่ใช้คำว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เพราะคนเขาฟังผิด ทำดีมันดีเพราะมันอ้าย.อ้ายอาการกระทำนั้นเราบัญญัติยอมรับกันว่าดี ไปทำเข้ามันก็ดี อ้ายชั่วเราบัญญัติกันว่าชั่วพอทำเข้ามันก็ชั่ว ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว ยังช้าไปยังต้องได้ทีหนึ่ง ไม่ต้อง.ไม่ต้องรอ พอทำดีก็ดีเสร็จ ทำชั่วก็ชั่วเสร็จ ที่ได้ดีนั้นมันก็ต้องได้ไปในทางดีจริงจริง ไม่ใช่ได้เงินได้รวยได้อะไรที่เขาเอามาเป็นข้ออ้าง ว่าคนนี้ทำดีแล้วยังจนนัก คนนั้นทำชั่วแล้วรวยเหลือเกิน นี่มันก็ตีกันยุ่งหมดเพราะใช้ถ้อยคำที่มีความหมายไม่เหมือนกัน ทำดีแล้วมันต้องดีมันชั่วไปไม่ได้ ทำชั่วมันต้องชั่วมันดีไปไม่ได้ ส่วนที่จะได้ผลพลอยได้เรื่องเงินเรื่องชื่อเสียงเรื่องอะไรต่าง ๆ นั้นมันไม่แน่ มันได้มาจากความชั่วก็ได้ ได้มาจากความดีก็ได้มันเป็นเรื่องข้างนอก ฉะนั้นคนทำชั่วกำลังรวยอยู่มันก็ได้นี่มันก็จริงนี่ มันมีความชั่วอะไรของเขาพิเศษที่ทำให้เขาได้ด้วยความชั่วแต่เขาก็ต้องชั่วเขาจะดีไปไม่ได้ ฉะนั้นเราไม่ต้องยกเลิกแล้ว จะบอกให้รู้ว่าทุก ๆ คนนี้อย่าไปยกเลิกอะไรที่เขาได้พูดไว้แล้ว ที่ปู่ย่าตายายบรรพบุรุษได้พูดไว้แล้วไม่ต้องยกเลิก จะไปหาความหมายหรือคำอธิบายที่ถูกต้อง เรื่องนรกเรื่องสวรรค์เรื่องตายเกิดตายไม่เกิดอย่าไป.อย่าไปยกเลิกมัน ทางไหนมีประโยชน์แล้วก็ถือเอาทางนั้น ถ้าถือว่าตายแล้วเกิดมีประโยชน์ก็ถือว่าตายแล้วเกิดมันมีประโยชน์ แต่ถ้าพูดเป็นพุทธศาสนาจริง ๆ แล้วใช้ไม่ได้ทั้งนั้น นั่นมันอีกชั้นหนึ่งคือมันพูดชั้นจริง ๆ คือไม่พูดว่าตายแล้วเกิด คือตายแล้วไม่เกิด ตายแล้วเกิดบ้างไม่เกิดบ้างก็ไม่พูด ตายแล้วเกิดก็ไม่ใช่ ไม่เกิดก็ไม่ใช่ก็ไม่พูด เพราะมันไม่มีคนโดยแท้จริงมันมีแต่กระแสแห่งอิทัปปัจจยตา ถ้าคุณว่าไม่ถูกก็ไม่ถูกมันมีแต่กระแสอิทัปปัจจยตา ปรุงแต่งไปตามธรรมชาติของสังขาร จะไปสมมติบัญญัติตอนนั้นว่าเกิด สมมติบัญญัติตอนนี้ว่าตาย สมมติว่าเกิดใหม่อะไรก็ตามใจ ในชั้นชาวบ้านชั้นโลก ๆ นี้ถืออย่างไรมีประโยชน์แก่ตนเองและผู้อื่นแล้วก็ถืออย่างนั้น ถือว่าตายแล้วเกิดมันมีประโยชน์แก่เราและแก่สังคมเราก็ถืออย่างนั้น เราปฏิบัติไปตามนั้น แต่โดยเนื้อแท้ของพุทธศาสนาจะไม่มีพูดว่าตายแล้วเกิด หรือตายแล้วไม่เกิด หรือว่าเกิดบ้างไม่เกิดบ้าง หรือว่าเกิดก็ไม่ใช่ ไม่เกิดก็ไม่ใช่ ทั้งสี่อย่างนี้ไม่เป็นพุทธศาสนา เพราะมันมิได้มีคนที่ตายไปคนเดียวกันไปเกิดไปอะไร แม้แต่ที่.ที่นั่งอยู่ที่นี่ ก็ไม่ถือว่ามีคนไม่ใช่คน เป็นกระแสแห่งอิทัปปัจจยตาของธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ วิญญาณ อะไรก็ตามเรื่อง พอพูดอย่างนี้อ้ายพวกที่ไม่เข้าใจมันก็ เอ้า,นี่บ้าแล้ว นี่เป็นนัตถิกทิฏฐิแล้วถือว่าไม่มีอะไร ผมบอกว่ามี มีสิ่งที่แน่นอนที่สุด คือกระแสแห่งอิทัปปัจจยตา ไม่ใช่ไม่มีอะไร มันมีสิ่งที่จริงจังที่สุดแน่นอนที่สุด คือกระแสแห่งอิทัปปัจจยตา จำไว้ก่อนก็ได้ถ้ายังไม่เข้าใจเดี๋ยวนี้จำไว้ก่อนก็ได้ ไปหาความเข้าใจข้างหน้าว่า มันมีแต่กระแสแห่งอิทัปปัจจยตา ไม่ได้มีสัตว์บุคคลตัวตนอะไร ปัญหาต่อไปว่าอะไร
(ผู้ถาม) วิญญาณคือจิตเริ่มมีตั้งแต่ทารกที่อยู่ในครรภ์ ตั้งแต่เป็นก้อนเลือดหรือเป็นตัวตน ต้นไม้มีวิญญาณหรือไม่ การเวียนว่ายตายเกิดที่คนส่วนใหญ่คิดว่ายังมีอยู่ เป็นความคิดที่ถูกต้องหรือไม่
(ท่านพุทธทาส) หลายข้อ ว่าทีละข้อ ข้อแรกว่าอย่างไร คำถามตอนแรก
(ผู้ถาม) วิญญาณคือจิตเริ่มมีตั้งแต่ทารกที่อยู่ในครรภ์ ตั้งแต่เป็นก้อนเลือดหรือเป็นตัวตน . ต้นไม้
(ท่านพุทธทาส) เดี๋ยวก่อนเดี๋ยวก่อน ยังไม่ต้นไม้ ว่าเรื่องตอนนี้ก่อน นี่มันเกี่ยวกับคำพูดเกี่ยวกับภาษาที่ใช้ ถ้าวิญญาณตามแบบของพระพุทธเจ้ามันเพิ่งมีเมื่อตากระทบรูป หูกระทบเสียง จมูกกระทบกลิ่น หกคู่นั้น นั่นจึงมีวิญญาณ วิญญาณมีเมื่อตอนนี้ แต่ถ้าว่าวิญญาณจุติปฏิสนธิมาเกิดเข้าท้องนั้นไม่.ไม่.ไม่พบที่พระพุทธเจ้าท่านว่า ด้วยคำสอนดั้งเดิมก่อนพระพุทธเจ้าในฝ่ายศาสนาพราหมณ์ คัมภีร์อุปนิษัทอะไรพวกนั้น พวกพราหมณ์ พวกฮินดูนี่เขามาก่อน เขามาสอนให้คนแถวนี้ทั้งหมดให้เชื่ออย่างนั้นไปแล้วทั้งนั้น พุทธศาสนามาทีหลัง พวกพราหมณ์มาสอนศาสนาพราหมณ์เรื่องมีวิญญาณเรื่องมีที่ว่าวิญญาณจุติปฏิสนธิมาเกิดเข้าท้องแม่นี้สอน.สอนไว้เต็มที่แล้วก่อนแล้ว เขามาเป็นครูบาอาจารย์ในราชสำนักอะไรสอนให้ประชาชนทั้งหลายยึดยึดถือหลักอันนี้ ฉะนั้นวิญญาณคำนั้นมีความหมายอย่างอื่นตามแบบของศาสนานั้นลัทธินั้น ซึ่งเราก็รับเอามาอย่างแน่นแฟ้น ถือศาสนาพราหมณ์ฮินดูพูดอย่างนั้น แต่ถ้าถือศาสนาพุทธก็จะพูดว่าวิญญาณนี้เพิ่งมีเมื่อตากระทบรูปเป็นจักษุวิญญาณเกิดขึ้น หูกระทบเสียงเป็นโสตวิญญาณเกิดขึ้น จมูกได้กลิ่นเป็นฆานวิญญาณเกิดขึ้น นี่วิญญาณเพิ่งมีเดี๋ยวนี้ ฉะนั้นเราจะถือพร้อมกันก็ได้ อ้ายวิญญาณอย่างนั้นมันคำเรียกชื่อเหมือนกัน แต่ความหมายอย่างอื่น มันเป็นที่แน่นอนว่าได้ถือศาสนาสองศาสนาพร้อมกัน เพราะว่าศาสนาพราหมณ์เขามาสอนก่อนวางรากฐานเรียบวุธเรียบร้อยไปหมดแล้วประชาชนเขาถืออยู่ นี่พุทธศาสนามาถึงก็สอนตามแบบของพุทธศาสนา มันก็ดีกว่าสูงกว่าในแง่อื่นก็รับไว้ ก็ในชั้นปัญญาชนเสียมากกว่าอ้ายชั้นทั่วไปมันก็ถืออย่างเดิม ใครจะไปแยกกันได้ใครจะไปบังคับเขาได้ ดังนั้นพระเจ้าแผ่นดินผู้มีอำนาจก็ยอมให้ประชาชนถือสองอย่างพร้อมกัน ถืออย่างนั้นก็พูดไปอย่างนั้นวิญญาณเกิดจุติปฏิสนธิไปอย่างนั้น ทีนี้ก็ทางพุทธก็เพิ่งมีวิญญาณอย่างนี้ก็ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนที่จะไปเที่ยวเกิดขึ้น ประชาชนถือศาสนาพร้อมกันได้ทั้งสองศาสนาโดยไม่ต้องทะเลาะวิวาทกัน ข้อนี้แน่ เมื่อก่อนนี้เราไม่ค่อยจะคิดอย่างนี้แต่เดี๋ยวนี้เราก็เชื่ออย่างนี้ เพราะไปพบอ้ายปูชนียวัตถุของศาสนาพราหมณ์กับของศาสนาพุทธอยู่ด้วยกันในที่บูชาเดียวกัน ที่เขากำลังขุดที่วัดแก้ววัดรัตนารามตรงนี้เขากำลังขุดอยู่เดี๋ยวนี้ เขาก็พบศิวลึงค์ในที่บูชาคือข้างใต้พระเจดีย์ที่เป็นดินมันทับถม แล้วก็พบพิฆเนศผมไปดูแล้ว รูปพิฆเนศศาสนาฮินดูสองตัวแล้วก็ศิวลึงค์อันหนึ่งอยู่ในพระเจดีย์ซึ่งเป็นเจดีย์ของพุทธ นี่แสดงว่าสมัยนั้นเขายอมให้ถือได้พร้อมกันทั้งสองศาสนา ศิวลึงค์ก็อยู่ตรงหน้าพระพุทธรูป แล้วไปที่อินเดียเมื่อผมไปก็ยังพบศิวลึงค์อยู่ตรงหน้าพระพุทธรูปที่พุทธคยา แต่.แต่อันนี้เขาก็อธิบายว่าไม่ใช่มาแต่เดิม พวกมหรรณพ์(นาทีที่1:37)เพิ่งเอาเข้าไปวาง เพราะว่าเขาถือว่าพุทธคยาเป็นของเขา หรือพระพุทธเจ้าก็เป็นอวตารของพระนารายณ์เป็นต้น แต่ศิวลึงค์ไม่ใช่ศาสนาพระนารายณ์เป็นศาสนาศิวะ พวกมหรรณพ์(นาทีที่1:37)เขา.เขายึดครองพุทธคยาเขาก็เอาของฮินดูเข้าไปติดในนั้นน่ะติดในที่บูชาของพุทธคยา เขาว่าอย่างนั้นเขาอธิบายกันว่าอย่างนั้น ว่าพวกมหรรณพ์เพิ่งเอาเข้าไปติด แต่เราก็อาจจะคิดได้ว่า เดิม ๆ มันคงจะถือทั้งสองอย่างพร้อมกันอยู่ก็ได้ แต่ในประเทศไทยนี้แน่ศาสนาพราหมณ์เข้ามาวางรกรากเต็มที่แล้ว ถือลัทธิมีตัวมีตน มีอาตมันตายแล้วเกิดจุติปฏิสนธิด้วยวิญญาณนั้นนี่เป็นหลักหนึ่ง ทีนี้พุทธศาสนาเข้ามาไม่มีวิญญาณไม่ได้(นาทีที่1:38)นั้น มีแต่วิญญาณที่เกิดขึ้นเมื่อตากระทบรูป หูกระทบเสียงเป็นต้น ถ้าถามอย่างคำถามแรกนั้นก็เรียกว่าไม่ใช่พุทธหรอก แต่ถ้าเราพูดอย่างนี้เขาก็ด่าเราอีกเพราะว่าเขาเชื่อว่ามันเป็นพุทธ ไปว่าเขาว่าไม่ใช่พุทธเขาเสียหายแล้วเขาก็โกรธ ทีนี้คำถามถัดไปมีว่าอะไรต่อไป
(ผู้ถาม) ต้นไม้มีวิญญาณหรือไม่
(ท่านพุทธทาส) วิญญาณไหน วิญญาณพราหมณ์หรือวิญญาณพุทธล่ะ ถ้าเป็นวิญญาณพุทธผมว่ามี ต้นไม้มีความรู้สึกต่อสิ่งที่ไปกระทบ แต่ถ้าเป็นวิญญาณฮินดูมีจุติปฏิสนธิมาเกิดนี่มันไม่มองเห็นเข้าใจไม่ได้หรือไม่มองเห็น ต้นไม้มันมีลูก แล้วมันลูกเพิ่งออกมาไม่ใช่วิญญาณนั้น ต้นไม้ต้นนี้มันเกิดขึ้นเพราะวิญญาณอันนี้ แต่ก็ได้ถ้าเขาจะพูดเราก็ไปคัดค้านเขาไม่ได้เหมือนกัน เพราะในลูกไม้ทุกลูกมันมีวิญญาณของมันมาจากที่ไหนก็ไม่รู้มาสถิตให้เป็นลูกเป็นลูก.เป็นลูก.ลูกไม้ขึ้นมาอีก แต่ถ้าเป็นวิญญาณความรู้สึกทางอายตนะสำหรับสัมผัสแล้วมีแน่ เห็นได้ง่ายต้นไม้บางอย่างยิ่งเห็นได้ง่าย มันรู้สึกต่อสิ่งต่าง ๆ เหมือนที่เรารู้สึก ต้นไม้บางชนิดไปแตะเข้ามันกระดุกกระดิกหรือมันหุบมันงับก็มี อย่าง.อย่างหญ้าระงับหรือว่าของอย่างอื่นมันก็มี มันนั่นได้มันทำความรู้สึกได้ ทีนี้ที่เราเห็นอยู่โดยไม่ต้องใช้วิทยาศาสตร์อะไรเห็นอยู่ชัด ๆ เลยว่าต้นไม้มีความรู้สึก แล้วก็รู้สึกแล้วมันต้องรู้สึกได้ด้วยวิญญาณ มีสิ่งสำหรับรับสัมผัสแล้วก็มีสิ่งมาสัมผัสแล้วมันก็รู้สึก ต้นไม้มันก็มีวิญญาณชนิดนี้ ส่วนวิญญาณจุติไปที่นั้นผมไม่เชื่อว่ามี วิญญาณรู้สึกได้เหมือนกับมีจิตใจมันก็มี ก็กำลังมีหน่วยนักศึกษาที่เขาค้นคว้าเรื่องนี้ก็มี ให้ทำเครื่องวัดละเอียดขึ้นมาวัดความรู้สึกของต้นไม้ มีความรู้สึกที่เปลี่ยนแปลงไปได้และละเอียดไม่น่าเชื่อตรงที่ว่าต้นไม้นี่รู้สึกต่อคนที่เข้าไปใกล้ว่าคนนี้ชอบต้นไม้หรือเกลียดต้นไม้ เขาวัดอยู่ด้วยเข็ม อ้ายคนที่เกลียดต้นไม้เข้าไปอ้ายเข็มมันแสดงอย่างหนึ่ง คนที่รักต้นไม้เข้าไปเข็มมันก็แสดงอีกอย่างหนึ่ง หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ก็เอามาลงอยู่หลายตอนพอให้เข้าใจได้ว่ามีการค้นคว้าอย่างนี้ มีตัวอย่างอีกหลาย ๆ อย่างพิสูจน์ต้นไม้มีความรู้สึก คน ๆ หนึ่งเขาเผาต้นไม้มาหยก ๆ เพราะเขาทำความสะอาดบ้านแล้วเขาบอกเขาเผาต้นไม้ อ้ายคนนี้เข้ามายังไม่ทันถึงเข้าประตู เข็มนี้บอกความที่ต้นไม้เกลียดกลัวต่อบุคคลนี้อย่างแรงจนเข็มตีสุดเหวี่ยง แล้วผู้ทดลองถามว่านี่คุณเป็นอะไรมา คนนั้นก็บอกว่าเผาต้นไม้มาเมื่อสักครู่นี้ นี่เรื่องทางจิตที่เป็นเพียงความรู้สึกในรูปแบบของวิญญาณตามหลักพุทธศาสนามันมีได้ด้วยการพิสูจน์ด้วยวิทยาศาสตร์ฟิสิกส์ธรรมดานี้ คำถามอย่างนี้ยังไม่จำเป็นขืนถามก็ได้เถียงกันแน่ ได้เถียงกันได้ทะเลาะกันแน่ ดังนั้นเราก็ไม่ต้องถามก็ได้ เราอยากจะเชื่อโดยมีเหตุผลอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อประโยชน์ที่ดีกว่าก็ได้เหมือนกัน คือเชื่อไปในทางที่ว่าต้นไม้มันก็รักชีวิตเหมือนกัน ดังนั้นเราอย่าทำลายต้นไม้กันเลยจะดีกว่า มีอยู่บ่อย ๆ เรื่องต้นไม้มีความรู้สึก ครั้งหนึ่งที่ประเทศอินเดียทดลองเอาเพลงไพเราะไปเปิดในนาข้าว ข้าวออกรวงมากเป็นพิเศษ มีปัญหาอะไรอีก
(ผู้ถาม) สติ จิต สมาธิ อะไรเป็นตัวควบคุมกัน และควบคุมกันอย่างไร
(ท่านพุทธทาส) สติ จิต สมาธิ มันไม่ได้จะให้มันควบคุมกันอย่างนั้น สิ่งที่เรียกว่าจิตนี้มันเป็นธรรมชาติอันหนึ่งอยู่ในร่างกายที่ประกอบปรุงกันถูกต้องให้จิตมันทำงานตามหน้าที่ของจิตหรือวิญญาณธาตุได้ ถือเป็นธาตุนาม ถ้าว่าทำอย่างนี้ก็เรียกว่ามันมีสติ ถ้าทำอย่างนี้เขาเรียกว่ามันมีสมาธิ ไม่มองเห็นว่าอะไรมันควบคุมอะไร หรือจะย้อน ๆ ๆ กลับว่าอ้ายสมาธิหรือสตินี้มันก็เป็นผลของการกระทำทางจิตอันหนึ่ง ซึ่งเราจะฝึกขึ้นไว้ให้ชำนาญเช่นมีสมาธิ แล้วก็ใช้สมาธินี้ควบคุมจิตต่อไป ในระยะหลัง ๆ ไปนั้นใช้วิธีการที่เรียกว่าสมาธิหรือความเป็นสมาธินี้ควบคุมจิตใ ห้จิตตั้งอยู่ในสมาธิ ให้จิตเป็นสมาธิ ให้จิตเป็นสติเเพื่อได้รับประโยชน์ ใช้คำว่าควบคุมนี้คงฟังยาก มันวิธีปฏิบัติที่เขาค้นพบแล้วแล้วปฏิบัติเข้านั่นแหละนั่นแหละมันจะไปควบคุมสิ่งที่เรียกว่าจิตหรือกายหรือวาจาให้เป็นไปในทางที่ดีที่มีประโยชน์ เราควรจะใช้คำว่าธรรมะควบคุมจิต มีธรรมะอยู่ระบบหนึ่ง เอามาใช้กับจิตก็ปรับปรุงจิตควบคุมจิตแล้วแต่จะต้องการอย่างไหน ธรรมะนี่ธรรมะส่วนหนึ่งนะไม่ใช่ทั้งหมดนะ กฏของธรรมชาติที่เป็นธรรมะส่วนหนึ่งมันก็มาจัดการกับสิ่งเหล่านี้ได้ ถ้าเรารู้เรื่องอันนั้นแล้วก็มาทำตามนั้นมันก็ทำให้จิตมีสติก็ได้ ทำให้จิตมีสมาธิก็ได้ ทำให้จิตมีปัญญาก็ได้ หรืออย่างอื่น ๆ อีกก็ได้ อยากจะพูดว่าธรรมะควบคุมจิตหรือควบคุมทุกสิ่ง ธรรมะที่เป็นกฏของธรรมชาตินี้ก็ควบคุมสิ่งทุกสิ่งที่มันเกี่ยวข้องกันได้ ที่มันเป็นธรรมชาติมันก็ควบคุมสิ่งต่าง ๆ เปลี่ยนแปลงไป ให้โลกนี้เปลี่ยนแปลงไป ให้ร่างกายก็เปลี่ยนแปลงไป ให้จิตก็เปลี่ยนแปลงไป ทีนี้ควบคุมการเปลี่ยนแปลงนั้นให้ถูกวิธีให้เป็นการเปลี่ยนแปลงที่มีประโยชน์มันก็ใช้ได้ ถ้ามาถามว่า ระหว่างสติ สมาธิ จิตนี่อะไรควบคุมอะไร มันตอบยากแหละ เพราะภาษามันกำกวม ถ้าคำว่าสติหมายถึงระบบปฏิบัติเพื่อให้เกิดสติตามกฏของธรรมชาติอย่างนี้ได้ นี้ควบคุมจิตให้จิตเป็นสติได้ให้จิตมีสติได้ หรือระเบียบปฏิบัติที่ทำให้เป็นสมาธิซึ่งเป็นกฏของธรรมชาติเอามาใช้มันก็ควบคุมจิตให้เป็นสมาธิได้ แต่มันจะควบคุมกันได้ก็ต่อเมื่อเอามาทำกันเข้า มันไม่ได้ควบคุมกันอยู่ตามปกติ อ้ายกฏธรรมชาติที่ควบคุมธรรมชาตินี้มันควบคุมอยู่ตามปกติให้เป็นไปตามกฏของธรรมชาติ เราพูดเสียทีเดียวให้ใช้ได้ทั้งหมดก็ต้องพูดว่าธรรมะนั่นแหละควบคุมทุกสิ่ง ธรรมะในฐานะที่เป็นสัจจะคือเป็นกฏของธรรมชาติควบคุมทุกสิ่งเหมือนพระเจ้าควบคุมทุกสิ่ง มีปัญหาอะไรอีก
(ผู้ถาม) เมื่อมีจิตใต้สำนึก อยากทราบว่ามีกิเลสใต้สำนึกหรือไม่ หรือกิเลสมีแล้วหายไป
(ท่านพุทธทาส) เมื่อสักครู่พูดแล้วว่ากิเลสที่เกิดขึ้นครั้งหนึ่งจะสร้างอนุสัยไว้ประจำจิตคือความเคยชินที่จะเกิดกิเลสชนิดนั้นอีก กิเลสครั้งนี้เกิดขึ้นมาเป็นโลภะทำหน้าที่โลภะ อ้ายกิเลสตัวนี้มันก็ดับไปแต่มันเหลืออนุสัยแห่งโลภะ จะเรียกว่าอนุสัยโลภะ อนุสัยราคะก็ได้มันใช้แทนคำเดียวกัน ราคานุสัย อนุสัยแห่งราคะ คือความอยากนั้นแหละจะเหลืออยู่ เป็นความเคยชินประจำจิตนั้น อ้ายบางคนบางอาจารย์เขาสอนว่ามันเหลืออยู่เป็นดุ้นเป็นตัวเป็นก้อนเหมือนกับว่าเก็บก้อนหินไว้ในนั้นก้อนหนึ่งอย่างนี้ไม่มีในพระบาลีในความจริง ฉะนั้นโกรธทีหนึ่งเป็นโทสะมันก็เหลืออนุสัยแห่งโทสะอยู่ใต้สำนึก โง่ทีหนึ่งก็อ้าวก็เหลืออนุสัยโง่อยู่ใต้สำนึกสำหรับโง่บ่อย ๆ มาก ๆ ยิ่ง ๆ ขึ้นไป มีอยู่สามโลภะ โทสะ โมหะ อ้ายโลภะนี่มันรวมราคะด้วย โทสะมันรวมโกรธะด้วย ถ้าเราโลภหรือราคะทีหนึ่งมันก็จะเหลือราคานุสัยไว้ในส่วนลึกของจิตที่เราจะเรียกว่าใต้สำนึกก็ได้ ในสันดานก็ได้ โทสะหรือโกรธะทีหนึ่งก็เหลือปฏิฆานุสัย อนุสัยสำหรับจะโกรธเอาไว้ในจิตในสันดานในใต้สำนึกของจิต โมหะทีหนึ่งมันก็มีอวิชชานุสัยเหลืออยู่ใต้สันดานในใต้สำนึกของจิต พอทำบ่อยเข้าบ่อยเข้าบ่อยเข้าอนุสัยนี้มันก็มากเข้ามากเข้า ฉะนั้นคนจึงโกรธโลภเร็วโกรธเร็วโง่เร็วอะไรได้เพราะมันมีอะไรเก็บไว้ใต้สำนึกนี้มาก นี่จะมีได้ก็เพียงอย่างนี้ หมายความว่าเก็บความเคยชินที่จะเป็นอย่างนั้นหรือว่าสร้างความเคยชินที่จะเป็นอย่างนั้นไว้ใต้สำนึก แต่อย่าเข้าใจว่าเป็นตัวตนที่ถาวรนะ มันเป็นสิ่งที่เกิดดับเสมอ แม้แต่ความเคยชินนั้นมันก็ยังต้องเกิดกับดับ มันเกิดได้โดยเร็วก็เรียกว่ามีความเคยชินมาก ดังนั้นถ้าเรารักบ่อย ๆ เราก็จะรักเก่ง ถ้าโกรธบ่อย ๆ เราก็จะโกรธเก่ง เราโง่บ่อย ๆ เราก็จะโง่เก่ง เรื่องนี้สำคัญเป็นเรื่องที่จะต้องรู้ให้จริง ๆ แล้วต้องควบคุมให้ได้ มันให้เป็นไปในทำนองตรงกันข้าม เรื่องน่ารักมาเราไม่รัก เรื่องน่าโกรธมาเราไม่โกรธ เรื่องชวนให้โง่มาเราไม่โง่นี่มันจะถอยหลัง มันจะถอนอ้ายความเคยชินใต้สำนึกชนิดที่เลว ๆ ให้หมดไปหมดไปจนกระทั่งว่าเราจะโกรธไม่เป็นรักไม่เป็นอะไรไม่เป็น หัดที่จะไม่โลภไม่โกรธไม่หลงไว้ทุกคราวที่มันมีอะไรมายั่วให้มันโลภ มันโกรธ มันหลง มันจะได้เก็บความเคยชินนี้ไว้ใต้สำนึก เดี๋ยวนี้นาฬิกาเท่าไหร่แล้วใครมีบ้าง ช่วยดูให้หน่อย
(เสียงผู้ตอบ) สามทุ่มยี่สิบครับ
(ท่านพุทธทาส) สามทุ่มยี่สิบ เอาอีกสองสามปัญหา
(ผู้ถาม) ผมขอสองปัญหาสุดท้ายนะครับ
(ท่านพุทธทาส) เดี๋ยวเขาจะดับไฟ เราก็จะยุ่งลำบาก
(ผู้ถาม) เรื่องลัทธิเซ็นมีประวัติโดยย่ออย่างไร มีวิธีปฏิบัติกว้าง ๆ อย่างไร และเกี่ยวข้องกับพุทธศาสนาประการใดบ้าง
(ท่านพุทธทาส) ไปหาหนังสือเรื่องเซ็นอ่านก็รู้ประวัติ คือมันเป็นวิธีหนึ่งซึ่งทำให้การรู้ธรรมะนั้นเป็นไปอย่างฉับไวแบบสายฟ้าแลบไม่ค่อยเป็นค่อยไปอย่างแบบธรรมดา มันต้องมีอาจารย์ที่ถึงขนาดจึงจะใช้วิธีนี้แก่ลูกศิษย์ได้ ผมมองเห็นเข้าใจว่าพระพุทธเจ้าท่านโปรดคนบางคนที่ตรงนั้นไปพูดสองสามคำบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ที่ตรงนั้น วิธีการนั้นแหละมันวิธีการอย่างเซ็น คือพระพุทธเจ้าท่านสัพพัญญูท่านรอบรู้ว่าอ้ายหมอนี่เป็นอย่างไร อะไรเป็นอย่างไร เรื่องเกี่ยวกับเรื่องอะไร ท่านจึงพูดด้วยคำที่ชนิดไปจุดแสงสว่างมันโพลงขึ้นมันก็เป็นพระอรหันต์ที่ตรงนั้น พูดกันไม่กี่คำเป็นพระอรหันต์ที่ตรงนั้นด้วยการพูดกันสองสามคำ ทีนี้อีกแบบหนึ่งมันก็ต้องบอกศีลอย่างนี้ สมาธิอย่างนี้ ปัญญาอย่างนี้ ธุดงค์อย่างนี้ก็ไปทำกันไปตามลำดับ กินเวลาเป็นเดือนเป็นปีจนกว่าจะบรรลุ ฉะนั้นจึงเห็นได้ว่าวิธีบรรลุนั้นมีอยู่สองชนิด คือไปตามธรรมดาตามลำดับนี่ชนิดหนึ่ง แล้วโพลงขึ้นมาแบบสายฟ้าแลบนี่อีกชนิดหนึ่ง ทีนี้วิธีเซ็นก็หมายถึงวิธีที่โพลงขึ้นมาอย่างสายฟ้าแลบ มันต้องมีครูบาอาจารย์ที่ถึงขนาดอย่างนั้นที่จะทำอย่างนั้นได้ ที่จะมีแผนการวิชาการที่จะพูดอย่างนั้นให้มันโพลงขึ้นมาได้ซึ่งเขาเรียกว่าวิธีของเซ็น อ้ายตามตำนวนของพวกเซ็นเองก็ถือว่ามาจากประเทศอินเดีย คือพระพุทธเจ้าเพียงแต่ชูดอกไม้ชูอะไรขึ้นมาก็ทำความเข้าใจกับคนบางคนได้ แต่ผมว่าอย่างที่ว่านั้นดีกว่า คือวิธีที่พระพุทธเจ้าท่านหยั่งนิสัยของคนแล้วพูดออกไปทีเดียวมันบรรลุได้ ในเรื่องขององคุลิมาลก็น่าจะถือว่าเป็นวิธีการอย่างเซ็นเหมือนกัน พูดคำสองคำองคุลิมาลก็เป็นพระอรหันต์ได้อย่างนี้ ทีนี้ก่อนหน้านี้ไม่มีใครรู้ไม่มีใครพูดถึงจนกว่าอาจารย์คนหนึ่งเขาไปจากอินเดียไปสู่ประเทศจีนที่มีชื่อว่าโพธิธรรม ไปจากอินเดียไปประเทศจีน ไม่อยากจะสอนแต่ในที่สุดมันก็สอนเกิดเป็นวิธีนี้วิธีที่ว่าน่าอัศจรรย์ เพราะว่าคนจีนในยุคนั้นยุคที่โพธิธรรมไปนี้มันฉลาดมากเพราะมันมีความรู้อย่างขงจื๊ออย่างเหลาจื๊ออะไรอยู่เป็นต้นทุน หัวไวเป็นสายฟ้าแลบกันอยู่ตรงนั้น ที่ไปวิธีงุ่มง่าม ศีล สมาธิ ปัญญา ใช้เวลาเป็นเดือนเป็นปีอย่างนี้มันไม่เอาหรอก มันไม่เอาแน่มันไม่รับแน่มันต้องใช้วิธีสายฟ้าแลบด้วยกัน ฉะนั้นจึงเกิดวิธีบบสอนให้รู้อย่างสายฟ้าแลบที่เรียกว่าเซ็นขึ้นในประเทศจีน เขาได้รับประโยชน์มาก แต่คนที่จะเป็นอาจารย์เซ็นได้ต้องเก่งทำนองพระพุทธเจ้า ต้องหยั่งรู้อะไรหมดเลย แล้วก็ลั่นคำพูดออกไปเหมือนกับลั่นปืนหรือวิธีอย่างไรก็เถิด มันมีผลว่าโพลงเดียวออกมาหมดเลยนี่ก็เรียกว่าวิธีของเซ็น เมื่อยังอยู่ในประเทศจีนมันยังเป็นพวกลับ ๆ อยู่นั้นแหละ จนกว่าไปประเทศญี่ปุ่นมันไปแพร่หลายในประเทศญี่ปุ่นแล้วมันจึงค่อยพูดค่อยเขียนให้พวกฝรั่งรู้ พวกฝรั่งรู้รู้จากญี่ปุ่น เดี๋ยวนี้ก็เป็นวิธีที่เขาชอบหรือเขานิยมกันอยู่วิธีหนึ่ง โดยเฉพาะในพวกฝรั่งมันชอบอย่างนี้มากกว่าที่จะชอบวิธีอืดอาดอืดอาดอย่างเถรวาทแบบ.แบบเก่า นี่มีปัญหาอะไรอีก
(ผู้ถาม) ปัญหาสรุปสุดท้าย กระผมเคยอ่านการตีความพุทธประวัติว่าเป็นภาวะพุทธะไม่เกี่ยวกับประวัติพระศาสดา จึงสงสัยว่าทำไมการเผยแพร่ศาสนาจึงไม่เปิดเผยเรื่องนี้ เพื่อไม่ให้ชาวพุทธหลงอยู่กับความงมงาย
(ท่านพุทธทาส) ยังฟังไม่ถูก ต้องอ่านอีกที
(ผู้ถาม) กระผมเคยอ่านการตีความพุทธประวัติว่าเป็นภาวะพุทธะไม่เกี่ยวกับประวัติพระศาสดา จึงสงสัยว่าทำไมการเผยแพร่ศาสนาจึงไม่เปิดเผยเรื่องนี้ เพื่อมิให้ชาวพุทธหลงอยู่กับความงมงาย
(ท่านพุทธทาส) ยังฟังไม่ค่อยถูก คือว่าการตีความบางเรื่องเกี่ยวกับพุทธประวัติเป็นธรรมาธิษฐาน ไม่เกี่ยวกับตัวองค์ร่างกายจริง ๆ อย่างนั้นก็มีอยู่ ถ้ามีการตีอย่างนั้นมันก็เข้าใจไปตามแบบธรรมาธิษฐาน ถ้าไม่ตี ถือตามตัวหนังสือมันก็เป็นเรื่องงมงายหมายความว่าอย่างนั้นใช่ไหมคนถาม คือว่าพระพุทธเจ้า ประวัติพระพุทธเจ้าพอเกิดก็เดินได้ เดินได้พูดได้อย่างนี้ ถ้าทิ้งไว้เชื่ออย่างนั้นมันก็งมงาย แต่ถ้าตีความเสียว่า พระพุทธเจ้าพอเกิดก็พูดได้ เพราะว่าการเกิดนั้นคือการตรัสรู้นี่ทำไมจะพูดไม่ได้ การเกิดเป็นพระพุทธเจ้านั่นมันคือการตรัสรู้ พระสิทธัตถะตายลงเกิดใหม่เป็นพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเกิดขึ้นมาพอเกิดท่านก็พูดได้เพราะเป็นการตรัสรู้ที่สมบูรณ์ เดินได้เพราะปัญญาการตรัสรู้นี้มันต้องเดินได้นี้มันแผ่ไปได้ เรื่องนี้มีมาก ถ้าเอาเป็นข้อ ๆ แล้วมีมากมายที่จะต้องตีความกันอย่างนี้ ที่ในที่บางแห่งเขาก็ตี ในที่บางแห่งเขาไม่ยอมให้ตี เขาขอให้เชื่อถือตามตัวหนังสืออย่างนี้ก็มีอยู่ ฉะนั้นใครชอบอย่างไหนก็เอา คนทีแรกเขาต้องการจะให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์สูงสุดขึ้นในคำว่าพระพุทธเจ้าให้มันแน่นแฟ้น เขาจึงวางคำพูดอย่างนั้นอย่างนั้นอย่างนั้น อย่างนี้มีด้วยกันทุกศาสนาไม่ใช่เฉพาะพุทธศาสนา คำพูดในความหมายภาษาธรรมอันลึกซึ้งพูดอย่างเป็นของธรรมดามีมาก ยังมีอีกมาก อ้ายข้อที่ต้องตีความอย่างนี้ยังมีอีกมาก เรื่องมารเรื่องอะไรอะไรก็ตาม พระพุทธเจ้าประสูติออกมาเทวดารับก่อนมนุษย์รับทีหลัง นี้หมายความว่าเมื่อพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นในโลกคนชั้นสูงชั้นมีสติปัญญาชั้นอะไรมันรับได้ก่อนชาวไร่ชาวนาค่อยรับทีหลัง ก็ไปโปรดเทวดาก่อนแล้วมาโปรดมนุษย์ทีหลัง นี่ก็เป็นของธรรมดาแท้ ๆ พระพุทธเจ้าเกิดขึ้นคนที่จะเข้าใจได้ก็ต้องเป็นคนฉลาดเข้าใจได้ก่อน นี่เราถือว่าพวกเทวดารับก่อนพวกมนุษย์รับพระกุมารนั้นทีหลัง ที่จริงมันไม่ใช่พระกุมารเด็กคลอดออกมาท้องแม่มันคือพระพุทธเจ้าที่เกิดขึ้นด้วยการตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ความสิ้นสุดของพระสิทธัตถะมันก็ตายพระสิทธัตถะตายพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นมา ถ้าพูดให้มันเป็นแบบบุคลาธิษฐานก็ต้องพูดอย่างนี้ ทำไมจึงไม่ตีความอย่างนี้ เขาก็ตีกันอย่างนี้เหมือนกัน แต่ว่าคนส่วนหนึ่งเขาไม่รับเพราะเขาหาว่า ผิด ผิด นอกรีต และเขาด่าเอาด้วย ก่อนแต่ที่พระมหาสมณะกรมพญาท่านจะตีความแบบนี้ก็มีคนเคยตีแล้ว เขาเรียกว่านายเทียนวรรณ ต่อวรรณาโพธิ์ หาหนังสือของนายคนนี้มาอ่านดูเถอะ จะพบว่านายคนนี้เคยตีความทำนองนี้ไว้แล้ว แล้วแกก็ถูกด่าถูกด่าหรือประมาณนี้แหละ(นาทีที่2:05)ถูกด่าแย่ไปเลย คือเขาหาว่าลบหลู่พระพุทธเจ้าบ้างอะไรบ้าง ถ้าเราพูดอะไรผิดไปจากที่คนแต่ก่อนเขาเคยเชื่อกันอยู่แล้วมันก็ถูกหาว่านอกรีตบ้าง ว่าเอาเองบ้างมิจฉาทิฏฐิบ้าง ถึงผมเองก็ถูกด่าทำนองนี้มาตลอดเวลาจนกระทั่งบัดนี้ ถ้าพูดอะไรมันผิดจากที่เขาเคยพูดกันมันก็ต้องถูกด่า มันช่วยไม่ได้ อาจจะเป็นเพราะเหตุนี้จึงไม่ค่อยจะมีใครอยากไปพูดตีความแบบนั้น มันเหมือนกับไปหาเรื่อง เอาล่ะ พอสมควรแก่เวลา จะต้องปิดประชุม ถ้าวันไหนอากาศดี ผมมาคุยด้วยได้วันหลัง
===========================================================================
เส้นโลหิตฝอยแถบนี้หมอว่าตีบทั้งหมด เส้นโลหิตฝอยในสมองแถบซ้าย