แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ณ บัดนี้จะได้วิสัจฉนาพระธรรมเทศนา เพื่อเป็นเครื่องประดับสติปัญญา ส่งเสริมศรัทธาความเชื่อ และวิริยะความพากเพียร ของท่านทั้งหลายผู้เป็นพุทธบริษัท ให้เจริญงอกงามก้าวหน้าในทางแห่งพระศาสนา ของสมเด็จพระบรมศาสดา อันเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลาย กว่าจะยุติลงด้วยเวลา ธรรมเทศนาในวันนี้จะถือว่าเป็นธรรมเทศนาพิเศษ ปรารภการที่ท่านทั้งหลายได้มาประชุมกันในวันนี้ เป็นการเยี่ยมเยียนสวนโมกข์นี้ ทุกคนมีความมุ่งหมาย ในการที่จะได้เห็น ในการที่จะได้ฟัง และได้รับความรู้สึกในทางธรรมะอย่างใดอย่างหนึ่ง ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ และทั้งยังมีการประกอบการกุศล มีการถวายทาน ในลักษณะที่เรียกว่าถวายผ้าป่านี้เป็นต้น รวม ๆ กันไป หลายอย่างหลากประการ ถ้าจะพิจารณาดูให้ดี จนมีความเข้าใจในการกระทำเหล่านี้แล้ว ก็คงจะมีปีติปราโมทย์มาก เราจะได้บุญไม่ใช่น้อยเลย แต่ถ้าไม่พิจารณาให้ดี ไม่มีความเข้าใจในการกระทำนี้ ก็จะไม่มีความรู้สึกที่เป็นที่ปีติปราโมทย์ หรือพอใจในการกระทำของตนเองกี่มากน้อยนัก หรือทว่าจะเป็นเรื่องสนุกสนาน มีปีติปราโมทย์ไปในทางสนุกสนาน ก็เป็นปิติอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งไม่ค่อยจะเนื่องด้วยบุญนัก
ปิติที่เนื่องด้วยบุญนั้น จะมาจากสัมมาทิฏฐิ คือความรู้ ความเข้าใจอันถูกต้อง ว่านี้คืออะไร นี้เพราะเหตุใด นี้จะเป็นไปเพื่ออะไร และจะได้อย่างนั้นโดยการทำอย่างใด ให้แจ่มแจ้งโดยแท้จริง และรู้ว่าตนได้ทำให้สำเร็จประโยชน์ตามนั้น จึงจะมีปิติในทางธรรมเกิดขึ้น ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดสิ่งที่เรียกว่าบุญ และเป็นบุญอย่างแท้จริง คือชำระบาปได้ สิ่งที่เรียกว่าบุญ คือสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ ก็เพราะเหตุว่ามันชำระบาปได้ บาปนั้นเป็นที่ตั้งของความทุกข์ ถ้าชำระบาปเสียได้ คนเราก็ไม่มีความทุกข์ แต่ว่าสิ่งที่เรียกว่าบาปนี้ ก็เข้าใจได้ยาก รู้จักได้ยาก จึงรู้จักกันน้อยเกินไป ไม่สามารถที่จะละบาปโดยแท้จริงให้สิ้นไปได้ มักจะเป็นเพียงเรื่องพิธีรีตองทำตาม ๆ กันไปเท่านั้น ดังนั้นควรจะรู้จักสิ่งที่เรียกว่าบาปนี้ให้เพียงพอเสียก่อน จะได้มีความรู้ ความเข้าใจในเรื่องอื่น ๆ ต่อไปได้โดยง่าย
สำหรับสิ่งที่เรียกว่าบาปนี้ เป็นชื่อของความเศร้าหมอง ไม่ผ่องใส ไม่เป็นสุข ไม่เป็นความสว่างไสว แจ่มแจ้ง เรียกอีกอย่างหนึ่งก็ว่า เป็นความสกปรก เป็นความมืดมัว เป็นความเร่าร้อน ถ้าใจรู้สึกสกปรก มืดมัว และเร่าร้อน ก็จะถือว่าใจนั้นประกอบอยู่ด้วยบาป มีความทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้น ทุกข์อย่างหยาบ ๆ ก็เผาลนให้เดือดร้อน ทุกข์อย่างละเอียด ก็ไม่แสดงอาการที่เจ็บปวดหรือเดือดร้อนนัก แต่เป็นการทรมานอยู่ภายใน ในส่วนลึกของจิตใจอย่างลึกซึ้ง บาปที่ไปฆ่าเขา ไปลักเขา ไปประพฤติผิดในกามนี้ มันก็บาปเหมือนกัน แต่เป็นของชั้นที่หยาบหรือเป็นภายนอก และกระทบ กระทั่งถึงบุคคลอื่น เกี่ยวข้องกันกับบุคลอื่น เป็นบาปอย่างหยาบ ผลมันก็หยาบ จะเดือดร้อนโกลาหล วุ่นวายกันไปหมด ส่วนบาปอย่างละเอียดนั้น มันเกิดอยู่ในใจ โดยไม่มีใครรู้ก็ได้ โดยไม่ต้องกระทบกระเทือนถึงผู้ใดก็ได้ มันก็เป็นบาปด้วยเหมือนกัน แต่เป็นบาปชนิดที่ละเอียดลึกซึ้งลงไป ทำให้ใจสกปรก มืดมัว และ เร่าร้อนอยู่คนเดียวก็ได้ ลองคิดดูเถิดว่า เมื่อใจไม่สะอาด มืดมน แล้วก็เร่าร้อนอยู่ด้วย ความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นต้นนี้ มันเป็นอย่างไรบ้าง ที่แท้มันก็เป็นการเผาลนอย่างลึกซึ้ง ยิ่งกว่าบาปที่ปรากฏในทางกายเห็นชัด ๆ เสียอีก แต่คนก็ไม่ค่อยกลัว กลัวแต่บาปที่เป็นความเจ็บปวด ปรากฏทางร่างกาย แล้วไม่กลัวบาปชนิดที่อยู่ภายในใจ นี้คือคนโง่ เพราะบาปอย่างหยาบที่ทำให้เจ็บปวดข้างนอกหรือทางกายนั้น มันมาจากบาปอันละเอียดลึกซึ้งในภายใน ซึ่งตนไม่รู้จักกลัวนั่นเอง ไม่รู้จักกลัวนี่ก็เพราะว่าไม่รู้จัก ว่ามันเป็นอะไร จึงได้ไม่กลัว ถ้ารู้ว่ามันเป็นสิ่งที่ให้ทุกข์ให้โทษอย่างใหญ่หลวง น่ากลัวยิ่งกว่าสิ่งใด ก็จะพากันระวังบาปชนิดนี้ไว้เป็นอย่างยิ่ง ก็จะไม่เกิดบาปชนิดที่หยาบ ๆ ที่ออกมาทางกาย ทางวาจา นี่แหละคือข้อที่เราจะต้องศึกษา สิ่งที่เรามองเห็นได้ยากเข้าใจได้ยาก บาปหยาบ ๆ ที่ได้รับผล เป็นการตีรันฟันแทงกัน หรือว่าติดคุกติดตาราง อย่างนี้มันเห็นได้ง่าย เข้าใจได้ง่าย ส่วนบาปที่เป็นต้นเหตุของบาปหยาบ ๆ นี้เข้าใจได้ยาก เราจึงต้องศึกษา เราจึงต้องลงทุน สำหรับทำการศึกษาให้มากยิ่งขึ้นไปกว่าธรรมดา เรื่องบวชเรื่องเรียน ก็เพื่อจะศึกษาในเรื่องนี้ แม้ไม่บวชไม่เรียน อุตส่าห์ฟังเทศน์ฟังธรรมอยู่เสมอ ก็เพื่อจะได้ศึกษาในเรื่องบาปชนิดนี้ บาปชนิดนี้จะเรียกกันให้เข้าใจง่าย ๆ กำหนดจดจำได้ง่าย ๆ ก็อยากจะเรียกว่า มิจฉาทิฏฐิ
มิจฉาทิฎฐินั้น คือความเห็นผิด เข้าใจผิด รู้ผิด เชื่อผิด ซึ่งมันล้วนแต่เป็นเรื่อง ผิดไปหมด เมื่อทิฐิผิดแล้ว ทุกอย่างจะผิดไปหมด เพราะว่าคนเราจะพูดอะไร จะทำอะไร ก็ทำไปตามทิฎฐิที่ตัวรู้สึกว่าดีมีประโยชน์ ถ้าทิฎฐิมันผิด มันก็ไปเอาสิ่งที่ไม่ดี ไม่มีประโยชน์มาเป็นสิ่งที่ควรทำ โดยเห็นว่าดีมีประโยชน์ อย่างนี้เขาเรียกกันว่า เห็นกงจักรเป็นดอกบัว ถ้าพูดว่า เห็นกงจักรเป็นดอกบัว หลายคนก็หัวเราะว่ามันไม่เป็นไปได้ มันไม่น่าเป็นไปได้ เพราะมันต่างกันมาก แต่แล้วก็หารู้ไม่ ว่าเราและเพื่อนของเราเป็นอันมาก ก็กำลังเห็นกงจักรเป็นดอกบัว โดยไม่รู้สึกตัว แล้วก็หัวเราะคำพูดนี้ นี่แหละดูให้ดี ถ้าเราไม่เห็นกงจักรเป็นดอกบัว เราคงจะมีอะไรดีกว่านี้ ดีกว่าที่เป็นอยู่เดี๋ยวนี้ เวลานี้ มากทีเดียว เราไปเสียเวลา ทำสิ่งที่ไม่จำเป็นจะต้องทำ หรือว่าไม่ควรจะทำอย่างยิ่งด้วยซ้ำไป นี่ก็คือการเห็นกงจักรเป็นดอกบัว
การที่พูดว่าเห็นกงจักรเป็นดอกบัวนี้ อย่าได้เข้าใจว่ามันเห็นได้ง่าย ๆ มันเห็นได้ยาก คือจะเห็นให้ถูกต้องนั้นมันเห็นได้ยาก การที่จะรู้จักว่าเป็นกงจักร หรือเป็นดอกบัวนี้ มันรู้ได้ยาก มันไปเห็นสิ่งที่ไม่ควรทำ เป็นสิ่งที่ควรทำ แล้วก็เห็นเป็นดอกบัวเสมอ ไม่เห็นกงจักร ไม่เห็นว่ามีกงจักรอยู่ที่ไหนเลย เราหรือเพื่อนของเราจึงทำสิ่งที่ไม่ควรจะทำ กันอยู่ทั่ว ๆ ไป นับตั้งแต่ว่าเบียดเบียนกัน กระทั่งเบียดเบียนตนเองอยู่คนเดียว ใครเห็นกงจักรเป็นดอกบัวแล้วก็จะเบียดเบียนซึ่งกันและกัน แล้วก็จะเบียดเบียนตนเองอยู่คนเดียว ทำสิ่งที่ไม่ควรจะทำเป็นอันมาก ขอให้ไปคิดดูให้ดีว่า เรากำลังมีอะไรที่กระทำอยู่โดยไม่มีเหตุผลอะไรที่ว่าเราจะต้องทำ เช่นเราจะกินเหล้า เราต้องเห็นกงจักรเป็นดอกบัว จึงจะกินเข้าไปได้ ถ้าเห็นกงจักรเป็นกงจักรแล้ว มันคงจะกินเข้าไปไม่ลง หรือว่าการที่เราจะไปเล่นไพ่ จะไปดูหนัง ดูละคร เที่ยวกลางคืน เป็นคนเกเรไปได้ มันก็ต้องเห็นกงจักรเป็นดอกบัวก่อน มันจึงทำไปได้ แม้ที่สุดแต่เรื่องสูบบุหรี่ ที่ไม่มีประโยชน์นี้ มันก็เป็นเรื่องเห็นกงจักรเป็นดอกบัว ใครจะพูดเท่าไรมันก็ไม่รู้จักฟัง ไม่รู้จักเชื่อ ความเห็นของตัวมันมีเสียแล้ว ว่านี้ไม่เป็นไร นี้ไม่มีโทษอะไร นี้กลับสนุกสนานเอร็ดอร่อย หรือว่ามีประโยชน์ด้วยซ้ำไป นี้คือการเห็นกงจักรเป็นดอกบัวด้วยเหมือนกัน ทำอย่างไรเสียก็ไม่เห็นโทษของสิ่งที่มีโทษ ไปดูแต่ในส่วนที่มันเป็นเหยื่อล่อ เป็นเสน่ห์ล่อ
เรื่องนี้ขอให้ท่านทั้งหลาย จำไว้เป็นหลักด้วยว่า สิ่งทุกสิ่งมันมีทั้งส่วนที่เป็นโทษ และส่วนที่เป็นคุณ ถ้าเราเข้าใจผิด ไม่รู้จักตามที่เป็นจริงแล้ว ก็จะไปเอาส่วนที่เป็นโทษนั่นแหละมาเป็นคุณ เพราะ ว่าส่วนที่เป็นโทษนั้นมันมีเสน่ห์มาก ส่วนที่เป็นคุณนั้น มันไม่ค่อยมีเสน่ห์อะไร ส่วนที่เป็นโทษมันมีเสน่ห์มาก ถึงกับหลอกคนให้เห็นกงจักรเป็นดอกบัว จึงไปทำสิ่งที่ไม่ควรทำ กลายเป็นผู้เต็มไปด้วยมิจฉาทิฎฐิ เต็มไปด้วยการพูด การกระทำชนิดที่เป็นไปตามอำนาจของมิจฉาทิฎฐิ จะยกตัวอย่าง เหมือนอย่างว่าสูบบุหรี่ นี้เป็นเรื่องที่เห็นกันอยู่ทั่วไป ใคร ๆ ก็ถือว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย ถึงจะมีโทษ ก็ไม่เป็นโทษอะไร ไม่ถือว่าเป็นโทษ นี่ก็เพราะเหตุที่ว่า ส่วนที่มันเป็นโทษของบุหรี่นั้น มันมีเสน่ห์ เด็ก ๆ ไม่เคยสูบ สูบไม่กี่ครั้งมันก็ติด นี่เพราะมันมีเสน่ห์อย่างนี้ สิ่งที่เป็นคุณ มันไม่มีเสน่ห์ที่จะทำให้ชอบให้ติดมากเหมือนอย่างสิ่งที่เป็นโทษ เราจึงไปทำสิ่งที่ไม่จำเป็นจะต้องทำ การสูบบุหรี่นี้ มันก็เปลืองทรัพย์ เปลืองเวลา เปลืองร่างกาย คือทำให้ร่างกายเสื่อมโทรม แต่ว่าเปลืองวิญญาณ คือทำให้โง่ เพราะเหตุที่มันโง่ มันจึงจะไปทำอย่างนั้นได้ อย่างนี้เป็นความเสียหายทางวิญญาณ ทำให้เป็นวิญญาณโง่ ร่างกายก็จะทรุดโทรม ไม่วันนี้ก็วันหน้า ไม่เวลานี้ก็เมื่อยามแก่ชรา และก็ยังมีการเสียทรัพย์ คำนวณดูแล้ว คนที่สูบบุหรี่จัด หรือสูบบุหรี่แพง ๆ นั้น เพียงชั่วเวลา ๓ – ๔ ปีนี้ ก็จะซื้อรถจักรยานได้สักคัน ถ้าตั้ง ๑๐ ปี ก็จะปลูกบ้านได้สักหลังหนึ่ง ถ้าถึง ๑๐๐ ปี อาจจะสร้างโบสถ์ ได้สักหลังหนึ่ง นี้ถ้าเราชวนกันประหยัดค่าสูบบุหรี่กันสัก ๑๐๐ คน ไม่กี่ปีก็จะมีค่าเท่ากับ สร้างโบสถ์ได้สักหลังหนึ่ง ทำไมจึงมองไม่เห็น ก็เพราะว่าเสน่ห์ของสิ่งที่เป็นโทษนี้มันมีมาก มันทำให้มองไม่เห็น เรื่องที่ใหญ่โตไปกว่านั้น เช่นเหล้า หรืออบายมุขอย่างอื่น มันก็ยิ่งมีเสน่ห์ยั่วยวนมากยิ่งขึ้นไปกว่านั้น คนจึงทำได้ แล้วก็มีความเสื่อมเสียอย่างเดียวกัน ทรัพย์ก็เสีย เวลาก็เสีย ร่างกายก็เสีย จิตใจหรือวิญญาณก็พลอยเสีย กลายเป็นคนที่ไม่ใช่มนุษย์ ถ้าเป็นมนุษย์ก็ต้องเป็นคนที่มีใจสูง
มนุษย์นั้นแปลว่าใจสูง เป็นเหล่ากอของบุคคลที่มีใจสูง ถ้าเป็นคนนั้น สูงก็ได้ไม่สูงก็ได้ ปล่อยไปตามสบาย อะไรอยากทำ ก็ทำไป ตามอำนาจของกิเลส ตามอำนาจของสิ่งแวดล้อม ที่มันมายั่ว มายุ นี่ถ้าเราปล่อยใจไปให้ทำตามอำนาจของกิเลสอย่างนี้ หรือตามสิ่งที่แวดล้อมมายั่วยุอย่างนี้ เราก็เป็นคนที่ไม่ใช่มนุษย์ คือจิตใจมันไม่สูง ไม่สะอาด ไม่สว่าง ไม่สงบ มันไม่สูง มันไม่ใช่มนุษย์ เพราะใจไม่สูง ต้องรีบแก้ไขสิ่งที่ทำให้ใจมันต่ำ ทุกอย่างทีเดียว อย่าไปแตะต้องสิ่งที่เป็นโทษ และตนไม่รู้จักว่าเป็นโทษ ขอให้เชื่อฟังพระพุทธเจ้าก่อน ในเรื่องอบายมุข ดื่มของเมา เที่ยวกลางคืน ดูการเล่น เล่นการพนัน คบคนชั่วเป็นมิตร เกียจคร้านทำการงาน เหล่านี้พระพุทธเจ้าท่านตรัส ถ้าเรายังไม่รู้ด้วยตนเอง ก็ขอให้เชื่อพระพุทธเจ้าก่อน อย่าดูถูกดูหมิ่นว่า พระพุทธเจ้าพูดผิด หรือว่าพระพุทธเจ้าไม่มีความสำคัญ เดี๋ยวนี้เราไปคิดเสียว่า นี้เป็นเรื่องเล็กน้อย ไม่มีความสำคัญ เถียงพระพุทธเจ้า ซึ่งท่านตรัสว่ามันเป็นเรื่องสำคัญ มันเป็นเรื่องฉิบหาย ไม่ฉิบหายจะไม่เรียกว่าอบายมุข เดี๋ยวนี้พระพุทธเจ้าท่านเรียกว่า อบายมุข คือปากทางของอบาย ปากเหวของอบาย นี่เรียกว่าอบายมุข ดื่มน้ำเมา คือดื่มของเมานี่ เที่ยวกลางคืน หาความสนุกสนาน ดูการเล่นเพลิดเพลิน คบคนชั่วเป็นมิตร เกียจคร้านทำการงาน เล่นการพนันนี่ อยู่ใน ๖ อย่างนี้ ที่ไหนก็มี เรื่อง ๖ อย่างนี้ มีดื่นทั่วไปหมด นี่คือดูถูกพระพุทธเจ้า ดูหมิ่นพระพุทธเจ้า ไม่เคารพพระพุทธเจ้า แล้วมันก็ได้ตกอบาย สมน้ำหน้ามันเลย เพราะว่าสิ่งเหล่านี้ เป็นอบายมุข เป็นปากทางแห่งอบาย
จะว่าให้ฟัง อบายนั้น เขาจำแนกไว้เป็น ๔ อย่าง เรียกว่า นรก เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย นรก เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย จำไว้ดี ๆ ที่หนึ่งเรียกว่า นรก หมายถึงความร้อนใจเหมือนไฟเผา ขณะใดมีความร้อนใจเหมือนไฟเผานั่น มันตกนรก เมื่อใดโง่ อย่างไม่น่าโง่ โง่ไปทำสิ่งที่ไม่ควรทำ อย่างนี้ ๆ เขาเรียกว่าเดรัจฉาน คือสัตว์เดรัจฉานมันโง่ เวลาไหนโง่ เมื่อนั้นไม่เป็นมนุษย์ เป็นคนโง่อย่างสัตว์เดรัจฉาน คือเป็นสัตว์เดรัจฉานนั่นเอง เมื่อใดหิวกระหายไม่มีเหตุผล เมื่อนั้นเป็นเปรต หิวจะถูกหวยเบอร์ หิวจะสร้างวิมานในอากาศ แม้แต่ว่าหิวจะให้มันสนุกสนาน เอร็ดอร่อย ให้สวยให้งาม หิวในทางจิตใจในทำนองนี้ มันเป็นความหิวชนิดที่เกินธรรมดาสามัญ เขาเรียกว่าเป็นเปรต คือหิวไม่รู้จักสิ้นสุด หิวไม่รู้จักอิ่ม ไม่มีเวลาอิ่ม ที่ว่าเปรตไม่มีเวลาอิ่มนั้นเขาเปรียบไว้ว่า ท้องเท่าภูเขา ปากเท่ารูเข็ม จะกินอะไรก็ไม่ทัน เมื่อปากเท่ารูเข็ม แล้วท้องเท่าภูเขานี่ มันหิวเท่าภูเขา และมันสนองความหิวด้วยรูเข็ม นี้มันไม่ไหว และระวังให้ดี คนเรามันเป็นอย่างนั้น มันหิวเรื่อย มันอยากเรื่อย จะดีจะเด่น จะสวย จะงาม จะร่ำจะรวยอะไร ไปดูจิตใจเวลาที่มันอยากถูกหวยเบอร์ก็แล้วกัน หรือมันอยากอะไรชนิดที่มันแผดเผาหัวใจนี่ อย่างนี้ก็เรียกว่าหิว มันเป็นเปรต ทีนี้เมื่อใด ขี้ขลาด ไม่มีเหตุผล เพราะความโง่ นี้ก็เรียกว่าอสุรกาย อสุรกายแปลว่าไม่กล้าหาญ มันกลัวในสิ่งที่ไม่ควรจะกลัว มันโง่ มันจึงได้ไปกลัว นับตั้งแต่กลัวจิ้งจก ตุ๊กแก กลัวไส้เดือน กลัวลูกหนู กลัวกิ้งกือ เรื่อยขึ้นมาจนถึงกลัวสิ่งที่ทำให้นอนไม่หลับ แม้แต่กลัวโจร กลัวขโมย อะไรนี้มันก็โง่เหมือนกัน จะต้องไปกลัวมันทำไม จะต่อสู้อย่างไร ก็ต่อสู้กันไป เอาจิตใจไว้คิด ไว้นึกสำหรับการต่อสู้ให้ถูกต้อง ดีกว่าเอาไปกลัว เอาไปกลัว มันทำให้โง่ ให้มืดมน ไม่รู้ว่าจะต่อสู้อย่างไร ฉะนั้นอย่ากลัว ถ้ากลัวมันก็เป็นอสุรกาย เป็นอบายชนิดหนึ่ง
อยากจะพูดไว้ให้สูงสุดเสียเลย อย่าให้ลืมได้ง่าย ๆ ว่า อย่าว่าแต่โจรขโมยเลย แม้เราเผชิญหน้ากันกับเสือในป่า ก็อย่ากลัว จะสู้ ก็สู้โดยไม่ต้องกลัว จะขึ้นต้นไม้ ก็ต้องขึ้นโดยไม่ต้องกลัว ถ้าจะวิ่งหนี ก็ต้องวิ่งหนีโดยที่ไม่ต้องกลัว พอไปกลัวเข้า มันก็ทำอะไรไม่ถูก ถ้าจะต้องสู้เสือ หนีไม่ได้ มันก็จวนตัวแล้ว ฉะนั้นก็อย่ากลัว มันจึงจะสู้ได้ดี นี่คนโง่ ๆ มันไปกลัวตอนนั้น มันเลยทำอะไรไม่ถูก มันจึงถูกเสือกัดตาย หรือว่าถ้าจะหนีขึ้นต้นไม้ ถ้ามันกลัว มันก็ขึ้นไม่ได้ดี เปะๆ ปะๆ เพราะความกลัว มันก็ตกลงมาให้เสือกัดอยู่ดี นี่ไม่ต้องกลัว ขึ้นต้นไม้ให้มันดี ๆ ถ้ามันไม่มีต้นไม้จะขึ้น จะต้องวิ่งหนี ก็วิ่งหนีให้เก่ง ถ้ากลัวแล้ว มันวิ่งไม่รอด หรือมันวิ่งไม่ดี ต้องเฉลียวฉลาดที่สุด แล้วก็วิ่งให้ดี วิ่งให้มันเอาตัวรอดให้ได้ ฉะนั้นเขาจึงสอนให้มีความกล้า หรือมีความปกติ ไม่ต้องกลัว จัดความกลัวว่าเป็นอบายชนิดหนึ่งคืออสุรกาย นี่จำไว้ เพราะความร้อนใจนั้นคือนรก และความโง่นั้นคือเดรัจฉาน ความหิวนั้นคือเปรต ความขี้ขลาดนี้คืออสุรกาย
จะยกตัวอย่าง อบายมุข คือปากทางแห่งอบายนี้ว่า เมื่อเราเล่นการพนัน ก็มีทางที่จะตกอบายทั้ง ๔ อย่างนี้ ในเวลาอันใกล้ ๆ กันนั้นเอง เราเล่นการพนัน ถ้าเสีย เดือดร้อน ครอบครัวก็เดือดร้อน เราก็ตกนรก คือความเดือดร้อน มีจิตใจเหมือนกับไฟเผา นี่ มันเป็นสัตว์นรกไปแล้ว ทั้งที่รูปร่างกาย เรียกว่าคนนี้ แต่ใจมันเป็นสัตว์นรกไปแล้ว ทีนี้ที่คิดว่าการพนันเป็นของดี จะช่วยเราได้ มันคือโง่ มันโง่อย่างสัตว์เดรัจฉานไปแล้วที่จะไปคิดพึ่งพาอาศัยการพนัน ร่างกายเป็นคนแต่จิตใจโง่สัตว์เดรัจฉาน นี่คือตกอบาย คนที่เล่นการพนันนั้น หิวจะชนะ ๆ อยากชนะเหลือประมาณ ตลอดเวลา หิวจนไม่รู้ว่าหิวอย่างไร เพื่อการชนะ นี่คือเป็นเปรต ในขณะที่เล่นการพนัน แล้วมันขี้ขลาด มันกลัวแพ้ กลัวพลั้งพลาด กลัวแพ้ มันขี้ขลาดตลอดเวลา เหมือนกัน นี้มันก็เป็นอสุรกาย นี้คนที่นั่งเล่นการพนันอยู่นั้น เดี๋ยวเป็นสัตว์นรก เดี๋ยวเป็นสัตว์เดรัจฉาน เดี๋ยวเป็นเปรต เดี๋ยวเป็นอสุรกาย มันก็จริง เหมือนที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า นี้มันเป็นอบายมุข การเล่นพนันนี้มันเป็นอบายมุข คือปากทางแห่งอบาย พอเล่นเข้าไปมันก็ตกอบายอย่างที่ว่ามา นี้เราจะต้องพิจารณาให้ดี อย่าดูถูกพระพุทธเจ้า ปากว่านับถือพระพุทธเจ้า แต่การกระทำยังดูถูกพระพุทธเจ้าอยู่ ฉะนั้นถ้าใครเล่นการพนันอยู่ เลิกเสียเถอะ ถ้าไม่เลิก มันก็เป็นคนที่ดูถูกดูหมิ่นพระพุทธเจ้า เป็นคนพูดโกหกว่านับถือพระพุทธเจ้า มันไม่เชื่อพระพุทธเจ้า แดกดันพระพุทธเจ้า ท่านห้ามไม่ให้เล่นการพนัน ก็แดกดันจนเล่นไปอย่างนั้นแหละ นี่จะเรียกว่านับถือพระพุทธเจ้าอย่างไร
อบายมุขอีกข้อหนึ่งก็คือ ดื่มน้ำเมา ของเมา กินของเมานี่ ยกตัวอย่างเช่น กินเหล้า มันโง่เหมือนสัตว์เดรัจฉาน มันจึงได้ไปกินเหล้า ซึ่งไม่มีประโยชน์ มีแต่โทษ เสียทรัพย์ เสียเวลา เสียร่างกาย เสียจิตใจ เสียวิญญาณ นี่มันโง่เป็นสัตว์เดรัจฉาน มันจึงไปกินเหล้า ทีนี้เมื่อมันกินเหล้าเข้าไปแล้ว มันไม่ใช่เย็น มันร้อน และยิ่งเมื่อไม่มีเหล้าจะกิน มันเงี่ยน และมันร้อนยิ่งกว่านั้น มันเป็นสัตว์นรกไปแล้ว การรู้สึกเงี่ยนในของติด ของเสพติดนี้ มันหิวเป็นเปรตไปแล้ว และเขาว่ากินเหล้าเข้าไปทำให้กล้าหาญนั้นไม่จริง ลองกินให้มาก ๆ เข้าไปเถอะ มันจะเสื่อมเสียสติสัมปชัญญะ จนกลายเป็นคนขลาด หรือมันจะต้องมารู้สึกกลัว วิตกอย่างยิ่งในตอนหลัง เพราะทำอะไรผิดพลาดไปแล้วในตอนที่เมา ฉะนั้นการที่ได้กินเหล้าเขาไปนั้นมันเป็นอบายมุข และมันก็ตกอบายอย่างที่ว่ามานี้ เที่ยวกลางคืนก็อย่างเดียวกันอีก ดูการเล่นสนุกสนาน ดูมหรสพ จนติด นี้มันก็อย่างเดียวกันอีก เรื่องจริงมีอยู่ที่เมืองนี้ มีเงินมา ๓ บาท จะมาซื้อยาที่ตลาด ไปให้ลูกที่นอนเจ็บอยู่กิน เผอิญมันมาเอาถึงเวลาที่พอเขาเปิดโรงยี่เกที่ตลาด มันก็เลยเอาเงินไปซื้อตั๋วเข้าไปดูยี่เกเสีย ความดึงดูดของยี่เก เป็นมากอย่างนี้ เวลานั้นนึกไม่ได้ นึกไม่ทัน ไอ้ความยั่วของสิ่งที่ยั่วนี้มันมาก พอดูยี่เกเสร็จแล้วถึงนึกได้ว่ า อ้าว, นี่สตางค์จะมาซื้อยาให้ลูก ก็เลยไม่ได้ซื้อ ก็กลับไป ลูกก็ไม่ได้กินยา ตัวก็เสียใจ นี้เป็นเรื่องจริง ที่เมืองนี้เอง เมืองไหนก็คงจะเหมือนกัน ซึ่งมีได้ด้วยกันทั้งนั้น นี่โทษของอบายมุขเรื่องดูการเล่น เป็นได้มากถึงเพียงนี้ แม้ไม่เป็นมากถึงขนาดนี้ มันก็ยังเป็นอย่างนี้ คือทำให้เป็นคนโง่ลง ๆ ถูกเขาลวง เขาล่อด้วยศิลปะ ให้โง่ลง ๆ เอาเงินไปให้เขา ไม่ได้ฉลาดขึ้นเลย แต่ก็พูดว่านี่ดูให้มันฉลาด เป็นการศึกษาอะไรบ้าง แล้วก็มีร้อนใจอยู่บ่อย ๆ มีขี้ขลาดอยู่บ่อย ๆ เมื่อติดแล้วก็หิวอยู่เสมอ เป็นอบายมุข แล้วก็เป็นอบายในที่สุด เรื่องเกียจคร้านทำการงานนั้น ไม่ต้องพูด เห็นกันอยู่ เข้าใจกันได้ ลองเกียจคร้านทำการงานเถอะ มันก็เป็นอบายมุข และก็เป็นอบายขึ้นมาจริง ๆ ทันตาเห็น แล้วก็ลึกซึ้งด้วย อบายมุขทั้ง ๖ อย่างนี้ นำไปสู่อบาย คือ นรก เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย ไปคิดกันเสียใหม่ ถ้าผู้ใดยังตกอบายอยู่บ่อย ๆ ไปคิดเสียใหม่ ให้เกิดกำลังใจชนิดที่ว่า จะห้ามตัวเองไว้ได้ อย่าไปทำอบายมุข แล้วก็อย่าได้ตกอบายเลย เราก็จะเป็นคนที่เป็นมนุษย์ และเราก็จะไม่ดูหมิ่นพระพุทธเจ้า ไม่เหยียดหยามพระพุทธเจ้า คือเราเชื่อฟังพระพุทธเจ้าเต็มที่ ดังนั้นเราก็ไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา เราเป็นมนุษย์ที่ดี มนุษย์ที่เป็นพุทธบริษัท คนอื่นเขาเป็นมนุษย์ธรรมดาตามใจเขา เราเป็นมนุษย์ที่ดี มนุษย์ชั้นดี คือเป็นมนุษย์ที่เป็นพุทธบริษัท เชื่อฟังพระพุทธเจ้า ไม่ดูถูกดูหมิ่นพระพุทธเจ้า ขอให้ถือว่าถ้าใครทำอะไรผิดคำสั่งของพระพุทธเจ้าแล้ว เรียกว่าเป็นคนดูหมิ่นพระพุทธเจ้า เห็นพระพุทธเจ้าเป็นของไม่สำคัญ มันก็เลยกลายเป็นคนไม่จริง ปากพูดว่านับถือพระพุทธเจ้า พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ นับถือพระธรรม ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ นับถือพระสงฆ์ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ และก็เหลวทั้งนั้น ไปเป็นสัตว์ในอบาย ได้ไปอยู่ในอบาย แล้วจะมาเป็นผู้ที่เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า หรือนับถือพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ได้อย่างไรกัน ขอให้ลองคิดดู
นี่แหละเรื่องที่สำคัญมันมีเท่านี้ อย่าอวดดีให้มันมากไป เรื่องเพียงเท่านี้ก็ยังทำให้บริสุทธิสะอาด ขาวผ่องไม่ได้ นี้ไปแก้ไขเสีย ผู้ใดมันมีอบายอยู่ ก็รีบขึ้นเสียให้พ้นจากอบาย ผู้ที่ไม่ตกอบายแล้วก็ควรจะพอใจ เคารพนับถือตัวเองได้ แล้วก็ทำให้ได้รับความสุขยิ่ง ๆ ขึ้นไป จนถึงสวรรค์ สวรรค์นั้นคือไม่ต้องทุกข์ต้องร้อน ไม่ต้องตกอบาย ๔ อย่าง คือไม่ร้อนใจ ไม่โง่ ไม่หิว ไม่ขี้ขลาด ไม่กลัว แต่ก็ยังรู้จักทำใจให้สูงไปกว่านั้นโดยปีติ มีปีติปราโมทย์พอใจตัวเอง ยกมือไหว้ตัวเองได้ด้วยความพอใจที่สุด เป็นสุขที่สุด อย่างนี้มันเป็นความสุขที่แท้จริง และอาจจะได้ที่นี่และเดี๋ยวนี้ ไม่ต้องรอต่อตายแล้ว และความสุขชนิดนี้มันก็ยังสูง หรือสะอาดดีกว่าความสุขในสวรรค์ที่เต็มไปด้วยนางฟ้ากามารมณ์ สวรรค์ชนิดที่เต็มไปด้วยกามารมณ์นั้น เป็นสวรรค์ขี้เท็จขี้โกงไว้หลอกคน สวรรค์ที่แท้จริงนั้น คือคนรู้ได้ด้วยตนเองว่านี้ดีจริง เรามีความดีแล้ว ไหว้ตัวเองได้ สบายใจที่สุด พอใจที่สุด เป็นสุขใจที่สุด นี้แหละคือสวรรค์ที่จริง ไม่ใช่สวรรค์ที่ปลอม อย่าไปชอบสวรรค์ปลอมที่เขาไว้หลอกคนเล่น สวรรค์ที่จริงมีอยู่ คือให้ดี จนไหว้ตนเองได้ แล้วไม่ต้องกลัว ถ้าที่นี่ในเมืองมนุษย์นี้ไหว้ตัวเองได้แล้ว จะตายไปแล้ว จะไปที่ไหนอย่างไร ก็จะมีแต่ความสุขทั้งนั้น ไม่มีความทุกข์เลย แต่อย่างน้อยเราก็ได้รับประโยชน์ในเมืองมนุษย์นี้ เกินค่าอยู่แล้ว เป็นกำไรสูงสุดอยู่แล้ว เห็นทันตาแล้ว เป็นที่พอใจอย่างยิ่งแล้ว นี่เขาเรียกว่า ได้รับบุญ ได้รับกุศล ได้รับอานิสงส์ถึงที่สุด
ฉะนั้นเลิกบาปเสีย ขึ้นมามาจากอบายแล้วก็มาอยู่ในบุญ แล้วก็มีสวรรค์ที่นี่และเดี๋ยวนี้ อยู่ทุกคืนทุกวัน ตลอดเวลา ทุก ๆ วันมีแต่ความพอใจในตัวเอง เคารพนับถือตัวเอง มองเห็นแต่ความดีของตัวเอง ไม่เห็นความผิดความชั่ว ไหว้ตัวเองได้ทุกวัน หรือว่าทุกชั่วโมง หรือว่าทุกนาทีก็ยังได้ ถ้ารู้จักทำ ก็จะทำ ก็อย่าทำผิด อย่าทำอะไรผิด แล้วก็ดูความที่ไม่ได้ทำอะไรผิด มันก็พอใจตัวเอง นับถือตัวเอง มันก็มีความสุข ไม่มีอะไรที่จะเป็นสุขเท่า เดี๋ยวนี้เรามันไม่กล้ามองตัวเอง ไปมองเข้ามันเห็นแต่ความชั่ว ไม่ค่อยเห็นความดีที่ตรงไหน มันก็เลยไม่กล้ามอง หนักเข้า ๆ มันก็ไม่มองเอาเสียเลย ปล่อยไปตามความชั่ว นี้มันตกนรก ๆ ตกอบายที่นี่และเดี๋ยวนี้ ที่เราต้องกล้ามอง อะไรไม่ดีต้องแก้ไข ที่เป็นบาปอยู่ก็ ชำระชะล้างออกไปเสีย ด้วยสิ่งที่เรียกว่าบุญ ให้บาปมันหมด ให้มันมีบุญขึ้นมา แล้วก็เป็นสวรรค์ คือ ไหว้ตัวเองได้ทุกวันๆ ไม่มีอะไรที่จะตำหนิติเตียนตัวเองเลย นี่คือมนุษย์ที่เป็นพุทธบริษัท เกิดมาทีหนึ่งก็ได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์เราควรจะได้ อย่าให้เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์และพบพระพุทธศาสนาเลย
เรื่องสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้นี้ มันมีความหมายกว้าง ถ้าหมายความว่า ถ้าเป็นเด็กก็ให้ได้อย่างเด็ก ถ้าเป็นหนุ่มสาวก็ให้ได้อย่างคนหนุ่มคนสาว ถ้าเป็นพ่อบ้านแม่เรือนก็ให้มันได้อย่างเป็นพ่อบ้านแม่เรือน เป็นคนแก่คนเฒ่า แม้แต่คนชราก็ให้ได้อย่างคนแก่คนเฒ่า คือให้พอใจ เคารพนับถือตัวเองได้ทั้งนั้น เป็นเด็ก ๆ ก็อย่าให้ถูกเฆี่ยน แล้วก็พอใจที่ว่าเราไม่มีความชั่ว แล้วก็ไม่ต้องถูกเฆี่ยน ก็พอใจในการที่ว่ามีความดี ในที่ตนมีอยู่ มันก็เลยอยู่ด้วยความดี พอใจในความดี ในความเป็นคนดีของตนเอง เป็นคนหนุ่มคนสาว จิตใจมันไว ควบคุมยาก มันก็ต้องพยายามควบคุมให้มากกว่าที่แล้วมา มันก็ยังจะควบคุมเอาไว้ได้ ไม่ทำผิด ไม่ทำชั่ว จนกว่าจะเป็นพ่อบ้าน แม่เรือนไป มันก็ต้องมีหน้าที่อย่างอื่นอีก ที่จะทำให้ดีให้ยิ่งขึ้นไป อย่าให้บกพร่องได้ กระทั่งเป็นคนเฒ่าคนแก่ก็มีอะไรให้มากขึ้นไปอีก ถ้าไม่อย่างนั้นมันไม่ใช่คนแก่ มันจะย้อนกลับมาเป็นเด็กอมมือ นี่คนแก่ต้องระวังให้ดี ต้องให้มีอะไรให้มันสมกับที่เป็นคนแก่ อย่าให้มันย้อนกลับมาเป็นเด็กอมมือ
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ควรจะจำกฎเกณฑ์ที่เขาวางไว้เป็นหลักธรรม มาแต่โบราณนานกาล นานไกลก่อนพระพุทธเจ้า กระทั่งถึงสมัยพระพุทธเจ้า กระทั่งถึงเดี๋ยวนี้เขาก็ยังถือกันอยู่ ว่าคนเกิดมานี้ต้องระวังให้ได้ดีที่สุดใน ๔ ระยะด้วยกัน เขาเรียกว่าอาศรม และก่อนแต่งงาน ตั้งแต่เกิดมาจนถึงก่อนแต่งงาน ระยะที่จะแต่งงานนี้ คือเป็นเด็กเป็นหนุ่มเป็นสาวนี้ เขาก็เรียกว่าพรหมจารี พรหมจารีแปลว่ามีหน้าที่ที่จะต้องประพฤติให้ดีที่สุด ให้เหมือนกับพรหม พรหมแปลว่าดีที่สุด พรหมจารีแปลว่าประพฤติอย่าง พรหม หรือดีที่สุด เป็นเด็กที่ดีที่สุดก็คือเชื่อฟัง เป็นหนุ่มเป็นสาวที่ดีที่สุดก็คืออยู่ในระเบียบวินัย ที่เขามีไว้สำหรับคนหนุ่มคนสาว จะต้องหัดบังคับตัวเองให้มากในตอนนี้ ให้อยู่ในร่องในรอย ในระเบียบวินัย อย่าไปถือคำพูดสมัยใหม่ หน้าไหว้หลังหลอก เป็นพรหมจารีที่ดีไปจนกว่าจะกลายเป็นคฤหัสถ์ คฤหัสถ์คือ แต่งงาน มีเหย้ามีเรือน เปลี่ยนหน้าที่จากเป็นคนโสด เป็นบุคคลที่มีคู่ แล้วก็พยายามทำสิ่งที่มนุษย์จะต้องทำ ให้สุดความสามารถ สุดฝีไม้ลายมือ กระทั่งมีลูกมีหลาน เหล่านี้ต้องไม่บกพร่อง มันเปลี่ยนจากเด็ก จากหนุ่มสาวแล้วมาเป็นคนรับภาระในชีวิตของตัว ต้องทำให้เสร็จทัน คนที่ครองเรือนนี้สอบไล่กันด้วยหลักสูตรคือว่า จะต้องมีทรัพย์สมบัติพอสมควร จะต้องมีเกียรติยศชื่อเสียงพอสมควร จะต้องมีคนที่เป็นเพื่อนเป็นมิตรสหาย หวังดีแก่เราพอสมควร ทรัพย์ก็มี เกียรติยศก็มี ไมตรีก็มี ได้อย่างนี้แล้วก็เรียกว่าเป็นคฤหัสถ์ที่ดีถูกต้อง ต้องได้อย่างนี้ เดี๋ยวนี้มันมัวแต่ขี้เกียจเหลวไหลอยู่ มันก็ไม่มีทรัพย์ ไม่มีชื่อเสียง ไม่มีมิตรสหายที่ดี รีบไปแก้ไขเสีย ถ้าหากว่าเป็นผู้ที่อยู่ในวัยของคฤหัสถ์ ที่เป็นบิดามารดา ที่ครองเรือน ทีนี้เป็นอย่างนี้ดีแล้วก็เรียกว่า ไหว้ตัวเองได้ในตอนนี้ เป็นสวรรค์อยู่ในความเป็นคฤหัสถ์นี้ เพราะว่ามองทีไรเห็นแต่ความถูกต้อง หรือความดีของตน จนกระทั่งถึงวัยที่เรียกว่าเป็นคนแก่ ถืออายุ ๖๐ ปี เป็นหลักก็พอจะใช้ได้ เพราะพออายุ ๖๐ ปี มันก็เป็นเรื่องที่ เปลี่ยนแปลงเอามากจริง ๆ อาตมาสังเกตตัวเองก็เห็นได้ว่า ตอนนี้มันเป็นตอนที่เปลี่ยนแปลงมากจริงๆ จะกลายเป็นแก่ แล้วก็เตรียมตัวสำหรับเป็นคนแก่ที่ดีคือ หาความสงบไปตามแบบของคนแก่ อย่าวุ่นไปจนตาย ต้องมีความสงบบ้าง เกิดมาทีอย่าให้พลาดกับความสงบ เมื่อเป็นคฤหัสถ์ทำไว้ดี มีเงิน มีเกียรติยศ มีเพื่อน มีอะไรดี ตอนแก่ก็หาความสงบได้เป็นแน่นอน นี่มันเลื่อนชั้นขึ้นไปชั้นหนึ่ง คือมีความดีกว่าที่แล้วมา ให้พบกับความสงบ ในชีวิตนี้ ไม่เสียทีที่เกิดมา ทีนี้พอเลยคนแก่ไปอีก ก็ถึงเป็นคนชรา ถ้าปฏิบัติมาดี ตอนชรานี้จะยิ่งมีค่า จะยิ่งมีราคา ถ้าประพฤติตัวดี เป็นคนชรา ก็ยังไม่เงอะงะ ไม่หลงใหล ไม่ฟั่นเฟือน เพราะมันไปกินเหล้า ไปสูบบุหรี่ ไปเที่ยวกลางคืน ไปอะไรมาตั้งแต่หนุ่ม ตั้งแต่นั่น มันทำให้ร่างกาย และจิตใจเสื่อมเสีย พอถึงไวเป็นคนชรา มันก็ฟั่นเฟือนไปหมด ฉะนั้นจึงอยู่ในศีลในธรรมไปตั้งแต่เด็ก จนเป็นคนหนุ่มคนสาว เป็นพ่อบ้านแม่เรือน กระทั่งเป็นคนแก่ พอเป็นคนชราก็ไม่ฟั่นเฟือน จนกระทั่งวาระสุดท้าย จะหลับตาตายลงไป ก็ไม่ฟั่นเฟือน ทีนี้คนแก่ก็มีค่า มีประโยชน์คือความไม่ฟั่นเฟือน สามารถจะสั่งสอนลูก หลาน เหลน ให้รับประโยชน์จากการที่ตนเกิดก่อนนี่ ตนทำอะไร ๆ ก่อนทั้งนั้น เพราะฉะนั้นรู้อะไรมากกว่าเด็ก ๆ คนชราก็สามารถที่จะนั่ง พูดจาให้เป็นแสงสว่างแก่เด็ก ๆ หรือแก่ลูก แก่หลาน แก่คนที่อ่อนกว่าเรา ขอให้เตรียมที่จะเป็นคนชราชนิดนี้กันเถิด อย่าเป็นคนชราชนิดที่ป้ำ ๆ เป๋อ ๆ หลงๆ ลืมๆ นี่มันจะกลายเป็นเด็กทารกใหม่ จะเป็นเด็กอมมือใหม่ ระวังให้ดี ป้องกันเสียแต่เดี๋ยวนี้ อย่าไปเกี่ยวข้องกับอบายมุข รักษากาย วาจา ใจ ให้บริสุทธิ์สะอาด มั่นคงอยู่ในร่องในรอย เสมอไป มันก็มั่นคงไปจนถึงแก่และชรา วัยต้นเขาเรียกว่า พรหมจารี ก็บริสุทธิ์ดี ได้สิ่งที่ดี ที่เด็ก หรือคนหนุ่มสาวจะพึงได้ วัยที่ ๒ เขาเรียกว่า คฤหัสถ์ ก็ได้ความเป็นคฤหัสถ์ที่ดี มีทรัพย์ มีเกียรติ มีอะไร เพื่อนฝูงแวดล้อมดี ทีนี้ถัดจากคฤหัสถ์ก็เขาเรียกว่า วานปรัสถ์ แปลว่าผู้หาความสงบ ปลีกออกไปหาความสงบ ไปอยู่ตามกอไผ่ กอกล้วย ริมบ้าน ริมเรือน หาความสงบ ปล่อยภาระที่เคยทำนั้นให้ลูกให้หลานต่อไป เราต้องการความสงบ อย่าให้เสียทีที่เกิดมาแล้วไม่ได้ความสงบ ทีนี้เมื่อเราได้ความสงบ เป็นวานปรัสถ์นี้พอแล้ว ก็เลื่อนชั้นขึ้นไปเป็น สันยาสี คือเที่ยวส่องแสงสว่าง จะไปที่ไหน จะเดินไปที่ไหน จะไปวัดไปวาไปไหนก็ตาม ให้มันเป็นแสงสว่าง คือคำพูดของเรามีประโยชน์แก่ผู้ที่ได้ยิน คนชราแบบนี้มันรู้อะไรมาก มันอยู่มาถึง ๗๐- ๘๐ ปี ๙๐ ปีแล้ว มันไม่ฟั่นเฟือน มันจำได้ชัดเจน พูดอะไรไป มันเป็นประโยชน์แก่เด็ก ๆ แก่คนหนุ่มคนสาว แก่พ่อบ้านแม่เรือน แก่คนที่อ่อนกว่าเรา ก็เลยได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ แม้ในวัยชรา ที่เรียกว่า สันยาสี เที่ยวแจกของส่องตะเกียงไป ให้เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นไป จนกว่าร่างกายนี้มันจะสิ้นสุดลง เกิดมาอย่างนี้เรียกว่าได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ ทั้ง ๔ ระยะเลย ระยะเป็นพรหมจารี เด็กถึงมาหนุ่มสาวนี้ก็ดี คฤหัสถ์ครองเรือนนี้ก็ดี วานปรัสถ์ หาความสงบก็ได้ พอถึงสันยาสี เป็นคนชรา ที่เป็นมีประโยชน์แก่คนทุกคน พูดอะไรออกไป มีค่า ก็ไม่มีอะไรเหลืออยู่สำหรับจะเป็นปัญหา บาปไม่มี บุญก็มีเต็มที่ นี้เรียกว่า เป็นคนที่มีบุญจริง ชนิดที่ล้างบาปได้จริง บุญชนิดที่ล้างบาปไม่ได้นั้น มันเป็นบุญปลอม เป็นบุญของคนที่ไม่รู้อะไร เข้าใจเอาเองว่าบุญ ถ้าเราจะทดสอบว่าบุญจริงหรือไม่จริง ก็ลองดู คิดดู พิจารณาดู ตรงที่ว่ามันล้างบาปได้หรือไม่ มันล้างบาปอะไรได้บ้าง ถ้ามันล้างบาปนั่นนี่ได้ ก็เรียกว่าเป็นบุญจริง ก็พอใจ เป็นผู้ละบาปได้ เป็นผู้มีบุญแล้ว ก็ทำใจให้อยู่สูงสุดเหนือความทุกข์ เหนือความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใด ๆ ในโลกนี้ เพราะว่าสิ่งใด ๆ ในโลกนี้ ไปยึดถือเข้าแล้ว จะมีประโยชน์นั้น เอ๊ย, ที่จะไม่มีโทษนั้น มันไม่มี จะไปยึดมั่นถือมั่น ให้มันหนักอกหนักใจ เป็นตัวกู เป็นของกู อะไรอย่างนี้มันจะต้องเป็นทุกข์ รู้จักทำจิตใจให้สะอาด ปราศจากความยึดมั่นถือมั่น เรื่อยไปจนถึงวาระสุดท้าย ก็จะเป็นผู้ที่ได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ ตั้งแต่เกิดจนถึงวาระสุดท้ายที่เรียกว่าตาย
ท่านทั้งหลายมาที่นี่ก็คงจะมีความหวังว่า จะได้สิ่งที่ดีมีประโยชน์ อาตมาก็ไม่มีอะไรจะให้ ในฐานะเป็นสิ่งที่ดีมีประโยชน์ นอกไปกว่าสิ่งนี้ คือสิ่งที่กำลังพูดนี้ ขอให้ท่านทั้งหลายพ้นจากอบาย อย่าไปแตะต้องกับอบายมุข และก็ได้สวรรค์ ได้ความดี ได้ทั้งความดี ชั้นต่ำ ชั้นกลาง ชั้นสูงสุด คือว่าเป็นเด็กก็ดี เป็นผู้ใหญ่ก็ดี คนแก่ก็ดี ชราก็ยังดี ทีนี้ก็จะง่ายดายในการที่ว่า อะไร ๆ มันก็ไม่ต้องยึดถือ มันเคยยึดมามากแล้ว ก็ปล่อยจิตใจให้ปราศจากความยึดถือ มันก็ได้ถึงที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ แม้จะตาย ก็ตายอย่างที่เรียกว่านิพพาน มากกว่า นิพพานนั้นมีหลายชั้น เราก็ให้มันได้สักชั้นหนึ่งก็แล้วกัน กิเลสบางอย่างหมดสิ้นไปจริง ๆ ก็เรียกว่านิพพานในชั้นนั้น ๆ ที่เราจะต้อง ละเสียก่อน กว่ากิเลสอื่น ก็คือ ความโง่ การที่จะเป็นพระอริยเจ้าได้ ต้องเริ่มต้นด้วยการละความโง่ ที่เขาเรียกว่า สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส นั้นล้วนแต่ความโง่ทั้งนั้น นี่ละได้แล้วก็เป็นพระโสดาบัน พระอริยบุคคลชันต้นนี้ ละความโง่ก่อน ส่วนเรื่องราคะ หรือความโลภ หรือความหลงนั้น ละได้ต่อทีหลัง ความโง่เบื้องต้นนี้ ต้องละกันก่อน อย่าโง่ถึงกับทำอบายมุขเลย นี้เรียกว่า ไม่เห็นกงจักรเป็นดอกบัว เป็นผู้มีสัมมาทิฏฐิ สมตามกับที่เราเป็นพุทธบริษัท แปลว่าบริษัทของบุคคลผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน รู้ คือมันไม่โง่ ตื่น คือมันไม่หลับ เบิกบาน คือมันไม่มีความทุกข์ คำว่าพุทธะ แปลว่ารู้ ว่าตื่น ว่าเบิกบาน ถ้าใครยังโง่อยู่ ไม่รู้จักดี ไม่รู้จักชั่ว นี้มันก็เป็นพุทธะไปไม่ได้ มันก็จะเป็นความหลับ ไม่รู้อะไรนี่ แล้วก็จะต้องมีความเหี่ยวแห้ง ไม่มีความสดชื่นแจ่มใส ไม่เป็นอมตะ อมตะแปลว่าไม่รู้จักเหี่ยว ไม่รู้จักแห้ง ไม่รู้จักตาย มีแต่สดชื่นแจ่มใสอยู่เสมอ นี่ตลอด เวลาที่มีชีวิตอยู่ ให้มันสดชื่นแจ่มใสอยู่เสมอ ไม่มีเหี่ยวแห้ง ไม่มีตาย เรื่องของร่างกายนั้น ไม่เอาเป็นหลัก เอาเรื่องของจิตใจเป็นหลัก ไม่รู้สึกว่าเราเหี่ยวแห้งหรือตาย แต่สดชื่นอยู่ แจ่มใสอยู่ เป็นสุขอยู่ เยือกเย็นอยู่ นี่คือสิ่งทีมีให้
คำว่าสวนโมกข์นี้ คำว่าโมกข์นั้น แปลว่าหลุดพ้น พลาราม นั้น แปลว่าเป็นอารามที่เป็นกำลังของความหลุดพ้น ที่นี่เราพยายามจัดขึ้นเพื่อให้เป็นเครื่องสนับสนุนความหลุดพ้น เพื่อจะให้เกิดกำลังแห่งความหลุดพ้น อะไร ๆ ที่มีไว้ให้ดู ให้เห็น ให้สัมผัสนี่ ล้วนแต่เป็นเรื่องที่จะส่งเสริมให้เกิดความรู้ ความเฉลียวฉลาด ที่จะเป็นไปในทางให้หลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง จะเรียกว่า ก้อนหินก็พูดได้ ต้นไม้ก็พูดได้ ในลักษณะที่จัดไว้อย่างนี้ แต่คนมันไม่ได้ยิน ไม่เห็นเอง มันต้องให้รู้จักธรรมชาติเหล่านี้ ให้ธรรมชาติมันสอนให้ พอรู้จักหยุด พอรู้จักเย็น รู้จักยอม รู้จักอะไรกันเสียบ้างเถิด ต้นไม้พูดอย่างนี้ ก้อนหินพูดอย่างนี้ มดแมลงก็พูดอย่างนี้ อะไร ๆ ก็พูดอย่างนี้ นี้เรียกว่า จัดไว้เพื่อให้มันพูดอย่างนี้ ในตึกนั้น ก็สร้าง ก็สะสมสิ่งที่มันจะเป็นประโยชน์แก่ความรู้ เป็นปัจจัย เป็นกำลังเพื่อให้เกิดความรู้ ให้เกิดความหลุดพ้น ที่สระมะพร้าวนาฬิเกนั้น เป็นสัญลักษณ์ของนิพพาน ปู่ย่าตายายของเราฉลาด รู้จักคิด รู้จักนึก ว่า “ มะพร้าวนาฬิเก ต้นเดียวโนเน อยู่กลางทะเลขี้ผึ้ง ฝนตกไม่ต้อง ฟ้าร้องไม่ถึง กลางทะเลขี้ผึ้ง ถึงได้แต่ผู้พ้นบุญ” หมายความว่า ที่นั่นไม่มีความทุกข์ ทะเลขี้ผึ้งนั้นมันเป็นความทุกข์ เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวเย็น ๆ แต่มะพร้าวนาฬิเกนั้น มันไม่เป็นอย่างนั้น ทั้งที่มันอยู่กลางทะเลขี้ผึ้ง เหมือนกับเรานี้อยู่ในโลก ที่มันมีความทุกข์ แต่เราอย่าเป็นทุกข์ โลกนี้มันบ้ากันมากยิ่งขึ้นทุกที ใคร ๆ ก็เห็น ๆ กันอยู่ เราอยู่ในท่ามกลางโลกชนิดนี้ เราก็อย่าบ้า แล้วเราก็ไม่ต้องเป็นทุกข์ นี่ลักษณะของมะพร้าวนาฬิเก กลางทะเลขี้ผึ้ง ไม่เป็นทุกข์ ฝนตกก็ไม่ต้อง ฟ้าร้องก็ไม่ถึง นี้หมายความว่าไม่เป็นทุกข์ มะพร้าวนาฬิเกนี้ จะไปถึงได้ก็แต่ผู้ที่พ้นบุญ ผู้ที่จะพ้นบุญหมายความว่าผู้ที่ทำบุญ มาถึงที่สุดแล้ว จึงจะพ้นบุญได้ ถ้ายังทำบุญไม่ถึงที่สุด ก็จะพ้นบุญได้อย่างไร ต้องทำบุญจนอิ่มด้วยบุญ มันจึงจะเหนือบุญพ้นบุญไปได้ ไปถึงนิพพาน ฉะนั้นผู้ใดปรารถนานิพพาน ต้องรีบทำบุญให้เต็มไปด้วยบุญ แล้วจึงจะพ้นบุญ จึงจะถึงนิพพาน ถ้ามัวแต่ทำบาปอยู่ บุญมันก็ไม่มี ต้องรีบทำบุญเพื่อจะล้างบาปเสีย ร่ำรวยด้วยบุญแล้ว ก็เลื่อนชั้นขึ้นไปจนถึง ความดับสนิท ไม่มีตัวกูไม่มีของกู ไม่มีเกิดไม่มีแก่ ไม่มีเจ็บ ไม่มีตาย นี่เรียกว่านิพพาน ที่สระนาฬิเกมีมะพร้าวอยู่ต้นหนึ่ง กลางสระนั้น ให้ไปนั่งดู ให้ไปนั่งคิด นั่งนึกว่า นิพพานนั้น อยู่ท่ามกลางวัฏสงสาร เหมือนกับที่เรานี้ อยู่ท่ามกลางโลกอันเป็นทุกข์ เราก็เอาชนะให้ได้ อย่าให้มันครอบงำเรา ให้เราก็อยู่เหนือไว้เสมอไป ยกตัวอย่างเรื่องสระนาฬิเก เรื่องโรงหนัง กระทั่งทุกสิ่งทุกอย่างที่จัดไว้ แผ่นดิน ต้นไม้ ก้อนหิน เหล่านี้ ก็ล้วนแต่จัดไปในลักษณะที่ว่าจะส่งเสริมให้คนฉลาด ต้องการให้คนฉลาด ฉะนั้นจึงต้องเป็นคนฉลาด อย่าเป็นคนโง่ มองเห็นก้อนหิน ก็รู้ว่า ก้อนหินมันร้องตะโกนบอกเรา ว่าอย่าบ้าไปนักเลย หยุดกันเสียบ้าง สงบกันเสียบ้าง ก้อนหินมันก็พูดอย่างนี้ ถ้ามันพูด มันไม่พูดอย่างอื่นได้ มันพูดแต่อย่างนี้ หรือไม่อย่างนั้นมันก็ไม่พูด ฉะนั้นเราก็ต้องฉลาดพอที่จะฟังมันพูด มันแสดงลักษณะ หยุด หรือเย็น หรือยอม อยู่ในตัวมาตลอดเวลา เรามองไม่เห็นเอง ถ้ามองเห็นนั่นแหละเรียกว่า ได้ยินก้อนหินพูด ว่าหยุดกันเสียบ้าง เย็นกันเสียบ้าง ยอมกันเสียบ้าง อย่าบ้าให้นักเลย ก้อนหินมันพูดอย่างนี้ ผู้ใดมาสวนโมกขพลารามนี้ และได้รับประโยชน์อันนี้ ได้รับการกระทำอันนี้ นั่นแหละเรียกว่าไม่เสียทีที่มา ส่วนความสนุกสนานร่าเริงอะไรนั่น มันเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่เรื่องความรู้ความฉลาด ความเข้าใจหรือ สัมมาทิฏฐินี้ มีค่ามาก จะช่วยให้เราได้เป็นพุทธบริษัทที่ดี มีการกระทำที่ดี ได้ตามรอยพระพุทธเจ้าไป สู่ความดับทุกข์ได้จริง จึงจะสมกับว่าป่าไม้นี้ สวนนี้ จัดไว้เพื่อเป็นกำลังแห่งความหลุดพ้น
ท่านทั้งหลายจงมาศึกษาข้อนี้ ข้ออื่นไม่สำคัญ จงพยายามที่จะศึกษาข้อนี้ คือรู้สิ่งที่จะช่วยให้เกิดความหลุดพ้น แล้วก็จะหลุดพ้นได้ในที่สุด ก็จะได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ สิ่งอื่นไม่สำคัญ เกิดมาทีหนึ่งนี้ ต้องได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ คืออยู่เหนือความทุกข์ อยู่เหนือสิ่งที่เป็นที่ตั้งแห่งความทุกข์ ทุกประการ หวังว่าท่านทั้งหลายจะได้เอาข้อความเหล่านี้ไปคิดนึกพิจารณาดูให้เป็นอย่างดี ให้มีความเข้าใจ ให้เห็นจริง ให้เชื่อตัวเอง แล้วก็พยายามไปในทางที่มันเป็นสัมมาทิฏฐิ อย่าให้มีมิจฉาทิฎฐิเข้ามาเจือ การเป็นอยู่ตลอดทั้งวัน ๆ ทั้งเดือน ตลอดทั้งปี ก็มีแต่ความบริสุทธิ์ผุดผ่อง เคารพนับถือตัวเองได้ ยกมือไหว้ตัวเองได้แล้ว จงเป็นผู้เจริญงอกงามในพุทธศาสานาของสมเด็จพระบรมศาสดา อันเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลาย ทุกทิพาราตรีกาลเทอญ ธรรมเทศนาสมควรแก่เวลา เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้
ณ บัดนี้จะได้วิสัจฉนาพระธรรมเทศนา เพื่อเป็นเครื่องประดับสติปัญญา ส่งเสริมศรัทธาความเชื่อ และวิริยะความพากเพียร ของท่านทั้งหลายผู้เป็นพุทธบริษัท ให้เจริญงอกงามก้าวหน้าในทางแห่งพระศาสนา ของสมเด็จพระบรมศาสดา อันเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลาย กว่าจะยุติลงด้วยเวลา ธรรมเทศนาในวันนี้จะถือว่าเป็นธรรมเทศนาพิเศษ ปรารภการที่ท่านทั้งหลายได้มาประชุมกันในวันนี้ เป็นการเยี่ยมเยียนสวนโมกข์นี้ ทุกคนมีความมุ่งหมาย ในการที่จะได้เห็น ในการที่จะได้ฟัง และได้รับความรู้สึกในทางธรรมะอย่างใดอย่างหนึ่ง ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ และทั้งยังมีการประกอบการกุศล มีการถวายทาน ในลักษณะที่เรียกว่าถวายผ้าป่านี้เป็นต้น รวม ๆ กันไป หลายอย่างหลากประการ ถ้าจะพิจารณาดูให้ดี จนมีความเข้าใจในการกระทำเหล่านี้แล้ว ก็คงจะมีปีติปราโมทย์มาก เราจะได้บุญไม่ใช่น้อยเลย แต่ถ้าไม่พิจารณาให้ดี ไม่มีความเข้าใจในการกระทำนี้ ก็จะไม่มีความรู้สึกที่เป็นที่ปีติปราโมทย์ หรือพอใจในการกระทำของตนเองกี่มากน้อยนัก หรือทว่าจะเป็นเรื่องสนุกสนาน มีปีติปราโมทย์ไปในทางสนุกสนาน ก็เป็นปิติอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งไม่ค่อยจะเนื่องด้วยบุญนัก
ปิติที่เนื่องด้วยบุญนั้น จะมาจากสัมมาทิฏฐิ คือความรู้ ความเข้าใจอันถูกต้อง ว่านี้คืออะไร นี้เพราะเหตุใด นี้จะเป็นไปเพื่ออะไร และจะได้อย่างนั้นโดยการทำอย่างใด ให้แจ่มแจ้งโดยแท้จริง และรู้ว่าตนได้ทำให้สำเร็จประโยชน์ตามนั้น จึงจะมีปิติในทางธรรมเกิดขึ้น ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดสิ่งที่เรียกว่าบุญ และเป็นบุญอย่างแท้จริง คือชำระบาปได้ สิ่งที่เรียกว่าบุญ คือสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ ก็เพราะเหตุว่ามันชำระบาปได้ บาปนั้นเป็นที่ตั้งของความทุกข์ ถ้าชำระบาปเสียได้ คนเราก็ไม่มีความทุกข์ แต่ว่าสิ่งที่เรียกว่าบาปนี้ ก็เข้าใจได้ยาก รู้จักได้ยาก จึงรู้จักกันน้อยเกินไป ไม่สามารถที่จะละบาปโดยแท้จริงให้สิ้นไปได้ มักจะเป็นเพียงเรื่องพิธีรีตองทำตาม ๆ กันไปเท่านั้น ดังนั้นควรจะรู้จักสิ่งที่เรียกว่าบาปนี้ให้เพียงพอเสียก่อน จะได้มีความรู้ ความเข้าใจในเรื่องอื่น ๆ ต่อไปได้โดยง่าย
สำหรับสิ่งที่เรียกว่าบาปนี้ เป็นชื่อของความเศร้าหมอง ไม่ผ่องใส ไม่เป็นสุข ไม่เป็นความสว่างไสว แจ่มแจ้ง เรียกอีกอย่างหนึ่งก็ว่า เป็นความสกปรก เป็นความมืดมัว เป็นความเร่าร้อน ถ้าใจรู้สึกสกปรก มืดมัว และเร่าร้อน ก็จะถือว่าใจนั้นประกอบอยู่ด้วยบาป มีความทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้น ทุกข์อย่างหยาบ ๆ ก็เผาลนให้เดือดร้อน ทุกข์อย่างละเอียด ก็ไม่แสดงอาการที่เจ็บปวดหรือเดือดร้อนนัก แต่เป็นการทรมานอยู่ภายใน ในส่วนลึกของจิตใจอย่างลึกซึ้ง บาปที่ไปฆ่าเขา ไปลักเขา ไปประพฤติผิดในกามนี้ มันก็บาปเหมือนกัน แต่เป็นของชั้นที่หยาบหรือเป็นภายนอก และกระทบ กระทั่งถึงบุคคลอื่น เกี่ยวข้องกันกับบุคลอื่น เป็นบาปอย่างหยาบ ผลมันก็หยาบ จะเดือดร้อนโกลาหล วุ่นวายกันไปหมด ส่วนบาปอย่างละเอียดนั้น มันเกิดอยู่ในใจ โดยไม่มีใครรู้ก็ได้ โดยไม่ต้องกระทบกระเทือนถึงผู้ใดก็ได้ มันก็เป็นบาปด้วยเหมือนกัน แต่เป็นบาปชนิดที่ละเอียดลึกซึ้งลงไป ทำให้ใจสกปรก มืดมัว และ เร่าร้อนอยู่คนเดียวก็ได้ ลองคิดดูเถิดว่า เมื่อใจไม่สะอาด มืดมน แล้วก็เร่าร้อนอยู่ด้วย ความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นต้นนี้ มันเป็นอย่างไรบ้าง ที่แท้มันก็เป็นการเผาลนอย่างลึกซึ้ง ยิ่งกว่าบาปที่ปรากฏในทางกายเห็นชัด ๆ เสียอีก แต่คนก็ไม่ค่อยกลัว กลัวแต่บาปที่เป็นความเจ็บปวด ปรากฏทางร่างกาย แล้วไม่กลัวบาปชนิดที่อยู่ภายในใจ นี้คือคนโง่ เพราะบาปอย่างหยาบที่ทำให้เจ็บปวดข้างนอกหรือทางกายนั้น มันมาจากบาปอันละเอียดลึกซึ้งในภายใน ซึ่งตนไม่รู้จักกลัวนั่นเอง ไม่รู้จักกลัวนี่ก็เพราะว่าไม่รู้จัก ว่ามันเป็นอะไร จึงได้ไม่กลัว ถ้ารู้ว่ามันเป็นสิ่งที่ให้ทุกข์ให้โทษอย่างใหญ่หลวง น่ากลัวยิ่งกว่าสิ่งใด ก็จะพากันระวังบาปชนิดนี้ไว้เป็นอย่างยิ่ง ก็จะไม่เกิดบาปชนิดที่หยาบ ๆ ที่ออกมาทางกาย ทางวาจา นี่แหละคือข้อที่เราจะต้องศึกษา สิ่งที่เรามองเห็นได้ยากเข้าใจได้ยาก บาปหยาบ ๆ ที่ได้รับผล เป็นการตีรันฟันแทงกัน หรือว่าติดคุกติดตาราง อย่างนี้มันเห็นได้ง่าย เข้าใจได้ง่าย ส่วนบาปที่เป็นต้นเหตุของบาปหยาบ ๆ นี้เข้าใจได้ยาก เราจึงต้องศึกษา เราจึงต้องลงทุน สำหรับทำการศึกษาให้มากยิ่งขึ้นไปกว่าธรรมดา เรื่องบวชเรื่องเรียน ก็เพื่อจะศึกษาในเรื่องนี้ แม้ไม่บวชไม่เรียน อุตส่าห์ฟังเทศน์ฟังธรรมอยู่เสมอ ก็เพื่อจะได้ศึกษาในเรื่องบาปชนิดนี้ บาปชนิดนี้จะเรียกกันให้เข้าใจง่าย ๆ กำหนดจดจำได้ง่าย ๆ ก็อยากจะเรียกว่า มิจฉาทิฏฐิ
มิจฉาทิฎฐินั้น คือความเห็นผิด เข้าใจผิด รู้ผิด เชื่อผิด ซึ่งมันล้วนแต่เป็นเรื่อง ผิดไปหมด เมื่อทิฐิผิดแล้ว ทุกอย่างจะผิดไปหมด เพราะว่าคนเราจะพูดอะไร จะทำอะไร ก็ทำไปตามทิฎฐิที่ตัวรู้สึกว่าดีมีประโยชน์ ถ้าทิฎฐิมันผิด มันก็ไปเอาสิ่งที่ไม่ดี ไม่มีประโยชน์มาเป็นสิ่งที่ควรทำ โดยเห็นว่าดีมีประโยชน์ อย่างนี้เขาเรียกกันว่า เห็นกงจักรเป็นดอกบัว ถ้าพูดว่า เห็นกงจักรเป็นดอกบัว หลายคนก็หัวเราะว่ามันไม่เป็นไปได้ มันไม่น่าเป็นไปได้ เพราะมันต่างกันมาก แต่แล้วก็หารู้ไม่ ว่าเราและเพื่อนของเราเป็นอันมาก ก็กำลังเห็นกงจักรเป็นดอกบัว โดยไม่รู้สึกตัว แล้วก็หัวเราะคำพูดนี้ นี่แหละดูให้ดี ถ้าเราไม่เห็นกงจักรเป็นดอกบัว เราคงจะมีอะไรดีกว่านี้ ดีกว่าที่เป็นอยู่เดี๋ยวนี้ เวลานี้ มากทีเดียว เราไปเสียเวลา ทำสิ่งที่ไม่จำเป็นจะต้องทำ หรือว่าไม่ควรจะทำอย่างยิ่งด้วยซ้ำไป นี่ก็คือการเห็นกงจักรเป็นดอกบัว
การที่พูดว่าเห็นกงจักรเป็นดอกบัวนี้ อย่าได้เข้าใจว่ามันเห็นได้ง่าย ๆ มันเห็นได้ยาก คือจะเห็นให้ถูกต้องนั้นมันเห็นได้ยาก การที่จะรู้จักว่าเป็นกงจักร หรือเป็นดอกบัวนี้ มันรู้ได้ยาก มันไปเห็นสิ่งที่ไม่ควรทำ เป็นสิ่งที่ควรทำ แล้วก็เห็นเป็นดอกบัวเสมอ ไม่เห็นกงจักร ไม่เห็นว่ามีกงจักรอยู่ที่ไหนเลย เราหรือเพื่อนของเราจึงทำสิ่งที่ไม่ควรจะทำ กันอยู่ทั่ว ๆ ไป นับตั้งแต่ว่าเบียดเบียนกัน กระทั่งเบียดเบียนตนเองอยู่คนเดียว ใครเห็นกงจักรเป็นดอกบัวแล้วก็จะเบียดเบียนซึ่งกันและกัน แล้วก็จะเบียดเบียนตนเองอยู่คนเดียว ทำสิ่งที่ไม่ควรจะทำเป็นอันมาก ขอให้ไปคิดดูให้ดีว่า เรากำลังมีอะไรที่กระทำอยู่โดยไม่มีเหตุผลอะไรที่ว่าเราจะต้องทำ เช่นเราจะกินเหล้า เราต้องเห็นกงจักรเป็นดอกบัว จึงจะกินเข้าไปได้ ถ้าเห็นกงจักรเป็นกงจักรแล้ว มันคงจะกินเข้าไปไม่ลง หรือว่าการที่เราจะไปเล่นไพ่ จะไปดูหนัง ดูละคร เที่ยวกลางคืน เป็นคนเกเรไปได้ มันก็ต้องเห็นกงจักรเป็นดอกบัวก่อน มันจึงทำไปได้ แม้ที่สุดแต่เรื่องสูบบุหรี่ ที่ไม่มีประโยชน์นี้ มันก็เป็นเรื่องเห็นกงจักรเป็นดอกบัว ใครจะพูดเท่าไรมันก็ไม่รู้จักฟัง ไม่รู้จักเชื่อ ความเห็นของตัวมันมีเสียแล้ว ว่านี้ไม่เป็นไร นี้ไม่มีโทษอะไร นี้กลับสนุกสนานเอร็ดอร่อย หรือว่ามีประโยชน์ด้วยซ้ำไป นี้คือการเห็นกงจักรเป็นดอกบัวด้วยเหมือนกัน ทำอย่างไรเสียก็ไม่เห็นโทษของสิ่งที่มีโทษ ไปดูแต่ในส่วนที่มันเป็นเหยื่อล่อ เป็นเสน่ห์ล่อ
เรื่องนี้ขอให้ท่านทั้งหลาย จำไว้เป็นหลักด้วยว่า สิ่งทุกสิ่งมันมีทั้งส่วนที่เป็นโทษ และส่วนที่เป็นคุณ ถ้าเราเข้าใจผิด ไม่รู้จักตามที่เป็นจริงแล้ว ก็จะไปเอาส่วนที่เป็นโทษนั่นแหละมาเป็นคุณ เพราะ ว่าส่วนที่เป็นโทษนั้นมันมีเสน่ห์มาก ส่วนที่เป็นคุณนั้น มันไม่ค่อยมีเสน่ห์อะไร ส่วนที่เป็นโทษมันมีเสน่ห์มาก ถึงกับหลอกคนให้เห็นกงจักรเป็นดอกบัว จึงไปทำสิ่งที่ไม่ควรทำ กลายเป็นผู้เต็มไปด้วยมิจฉาทิฎฐิ เต็มไปด้วยการพูด การกระทำชนิดที่เป็นไปตามอำนาจของมิจฉาทิฎฐิ จะยกตัวอย่าง เหมือนอย่างว่าสูบบุหรี่ นี้เป็นเรื่องที่เห็นกันอยู่ทั่วไป ใคร ๆ ก็ถือว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย ถึงจะมีโทษ ก็ไม่เป็นโทษอะไร ไม่ถือว่าเป็นโทษ นี่ก็เพราะเหตุที่ว่า ส่วนที่มันเป็นโทษของบุหรี่นั้น มันมีเสน่ห์ เด็ก ๆ ไม่เคยสูบ สูบไม่กี่ครั้งมันก็ติด นี่เพราะมันมีเสน่ห์อย่างนี้ สิ่งที่เป็นคุณ มันไม่มีเสน่ห์ที่จะทำให้ชอบให้ติดมากเหมือนอย่างสิ่งที่เป็นโทษ เราจึงไปทำสิ่งที่ไม่จำเป็นจะต้องทำ การสูบบุหรี่นี้ มันก็เปลืองทรัพย์ เปลืองเวลา เปลืองร่างกาย คือทำให้ร่างกายเสื่อมโทรม แต่ว่าเปลืองวิญญาณ คือทำให้โง่ เพราะเหตุที่มันโง่ มันจึงจะไปทำอย่างนั้นได้ อย่างนี้เป็นความเสียหายทางวิญญาณ ทำให้เป็นวิญญาณโง่ ร่างกายก็จะทรุดโทรม ไม่วันนี้ก็วันหน้า ไม่เวลานี้ก็เมื่อยามแก่ชรา และก็ยังมีการเสียทรัพย์ คำนวณดูแล้ว คนที่สูบบุหรี่จัด หรือสูบบุหรี่แพง ๆ นั้น เพียงชั่วเวลา ๓ – ๔ ปีนี้ ก็จะซื้อรถจักรยานได้สักคัน ถ้าตั้ง ๑๐ ปี ก็จะปลูกบ้านได้สักหลังหนึ่ง ถ้าถึง ๑๐๐ ปี อาจจะสร้างโบสถ์ ได้สักหลังหนึ่ง นี้ถ้าเราชวนกันประหยัดค่าสูบบุหรี่กันสัก ๑๐๐ คน ไม่กี่ปีก็จะมีค่าเท่ากับ สร้างโบสถ์ได้สักหลังหนึ่ง ทำไมจึงมองไม่เห็น ก็เพราะว่าเสน่ห์ของสิ่งที่เป็นโทษนี้มันมีมาก มันทำให้มองไม่เห็น เรื่องที่ใหญ่โตไปกว่านั้น เช่นเหล้า หรืออบายมุขอย่างอื่น มันก็ยิ่งมีเสน่ห์ยั่วยวนมากยิ่งขึ้นไปกว่านั้น คนจึงทำได้ แล้วก็มีความเสื่อมเสียอย่างเดียวกัน ทรัพย์ก็เสีย เวลาก็เสีย ร่างกายก็เสีย จิตใจหรือวิญญาณก็พลอยเสีย กลายเป็นคนที่ไม่ใช่มนุษย์ ถ้าเป็นมนุษย์ก็ต้องเป็นคนที่มีใจสูง
มนุษย์นั้นแปลว่าใจสูง เป็นเหล่ากอของบุคคลที่มีใจสูง ถ้าเป็นคนนั้น สูงก็ได้ไม่สูงก็ได้ ปล่อยไปตามสบาย อะไรอยากทำ ก็ทำไป ตามอำนาจของกิเลส ตามอำนาจของสิ่งแวดล้อม ที่มันมายั่ว มายุ นี่ถ้าเราปล่อยใจไปให้ทำตามอำนาจของกิเลสอย่างนี้ หรือตามสิ่งที่แวดล้อมมายั่วยุอย่างนี้ เราก็เป็นคนที่ไม่ใช่มนุษย์ คือจิตใจมันไม่สูง ไม่สะอาด ไม่สว่าง ไม่สงบ มันไม่สูง มันไม่ใช่มนุษย์ เพราะใจไม่สูง ต้องรีบแก้ไขสิ่งที่ทำให้ใจมันต่ำ ทุกอย่างทีเดียว อย่าไปแตะต้องสิ่งที่เป็นโทษ และตนไม่รู้จักว่าเป็นโทษ ขอให้เชื่อฟังพระพุทธเจ้าก่อน ในเรื่องอบายมุข ดื่มของเมา เที่ยวกลางคืน ดูการเล่น เล่นการพนัน คบคนชั่วเป็นมิตร เกียจคร้านทำการงาน เหล่านี้พระพุทธเจ้าท่านตรัส ถ้าเรายังไม่รู้ด้วยตนเอง ก็ขอให้เชื่อพระพุทธเจ้าก่อน อย่าดูถูกดูหมิ่นว่า พระพุทธเจ้าพูดผิด หรือว่าพระพุทธเจ้าไม่มีความสำคัญ เดี๋ยวนี้เราไปคิดเสียว่า นี้เป็นเรื่องเล็กน้อย ไม่มีความสำคัญ เถียงพระพุทธเจ้า ซึ่งท่านตรัสว่ามันเป็นเรื่องสำคัญ มันเป็นเรื่องฉิบหาย ไม่ฉิบหายจะไม่เรียกว่าอบายมุข เดี๋ยวนี้พระพุทธเจ้าท่านเรียกว่า อบายมุข คือปากทางของอบาย ปากเหวของอบาย นี่เรียกว่าอบายมุข ดื่มน้ำเมา คือดื่มของเมานี่ เที่ยวกลางคืน หาความสนุกสนาน ดูการเล่นเพลิดเพลิน คบคนชั่วเป็นมิตร เกียจคร้านทำการงาน เล่นการพนันนี่ อยู่ใน ๖ อย่างนี้ ที่ไหนก็มี เรื่อง ๖ อย่างนี้ มีดื่นทั่วไปหมด นี่คือดูถูกพระพุทธเจ้า ดูหมิ่นพระพุทธเจ้า ไม่เคารพพระพุทธเจ้า แล้วมันก็ได้ตกอบาย สมน้ำหน้ามันเลย เพราะว่าสิ่งเหล่านี้ เป็นอบายมุข เป็นปากทางแห่งอบาย
จะว่าให้ฟัง อบายนั้น เขาจำแนกไว้เป็น ๔ อย่าง เรียกว่า นรก เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย นรก เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย จำไว้ดี ๆ ที่หนึ่งเรียกว่า นรก หมายถึงความร้อนใจเหมือนไฟเผา ขณะใดมีความร้อนใจเหมือนไฟเผานั่น มันตกนรก เมื่อใดโง่ อย่างไม่น่าโง่ โง่ไปทำสิ่งที่ไม่ควรทำ อย่างนี้ ๆ เขาเรียกว่าเดรัจฉาน คือสัตว์เดรัจฉานมันโง่ เวลาไหนโง่ เมื่อนั้นไม่เป็นมนุษย์ เป็นคนโง่อย่างสัตว์เดรัจฉาน คือเป็นสัตว์เดรัจฉานนั่นเอง เมื่อใดหิวกระหายไม่มีเหตุผล เมื่อนั้นเป็นเปรต หิวจะถูกหวยเบอร์ หิวจะสร้างวิมานในอากาศ แม้แต่ว่าหิวจะให้มันสนุกสนาน เอร็ดอร่อย ให้สวยให้งาม หิวในทางจิตใจในทำนองนี้ มันเป็นความหิวชนิดที่เกินธรรมดาสามัญ เขาเรียกว่าเป็นเปรต คือหิวไม่รู้จักสิ้นสุด หิวไม่รู้จักอิ่ม ไม่มีเวลาอิ่ม ที่ว่าเปรตไม่มีเวลาอิ่มนั้นเขาเปรียบไว้ว่า ท้องเท่าภูเขา ปากเท่ารูเข็ม จะกินอะไรก็ไม่ทัน เมื่อปากเท่ารูเข็ม แล้วท้องเท่าภูเขานี่ มันหิวเท่าภูเขา และมันสนองความหิวด้วยรูเข็ม นี้มันไม่ไหว และระวังให้ดี คนเรามันเป็นอย่างนั้น มันหิวเรื่อย มันอยากเรื่อย จะดีจะเด่น จะสวย จะงาม จะร่ำจะรวยอะไร ไปดูจิตใจเวลาที่มันอยากถูกหวยเบอร์ก็แล้วกัน หรือมันอยากอะไรชนิดที่มันแผดเผาหัวใจนี่ อย่างนี้ก็เรียกว่าหิว มันเป็นเปรต ทีนี้เมื่อใด ขี้ขลาด ไม่มีเหตุผล เพราะความโง่ นี้ก็เรียกว่าอสุรกาย อสุรกายแปลว่าไม่กล้าหาญ มันกลัวในสิ่งที่ไม่ควรจะกลัว มันโง่ มันจึงได้ไปกลัว นับตั้งแต่กลัวจิ้งจก ตุ๊กแก กลัวไส้เดือน กลัวลูกหนู กลัวกิ้งกือ เรื่อยขึ้นมาจนถึงกลัวสิ่งที่ทำให้นอนไม่หลับ แม้แต่กลัวโจร กลัวขโมย อะไรนี้มันก็โง่เหมือนกัน จะต้องไปกลัวมันทำไม จะต่อสู้อย่างไร ก็ต่อสู้กันไป เอาจิตใจไว้คิด ไว้นึกสำหรับการต่อสู้ให้ถูกต้อง ดีกว่าเอาไปกลัว เอาไปกลัว มันทำให้โง่ ให้มืดมน ไม่รู้ว่าจะต่อสู้อย่างไร ฉะนั้นอย่ากลัว ถ้ากลัวมันก็เป็นอสุรกาย เป็นอบายชนิดหนึ่ง
อยากจะพูดไว้ให้สูงสุดเสียเลย อย่าให้ลืมได้ง่าย ๆ ว่า อย่าว่าแต่โจรขโมยเลย แม้เราเผชิญหน้ากันกับเสือในป่า ก็อย่ากลัว จะสู้ ก็สู้โดยไม่ต้องกลัว จะขึ้นต้นไม้ ก็ต้องขึ้นโดยไม่ต้องกลัว ถ้าจะวิ่งหนี ก็ต้องวิ่งหนีโดยที่ไม่ต้องกลัว พอไปกลัวเข้า มันก็ทำอะไรไม่ถูก ถ้าจะต้องสู้เสือ หนีไม่ได้ มันก็จวนตัวแล้ว ฉะนั้นก็อย่ากลัว มันจึงจะสู้ได้ดี นี่คนโง่ ๆ มันไปกลัวตอนนั้น มันเลยทำอะไรไม่ถูก มันจึงถูกเสือกัดตาย หรือว่าถ้าจะหนีขึ้นต้นไม้ ถ้ามันกลัว มันก็ขึ้นไม่ได้ดี เปะๆ ปะๆ เพราะความกลัว มันก็ตกลงมาให้เสือกัดอยู่ดี นี่ไม่ต้องกลัว ขึ้นต้นไม้ให้มันดี ๆ ถ้ามันไม่มีต้นไม้จะขึ้น จะต้องวิ่งหนี ก็วิ่งหนีให้เก่ง ถ้ากลัวแล้ว มันวิ่งไม่รอด หรือมันวิ่งไม่ดี ต้องเฉลียวฉลาดที่สุด แล้วก็วิ่งให้ดี วิ่งให้มันเอาตัวรอดให้ได้ ฉะนั้นเขาจึงสอนให้มีความกล้า หรือมีความปกติ ไม่ต้องกลัว จัดความกลัวว่าเป็นอบายชนิดหนึ่งคืออสุรกาย นี่จำไว้ เพราะความร้อนใจนั้นคือนรก และความโง่นั้นคือเดรัจฉาน ความหิวนั้นคือเปรต ความขี้ขลาดนี้คืออสุรกาย
จะยกตัวอย่าง อบายมุข คือปากทางแห่งอบายนี้ว่า เมื่อเราเล่นการพนัน ก็มีทางที่จะตกอบายทั้ง ๔ อย่างนี้ ในเวลาอันใกล้ ๆ กันนั้นเอง เราเล่นการพนัน ถ้าเสีย เดือดร้อน ครอบครัวก็เดือดร้อน เราก็ตกนรก คือความเดือดร้อน มีจิตใจเหมือนกับไฟเผา นี่ มันเป็นสัตว์นรกไปแล้ว ทั้งที่รูปร่างกาย เรียกว่าคนนี้ แต่ใจมันเป็นสัตว์นรกไปแล้ว ทีนี้ที่คิดว่าการพนันเป็นของดี จะช่วยเราได้ มันคือโง่ มันโง่อย่างสัตว์เดรัจฉานไปแล้วที่จะไปคิดพึ่งพาอาศัยการพนัน ร่างกายเป็นคนแต่จิตใจโง่สัตว์เดรัจฉาน นี่คือตกอบาย คนที่เล่นการพนันนั้น หิวจะชนะ ๆ อยากชนะเหลือประมาณ ตลอดเวลา หิวจนไม่รู้ว่าหิวอย่างไร เพื่อการชนะ นี่คือเป็นเปรต ในขณะที่เล่นการพนัน แล้วมันขี้ขลาด มันกลัวแพ้ กลัวพลั้งพลาด กลัวแพ้ มันขี้ขลาดตลอดเวลา เหมือนกัน นี้มันก็เป็นอสุรกาย นี้คนที่นั่งเล่นการพนันอยู่นั้น เดี๋ยวเป็นสัตว์นรก เดี๋ยวเป็นสัตว์เดรัจฉาน เดี๋ยวเป็นเปรต เดี๋ยวเป็นอสุรกาย มันก็จริง เหมือนที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า นี้มันเป็นอบายมุข การเล่นพนันนี้มันเป็นอบายมุข คือปากทางแห่งอบาย พอเล่นเข้าไปมันก็ตกอบายอย่างที่ว่ามา นี้เราจะต้องพิจารณาให้ดี อย่าดูถูกพระพุทธเจ้า ปากว่านับถือพระพุทธเจ้า แต่การกระทำยังดูถูกพระพุทธเจ้าอยู่ ฉะนั้นถ้าใครเล่นการพนันอยู่ เลิกเสียเถอะ ถ้าไม่เลิก มันก็เป็นคนที่ดูถูกดูหมิ่นพระพุทธเจ้า เป็นคนพูดโกหกว่านับถือพระพุทธเจ้า มันไม่เชื่อพระพุทธเจ้า แดกดันพระพุทธเจ้า ท่านห้ามไม่ให้เล่นการพนัน ก็แดกดันจนเล่นไปอย่างนั้นแหละ นี่จะเรียกว่านับถือพระพุทธเจ้าอย่างไร
อบายมุขอีกข้อหนึ่งก็คือ ดื่มน้ำเมา ของเมา กินของเมานี่ ยกตัวอย่างเช่น กินเหล้า มันโง่เหมือนสัตว์เดรัจฉาน มันจึงได้ไปกินเหล้า ซึ่งไม่มีประโยชน์ มีแต่โทษ เสียทรัพย์ เสียเวลา เสียร่างกาย เสียจิตใจ เสียวิญญาณ นี่มันโง่เป็นสัตว์เดรัจฉาน มันจึงไปกินเหล้า ทีนี้เมื่อมันกินเหล้าเข้าไปแล้ว มันไม่ใช่เย็น มันร้อน และยิ่งเมื่อไม่มีเหล้าจะกิน มันเงี่ยน และมันร้อนยิ่งกว่านั้น มันเป็นสัตว์นรกไปแล้ว การรู้สึกเงี่ยนในของติด ของเสพติดนี้ มันหิวเป็นเปรตไปแล้ว และเขาว่ากินเหล้าเข้าไปทำให้กล้าหาญนั้นไม่จริง ลองกินให้มาก ๆ เข้าไปเถอะ มันจะเสื่อมเสียสติสัมปชัญญะ จนกลายเป็นคนขลาด หรือมันจะต้องมารู้สึกกลัว วิตกอย่างยิ่งในตอนหลัง เพราะทำอะไรผิดพลาดไปแล้วในตอนที่เมา ฉะนั้นการที่ได้กินเหล้าเขาไปนั้นมันเป็นอบายมุข และมันก็ตกอบายอย่างที่ว่ามานี้ เที่ยวกลางคืนก็อย่างเดียวกันอีก ดูการเล่นสนุกสนาน ดูมหรสพ จนติด นี้มันก็อย่างเดียวกันอีก เรื่องจริงมีอยู่ที่เมืองนี้ มีเงินมา ๓ บาท จะมาซื้อยาที่ตลาด ไปให้ลูกที่นอนเจ็บอยู่กิน เผอิญมันมาเอาถึงเวลาที่พอเขาเปิดโรงยี่เกที่ตลาด มันก็เลยเอาเงินไปซื้อตั๋วเข้าไปดูยี่เกเสีย ความดึงดูดของยี่เก เป็นมากอย่างนี้ เวลานั้นนึกไม่ได้ นึกไม่ทัน ไอ้ความยั่วของสิ่งที่ยั่วนี้มันมาก พอดูยี่เกเสร็จแล้วถึงนึกได้ว่ า อ้าว, นี่สตางค์จะมาซื้อยาให้ลูก ก็เลยไม่ได้ซื้อ ก็กลับไป ลูกก็ไม่ได้กินยา ตัวก็เสียใจ นี้เป็นเรื่องจริง ที่เมืองนี้เอง เมืองไหนก็คงจะเหมือนกัน ซึ่งมีได้ด้วยกันทั้งนั้น นี่โทษของอบายมุขเรื่องดูการเล่น เป็นได้มากถึงเพียงนี้ แม้ไม่เป็นมากถึงขนาดนี้ มันก็ยังเป็นอย่างนี้ คือทำให้เป็นคนโง่ลง ๆ ถูกเขาลวง เขาล่อด้วยศิลปะ ให้โง่ลง ๆ เอาเงินไปให้เขา ไม่ได้ฉลาดขึ้นเลย แต่ก็พูดว่านี่ดูให้มันฉลาด เป็นการศึกษาอะไรบ้าง แล้วก็มีร้อนใจอยู่บ่อย ๆ มีขี้ขลาดอยู่บ่อย ๆ เมื่อติดแล้วก็หิวอยู่เสมอ เป็นอบายมุข แล้วก็เป็นอบายในที่สุด เรื่องเกียจคร้านทำการงานนั้น ไม่ต้องพูด เห็นกันอยู่ เข้าใจกันได้ ลองเกียจคร้านทำการงานเถอะ มันก็เป็นอบายมุข และก็เป็นอบายขึ้นมาจริง ๆ ทันตาเห็น แล้วก็ลึกซึ้งด้วย อบายมุขทั้ง ๖ อย่างนี้ นำไปสู่อบาย คือ นรก เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย ไปคิดกันเสียใหม่ ถ้าผู้ใดยังตกอบายอยู่บ่อย ๆ ไปคิดเสียใหม่ ให้เกิดกำลังใจชนิดที่ว่า จะห้ามตัวเองไว้ได้ อย่าไปทำอบายมุข แล้วก็อย่าได้ตกอบายเลย เราก็จะเป็นคนที่เป็นมนุษย์ และเราก็จะไม่ดูหมิ่นพระพุทธเจ้า ไม่เหยียดหยามพระพุทธเจ้า คือเราเชื่อฟังพระพุทธเจ้าเต็มที่ ดังนั้นเราก็ไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา เราเป็นมนุษย์ที่ดี มนุษย์ที่เป็นพุทธบริษัท คนอื่นเขาเป็นมนุษย์ธรรมดาตามใจเขา เราเป็นมนุษย์ที่ดี มนุษย์ชั้นดี คือเป็นมนุษย์ที่เป็นพุทธบริษัท เชื่อฟังพระพุทธเจ้า ไม่ดูถูกดูหมิ่นพระพุทธเจ้า ขอให้ถือว่าถ้าใครทำอะไรผิดคำสั่งของพระพุทธเจ้าแล้ว เรียกว่าเป็นคนดูหมิ่นพระพุทธเจ้า เห็นพระพุทธเจ้าเป็นของไม่สำคัญ มันก็เลยกลายเป็นคนไม่จริง ปากพูดว่านับถือพระพุทธเจ้า พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ นับถือพระธรรม ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ นับถือพระสงฆ์ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ และก็เหลวทั้งนั้น ไปเป็นสัตว์ในอบาย ได้ไปอยู่ในอบาย แล้วจะมาเป็นผู้ที่เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า หรือนับถือพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ได้อย่างไรกัน ขอให้ลองคิดดู
นี่แหละเรื่องที่สำคัญมันมีเท่านี้ อย่าอวดดีให้มันมากไป เรื่องเพียงเท่านี้ก็ยังทำให้บริสุทธิสะอาด ขาวผ่องไม่ได้ นี้ไปแก้ไขเสีย ผู้ใดมันมีอบายอยู่ ก็รีบขึ้นเสียให้พ้นจากอบาย ผู้ที่ไม่ตกอบายแล้วก็ควรจะพอใจ เคารพนับถือตัวเองได้ แล้วก็ทำให้ได้รับความสุขยิ่ง ๆ ขึ้นไป จนถึงสวรรค์ สวรรค์นั้นคือไม่ต้องทุกข์ต้องร้อน ไม่ต้องตกอบาย ๔ อย่าง คือไม่ร้อนใจ ไม่โง่ ไม่หิว ไม่ขี้ขลาด ไม่กลัว แต่ก็ยังรู้จักทำใจให้สูงไปกว่านั้นโดยปีติ มีปีติปราโมทย์พอใจตัวเอง ยกมือไหว้ตัวเองได้ด้วยความพอใจที่สุด เป็นสุขที่สุด อย่างนี้มันเป็นความสุขที่แท้จริง และอาจจะได้ที่นี่และเดี๋ยวนี้ ไม่ต้องรอต่อตายแล้ว และความสุขชนิดนี้มันก็ยังสูง หรือสะอาดดีกว่าความสุขในสวรรค์ที่เต็มไปด้วยนางฟ้ากามารมณ์ สวรรค์ชนิดที่เต็มไปด้วยกามารมณ์นั้น เป็นสวรรค์ขี้เท็จขี้โกงไว้หลอกคน สวรรค์ที่แท้จริงนั้น คือคนรู้ได้ด้วยตนเองว่านี้ดีจริง เรามีความดีแล้ว ไหว้ตัวเองได้ สบายใจที่สุด พอใจที่สุด เป็นสุขใจที่สุด นี้แหละคือสวรรค์ที่จริง ไม่ใช่สวรรค์ที่ปลอม อย่าไปชอบสวรรค์ปลอมที่เขาไว้หลอกคนเล่น สวรรค์ที่จริงมีอยู่ คือให้ดี จนไหว้ตนเองได้ แล้วไม่ต้องกลัว ถ้าที่นี่ในเมืองมนุษย์นี้ไหว้ตัวเองได้แล้ว จะตายไปแล้ว จะไปที่ไหนอย่างไร ก็จะมีแต่ความสุขทั้งนั้น ไม่มีความทุกข์เลย แต่อย่างน้อยเราก็ได้รับประโยชน์ในเมืองมนุษย์นี้ เกินค่าอยู่แล้ว เป็นกำไรสูงสุดอยู่แล้ว เห็นทันตาแล้ว เป็นที่พอใจอย่างยิ่งแล้ว นี่เขาเรียกว่า ได้รับบุญ ได้รับกุศล ได้รับอานิสงส์ถึงที่สุด
ฉะนั้นเลิกบาปเสีย ขึ้นมามาจากอบายแล้วก็มาอยู่ในบุญ แล้วก็มีสวรรค์ที่นี่และเดี๋ยวนี้ อยู่ทุกคืนทุกวัน ตลอดเวลา ทุก ๆ วันมีแต่ความพอใจในตัวเอง เคารพนับถือตัวเอง มองเห็นแต่ความดีของตัวเอง ไม่เห็นความผิดความชั่ว ไหว้ตัวเองได้ทุกวัน หรือว่าทุกชั่วโมง หรือว่าทุกนาทีก็ยังได้ ถ้ารู้จักทำ ก็จะทำ ก็อย่าทำผิด อย่าทำอะไรผิด แล้วก็ดูความที่ไม่ได้ทำอะไรผิด มันก็พอใจตัวเอง นับถือตัวเอง มันก็มีความสุข ไม่มีอะไรที่จะเป็นสุขเท่า เดี๋ยวนี้เรามันไม่กล้ามองตัวเอง ไปมองเข้ามันเห็นแต่ความชั่ว ไม่ค่อยเห็นความดีที่ตรงไหน มันก็เลยไม่กล้ามอง หนักเข้า ๆ มันก็ไม่มองเอาเสียเลย ปล่อยไปตามความชั่ว นี้มันตกนรก ๆ ตกอบายที่นี่และเดี๋ยวนี้ ที่เราต้องกล้ามอง อะไรไม่ดีต้องแก้ไข ที่เป็นบาปอยู่ก็ ชำระชะล้างออกไปเสีย ด้วยสิ่งที่เรียกว่าบุญ ให้บาปมันหมด ให้มันมีบุญขึ้นมา แล้วก็เป็นสวรรค์ คือ ไหว้ตัวเองได้ทุกวันๆ ไม่มีอะไรที่จะตำหนิติเตียนตัวเองเลย นี่คือมนุษย์ที่เป็นพุทธบริษัท เกิดมาทีหนึ่งก็ได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์เราควรจะได้ อย่าให้เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์และพบพระพุทธศาสนาเลย
เรื่องสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้นี้ มันมีความหมายกว้าง ถ้าหมายความว่า ถ้าเป็นเด็กก็ให้ได้อย่างเด็ก ถ้าเป็นหนุ่มสาวก็ให้ได้อย่างคนหนุ่มคนสาว ถ้าเป็นพ่อบ้านแม่เรือนก็ให้มันได้อย่างเป็นพ่อบ้านแม่เรือน เป็นคนแก่คนเฒ่า แม้แต่คนชราก็ให้ได้อย่างคนแก่คนเฒ่า คือให้พอใจ เคารพนับถือตัวเองได้ทั้งนั้น เป็นเด็ก ๆ ก็อย่าให้ถูกเฆี่ยน แล้วก็พอใจที่ว่าเราไม่มีความชั่ว แล้วก็ไม่ต้องถูกเฆี่ยน ก็พอใจในการที่ว่ามีความดี ในที่ตนมีอยู่ มันก็เลยอยู่ด้วยความดี พอใจในความดี ในความเป็นคนดีของตนเอง เป็นคนหนุ่มคนสาว จิตใจมันไว ควบคุมยาก มันก็ต้องพยายามควบคุมให้มากกว่าที่แล้วมา มันก็ยังจะควบคุมเอาไว้ได้ ไม่ทำผิด ไม่ทำชั่ว จนกว่าจะเป็นพ่อบ้าน แม่เรือนไป มันก็ต้องมีหน้าที่อย่างอื่นอีก ที่จะทำให้ดีให้ยิ่งขึ้นไป อย่าให้บกพร่องได้ กระทั่งเป็นคนเฒ่าคนแก่ก็มีอะไรให้มากขึ้นไปอีก ถ้าไม่อย่างนั้นมันไม่ใช่คนแก่ มันจะย้อนกลับมาเป็นเด็กอมมือ นี่คนแก่ต้องระวังให้ดี ต้องให้มีอะไรให้มันสมกับที่เป็นคนแก่ อย่าให้มันย้อนกลับมาเป็นเด็กอมมือ
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ควรจะจำกฎเกณฑ์ที่เขาวางไว้เป็นหลักธรรม มาแต่โบราณนานกาล นานไกลก่อนพระพุทธเจ้า กระทั่งถึงสมัยพระพุทธเจ้า กระทั่งถึงเดี๋ยวนี้เขาก็ยังถือกันอยู่ ว่าคนเกิดมานี้ต้องระวังให้ได้ดีที่สุดใน ๔ ระยะด้วยกัน เขาเรียกว่าอาศรม และก่อนแต่งงาน ตั้งแต่เกิดมาจนถึงก่อนแต่งงาน ระยะที่จะแต่งงานนี้ คือเป็นเด็กเป็นหนุ่มเป็นสาวนี้ เขาก็เรียกว่าพรหมจารี พรหมจารีแปลว่ามีหน้าที่ที่จะต้องประพฤติให้ดีที่สุด ให้เหมือนกับพรหม พรหมแปลว่าดีที่สุด พรหมจารีแปลว่าประพฤติอย่าง พรหม หรือดีที่สุด เป็นเด็กที่ดีที่สุดก็คือเชื่อฟัง เป็นหนุ่มเป็นสาวที่ดีที่สุดก็คืออยู่ในระเบียบวินัย ที่เขามีไว้สำหรับคนหนุ่มคนสาว จะต้องหัดบังคับตัวเองให้มากในตอนนี้ ให้อยู่ในร่องในรอย ในระเบียบวินัย อย่าไปถือคำพูดสมัยใหม่ หน้าไหว้หลังหลอก เป็นพรหมจารีที่ดีไปจนกว่าจะกลายเป็นคฤหัสถ์ คฤหัสถ์คือ แต่งงาน มีเหย้ามีเรือน เปลี่ยนหน้าที่จากเป็นคนโสด เป็นบุคคลที่มีคู่ แล้วก็พยายามทำสิ่งที่มนุษย์จะต้องทำ ให้สุดความสามารถ สุดฝีไม้ลายมือ กระทั่งมีลูกมีหลาน เหล่านี้ต้องไม่บกพร่อง มันเปลี่ยนจากเด็ก จากหนุ่มสาวแล้วมาเป็นคนรับภาระในชีวิตของตัว ต้องทำให้เสร็จทัน คนที่ครองเรือนนี้สอบไล่กันด้วยหลักสูตรคือว่า จะต้องมีทรัพย์สมบัติพอสมควร จะต้องมีเกียรติยศชื่อเสียงพอสมควร จะต้องมีคนที่เป็นเพื่อนเป็นมิตรสหาย หวังดีแก่เราพอสมควร ทรัพย์ก็มี เกียรติยศก็มี ไมตรีก็มี ได้อย่างนี้แล้วก็เรียกว่าเป็นคฤหัสถ์ที่ดีถูกต้อง ต้องได้อย่างนี้ เดี๋ยวนี้มันมัวแต่ขี้เกียจเหลวไหลอยู่ มันก็ไม่มีทรัพย์ ไม่มีชื่อเสียง ไม่มีมิตรสหายที่ดี รีบไปแก้ไขเสีย ถ้าหากว่าเป็นผู้ที่อยู่ในวัยของคฤหัสถ์ ที่เป็นบิดามารดา ที่ครองเรือน ทีนี้เป็นอย่างนี้ดีแล้วก็เรียกว่า ไหว้ตัวเองได้ในตอนนี้ เป็นสวรรค์อยู่ในความเป็นคฤหัสถ์นี้ เพราะว่ามองทีไรเห็นแต่ความถูกต้อง หรือความดีของตน จนกระทั่งถึงวัยที่เรียกว่าเป็นคนแก่ ถืออายุ ๖๐ ปี เป็นหลักก็พอจะใช้ได้ เพราะพออายุ ๖๐ ปี มันก็เป็นเรื่องที่ เปลี่ยนแปลงเอามากจริง ๆ อาตมาสังเกตตัวเองก็เห็นได้ว่า ตอนนี้มันเป็นตอนที่เปลี่ยนแปลงมากจริงๆ จะกลายเป็นแก่ แล้วก็เตรียมตัวสำหรับเป็นคนแก่ที่ดีคือ หาความสงบไปตามแบบของคนแก่ อย่าวุ่นไปจนตาย ต้องมีความสงบบ้าง เกิดมาทีอย่าให้พลาดกับความสงบ เมื่อเป็นคฤหัสถ์ทำไว้ดี มีเงิน มีเกียรติยศ มีเพื่อน มีอะไรดี ตอนแก่ก็หาความสงบได้เป็นแน่นอน นี่มันเลื่อนชั้นขึ้นไปชั้นหนึ่ง คือมีความดีกว่าที่แล้วมา ให้พบกับความสงบ ในชีวิตนี้ ไม่เสียทีที่เกิดมา ทีนี้พอเลยคนแก่ไปอีก ก็ถึงเป็นคนชรา ถ้าปฏิบัติมาดี ตอนชรานี้จะยิ่งมีค่า จะยิ่งมีราคา ถ้าประพฤติตัวดี เป็นคนชรา ก็ยังไม่เงอะงะ ไม่หลงใหล ไม่ฟั่นเฟือน เพราะมันไปกินเหล้า ไปสูบบุหรี่ ไปเที่ยวกลางคืน ไปอะไรมาตั้งแต่หนุ่ม ตั้งแต่นั่น มันทำให้ร่างกาย และจิตใจเสื่อมเสีย พอถึงไวเป็นคนชรา มันก็ฟั่นเฟือนไปหมด ฉะนั้นจึงอยู่ในศีลในธรรมไปตั้งแต่เด็ก จนเป็นคนหนุ่มคนสาว เป็นพ่อบ้านแม่เรือน กระทั่งเป็นคนแก่ พอเป็นคนชราก็ไม่ฟั่นเฟือน จนกระทั่งวาระสุดท้าย จะหลับตาตายลงไป ก็ไม่ฟั่นเฟือน ทีนี้คนแก่ก็มีค่า มีประโยชน์คือความไม่ฟั่นเฟือน สามารถจะสั่งสอนลูก หลาน เหลน ให้รับประโยชน์จากการที่ตนเกิดก่อนนี่ ตนทำอะไร ๆ ก่อนทั้งนั้น เพราะฉะนั้นรู้อะไรมากกว่าเด็ก ๆ คนชราก็สามารถที่จะนั่ง พูดจาให้เป็นแสงสว่างแก่เด็ก ๆ หรือแก่ลูก แก่หลาน แก่คนที่อ่อนกว่าเรา ขอให้เตรียมที่จะเป็นคนชราชนิดนี้กันเถิด อย่าเป็นคนชราชนิดที่ป้ำ ๆ เป๋อ ๆ หลงๆ ลืมๆ นี่มันจะกลายเป็นเด็กทารกใหม่ จะเป็นเด็กอมมือใหม่ ระวังให้ดี ป้องกันเสียแต่เดี๋ยวนี้ อย่าไปเกี่ยวข้องกับอบายมุข รักษากาย วาจา ใจ ให้บริสุทธิ์สะอาด มั่นคงอยู่ในร่องในรอย เสมอไป มันก็มั่นคงไปจนถึงแก่และชรา วัยต้นเขาเรียกว่า พรหมจารี ก็บริสุทธิ์ดี ได้สิ่งที่ดี ที่เด็ก หรือคนหนุ่มสาวจะพึงได้ วัยที่ ๒ เขาเรียกว่า คฤหัสถ์ ก็ได้ความเป็นคฤหัสถ์ที่ดี มีทรัพย์ มีเกียรติ มีอะไร เพื่อนฝูงแวดล้อมดี ทีนี้ถัดจากคฤหัสถ์ก็เขาเรียกว่า วานปรัสถ์ แปลว่าผู้หาความสงบ ปลีกออกไปหาความสงบ ไปอยู่ตามกอไผ่ กอกล้วย ริมบ้าน ริมเรือน หาความสงบ ปล่อยภาระที่เคยทำนั้นให้ลูกให้หลานต่อไป เราต้องการความสงบ อย่าให้เสียทีที่เกิดมาแล้วไม่ได้ความสงบ ทีนี้เมื่อเราได้ความสงบ เป็นวานปรัสถ์นี้พอแล้ว ก็เลื่อนชั้นขึ้นไปเป็น สันยาสี คือเที่ยวส่องแสงสว่าง จะไปที่ไหน จะเดินไปที่ไหน จะไปวัดไปวาไปไหนก็ตาม ให้มันเป็นแสงสว่าง คือคำพูดของเรามีประโยชน์แก่ผู้ที่ได้ยิน คนชราแบบนี้มันรู้อะไรมาก มันอยู่มาถึง ๗๐- ๘๐ ปี ๙๐ ปีแล้ว มันไม่ฟั่นเฟือน มันจำได้ชัดเจน พูดอะไรไป มันเป็นประโยชน์แก่เด็ก ๆ แก่คนหนุ่มคนสาว แก่พ่อบ้านแม่เรือน แก่คนที่อ่อนกว่าเรา ก็เลยได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ แม้ในวัยชรา ที่เรียกว่า สันยาสี เที่ยวแจกของส่องตะเกียงไป ให้เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นไป จนกว่าร่างกายนี้มันจะสิ้นสุดลง เกิดมาอย่างนี้เรียกว่าได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ ทั้ง ๔ ระยะเลย ระยะเป็นพรหมจารี เด็กถึงมาหนุ่มสาวนี้ก็ดี คฤหัสถ์ครองเรือนนี้ก็ดี วานปรัสถ์ หาความสงบก็ได้ พอถึงสันยาสี เป็นคนชรา ที่เป็นมีประโยชน์แก่คนทุกคน พูดอะไรออกไป มีค่า ก็ไม่มีอะไรเหลืออยู่สำหรับจะเป็นปัญหา บาปไม่มี บุญก็มีเต็มที่ นี้เรียกว่า เป็นคนที่มีบุญจริง ชนิดที่ล้างบาปได้จริง บุญชนิดที่ล้างบาปไม่ได้นั้น มันเป็นบุญปลอม เป็นบุญของคนที่ไม่รู้อะไร เข้าใจเอาเองว่าบุญ ถ้าเราจะทดสอบว่าบุญจริงหรือไม่จริง ก็ลองดู คิดดู พิจารณาดู ตรงที่ว่ามันล้างบาปได้หรือไม่ มันล้างบาปอะไรได้บ้าง ถ้ามันล้างบาปนั่นนี่ได้ ก็เรียกว่าเป็นบุญจริง ก็พอใจ เป็นผู้ละบาปได้ เป็นผู้มีบุญแล้ว ก็ทำใจให้อยู่สูงสุดเหนือความทุกข์ เหนือความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใด ๆ ในโลกนี้ เพราะว่าสิ่งใด ๆ ในโลกนี้ ไปยึดถือเข้าแล้ว จะมีประโยชน์นั้น เอ๊ย, ที่จะไม่มีโทษนั้น มันไม่มี จะไปยึดมั่นถือมั่น ให้มันหนักอกหนักใจ เป็นตัวกู เป็นของกู อะไรอย่างนี้มันจะต้องเป็นทุกข์ รู้จักทำจิตใจให้สะอาด ปราศจากความยึดมั่นถือมั่น เรื่อยไปจนถึงวาระสุดท้าย ก็จะเป็นผู้ที่ได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ ตั้งแต่เกิดจนถึงวาระสุดท้ายที่เรียกว่าตาย
ท่านทั้งหลายมาที่นี่ก็คงจะมีความหวังว่า จะได้สิ่งที่ดีมีประโยชน์ อาตมาก็ไม่มีอะไรจะให้ ในฐานะเป็นสิ่งที่ดีมีประโยชน์ นอกไปกว่าสิ่งนี้ คือสิ่งที่กำลังพูดนี้ ขอให้ท่านทั้งหลายพ้นจากอบาย อย่าไปแตะต้องกับอบายมุข และก็ได้สวรรค์ ได้ความดี ได้ทั้งความดี ชั้นต่ำ ชั้นกลาง ชั้นสูงสุด คือว่าเป็นเด็กก็ดี เป็นผู้ใหญ่ก็ดี คนแก่ก็ดี ชราก็ยังดี ทีนี้ก็จะง่ายดายในการที่ว่า อะไร ๆ มันก็ไม่ต้องยึดถือ มันเคยยึดมามากแล้ว ก็ปล่อยจิตใจให้ปราศจากความยึดถือ มันก็ได้ถึงที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ แม้จะตาย ก็ตายอย่างที่เรียกว่านิพพาน มากกว่า นิพพานนั้นมีหลายชั้น เราก็ให้มันได้สักชั้นหนึ่งก็แล้วกัน กิเลสบางอย่างหมดสิ้นไปจริง ๆ ก็เรียกว่านิพพานในชั้นนั้น ๆ ที่เราจะต้อง ละเสียก่อน กว่ากิเลสอื่น ก็คือ ความโง่ การที่จะเป็นพระอริยเจ้าได้ ต้องเริ่มต้นด้วยการละความโง่ ที่เขาเรียกว่า สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส นั้นล้วนแต่ความโง่ทั้งนั้น นี่ละได้แล้วก็เป็นพระโสดาบัน พระอริยบุคคลชันต้นนี้ ละความโง่ก่อน ส่วนเรื่องราคะ หรือความโลภ หรือความหลงนั้น ละได้ต่อทีหลัง ความโง่เบื้องต้นนี้ ต้องละกันก่อน อย่าโง่ถึงกับทำอบายมุขเลย นี้เรียกว่า ไม่เห็นกงจักรเป็นดอกบัว เป็นผู้มีสัมมาทิฏฐิ สมตามกับที่เราเป็นพุทธบริษัท แปลว่าบริษัทของบุคคลผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน รู้ คือมันไม่โง่ ตื่น คือมันไม่หลับ เบิกบาน คือมันไม่มีความทุกข์ คำว่าพุทธะ แปลว่ารู้ ว่าตื่น ว่าเบิกบาน ถ้าใครยังโง่อยู่ ไม่รู้จักดี ไม่รู้จักชั่ว นี้มันก็เป็นพุทธะไปไม่ได้ มันก็จะเป็นความหลับ ไม่รู้อะไรนี่ แล้วก็จะต้องมีความเหี่ยวแห้ง ไม่มีความสดชื่นแจ่มใส ไม่เป็นอมตะ อมตะแปลว่าไม่รู้จักเหี่ยว ไม่รู้จักแห้ง ไม่รู้จักตาย มีแต่สดชื่นแจ่มใสอยู่เสมอ นี่ตลอด เวลาที่มีชีวิตอยู่ ให้มันสดชื่นแจ่มใสอยู่เสมอ ไม่มีเหี่ยวแห้ง ไม่มีตาย เรื่องของร่างกายนั้น ไม่เอาเป็นหลัก เอาเรื่องของจิตใจเป็นหลัก ไม่รู้สึกว่าเราเหี่ยวแห้งหรือตาย แต่สดชื่นอยู่ แจ่มใสอยู่ เป็นสุขอยู่ เยือกเย็นอยู่ นี่คือสิ่งทีมีให้
คำว่าสวนโมกข์นี้ คำว่าโมกข์นั้น แปลว่าหลุดพ้น พลาราม นั้น แปลว่าเป็นอารามที่เป็นกำลังของความหลุดพ้น ที่นี่เราพยายามจัดขึ้นเพื่อให้เป็นเครื่องสนับสนุนความหลุดพ้น เพื่อจะให้เกิดกำลังแห่งความหลุดพ้น อะไร ๆ ที่มีไว้ให้ดู ให้เห็น ให้สัมผัสนี่ ล้วนแต่เป็นเรื่องที่จะส่งเสริมให้เกิดความรู้ ความเฉลียวฉลาด ที่จะเป็นไปในทางให้หลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง จะเรียกว่า ก้อนหินก็พูดได้ ต้นไม้ก็พูดได้ ในลักษณะที่จัดไว้อย่างนี้ แต่คนมันไม่ได้ยิน ไม่เห็นเอง มันต้องให้รู้จักธรรมชาติเหล่านี้ ให้ธรรมชาติมันสอนให้ พอรู้จักหยุด พอรู้จักเย็น รู้จักยอม รู้จักอะไรกันเสียบ้างเถิด ต้นไม้พูดอย่างนี้ ก้อนหินพูดอย่างนี้ มดแมลงก็พูดอย่างนี้ อะไร ๆ ก็พูดอย่างนี้ นี้เรียกว่า จัดไว้เพื่อให้มันพูดอย่างนี้ ในตึกนั้น ก็สร้าง ก็สะสมสิ่งที่มันจะเป็นประโยชน์แก่ความรู้ เป็นปัจจัย เป็นกำลังเพื่อให้เกิดความรู้ ให้เกิดความหลุดพ้น ที่สระมะพร้าวนาฬิเกนั้น เป็นสัญลักษณ์ของนิพพาน ปู่ย่าตายายของเราฉลาด รู้จักคิด รู้จักนึก ว่า “ มะพร้าวนาฬิเก ต้นเดียวโนเน อยู่กลางทะเลขี้ผึ้ง ฝนตกไม่ต้อง ฟ้าร้องไม่ถึง กลางทะเลขี้ผึ้ง ถึงได้แต่ผู้พ้นบุญ” หมายความว่า ที่นั่นไม่มีความทุกข์ ทะเลขี้ผึ้งนั้นมันเป็นความทุกข์ เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวเย็น ๆ แต่มะพร้าวนาฬิเกนั้น มันไม่เป็นอย่างนั้น ทั้งที่มันอยู่กลางทะเลขี้ผึ้ง เหมือนกับเรานี้อยู่ในโลก ที่มันมีความทุกข์ แต่เราอย่าเป็นทุกข์ โลกนี้มันบ้ากันมากยิ่งขึ้นทุกที ใคร ๆ ก็เห็น ๆ กันอยู่ เราอยู่ในท่ามกลางโลกชนิดนี้ เราก็อย่าบ้า แล้วเราก็ไม่ต้องเป็นทุกข์ นี่ลักษณะของมะพร้าวนาฬิเก กลางทะเลขี้ผึ้ง ไม่เป็นทุกข์ ฝนตกก็ไม่ต้อง ฟ้าร้องก็ไม่ถึง นี้หมายความว่าไม่เป็นทุกข์ มะพร้าวนาฬิเกนี้ จะไปถึงได้ก็แต่ผู้ที่พ้นบุญ ผู้ที่จะพ้นบุญหมายความว่าผู้ที่ทำบุญ มาถึงที่สุดแล้ว จึงจะพ้นบุญได้ ถ้ายังทำบุญไม่ถึงที่สุด ก็จะพ้นบุญได้อย่างไร ต้องทำบุญจนอิ่มด้วยบุญ มันจึงจะเหนือบุญพ้นบุญไปได้ ไปถึงนิพพาน ฉะนั้นผู้ใดปรารถนานิพพาน ต้องรีบทำบุญให้เต็มไปด้วยบุญ แล้วจึงจะพ้นบุญ จึงจะถึงนิพพาน ถ้ามัวแต่ทำบาปอยู่ บุญมันก็ไม่มี ต้องรีบทำบุญเพื่อจะล้างบาปเสีย ร่ำรวยด้วยบุญแล้ว ก็เลื่อนชั้นขึ้นไปจนถึง ความดับสนิท ไม่มีตัวกูไม่มีของกู ไม่มีเกิดไม่มีแก่ ไม่มีเจ็บ ไม่มีตาย นี่เรียกว่านิพพาน ที่สระนาฬิเกมีมะพร้าวอยู่ต้นหนึ่ง กลางสระนั้น ให้ไปนั่งดู ให้ไปนั่งคิด นั่งนึกว่า นิพพานนั้น อยู่ท่ามกลางวัฏสงสาร เหมือนกับที่เรานี้ อยู่ท่ามกลางโลกอันเป็นทุกข์ เราก็เอาชนะให้ได้ อย่าให้มันครอบงำเรา ให้เราก็อยู่เหนือไว้เสมอไป ยกตัวอย่างเรื่องสระนาฬิเก เรื่องโรงหนัง กระทั่งทุกสิ่งทุกอย่างที่จัดไว้ แผ่นดิน ต้นไม้ ก้อนหิน เหล่านี้ ก็ล้วนแต่จัดไปในลักษณะที่ว่าจะส่งเสริมให้คนฉลาด ต้องการให้คนฉลาด ฉะนั้นจึงต้องเป็นคนฉลาด อย่าเป็นคนโง่ มองเห็นก้อนหิน ก็รู้ว่า ก้อนหินมันร้องตะโกนบอกเรา ว่าอย่าบ้าไปนักเลย หยุดกันเสียบ้าง สงบกันเสียบ้าง ก้อนหินมันก็พูดอย่างนี้ ถ้ามันพูด มันไม่พูดอย่างอื่นได้ มันพูดแต่อย่างนี้ หรือไม่อย่างนั้นมันก็ไม่พูด ฉะนั้นเราก็ต้องฉลาดพอที่จะฟังมันพูด มันแสดงลักษณะ หยุด หรือเย็น หรือยอม อยู่ในตัวมาตลอดเวลา เรามองไม่เห็นเอง ถ้ามองเห็นนั่นแหละเรียกว่า ได้ยินก้อนหินพูด ว่าหยุดกันเสียบ้าง เย็นกันเสียบ้าง ยอมกันเสียบ้าง อย่าบ้าให้นักเลย ก้อนหินมันพูดอย่างนี้ ผู้ใดมาสวนโมกขพลารามนี้ และได้รับประโยชน์อันนี้ ได้รับการกระทำอันนี้ นั่นแหละเรียกว่าไม่เสียทีที่มา ส่วนความสนุกสนานร่าเริงอะไรนั่น มันเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่เรื่องความรู้ความฉลาด ความเข้าใจหรือ สัมมาทิฏฐินี้ มีค่ามาก จะช่วยให้เราได้เป็นพุทธบริษัทที่ดี มีการกระทำที่ดี ได้ตามรอยพระพุทธเจ้าไป สู่ความดับทุกข์ได้จริง จึงจะสมกับว่าป่าไม้นี้ สวนนี้ จัดไว้เพื่อเป็นกำลังแห่งความหลุดพ้น
ท่านทั้งหลายจงมาศึกษาข้อนี้ ข้ออื่นไม่สำคัญ จงพยายามที่จะศึกษาข้อนี้ คือรู้สิ่งที่จะช่วยให้เกิดความหลุดพ้น แล้วก็จะหลุดพ้นได้ในที่สุด ก็จะได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ สิ่งอื่นไม่สำคัญ เกิดมาทีหนึ่งนี้ ต้องได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ คืออยู่เหนือความทุกข์ อยู่เหนือสิ่งที่เป็นที่ตั้งแห่งความทุกข์ ทุกประการ หวังว่าท่านทั้งหลายจะได้เอาข้อความเหล่านี้ไปคิดนึกพิจารณาดูให้เป็นอย่างดี ให้มีความเข้าใจ ให้เห็นจริง ให้เชื่อตัวเอง แล้วก็พยายามไปในทางที่มันเป็นสัมมาทิฏฐิ อย่าให้มีมิจฉาทิฎฐิเข้ามาเจือ การเป็นอยู่ตลอดทั้งวัน ๆ ทั้งเดือน ตลอดทั้งปี ก็มีแต่ความบริสุทธิ์ผุดผ่อง เคารพนับถือตัวเองได้ ยกมือไหว้ตัวเองได้แล้ว จงเป็นผู้เจริญงอกงามในพุทธศาสานาของสมเด็จพระบรมศาสดา อันเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลาย ทุกทิพาราตรีกาลเทอญ ธรรมเทศนาสมควรแก่เวลา เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้