แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ณ บัดนี้จะขอถือโอกาสกล่าวคำอำนวยพรแก่ท่านทั้งหลาย โดยเฉพาะที่เป็นนักเรียน นักศึกษา ครูบาอาจารย์ รวมเรียกกันทั้งหมดนี้ว่าพุทธบริษัทในหลายๆระดับ โอกาสวันปีใหม่ถือกันว่าเป็นเวลาสำหรับให้พร เราก็จะได้ทำอนุโลมตามประเพณี
ข้อแรกก็จะพูดถึงเรื่องให้พร เมื่อพูดว่าให้พร มันก็เป็นเรื่องที่ประหลาดอยู่ พรนี้มันแปลว่าความดี ความดีจะให้กันได้หรือไม่ ก็ลองคิดดู คนพวกหนึ่งว่าให้กันได้ แต่คนพวกหนึ่งว่าต้องทำเอง พุทธบริษัทที่ถือหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า อยู่ในจำพวกที่ว่าต้องทำเอง คำว่าพรแปลว่าดี คำว่าดีถ้าแปลกลับกันก็แปลว่าพร เป็นสิ่งที่ต้องทำเอง เพราะมันเป็นเรื่องที่เป็นไปตามกฎของสิ่งที่เรียกว่ากรรม ดังนั้นเราจึงถือกันในหมู่พุทธบริษัทนี้ว่า จะต้องทำเอง ขอให้ลองคิดดู การให้พรที่ถูกต้อง ก็จะเป็นเรื่องให้วิธีที่จะไปทำให้เกิดความดี หรือพรขึ้นมา อย่างนี้มันแน่นอนว่าต้องมีพรแน่ แต่ถ้าจะให้กันโดยสักปากว่า ให้ ให้ ให้ มันก็คงจะได้พรชนิดที่สักแต่ปากว่า แล้วมันก็จะเป็นลมๆแล้งๆ ให้กันกี่ชาติกี่สิบชาติมันก็จะเป็นลมๆแล้งๆอยู่นั่นเอง อย่างดีที่สุดก็ว่าเป็นกำลังใจ ให้เขาไปปฏิบัติให้ดี ให้ตรงอย่างนี้มากกว่า เอาล่ะเป็นอันยุติว่าเราให้ความรู้ หรือวิธีปฏิบัติ สำหรับที่จะได้ไปทำให้มันเกิดพรขึ้นมา เมื่อผู้ได้รับพร คือวิธีปฏิบัติ เอาไปปฏิบัติแล้ว มันก็เกิดเป็นความดีขึ้นมา เป็นความดีที่แท้จริง เป็นพรที่แท้จริงขึ้นมา กระทั่งว่าพรนี่มันไปมีอยู่ที่เนื้อที่ตัวของท่านทั้งหลาย ทั่วไปทั้งร่างกาย ทั่วทุกขุมขน ฟังดูให้ดีว่า ถ้าทำให้ถูกต้องตามเรื่องตามราวแล้ว มันก็จะไปเป็นพรอยู่ที่เนื้อที่ตัว ทุกขุมขน และทุกคน อย่างนี้มันก็เลยดีกันทั้งบ้านทั้งเมือง และดีกันทั้งโลก จนกระทั่งว่าทุกๆปรมาณู ทุกๆอณู ของสิ่งที่ประกอบกันเป็นโลกนี่ มันพลอยเป็นสิ่งที่ดี หรือมีพรไปด้วย เอาล่ะเป็นอันว่า ถ้าคนอื่นเขาไม่ทำ เราทำก็แล้วกัน เราทำแล้วก็จะมีความดี หรือมีพรอยู่ทุกๆอณูในร่างกายของเรา คิดดูให้ดี มันน่าจะทำ
ทีนี้การให้พรนี่มันจะสำเร็จได้ ก็ด้วยการร่วมมือของฝ่ายที่เป็นผู้รับ เมื่อให้แล้วไม่มีใครสนองตอบ คือไม่มีการกระทำตามนั้น ผู้ให้จะให้จนตาย มันก็คงไม่เกิดพร เกิดอะไรขึ้นมาได้ ฉะนั้นถ้าอีกฝ่ายหนึ่งเขาสนอง คือมีการรับพรปฏิบัติตามนั้นแล้ว ก็จะเกิดพรขึ้นมาทุกๆอณูในร่างกาย โลกนี้ก็จะมีความสุข เราจะไม่ถือว่าเพียงแต่ร้องเพลงกันสักบทหนึ่ง แล้วมันก็จะเป็นพร เป็นอะไรขึ้นมา เดี๋ยวนี้เขาชอบร้องเพลงกันนัก จะทำอะไรสักอย่างหนึ่ง เขาก็พูดว่า แต่งเพลงขึ้นมาสักบทหนึ่ง แล้วให้ร้องกันทั่วบ้านทั่วเมือง แล้วมันก็สำเร็จประโยชน์ แต่งเพลงชักชวนให้ไปเลือกผู้แทน ร้องกันทั้งบ้านทั้งเมือง คนไปเลือกผู้แทนไม่ถึงห้าสิบเปอร์เซ็นต์ ขอให้คิดดูเถอะว่า ไอ้ลำพังแต่งเพลงขึ้นสักบทหนึ่ง แล้วก็ช่วยกันร้อง ร้อง ร้อง นี่มันไม่สำเร็จประโยชน์ เพราะฉะนั้นต้องทำให้มากกว่านั้น คือผู้ที่มีหน้าที่จะต้องทำอะไร ก็จะต้องทำ เดี๋ยวนี้เรามีหน้าที่ที่จะต้องทำ อย่างน้อยก็มีอยู่สัก 2 อย่าง คือเพื่อตัวเราเอง และเพื่อเพื่อนมนุษย์ทุกคน รวมทั้งประเทศชาติ ศาสนา อะไรก็ตาม แล้วแต่จะเรียก นี่ก็เรียกว่าฝ่ายผู้อื่น ซึ่งเราจะต้องจัดให้ดีๆ ทำให้สำเร็จประโยชน์ทั้งสองอย่างนี้ นี่แหละเรียกว่า จะสำเร็จประโยชน์ในสิ่งที่มุ่งหมายจะทำ
สำหรับวันปีใหม่นี้ก็ให้พร คือให้วิธีที่จะเอาไปทำให้เกิดความดี มีพร ทั่วทุกขุมขน สำหรับทุกคนดังที่กล่าวแล้ว พรปีใหม่นี่อยากจะแยกให้เห็นว่าเราจะต้องทำอะไร จะพูดโดยอุปมาว่าปีเก่าผ่านไป ปีใหม่ขึ้นมานี่ มันมีความหมายเหมือนกับอะไร จะเปรียบเทียบได้ด้วยอะไร ที่ว่าปีเก่าผ่านไปหยกๆนั่น มันก็หมายถึงการที่ว่า เรารวบรวมคุณความดีทั้งหลายที่ได้กระทำตลอดปีไว้เป็นเชื้อ สำหรับจะได้งอกงามต่อไปในปีใหม่ นักเรียนก็คงจะสังเกตเห็นว่า ต้นไม้โดยเฉพาะที่มันมีหัวอยู่ใต้ดิน พอจะถึงฤดูแล้ง มันก็เตรียมตัวสำหรับที่จะเก็บรวบรวมไอ้เนื้อหาสาระ กำลังความงอกความเจริญของมันใส่ไว้ในหัว แล้วต้นมันก็ตาย หัวมันก็อยู่ใต้ดิน หัวบุก หัวกลอย หัวมัน หัวอะไรต่างๆ หัวมันสีม่วงที่ปลูกไว้ข้างรั้ว ยิ่งเห็นได้ชัด มันต้นตายไป แต่หัวมันอยู่ใต้ดิน มันกลับใหญ่กว่าเดิม พอถึงฤดูฝนหน้า มันก็งอกขึ้นมาเป็นต้นใหญ่กว่าเดิม หัวก็ใหญ่กว่าเดิม มันทำอย่างนี้ทุกปี มันก็ได้หัวที่เจริญงอกงาม เราดูในตอนที่ว่ามันจะรวบรวมความดี ความงาม หรืออะไรก็ตามที่ได้ทำมาตลอดหนึ่งปี เก็บไว้ พักผ่อน แล้วจึงจะงอกใหม่ ก็งอกให้ดีกว่าเดิม เราก็ควรจะทำอย่างนั้นสำหรับการส่งปีเก่า เพราะมีอะไรดี เป็นที่พอใจ เป็นที่อิ่มอกอิ่มใจ เก็บไว้สำหรับงอกงามเป็นต้นลำที่เติบโตไปกว่าเดิม สำหรับปีใหม่ นี่ใครได้ทำอะไรไว้อย่างไร ก็ต้องไปคิดดู รวบรวมเอามา เหมือนกับว่าจะเก็บไว้เพาะในฤดูฝนข้างหน้า นี่เป็นส่วนร่างกายโดยเฉพาะ เราควรจะต้องทำอย่างนี้ คือเตรียมตัวสำหรับจะงอกใหม่ให้ดีที่สุด และพอถึงขึ้นปีใหม่ ก็งอกให้ดีที่สุด คือใหญ่กว่าเดิม ดีกว่าเดิม
ทีนี้เรื่องส่วนจิตใจมีอยู่อีกส่วนหนึ่ง นี้ก็อยากจะเปรียบเทียบโดยอุปมา เหมือนกับว่าลอกคราบ คืองูมันลอกคราบ คนก็เห็นอยู่ว่ามันทำอย่างไร มันสลัดคราบนั้นมันออกไป มันจึงจะใหญ่เติบโตได้ ทีนี้คนทั้งหลายรู้จักลอกคราบกันเสียบ้าง คือกิเลสที่เลวๆทั้งหลายนั่นแหละ รีบลอกคราบกันเสียบ้าง ลอกคราบกิเลสออกไป เก่าแล้ว ใช้ไม่ได้แล้ว แล้วก็จะได้มีเนื้อใหม่งอกออกมา ให้มันบริสุทธิ์ สะอาดกว่าเดิม เรียกสั้นๆว่า ลอกคราบกิเลสกันเสียในปีใหม่นี่ แล้วก็ออกมาเป็นความดี สติปัญญา บุญกุศล นี้เป็นเรื่องปีใหม่ ถ้าทำได้อย่างนี้ การทำบุญปีใหม่หรือการให้พรปีใหม่นี้ก็จะมีความหมาย ไม่งมงาย พุทธบริษัทนั้นงมงายไม่ได้ เพราะแปลว่าหมู่คณะของพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ทีนี้จะเอามาพูดรวมกันเสียในคราวเดียวว่า เราสะสมไอ้เชื้อสำหรับงอกปีใหม่ และก็งอกให้ดี ด้วยการลอกไอ้สิ่งที่ไม่ควรจะมีอยู่ในใจนี่ออกไปเสีย ให้สิ่งที่ควรจะมีอยู่ในใจนี้เข้ามาอยู่ให้สมบูรณ์ การทำอย่างนี้จะขอเรียกด้วยถ้อยคำสั้นๆว่า ทำตามรอยพระอรหันต์ ผู้ที่ได้สวดบทปัจจเวก อุโบสถศีล ก็จะได้ยินคำว่า วันหนึ่ง คืนหนึ่งนี้ เราทำตามรอยพระอรหันต์ทั้งแปดข้อ เป็นการทำตามรอยพระอรหันต์ ไอ้คนที่โง่เขลา หรือคนบ้าจัดเรื่องสมัยใหม่นี่ เขาเกลียดพระอรหันต์ พอพูดถึงคำว่าพระอรหันต์แล้วก็ปิดหูปิดตาเลย พอชวนตามรอยพระอรหันต์นี่มันไม่เอา ก็ช่างหัวมัน ทีนี้จะพูดกับเด็กนักเรียน นักศึกษา โดยเฉพาะนี่ว่า ไอ้คำว่าตามรอยพระอรหันต์นั้นมีความหมายมาก และมีความหมายตรงตามเหตุการณ์ปัจจุบันของทุกๆคน ทั้งที่เป็นเด็ก เป็นผู้ใหญ่ หรือคนแก่ คนเฒ่า ขอให้ฟังให้ดี เพราะคำว่าตามรอยพระอรหันต์นั่นแหละจะช่วยได้ เขาเรียกว่าอุโบสถศีล ฟังดูแล้วก็ไม่รู้ว่าอะไร เด็กๆก็มักจะสั่นหัว ว่าอุโบสถศีลนี้มันของคนแก่ ทีนี้ก็จะพูดให้ฟังว่าอุโบสถศีลนั้นแหละมันเป็นเรื่องที่จำเป็นที่สุดสำหรับทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนสมัยปัจจุบัน ซึ่งมีการกระทำตรงกันข้ามจากการตามรอยพระอรหันต์ หรือตรงกันข้ามจากอุโบสถศีลเป็นอย่างยิ่ง มันตรงกันข้ามอย่างไร พูดสั้นๆก็ว่า คนสมัยนี้มันละโมบโลภลาภ มันบูชาส่วนเกิน สิ่งที่เป็นส่วนเกิน มันละโมบโลภลาภและบูชากันทีเดียว ส่วนพระอรหันต์หรือผู้ถืออุโบสถศีลนั้น เขาจะไม่แตะต้องส่วนเกิน ไม่ยอมกระทำในลักษณะที่เป็นส่วนเกิน อย่าว่าแต่จะไปบูชา
ทีนี้อะไรเป็นส่วนเกินในอุโบสถศีล ๘ ข้อ ศีล ๕ นักเรียนทุกคนทราบดีแล้วว่าเป็นอย่างไร เว้นจากการประทุษร้ายชีวิตร่างกายของผู้อื่น หนึ่ง เว้นจากการประทุษร้ายทรัพย์สมบัติของผู้อื่น หนึ่ง เว้นจากประทุษร้ายของรักของชอบใจของผู้อื่น หนึ่ง เว้นจากประทุษร้ายความเป็นธรรม ความยุติธรรมของผู้อื่น ด้วยการกระทำทางวาจา หนึ่ง แล้วก็เว้นการดื่มน้ำเมา ทีนี้ศีลที่เพิ่มเข้าไปอีก ๓ ข้อ ที่เรียกว่าศีล ๘ หรืออุโบสถศีลนั้นน่ะ สังเกตดูให้ดี ข้อที่ ๖ ต่อไปนั้น เว้นอาหารในเวลาวิกาล นี่หมายความว่า อาหารส่วนเกินอย่าไปกินมันเลย อาหารส่วนเกิน เกินโดยเวลา เช่น เกินเลยเวลาที่ควรจะกินไปแล้ว อย่าไปกินมันเลย อาหารเย็นก็ดี อาหารค่ำก็ดี อาหารดึกๆก็ดี มันยังกินกันอย่างตะกละ นั่นมันเป็นส่วนเกิน อาหารส่วนเกินโดยเวลานั้นอย่ากินเลย อาหารส่วนเกินโดยลักษณะ เช่น สวยงาม หรูหรา อะไรมันเรื่องบ้าๆบอๆนี่ อย่าไปกินมันเลย อย่าไปสนใจประดิดประดอยอาหารให้มันเกินธรรมชาติไปนัก มันจะบ้าชนิดหนึ่ง มันคงไม่เป็นเทวดาไปได้ ดังนั้นเรากินอาหารที่มันไม่มีส่วนเกินในเรื่องของลักษณะ เช่นว่ามันแพงเกินไป ชามนึงตั้ง ๑๐๐ บาท หรือหลายสิบบาท หรือประดิดประดอยกันจนมันเป็นคนโง่ไปในที่สุด อย่างนี้เราเรียกว่าอาหารส่วนเกิน ขอให้นักเรียนทั้งหลายสนใจเรื่องอาหารส่วนเกิน อย่าไปกินเลย
ทีนี้ข้อที่ ๗ เป็นเรื่องบำรุงบำเรอร่างกายในส่วนเกิน ระวังให้ดีๆ นัจจะ คีตะ วาทิตะ หมายความว่า การฟ้อน การรำ การขับร้อง การประโคม การลูบทาของหอม การประดับประดาตกแต่งอย่างนั้นอย่างนี้ นี่มันเกินจำเป็น เกินที่ธรรมชาติต้องการ แต่คนที่ยังเขลาๆอยู่นั้น เขาว่าไม่เกิน เขาชอบเต้นรำ เขาชอบร้องเพลง เขาชอบลูบทาของหอม เพื่อความยั่วยวน ประดับประดาตกแต่งนี่ พระพุทธเจ้าท่านตรัสเป็นส่วนเกิน จึงแนะนำว่าอย่าไปทำเลย พระอรหันต์ทั้งหลายก็แนะนำว่าเป็นส่วนเกิน อย่าไปทำเลย คือใช้เสื้อผ้าตามธรรมดาตามปกติ ของหอมนั้นก็ไม่ต้องก็ได้ มันสะอาดก็พอแล้ว ไอ้เต้นรำนั้นท่านเรียกว่าอาการของคนบ้า ไอ้ร้องเพลงเรียกว่าอาการของเด็กร้องไห้ การหัวเราะสรวลเสเฮฮานี่มันก็เหมือนกับเด็กที่นอนแบเบาะ ร้องเพลงเหมือนกับร้องไห้นะคิดดูซิ มันต้องทำหน้าทำตา ทำเสียงอี๋ๆเหมือนกับร้องไห้แหละ แต่มันร้องเพลง เต้นรำนี่ก็มันลุกขึ้นทำท่าเก้งๆก้างๆ เหมือนกับคนบ้า ไอ้หัวเราะเกินไป นี่มันก็เหมือนกับเด็ก เขาไปยั่วนิดหนึ่งมันก็หัวเราะอยู่ในเบาะ มันเกิน อย่าเอากับมัน ข้อ ๗ นี้ สรุปความว่า การบำรุงบำเรอร่างกายด้วยวิธีที่เกิน เกินธรรมชาติ เกินไปนี่อย่าเอา ไม่เอาส่วนเกินในเรื่องนี้
ทีนี้ข้อ ๘ ข้อสุดท้าย ไม่นั่ง ไม่นอน บนที่นั่งที่นอนอันสูงใหญ่งดงามนี่ รวมความว่าไอ้เครื่องใช้ไม้สอยทุกอย่างที่มันดีเกินไป อย่าไปเอากับมันเลย ไอ้เตียงนอน เก้าอี้ ฟูก เบาะ เมาะหมอน ที่มันดีเกินไป สบายเกินไป มันทำให้คนเป็นบ้า โดยไม่รู้สึกตัว อย่าไปเอากับมันเลย หรือบางวันที่ถือศีล แล้วก็กระโดดออกมาเสียจากไอ้สิ่งเหล่านั้น มานอนอยู่กลางเสื่อ กลางพื้นก็ได้ เรียกว่าไม่เอาส่วนเกินเกี่ยวกับที่นั่งที่นอน เครื่องใช้ไม้สอย นี่มันทั้งหมดนี้เรียกว่า ไม่เอาส่วนเกินในเรื่องอาหาร ไม่เอาส่วนเกินในเรื่องบำรุงบำเรอร่างกาย ไม่เอาส่วนเกินในเรื่องเครื่องใช้ไม้สอย
ทีนี้เขามีศีลข้อ ๓ ที่เปลี่ยนจากกาเมเป็น อพรหม นั้น เราก็ไม่ทำอยู่แล้ว โดยเฉพาะผู้ที่ยังเยาว์วัยอยู่ ไม่มีการกระทำแล้ว ไม่มีการกระทำอยู่ในตัวแล้ว นั่นก็ถือศีลอุโบสถได้โดยง่าย เมื่อไม่เอาส่วนเกิน ถึงผู้ใหญ่ที่เขามี เป็นสามีภรรยากัน ถ้า ๗ วัน แยกกันเป็นส่วนเกินเสียสักวันหนึ่งไม่ได้ คนนั้นบ้าแล้ว ไปหาหมอได้แล้ว ถ้า ๗ วันมันเว้นไว้สักวันเพื่อเป็นส่วนเกินไม่เอา นี่ไม่ได้ มันบ้าแล้ว ฉะนั้นศีลอุโบสถนี่ก็เป็นของสำหรับคนทุกคน ไม่ใช่เฉพาะคนแก่ที่มาอยู่วัด อยู่ที่บ้านก็ถือได้ เด็กนักเรียนก็ถือได้ โดยเข้าใจความหมายที่ว่าไม่เอาส่วนเกิน เดี๋ยวนี้โลกนี้มันกำลังจะวินาศ จะวินาศอยู่รอมร่อแล้ว ไอ้โลกนี้ทั้งโลก เพราะว่ามันละโมบส่วนเกิน บูชาส่วนเกิน มันก็คิดฆ่ากัน คิดทำลายล้างกัน เพื่อจะกอบโกยเอาส่วนเกินไว้ให้มาก พวกนายทุนก็ต้องการส่วนเกิน พวกกรรมกรก็ต้องการส่วนเกิน มันก็ได้ยื้อแย่งกัน มันก็รวมหัวกันเป็นกลุ่มๆ เป็นประเทศหลายๆประเทศ เพื่อต่อสู้อีกฝ่ายหนึ่งหลายๆประเทศ เพื่อยื้อแย่งส่วนเกิน แล้วมันก็มากินเกิน ใช้เกิน เล่นหัวเกิน จนไอ้สิ่งที่มีประโยชน์ในโลกนี้ จะหมดไปจากโลกแล้ว ยกตัวอย่างเช่น น้ำมัน อย่างนี้ มันเอามาใช้ขี่รถยนต์เล่น มากกว่าใช้ที่เป็นประโยชน์ หรือเอามารบราฆ่าฟันกัน ไม่เป็นประโยชน์อะไร เป็นเรื่องส่วนเกิน น้ำมันจะหมดโลกแล้ว เพราะคนมันเอามาใช้เป็นเครื่องมือหาส่วนเกิน แล้วก็กินส่วนเกิน อยู่ด้วยส่วนเกินทุกๆอย่าง มันเข้าใจว่าอย่างนั้นน่ะดี ดี ดี ยิ่งขึ้นไป แล้วมันเกินทั้งนั้น แล้วพลอยเดือดร้อนกันทั้งโลก ถ้าทุกคนไม่เอาส่วนเกิน แล้วโลกนี้ก็จะเป็นสันติภาพในพริบตาเดียว ลัทธิยื้อแย่งส่วนเกินของกรรมกรก็เกิดขึ้นไม่ได้ ลัทธิคอมมิวนิสต์ สังคมนิยมอะไรก็ตาม มันเกิดขึ้นไม่ได้ ที่มันเกิดขึ้นได้ เพราะว่ามีคนเอาส่วนเกินมากนัก มันก็ต้องเกิดเป็นธรรมดา ถ้าอย่าเอาส่วนเกินกัน มีความรักใคร่ เมตตา ปราณีกัน โลกนี้ก็สงบระงับ คนหนึ่ง บุคคลคนหนึ่งหนึ่งก็ไม่เอาส่วนเกิน ทั้งประเทศก็ไม่เอาส่วนเกิน ทั้งโลกก็ไม่เอาส่วนเกิน มันก็มีเหลือมาก เหลือมาก เหลือที่จะกล่าวได้ เอาไปช่วยเหลือกันให้เป็นสุข ก็ไม่มีคนลำบาก เดือดร้อน ยากจน นี่หลักพระพุทธศาสนามุ่งหมายจะแก้ปัญหาต่างๆ ด้วยการที่ทุกคนไม่เอาส่วนเกิน ให้มาถือศีลอุโบสถกันซะบ้าง ๗ วัน ถือวันหนึ่งก็ได้ ๒ วันก็ได้ ถือทั้ง ๗ วันก็ได้ บางทีถือทั้งเดือนเต็มๆก็ได้ ปีหนึ่งถือสักเดือนหนึ่งก็ได้ ถ้าเก่งมากก็จะถือได้ตลอดปี ขึ้นชื่อว่าส่วนเกินแล้วไม่เอา คนก็จะมีเงินเดือนพอใช้กันทั้งนั้น แม้จะได้เงินเดือนน้อยอย่างไร มันก็พอใช้ เดี๋ยวนี้เขาเอาไปกินส่วนเกิน เงินเดือน ๑,๕๐๐ บาท พอเย็นลงก็มาสุมหัวกันกินเหล้าทุกวัน ไม่ทันถึงสิ้นเดือนเงินมันก็ไม่พอแล้ว เพียงแต่ไม่กินเหล้าอย่างเดียวนั้น ก็เรียกว่าแก้ปัญหาได้ ดังนั้นเราจงมาคิดดูกันว่าอะไรบ้างส่วนเกิน เป็นส่วนเกิน จะได้เว้นเสีย ไล่ไปตั้งแต่ว่าบุหรี่เป็นส่วนเกินไหม ถ้าบุหรี่เป็นส่วนเกิน ก็ละเสีย เหล้าเป็นส่วนเกินไหม ถ้าเกินมันก็ละเสีย ผงชูรส ส่วนเกินไหม นี่ลองไปคิดดูให้ดี นอกจากจะเป็นส่วนเกินแล้ว บางทีจะเป็นอันตรายไหม ถ้าเป็นส่วนเกินก็ละเสีย คนที่ชอบกินผงชูรสนั่นแหละ มันจะมีความเกินที่เกี่ยวกับความโง่แถมพกเข้าไปอีก นี่ยกตัวอย่างนะ ว่าไอ้ของจิ้ม ของอะไรทั้งหลายที่เด็กๆชอบกินกันนักนั้น มันเกินไหม หรือไอ้น้ำจิ้มบนโต๊ะเต็มไปหมดก่อนจะกินข้าวสักมื้อนี่ มันเป็นเรื่องเกินไหม มันเป็นเรื่องบ้าบอไหม ว่าน้ำอัดลม เกินไหม ถ้าเกินก็หยุดเถอะ แม้แต่น้ำแข็งนี่ ถ้ามันเกิน เห็นรู้สึกว่ามันเกิน คือไม่กินก็ได้ ไม่กินก็ไม่ตายแล้วสบายดีกว่า ไม่เสียสตางค์ด้วยอย่างนี้ ก็หยุดก็แล้วกัน ทีนี้เรื่องอบายมุขทั้งหลาย ดื่มน้ำเมา เที่ยวกลางคืน ดูการเล่น เล่นการพนัน คบคนชั่วเป็นมิตร เกียจคร้านทำการงาน นี่ต้องออกชื่อให้ครบตามลำดับของพระพุทธเจ้า อบายมุขทั้ง ๖ นี่มันเกินไหม ดื่มน้ำเมาก็ มันเกิน เที่ยวกลางคืนก็มันเกิน ดูการเล่น เล่นหัว มหรสพต่างๆ มันก็เกิน ไม่เล่นเสียก็ได้ไม่ตาย แล้วกลับสบาย เล่นการพนันนี้มันโง่ มันจึงไปทำท่าข้างที่คิดว่าจะรวย มันก็หวังเกิน แล้วมันก็โง่เกิน แล้วก็ไปทำในส่วนที่มันเกิน คบคนชั่วเป็นมิตร นี่เพราะมันเป็นคนบ้าเกินด้วยกัน เกียจคร้านทำการงานนี่ มันอยากจะนอนให้มากเกิน แล้วมันก็ไม่ลุกขึ้นไปทำงาน อบายมุขทั้ง ๖ มันเป็นเรื่องเกิน ก็ขอให้ไปพิจารณาดู แล้วก็เว้นเสีย ไม่ต้องพูดถึงเรื่องสถานเริงรมย์ อาบ อบ นวด อะไรต่างๆของคนบ้าเหล่านั้น นั่นมันเป็นเรื่องเกิน เกี่ยวกับเรื่องนี้เราจะต้องทำใจบริสุทธิ์ ไม่เห็นแก่ตัว ก็จะถือโอกาสพูดเสียเลยว่า เราเป็นพุทธบริษัทจะต้องมี สัจจะ ทมะ ขันติ จาคะ อะไรต่างๆ แต่ว่าเดี๋ยวนี้จะต้องเอาความบริสุทธิ์ใจกันก่อน ทีนี่นั่งกันอยู่ตรงนี้สวมเสื้อลายแยะ จะถามว่าลายนี่มันเกินไหม ไอ้เสื้อลายแปลกๆนี่ดูมันมีเกินไหม หลายคนใส่เสื้อลาย ถ้าเลิกเสื้อลาย ใส่เสื้อธรรมดาผ้าธรรมดานี่จะเป็นอย่างไรบ้าง จะประหยัดไหม หรือว่าใส่เสื้อลายมันจะทำให้เป็นปลาได้ ก็ลองคิดดู ถ้ามันเป็นไปไม่ได้ ก็ช่วยกันเลิกละทีเถอะ ไอ้ที่มันเปลืองไปเปล่าๆ เพราะเราต้องไปจ้างเขาทำลาย แล้วไอ้เสื้อลายๆนี่มันบางทั้งนั้น บางๆทั้งนั้น ก็ไม่ทนหรอก ก็ควรจะคิดว่ามันเป็นส่วนเกิน ประเทศชาติที่มันฉลาด ไม่ต้องออกชื่อประเทศไหนก็ได้ มันไม่มีเสื้อลายใส่ มันก็ไม่มี มันใส่เสื้อธรรมดาหนาๆทั้งนั้นเลย เราเห็นเขาถ่ายหนังออกมา ฉายกันดูที่นี่ เป็นประเทศที่ประเทศอื่นพากันเกรงขาม ต้องกลัวมัน เพราะมันไม่มัวใส่เสื้อลายเป็นผีเสื้อนี่ ไอ้เสื้อลายนี่ต้องมี ๒ ความหมายล่ะ มันเป็นผีเสื้อหรูหราบินไปบินมานี่ก็ได้ คือว่ามันไม่มีปัญญาแล้วที่จะขู่คนอื่นให้กลัว มันต้องมีลายเหมือนเสือ มีลายเหมือนกับสัตว์ที่ลายๆให้คนกลัวลายของมัน แต่นี่มันไม่มีปัญญา ก็เป็นเรื่องที่เกินไป นี่ไอ้เรื่องเสื้อลายนี่มันมีอยู่ ๒ อย่าง คือ ทำให้ออดแอด อ่อนแอก็ได้ หรือเอาลายไว้ขู่เพื่อน เพราะไม่มีปัญญาอย่างอื่นก็ได้ ถ้าคิดไปทำนองนี้ เราจะเห็นว่ามันเกิน ฉะนั้นก็หยุดเถอะไอ้เรื่องเกินนี่ ของที่ต้องเป็นทอง ปากกาก็ต้องเป็นทอง นาฬิกาก็ต้องเป็นทอง แล้วแก้ตัวว่านี่จะเป็นหลักทรัพย์ เป็นหลักทรัพย์สะสมไว้ มันก็ไม่จริงหรอก มันบ้าสวย บ้างามทั้งนั้น ฉะนั้นขอให้ไปพิจารณาดู เครื่องใช้ไม้สอยทุกอย่างในบ้านในเรือน อะไรมันเกิน ก็รีบจัดการเสีย ขายซะก็ได้ ถ้าไม่เอาไปทิ้งขายซะก็ได้ ให้เหลือแต่พอดีๆใช้ แล้วมีประโยชน์ อย่างนี้ก็เรียกว่ามันไม่เอาส่วนเกิน มันยังมีส่วนเกินอย่างอื่นๆอีกมาก
เดี๋ยวนี้เราสรุปว่า ไอ้เรื่องอาหารอย่าให้เกิน เรื่องบำรุงบำเรอร่างกายอย่าให้เกิน เรื่องของใช้ไม้สอยอย่าให้เกิน ในเรื่องเพศ เรื่องเพศนี่สำหรับผู้ใหญ่ก็อย่าให้เกิน เรื่องเพศสำหรับเด็กๆก็อย่าให้เกิน โดยว่าเป็นเจ้าชู้ตั้งแต่เด็กนั้น นั่นมันเกินแน่ๆ ถ้าเป็นเจ้าชู้ตั้งแต่เด็กแล้วมันจะวินาศทุกคนแหละ ไอ้นักเรียนที่สอบไล่ตกมาคลานอยู่นี่ มันเป็นเรื่องหลงในเรื่องเพศที่เป็นส่วนเกิน เด็กหญิงเด็กชายเห็นเป็นแถวกันอยู่ มีอาการโรคเส้นประสาทเหมือนจะบ้าอยู่แล้ว มาที่นี่ปีหนึ่งหลายๆคน ไอ้นักเรียนชนิดที่มันไปทำส่วนเกินเรื่องเพศ แล้วเรียนไม่สำเร็จ แล้วก็มาที่นี่ บอกว่าช่วยไม่ได้หรอก เธอมันเป็นโรคเส้นประสาทแล้ว ไปหาหมอเถอะ มันไปเอาส่วนเกินในเรื่องเพศ ทั้งๆที่ยังเป็นเด็กอยู่ เรื่องส่วนเกินนี่มันมีใจความหมายถึงเรื่องวัตถุก็มี เรื่องจิตใจก็มี ความต้องการของจิตใจอย่าให้เกิน อย่างคน คนแก่ถ้าต้องการส่วนเกินในทางกามารมณ์ มันก็ตายแหละ มันไม่ใช่เรื่องของความพอเหมาะพอดี นักเรียนไปสนใจเรื่องกามารมณ์ มันก็เกิน มันก็สอบไล่ตกหมดแหละ นี้ขอให้ดูว่า กามารมณ์นี้ก็เป็นปัญหาใหญ่ ถ้าไปมีเกินเข้าที่ไหนแล้วที่นั่นวินาศ ทำให้คนวินาศมามากแล้ว เด็กนักเรียนก็วินาศมามากแล้ว ผู้ใหญ่ก็วินาศมามากแล้ว ราชบัลลังก์ก็เคยพังทลายมามากแล้ว เกี่ยวกับกามารมณ์ส่วนเกินนี่ ถ้าไปศึกษาทางประวัติศาสตร์ดูก็จะรู้ อย่าๆออกชื่อเป็นดีกว่า รวมความว่าให้ระวังศัตรูของมนุษย์ที่ร้ายกาจที่สุด คือ สิ่งที่เป็นส่วนเกิน ตัดสินใจเอาเองเถอะ อย่าต้องให้มาช่วยบังคับเลย ไล่ไปตามลำดับ เสื้อลายเกินไหม บุหรี่เกินไหม เหล้าเกินไหม ผงชูรสเกินไหม น้ำอัดลมเกินไหม น้ำแข็งเกินไหม หนัง ละคร เกินไหม อะไรเกินไหม แล้วก็ไปเอาออก เมื่อไม่เอาส่วนเกินอย่างนี้ คือการถืออุโบสถศีล ตรงตามความหมายของพระพุทธเจ้า ถืออุโบสถศีลนั้น คือ หลีกเข้าไปอยู่ในที่ สะอาด บริสุทธิ์ สงบ ก็คือไม่แตะต้องส่วนเกิน ไปเอาส่วนเกินที่ไหน เมื่อไร ก็จะสกปรกที่นั่นและเมื่อนั้น กิเลสตั้งอาศัยอยู่บนสิ่งที่เป็นส่วนเกิน ไปคิดดู ไปคิดดู ไปคิดดูเถอะ ไม่ต้องเชื่ออาตมา ไม่ต้องเชื่อใคร ตรงไหนมีกิเลส ตรงนั้นจะมีส่วนเกิน ตรงไหนมีส่วนเกิน ตรงนั้นจะมีกิเลส อย่างน้อยก็โง่ ฉะนั้นเราเลิกส่วนเกินเสีย เราจะได้อานิสงส์หลายอย่างหลายประการตามหลักของการถืออุโบสถศีล ข้อแรก เราก็จะมีร่างกายดี เราไม่ไปแตะต้องส่วนเกินของเมาของหลอกทั้งหลายนี่ จะมีอนามัยทางร่างกายดี ไม่เจ็บไม่ไข้ เหมือนกับคนที่กินเหล้าจนเป็นโรคเหล้า หรือไปทำอะไรที่มันเป็นทางเสื่อมทางสุขภาพ ทีนี้ข้อที่ ๒ มันก็จะมีอนามัยทางจิตดี มีกำลังเข้มแข็งเพราะมีร่างกายดีก็มีอนามัยทางจิตดี มีสมาธิดี มีความคิดนึกดี แล้วข้อที่ ๓ ก็มีสติปัญญาดี มีความรู้ดี ไม่โง่ ข้อที่ ๔ มันก็จะมีเศรษฐกิจดี ครอบครัวไหนไม่แตะต้องส่วนเกิน ครอบครัวนั้นจะมีเศรษฐกิจดี ก็ลองคำนวณดูสิ พอถึงวันเสาร์ วันอาทิตย์ พวกที่ไม่เอาส่วนเกินนี่ ไม่รู้จะไปไหน พอถึงวันเสาร์ วันอาทิตย์ พวกที่ไม่เอาส่วนเกินนี่มันไม่รู้จะไปไหน พวกที่บ้าส่วนเกิน มันจะขับรถไปบางแสน ไปพัทยา ไปยังที่เขารู้กันอยู่นะว่ามันมีอะไรที่ไหน ไปเอาส่วนเกินที่นั่น คือถ้าว่าเราไม่เอาส่วนเกิน เลยไม่รู้จะไปที่ไหน เลยต้องอยู่กับบ้าน หรืออย่างดีก็ไปวัด ไปหาไอ้ความรู้ที่มันไม่เป็นส่วนเกิน แต่ว่าอยู่ที่บ้านนี่จะได้พักผ่อน จะได้อบรมลูก อบรมหลานให้มันดี พ่อแม่โง่ๆมันว่ามันไม่มีเวลาที่จะอบรมลูกหลานให้ดี ก็ปล่อยไว้ตามบุญตามกรรม ลูกหลานโตขึ้นมาด้วยความงมงาย เลี้ยงดูของคนใช้นี่ แล้วพ่อแม่มันก็ไม่รับผิดชอบ เพราะมันว่ามันไม่มีเวลาที่จะมาเลี้ยงลูก ดูลูก มันไปเอาส่วนเกินที่พัทยา ที่บางแสน ที่ไหนก็แล้วแต่ มันรู้กันดีอยู่แล้ว นี่มันโกหกตัวเอง เพราะมันไปเอาส่วนเกิน แล้วให้โทษมาถึงลูกถึงหลาน ฉะนั้นถ้าเราถือว่าไม่เอาส่วนเกิน เราก็จะมีเวลาที่จะอบรมลูกหลาน มีเวลาที่จะสงบ มีเวลาที่จะพักผ่อน มีเวลาที่จะอ่านหนังสือธรรมะ เดี๋ยวนี้บอกอาตมาว่า ไม่มีเวลาเลยที่จะอ่านหนังสือค่ะท่าน มันโกหกนี่ มันมีเวลา แต่เอาไปใช้ส่วนเกินหมด มันไม่มีเวลาอ่านหนังสือธรรมะ แล้วมันก็จะมีเวลาสำหรับพักผ่อนให้ร่างกายสบาย นี่เศรษฐกิจมันก็ดีขึ้นมาในครอบครัว ลูกหลานก็จะพลอยดีขึ้นมา ร่างกายก็ดี จิตใจก็ดี สติปัญญาก็ดี นี่เพราะไม่เอาส่วนเกิน ฉะนั้น ขอให้มองไปยังพระพุทธองค์ พระพุทธเจ้า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่าท่านเป็นผู้ที่รอบรู้สักเพียงไร ในการที่ท่านทรงบัญญัติศีลว่าอย่าไปแตะต้องส่วนเกิน เรื่องอาหารส่วนเกิน เรื่องบำรุงบำเรอส่วนเกิน เรื่องเครื่องใช้ไม้สอยส่วนเกิน แล้วเรื่องกามารมณ์ส่วนเกิน
ทีนี้อยากจะพูดอีกสักนิดว่า แม้ศีล ๕ ประการนั้น ก็เกี่ยวกับส่วนเกินเหมือนกัน ศีล ๕ ข้อที่หนึ่ง ไม่ให้ประทุษร้ายร่างกายทรัพย์สมบัติของผู้อื่น นั่นก็หมายความว่า เราอย่าถือสิทธิให้มากเกินไป จนถึงกับคิดว่าเราควรจะละเมิดสิทธิในทรัพย์ ในร่างกายและชีวิตของผู้อื่น ฉะนั้นการไปฆ่าสัตว์ตัดชีวิตนั้น มันไปล่วงละเมิดสิทธิของสัตว์เหล่านั้น แม้เป็นสัตว์เดรัจฉานนั้นมันมากเกินไป อย่าล่วงละเมิดสิทธิของสิ่งที่มีชีวิต แล้วมันก็ฆ่าใครไม่ได้ อย่าคิดว่าเรามีสิทธิที่จะเอาทรัพย์สมบัติของผู้อื่นมาด้วยพละกำลัง นั่นมันเป็นสิทธิที่เกินไป อย่าไปปรารถนาเลย นี่แล้วก็ลักขโมย หรือเอา ประทุษร้ายทรัพย์สมบัติของผู้อื่นไม่ได้ แม้เราจะคิดว่าเราไม่มีสิทธิ หรือไม่ควรมีสิทธิที่เกินไปสำหรับจะไปล่วงละเมิดของรักของพอใจของบุคคลอื่น เช่น บุตร ภรรยา สามี ของคนอื่นเป็นต้น มันเกินไป มันเกินไป จนกว่าที่จะมาพูดได้ ก็เลยไม่ต้องพูดว่าเกิน แต่ที่จริงมันเกินไป อย่าไปละเมิดสิทธิความเป็นธรรม ความถูกต้องของผู้อื่น นี่อย่าไปโง่ถึงขนาดว่าไปดื่มน้ำเมา ที่ทำให้สูญเสียสติปัญญาสมปฤดี นี่มันล่วงเกินพระเป็นเจ้ามากเกินไป พระเป็นเจ้า คือ ธรรมชาติ ต้องการให้มนุษย์มีความสงบสุข ไอ้คนมันก็ล่วงละเมิดดูหมิ่นดูถูกพระเป็นเจ้า ไปกินน้ำเมา ทำลายสติปัญญาสมปฤดี ทั้งตนเอง เป็นคนบ้า คนหลง แล้วก็ก่อเรื่องเลวทรามทั้งหลายทั้งปวงได้ นี่มันล่วงละเมิดพระเป็นเจ้า ขอให้คิดดู เอาล่ะเป็นอันว่าศีล ๕ ก็ดี ศีล ๘ ก็ดี ดูแล้วมันจะพบเจตนารมณ์อันลึกซึ้งว่า ไม่เอาส่วนเกิน ไม่แตะต้องส่วนเกิน ไม่บูชาส่วนเกิน ทุกคนเป็นอย่างนี้แล้ว ก็จะมีพร มีความดีที่สุด อยู่ที่เนื้อที่ตัวทุกขุมขนแหละ เพราะมันดีที่ไม่เป็นทาสของกิเลส ไม่เป็นทาสของส่วนเกิน
อาตมาตั้งใจโดยเฉพาะว่าจะปรารภแก่นักเรียนทั้งหลายที่มีมากที่สุดในวันนี้ว่า พรปีใหม่นั่นก็คือว่าวิธีที่จะชนะข้าศึกศัตรูทั้งภายนอกและภายใน แล้วได้อยู่เป็นสุข นี่แหละคือพรปีใหม่ ขอให้จดจำไปให้ดี ว่าพรนี้ต้องประพฤติต้องกระทำด้วยตนเอง แล้วก็รับปีเก่า เอ่อ,ส่งปีเก่า เหมือนกับว่าเก็บความดีไว้ สำหรับเป็นพืชพันธุ์สำหรับงอกต่อไปในปีหน้าให้ดีกว่าเดิม ต้อนรับปีใหม่นี่เหมือนกับว่าให้ลอกคราบเก่าๆที่เลวๆทิ้งไปเสีย ลอกคราบกิเลสทิ้งไปเสีย ก็ออกมาเป็นของที่บริสุทธิ์สะอาดต่อไปอีก ดีกว่าเดิม เราจะทำอย่างนี้เหมือนกับว่าเป็นการตามรอยพระอรหันต์ในการปัจเวกองค์อุโบสถ ฉะนั้นอย่าเข้าใจว่าศีลอุโบสถนี้เป็นของครึคระ มันกลายเป็นสิ่งที่จะคุ้มครองเรา ให้อยู่เป็นสุข คุ้มครองโลกทั้งโลกให้อยู่เป็นสุข เหมือนที่กล่าวมาแล้วว่า ถ้าทั้งโลกไม่เอาส่วนเกินแล้วก็โลกก็มี สันติสุขส่วนบุคคล มีสันติภาพในส่วนสังคม เหลือที่จะกล่าวได้ ทีนี้ขอให้อวยพรให้ท่านทั้งหลายทุกคน ขออวยพรให้ท่านทั้งหลายทุกคน มีความกล้าหาญ ซื่อตรงต่อตัวเองที่จะละเว้นส่วนเกินให้ได้จริงๆ ถ้ามัวขี้ขลาดอยู่ แล้วก็มัวโกหกตัวเองอยู่ แล้วไม่มีวันจะได้พรของใครหรือจากใคร โดยเฉพาะจากพระพุทธเจ้าแม้แต่สักนิดเดียว จึงขอให้กล้าหาญ ให้เฉียบขาด ให้ซื่อตรง ในการที่จะละเว้นส่วนเกิน แล้วก็จะเป็นการถือศีลอุโบสถ กระทำตามรอยพระอรหันต์อยู่ทุกทิพาราตรี แล้วก็มีความเจริญได้สมตามนั้นจริง ให้พรสมควรแก่เวลาแล้ว ก็ยุติที จะได้ดำเนินการตักบาตรต่อไป