แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ผมกินยาชาวบ้าน เข้ายาดำ มหาหิงคุ์ อันนี้เป็นส่วนใหญ่ เข้าหัวต่าง ๆ แล้วมันก็หายไปได้ ยังเหลือน้อยที่สุดเมื่อบางเวลาจะรู้สึกเจ็บนิดหน่อย โดยมากไม่รู้สึก เข้าใจว่ามันหาย ต้องหายแน่ แบบนี้ แล้วมันก็จะประหลาดที่ว่า ไอ้พวกหมอน่ะมันไม่รู้ หมอที่พาลูกมาบวชถึงนี่ เชื่อแน่เหลือเกินว่ามันต้องผ่านะ ให้เขาทำแล้วจะหายแน่ ถึงกินยาก็ไม่หายขาด มันต้องผ่า ขูดเอ็น ใคร ๆ ก็ว่าแบบนั้น คุณฉลาดก็ว่าแบบนั้น ไอ้เลาะ คุณอรุณก็ว่า คุณอรุณก็ ว่าต้องผ่า รบเร้าให้ผ่า นี่ถ้ามันหายได้แล้วก็ไอ้พวกนี้มันโง่ ดักดานเลย ไอ้ความรู้ของพวกหมอก็มันต้องผ่าแหละ
นี่ผมมันก็ผ่านมาเรื่องหนึ่งแล้วซึ่งมันยังอธิบายไม่ค่อยได้ แต่ว่าถ้าเอากันตามที่ปรากฏนะมันก็มันก็หายแหละ คือต่อมลูกหมากอักเสบซึ่งมันร้ายกาจที่สุด ต้องผ่าต้องขูด ต้องเกือบเป็นเกือบตายกันนะ เรากินน้ำไอ้เขานมโค มันก็หายไปได้ เวลานี้ก็มันยังไม่มีเค้าว่าจะจะกลับมาอีก เวลานี้แหละ ไอ้เรื่องต่อมลูกหมากอักเสบกับปัสสาวะมันไม่มีท่าว่าจะกลับมาอีกเลยนี่ นั่นแหละ ตั้งปีกว่า
เมื่อก็ไอ้ที่หมอว่าเอ็น เส้นเอ็นพองขึ้นมา เบียดถูกัน ไอ้โรคนี้ ก็ปวดเหลือเกิน เมื่อก่อน นี่ก็กิน กินยาบรรเทาปวด ทาน้ำมัน พันผ้า ร้อนอู้ไปหมด มันก็พอ ๆ บรรเทา นายผลมันทำจนหมด หมดปัญญา หมดวิชา หมดอาคม หมดอะไรแล้ว ก็ยังไม่หายขาด มันก็บรรเทาด้วยการที่ทายา นี่แหละ ก็ยาร้อน ๆ นี่แหละ เคาน์เตอร์เพน ยาแก้ปวด แก้อักเสบของหมอบ้างก็มันก็พอทุเลาจนพอทนได้แหละ นี่พอมาทดลองกินยานี้มันก็หายไปโดยเร็ว ใน ๒ - ๓ วันมันรู้สึกว่าหายไปเกือบหมด เลยเชื่อว่านี่มันมันมันต้องหายแน่ ผลสุดท้ายในที่สุดต้องหายแหละ
แต่ผมตั้งใจ ผมไม่ได้ขยันกินแหละ ถ้าขยันกินต้องหายเร็วกว่านี้ มันขม มันขมติดอยู่ที่คอนาน ๆ รำคาญ ฉลากยาแบบโบราณ แพทย์แผนโบราณนะมันจะเขียนว่า มันอ้างว่า ถ่ายโรคในเส้นเอ็น แก้โรคในเส้นเอ็น หรือว่าถ่ายพิษในเส้นเอ็นอะไรแบบนั้น ไอ้ยาชนิดนี้ ก็พอดีมันก็ไปตรงกับที่หมอเขาก็ว่าเอ็นมันอักเสบขึ้นมาเบียดกัน จะเป็นโรคในเส้นเอ็นเหมือนกันแหละ หรือว่าโทษในเส้นเอ็นนั้นแหละ มันถ่ายโทษในเส้นเอ็น กระทำให้เส้นเอ็นเล็กลงยุบลง ไม่มีการเบียดถูกันอะไรก็ตามใจ แล้วมันก็หายไปเลย
ถ้าละลายน้ำมะนาวน่าจะดีกว่าน้ำผึ้งรวง นั่นยาโบราณที่เขาจะถ่ายโทษในเส้นเอ็นในอะไร ในข้อในอะไร ฉันเข้าไปแล้ว ถ่ายออกมาดำบ้าง เขียวบ้าง เป็นมูกบ้าง อะไรบ้าง เหม็นเหลือประมาณไม่น่าเชื่อแหละ ยาแบบนี้ก็แก้โรคชนิดนี้ มันก็เลยพูดกันไม่รู้เรื่อง ถ้าเราจะอธิบายให้ให้หมอฟัง ว่าเรามันค่อยยังชั่วหรือหายด้วยยานี้ ถึงเขาจะขอเอายานี้ไปพิสูจน์ทดลองแยกธาตุอะไร มันป่วยการเอาแหละ ไม่น่าได้ ไม่รู้ได้ ไม่มีทางจะทำกันได้เลย ยานี้เขาเข้ามากเรื่องมากอย่าง อย่างเล็กอย่างน้อยที่ผมเชื่อมัน ไอ้พวกมหาหิงคุ์ ยาดำ ไอ้หัวอะไรบางอย่างนั่นแหละ มันทำให้รู้ เส้นเอ็นนั้นมันยุบลงไป
นี่มันอยู่ตรงนี้ที่รู้ ตัวการมันอยู่ตรงนี้ เส้นเอ็นที่มันมันพองขึ้นเบียดกันอะไร ตรงนี้ ตั้งต้นนี้มันหายไปหมด ไม่มีเนื้อเลยตรงนี้ หนัง ก็หนังถึงนี้ ตรงนี้มันมีเนื้ออยู่เหมือนกัน เส้นเอ็นมันชักกลับมา หายแฟบแล้ว แต่ก็ยังไม่ยังไม่เท่าข้างฝ่ายนี้ ฝ่ายนี้ยังหนากว่า ก็ไม่มีประโยชน์ที่เราจะเอาไอ้เขานมโคส่งให้หมอตรวจ แยกธาตุ หรือเอายาที่กินนี้ส่งไปให้หมอตรวจแยกธาตุ มันก็ไม่มีประโยชน์อะไร มันตรวจไม่ได้ ตรวจไม่พบแหละ แล้วมันก็ ก็ยกเลิกแหละ ก็ไม่เชื่อว่าหายได้ ยิ่งไอ้เขานมวัวนั่นแหละก็ ยิ่งไม่มีทางเลยแหละ ตัวมันอย่างเดียว น้ำใส ใส ๆ จืด ๆ นี่ ช่วยแก้โรคที่ร้ายกาจได้อย่างไร นี่เรามันก็เลยชักจะหันไปหายาโบราณ นี่มันจะเป็นไร ถ่ายพิษในเส้นเอ็น ไม่ใช่เล็กน้อยเลย
เมื่อก่อนไปตรวจที่เครื่องตรวจที่โรงพยาบาลโรคจิต สวนสราญรมย์นั่นแหละ หมอก็ตรวจตามแบบของหมอนั่นแหละ ตามแบบวิธีหมอ แล้วบอกผลว่า เส้นโลหิตในสมองซีกซ้าย มีอาการไม่ทำงานเป็นตามธรรมชาติ ขึ้นในบางคราว เส้นจะตีบตันโลหิตไม่ผ่าน แต่ว่ากลับหายได้เอง คือกลับหายตีบหายตันผ่านไปได้เอง และอาจจะตีบตันโดยไม่ไม่บอก ไม่ทราบสาเหตุอะไรก็ได้ ก็ที่ตรงกันอย่างหนึ่งที่ว่าหมอว่าว่าจะจะลืมมากขึ้น ถ้าไอ้เส้นโลหิตอันนี้ยังไม่ปกติอยู่ จะลืมมากขึ้น ผมยังเชื่ออีกว่า ยาไทยยาโบราณนั่นแหละ อะไรก็ไม่รู้ ถ้าใครจะมี คนไหน กินเข้าไปแล้วจะให้ ให้เส้นโลหิตนี้หยุดตีบตันโดยไม่ทราบสาเหตุกันสักที
จึงเข้าใจว่าไอ้ยาโบราณที่เผ็ด ๆ ร้อน ๆ นั่นแหละ ที่คนสมัยใหม่เขาไม่เชื่อนั่นแหละ ยาพวกนั้นแหละ ไอ้ไอ้ยาอายุวัฒนะ กินแล้วคนแก่กลับหนุ่มอะไรต่ออะไรแบบนั้นแหละ มันคงช่วยได้ ให้เส้นโลหิตในมันสมองนั้นมันปกติ ถ้ามันปกติก็มันก็จำดีขึ้นมาอีก มันก็จำดีขึ้นมาอีก
เป็นความจำชนิดจำชื่อคนจำอะไรแบบนั้นแหละฉันลืม เห็นหน้าแล้วไม่ เรียกชื่อไม่ถูก นี่ กระทั่งเห็นผลไม้แล้วเรียกชื่อไม่ถูก แต่ถ้าความจำแบบจำปาฏิโมกข์ จำอะไร นี่ไม่ ไม่ ไม่แบบนั้น ไม่ค่อยเกี่ยว ผมลองท่องปาฏิโมกข์แล้ว ทั้งที่ไม่ได้ท่อง ไม่มีนี่ มันท่องไปได้ตั้งครึ่งตั้งค่อนแหละ มันไม่ลืม ตั้งแต่ไม่ได้ท่องแบบนี้ นึกเดาขึ้นมาใหม่นี่ ลืมหาย นึกเดามันก็ถูกนั่นแหละ การฟื้นความจำแบบนั้นไม่ ๆ ไม่กระทบกระเทือน แต่ถ้าไอ้จำชื่อคน จำอะไรแบบนี้ สะดุดกึก บางทีพระเณรในนี้เรียกไม่ออก เรียกชื่อไม่ออก ที่ผมนิ่ง ๆ อึ้ง ๆ นั้นคือลืม มันลืมชื่อ ร้องตะโกนเรียกไม่ถูกนี่ เรียกชื่อไม่ออกนะ แม้แต่คุณมานะ คุณพยอม นี่บางทีลืม หรือร้องตะโกนเรียกชื่อนี่ เรียกชื่อไม่ได้ เรียกไม่ออก
หมอพัช กสิราชที่ตรวจคราวก่อนบอกว่า มีความดันสูงได้โดยไม่ทราบสาเหตุ ก็เนื่องมาจากนี่ เนื่องมาจากมันสมองส่วนหนึ่งมันตีบตันได้ จนบังคับ หัวใจหรือการฉีดโลหิตไม่เป็นระเบียบ แต่เขาก็ไม่ทราบสาเหตุว่าเหตุไรเส้นโลหิตมันจึงตีบตันได้ แล้วก็หายเองได้ และตีบตันได้เองหายเองได้ ตอนมีอาการแผ่นดินทรุดไปข้างหนึ่ง ด้าน ด้านขวานี่ คงเพราะเหตุอันนี้แหละ
นี่ความชราของผมมันอาจจะไม่เหมือนกับคนอื่นก็ได้ ไม่เหมือนกับคนแก่ ๆ คนอื่นบางคน ไอ้เรามันชราแบบพิลึกกึกกือ ในทางความคิด ทางสติปัญญาทางอะไรมันไม่ไม่ไม่ชรา มันไปชราในทางความจำ และเนื้อหนังร่างกายซึ่งมัน มันไม่ ไม่ไปตามปกติ หน้าแข้งฝ่ายทางขวานี้เหรอ ผิดกับหน้าแข้งฝ่ายข้างซ้ายโดยประการทั้งปวง หน้าแข้งข้างขวาเดี๋ยวโป่งขึ้นมาเดี๋ยวยุบลงไป เดี๋ยวคดโป่งเป็นแห่ง ๆ แล้วยุบเป็นแห่ง ๆ เป็นหน้าแข้งคด แล้วสองสามวันหายไป เรื่องข้างขวามันแหละ แสดงผลทางข้างขวา
ไอ้ไอ้ไอ้ยาโบราณ ยาอะไร อย่าไปยกเลิก ช่วยกันจดช่วยกันจำ แล้วช่วยมากินทดลองดู มันไม่อันตรายหรอก ไม่ตายหรอก เดี๋ยวมันไม่ถูกกัน มันอาจ อาจทำให้ตายได้ ถ้ามันเกิดถูกกันแล้ว มันค่อยรู้ มีประโยชน์ จะดีกว่ายาแผนปัจจุบันซึ่งมันเถรตรงเสีย ทำไมมันทื่อ ซื่อกันเสีย โดยคัดตัวยานั้นแหละ ออกฤทธิ์ที่ระบบประสาทอย่างนั้น ทดลองแบบนี้ ทดลองมันก็เท่านั้นเองแหละ ไอ้ที่มันละเอียดลึกลับซับซ้อนอยู่ข้าง ๆ คู ๆ มันไม่รู้เลย นี้จึงหาไม่ได้ เรียกว่าตัวยาที่จะให้แก้โทษในเส้นเอ็นนั้นไม่มี จะผ่ากันท่าเดียว ปรากฏว่าบางคนมือเสียไปเลยก็มี จะผ่าเอ็นแบบนี้แหละ คุณฉลาดตัวแกว่าหาย แต่แกก็ไม่ไม่รับรองว่ามันจะหายชนิดที่ว่าหายขาดได้
(..เสียงหมาเห่า..) อืม คุณประจวบ คุณเอาไฟฉายไปแอบดูว่าหมามันเห่าอะไร ไปกับคุณชุมทอง อย่าไปโจ้ง ๆ ไปแอบ ไปแอบ ไปเลาะไปทางข้างหลัง เดี๋ยวจะรู้ว่าหมาแบบนี้มันเห่าอะไร ต้องเอาไฟฉาย คุณแอบไปทางฝ่ายหลัง อย่าให้มันรู้ว่าอะไร เรารู้เลยว่าใครเผาถ่าน ใครเป็นคนเผาถ่าน ต้องเอาไฟฉายไปชุมทอง อย่าฉายไปนะ แอบไปทางหลังเรื่อย ไปทางหลัง ไปทางฝ่ายโน้น แอบไม่ให้มัน แอบไม่ให้มันรู้ และต้องดับไฟและมันก็เห่า แล้วเราก็น่าว่ามีคนมา ดูน้ำในส้วมด้วยมันจะเต็มทิ้งเปล่า ๆ
ผมรู้จักความชราพอได้แหละแบบนี้ รู้จักมันดีก็ได้ เมื่อก่อนไม่รู้จัก คำว่าความชราน่ะเราไม่รู้จักว่าอะไร มันสมองบางส่วนมันหยุด มันไม่อยากจะเคลื่อนไหว มันก็ทำให้ร่างกายนี้ไม่อยากจะเคลื่อนไหว กระทั่งว่าข้าวนี่ไม่อยากจะฉัน อาบน้ำนี่ยิ่งไม่ชอบ แล้วยิ่งเบื่อ ยิ่งขี้เกียจ และก็จะลุกขึ้นปัสสาวะ อุจจาระก็มันขี้เกียจ มันนอนบิดอยู่นั่น ก็จะลุกขึ้นไปหยิบของตรงนั้นแล้วเอามาทำมาใช้อะไร ก็มันขี้เกียจ มันนึกจะเรียกคนอื่น ให้ช่วยหยิบ เมื่อคนแก่ ๆ ที่ชอบใช้เด็ก นั้นต้องต้องให้อภัยแหละ มันเป็นธรรมชาติ
ผมเมื่อเด็ก ๆ ก็เคยโมโหที่ว่าคนแก่ ๆ จะไปหยิบเองก็ได้ ใกล้ ๆ แค่นิดเดียวยังมาเรียกเรา มาใช้ไปหยิบ ไอ้ของใกล้ ๆ นั้นมาให้ที อะไรแบบนี้ เราก็ไม่รู้ว่านี่มัน มันเป็นเรื่องของคนแก่ เห็นว่าเป็นคนขี้เกียจ เห็นว่าเป็นคนวางยศศักดิ์อะไร ใช้คนอื่นเสียเรื่อย นี่เวลานี้กำลังเป็นเอง แล้วเป็นเอามาก ๆ ด้วย เป็นจนคนอื่นจะจะโกรธหรือจะสงสัย นี่จะลุกขึ้นไปสักสองวาเท่านี้ บางทีนั่งอยู่ตรงนี้ตั้งเป็นชั่วโมง ๆ จะจดอะไรสักนิดลุกหยิบ เบื่อและขี้เกียจ จนกว่าจะมีใครมาได้ใช้ให้เขาหยิบ
เป็นเรื่องของมันสมองมันหยุด ระบบการเคลื่อนไหวไม่อยากจะลุกขึ้น เพราะฉะนั้นเลยล้มเหลวหมดในเรื่องการออกกำลัง การที่จะไปออกกำลังไปเดินเล่นไปอะไรก็ตามมันล้มเหลวหมด ถ้าว่าเป็นพระกรรมฐานนั่นก็ขี้เกียจเดินจงกรมแหละ มันยกเลิกกันเลย นั่นแหละคือความชรา ซึ่งบังคับยากเหมือนกัน มันเป็นมาจากภายใน ทางร่างกาย ไม่ทางไม่ใช่ทางจิต พอหนักเข้าหนักเข้ามันจะขี้เกียจมากขึ้น กระทั่งสิ่งที่รู้ว่าดีมีประโยชน์นี่มันก็จะใช้เอา ทำได้อยู่แท้ ๆ ก็จะไม่ทำ
แบบนี้หนักขึ้นไปอีกก็คือว่าแม้แต่ของเล่นสนุกมันก็จะไม่เอา ที่เคยชอบเคยเล่นสนุกอะไรตามใจนี่ มันก็กลายเป็นขี้เกียจที่สุดเลย ยกตัวอย่างเหมือนผมแบบนี้ เมื่อก่อนมันก็ชอบไอ้ของเล่น อะไรต่าง ๆ แบบนี้เคยชอบ ปลาตัวนี้นี่อยู่กันทั้งวัน ๆ ไม่ต้องทำอะไร แบบนี้ ทั้งเคยชอบ เดี๋ยวนี้มันเอือม เรื่องถ่ายรูปเรื่องอะไรนี่เมื่อก่อนมันชอบเป็นบ้าเป็นหลัง แต่เดี๋ยวนี้มันเอือม ไอ้สิ่งที่เราเคยชอบเคยทำอะไรมันก็เอือมไปหมด เรามันไม่บ้าเหมือนเมื่อก่อน มันผิดจังหวะ (เสียงคนพูด..ความเอือมแบบนี้มันนิพพิทา) ไม่ใช่ ไม่ใช่นิพพิทา ความเอือมด้วยระบบประสาทเสื่อม ไม่ใช่เกี่ยวกับสติปัญญาอะไรแหละมันเสื่อม ไอ้ของที่เคยชอบเล่นชอบอะไรมันก็ไม่ชอบหมด ของเล่นที่ว่าจะแปลก จะแพงจะอะไรที่เมื่อก่อนถ้าได้มาสักอันหนึ่งก็เล่นพอใจ
ทีนี้มันก็เริ่มลามปามมาถึงกับว่าไอ้สิ่งที่ทำได้ดีมีค่ามีประโยชน์มันก็ขี้เกียจ เอือม เช่นเมื่อจะแต่งกลอน สักบทนี่ เมื่อก่อนมันนึกสนุก มันก็ทำได้ ทำได้ ได้ ได้ เรื่อย ๆ ทีนี้ตอนหลังมันก็เอือม ทั้งที่รู้ว่าทำได้นี่เราทำทำได้แน่ แต่แล้วก็นั่งบิดอยู่นั่นแหละ ไม่ได้ทำ มันจะเอือม นี่มันก็จะกลายเป็นว่าแม้แต่ของที่มันดีมีประโยชน์มันก็ไม่ทำ นี่มันผิดจังหวะ
ทั้งที่เรามีสติปัญญา สมมติว่าจะแต่งหนังสือหนังหา หรือว่าจะเทศน์บางเรื่องจะบรรยายเรื่องบางเรื่องซึ่งจะทำได้ดีนั่นแหละมันก็ขี้เกียจ ทั้งที่รู้ว่าทำได้แล้วทำได้ดีแล้วยังขี้เกียจ ความขี้เกียจมันยังชนะได้ เมื่อสักยี่สิบปีมาแล้ว ไอ้ที่เราไม่ค่อยเก่ง ไม่ค่อยเก่งเท่าไรนะในทางสติปัญญา ตอนนั้นมันขยัน มันขยันทำ ทำ ทำ ทำ ตั้งแต่ไอ้เรื่องที่ทำได้มันไม่ค่อยดีเท่าไร พอมาถึงตอนที่เรื่องที่ทำได้ ทำได้ดี ไอ้ร่างกายยอมแพ้และขี้เกียจ เลยผิดจังหวะกัน
นี่เรียกว่าชีวิตนี่มันผิดจังหวะกันเสียแล้ว สำหรับผมโดยเฉพาะนั้นมันผิดจังหวะ พอถึงคราวที่จะทำอะไรได้ดี ดีทีเดียวแหละ แล้วมันไม่ไม่มีความคิดไม่มีไอ้ความกระตือรือร้นที่จะทำ ร่างกายบิดพริ้ว มันผัดได้เรื่อยจนต่อไปมันก็จะเสีย เสียชื่อ เสียประโยชน์เสียแหละ สำหรับควรจะทำอะไรให้เขาเร็ว ๆ นี้ ไม่ได้ทำ จนมันโกรธไปหลายคนแล้ว ตั้งให้ชื่อ ตั้งให้ตั้งชื่อลูกชื่อหลานอะไร มันโกรธไปหลายคน มันหาว่าจองหองบ้าง หรือว่าไม่เอื้อเฟื้อบ้าง ความจริงไม่ใช่แบบนั้น ร่างกายมันไม่ทำนี่ มันสมองมันไม่ทำทั้งที่มันทำได้นั่นแหละ
ในการที่ทำให้ได้ดีมันไม่ได้เสียแล้วแหละ เพราะร่างกายมันเปลี่ยนเป็นในรูปไม่ทำ ทำแก้ขัด เช่นเรื่องจะพูดวันเสาร์นี้มันก็ทำ อย่างดีเสียแต่ตอนกลางคืนของวันศุกร์ แล้วแล้วโดยมากจะตบตา เช่นว่า ตอนเช้าของวันเสาร์แล้วมันทำ ทำหัวข้อที่จะบรรยาย มันยิ่งกว่าทำวันทิ้งวันเสียอีก เมื่อคืนวันศุกร์ก็ยังไม่รู้จะพูดเรื่องอะไร ไม่รู้ว่าจะพูดเรื่องอะไรสักที ทีนี้รุ่งขึ้นวันเสาร์ช่วงเช้ามีอยู่นิดหนึ่งแหละ ทำว่าจะเรื่องนั้นเรื่องนี้ก็จะทำแหละ ทำหัวข้อ ทีนี้บางวันไอ้ช่วงเช้าของวันเสาร์มันมีแขกจำเป็นมาเสียอีกแล้วทีนี้ เอาใหญ่เลย เป็นเรื่องตบตากันอย่างขนาดหนัก
นั่นแหละมันจึงดีไม่ได้ มันจึงเอาดีไม่ได้ นี่มันคงกลับไม่ได้ และมันคงจะถึงขนาดที่มันจะต้องตาย มันก็ตายไปเท่านี้ โครงการที่คิด ๆ อะไรต่ออะไร มันก็จะต้องระงับไปโดยอัตโนมัติ เปิดสมุดที่เคยบันทึกไว้แต่ก่อนดู โอ้ เรามันหมดท่าแล้ว ไอ้ความทะเยอทะยานมันก็จะไม่มีเหลืออยู่แล้ว เราจะทำอะไรให้มันดีให้มันเด่นให้มันใหญ่โตมโหฬาร มันหมดแล้ว
ทีนี้คุณ พวกคุณที่ยังหนุ่ม ๆ น่ะรู้ไว้ ต้องรีบทำให้ลงจังหวะเสียดี ๆ มันคงเหมือนกันอีกแหละ ถ้ามัวโอ้เอ้ ๆ ๆ จะไม่ได้ทำเหมือนกัน รีบทำให้มันลงจังหวะ ให้มันถึง เพราะว่าไอ้ความอยากความต้องการความเข้มแข็งแข็งแรงก็ถึงที่สุด สติปัญญามันก็ถึงที่สุดในคราวเดียวกัน แล้วงานมันจะทำได้ดี
มหาดำรงเคยอ่านเรื่องปมเขื่องไหม (เรื่องอะไรครับ) เรื่องปมเขื่อง (ยังครับ ยัง) ไม่เคยอ่านเรื่องยาว เรื่องปมเขื่อง ไอ้ตอนนั้นนะมันกำลังแคล่วคล่องว่องไว มันจะเขียนเรื่องปมเขื่องให้ตลอดไป มันเขียนได้เท่านั้น มาสักหนึ่งใน สักหนึ่งในสี่ หนึ่งในห้าเท่านั้น ไอ้ถัดจากนั้นมันไม่ได้เขียน แล้วมันก็ว่าค่อยเขียน ค่อยเขียน จนบัดนี้ จนบัดนี้ไม่มีทางจะเขียนได้เลย มันสมองก็ดี หรืออะไรดี ไม่มีทางจะเขียน เรื่องยาว ๆ แบบนั้นแหละ เรื่องอนัตตา เรื่องอะไรต่ออะไร มันไม่จบทั้งเพ มันเหมือนกับได้จ้ำเข้าไปหนึ่งในสี่แล้วก็หยุด แล้วก็ช้า แล้วก็ตายด้าน แล้วยกเลิก ก็เสียดายเหมือนกัน
ไอ้เรื่องมหาภิเนษกรมณ์ เคยอ่านไหม (เคยอ่านครับ) มันเพิ่งเริ่มพิมพ์ขึ้นมาอีกใช่ไหม (ยังไม่เห็นทีครับ) เกียรติคุณของพระพุทธเจ้าตอนมหาภิเนษกรมณ์ นั่นมันคิดทำงานขนาดนั้น ถ้าแต่งพุทธประวัติในลักษณะนั้นจบเรื่องแล้วมันเป็นงานชิ้นใหญ่มโหฬาร แต่งแค่บทเดียวเรื่องออกบวชแล้วมัน (..เสียงหัวเราะ..) แล้วแต่ง คุณคุณสังเกตดูเถอะ คุณมานะเคยอ่านหรือเปล่า (เคยแต่เห็นหน้าปก) อ่านดูเถอะ เราเป็นนักประพันธ์เหมือนกันแหละ คุณอ่านดูเถอะ เรื่องนั้นสำนวนนักประพันธ์แหละ
มีอะไรคุณประจวบ (ไม่มีอะไรครับ) มันเห่าอะไร (เขาบอกว่ากิ่งมะม่วงหัก ก็เห่า แล้วก็ เดี๋ยวมันก็เห่า ได้ยินเขาพูดว่าเดี๋ยวเห่า แล้วเมื่อกี้ผมไปถามพระที่ไปเฝ้าเตา เขาบอกว่า เมื่อกิ่งมะม่วงหักมันจะเห่า ไม่มีอะไรครับ)
สำนวนชนิดนั้น มันเป็นสำนวนพิเศษไม่ใช่มันธรรมดา มันต้อง สมองมันกำลังเฟื่อง กำลังไหล กำลังเราคิดว่ามันผิดธรรมดาแหละมันถึงจะทำได้ คือ หมายมั่นปั้นมือว่าจะแต่งไอ้ตอนที่ พระพุทธเจ้าโต้กับอาฬารดาบสอย่างถึงพริกถึงขิง ผมเคยอ่านในของพุทธจริต คิดที่จะทำ แล้วก็มัน ก็ไม่ทำ แล้วคาราคาซังแล้วมัน เลยไม่ได้เป็นนักประพันธ์เอก ถ้าแต่งหนังสือพุทธประวัติในรูปนั้นตั้งแต่ต้นจนปลายจบเรื่องมัน มันก็ใหญ่โตมโหฬารแหละ ได้เป็นนักประพันธ์เอกกับเขาสักที
มันก็หมดท่าแล้ว ไม่อาจจะทำได้ ความอดทนความอะไรนี่ รู้สึกว่าวันมีนิดเดียว นอนนอนนอนนอนพักสักครู่หนึ่ง หมด หมดวันหนึ่งแล้ว มันไม่ทำงาน ๑๘ ชั่วโมงเหมือนเมื่อก่อน (เมื่อก่อนอาจารย์ท่านเขียนหนังสือได้ตลอดทั้งวัน) ไอ้เรานั้นมันทำงาน ๑๘ ชั่วโมง หรือว่ามัน กลางวันนี่มันทำทั้งวัน ทำนู้นทำนี่ทำนั่น ซึ่งส่วนมากมันก็นั่งขีดเขียนนั่นแหละ แล้วกลางคืนมันอยู่จนดึกจนดื่น ก็สนุกไป ก็ลำบากเหลือประมาณแหละ ตอนนั้นมันใช้เทียน ใช้ตะเกียง อย่างดีก็ตะเกียงหลอด ตะเกียงหลอด แต่แตกง่าย ตะเกียงหลอดตัวป้อม ๆ ตัวป้อม ๆ อะไรนี่ ไม่มีไฟฟ้าใช้
พอถึงคราวทุกอย่างพร้อมมูลอะไรก็ดี กระดาษก็ดี พิมพ์ดีดก็ดี ปากกาก็ดี ไฟฟ้าก็มี เปล่าเลย ไม่ได้ทำ ถ้ามันมันคลุบตรงกันตั้งแต่คราวนู้นมันคงทำมากกว่านี้มาก ถ้าเราเขียนเรื่องอนัตตาของพระพุทธเจ้า เรื่องปมเขื่อง แล้วเรื่องมหาภิเนษกรมณ์ อะไรจบตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ เป็นนักประพันธ์เอกแน่
นี่พยายามต้องทำให้ดีที่สุด ฝึกฝนให้ดีที่สุด เช่นเรื่องเทศน์ตรงนี้ พยายามทำให้ดีที่สุด แล้วทำให้มากเข้าไว้ ให้เชี่ยวชาญให้ชำนาญให้มันมีค่ามีอะไรเสียโดยเร็ว ให้จังหวะมันพอดี ให้สติปัญญามันมันสูงสุดเมื่ออายุสัก ๕๕ ปี หรือ ๖๐ ปีแบบนี้ดีแหละ พอหลังจากนั้นร่างกายมันจะสู้ไม่ได้แล้ว สติปัญญามันก็เริ่ม ขัดข้องด้วยเรื่องไอ้ความชรา ระบบเส้นเลือดในโลหิต เอ้ย เส้นเลือดในสมองอะไรมันจะยุ่ง
ผมบอกได้เลยว่า ให้รีบทำให้สูงสุดเสียเมื่ออายุ ๖๐ ปี มันต้องปรับปรุงก่อนหน้านั้นมาก เมื่อกำลังกายก็ยังเต็มที่ สติปัญญามันสมองก็มันเต็มที่ ไอ้เรื่องระบบจำระบบอะไรก็ยังดีอยู่มากในราว ๖๐ ปี อายุราว ๖๐ ปี ถ้าทำได้ดีก็ดี พอหลังจากนั้นแล้วมันก็ต้องคลานงุ่มง่ามแหละ มันดีอย่างที่เรียกว่างุ่มง่าม แล้วจะทำไม่ได้ก็ได้ เหมือนผมเวลานี้จะให้ค้นพระไตรปิฎก แบบที่ทำเรื่องพุทธประวัติจากพระโอษฐ์สมัยนู้นแหละ มันทำไม่ได้แล้ว ร่างกายทำไม่ได้ ระบบประสาทตาอะไรนี่ทำไม่ได้ ถึงจะมีสติปัญญามองเห็นก็ทำไม่ได้
การจะให้คนอื่นช่วยค้น มันก็ มันก็ได้แต่มันไม่ ไม่ ไม่ ไม่ มันไม่ดีเท่าที่เราทำเอง แล้วค้นเอง เมื่อคนมันไม่รู้เรื่อง มันไม่รู้ถึงขนาดว่าไอ้อันนี้มันใช้ได้ แบบนี้แหละ ก็มองข้ามหมด ไม่ได้เอา มันไม่ได้เอา ตกหล่น เหมือนกับวานให้ไปเก็บไม้หาไม้รวบรวมไม้ในป่าในอะไรนี่ คนที่มันรู้เรื่องมันจะเอามาได้ตรงดังความประสงค์ คนที่ไม่รู้เรื่อง ไอ้ไม้ที่ควรเอามันไม่เอา มันดูไม่ออกนี่ว่าจะมาใช้อะไรได้ นี่หมายถึงบ้านเรือนที่เราทำกันอย่างโบราณอย่างนี้ ไม้อันไหนจะทำอะไร ไม้อันไหนจะทำอะไร อะไร มัน มันไม่ได้เลย
ไอ้งานที่ยากกว่า ที่กำลังทำอยู่ เรื่องขุมทรัพย์ เรื่องปฏิจสมุปบาทอะไรนี่ก็ไม่เท่าไหร่ ไอ้ไอ้เรื่องกรรมฐานนะ ไอ้เรื่องกรรมฐานจากพระโอษฐ์นะ เอาแต่ที่เป็นพุทธภาษิตจากพระโอษฐ์ ที่เป็นเรื่องกรรมฐาน วิปัสสนาล้วนอะไรแบบนี้ ดีที่สุด น่าทำที่สุด แล้วมากด้วย เคยคิดเคยจ้อง เคยอะไร ก็ตอนนี้ทำไม่ได้แล้ว ให้ใช้คนอื่นค้น มันก็ค้นไม่ไม่ไม่ไม่ได้ ค้นมันไม่เอา ที่มัน ใช้ ที่ว่าไอ้นี้มันไม่รู้จัก แล้วมันก็ไม่เอาเหมือนกัน ทำได้ก็พยายามกันมาก มันพยายามกันมาก
ไอ้ของที่มันดีก็เลยไม่ได้ทำ แล้วมันยากที่จะอธิบายให้ความมันเชื่อมกัน เอามาชนให้มันเชื่อม มันยากมาก ใครอุตส่าห์เรียนบาลีให้รู้ ทำหนังสือกรรมฐานจากพระโอษฐ์ดูสิ สำหรับผมมันมันไม่ไหว ร่างกายมันไม่ไหว สติปัญญามันได้แต่ร่างกายมันไม่ ถึงคุณเพ็งจะอ่านพระไตรปิฏกแปลไทยทุกบรรทัด ถ้าคุณลองดู มันก็ยากแหละ มันก็ยากที่ว่า ที่จะดึงมันออกมาหรือว่า เลือกให้ได้ใจความถูกต้องสมบูรณ์ด้วยก็ยิ่งยาก เพราะว่าคำแปลบางทีมันฟังไม่ถูก ถ้ายิ่งที่เกี่ยวกับเรื่องแบบนี้แล้วยิ่งฟังไม่ถูก ที่เขาแปลไทยมันฟังไม่ค่อยจะถูก มันต้องค้นกับที่แปลไทยนั่นแหละ มันง่ายดีมันสะดวกดี พอได้มาแล้วต้องเอาไปสอบกับบาลีแปลใหม่ แปลใหม่แล้วก็ชนกันให้เป็นเรื่องเป็นราวสมบูรณ์
ถ้าคุณไปเห็นไอ้ที่นอนของคนแก่ ๆ เต็มไปด้วยขี้ฝุ่นขี้ไต้ขยะมูลฝอยหรือขี้ไคลอะไร อย่าไปนินทากันเลย อย่าไปนินทาด่าว่าอะไรเลย มันแบบนั้นเองแหละ มันแบบนั้นเอง ผมเมื่อเมื่อเด็ก ๆ ผมเกลียดที่สุดแหละ เห็นไอ้ที่นอนของพระแก่ ๆ แหละ ขี้ดิน ขี้ไต้ ขี้ขยะอะไร ขี้ไคลอะไร จะมองแกไม่ดี เวลานี้ไม่ว่าแล้ว เพราะมันได้แก่ตัวเองแล้วนี้ บอกให้รู้ไว้ (..เสียงพูด..ที่วัดพระธาตุ..) ใคร อ๋อ ท่านยังเหรอ แน่นอน แน่นอน บนที่นอนมันจะเต็มไปด้วยขี้ฝุ่นหรือทรายหรืออะไรทั้งนั้น สัมผัสมันก็เลวลง ที่รู้สึกว่าไม่สะอาดอะไรมันก็ไม่ค่อยจะรู้สึก ทรายเทรยอะไรมันก็ไม่ค่อยจะรู้สึก นอนได้
นี่เรื่องความจริงของสังขารของมนุษย์ ของธรรมชาติ ซึ่งไม่ค่อยจะมีใครศึกษาหรือสังเกตสังกาอะไรไม่ จะปล่อยตามเรื่องมัน แล้วแต่มัน น่าหัวเราะ ขี้เกียจแม้จะล้างหน้า ไม่ต้องล้างหน้ากันเลยก็ได้ จะอาบน้ำจะล้างหน้าอะไร มันไม่จำเป็น มันก็ไม่ไม่ทำก็ได้ ฉันอาหารมันก็รู้สึกขี้เกียจเหมือนกัน ขี้เกียจเคี้ยว ขี้เกียจยุ่งยากลำบาก เลยเป็นคนแก่ ๆ ต้องกินอาหารที่เปรี้ยว ๆ อะไร นั่นที่สุดเลย แน่นอนที่สุดเลย แล้วจริงที่สุดเลย
ไอ้ที่มัน ๆ นั่นแหละมัน มันนั่นไปเอง มันสั่นหัวไปเอง เคยที่มัน ๆ กินเข้าไปแล้วร่างกายมันมันย่อยไม่ได้ มันทำลายไม่ได้ ไอ้ระบบที่เขาเรียกว่า Metabolism น่ะ มันเสียหมด ทีนี้พอเห็นน้ำมันถึงมันเอียนแหละ ถ้าได้เห็นยำมะม่วง น้ำน้ำสะตอดอง น้ำกระเทียมดอง อะไร มันอยากกิน แกงที่มัน เห็นอะไรที่หมูที่มัน มีแต่มัน มันก็เลย ของหวานที่มันที่มันที่มัน ๆ มาก ๆ น่ะมันสั่นหัว น้ำตาลนี้มัน มันเอง ฉันเข้าไปแล้วไม่สบาย ร่างกายมันวิเศษเสียจนมันรู้ มันรู้ว่าไอ้นี่อันตราย มันรู้ทีเดียว มันขยะแขยงทีเดียว เมื่อหนุ่ม ๆ นี่กินน้ำตาลครึ่งกิโลหมดนะ เมื่อแรกบวชตอนหนุ่ม ๆ ที่เป็นพระ หิว ๆ นี่กินน้ำตาลตั้งครึ่งกิโลหมด เดี๋ยวนี้กินสักช้อนสองช้อน มันก็รู้สึกว่าไม่ได้แล้ว รู้สึกที่จะไม่สบายขึ้นมาทันที
ถ้าเขาพยายามช่วยลอกเทปออกมาให้หมด ไอ้หนังสือชุดธรรมโฆษณ์นี้ได้สักห้าสิบหกสิบเล่ม ผมเกิดมาทีทำได้เท่านี้จะพอแล้วเหมือนกัน เวลานี้ถึงเล่มเท่าไรแล้วคุณมานะ (ราว ๆ ยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปดแล้ว) ยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปดได้ราวครึ่งหนึ่งแล้ว ช่วย ๆ ถอดออกมาให้หมด ให้ได้สักห้าสิบหรือหกสิบเล่ม แต่ขอให้รู้เลยว่านั่นมันยังไม่ได้สักหนึ่งในสี่ของที่สติปัญญามันจะสามารถทำได้ ถ้าสมมติว่าออกมาได้ห้าสิบเล่มจริงนะ ขอให้รู้ว่ามันยังไม่ถึงหนึ่งในสี่ของสมรรถภาพหรือสติปัญญาที่มันอาจจะทำได้ แต่เราไม่ได้ทำ เราไม่ได้ใช้ เราเหลวไหลเสียบ้างหรือมันพลาดโอกาสบ้างอะไรบ้าง
มีใครเอาไปเขียนยกยออยู่ในหนังสือมหิดล ไอ้หนังสือชุดธรรมโฆษณ์นี้จะเป็นหนังสือสำหรับเป็นแบบสำหรับค้นที่ดีที่สุดในอนาคต สำหรับค้นไม่ใช่สำหรับอ่าน มีไว้ครบ ๆ ไว้สำหรับค้นเรื่องนั้นเรื่องนี้เรื่องนู้น เช่นเรื่องบวชคืออะไรนี่ คุณสังเกตเห็นว่าผมพูดมากี่ครั้งแล้วเรื่องการบวชการอะไร บวชคืออะไร หรือการบวชทำไมอย่างไรนี่ พูดมากี่ครั้งกี่สิบครั้งแล้ว ถ้ามันพิมพ์หมด พิมพ์ออกมาหมด มันก็พอ เรื่องการบวชนี้ไม่มีใครต้องคิดหรือต้องพูดมาอีกแล้ว เราพูดไว้จนหมดแล้ว ถึงเรื่องนิพพานก็พูดไว้เกือบจะทุกแง่ทุกมุม เกือบจะไม่ต้องพูดกันอีกเลย
สั่งเอาไว้ ถ้าผมตายแล้วอย่าไปแก้ข้อความเป็นอันขาด ถ้าไม่เห็นด้วย ขอให้เขียนเชิงอรรถ ถอดออกมาจากเทปได้ความอย่างไรจะพิมพ์ หรือพิมพ์ไปแล้วก็ตามใจ ถ้าใครคนชั้นหลังเกิดไม่เห็นด้วยแล้วขอร้องว่าอย่าแก้ อย่าแก้ข้อความตัวอักษรเหล่านั้น ขอให้เขียนเป็น Footnote อยู่ข้างใต้ว่าตรงนี้ไม่เห็นด้วยแบบนั้นแบบนี้ ถ้าแก้จะเลอะ จะเลอะใหญ่ จะเลอะเทอะหมด (..เสียงพูด..) เพราะมันยังมีอีกมากนี่ ที่ไม่ได้พิมพ์ออกมา หรือว่าที่พิมพ์อยู่แล้ว ถ้าเกิดพิมพ์ซ้ำไปแก้มันก็ เลอะเทอะหมด เราตายแล้วไม่รู้ใครจะช่วยควบคุม มันอาจจะมีคนแก้ ขอร้องว่าอย่าแก้ ถ้าไม่เห็นด้วยขอให้เขียนเป็น Footnote ประกอบไว้ข้าง ๆ ข้างท้ายข้างอะไร ว่าผิดก็ได้ อันนี้ผิดต้องเป็นอย่างนั้น ก็ได้เหมือนกัน แต่อย่าไปแก้ไอ้ข้อความที่เราได้พูดไว้แล้ว ถ้ามันมีความคิดคนละอย่างมันจะตรงกันไม่ได้ ถึงถ้าแปลก็เหมือนกัน เราแปลไม่เหมือนใครอยู่มากแหละ เรื่องแปล แปลบาลี ไม่เหมือนใคร
(...เสียงพูด..คำพูด คล้าย ๆ กับพระไตรปิฎกชุดใหญ่...) มันคนละแบบ พระไตรปิฎก คือมัน มัน ขอบเขตมันกว้างกว่าพระไตรปิฎก มันเป็นเรื่องของธรรมชาติ ที่ไม่มีในพระไตรปิฎก คือเรื่องของโลกปัจจุบันสมัยใหม่ ปัญหาทางการเมืองอะไรที่มันไม่เกี่ยวกับพระไตรปิฎกก็มี เรื่องธรรมะกับการเมือง กำลังพิมพ์อยู่เวลานี่ อาจจะเป็นเรื่องที่สะดุดใจสะดุดตาคนปัจจุบัน เราพูดไม่เหมือนใคร คนที่จัดโลกให้มีความสงบสุขเรียกนักการเมืองหมด รวมถึงพระพุทธเจ้าพระเป็นเจ้าอะไรได้ทั้งนั้น
เรื่องฟลุคเกือบทั้งนั้นคุณมองเห็นไม่มองเห็น แม้แต่การที่เกิดสวนโมกข์ขึ้น เมื่อเรามานั่งคุยกันตรงนี้วันนี้มันก็เป็นเรื่องฟลุค มันเป็นเรื่องที่ไม่ ไม่ ไม่น่าจะมีหรือมันไม่ควรจะมีหรือมันไม่อาจจะมี กระทั่งว่าเรื่องผมมีชีวิตเกิดขึ้นมาเป็นบุคคลในโลกคนหนึ่งก็จะเป็นเรื่องฟลุคเหมือนกัน ถ้ามันไม่มีสิ่งเหล่านี้มันไม่มี นี่คุณคิดดู แล้วถ้ามันไม่มีฟลุคอะไรแรง ๆ ถึงผมเกิดมาแล้วก็ สวนโมกข์มันไม่มีก็ได้นะ เมื่อการที่มันมีสวนโมกข์ขึ้นเมื่อปีเปลี่ยนการปกครองมันเป็นเรื่องฟลุคนะ เป็นเรื่องที่ไม่มีใครเจตนา เป็นเรื่องที่ว่าไปเรียนหนังสือบางกอกแล้วไม่ชอบขึ้นมา ทำบ้า ๆ บอ ๆ นี่มันเป็นเรื่องฟลุค แต่มันฟลุคเรื่อยมาแหละ คุณไม่รู้เรื่อง ผมรู้ ทุกอย่างมันฟลุคเรื่อย ไอ้การที่มีคนมาช่วยเหลือเกื้อหนุน อาสา ช่วยทำช่วยอะไร มันฟลุคทั้งนั้นเลย
(...เสียงพูด..ตอนพระยาลัดพลีมาตอนนั้นคนคงจะไม่เห็นชัด...... ) อ้อ สมัยนู้นเดินทั้งนั้นแหละ เราไปคิดดู พระยาลัดพลีธรรมประคัลภ์ จดหมายก็ยังอยู่ จะให้ทำอย่างไรให้ให้ ให้ออกจากราชการมาช่วยงานของสวนโมกข์นี้ก็เอา ตอนนั้นแกพึ่งการเรียนใหม่ ๆ เลย หรือเป็นอธิบดีศาลอุทธรณ์ แต่แกช่วยทุกอย่างที่แกจะช่วยได้จนเราอาย นั่นมัน นั่นแหละ คือมันเรื่องฟลุค
ในทางวัตถุมันก็ฟลุค ในทางวิชาความรู้มันก็ฟลุค ทางสังคมมันก็ฟลุค ในทางการเงินมันก็ฟลุค มันบ้าอะไรกันก็ไม่รู้ มันเป็นเรื่องฟลุค ถ้าจะทำถังน้ำสักลูก คุณทองดีว่า ผมออกสองแสนนะ ผมออกคนเดียวสองแสนบาทนั่น เรือลำนั้นน่ะ นี่มันเรื่องแบบนี้มันไม่เคยฝันไม่เคยนึก มันเป็นเรื่องฟลุค หรือทำโรงหนังบ้า ๆ บอ ๆ นี้ มันควรจะทำได้ที่ไหนล่ะ มันก็มีคนมาช่วยทำกันจนได้
หนังสือธรรมโฆษณ์ ต้องลงทุนเล่มหนึ่งตั้งสี่สี่หมื่นห้าหมื่นได้มั้ง มันก็ยังมีคนให้เงินจนจนเราทำไม่ไหวเลย จนทำต้นฉบับไม่ทันนั่นแหละ นั่นก็ฟลุคนิ เขาเรี่ยไรเงินกันซะอานพิมพ์พระไตรปิฎกตั้งสองสามล้าน มันก็ยังเรี่ยไรกันเกือบเป็นเกือบตาย ไอ้เราไม่เคยเรี่ยไรสักคำเดียวเลยมันก็มีคนช่วย ทำกันไปจนได้นั่นแหละ เรื่องหนึ่งห้าหมื่นบาท สิบเรื่องห้าแสน ยี่สิบเรื่องหนึ่งล้าน ยี่สิบห้าเรื่องมันก็ล้านห้าแสนเลย หรือล้านกว่า ไอ้หนังสือพิมพ์ธรรมโฆษณ์ เอ้ย หนังสือชุดธรรมโฆษณ์ มันลงทุนไปตั้งล้านกว่าได้ ไม่รู้เงินมันมาจากไหน อย่างไร ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่เดี๋ยวนี้มันยังเหลือแต่คนทำต้นฉบับ เรื่องการเงินนั้นไม่มีขัดข้องเลย ถ้าไม่เรียกว่าฟลุค อย่างไร คุณคิดดู
(..เสียงคนพูด..บารมี..) นี่เพิ่งว่าทีหลัง ผมก็แบบนี้ ดีเด่อะไร ไม่ใช่ว่าเก่งกว่าอะไร มัน มันอด มันทำมาด้วยความอดทน ความยากลำบากแหละ ถ้าพยายามทำจริง แล้วมันก็เป็นขึ้นมาเองแหละ มันจะเป็นแหละที่เรียกว่าปาฏิหาริย์หรือบารมี หรืออะไรก็ตาม มันจะเกิดขึ้นมาเอง ตามใจใครแหละ ขอให้พยายามทำให้มันจริง แล้วมันจะเกิดขึ้นมาเอง ผมนั้นไม่ใช่เป็นคนพอมีสติปัญญาพิเศษอะไรไม่ใช่ มันก็ มันก็ธรรมดา ธรรมดาแหละ
ถ้าอยากจะรู้ก็ไปดูเอาไปหาดูค้นดูเอาเรื่องไอ้ เมื่อเป็นเด็กนักเรียนนะมันสอบไล่ได้ที่หนึ่งกับเขาหรือเปล่า ก็เปล่า สมุดรายงานประจำตัวมันก็ไม่มีอะไรดีเด่เลย เท่าที่จำได้โดยความจำของตัวเองก็รู้สึกว่า เมื่อเรา เราเมื่อเป็นเด็ก ๆ ก็เป็นเด็ก ธรรมดา ๆ ไม่ใช่วิเศษฉลาดเฉลียวอะไร มันเปล่า ในที่สุดมันก็ฟลุค โดยที่ว่าทำอะไรบ้า เอาจริงเอาจังนี่ ก็ถ้าจะว่าฟลุค ก็ฟลุคในทางอะไรในทางเลือดเนินนังมีอุปนิสัยใจคอ และมันก็อาจจะมีบ้าง มันก็ต้องเรียกว่าฟลุคแบบนั้น ฟลุค เกือบจะฟลุค
ที่สำคัญ ที่ผมรู้สึกว่าสำคัญ คือฟลุคโดยนิสัย จะทำอะไรให้ดีกว่าใครหรือไม่เหมือนใคร คุณมานะมีไม่มี (ไม่ค่อยมี) คุณไม่ค่อยมี คุณมันไม่ฟลุค แบบนั้นแหละท่า แต่ผมมันฟลุคก็ได้ คือว่ารู้สึกว่าตัวเองมันมีนิสัยแบบนั้น ไม่ทำอะไรซ้ำใครถ้าใครทำแล้วไม่อยากทำ การที่ไม่ทำอะไรให้เหมือนใครมันเป็นเหตุให้ให้ต้องคิด ให้ต้องคิดมากกว่าธรรมดา แต่ความรู้สึกที่จะทำอะไรให้ดีกว่าใครนี้ คุณรู้ว่ามันเนื่องถึงอะไรบ้าง ถ้าจะทำให้อะไรดีกว่าใครน่ะมันมัน มันเนื่องไปถึงอะไรอีก มันก็ไปด้วยกันแหละ ที่ไม่ซ้ำใคร ให้ดีกว่าใคร นี่มันตัอง มันไปด้วยกัน ถ้ามันดีกว่าใครมันก็ต้องไม่ซ้ำใครแหละ เช่นถ้าไม่ซ้ำใครนั่นแหละมันจะมีแต่ว่าเลวกว่าใครหรือว่าดีกว่าใคร มันก็ไปในทางที่ว่าดีกว่าใครแหละ เพราะว่าเลวกว่าใครมันคงไม่ชอบแหละ นิสัยมันไม่ชอบ
ถ้าว่าไอ้มันทำอะไรมันจะทำชนิดที่มัน ที่มันละเอียดอ่อน ไอ้ทำหยาบ ๆ ชุ่ย ๆ แล้วปัดความรับผิดชอบแบบนี้มันไม่มี มันมีความรู้สึก ว่าทำอะไรมันต้องทำให้ให้ละเอียดอ่อน นะ มัน มันต้อง มันต้องระวังมากแหละ แล้วความ ความเป็นศิลปินนี่มันมีมาก ผมสังเกตเห็นคุณมานะไม่ค่อยจะมีเลย กระด้าง คุณทำอะไรหยาบ ๆ กระด้งกระด้าง แม้แต่ทำอะไรนิดหน่อยนี่มันก็ทำแบบกระด้าง ๆ ถ้าว่ามันมีวิญญานศิลปินแล้วมันก็จะ มันก็จะทำละเอียด แม้แต่หยิบถ้วยแก้วมาวางแบบนี้ มันก็จะสังเกตเห็นได้ว่าไอ้คนนี้มันมีวิญญานศิลปิน หรือว่าคนนี้มันกระด้าง
ไอ้เรื่องความสวยงามความละเอียดอ่อนนั้น ดูมีคนมองข้ามกันหมด และคนนั้นจะต้องโง่เสมอ ถ้าคนไหนดูถูกไอ้ความละเอียดอ่อนความงดงามความประณีต ความเป็นศิลปินนะ คนนั้นจะโง่เสมอ แล้วจะกระด้างด้วย นี่เราอ่านเรื่องของพระพุทธเจ้า ประวัติของพระพุทธเจ้า มีการศึกษาอย่างไรเมื่อยังเป็นเด็กยังเป็นหนุ่ม ๆ อยู่นะ อ่านจากหนังสือพุทธประวัติ ตั้งแต่ แต่ชั้นดีทั้งนั้น จะพบมาก ค่อยกลายเป็นนักคำนวณ และเป็นไอ้วิญญานศิลปินมาก วิชาที่ให้เรียนนะ มันเป็นวิชาศิลปินมาก ความละเอียดอ่อนในเรื่องของความคิดนึกของความสวยงามความไพเราะอะไรแบบนี้ ยิ่งถ้าอ่านหนังสือไอ้ที่มันเขียนชั้นหลัง แล้วได้ยิ่งได้ยิ่งไปกันใหญ่แหละ เต้นรำเก่ง ร้องเพลงเก่ง อยู่ที่พระพุทธเจ้าทั้งนั้น
ผมก็เหมือนกันไม่ใช่ไม่ใช่จะอวดนะ ถ้าไม่ได้บวชมันคงไปอยู่ในพวกนั้นเหมือนกัน ถ้ามันไม่ได้บวชมันคงไปอยู่ในพวก ร้องเพลง พวกไอ้เต้นรำ หรือศิล อย่างอย่างนั้นก็ไปศิลปินไอ้ขีดเขียนอะไรไปทางนู้น เพราะมันมันเป็นนิสัย มันชอบ ผมเมื่อเมื่อเด็ก ๆ ร้องเพลงได้เหมือนกับคนที่เขาเป็นนักร้องเพลง ว่าร้องเพลงได้แหละ ต้องเรียกว่าอย่างนั้น ข้างนายธรรมทาสนั้น ไม่เป็นเลย แม้แต่หนึ่งเปอร์เซ็นต์ก็ไม่เป็นเลย นายธรรมทาสนั้นร้องเพลงไม่เป็นเลย ยิ่งเพลงไทยก็จะยิ่งไม่ได้เลย มันเรียกกันว่าไกลกันคนละฟ้ากับดินแหละ ผมกับนายธรรมทาสในแง่ของศิลปิน ในแง่ของการร้องเพลงการไพไพเราะ ไปทางนู้น
ไอ้เรามัน มันชอบเหมือนกับบ้า ไอ้นู่นมันเห็นไม่มีค่าเลย มันเฉย เลยมันชักจะดูถูก มันไม่มีประโยชน์ ก็ญาติแก่ ๆ ที่เป็นผู้เฒ่านั้นเขา เขาจัดผม ว่ามันต้องไปเป็นเจ้าชู้ ไปเป็นอะไรบ้า ๆ บอ ๆ แหละ แล้วคือนายธรรมทาสนั้นต้องเป็นสมภาร มีคนเรียกสมภารมาตั้งแต่เล็กแต่เด็ก ๆ นู่นแหละ จนบัดนี้คนที่นั่นมันก็ยังเรียกสมภารอยู่นั่นแหละ เหมือนลุงเที่ยงอะไรนี่ก็เรียกสมภาร เรียกนายธรรมทาสว่าสมภาร เคยเชื่อว่าต้องบวชแล้วเป็นสมภาร นี่มันกลับ น่าหัวเราะนะ มันกลายเป็นเรื่องที่น่าหัวเราะ ไอ้เราที่เขาว่าเป็นอะไรก็ไม่รู้เหมือนกัน มันกลายเป็นสมภาร กลาย บวชเป็นสมภารไปได้
ผมยังชอบเขียนรูป ยังเขียนรูปตัวเอง ยังเขียนรูปวิว รูปอะไรเมื่อก่อนบวชนี่มาก มันชอบ ร้องเพลงไทยได้หลายสิบเพลง ยังสอนให้เพื่อนพระนั้นร้องอีก ความอ่อนไหวของระบบประสาทมันมี อันนี้มันช่วยให้เรามองอะไรละเอียดและลึกซึ้ง จะมองข้อธรรมะก็ดี มองอะไรก็ดี การตีความ การสันนิษฐานอันนี้มันละเอียดและลึกซึ้ง และมันต้องเป็นไปในทางที่งดงามด้วย แล้วอาจจะแสดงธรรมให้มีความไพเราะเบื้องต้น ท่ามกลาง เบื้องปลายได้ ถ้ามันมีวิญญานศิลปินติดมาแต่สันดาน ถ้าไม่มีวิญญานศิลปินมันก็เป็นกรรมกรนะ
ไอ้สิ่งที่เรียกว่าความอ่อนไหวทางศิลปะนั้น บทดีก็ดีบทเลวมันก็เลว เป็นที่ตั้งแห่งกิเลสมาก ถ้าลงน้อมไปฝ่ายกิเลสแล้วดึงมายาก ใคร ๆ ก็รู้จักระวัง รู้จักระวัง เช่นเดียวกับความฉลาดเฉลียวทั่วไปนั่นแหละ เมื่อมันไปถูกทางก็วิเศษ ถ้าผิดทางมันก็ร้ายเหลือประมาณ ไอ้ความฉลาดน่ะ ความอ่อนไหวของจิตใจก็เหมือนกัน ถ้ามันเป็นไปในทางถูกแล้วมันก็น่า มันก็งดงาม ถ้าเป็นไปทางผิดมันก็สกปรกถึงที่สุดได้เหมือนกัน เช่นการที่จะเป็นพระอรหันต์หรือไปเป็นโจรน่ะมันมีอะไรคล้าย ๆ กันอยู่บางอย่าง
ถ้าหัด ให้มันละเอียดลออ สำรวมให้ดี ๆ ให้มันลึกซึ้ง ให้มันละเอียดลออ พอจะมีหวังอยู่มาก ถ้าปล่อยไปหยาบ ๆ ตามสะดวก ๆ นะมันก็ มีหวังน้อยแหละที่จะเข้าถึงธรรมะให้มันลึกซึ้ง ธรรมะถ้ามันมีความลึกซึ้ง เราเห็นด้วยกับไอ้ระเบียบบางอย่างที่เขามีหลักเกณฑ์ ให้เด็ก ๆ ได้รับการอบรมทางศิลปะก่อนการเรียนหนังสือ พวกฝรั่งบางพวกจะนิยมแบบนั้น อย่างน้อยก็ในประวัติศาสตร์ที่มันมีมามักเคยมีมาแล้ว
ผมเชื่อว่าพระพุทธเจ้าเองก็เหมือนกันจะต้องได้รับการอบรมในแง่ของ ศิลป์น่ะ ของศิลปะ ของ Art นี่ ก่อนการเรียนหนังสือ ตัวหนังสือเขาไม่ได้เรียนกันเท่าไหร่ แต่นี้เขารบเลย เป็นเรียนเป็นเพื่อเป็นนักรบไปเลย หนังสือมันเรียนน้อยมาก แต่ที่มันต้องใช้ศิลป์นะมันมีมาก ถึงเรื่องการที่จะเป็นนักรบมันก็ต้องมีศิลป์มาก เรื่องอาวุธก็ดี เรื่องอะไรก็ดี เรื่อง การพูดการจาอะไรก็ดี วิชาความรู้ ๑๘ ประการ พระพุทธเจ้าได้เล่าเรียน ที่เขาเขียนไว้ในหนังสือลลิตวิสตระก็มี หนังสือพุทธประวัติอย่างธิเบตก็มี พุทธจริตก็ดูเหมือนมี คุณไปพิจารณาดู มันมันมีอยู่ ๑๘ ประการนั่นแหละ มันล้วนแล้วแต่จะสร้างความเป็นพระพุทธเจ้าทั้งนั้นเลย ไอ้คนอื่นเขาก็เรียนนะไม่ไม่ไม่ใช่ว่าแต่พระพุทธเจ้า มันเป็นหลักทั่วไป ผู้ไปมีการศึกษาสูงสุดมันต้องเรียน ๑๘ ประการนี้แหละ ดูเหมือนในหนังสือพุทธประวัติของ Sir Edwin Arnold ก็เอามาพูดถึงเหมือนกัน ถ้าผมจำไม่ผิดนะ คนเขาเล่าคลับคล้ายคลับคลาไว้
ไอ้เรามันไม่ค่อย มันไม่ไม่ไม่ มันไม่มีโอกาสถึงขนาดนั้น บิดามารดาของเราเป็นคนธรรมดา จะเอาไอ้ทุนรอนไหนมา ช่วยให้ลูกมันได้เรียนไอ้ ๑๘ ประการนั้น มันต้องมีครูมีอะไร ดี แพง เก่งนี่ ขึ้นมาแวดล้อมเด็ก ๆ คนหนึ่งภายในเวลาอันสั้น ให้มันเก่งถึงเท่านั้น ถ้าใครมันบังเอิญเป็นได้ หรือว่าเป็นไปในทางที่มีผลอย่างเดียวกัน ต้องเรียกว่าฟลุคอย่างยิ่ง ซึ่งเราไม่ได้เรียนอย่างที่เขาเรียกว่า มาตร มาตรฐานหรือแบบฉบับ หรือเทคนิคอะไรนั่น แต่มันไปมีความรู้ความสามารถเท่ากันนั่นแหละต้องเรียกว่ามันฟลุคอย่างยิ่ง
ถ้าเผอิญมันได้เกิด ถือหลักถูกต้อง ให้มันถูกต้องที่สุด หรือว่ามันเลิศที่สุดสักแถวสองสามอย่าง มันก็ไปได้ เช่นเด็ก ๆ ของเราวันนี้ เราอบรมให้มันถือหลักที่ว่า ทำอะไรต้องให้ดีกว่าเพื่อนแหละ หรือว่าไม่ให้ซ้ำใครแหละ แต่ว่าไม่ใช่ให้ไปอวดดี ไปยกตัวข่มท่านอะไรนั่น หรือว่านั่น มันต้องห้ามขาดนะ แต่ให้มันถือหลักว่าทำอะไร ต้องให้มันแปลกเพื่อน ให้มันดีกว่าเพื่อน ถ้าว่าดีกว่าเพื่อนมัน ตรงนี้ก็ว่าอย่าให้มันซ้ำใครก็ได้ ไอ้ดีกว่าเพื่อนนี่มันขี้ชะมด ใครก็ตาม ยกหูชูหาง แต่ถ้าเห็นใครทำแล้วก็สั่นหัวไม่อยากทำ แล้วก็ทำอะไรออกมาไม่ซ้ำใคร หลาย ๆ เรื่อง แล้วมันก็จะเป็นบุคคลพิเศษแหละ ไม่บ้าก็ดีที่สุด
ไอ้หนุ่ม ๆ ที่มัน...(..เสียงพูดขัด..มันขลาด พอแปลกเพื่อนมันขลาด..) อื้อ มัน มันต้อง มันต้องไม่นั่น มันต้องไม่ขลาด มันต้องแน่ใจตัวเอง พ่อแม่ ยอ สรรเสริญ ยกยอนี่แหละ เล็ก ๆ เด็กเล็ก ๆ ให้ถูกทางนั้นมีมี มีผลดีมาก หมายความว่าไอ้พ่อแม่นี้ถือหางเสือลูกให้ถูกทางนั่นแหละ ส่งเสริมกำลังใจ ให้มันไปในทางที่ พิเศษหรือเป็นอัจฉริยะให้จนได้ ถ้ามันมีอุปนิสัยอยู่บ้างมันไม่เลวเกินไป มันก็ต้อง มันต้องทำได้ ถึงคนที่มันไปทำชั่วทำเลว คนหนุ่มคนสาวบางคนก็ไปทำฉิบหายเกเรถึงที่สุด มันก็มีกำลังอันนี้เหมือนกัน แต่มันฮึดไปในทางผิด ต้องการมาก ต้องการรุนแรง ต้องการดีกว่าใคร ต้องการแปลกกว่าใครนี่ ในที่สุดมันก็ไปอยู่ในก้น ก้นบึ้งของความเลว มันต้องการจะแปลกไป ลองไปคุยให้คนหนุ่ม ๆ ที่มันเลวที่สุดมาแล้ว ลองดูว่า คุณไปคุยดู มันพบไอ้วิญญานที่ทำอะไรรุนแรง หรือว่ามันไม่อยากจะเหมือนใครซ้ำใครอยู่เหมือนกัน
ไอ้เพื่อนก็สำคัญ ไอ้เพื่อนที่มัน มาแต่เด็กเป็นเด็ก ๆ ด้วยกันนี่สำคัญมาก มันได้เพื่อนที่ไม่ทั้งไม่ดึงไปในทางทำชั่ว แล้วมันก็ดีมาก มันดึงไปในทางศิลปิน ปลูกต้นไม้ดอกไม้ที่สวย ๆ หัดร้องเพลงที่ยาก ๆ เพลงที่ร้องยาก ๆ หรือว่าหัดงานฝีมือที่มันยาก ๆ ที่ประณีตละเอียด หรือกีฬาที่มันทำให้ มันสมองว่องไว เรารู้สึกทีเดียวถ้าเราเล่นกีฬาเก่งแล้ว มันสมองจะว่องไว ถ้าไม่มันจะอืดอาด นี่ใครมันตีแบดมินตันเก่ง ตีให้เก่งนี่ มันสมองว่องไวทั้งนั้น หรือมันขับรถยนต์เก่ง มันสมองว่องไว เรื่องกระโดดโลดเต้น ไอ้การกีฬาให้ร่างกายคล่องแคล่ว ให้สมองคล่องแคล่วนี่ดีมาก
ถ้าเด็ก ๆ มันทำอะไรได้ดีที่สุด แล้วมันทำได้ดีทำได้เก่งทำได้เร็ว ควรจะยกย่อง แล้วมันจะทำแรงขึ้น แล้วมันจะแรงขึ้นขนาด แล้วมันเป็นอัจฉริยะได้ แต่ถ้ามันทำไม่ถึงขนาดแล้ว อย่าไปยกย่องนะ มันจะเลวลง ให้มันพิสูจน์ได้ว่ามันดีเถอะ ขอให้มันดีหรือเร็วก็ได้ ทำดีก็ได้ทำเร็วก็ได้ไม่เป็นไรหรอก ยกย่องให้ให้ให้ให้สมกับที่มันทำ เด็ก ๆ มันจะดีไปเอง
ร้องเพลงนั้นดีมาก ไอ้เด็ก ๆ ร้องเพลงได้ดีจะดีมาก จะมีความละเอียดอ่อนในจิตใจ แล้วก็จะ อะไรต่ออะไรมันสังเกตละเอียดลออมาก ถ้ามันร้องเพลงได้เหมือน ต้องมีความสังเกตร้อยเปอร์เซ็นต์ ทำเสียงเหมือนนะ มันจะมีความสังเกตร้อยเปอร์เซ็นต์ มันจึงทำให้เหมือนได้ ร้องเพลงนี่ก็ได้ หัดเทศน์มหาชาติก็ได้ ถ้าทำได้ดีทำได้เหมือนครูมันต้องเก่ง มีความสังเกตจนจับได้ว่ามันต้องทำเสียงแบบนั้น เหมือนปี๊ดนี่ มันมีความสังเกตดีมาก มันจึงทำเสียงเหมือน หรือทำเสียงพลิกแพลงได้ ไอ้ปี๊ดนี่ต่อไปสอนให้ร้อง เสียงสัตว์แล้วต้องทำได้ เป็นเอตทัคคะได้ก็ไม่แน่ ให้ร้องแมวร้องหมาร้องนกร้อง ขันไก่อะไรก็ตามใจ มันต้องทำได้ เพราะมันมีแววของการสังเกตและทำเสียงนั้นให้เหมือนได้ อย่าไปเข้าใจผิดโง่ ๆ ว่าถ้าร้องเพลงแล้วมันเจ้าชู้เป็นเจ้าชู้เป็นกามารมณ์ไปหมด มันไม่ใช่แบบนั้นเสมอไป
ตาหลวงมินเมื่อก่อนเมื่อผมอยู่สวนโมกข์ใหม่ ๆ แกไปอยู่ด้วยตลอด เกือบตลอดเวลา (เสียงสะดุด) อยู่วัดอุบล ทำเสียงสัตว์ได้นะ เหมือนไปทุกสัตว์ตามใจให้ร้องอะไร ใช้ให้ร้องอะไรร้องได้ เพราะเรียนจากสัตว์เลย ไม่ได้เรียนจากครู ให้แมว ทำเสียงแมวกัดกันนี่ ทำได้เหมือนแหละ แล้วไปร้องที่กรุงเทพฯ จนจนพระยาวจี เจ้าเมืองไชยานะจัดนายมินนี่ไปประกวด เขาเรียกคราวนั้น คือคราว งานอะไรงาน งานรัชดาภิเษกอะไรก็ไม่รู้ ราวรัชกาลที่ ๕ เจ้าเมืองไชยามีหน้าที่หาของแปลก ๆ ไปแสดงในงาน ตามใจอะไรแหละ มวยเมยอะไรก็เอาไปเถอะ ขนไป แล้วเอานายมินนี่ไปร้อง ไม่ ไม่ได้ที่หนึ่ง ไม่ชนะที่หนึ่ง เพราะไปแพ้ฝรั่ง เพราะร้องได้ได้ดีกว่า ไอ้นายมินนี่ร้องเหมือนที่สุดแหละ แต่มันขาดเสียงจานแตก ไอ้ฝรั่งมันร้องแมวกัดกันมันมีเสียงจานแตกด้วย นายมินแพ้เลย เพราะมันมี มีพิเศษ มันมี อย่าเอาทื่อ ๆ ให้เอาให้มันมีปฏิภาณนะมันมี
ถ้าแกยังอยู่ผมจะอัดเสียงนกเขาไว้ที ไม่รู้ว่าคนร้องหรือนกร้องน่ะ เราทำ คารมมัน มันน่าเสียดายคนแบบนี้ ชอบ ชอบล้อคน ไอ้น้าบ่าวอะไรของแก มันชอบนกเขาเหมือนกัน ทีนี้ไอ้ตามินนี่ก็มันไอ้ หนุ่ม ๆ นี้มัน ให้มัน มันไปแอบอยู่บนในพุ่มนี้ มันร้องเหมือนขันนกเขา อย่างดีเลยนะ แล้วถึงน้าบ่าวนี่สิ มันไปต่อ ไปต่อ กี่วัน กี่วัน มันไม่ลง นกมันไม่ออกมาเลย จนครั้งหลังจึงเห็นว่าไอ้มิน ด่าฉาวหมดเลย หลอกให้ไปต่อ ขันนกเขาได้เหมือนขนาดว่าคนไม่รู้ว่านกหรือคนร้อง
ถ้าเขียนรูปเก่ง ถ้าร้องเพลงเก่ง คนนั้นต้องมีความละเอียดลออในการสังเกต สังเกต การที่เขาให้เด็ก ๆ เขียนใบไม้ใบอะไรแล้วแต่จะเขียน เด็ก ป.๑ ป.๒ มันก็ต้องเขียนนะ เขียนรูปนั้น นั่นแหละดีที่สุดนั่นน่ะ ถ้าเด็กคนไหนทำได้ดี เด็กคนนั้นจะมีแววในทางที่ว่า มีสติปัญญาละเอียดอ่อนสังเกต เอาใบไม้ให้เป็นตัวอย่างให้มันเขียนไม่ต้องอธิบายเลยนะ ให้มันเขียนออกมาต่าง ๆ กัน เด็กโง่ ๆ มันก็เขียนไปอย่างโง่ ๆ เด็กฉลาดสังเกตเห็นมันก็เขียนมาละเอียดลออ มันมีเส้นนั้นเส้นนี้เส้นนู้น อะไร มันเขียนออกมาละเอียดลออ ต้องให้เด็กเขียนรูปบ้างร้องเพลงบ้างแล้วจะดี มันมีความสังเกตละเอียดลออ อะไรผิดนิดหนึ่ง ก็ทำได้ดีแหละ มันก็สังเกตเห็นได้ดีแหละ ไอ้นี่ต้องแบบนี้ นี่ต้องแบบนี้ ผิดพลาดกัน ต่างกันนิดเดียวมันก็สังเกตเห็น ไอ้คนโง่ ๆ ไม่สังเกตเห็น ดูเหมือนกันหมด
แม้แต่สวดมนต์สวดพรอะไร คุณอุตส่าห์ทำเสียงให้มันถูกต้อง ให้ไพเราะให้มันละเอียดอ่อนในทีแหละ แล้วจะฉลาดขึ้นเอง ถึงแม้แต่สวดปาฏิโมกข์ก็เหมือนกัน ขอให้มันถูกต้อง ละเอียดลออ ละเอียดอ่อน ฟังไพเราะ อย่าให้เหมือนเครื่องจักรเลย ถ้าจะทำวิปัสสนา อานาปานสติ มันต้องสังเกตได้เลยว่าไอ้การหายใจครั้งนี้มันผิดจากครั้งนู้นอย่างไร หรือมันผิดกันอย่างไร โอ้มันผิดกันอย่างไร คนที่ละเอียดลออจะได้เปรียบแบบนั้น
มันฉลาดด้วย มันละเอียดลออด้วย และมันจริงด้วย นั่นมันก็สำเร็จแหละคนเรา จริงอย่างเดียวไปไม่รอดแหละ ต้องฉลาด ฉลาดแต่ฉุนเฉียวผลุนผลันไม่ละเอียดลออมันก็ไปไม่รอดเหมือนกัน ขอให้มันละเอียดลออ มีความหมายของสติปัญญา และให้มันจริง คำว่าจริงนี่มันรวมความอดทนความพากเพียรความอะไรไว้เสร็จ มีคำว่าจริงคำเดียวพอ ถ้าคุณเป็นนักธรรม คุณก็สังเกตเห็นได้ ว่าในคำว่าจริงนะมันรวมอะไรไว้อีกมากมาก มากอย่าง แต่ถ้าโง่ มันก็เห็นว่าจริงก็ได้ ไม่รู้ อะไรก็ได้ จริง ความพากเพียร ความเข้มแข็ง ความบึกบึน ความอดทนอะไร มันรวมอยู่ในคำว่าจริง ไอ้คนนี้มันจริง ก็พอ
เวลานี้การศึกษามันวางหลักไปในทางทำประโยชน์ ทำกำไร ผลิตวัตถุ อะไรกันมากเกิน มันไม่ได้มุ่งหมายให้เด็กละเอียดอ่อนเป็นศิลปิน หรือเป็นเรื่องทางจิตทางวิญญาน จนมนุษย์มันยิ่งเลวมาก เลวมากเพราะไปหลงใหลในวัตถุ มันจะอร่อยทางวัตถุ (...เสียงพูด...) อะไร นั่นแหละมันพร้อมเป็นกามารมณ์ไปเสียหมด กามารมณ์ขึ้นสมองเสียตั้งแต่เด็ก ๆ อย่างดีก็เรื่องชาตินิยม ชาตินิยม สู้ตายอะไรแบบนั้น ความละเอียดอ่อน ความเมตตากรุณา ความอะไรมันไม่มี มันกรรมของโลก นี่น่ะเป็นกรรมของสัตว์ พูดกันไม่รู้เรื่อง เราก็ทำกันไปในเท่า ในขอบเขตที่เราจะทำได้ อบรมเด็ก อบรมลูกหลานอะไรบางคนที่มันพอจะอบรมไปได้
(..เสียงพูด เกี่ยวกับเรื่องยุคต่าง ๆ พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ยังไงบ้างครับ ยุคอุปนิษัท ยุคมิคสัญญี หรือยุคอะไรต่าง ๆ..) ไอ้เรื่องแบบนี้มีมากมายหลาย หลายนั่นแหละ หลาย ๆ เรื่อง หลายสิบเรื่อง ไม่ใช่พระพุทธเจ้าตรัส เป็นคำที่พูดกันไว้ก่อน พูดกันมาแต่ก่อน พระพุทธเจ้าก็ก็ต้องพูดต้องใช้ไปตามที่ประชาชนเขาใช้กันนี่แหละ เรื่องจะแบ่งนั้นแบบนี้ เป็นเรื่องมาตรา เป็นเรื่องวัด เป็นเรื่องคำพูด ผมพูดได้แต่ผมไม่กล้าพูด ให้มันเกิดพิกล เขา
อะไร เช่นจะพูดว่าเรื่องขันธ์ ๕ นี่ไม่ใช่เรื่องของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าไม่ได้ตั้งขึ้น และไม่ได้สอน เรื่องขันธุ์ ๕ นี่ เป็นเรื่องที่ประชาชนเขารู้อยู่ก่อนแล้วว่าขันธ์ ๕ นั้นมันคืออะไร ในหมู่นักศึกษา ถ้าพูดแบบนี้นายบุญมี ด่าตายเลย พวกอภิธรรมเขาจะถือว่าพระพุทธเจ้าเป็นผู้บัญญัติเป็นผู้สอนเรื่องขันธ์ ๕ แบบนั้น แบบนี้ อะไรนี้ แต่เราไม่เชื่อ เราถือว่าเป็นเรื่องที่ประชาชนที่เป็นชั้นนักศึกษาเขารู้กันอยู่ก่อนแล้ว ถ้าเรื่องที่พระพุทธเจ้าตรัสว่านี่รู้เอง ไม่เคยได้ฟังมาแต่ก่อนนั้น อาจมีได้บางเรื่อง เรื่องแบ่งนั้นแบ่งนี้ ยุคนู้นยุคนี้เหมือนกัน แบบเดียวกัน
คุณมานะ มองเห็นไม่มองเห็นว่า เหมือนเรื่องขันธ์ ๕ นี่เขาพูดกันอยู่ก่อนแล้ว (..ครับ คงจะมองเห็นตรงที่พูดกับปัญจวัคคีย์ครับ..) เออ นั่นแหละเขาบอกเลยว่าขันธ์ ๕ มัน อนัตตาแหละ ไม่ต้องบอกว่าขันธ์ ๕ คืออะไร คล้าย ๆ กับบอกว่าขันธ์ ๕ ที่แก ที่มึงรู้อยู่แล้วนั่นน่ะมันเป็นอนัตตา ไอ้รูป เวทนา อะไรที่มึงรู้อยู่แล้วน่ะมันเป็นอนัตตา ไม่ต้องพูดว่าขันธ์ ๕ รูปคืออะไร เวทนาคืออะไร แต่ถ้าพวกอภิธรรม ไม่ได้ ก็ต้องให้พระพุทธเจ้าว่าคนเดียว รู้คนเดียว เอามาสอนคนเดียว เราขี้เกียจไปทะเลาะมัน เรื่อง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เรื่องอะไรนี่ ก็ไม่เป็นเรื่องที่เขาสนใจ เขาพูดกันอยู่แล้ว กระทั่งว่าเรื่องธาตุทั้ง ๔ ธาตุทั้ง ๖ อะไรนี่ก็เป็นเรื่องที่ประชาชนสอนกันอยู่แล้วในหมู่นักศึกษา
(...แล้วที่เขาแยกทิฏฐิหกสิบสอง ก็คงยังมีอยู่...) อันนั้นคือสิ่งที่เขาทำกันอยู่จริงนะ พระพุทธเจ้าไปเป็นแต่เพียงไปประมวลเอามาพูดในที่เดียวกัน ไม่น่าแน่หรอกเรื่องนี้พูดกันอีกเดี๋ยวมันจะบาป ผมไม่ใช่ไม่ค่อยจะเชื่อหรอก พระพุทธเจ้าเป็นผู้รวบรวมพรหมชาลสูตรมากในรูปนี้ เป็นอาจารย์เก่ง ๆ ทีหลัง พระพุทธเจ้านิพพานแล้วก็ได้ มันไม่มีความจำ.......