แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
วันนี้จะได้พูดกันถึงหัวข้อปาฎิโมกข์ต่อจากครั้งที่แล้วมา ครั้งที่ได้หยุดไปเสียนาน มีความประสงค์จะให้จำกันได้ง่ายๆ จึงได้ผูกเป็นหัวข้อแบบคำกลอน เนื้อเรื่องเป็นใจความสำคัญของธรรมะ เลยเรียกว่าหัวข้อธรรมะปาฎิโมกข์ คู่กันกับวินัยปาติโมกข์ ข้อแรก ไม้อิงสามขา ศาสตราสามอัน โจรฉกรรจ์สามก๊ก ป่ารกสาม ดง เวียนวนสามวน ทุกข์ทนสามโลก เขาโคกสามเนิน ทางห้ามเดินสองแพร่ง มดแมลงห้าตัว อันนี้ก็พูดกันมาแล้ว ที่นี่ต่อไปถึงเรื่อง มารที่น่ากลัวห้าตน ท่านต้องสังเกตุดูให้เห็นว่ามันเป็นหัวข้อของธรรมะอย่างไร เรื่องของธรรมะทั้งหมดก็แบ่งเป็นหลักที่สำคัญๆ ก็จะได้อย่างที่เก็บขึ้นมาถ้าเข้าใจทั้งหมดนี้ ก็คือเข้าใจธรรมะ ทั้งหมดก็เอาไปเชื่อมโยงกันเอง ก็จะกลายเป็นเรื่องธรรมะที่สมบูรณ์แล้วก็ต้องการให้ใช้เป็นหลักสำหรับปฏิบัติด้วย หมายความว่าทั้งหมดนี้ต้องรู้ถึงขนาดที่เอาไปปฏิบัติได้ ที่นี่มาถึงหัวข้อมารน่ากลัวห้าตน จะรู้จักมารกันเป็นข้อแรก จะรู้จักฆ่ามาร หรือป้องกันไม่ให้เกิดมารได้อย่างไรเป็นข้อที่สอง เราพูดกันถึงข้อแรกเรียกมารทั้งห้าเสียก่อนเป็นคำโบราณๆ ยังไม่เคยพบจากพระพุทธภาษิตโดยตรง แต่มีในหนังสือต่างๆมากที่สุด แล้วท่านก็กล่าวไว้ดี แล้วก็รับเอามาศีกษา มารห้าตัวนี้เรียงลำดับไม่ค่อยเหมือนหนังสือบางเล่ม บางเล่มก็เรียงลำดับไปอย่าง นี่เราก็เรียงที่เราเห็นว่าดีที่สุด
ก็เริ่มด้วยกิเลสมาร ขันธมาร มัจจุมาร อภิสังขารมาร เทวปุตตมาร ข้อที่หนึ่งเรียกว่า กิเลสมาร นี้มันชัดอยู่แล้วคำว่ามารนั้น ตัวหนังสือแปลว่าผู้ฆ่าให้ตาย จะเป็นเรื่องปุคคลาธิษฐานมารฆ่าคนให้ตาย ถ้าเป็นเรื่องการศึกษาธรรมหรือธรรมาธิษฐานก็ฆ่าความดี ฆ่าความสำเร็จ แล้วก็ยังอยู่ในความหมายที่ว่าทำลายหรือทำให้ตายเหมือนกัน เดี๋ยวนี่ท่านระบุชัดลงไปว่ากิเลสมารเป็นมารก็คือกิเลสได้แก่ โลภะ โทสะ โมหะ โดยหลักใหญ่ โดยประธาน แตกลูกออกไปเท่าไรก็ได้ กิเลสแตกลูกได้มากแต่ใจความสรุปได้เป็นสามกลุ่ม กลุ่มแรกคือ กลุ่มโลภะ ราคะ คือจับไว้ ยึดไว้ ถือไว้ เอาเข้ามา ลากเข้ามา กลุ่มที่สอง โทสะ โกธะ ไม่ชอบ โกรธ ผลักออกไป ทำลายเสีย กลุ่มที่สาม โมหะ หลงไม่รู้ชัด มันก็ได้แต่สงสัย วิตกกังวล มีอาการเหมือนกับวนเวียนอยู่รอบๆ นี้คือหลักที่จะรู้จักกิเลส ที่เรียกว่า โลภะ โทสะ โมหะ หรือ ราคะ โทสะ โมหะ
ตัวที่หนึ่ง เอาเข้ามากอดรัดไว้ ตัวที่สอง ผลักออกไปหรือทำลายเสียให้ตาย ตัวที่สามมันไม่แน่มันสงสัยอยู่มันเวียนอยู่รอบๆ วัตถุที่เป็นที่ตั้งแห่งความหลงใหล ที่นี้เราไปดูกิเลสของเราเองมีสามรูปแบบนี้ทั้งนั้น ต้องรู้จักกิเลสโดยความเป็นกิเลส ที่รู้สึกอยู่ในจิตในใจไม่ใช่เป็นเรื่องในหนังสือ ที่นี่เราจะรู้จักกิเลสให้มันชัดลงไป ก็คอยสังเกตุดูทุกคราวที่มันเกิดอะไรขึ้น แต่ลักษณะของกิเลสนั่นมันมีมูลมาจากความยึดมั่น เป็นตัวเป็นตน ถ้ามันต้องการอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ เมื่อได้หรือยังไม่ได้ มันก็อยากได้หรือโลภพอมันไม่ได้อย่างที่มันต้องการจะได้มันก็โกรธ ที่นี่มันอยากได้แต่ไม่รู้จะเอาอย่างไร มันเป็นหลักให้อยากได้จิตใต้สำนึกมันก็วนเวียนอยู่ วนเวียนอยู่ นี่เราเรียกว่ากิเลส ตัวหนังสือแปลว่า สิ่งเศร้าหมอง เป็นภาษาธรรมดาๆ แปลว่าของสกปรก นี่เป็นเรื่องทางจิตใจ ก็เลยเป็นมารในทางจิตใจทำลายคุณความดีในใจ ทำลายความสงบสุข หรือทำลายความก้าวหน้ายิ่งๆ ขึ้นไป เป็นความหมายของคำที่เราเรียกกันว่าอุปสรรค ทำลายการก้าวหน้าต่อไป ทำลายความสงบสุขที่ควรจะได้รับ มันฆ่าสิ่งเหล่านั้นเสีย ที่เกี่ยวกับพระพุทธเจ้ามารผจญพระพุทธเจ้าทุกครั้งทุกตอนหมายถึง กิเลสมาร แต่ผู้ที่เขาถือหลักตรงๆ ตามตัวหนังสือมาแต่โบราณนั่น เขาถือว่าเป็นพญามาร ที่ลงมาจากสวรรค์ กามาวจรชั้นสูงสุดมาขัดขวางพระพุทธเจ้า ถ้าเป็นอย่างนี้มารที่มาขัดขวางพระพุทธเจ้าก็กลายเป็นเทวปุตตมารไป คือมารพวกที่ห้าสุดท้าย กิเลสมาร ขันธมาร มัจจุมาร อภิสังขารมาร เทวปุตตมาร ถ้าถือตามตัวหนังสือก็คือพญามารที่ลงมาจากสวรรค์ชั้นสูงสุด ตัวหนังสือก็เขียนอย่างนั่น แต่ในพระบาลีเองก็มีปรากฎในบางที่บางแห่ง แต่ตามความรู้สึกของผม ซึ่งเชื่อว่าเขาเคยรู้เคยคิดอย่างเดียวกันแหละ คือหมายถึง กิเลสมาร ทีนี่ทำไมจึงไปเกิดรูปร่างเป็นยักษ์เป็นมาร เป็นตัวเป็นลูกยักษ์ มันเกี่ยวกับว่าเมื่อต้องการจะเขียนรูปภาพของกิเลส เมื่อกิเลสรบกวนใจที่จะเขียนรูปภาพของกิเลสก็ไม่รู้จะเขียนอย่างไร เพราะศิลปินทั้งหลายก็เขียนเป็นรูปยักษ์รูปมารตามที่เห็นว่ามันจะเป็นที่เข้าใจแก่ผู้ดูว่ารูปยักษ์รูปมารเป็นอย่างนี้ ในหินสลักที่มีอายุเกินกว่าสองพันปีขึ้นไป ที่ตอนแรกๆ ก็ยังเขียนเป็นรูปยักษ์ รูปมาร ในตำแหน่งของกิเลสเป็นภาพแผ่นยาวจารึก ที่หินสลักที่สันจีเขียนรูปคนเป็นพญามาร เป็นเสนามาร รูปร่างหน้าตาต่างๆ แต่ยังเป็นรูปคนธรรมดาอยู่มากหน้าตาไม่ดุร้ายอะไร จนกว่าจะถึงสมัยถัดมา ที่สถูปอมราวดี ศิลปะของอันธระ วาดภาพรูปมารเป็นคนที่น่ากลัว เป็นยักษ์เป็นมารถืออาวุธ ต่างจากรูปยักษ์รูปมารก่อนหน้านั้นเขียนรูปมารเป็นคนหน้าสล่อนหน้าอย่างคน ไม่มีหน้าตาแปลกไปบ้างก็เป็นอย่างคน ความจำเป็นที่เขียนรูปมารให้คนดูที่สลักหิน ก็ต้องเขียนเป็นรูปคน มารเป็นรูปคนมันก็เกิดขึ้น เราจึงมีมารเป็นอย่างคนเป็นอย่างเทวดามาจากเทวโลกมาผจญกับพระพุทธเจ้า
ในเมื่อเราถอดความหมายของภาพเหล่านั้นเราก็ถอดเป็นกิเลส คำว่ากิเลสนี้อย่างเลวร้าย อย่างหยาบคาย อย่างต่ำๆ ก็มี อย่างผิวเผินก็มี เช่นพระพุทธเจ้าท้อพระทัยในการที่จะแสดงธรรม เขาก็พูดว่ามารมาดลใจ มารมาขอร้องไม่ให้แสดงธรรมเพราะธรรมะเป็นของยาก ที่นี่ความรู้สึกเหนี่อย รู้สึกเบื่อ รู้สึกไม่อยาก ถ้าเป็นของเราก็เรียกว่าเป็นกิเลสได้ แต่สำหรับของพระพุทธเจ้านั้นไม่น่าจะเป็นกิเลส แต่เป็นเหตุให้เป็นเครื่องขัดขวางการกระทำความดี ก็จัดให้เป็นมารได้ โดยความหมายที่ว่าการขัดขวางความดี ขัดขวางประโยชน์ของสรรพสัตว์ในสากลโลก ถ้าพระพุทธเจ้าเกิดไม่แสดงธรรมขึ้นมาจริงๆ โลกนี่ก็ขาดประโยชน์อย่างยิ่ง เขาก็เรียกว่ามารได้ มารที่มาผจญในวันตรัสรู้ เขาอธิบายเป็นความว่า ความเยื่อใย อาลัยอาวรณ์ในกามคุณ ยังเหลืออยู่บ้างมารบกวนจิตใจในวันนั้น จนพระองค์ต้องกำจัดให้หมดไป ก่อนที่จะตรัสรู้ นี่ก็ยิ่งเห็นชัดว่าเป็นกิเลส เพราะตอนนี่ยังไม่ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ยังมีความรู้สึกว่าเป็นกิเลส แม้จะเบาบางถึงขนาดว่าเป็นความอาลัย อาวรณ์ย้อนหลัง ก็เรียกว่ามารได้ ถ้าอย่างนี้ก็เป็นกิเลสมาร แต่ถ้าถือเอาตามพวกปุคคลาธิษฐาน เขากล่าวว่ามาจากสวรรค์ชั้นสุทธิปรนิมมิตวสวัตดียกพวกมาทำลาย ขัดขวาง ไม่ให้เกิดการตรัสรู้ ใช่คำว่าแย่งบรรลังก์ของพระพุทธเจ้า คือจะแย่งกันเป็นใหญ่ในการครองโลกถ้าพญามารชนะได้บรรลังก์ไป พระพุทธเจ้าพ่ายแพ้พญามารก็ครองโลก แต่พญามารพ่ายแพ้ พระพุทธเจ้าได้นั่งบรรลังก์ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าครองโลก ไปหาเรื่องอ่านดูเถอะ
ที่นี่ก็มาพิจารณากันถึงว่า มาร ที่มาจากสวรรค์ชั้นสูงสุดเรียกว่า วสวัตดีมาร มาจากสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตดีแล้วลงมา ในความหมายของมารชั้นนี้ก็คือ กามารมณ์สุดยอด สวรรค์กามารมณ์มีอยู่หกชั้น เพราะชั้นสูงสุด ขีดสุดของกามารมณ์ก็เรียกว่าสวรรค์ชั้นนี้ ความหมายของมันก็คือกามารมณ์สุดยอดที่ยังเหยื่อใยเหลืออยู่ในจิตใจเป็นเศษตกค้าง มารบกวนเป็นครั้งสุดท้าย เช่นเดียวกับคืนที่จะหนีออกบวชก็มีพญามารมาห้าม มาดักไว้ว่าอย่าไปเลยอยู่เป็นมหาจักรพรรดิครองโลกจะดีกว่า เพราะกล่าวว่าเป็นพญามารตัวเดียวกันนี้ เพราะฉะนั้นไอเรื่องที่จะทำให้ย้อนหลังอาลัยอาวรณ์ไปในกามารมณ์มันก็เป็นมารตัวนี้ ก็ขอให้เข้าใจไว้เลยว่ามารชั้นนี้ไม่ใช่มารที่จะมีหน้าตาดุร้ายแบบยักษ์แบบสัตว์ร้าย แต่เป็นเทวดาที่สวยงามสุดที่มันจะมีความงามกันได้อย่างไรในเรื่องของผู้บริโภคกาม สวรรค์เรียกว่าสวรรค์หกชั้น สูงขึ้นไปยิ่งดีขึ้นไป ยิ่งดีขึ้นไปเป็นพวกเทวดา แล้วก็ลุ่มหลงในกามารมณ์มากน้อยตามชั้น และเมื่อลงมาผจญพระพุทธเจ้าข้อความในคัมภีร์เขียนชัดว่า เขาต้องแปลงรูปร่างมาเป็นยักษ์เป็นมารอย่างที่เราเห็นในภาพเขียนตัวจริงของมารเป็นเทวดาที่สวยงาม ฉะนั้นเมื่อได้ยินคำว่ามารแล้วก็อย่าพึ่งไปนึกถึงยักษ์ สัตว์ดุร้าย น่าเกลียดน่าชัง ให้นึกถึงสิ่งที่สวยงามที่สุด เพราะว่าไอ้สวยงามที่สุดมันจับจิตจับใจ มันผูกมัดรัดตรึงดวงใจ ที่จะดึงจะล่อจะจูงออกไปได้ ไอ้สิ่งที่เรียกว่ามารที่แท้จริงมาในรูปแบบที่สวยงามมาคล้องคอคนโง่ไปได้ง่าย ๆ ถ้าจะเขียนรูปมารต้องเขียนให้สวยที่สุด คล้ายกับมารแปลงมาทำลายพระพุทธเจ้า เขียนมาเป็นรูปยักษ์ รูปมาร เป็นเรื่องของศิลปินที่จะต้องเขียนให้สำเร็จตามเป้าหมายให้มันน่ากลัว เรานึกถึงบทสวดมนต์ (อิมังโลกังไม่แน่ใจนาทีที่23.34) สเทวะกัง สมาระกัง สธรรมะกัง มนุษโลก แล้วก็เทวโลก แล้วก็มารโลก แล้วก็พรหมโลก มันอยู่เหนือสุดของพวกเทวโลก มันเป็นมารโลก มันจึงไปเป็นพรหมโลก ซึ่งไม่เกี่ยวกับกาม พวกที่ยังเกี่ยวกับกามเป็นมารโลกนั่นแหละสูงสุด คือมันเป็นกามจนถึงกับเป็นมาร ถ้าสวรรค์ที่ต่ำกว่านั้นลงมามันไม่รุนแรงถึงขนาดนั้น มันจึงเอาชั้นสุดท้ายเป็นมารโลก นี่เรียกว่าความหมายของมันไม่อยู่ที่กิเลส มันอยู่ติดในกิเลส มันติดอยู่ในสิ่งที่ตั้งแห่งความรัก โดยทั่วไปก็หมายถึงกิเลสประเภทที่ทำให้รักให้ยึดถือ นี่เป็นมารที่ตัวใหญ่ตัวโต ออกหน้าที่สุด มาสกัดกั้นความก้าวหน้าของคนเรา หรือจะจับตัวไปเสียเลยให้จมอยู่ในเรื่องของกิเลสของกองทุกข์ แล้วมันจะหมายถึงพวกราคะ เป็นเรื่องแรกสำหรับกิเลสมาร กิเลสมารที่สองคือโทสะ มันก็เป็นมารเหมือนกัน ถ้าเกิดขึ้นมันสกัดกั้นไม่ให้ก้าวหน้าในทางจิตใจ หรือไม่ให้มีความสงบสุข ก็ยังคงเป็นกิเลสมารอยู่ดี และโมหะ ไม่รู้ไม่เข้าใจ มันก็เป็นมาสกัดกั้นไม่ให้ก้าวหน้าทำลายความสงบสุข
ถ้ามองดูให้ดีจะพบว่า กิเลสตัวแรกสำคัญที่สุด คือราคะ หรือโลภะ ความอยากได้ มันอยากได้ กลัดกลุ้มอยู่ในความอยากได้ ไม่มีความสงบสุข ไม่มีความก้าวหน้าทางจิตใจ ต้องมีความอยาก เมื่อไม่อยากได้ก็ไม่มีความผิดหวังและไม่มีความโกรธ ไม่มีโทสะ โทสะมันเกิดขึ้นจากการที่มีอะไรมาขัดคอ ในการที่ตนจะได้ ตนจะบริโภค เสวย มันก็เกิดเป็นโทสะ ถ้าไม่มีเรื่องอยากได้โทสะมันไม่อยากจะเกิด โมหะก็เหมือนกัน ถ้าเราไม่อยากได้อะไร เรื่องที่จะไปหลงอยู่ในอะไรมันก็ไม่มี หัวหน้ามารมาอยู่ที่กิเลสประเภทอยากได้ที่เรียกว่ากามราคะ นี่เป็นเรื่องที่กล่าวไว้ในคัมภรี์เรียกว่ากิเลสมาร
ที่นี่มาดูเรื่องในตัวเรา เมื่อรู้จักความเอร็ดอร่อยของเวทนา จะเป็นเด็กหรือเป็นเด็กวัยรุ่น วัยหนุ่มสาว อะไรก็ตามใจ มันรู้จักความอเร็ดอร่อยของเวทนาแล้วมันก็ต้องการหลงรักติด ก็เป็นเหตุให้คนเรามีจิตใจที่มืดมัว มีจิตใจที่ไม่สูงไปตามลำดับและมีความทุกข์ด้วย คนที่เคยสังเกตุมาแล้วคงจะรู้สึกได้ดีว่า ความรู้สึกทางกามทางเพศมันรุนแรง ทำให้เด็กวัยรุ่นวินาศไปเลย ประกอบกรรมชั่วไป ไม่ถึงกับวินาศขนาดนั้นแต่ไม่ประสบความสำเร็จในการเรียน หรือในหน้าที่การงานก็มีมาก หรือทำให้หน้าที่การงานหรือการเรียนได้ผลน้อย หรือจะอยู่อย่างสงบอย่างสบายใจ เยือกเย็นใจมันก็มีไม่ได้ถ้ากิเลสมี มันเกิดขึ้นรบกวน มารู้จักมารตัวนี้ว่ามันได้ย่ำยีเรามาตั้งแต่แรก ที่เรารู้จักความอเร็ดอร่อยของอารมณ์ ไปติดพันอยู่ในอารมณ์ไปหลงใหลอยู่ในอารมณ์ ถ้าอย่ามีกิเลสอันนี้รบกวน เราก็จะทำอะไรได้ดีกว่านี้ได้มากกว่านี้ แต่ทางหนึ่งเขาก็มองกันไปในทางที่ว่าไม่เก่ง ถ้าไม่มีมารมารบกวนไม่ชนะมาร
ไอ้คนนั้นมันก็หย่อนความสามารถไม่เก่ง พวกที่ยึดถือในความสามารถจะเห็นว่ามารหรืออุปสรรคนี่ดีเหมือนกันมันทำให้เก่ง มารไม่มีบารมีไม่แก่กล้า ไม่ถูกเขาด่ามันก็ไม่รู้จักเก่งขึ้นมา แต่เดี๋ยวนี้เรามองในแง่ที่ว่ามันเป็นมาร ทั้งราคะ ทั้งโทสะ ทั้งโมหะ เป็นมาร พอคลอดลูกออกมาเป็นตัวมารน้อยๆ ก็คงเรียกว่ามาร ในที่สุดมาเป็นตัวน้อยๆ เหมือนกับแมลงหวี่คือนิวรณ์ทั้งห้า ที่เราเรียกว่านิวรณ์ทั้งห้านี่มันเป็นมาร ใครที่เคยถูกแมงหวี่ตอมตา ตอมจมูก แม้แต่แมลงหวี่ตัวนิดๆ มันก็ทำลายความสุข ความสงบสุขได้มาก ไม่ใช่เสือไม่ใช่ช้างที่มากัดทำอันตรายให้ตาย แม้แต่แมลงหวี่ตัวเล็กๆก็เหลือทน เราจึงสรุปความว่า กิเลสใหญ่ คือหัวหน้า พญามารก็ตาม กิเลสน้อยๆ คือเสนามารก็ตาม ไม่ไหวทั้งนั้น ก็เป็นอันว่าเข้าใจมารตัวที่หนึ่งคือกิเลสเป็นมาร ที่มารบกวนพระพุทธเจ้าก็คือกิเลสที่เหลือค้าง หรือความรู้สึกที่มันผิดไป มันไม่เป็นไปเพื่อประโยชน์แก่สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง ความน้อยไปในการไม่แสดงธรรม บางคนเขาไม่เชื่อว่าเป็นกิเลส เขาเชื่อว่ามารมาจากบนสวรรค์ ก็ได้เหมือนกัน มันก็ต้องเรียกว่าเทวปุตตมารไป
ที่นี้มาถึงมารตัวที่สอง ขันธมาร อธิบายกันได้หลายอย่างแต่ผมพอใจที่จะพูดว่าระบบขันธ์ห้า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาน มันเป็นมาร เป็นได้สองความหมาย ความหมายแรก คือมันไม่เป็นไปตามที่เราต้องการ เช่นเรามีร่างกายรูปขันธ์ที่ไม่ดี ที่ไม่เหมาะที่จะใช้ให้เป็นประโยชน์ได้ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาน ความรู้สึก ความจำไว้ ความคิดนึก รู้อารมณ์ อะไรก็ตาม มันไม่เป็นไปในทางที่จะให้เกิดประโยชน์เพราะว่า ตามปกติมันก็เป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อยู่แล้ว ที่นี้ความที่มันเป็นอย่างนี้ ไม่มาคล้อยตามตามที่เราต้องการก็เรียกว่ามันเป็นมาร อย่างเบญจขันธ์ที่เรามีอยู่มันไม่อำนวยให้ความเข้มแข็ง ความเพียงพอ ความเหมาะสมให้แก่เรา เพราะมันพิกลพิการไปด้วย เหตุปัจจัย อย่างอื่น ก็เรียกว่ามารได้ ตัวอย่างเช่นความจำไม่ดี สัญญาไม่ดี ความคิดไม่ดี หรือร่างกายไม่สมประกอบ ก็เป็นมารกี่มากน้อย นี่ก็เรียกว่ามันเป็นมาร เพราะมันไม่อยู่ในฐานะที่สนับสนุนความต้องการของเรา ที่นี่ทางหนึ่งมันเกิดปรุงขึ้นมาด้วยอวิชชา คือปรุงผิด คือตาเห็นรูป หูได้ยิน จมูกได้กลิ่น เป็นต้น มีผัสสะขึ้นมาแล้วมันมีอวิชชาเข้ามาครอบงำ มันก็เป็นเวทนา ที่จะเกิดตัณหา แล้วก็อุปาทาน ภพชาติ แล้วเป็นทุกข์ คือเป็นปัญจุปาทานขันธ์ยึดมั่นในรูป ในเวทนา ในสังขาร ในวิญญาน มันก็เป็นทุกข์ ขันธ์นั้นมันก็เป็นทุกข์ มันก็คือมาร
ที่นี่เรื่องขันธ์นี่ที่บรรยายเมื่อวันก่อนถ้าเข้าใจดีๆ จะแยกออกเป็นสองฝ่ายเสมอ เป็นขันธ์ห้าล้วนๆ มันก็เป็นทุกข์แห่งลักษณะมีลักษณะแห่งความเป็นทุกข์ มีทุกข์ทรมานเป็นสามัญลักษณะไป ทุกข์โดยลักษณะ แต่ขันธ์นี้มันถูกยึดถือเพราะมีอวิชชาเข้ามาเกี่ยวข้อง อุปาทานยึดถือนี่เรียกว่า อุปทานขันธ์ห้าอย่างนี้มันก็เป็นทุกข์ ในขันธ์ที่ปรุงขึ้นมาต้องการยึดถือต้องการทำลายเป็นความทุกข์ เป็นความทรมานเรียกว่า เป็นมาร มีสติมีวิชาอยู่มันก็เป็นเพียงขันธ์ห้าเกิดขึ้นตามธรรมชาติแล้วก็ดับไป อย่างนี่ถึงจะเป็นมารคือมันเป็นกลางๆ มันไม่รู้สึกอะไรมันเป็นอุปาทานมันเป็นทุกข์ เป็นของหนักอึ้งไปหมดเป็นรูปของเรา เวทนาของเรา สัญญาของเรา สังขารของเรา วิญญานของเรา ชีวิตของกู ถ้าเป็นมาก ๆ ก็เป็นของกู มันก็เลยเป็นความทุกข์ ขันธ์คือส่วนประกอบของคนๆหนึ่งๆ ซึ่งมีอยู่ห้าส่วนเป็นมาร เมื่อมันไม่เป็นตามที่เราต้องการเป็นมารเมื่อมันปรุงขึ้นมาเป็นรูปแบบของอวิชชา เป็นอุปาทานขันธ์ก็เป็นทุกข์ ทั้งหมดนี้เราเรียกว่าขันธ์เป็นมาร จะมุ่งเอาง่ายๆ ว่าเป็นโรคเรื่อยเป็นที่ตั้งแห่งโรค เอาความหมายว่าเมื่อมันไม่เป็นตามความประสงค์ของเราก็เรียกว่าเป็นมาร
ที่นี่ก็มารที่สามเรียกว่า มัจจุมาร หรือมฤตยูมารหมายถึงความตาย นี่คงไม่ต้องอธิบายเพราะความตายเข้ามามันก็ปิดฉาก กำลังจะทำอะไรให้ดีให้มีประโยชน์พอความตายเข้ามามันก็ปิดฉาก อยากจะบำเพ็ญตนให้เป็นคนดี น่าจะเป็นคนรวย เป็นคนดี ดับทุกข์ได้ บรรลุมรรคผล ยังไม่ทันจะได้แต่ความตายมันเข้ามา มาขัดขวางเสีย ก็เรียกว่าความตายนั้นเป็นมาร ถ้าให้ความตายหมายถึงเทวดาชนิดหนึ่งซึ่งเรียกว่าพระยมพระกาฬ ยมะ กาฬะ นั้นก็เป็นเทวดานะตามเรื่องของ(..ไม่ชัดนาทีที่ 39:40)มีรูปอยู่ต่างหาก เข้ามาดับชีวิตเสีย ถ้าจริงอย่างนี้ เชื่ออย่างนี้ก็กลายเป็นเทวปุตตมาร อย่างนี้เราหมายถึงแต่ความตายธรรมดาๆ ก็เป็นมาร ที่นี้บริวารของความตายคือ ความชรา ความเจ็บไข้ ความอะไรต่างๆ เป็นเสนามาร ของมฤตยูมาร จัดเป็นชุดเดียวกันหมด เรียกว่ามัจจุมาร ไม่มีอะไรที่จะต้องพูดอธิบายยืดยาวได้ เมื่อความตายมาถึงมันก็หยุดปิดฉากลงทันที
ที่นี่มารที่สี่ อภิสังขารมาร เขาอธิบายต่างๆ แต่ผมเข้าใจว่าเป็นเรื่องของกรรม เป็นกระแสแห่งกรรมที่เกิดขึ้นในลักษณะที่มันขัดขวางกับความต้องการของเรา มันก็เรียกว่ามารได้ ที่ไปเชื่อว่ากรรมในปางก่อนมาถึงเข้าอะไร ๆ ก็ล้มละลายหมด นี่ก็เรียกว่าอภิสังขารมารได้ คือกรรมในระดับที่ระยะที่เป็นผลของกรรม กรรมให้ผลทำลายความดีหมด ทำความดีไม่สำเร็จกระทั่งตายไปก็มี นี่เรียกว่า อภิสังขารเป็นมาร อภิ แปลว่าอย่างยิ่ง สังขารแปลว่า ปรุงแต่ง อภิสังขาร แปลว่า การปรุงแต่งอย่างยิ่ง อยากจะระบุปฏิจจสมุปบาท เมื่อไปศึกษาดูให้ละเอียดจะพบว่า เป็นสายแห่งกรรม หรือกระแสแห่งกรรม เข้าไปในฝ่ายอวิชชา ตั้งต้นด้วยอวิชชา เป็นสังขาร วิญญาณ นามรูป อายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพชาติ ทุกข์ทั้งหลาย การปรุงแต่งสายนี้ก็เรียกว่าอภิสังขาร มันเป็นการปรุงแต่ง เป็นฝ่ายอวิชชา เป็นปฏิจจสมุปบาทฝ่ายอวิชชาที่มันเป็นโดยมาก กระแสการปรุงแต่งปฏิจจสมุปบาทของคนเราส่วนมากที่สุดเป็นไปในฝ่ายอวิชชา ฉะนั้นจึงเกิดขันธ์ห้าที่เป็นอุปาทานขันธ์ จึงเกิดเป็นกิเลสอะไรกันไปตามเรื่อง มันเกิดกิเลสก็มีกรรม มีการกระทำ ก็ต้องมีผลกรรม ขณะจิตกลุ่มที่แรกเป็นกิเลส ขณะจิตกลุ่มที่สองเป็นตัวกรรม การกระทำ การคิด การอะไร พอมันเสร็จแล้ว ก็เกิดกลุ่มที่สามผลแห่งกรรมหรือการกระทำ นี่ก็เป็นวิบาก ในปฏิจจสมุปบาท รอบหนึ่งมีทั้งกิเลส มีทั้งกรรม มีทั้งวิบาก ปรุงแต่งกันอยู่อย่างนี่เรียกว่า อภิสังขารคือการปรุงแต่งอย่างยิ่ง อภิสังขารเป็นไปในฝ่ายอวิชชามันก็เป็นมาร สกัดกั้นไม่ให้เกิดความสงบสุข ความดี ความงาม ความถูกต้อง ในทุกอย่างหมด เรียกว่าเรื่องของกรรมชั่ว กรรมฝ่ายบาป ฝ่ายอกุศลเป็นมาร แต่ในทางตรงกันข้ามเพราะว่ามันมีวิชชา มีสติ มีปัญญา มีอะไรเข้ามา มันก็เป็นการปรุงแต่ง ไปในทางตรงกันข้าม ไม่ต้องเป็นทุกข์ ไม่ต้องเป็นมาร ฉะนั้นจำไว้ว่ามันมีคู่ปรับมาด้วยการปรุงแต่ง ฝ่ายวิชชา ฝ่ายสติ ฝ่ายปัญญา นี่เรายังไม่พูด เราพูดทีหลัง เราพูดเรื่องกำจัดมารหรือป้องกันมาร เราเห็นชัดว่าอภิสังขารมารคือกระแสแห่งกรรม กระแสแห่งกรรมต้องมาจากกิเลส ไม่มีกิเลสมันไม่เป็นกรรม มีกิเลส มีผลแห่งกรรม เป็นวัฏฏะสงสาร วนอยู่เป็นวงกลม กิเลสของกรรม ของวิบาก กิเลส กรรม วิบาก มันปรุงแต่งขนาดนี่ อย่างปรุงแต่งอย่างยิ่ง อย่างปรุงแต่งที่ทำให้เป็นทุกข์ไม่มีความสงบสุข จมอยู่ในกองทุกข์ กักตัวไว้ในวัฏฏะสงสารในทะเลแห่งความทุกข์ อภิสังขารมารก็มีอยู่ในทุกคน เกิดขึ้นขัดขวางไว้อยู่เป็นความคิดที่น้อมไปผิดเพราะอวิชชาที่มาครอบงำ ในอำนาจแห่งผัสสะ อายตนะภายใน อายตนะภายนอกถึงการเกิดวิญญานสามประการนี้ทำงานร่วมกันเรียกว่าผัสสะ เรามีกันทุกวัน วันหนึ่งไม่รู้กี่เรื่องกี่กรณี ถ้าไม่มีผัสสะ ไม่มีวิชชา ไม่มีสติมา มันก็เป็นอวิชชาหมด ผัสสะที่เป็นอวิชชาเป็นอภิสังขารมาร เป็นจุดตั้งต้นที่ตรงนั้น ที่นี่เมื่อมีอะไรมากระทบให้ระวังถ้ามีสติมีปัญญามาทันมันก็จะไม่เป็นมาร
ที่นี่ก็ไปถึงมารที่ห้า เรียกว่าเทวปุตตมาร คำนี้ถ้ากล่าวว่าเป็นอุปสมาธิษฐาน ได้แก่เทวบุตร เทวดาที่อยู่ในสวรรค์ชั้นที่หนึ่งถึงชั้นที่หก อันนั้นหมายถึงเทวดาเหล่านี้มาเป็นมาร เทวดาใจร้าย เทวดาที่จิตไม่เป็นกุศล จึงมาทำตนเป็นมาร เหมือนกับที่กล่าวไว้ในตอนข้อแรกเรื่องกิเลสมารบางพวกให้หมายถึงจอมเทวดาในสวรรค์ชั้นที่หกลงมาเป็นมาร แต่ในข้อนี้เทวปุตตมารนี้หมายถึงเทวดาชั้นไหนก็ได้ เป็นการกระทำกลั่นแกล้งของเทวดามันก็เป็น มันก็ต้องเป็นเหตุผลส่วนตัว เรื่องส่วนตัวของเทวดาตนนั้นกับเรา ถ้าลงมาทำอย่างนั้นก็เรียกว่าเทวปุตตมาร นี่พูดภาษาคนอย่างบุคคลาธิษฐาน ที่พูดอย่างภาษาธรรมเป็นธรรมาธิษฐาน เราก็จัดเงื่อนไปตั้งแต่ว่าเทวดาทั้งหลายเหล่านี้ มันเป็นพวกรักพอใจในความลุ่มหลงอยู่ในกาม จมอยู่ในกาม มึนเมาในกาม เสพติดอยู่ในกาม ความหมายของเทวดาทั้งหลายมันเป็นอย่างนั้น ไม่ใช่ตัวตนของเทวดาอะไร มันเป็นภาวะแห่งจิตที่ลุ่มหลงอยู่ในกามที่รุนแรงมากคือจิตคอยจะน้อมไปแต่ในทางกาม ดูๆก็คล้ายกับกิเลสประเภทราคะ แต่ในที่นี้หมายถึง ความรู้สึกชนิดนั้นที่มันเป็นเรื่องทั่วๆ ไป มีมูลมาจากความรู้สึกชนิดนั้นก็แล้วกัน มันจะมาในรูปไหนก็สุดแท้ เราเคยคิดกันถึงกับว่า ไอ้เพื่อนหนุ่มๆ ที่มันอิจฉาริษยา หึงหวงอะไรจะทำตนเป็นผู้ขัดขวางไอ้หนุ่มๆ อีกคนหนึ่งที่มันจะได้ประสบความสำเร็จในทางกาม เรียกว่านักเลงกามด้วยกัน ทำตัวเป็นอุปสรรคความสำเร็จของคนหนึ่ง ถ้าเดี๋ยวนี้เราไม่อยากจะหมายถึงบุคคล ให้เราเล็งถึงความรู้สึกของเราเองที่จะคอยแต่จะน้อมไปในทางกามเสียเรื่อย คือเรื่องความเป็นเทวดาชนิดกามนั่นนะมันมารบกวนเสียเรื่อย อธิบายอย่างนี้เป็นภาษาธรรม เป็นธรรมาธิษฐานมากเกินไปไม่มีใครเห็นด้วย ไม่ค่อยมีใครเห็นด้วย แต่ผมรู้สึกว่านี่ถูกกว่าและจริงกว่าที่จะไปหมายถึงเทวดาที่ลงมาจากฟ้า ซึ่งมีบุคคลประเภทหนึ่งที่ยึดถือมาก เราจะเห็นได้ว่าเขาทำพลีกรรมอะไรต่างๆ บวงสรวงเทวดา ไม่อยากให้เทวดามาเป็นอุปสรรคขัดขวาง ขอให้เทวดามาช่วยความร่วมมือให้ประสบความสำเร็จ เราจึงพบคนที่เขาทำบัดพลีหยวกกล้วยใส่เครื่องสังเวยเทวดา จ้างเทวดาว่าอย่ามาขัดขวาง ให้มาสนับสนุน ไม่ว่าจะปลูกบ้าน หรือแม้แต่ทำนา หรืออะไรต่างๆ หวังให้เทวดาร่วมมือและไม่ขัดขวาง นี่เขาเชื่อในเทวดาอย่างนั้น ก็ได้เหมือนกัน มันเป็นความเชื่อที่มาแต่โบราณกาลมันยังละไม่ได้ แต่ก็รู้สึกได้ว่ามันเป็นมาร มันมีความหมายอันหนึ่งที่อยู่ในพวกมาร สรุปแล้วก็ว่าความลุ่มหลงอยู่ในกามารมณ์ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของพวกเทวดา จะมาเป็นอุปสรรคที่เป็นความรู้สึกของเราเองก็ได้ เป็นคนข้างนอกก็ได้ เป็นเทวดาลงมาจากสวรรค์ก็ได้ ถ้ามันเป็นจริงเรียกว่าเทวปุตตมาร ได้ทั้งนั้น แต่ที่มันจริงที่สุดก็คือ ความน้อมไปในความสุขในทางธรรม มีความเห็นแต่ประโยชน์ในทางกามนี่ก็เป็นมาร เรียกว่าเทวปุตตมาร อย่างพระอยากจะสึกออกไป อยู่ไม่ได้ นั่นควรจะจัดเป็นเทวปุตตมารข้อนี้มากกว่าจะเป็นกิเลสข้อใดข้อหนึ่งโดยเฉพาะ ไม่ใช่จะแกล้งตำหนิติเตียนอะไรสำหรับคำว่าเทวดา ในพระบาลี ในพระคัมภีร์ มีความหมายอยู่ที่กามารมณ์ เป็นผู้ที่อยู่ในสวรรค์หกชั้นที่เต็มไปด้วยกามารมณ์ นี่เป็นเทวดา ความหมายอยู่ที่ตัวคุณค่าของกามารมณ์ ที่จะให้เป็นผู้ที่แย่งชิงกามารมณ์ แข่งขันในทางกามารมณ์ มาเป็นอุปสรรคขัดขวางก็เรียกว่าเทวปุตตมารโดยอ้อมก็ได้ ส่วนใหญ่ของมนุษย์ในโลกล้วนแต่ปรารถนากามารมณ์ แย่งชิงกัน แข่งขันกัน ขัดขวางกัน ทำลายกัน
ถ้าเรามีมารครบทั้งห้า กิเลสมาร กิเลสโดยตรงมาทำลายความดี ความก้าวหน้า ขันธ์มาร ขันธ์ที่ไม่สมประกอบ มาขัดขวางความดี ความก้าวหน้า มัจจุมาร คือ ความตาย มาตัดทอนความดี ความงาม ความก้าวหน้า อภิสังขารมาร การปรุงแต่งโดยกระแสแห่งกรรม เป็นปฏิจจสมุปบาทฝ่ายอวิชชา เป็นเรื่องอุปสรรค ขัดขวางความดี ความงาม ความก้าวหน้า กระทั่งความหมายแห่งกามารมณ์ มีมาเป็นอุปสรรค ขัดขวาง ความดี ความงาม ความก้าวหน้า เรียกว่ามีมารทั้งห้า แล้วไม่ใช่อยู่ที่ท้องฟ้าหิมพานต์หรืออยู่บนสวรรค์หรือที่ไหน มันอยู่ในคนทุกคน จะมีมารทั้งห้านี้แหละพร้อมอยู่เสมอ แล้วก็เป็นอยู่เรื่อย ๆอย่างนั้นอย่างนี้ เป็นกรณีๆ ไป เช่นร่างกายไม่สมประกอบทำอะไรไม่ได้มันก็เป็นมาร สมองรับได้ไม่ดี จำอะไรไม่ได้คิดอะไรไม่ออกมันก็เป็นมาร เห็นชัดอยู่ว่ามันเป็นของอยู่กับคน อยู่กับเรา อยู่กับมนุษย์ทุกคน ถ้าอยู่ให้จูงให้ชักมันก็อยู่กับคน ผู้ที่จะวิวัฒนาการยิ่งๆ ขึ้นไปมันก็มีพญามารมาขัดขวางเสีย
ที่นี้ภาคที่สองส่วนที่สอง จะพูดถึงเรื่องที่จะกำจัดมาร หรือ ป้องกันมาร สรุปเป็นความสำคัญไว้ว่า มารจะมีเพราะอยากดี หรืออยากได้ หรือพูดสั้นๆก็ได้มารมันจะมีเพราะกูมันอยากดีหรืออยากได้ ถ้าลองกูไม่อยากดี ไม่อยากได้ ไม่มีมารที่ไหนเลย พระพุทธเจ้าท่านก็สอนให้เรารู้จักเห็นควรตามที่เป็นจริงว่าไม่มีอะไรที่ควรยึดมั่นถือมั่น เราก็ไม่อยากดี ถึงแม้จะทำความดีอยู่ก็ไม่ได้อยากดี ทำตามหน้าที่ ก็ไม่อยากได้อะไรแม้ว่าทำอะไรอยู่ได้อะไรอยู่ก็ไม่มีความอยากได้ ไม่ได้ทำเพราะความอยากได้ ไม่อยากมีหรือไม่อยากได้ ทั้งสองอย่างเท่านั้นแหละ ไม่มีมารไหนจะมารอหน้าได้ ที่เรารู้สีกว่ามันเป็นมารเป็นอุปสรรคก็เพราะเราอยากดีอย่างหนึ่ง อยากได้สิ่งใดสิ่งหนึ่ง ถ้าเราระงับความคิดนึกรู้สึกที่อยากดีอยากได้นี้เสีย มารไม่มีที่เกิด มารไม่อาจจะเกิด มารไม่โผล่หน้ามาให้เห็นสำหรับคนที่ไม่อยากดี หรือไม่อยากได้ ที่นี้ก็พูดกันมานักแล้วก็ไม่ค่อยฟัง หรือฟังไม่รู้เรื่องว่า ทำงานทุกชนิดด้วยจิตว่าง มันไม่อยากดี หรือมันไม่อยากได้ จิตที่มันว่างจากตัวกู ว่างจากของกู มันไม่ได้เกิดความอยากดี หรืออยากได้ ฉะนั้นถ้าจะไม่อยากดี หรืออยากได้ต้องต้องทำลายตัวกูเสียก่อน ตัวตนหรือตัวกู หรือตัวฉัน ตัวอัสสมิมานะนั้นเสียก่อน เมื่อตัวนั้นไม่มี มันก็ไม่มีอะไรที่อยากดีก็ตาม อยากได้อะไรก็ตาม ถ้ามีสติอยู่ มีวิชชาขณะนั้นมันเกิดตัวกูไม่ได้ ทำอะไรก็ทำไปตามที่ควรจะทำตามหน้าที่ ความรู้สึกอยากดี หรืออยากได้มันก็ไม่มี มันไม่อยากดี ไม่อยากได้ มันก็ไม่รู้สึกมีอะไรมาเป็นอุปสรรค ไม่รู้สึกมีอะไรมาขัดขวาง ถ้าใจอยากฆ่ามาร ปราบมาร ป้องกันมาร นั่นก็คือหยุดอยากดี หรืออยากได้เสีย ทำงานทุกชนิดด้วยจิตว่าง มีชีวิตอยู่ด้วยจิตว่าง ไม่มีมาร เรื่องป้องกันมาร แต่มีเหตุที่กิเลสมันยังอยู่ มันยังอยากจะมีตัวกู อยากจะเป็นตัวกูมันก็อีกเรื่องหนึ่ง ถ้ามันมีเมื่อไร มันก็อยากดีอยากได้มันก็เกิดมารอีก
ที่นี่พระอรหันต์ท่านไม่มีตัวตน ท่านไม่อยากดี ไม่อยากได้ อะไรหมดท่านก็ไม่มีมาร ถ้าเป็นเรื่องมารก็เป็นเรื่องเด็กเล่น กิเลสมารไม่รบกวนพระอรหันต์ เพราะท่านไม่มีกิเลส ขันธ์มาร ขันธ์นี้ร่างกายนี้จะเป็นอย่างไรก็สุดแท้ ท่านไม่คิดถึงว่าขันธ์นี้เป็นตัวเรา ในขันธ์ก็เป็นมารเหมือนกัน มัจจุมารจะมีแต่พระอรหันต์ไม่ได้เพราะท่านไม่มีตัวตนสำหรับตาย ไม่มีตัวตนสำหรับจะแก่จะเจ็บจะตาย ท่านก็ไม่มี อภิสังขารมารมันเลือกกันแล้วทำสิ้นกรรม มันอยู่เหนือกรรม เหนือบุญเหนือบาปด้วยประการทั้งปวง สังขารมารก็ไม่มีแก่พระอรหันต์ เทวปุตตมารยิ่งไม่มีทางไม่มีวี่แววที่จะมาทำให้เป็นมารอุปสรรคแก่พระอรหันต์เพราะว่าท่านไม่ต้องการอะไร เมื่อเราไม่ได้อยากอยู่ ไม่ได้หลงในความอยู่ แล้วความตายจะเป็นมารได้อย่างไร เมื่อเราไม่อยากอยู่ไม่ยึดมั่นในความอยู่ และความตายในมัจจุมารก็ไม่มี มันมีไม่ได้นี่เป็นเรื่องที่จะต้องมองให้เห็นอยู่เสมอ ก็ไม่อยากดีอีก ไม่ทำอะไรด้วยความอยากดี ก็ไม่มีอะไรเป็นอุปสรรคขัดขวางการทำความดี ไม่อยากได้ ก็คือไม่ไอยากมีชีวิตอยู่ ไม่อยากเป็นอยู่ ไม่อยากได้ภพ ได้ความเป็นอย่างโน้น อย่างนี้ มันก็ไม่มีอุปสรรค เรียกว่าไม่อยากได้ไม่อยากดี ไม่อยากอยู่ ไม่อยากเป็นอยู่ เพราะเห็นว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงมิใช่ตัวตน มิใช่ของตน เห็นความว่างตามธรรมชาติ ว่างจากตัวตนของตนในทุกสิ่ง ในชีวิตในร่างกาย ทุกสิ่งที่มันเนื่องกับเราภายนอกภายในก็ดีมันไม่มีอะไรที่เป็นตัวตน มันก็อยู่ในความว่าง มันก็ไม่มีมารที่ไหนจะมาเป็นทำอะไรได้ ใครจะด่าเราก็ไม่ถูก ใครจะด่าจนปากฉีกเราก็ไม่ถูกกระทบเพราะไม่มีตัวเราที่เป็นตัวตน มีจิตที่เรียกว่าไม่มีมาร ไม่มีอุปสรรค นี่คือวิธีที่จะกำจัดมาร ไม่อยากดี ไม่อยากได้ นี้คือจิตที่ไม่ยึดถืออะไรด้วยความเป็นตัวตน ซึ่งมันว่างไปหมด มันก็ไม่มีอะไรสำหรับมาร ที่จะมามาฆ่าเรา มาแกล้งเรา มาฆ่าเรา มาอะไรเรา ทั้งห้ามารทั้งห้าตัว นี้คือเรียกว่ามารห้าตัวห้าตนเรื่องที่จะพูดก็หมดแล้วพอดีแล้ว
ขอสรุปความว่าถ้ามีตัวตนก็มีมาร เพราะมีตัวตนก็มีที่ตั้งแห่งกิเลสความอยากได้ อยากดี อยากอยู่ อยากเป็นอะไรต่างๆ ก็มีมาร เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ ไม่มีทางที่จะป้องกันได้ นี่ถ้าว่าไม่มีตัวตน อยู่ด้วยสติสัมปชัญญะ ไม่มีความอยาก ไม่มีตัวตน ไม่ได้อยากอะไร ไม่ต้องการอะไร มารก็ไม่มีไม่อาจจะเกิดขึ้นมาได้ ฉะนั้นมารเป็นสิ่งน่ากลัว เฉพาะพวกที่มีตัวตน มารไม่มีสำหรับผู้ที่ไม่มีตัวตน มีเท่านี้เอง เวลาหมดแล้ว ก็ขอยุติการบรรยายวันนี้เพียงแค่นี้