แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
รายการสนทนาตอบปัญหาธรรมประจำวันอาทิตย์ ครั้งที่ ๕ ประจำวันอาทิตย์ที่ ๑๐ กันยายน ๒๕๒๑
คืนวันอาทิตย์เป็นเวลากำหนดไว้สำหรับตอบปัญหาของผู้ที่จะถาม ใครมีปัญหาอะไรก็ขอให้ถาม และขอให้มันเป็นเรื่องจริง คือเรื่องที่จะเอาไปใช้ได้จริง มีประโยชน์จริง หรือที่ต้องเข้าใจกันจริงๆ โดยเฉพาะเรื่องความเป็นพระ ความเป็นภิกษุ นี่มันเป็นเรื่องจริงที่ต้องใช้จริงตลอดเวลาที่เป็นภิกษุจนกว่าจะลาสิกขา และอีกเรื่องหนึ่งก็เรื่องความที่เคยเป็นภิกษุจะเอาไปใช้ให้เป็นประโยชน์ได้อย่างไรหลังจากที่มีการลาสิกขาไปแล้ว รวมความว่าขอให้สนใจเรื่องความเป็นภิกษุในปัจจุบัน และความที่เคยเป็นภิกษุที่จะเอาไปใช้ให้เป็นประโยชน์ในอนาคต นี่คือตัวอย่างเรื่องที่จริง เรื่องที่จะต้องทำกันจริงๆ เข้าใจจริง ปฏิบัติได้จริง และให้มันได้รับประโยชน์จริงๆ ฉะนั้นใครมีข้อสงสัยอย่างไรก็ขอให้พูดขึ้นมา จะได้วิจารณ์กันโดยละเอียด เอ้า, ให้หมดสิ ใครมีปัญหาอะไร ให้หมดเวลา เดินไป
พระถาม : เกล้ากระผมขอเรียนถามพระเดชพระคุณท่านอาจารย์ว่าในบางครั้งรู้สึกว่าจิตจะหดหู่ แล้วก็พระคุณเจ้าก็อาจจะมีวิธีช่วยประคับประคองให้จิตหายจากความหดหู่โดยวิธีใด
ท่านพุทธทาสตอบ : ถามว่าจะขจัดความที่จิตหดหู่ในบางครั้งบางคราวโดยวิธีใด ปัญหาอย่างนี้ก็คือปัญหาเกี่ยวกับความเป็นพระในปัจจุบัน เรามันเป็นพระอยู่ ก็มีอุปสรรคของความเป็นพระคือจิตมักจะหดหู่ พูดอีกทีก็ได้ ทั้งที่ว่าดูเหมือนจะเคยพูดกันมาแล้วคือเรื่องนิวรณ์ หัวข้อของนิวรณ์มีอยู่แล้วในหนังสือเรียน ไปศึกษาดูถ้อยคำว่าอย่างไร ใจความว่าอย่างไร ให้รู้เรื่องนิวรณ์ทั้ง ๕ กามฉันทะ พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกกุจจะ และวิจิกิจฉา เคยพูดถึงนิวรณ์นี้ในฐานะเป็นกิเลสที่ทำให้เกิดความรำคาญ ต้องจัดเป็นปริยุฏฐานกิเลสชนิดหนึ่ง ทุกคนจะต้องรู้จักสิ่งที่เรียกว่านิวรณ์ทั้ง ๕ นี้แหละให้ดีๆ แม้เป็นฆราวาส ผมอ่านดูแล้วสังเกตดูว่าแม้ในครั้งพุทธกาลในหมู่ฆราวาส เขาก็รู้เรื่องนิวรณ์กันมากพอใช้ แล้วหาทางกำจัดนิวรณ์ด้วยการทำสมาธิ มันก็ปัดกวาดนิวรณ์ให้เกลี้ยงไปจากจิตใจ ให้จิตใจมีความเหมาะสมที่จะทำหน้าที่การงานของมันหรือแม้แต่เพื่อความพักผ่อนอันเป็นสุข ขอให้คุณสังเกต ทดลองให้ดีๆ เอาเรื่องธรรมดาสามัญ นั่งลงก็ได้หรือนอนลงเพื่อพักผ่อนก็ได้ อย่างที่นอนบนเก้าอี้นอนอย่างนี้ แล้วก็ตรวจดูว่าจิตมันเป็นอย่างไร คือทำการสอบสวนจิตดูว่ามันเป็นอย่างไร ก็มักจะพบนิวรณ์อย่างใดอย่างหนึ่งแหละ บาลีพระพุทธภาษิตที่กล่าวถึงเรื่องนี้ พระภิกษุไปบิณฑบาตกลับมาฉันภัตตาหารแล้วไปสู่ที่สงบสงัด เช่น โคนไม้หรือเรือนว่าง แล้วก็นั่งลง ดำรงกายตรง ตั้งสติมั่น ชำระจิตให้ปราศจากนิวรณ์ คือเป็นประโยคสั้นๆว่าทำ ชำระจิตให้ปราศจากนิวรณ์ คุณควรจะลองไปทำดูเพื่อสังเกตดู ถ้าฉันข้าวแล้วไปสู่ที่สงัด ไม่มีอะไรก็ที่กุฏินั่นเองก็ได้ เพราะมันเป็นเรือนว่างได้ มันอยู่คนเดียวไม่มีใคร หรือจะไปที่โคนไม้ไหนก็ตามใจ แต่ที่บนกุฏินั้นก็ใช้ได้ เพราะว่ากุฏิแบบวัดเรานี้มันก็เป็นสุญญาคารอยู่ในตัว แล้วก็นั่งลงดูความรู้สึกว่าจิตนี้เป็นอย่างไร ผมจะใช้คำธรรมดาสามัญที่สุดที่เคยใช้อยู่เสมอๆว่าจิตเกลี้ยง ให้สอบดูว่าจิตมันเกลี้ยงหรือไม่เกลี้ยง ถ้าจิตมันอิ่ม อึดอัดมาด้วยอาหารที่ฉันเข้าไปด้วยความละโมบ ไม่ได้ฉันอย่างพระ อัดเข้าไป อัดเข้าไปจนอัดไม่เข้า แล้วก็ ก็ไปสู่ที่พักผ่อนอย่างนี้มันก็มีความมึนเมาด้วยความอิ่มนั้น นึกว่าเป็นนิวรณ์โดยแน่นอนหลีกไม่ได้หรอก คือถีนมิทธะ หดหู่ ซึมเซา ทำอย่างไรให้มันเกลี้ยง ก็ต่อสู้ด้วยวิธีใดก็ตามใจให้มันเกลี้ยง ที่จะให้ไอ้ความรู้สึกหดหู่ ซึมเซา ง่วงเหงาเพราะความอิ่มนั้นครอบงำจิตได้ ให้มันสลัดออกไปให้หมดให้เป็นจิตเกลี้ยง พร้อมที่จะคิดจะนึก จะขีดจะเขียน จะทำวิปัสสนาอะไรก็ได้ ถ้าทำสมาธิสำเร็จไอ้จิตก็เกลี้ยงแน่นอน เกลี้ยงไปจากนิวรณ์ทั้ง ๕ ทีนี้คนบางคนมันมีความรู้สึกครุ่นคิดในรูปแบบของกามารมณ์ คือความรู้สึกทางเพศตรงกันข้ามนั้นมารบกวนอยู่เสมอ เพราะอดีตหนหลังมีความจำได้อยู่ก็ ก็ดี หรือว่าเดี๋ยวนี้ร่างกายมันมีกำลังแห่งความรู้สึกทางกามารมณ์สะสมอยู่มาก ความรู้สึกทางกามารมณ์มันก็กวน จิตมันก็ไม่เกลี้ยง มันสกปรกรกรุงรัง กวัดแกว่งอยู่ด้วยความรู้สึกประเภทกามฉันทะ มันก็มีหน้าที่ทำให้เกลี้ยง หรือมิฉะนั้นนิวรณ์ที่ชื่อว่าพยาบาท คำๆนี้ไม่ใช่หมายถึงว่าพยาบาทฆาต อาฆาตเอาเป็นเอาตาย จองเวรจองภัยถึงขนาดชีวิตกันกับใครก็ไม่ต้องถึงอย่างนั้นหรอก แต่ก็มันมีความหมายคล้ายๆนั้น คือความรู้สึกชนิดที่เราไม่ชอบหน้าใคร สัตว์สังขารไรๆอยู่ แม้ที่สุดแต่เป็นความโทมนัสขัดใจอะไรอยู่ก็เรียกว่าพยาบาทในที่นี้ ถือเอาตามบาลีที่มีทั่วไปมากที่สุดเขาก็เรียกว่า อภิชฌา โทมนัสสัง มีอยู่ ๒ คำ อภิชฌา คำหนึ่ง โทมนัสสัง คำหนึ่ง เป็นคำใช้ในสติปัฏฐานสูตร แล้วเราก็ไม่ค่อยแปลกันหรอกคำนี้ สงวนไว้เป็นคำพิเศษไม่อยากแปล เรียกทับศัพท์ว่า อภิชฌา และ โทมนัส ทำสติหรือสมาธิเพื่อจะนำออกเสียซึ่งอภิชฌาและโทมนัส อภิชฌาความรู้สึกเป็นไปทางยินดีจะได้จะเอาอะไรต่างๆ แล้ว โทมนัสนั่นขัดใจ ไม่อยากได้ไม่อยากเอาคือยินร้าย ถ้าเราถูกด่า ถูกประมาท ถูกล้อเลียนถูกอะไรอยู่โดยบุคคลใด เราก็มีความโทมนัสค้างอยู่ในจิตใจ พอไม่มีอะไรอื่นรบกวน จิตมันก็จะประกอบอยู่ด้วยนิวรณ์ข้อนี้ คือข้อที่เรียกว่าโทมนัส ถ้าเราทำตนให้เป็นศัตรูกับใครอยู่ ไม่ได้มีมิตรภาพโดยรอบด้าน มันก็จะมีความโกรธบุคคล สัตว์ สังขารอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ เป็นความโทมนัสน้อยอกน้อยใจอะไรอยู่ ขัดเคืองอยู่ พยาบาทอยู่ โกรธแค้นอยู่ คิดแก้แค้นล้างแค้นอะไรอยู่ ทั้งหมดนี้ก็รวมเรียกว่าพยาบาท นิวรณ์ที่ ๒ เป็นคำบัญญัติเฉพาะในภาษาธรรมะในพระศาสนาอธิบายอย่างนี้ ถ้าเป็นคำชาวบ้านธรรมดาในภาษาไทยมันมีความหมายรุนแรงมากกว่านั้น พยาบาทมาดร้าย จะฆ่ากันให้ตายนั้นมันไปอีกความหมายหนึ่ง แต่มันก็คล้ายกันอย่างที่ว่าแหละคือไม่ชอบอะไรกัน ไอ้ความรู้สึกที่ไม่ชอบอะไรอยู่ แล้วเกิดขึ้น จิตมันไม่เกลี้ยง ใช้คำว่าไม่เกลี้ยง เช่นเดียวกับกามฉันทะรบกวนอยู่จิตไม่เกลี้ยง พยาบาทรบกวนอยู่จิตมันไม่เกลี้ยง ถีนมิทธะเมื่อสักครู่ที่พูดแล้วนั้นมารบกวนอยู่จิตมันไม่เกลี้ยง ทีนี้เหลือต่อไปอีกก็คืออุทธัจจกุกกุจจะ ความฟุ้งซ่านรำคาญ คือจิตมันฟูโดยมีอะไรมากระตุ้น มีความรู้สึกไปในทางฟู ฟุ้งซ่านระงับไม่ลง มันไม่ใช่เรื่องกามฉันทะ พยาบาท ถีนมิทธะ มัน มันอีกเรื่องหนึ่ง มันมีอาการเรื่อง เรื่องหนึ่ง เรื่องเส้นประสาทมันตื่นเต้นหรือเส้นประสาทมันตื่น ถ้าเป็นนักคิดนักเขียนเป็นได้ง่าย ผมเองก็เป็นได้ง่าย รู้สึกได้ดี คือมันคิดอะไรสนุกเพลินไป หยุดไม่ได้ ก็เป็นความฟุ้งซ่าน บางทีกลางคืนนี่หยุดไม่ได้จนกระทั่งหลับไม่ได้ นอนไม่หลับ ความคิดมันฟุ้งซ่าน มันสนุก มันไหลไปเป็นเรื่องเป็นราวมากมายก่ายกอง จะจดจะบันทึกจะเขียนอะไรก็ไม่ไหว นอนไม่หลับก็กระสับกระส่ายฟุ้งซ่าน ทีนี้ถ้าคนธรรมดาตามปกติ ชาวไร่ชาวนาซึ่งไม่มีเรื่องมากอย่างนี้มันก็มีทางจะฟุ้งซ่านได้เหมือนกัน เพราะมีอะไรเกิดขึ้นกระตุ้นจิตให้ ให้เพ้อไปในเรื่องนั้นๆ แล้วก็มีอีกคำต่อท้ายว่ากุกกุจจะคือความรำคาญ นี่ก็มีอีกความหมายหนึ่งรำคาญอะไรอยู่ เป็นโรคเส้นประสาทแล้วมันก็ขี้มักรำคาญ ไม่มีอะไรนักมันก็เอามารำคาญได้มากจนถึงกับว่าไม่มีความสุขแหละ มันไวต่อความรู้สึกเกินขนาดมันก็รำคาญได้ เสียงรถเสียงรา เสียงหมูเสียงหมาเสียงอะไรมันก็เอามารำคาญได้ แล้วก็มีรอยแห่งความรำคาญเหลืออยู่ รำคาญๆจนไม่รู้ว่ามันรำคาญอะไร มันหงุดหงิดๆอยู่ นี่เรื่องจิตไม่เกลี้ยง ฟุ้งซ่านก็ไม่เกลี้ยง รำคาญก็ไม่เกลี้ยง เรียนจากหนังสือไม่รู้หรอกต้องไปเรียนจากความรู้สึกจริงๆเมื่อมันมีขึ้นจริงๆ อุตส่าห์จับตัวมันให้ได้ ชิมรสมันให้แรงๆ นี่เป็นความคิดของผมนะ เมื่อนิวรณ์เกิดขึ้นอย่างใดอย่างหนึ่งก็ให้ชิมรสของนิวรณ์นั้นแหละเสียให้ถึงพริกถึงขิง ให้สะใจให้ถึงใจเลย ขอให้นิวรณ์อันไหนเกิดขึ้นมาแล้วก็ชิมรสมันให้รู้จักมัน มันไม่อาจจะรู้จักได้จากอ่านหนังสือหรือพูดให้ฟัง ฉะนั้นก็ชิมรสมันทุกนิวรณ์ กระทั่งนิวรณ์สุดท้ายที่เรียกว่าวิจิกิจฉา ผมเข้าใจว่าหลายๆ หลายๆคนนี่ยังไม่รู้จักวิจิกิจฉา นอกจากรู้ในห้องเรียนถ้าเคยเรียน ครูบอกว่าอย่างนั้นความหมายอย่างนั้นก็จดไว้แล้วก็อยู่ที่นั่น วิจิกิจฉาคือความที่จิตฟุ้งซ่านชนิดหนึ่งเหมือนกัน มันเป็นเรื่องของความยึดมั่นถือมั่น คือความมันไม่ ไม่แน่ใจลงไปในความปลอดภัยหรือในความเจริญก้าวหน้า คุณไปสังเกตดูเถอะคุณจะมีความไม่แน่ใจ รู้สึกไม่แน่ใจในความปลอดภัยของชีวิตหรือของอะไรก็สุดแท้ และไม่แน่ใจในความก้าวหน้าว่าเราจะก้าวหน้าในทางโลกทางธรรม หรือก้าวหน้าในอะไรก็ตามมันไม่แน่ใจว่าจะก้าวหน้า มันคาราคาซังติดอยู่ที่นั่น นี่ที่จะมีได้มากมีได้ง่าย รู้สึกอะไรก็บอกไม่ค่อยถูกหรอก แต่มันไม่พอใจในความเป็นอย่างนี้ โดยที่มันไม่แน่ใจว่านี่ดีแล้ว นี่ถูกแล้ว นี่เพียงพอแล้ว เรียกว่าวิจิกิจฉา แต่ที่เราจะศึกษาให้ลึกให้ไกลออกไปนั้นมันก็ยังมีอีกหลายเรื่อง นี่ผมจะพูดเฉพาะไอ้เรื่องที่มัน มันเกิดอยู่จริง คือจิตของเราไม่ถึงความแน่ใจลงไปว่าเรามีความปลอดภัยหรือมีความเจริญก้าวหน้าในศาสนาในโลก ถ้าดึกๆเราออกมานั่งข้างนอกห้อง ว่าจะทำสมาธิหรืออะไรก็ตาม แล้วเราก็ไม่แน่ใจในความปลอดภัยเราก็ขี้ขลาดเสีย นี้เป็นต้น มันมีความขลาดความอะไรเข้ามาอยู่ในเรื่องของความไม่แน่ใจหรือความลังเลนี้เสีย ไปชิมรสของมันโดยตรงให้มันถึงที่สุดเถอะแล้วมันจะละลายหายไปตามธรรมชาติ ถ้าทำให้ถูกวิธีมันก็ละลายเร็ว ทีนี้มันยังมีไอ้วิจิกิจฉาอีก อื่นๆอีกหลายรูปแบบ เช่น คุณอาจจะลังเลว่าไอ้บวชนี้ไม่ได้ประโยชน์เสียแล้ว ไอ้บวชนี้ไม่ได้ประโยชน์เสียแล้ว ไอ้บวชนี้ไม่ใช่สิ่งดีที่ ที่สุดสำหรับเราเสียแล้ว หรือไม่ถูกกับเรื่องของเราเสียแล้ว ไอ้ความลังเลในการบวชหรือความเป็นพระมันก็ ก็ลังเล ก็รวนเร มันอาจจะไกลไปถึงว่าลังเลในความเป็นพระพุทธเจ้าของพระพุทธเจ้า ลังเลในความเป็นพระธรรมของพระธรรม ลังเลในความเป็นพระสงฆ์ของพระสงฆ์ ว่ามันจะไม่ดีแน่ถูกแน่อย่างที่เคยคิดเสียแล้ว นี่มันอาจจะไปไกลถึงอย่างนั้น มีคนว่าๆกันเองไม่มีใครรับผิดชอบ เราก็จะเสียเวลาเปล่าที่มาเกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา หาสาระอะไรไม่ได้ นี่มันไปไกลสุดเหวี่ยงถึงขนาดนั้นได้ แต่ที่มันอยู่ใกล้ๆตัวนี่มันมาก มันมีมากเลยความลังเล ความไม่แน่ใจในสิ่งที่เรากำลังกระทำอยู่ แม้ว่าไม่ได้บวช ทำการงานอยู่ที่บ้าน มันก็ลังเลได้ว่าอาชีพนี้เหมาะสำหรับเราหรือไม่ หรือว่าอาชีพที่เรากำลังประกอบอยู่นี้มันจะดำเนินไปถึงที่สุดอย่างที่หวังไว้จริงหรือไม่ ถ้าความลังเลอย่างนี้เกิดขึ้นเมื่อไรจิตมันก็ไม่เกลี้ยง เต็มไปด้วยไอ้ความรู้สึกรำคาญ อีกความหมายหนึ่งคือรำคาญชนิดที่เป็นทุกข์น้อยๆ จิตที่ไม่เป็นสมาธิเพราะนิวรณ์รบกวนมันเป็นความทรมานน้อยๆตามแบบของจิตที่ไม่เกลี้ยง ไม่สงบ ไม่อิสระ ไม่ปกติ ถ้าว่าบังเอิญเราได้พบความมีจิตเกลี้ยง เป็นอิสระ ปกติ สงบเย็นอะไรสักคราวหนึ่งแล้วก็รีบชิมมันเสียให้มากๆ มันจะมีประโยชน์ คือมันเอาไอ้ มันอาจจะเอามาไล่ไอ้ความรู้สึกที่เป็นนิวรณ์นี้ได้โดยง่าย เกลี้ยงมันอย่างนี้โว้ย, ไอ้เกลี้ยงมันอย่างนี้โว้ย, แล้วให้ไอ้ภาวะความเกลี้ยงของจิตนี่ประจักษ์จริง พอนึกถึงความเกลี้ยงอย่างนั้นขึ้นมาแหละนิวรณ์มันจะกระจัดกระจายไปได้ จิตมันตกกลับไปสู่ภาวะเกลี้ยงได้ นี่คือหลักทั่วไปที่จะต้องมีไว้ใช้มันเป็นอย่างนี้ เมื่อนิวรณ์เกิดขึ้นก็ชิมมันเข้าไป ชิมมันเข้าไปเดี๋ยวแหละมันรู้รสๆ รู้รส รู้รสจนเกิดเบื่อเกิดระอา เกิดเกลียดเกิดอะไรและหายก็ได้ อยากก็มันจะแรงขึ้น เพราะว่าเดี๋ยวนี้ก็เรากำลังมีสติมีปัญญาศึกษามัน ชิมมัน พิสูจน์มัน วิจัยมัน พอว่านิวรณ์รบกวนจิตก็จับตัวนิวรณ์มาอยู่ในความรู้สึก เหมือนกับจะจับสัตว์ตัวนั้นมา มาชำแหละอย่างนี้ มันรบกวนจิตเหมือนกับแมลงที่มารบกวน แมงวันก็ดีแมงหวี่ก็ดีมันมารบกวนเรา ไล่มันไปมันมา ไล่มันไปมันมา ไล่มันไป ไล่มันก็มาจนกว่าจะตีมันให้ตายหรือว่าทำอย่างใดอย่างหนึ่ง เมื่อแมงหวี่มันรบกวน เราก็ศึกษาอะไรได้ดีๆเหมือนกันแหละ ศึกษา โดยเฉพาะเรื่องนิวรณ์นี่มันเป็นอุปมาของนิวรณ์อย่างดี และมันก็ได้ทำให้เกิดนิวรณ์อย่างรุนแรงคือความรำคาญอย่างรุนแรงขึ้นมาทีเดียว จะอดกลั้นอดทนอย่างไรก็ลองดูจนกว่าความรำคาญนี้มันจะสลายไป
เอาแล้วขอให้นึกถึงคำที่พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้ ตั้ง ตั้งตัวตรง นั่งลง ตั้งตัวตรง ดำรงสติมั่น คอยชำระจิตให้ปราศจากนิวรณ์ ใช้คำอย่างนี้และก็ไม่ได้แนะว่าทำอย่างไร นั่งลง คอยชำระจิตให้ปราศจากนิวรณ์ ไม่ได้ตรัสโดยละเอียดว่าให้ทำอย่างไร ทำอย่างไรเพราะว่ามันเป็นเรื่องที่ใครๆก็ควรจะรู้ และใครๆก็ควรจะต่อสู้ด้วยตนเอง แต่ความคิดหรือความรู้สึกเลวๆเกิดขึ้นจะทำอย่างไร กามฉันทะก็ดี พยาบาทก็ดี ถีนมิทธะก็ดี อุทธัจจกุกกุจจะก็ดี วิจิกิจฉาก็ดี แล้วก็มอบบทเรียนให้ว่าคุณทำเอาเอง ทำให้จิตมันเกลี้ยงจากสิ่งเหล่านี้ ตั้งแต่ฉันข้าวแล้วไปจนเที่ยง แล้วก็จนบ่ายจนค่ำ ให้จิตมันเกลี้ยงไปทั้งวันทั้ง ๒๔ ชั่วโมง ไปหาความเกลี้ยงเอาเอง ที่ไปทำสมาธิจนสำเร็จ จนเกิดปฐมฌาน ทุติยฌานนั้นแน่นอนแหละจิตมันเกลี้ยงจากนิวรณ์ นี่ก็เป็นวิธีการอันหนึ่ง เป็นเทคนิคเป็นอะไรสมบูรณ์แบบของมัน ถ้าทำได้มันก็เกลี้ยงจากนิวรณ์ เดี๋ยวนี้คนที่ไม่สามารถจะทำสมาธิให้เกิดปฐมฌานเป็นต้นได้มันมีอยู่มาก เขาจะกำจัดนิวรณ์ของเขาได้อย่างไร คือว่าเขาจะต้องทำในใจถึงอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ซึ่งเป็นวิปัสสนา เป็นสัจธรรม แล้วมันก็ทำไม่ได้เพราะจิตมันไม่เกลี้ยง เพราะนิวรณ์มันคอยกวนอยู่เรื่อย จะพิจารณาอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาข้อไหนมันก็ไม่ได้ ฉะนั้นไอ้ปัญหาในเบื้องต้นก็คือว่าทำอย่างไรจะให้จิตมันเกลี้ยง อย่าไปคิดอะไรให้มากในชั้นแรกนี้ ไปนั่งทำให้มันเกลี้ยงดู พรุ่งนี้ก็ได้ กินข้าวแล้วไปนั่งลงตรงไหน และมีจิตเกลี้ยงไม่มีนิวรณ์อะไรไปจนถึงเพล เดี๋ยวก็ลุกไปอาบน้ำอาบท่า ฉันอาหารอะไรก็ได้ก็ ก็ไม่มีนิวรณ์อีกเหมือนกัน แล้วกลับมานั่งอีกมันก็ไม่มีนิวรณ์อีกเหมือนกัน จนกระทั่งบ่ายกระทั่งเย็นก็ไม่มีนิวรณ์รบกวนจิตอีกเหมือนกัน จนกระทั่งค่ำลง ก็ใจคอปกติ เกลี้ยงจนกว่าจะถึงเวลาจะหลับด้วยสติ บำเพ็ญชาคริยานุโยคพร้อมกันไปในตัว คือมีสติตื่นอยู่อย่างเต็มที่จนกว่าจะถึงเวลาหลับลงไปด้วยสตินั้น ที่เรียกว่าแบบสีหไสยา ไปศึกษาดูจากรูปภาพเรื่องไอ้ชาติหมาในโรงหนัง เรื่องสีหไสยาที่ศึกษาได้ดีที่สุด ไม่มีนิวรณ์กวน เต็มสำนึกก็ดี ใต้สำนึก พึงสำนึกก็ดี ไม่มีนิวรณ์กวน ทำจิตได้อย่างนี้มันก็มีผลเหมือนกันแหละ เขาว่าจะได้บรรลุปฐมฌาน ทุติยฌาน ซึ่งนั่นมันยังยากเกินไป จะทำก็ได้ เมื่อสมัครจะทำก็ทำก็ได้ แต่มัน มันยากเกินไปและมันจะทำได้เฉพาะคน ที่ทุกคนต้องทำก็ประโยคนี้ประโยคที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าดำรงสติ ชำระจิตให้ปราศจากนิวรณ์ทุกอย่างใน ๕ อย่างนี้ ต้องไปศึกษาให้รู้จักตัวนิวรณ์นั้นจากตัวนิวรณ์จริงๆก่อน แล้วพอมันเกิดขึ้นจะได้รู้จัก และจะสลัดมันได้อย่างไรก็ใช้วิธีธรรมดาสามัญไปก่อน เรียกว่าเป็นมวยวัดบ้าๆบอๆไปก่อน ถ้ามันง่วงขึ้นมาก็ไปล้างหน้า ไปอาบน้ำ ไปทะลึ่งตึงตังอะไรเสียให้มันหายง่วง หายมึน หายซึม แล้วแต่จะทำโดยวิธีใดดีกว่า ให้มันเก่งขึ้นมาเองจนรู้สึกว่าจิตก็เกลี้ยงจากกามฉันทะ จากพยาบาท ถีนมิทธะ กระทั่งวิจิกิจฉา นี่เป็นไม่ นี่คือเป็นเรื่องใหญ่ เรื่องใหญ่มากไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยนะ พูดแล้วคล้ายกับพูดเล่นเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ว่านี่ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย ไม่ใช่เรื่องสำหรับพูดเล่น ดังนั้นคุณยอมใช้เวลากับมันดู มันจะเข้ารูปแบบของบรรพชิตของความเป็นพระอย่างแท้จริงยิ่งขึ้นๆ จนพูดด้วยคำสั้นๆง่ายๆว่าอยู่ด้วยจิตเกลี้ยง อยู่ด้วยจิตเกลี้ยง เป็นอยู่หายใจเข้าออกอยู่ด้วยจิตที่มันเกลี้ยงก็แล้วกัน ก็มอบหมายให้ทุกคนไปทำเอาเองให้มันเกลี้ยงอย่างไร แล้วก็ไปศึกษาเพิ่มเติมจากพระบาลีจากคัมภีร์ จากการทำสมาธิอานาปานสติ ภาวนาอะไรก็ได้ แต่ในชั้นนี้สู้รบปลุกปล้ำกับนิวรณ์ให้มันรู้จักตัวนิวรณ์จริงๆเสียก่อน แล้วสู้โดยวิธีที่เรียกว่าสามัญสำนึกของคนทุกคน จะสู้ได้อย่างไร ยังไม่ทำตนเป็นโยคีสมบูรณ์แบบ ทำสมาธิ ทำสมาบัติอะไรยัง ยังไม่พูดถึง ทีนี้มันยังมีอะไรอีกนิดหนึ่งซึ่งควรจะรู้ไว้เหมือนกัน คือว่าถ้าเราจัดการเป็นอยู่ของเราดี อาหารการกิน ไอ้นุ่งห่มอะไรถูกต้องดี นิวรณ์ก็เกิดยากเหมือนกัน เกิดยากขึ้นอีกเท่าไร จิตมันจะปกติหรือมันเกลี้ยงง่ายขึ้นอีกหน่อยหนึ่ง ดังนั้นก็เรียกว่าไอ้สิ่งแวดล้อมที่ดีนี่ช่วยให้จิตปราศจากนิวรณ์ได้ส่วนหนึ่งเหมือนกัน ฉะนั้นเรากินอาหารให้ถูกต้อง นุ่งห่มให้ถูกต้อง มีเพื่อนฝูงให้ถูกต้อง อย่ามีเพื่อนฝูงชนิดที่คอยแหย่กัน หาเรื่องโกรธเกลียดกันนี่ ให้มันมีสิ่งแวดล้อมที่ถูกต้อง อากาศก็ดี เย็นดีตามธรรมชาติ นี่ก็เรียกว่าแวดล้อมดี ไอ้นิวรณ์ก็เกิดยาก ที่อิริยาบถก็มีความเกี่ยวข้องกัน ถ้านั่งมันให้โอกาสแก่นิวรณ์นักก็ไปเดิน เดินอย่างที่เขาเรียกว่าเดิน เดินจงกลมนั่นแหละ เดินด้วยสติ นิวรณ์มันก็เกิดยาก หรือที่มันเกิดอยู่บางอย่างมันอาจจะหลุดไป ฉะนั้นเปลี่ยนมันอยู่ที่ตรงนี้ เดิน ยืน นั่ง นอน ๔ อิริยาบถนี้ มันเหมือนกับว่าขยับขยายให้นิวรณ์หลุดร่วงไปได้เหมือนกัน อิริยาบถนอนนั่นต้องรู้จักจับให้ดีๆเดี๋ยวมันชวนให้หลับ ชวนให้เป็นนิวรณ์ไปเสียอีก มันง่วงอยู่แล้วไปนอนเข้ามันก็หลับ เพราะฉะนั้นการที่จะไปนอนชนิดเป็นประโยชน์แก่การทำจิตนี่มันก็ต้องเป็นท่านอนที่ ที่เหมาะสม ไอ้ ไอ้เก้าอี้นอนเอนๆแหละ เก้าอี้ที่มันโยกเยกได้นิดหน่อยแล้วมัน มันนอน นอนเล่นกันนั่น อย่างนี้ยังๆ ยังมีประโยชน์ พอทอดตัวลงไปบนเก้าอี้ชนิดนี้แล้วก็สำรวจดูจิตว่าเป็นอย่างไร หรือถ้าไปนอนตะแคงสีหไสยานั้นหมายถึงมันเตรียมหลับ นี่ถ้าว่านอนไม่หลับ ไม่ให้หลับ นอนเพื่อไม่ให้หลับ เพียงแต่ว่ามันแก้เมื่อยหรือว่าจะดูจิต ก็นอนในท่าที่นอนเล่น เมื่อเลือดลมมันเดินปกติดี ร่างกายมีสุขภาพอนามัยดี สิ่งแวดล้อมอย่างที่ว่ามาแล้วทุกอย่างดีจิตมันเกลี้ยงง่าย จิตมันเกลี้ยงง่าย นิวรณ์ก่อขึ้นมายาก แล้วจะมาเกาะมารบกวนก็ยาก สังเกตดูเอาเองก็แล้วกันว่าเมื่อไรจิตมันเกลี้ยง จำภาวะเกลี้ยงไว้ให้ดีๆ สมมติว่ามันไปที่ชายทะเลแล้วจิตมันเกลี้ยง ก็จำความเกลี้ยงไว้ให้ดีๆ เมื่อนั่งเรือบินอยู่บนที่สูงๆจิตมันเกลี้ยง ก็รู้จักความเกลี้ยงไว้ให้มันดีๆ บางทีมันไม่เกลี้ยงก็ได้ หรือถ้าเราต้องทำอะไรที่มันเกิดนิวรณ์มันก็เกิดนิวรณ์ทั้งนั้น แต่ว่าไอ้ที่อย่างนั้นมันช่วยให้เกลี้ยงง่ายกว่า ไปที่ชายทะเล เกลี้ยงง่าย ขึ้นบนยอดเขาสูงสุด เกลี้ยงง่าย ขึ้นเรือบิน ทำตัวเหมือนกับขึ้นไปเหนือโลกมันก็เกลี้ยงง่าย นี้ผมเรียกว่าศึกษาเอาจากตัวธรรมชาตินั่นเอง ดีกว่าที่จะศึกษาจากหนังสือหรือคำบอกเล่า แต่ว่าไม่ใช่ว่าเราจะเว้นจากไอ้การศึกษาจากหนังสือคำบอกเล่า มันก็บอกเล่าหรือว่าอ่านกันมามากมายแล้ว เดี๋ยวนี้ไม่รู้จักตัวจริงกันเสียบ้าง ฉะนั้นหัดเป็นอยู่ด้วยจิตเกลี้ยง ควบคุมจิตให้เกลี้ยง พอมีอะไรไม่เกลี้ยงก็ให้รู้สึกทันที ให้ด่ามันตวาดมัน หรือว่าลงโทษมัน คนโบราณเขาใช้คำว่าเขกกบาลมัน เคาะหน้าแข้งมัน มันเจ็บนี่ไอ้นิวรณ์นั้นมันก็เกลี้ยงไป เกลี้ยงไประยะหนึ่งเพราะมันเจ็บ ก็ไปเลือกเอาเองสิว่าอะไรมันจะใช้ได้ในการที่จะไล่นิวรณ์กะทันหันแล้วมาตั้งตัวกันใหม่ มาตั้งจิตกันใหม่ มาตั้งตัวกันใหม่
ขอให้ถือเสียว่าไอ้คนแรกพบวิชานี้ก็ไม่ใช่มีใครสอน มันเรียนจากภายใน เขาก็รู้สึกจากภายในว่าวันนี้ทำไมจิตของเรามันเป็นอย่างนี้ จะคิดอะไรก็ไม่ออก อ้าว! เดี๋ยวมันก็พบว่า อ้าว! จิตนี้มันมีอะไรรบกวนโว้ย! แล้วก็มันสังเกตอยู่เรื่อยๆ ไม่เท่าไรโยคีคนนั้นมันก็จับเรื่องนิวรณ์เรื่องไอ้นี้ได้ เพราะมันไปอยู่ป่าเพื่อจะหาโอกาสศึกษาค้นคว้าเรื่องลึกซึ้งทางจิตใจ แล้วนิวรณ์เกิดขึ้นเป็นอุปสรรคกั้นกลางขวางอยู่ มันก็รู้จักไอ้หน้าของนิวรณ์ มันก็พยายามที่จะสลัดไปโดยวิธีใดก็ตาม ตามที่จะค้นคว้าเอาเองทดลองได้เอง ไอ้กว่าจะพบวิธีทำจิตเป็นสมาธิ มีฌาน ปฐมฌานเป็นต้นนี่มัน มันทีหลังมากแหละมันไกลมาก แล้วเขาก็พบมาตามลำดับ พบวิธีสามัญสำนึกตามลำดับ ค้นวิธีไอ้เทคนิคที่ของผู้เชี่ยวชาญค้นคว้าเฉลียวฉลาดตามลำดับ แล้วก็บอกๆกันมา สั่งสอนกันมา เรื่องวิธีแก้ความง่วงในหนังสือพุทธประวัติเล่มหนึ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสแก่ใคร พระโมคคัลลานะหรือใครนั้นมันก็รวมอยู่ในพวกกำจัดนิวรณ์อย่างธรรมชาติตามธรรมชาติ ไม่ได้สอนให้มี ให้ ให้ทำสมาธิเป็นปฐมฌาน ทุติยฌานอะไร นี่เราก็ใช้วิธีนั้น ผมอยากจะยืนยันว่าให้ทุกคนพยายามใช้การค้นคว้าตามวิธีของธรรมชาติจากธรรมชาติด้วยตนเองให้สุดเหวี่ยงเสียก่อน จึงค่อยมานึกถึงไอ้ข้อความในพระบาลีในพระไตรปิฎก มันจะง่าย จะง่ายขึ้นอีกมาก เดี๋ยวนี้เรามันไม่รู้จักอะไรเสียเลย ไม่รู้จักลมหายใจ ไม่รู้จักความรู้สึกที่เป็นกิเลสนิวรณ์อะไรต่างๆ เอ้า! ทีนี้ก็จะขอพูดเสียเลยว่ามันไม่ใช่ ไม่ใช่เรื่องสำหรับบรรพชิตนะ มันไม่ใช่เรื่องสำหรับบรรพชิตอย่างเดียวโดยเฉพาะ มันเรื่องสำหรับชาวบ้านด้วย พวกชาวบ้านทั้งหลายก็ควรจะมีจิตปราศจากนิวรณ์ เพื่อจะทำการงานในหน้าที่ของตนนับๆ นับมาตั้งแต่เด็กๆที่มันจะเรียนหนังสือหนังหา เข้าโรงเรียนเข้ามหาวิทยาลัยอะไรก็ตาม ในห้องเรียนนั้นมันควรจะเป็นอยู่ด้วยจิตที่ปราศจากนิวรณ์ มันก็เรียนดี คิดดี จำเก่ง ตัดสินใจเก่งอะไรเก่งมันก็สำเร็จประโยชน์ ทีนี้คนที่ทำการงานคิดนึก ทำการงานด้วยสมอง มันก็ต้องปราศจากนิวรณ์มันจึงจะคิดนึกหน้าที่การงาน บัญชางานสั่งงานอะไรได้ดี ผมเป็นคนสังเกตอยู่บ้าง ผมสังเกตเห็นว่าไอ้เวลาที่ฝรั่งมันมาเดินมือไขว้หลัง เดินไปเดินมาอยู่ที่เฉลียงบ้านชั้นบนมันมีมาก แล้วมันมีมากกว่าคนไทย คนไทยมันคงไปซุกหัวนอนเสียที่ไหน ในเมื่อฝรั่งมันมาเดินไขว้หลังเดินไปเดินมาอยู่ที่เฉลียงเรือนชั้นบนเพื่อชำระจิตให้ปราศจากนิวรณ์ แล้วก็คิดพินิจพิจารณาในหน้าที่การงานของตน เขาจึงเป็นบุคคลประเภทที่ทำงานใหญ่โต งานสำคัญงานใหญ่หลวง มีทุนเป็นร้อยล้านพันล้านหมื่นล้านอะไรได้ ไม่ล้มละลาย ดังนั้นจึงถือว่าเรื่องนิวรณ์นี้ไม่ใช่เรื่องของนักบวชที่อยู่ในป่าอย่างเดียว เป็นปัญหาสำหรับทุกคนเลย ขอให้ทุกคนรู้จักทำจิตให้เกลี้ยงจากนิวรณ์ แล้วก็จะได้กำไรที่สุดเลย คือการงานก็ประสบความสำเร็จ การพักผ่อนก็เป็นความสุขที่แท้จริง มันได้ทั้ง ๒อย่างอย่างนี้ ถ้ามันมีนิวรณ์เสียแล้วการทำการงานดำเนินงานทางมันสมองก็ไม่สำเร็จ และเวลาพักผ่อนมันก็รบกวน มันไม่เป็นการพักผ่อนที่แท้จริง นี่ให้จิตมันเกลี้ยงมันเป็นโมกขะ จิตเกลี้ยงไม่มีนิวรณ์ ชีวิตนี้ก็มีราคาสูงสุด ถ้าอย่างไรก็ฝึกไอ้เรื่องจิตเกลี้ยงนี้ไว้ให้เป็นนิสัยหรือตลอดชีวิต ตลอดชีวิตของเรา จนกระทั่งว่ามันจะตายลงไปก็ขอให้มันตายด้วยจิตเกลี้ยง อยากจะให้ใช้คำว่าจิตเกลี้ยง ถ้าใช้คำว่าจิตว่างแล้วมันจะมาก มากไปกว่าความหมายของนิวรณ์ ในกรณีที่เกี่ยวกับธรรมดาสามัญอย่างนี้ เกี่ยวกับนิวรณ์นี้จะขอใช้คำว่าจิตเกลี้ยง ขอให้ทุกคนอยู่ด้วยจิตเกลี้ยง แล้วมันก็เป็นจิตว่างอยู่ในตัวเอง อยู่ในตัวเอง แต่ว่าความหมายของคำว่าจิตว่างนั้นยังไกลกว่านี้ ไปไกลกว่านี้มาก เดี๋ยวนี้เอากันเพียงจิตเกลี้ยง แล้วก็รู้จักละอาย มันก็ช่วยได้มากนะ หิริโอตัปปะ ละอายและกลัวนี้ช่วยได้มาก เมื่อเพื่อนเขามีจิตเกลี้ยงได้แล้วเราเกลี้ยงไม่ได้นี้เราก็ควรจะละอาย ทีนี้ถ้าเด็กๆมันมีจิตเกลี้ยงได้ แต่เราหัวหงอกแล้วจิตไม่เกลี้ยงได้มันก็ควรละอายสิ ฉะนั้นดูไอ้เด็กๆ เด็กๆนี่มันมีจิตเกลี้ยงอยู่มากนะ มันจึงเรียนเก่งจำเร็วอะไรต่างๆได้ เราก็ละอายเด็กเพราะเด็กมันมีจิตเกลี้ยงมากกว่าเรา ทีนี้ดูลงไปอีกถึงหมาถึงแมว มันก็ยังมีจิตเกลี้ยงมากกว่าคนนะ เพราะว่าจิตของสัตว์มันไม่มีวิวัฒนาการประเภทที่เก่งในทางความคิดความนึก ความรู้สึก นั้นมันจึงมีจิตหยุด จิตเกลี้ยงจิตอะไรได้มาก มันๆ มันไม่ถูกไอ้ความรู้สึกทางกามารมณ์กระตุ้นอยู่ตลอดเวลาเหมือนคนนะ สัตว์ สัตว์ สุนัขก็ดีอะไรก็ดีไอ้การรู้สึกทางกามารมณ์มันมีเป็นพักๆ ชั่วเวลาไม่กี่วันในหนึ่งปี แล้วมันโกรธ อาฆาตพยาบาทกันไม่ค่อยเป็นหรอก จะเอาสัญญาในอดีตมาคิดนึก เกลียดน้ำหน้าคนนั้นเกลียดน้ำหน้าคนนี้มันก็ทำไม่ได้ นี่สัตว์มันทำไม่ได้ เพราะฉะนั้นไอ้เรื่องพยาบาทของมันก็น้อย เรื่องถีนมิทธะนี่ชักจะสงสัย อาจจะมีง่าย แต่ดูแล้วมันก็ไม่ได้ซึมเซาอะไรนัก หลับเหมือนกับไม่หลับ พอผมออกไปนี่มันลุกขึ้นทันที มันไม่ได้เป็นถีนมิทธะอะไรมากมาย แต่ว่ามัน มันชอบหลับแหละ มันชอบพักผ่อน มันพักผ่อนมาก พอเผลอเขาก็ต้องนอนแหละสุนัขนี่ แต่ไม่ถึงกับจัดให้เป็นไอ้ถีนมิทธะเสียเหลือเกิน มันยังว่องไวอยู่ ทีนี้ไอ้เรื่องฟุ้งซ่านและรำคาญนี่มัน มันมีได้ยากแหละเพราะมันคิดไม่เป็น สมองไม่เคยทำหน้าที่คิดอย่างเดือดพล่านเหมือนกับมนุษย์ ไอ้ความฟุ้งซ่านมันก็ไม่ค่อยมี ไอ้เรื่องรำคาญมันก็ไม่ค่อยมีเพราะความยึดถือมันน้อย ส่วนวิจิกิจฉานั่นมันเกิดยากแหละเพราะว่ามันไม่ได้หมายมั่นอะไร หวังอะไร ไอ้เรานี้มันหวัง หวังมาก หวังหลายเรื่องและหวังมากๆ แล้วความลังเลว่าจะผิดหวังมันก็รบกวนอยู่เรื่อย นั่นแหละก็วิจิกิจฉาอยู่เรื่อย ไอ้สุนัขหรือแมวนี้มันไม่ได้คิดจะไปนิพพานหรือไม่ได้คิดจะเป็นเศรษฐี หรือไม่ได้คิดจะมีชื่อเสียงอะไร มันไม่ได้หวังอะไร แล้วในความหวังมันก็ไม่ทำให้เกิดความสงสัยหรือลังเลว่าจะได้หรือไม่ได้ ดังนั้นเรามองดูสัตว์ชนิดนี้แล้วรู้สึกว่ามันมีจิตเกลี้ยงกว่าเรา นิวรณ์รบกวนมันน้อย แต่นี่ไม่ใช่วิเศษวิโสอะไรมันเป็นธรรม สัญชาติธรรมดาของสัตว์เดรัจฉานที่วิวัฒนาการยังต่ำอยู่ ถ้ายิ่งไปดูไอ้สัตว์ที่มันต่ำกว่าสุนัขลงไปอีกก็ยิ่งเห็นว่าเป็นอย่างนั้นมากขึ้นไปอีก ไปดูปลาดูอะไรก็ไปดูเถอะมันจะมีพวกกิเลสนิวรณ์อะไรน้อยไปกว่านี้อีก เพราะระดับวิวัฒนาการของมันต่ำมาก ส่วนมนุษย์นี่มันมีวิวัฒนาการถีบขึ้นมาสูงมาก มันสามารถที่จะทำอะไรทางจิตทางวิญญาณมาก เพราะฉะนั้นปัญหาในทางจิตทางวิญญาณมันจึงมีมาก มีกิเลสหลายระดับเต็มที ก็จะเอาอย่างไร ก็เราจะเป็นมนุษย์นี่ แล้วมันก็ต้องดันไปข้างหน้า ดันทุรังไปข้างหน้าให้มันทะลุ ให้มันออกไปข้างหน้าแหละ มันก็หาวิธีที่มันดี วิเศษ แยบคายสำหรับมนุษย์ เพื่อความเจริญทางจิตใจและสติปัญญา ก็เรียกว่าอบรมจิต อย่าทอดทิ้ง อย่าคิดว่าเป็นเรื่องที่เราควรจะหลบหลีกเสีย เพราะว่าถ้าคิดนั้นไม่ถูก วันนี้เรามันเป็นมนุษย์ มันต้องมีภาระอย่างมนุษย์ ต้องทำอะไรอย่างมนุษย์ ให้คิดนึกถึงพระพุทธภาษิตที่ว่า อธิจิตฺเต จ อาโยโค เอตํ พุทฺธาน สาสนํ บทสวดมนต์ดูเหมือนจะสวดอยู่ทุกวันนั่นแหละ อนูปวาโท อนูปฆาโต ปาติโมกฺเข จ สํวโร มตฺตญฺญุตา จ ภตฺตสฺมึ ปนฺตญฺจ สยนาสนํ อธิจิตฺเต จ อาโยโค เอตํ พุทฺธาน สาสนํ อธิจิตฺเต จ อาโยโค คือทำอาโยคในอธิจิต อาโยคคือทำให้ถูกต้องทั่วถึง คำว่าอานั้นมันแปลว่าถูกต้องทั่วถึง อาโยค ประกอบอยู่อย่างถูกต้องทั่วถึงในอธิจิต ทีนี้อธิจิตนั้นก็แปลว่าจิตที่ยิ่งกว่าจิตธรรมดา ยิ่งกว่าจิตที่ไม่ได้รับการอบรม ยิ่งกว่าระดับธรรมดาของมนุษย์ อย่างนี้เรียกว่าอธิจิต เมื่อเราเป็นมนุษย์แล้วมันก็มีหน้าที่ที่จะต้องอบรมจิตให้เป็นอธิจิต ไม่ใช่ไปลดระดับไปสู่ไอ้สัตว์เดรัจฉาน ไม่ใช่ ที่เอามาพูดนี่หมายความว่าให้รู้จักเปรียบเทียบเพื่อให้รู้ข้อเท็จจริงบางอย่างว่ามันมีอะไรน้อยกว่าเรา มันมีความพักผ่อนมากกว่าเรา เป็นสุขกว่าเรา แต่เราทำอย่างนั้นไม่ได้ เพราะเราจะต้องเป็นมนุษย์ในระดับมนุษย์สูงสุด แล้วพระบาลีนั้นแหละวิเศษมากนะ พูดแล้วก็พูดไปเสียเลยดีกว่า อนูปวาโท อย่าเป็นคนปากร้าย อนูปฆาโต อย่าเป็นคนประทุษร้าย ปาติโมกฺเข จ สํวโร สำรวมให้ดีในระเบียบวินัย มตฺตญฺญุตา จ ภตฺตสฺมึ รู้ประมาณในการบริโภค ปนฺตญฺจ สยนาสนํ เสพครบแต่เสนาสนะอันสงัด อย่ามาคลุกคลีกันเป็นหมู่ เสพครบเสนาสนะอันสงัดที่มันส่งเสริมความมีจิตเกลี้ยง แล้วก็ อธิจิตฺเต จ อาโยโค นี่คือตัวทำจิตให้เกลี้ยงอยู่ทั้งวันทั้งคืน ทั้งวันทั้งคืน แล้ว เอตํ พุทฺธาน สาสนํ นี้เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ไอ้ที่มี ๓ บทสั้นๆว่า สพฺพปาปสฺส อกรณํ กุสลสฺสูปสมฺปทา สจิตฺตปริโยทปนฺ เอตํ พุทฺธาน สาสนํ นั้นมันย่อเกินไป เป็นหัวข้อที่ย่อเกินไป ส่วนอันหลังนี้ท่านตรัสไว้พอจะถือเป็นหลักปฏิบัติได้ครบถ้วน ฉะนั้นอุตส่าห์จำกันไว้ให้ดีๆ ไว้ให้ตักเตือนตนเอง อนูปวาโท อย่าพูดร้ายแก่กันและกัน อนูปฆาโต อย่าทำร้ายแก่กันและกัน อย่าคิดร้ายหรืออย่าลงการกระทำด้วยมือด้วยเท้าด้วยกายที่มันร้าย นี่ก็เป็นเรื่องทำให้อยู่สงบสุข จิตมันก็เกลี้ยงเอง ถ้าเราไม่มีร้ายๆอะไรอยู่กับใคร ไอ้พยาบาทมันก็มีไม่ได้ ดังนั้นก็จิตก็เกลี้ยงจากพยาบาทได้โดยง่าย ถ้าเราเป็นคนชอบพูดร้ายและกระทำร้ายหรือคิดร้ายนี้ยากที่จะจิตมัน ยากที่จิตจะเกลี้ยง จิตมันจะชินไปในทางประทุษร้ายพยาบาท ฉะนั้นอย่าเอาไอ้ของมีค่าไปแลกของไม่มีค่า อย่าไปเห็นแก่เรื่องเล็กน้อยๆ สันดานเดิม กิเลสเดิม ความเป็นนักเลงอะไรมาแต่เดิมอะไรนี้อย่าเอาไว้เลยมันไม่มีค่าอะไร เอาคุณของสมณะที่มีค่ามากไว้ดีกว่า อุตส่าห์สละความกินความนอนอย่างสบาย เล่นหัวอย่างสบายอะไรนั่นสละๆ สละออกไปเสีย มีความเป็นพระมากขึ้นแล้วจิตมันก็เกลี้ยงง่ายเอง พระพุทธภาษิตบทนี้ควรจะคล่องปากแล้วก็คล่องใจ ก็คล่องกายคือปฏิบัติอยู่ พูดก็ได้คล่อง ปฏิบัติอยู่ก็ได้คล่อง คิดนึกก็ได้คล่องว่า อนูปวาโท การไม่กล่าวร้าย อนูปฆาโต การไม่ประทุษร้าย ปาติโมกฺเข จ สํวโร สำรวมอย่างดีในระเบียบวินัย มตฺตญฺญุตา จ ภตฺตสฺมึ รู้ประมาณในการบริโภค ปนฺตญฺจ สยนาสนํ เสพครบแต่เสนาสนะอันสงัด อธิจิตฺเต จ อาโยโค ประกอบความเพียรในการทำจิตให้ยิ่ง เอตํ พุทฺธาน สาสนํ นี้คือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย หรือว่านี้คือหลักปฏิบัติของพระพุทธเจ้าทั้งหลายก็แล้วกัน
วันนี้เราพูดเรื่องนิวรณ์ แต่พูดหมดทั้งกระบิ หมดทั้งเบื้องหน้าเบื้องหลัง เบื้องต่ำเบื้องสูง ก็ดีเมื่อพูดแล้วก็พูดให้หมดเปลือก พูดให้สิ้นเชิง ให้มันสำเร็จประโยชน์ที่จะจำไว้เป็นเรื่องๆหนึ่ง แล้วก็ขอให้เห็นตามที่เป็นจริงว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เล็กน้อย เรื่องนี้คือความเป็นพระทั้งหมดในขั้นหนึ่งทีเดียว คือการทำจิตให้เกลี้ยงนี่คือความเป็นพระที่ดีที่สุด ที่สมบูรณ์ที่สุดในระดับหนึ่ง ตอนหนึ่ง ระยะหนึ่งทีเดียว ขอให้พระเณรทุกองค์ยึดหลักทำจิตให้เกลี้ยงอยู่ทั้งกลางวันและกลางคืน แม้กวาดขยะอยู่ก็ทำจิตให้เกลี้ยงได้ แม้จะฉันอาหารอยู่ อุจจาระปัสสาวะอยู่อะไรก็ระวังให้จิตมันเกลี้ยงอยู่เสมอไป ไอ้ยาเสพติดทั้งหลายทำให้จิตไม่เกลี้ยง ฉะนั้นอย่าไปอาลัยอาวรณ์เรื่องบุหรี่เรื่องอะไรต่างๆเหล่านี้เลย มันเป็นการทำลายตัวเองมากไป เอาแล้วปัญหาข้อเดียวว่าไอ้จิตท้อแท้นั้นมันคือถีนมิทธะ ในทางกายบ้าง ในทางระดับจิตบ้าง ระดับวิญญาณคือสติปัญญาบ้าง ฉะนั้นทางร่างกายก็ทำให้เข้มแข็งเข้าไว้ ระบบจิตก็ทำให้เกลี้ยงให้มั่นคงเป็นสมาธิเข้าไว้ ทางสติปัญญา ความรู้หรือปรัชญาอะไรแล้วแต่จะเรียก นั่นก็ให้มันถูกต้องเข้าไว้ แล้วมันท้อแท้ไม่ได้ มันจะรวมกันแล้วเข้มแข็งที่สุดแหละ ทางกายก็ถูกต้อง ทางจิตก็ถูกต้อง ทางวิญญาณก็ถูกต้อง physically mentally spiritually ที่ฝรั่งมันใช้คำพูดกันอยู่ คำว่า spiritually อะไรนี้ฝรั่งพูดมากที่สุด แม้แต่ในหนังสือพิมพ์รายวันนี้ก็พบบ่อยเลย ฉะนั้นทำจิตให้เกลี้ยงมันก็จะได้รู้สึกเย็น เย็นบอกไม่ถูกเลย เมื่อจิตเกลี้ยงนะมันเย็น มันเป็นสุข มันหยุด มันเย็น มันปกติ มันอิสระ ไม่มีอะไรมาบีบคั้น ข่มขี่ รบกวน จึงจะเรียกว่าจิตเกลี้ยง ไม่ต้องพูดถึงว่ามันจะท้อแท้ อ่อนเพลียอิดโรย มันหมดเวลาพอดี ที่พูดนี่ ๑ ชั่วโมงพอดี ข้อเดียว ปัญหาข้อเดียว ไปยอมรับหรือนับเอาปัญหาที่ถามข้อนี้ไว้ใน ในเรื่องที่ว่าชำระสะสางความเป็นพระของเราให้ดีที่สุด ให้เป็นประโยชน์ที่สุด แล้วมันจะเลยไปถึงข้อที่ ๒ เอง ไอ้ความที่เคยเป็นพระของเรานี้จะมีประโยชน์ที่สุดต่อไปในอนาคตแม้จะออกไปเป็นฆราวาสอีกก็ตาม เรื่องมันควรจะมีอย่างนี้ ดังนั้นรีบทำให้ความเป็นพระในระหว่างที่บวชนี้ให้มันเป็นที่แจ่มแจ้ง ถ้าใจแจ่มแจ้งและก็ทำได้ ปฏิบัติได้ตามสมควร ความที่เคยผ่านอันนี้มา ความเจนจัดอันนี้มันก็จะมีประโยชน์ในอนาคต ออกไปเป็นฆราวาสที่มีจิตที่มีสมรรถภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจิตนี้ปกติอยู่เสมอ ทำอะไรได้ดีที่สุด มันไม่สูญเสียไอ้ความทรงตัว ไม่ถอยกำลังไม่อะไร เอาแล้วหมดเวลาแล้ว ขอปิดประชุม