แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ค่ำวันอาทิตย์มันเป็นเวลาที่กำหนดไว้สำหรับการถามและการตอบปัญหา แล้วแต่ว่าหากใครจะมีปัญหาอย่างไร ขอให้เข้าใจกันไว้ด้วย ในวันก่อนนั้นพูดพิเศษเหมือนกับปฐมนิเทศ และผมก็อยากจะพูดอยู่เหมือนกัน ในข้อที่ว่าให้ผู้ที่บวชชั่วคราวนี่รู้จักใช้ประโยชน์ให้มากที่สุด ในการที่มาอยู่ ในการเป็นอยู่แบบนี้ ที่เขาก็เรียกกันว่าพระป่า พระเถื่อน อะไรก็ตาม ถ้าอยู่อย่างพระเมือง พระบ้าน ก็อยู่กันอีกอย่างนึง เดี๋ยวนี้เรามาอยู่อย่างพระเถื่อน พระป่า จะถือเอาประโยชน์จากการอยู่ในป่านี้อย่างไร และให้ได้มากที่สุดสักเท่าไร นั่นแหละเป็นเรื่องที่ต้องคิด และต้องทำให้ดีที่สุด อย่าให้พลาดโอกาสอันนี้ไปเสีย มิใช่ว่าเราจะได้อยู่อย่างอยู่ป่าตลอดไป ในการอยู่อย่างอยู่บ้านนั้น หรือแม้วัด วัดบ้าน ไม่มีโอกาสได้ทำอะไรบางอย่างคล้ายกับอยู่ป่า เรียกว่าจะต้องถือโอกาสอันนี้ให้ได้ ให้มากที่สุด
พอมาอยู่ตามธรรมชาติในป่า ไอ้ความเป็นตัวของตัวเองมันก็มากขึ้น เพราะว่าป่าก็ไม่รบกวนอะไร เมื่อเรามีความเป็นตัวเองมากขึ้น ความรู้สึกคิดนึกอะไรต่างๆมันก็ผิดกัน จากเมื่อเราไม่อาจจะเป็นตัวเองเต็มที่ ในทางร่ายกายเราก็เป็นตัวเองมาก ทางจิตใจก็เป็นตัวเองมาก ทางสติปัญญานั้นก็ปล่อยฟรีเลย ป่าปล่อยให้ฟรีเลย ถ้าอยู่ในบ้าน ในเมือง มันมักจะปิดบังความรู้ ความคิด สติปัญญา รูปแบบของการคิด การนึก ตามที่ได้ศึกษามา เป็นปรัชญานั่นนี่ นั่นมันไม่ทำให้เราเป็นอิสระ พอมาอยู่อย่างอยู่ป่ามันก็เป็นอิสระ ในด้านร่างกายก็เป็นอิสระ ด้านจิตก็เป็นอิสระ ด้านสติปัญญาก็เป็นอิสระ ขอให้ถือโอกาสนี้หาให้พบไอ้ความรู้อะไรบางอย่างที่มันยิ่งขึ้นไป ยิ่งๆขึ้นไป
อยู่กุฏิข้างในๆลึกๆเข้าไปมันก็มีโอกาสที่จะออกมานั่งที่เฉลียงหน้ากุฏิคนเดียว ก็ลองๆรำพึง เรียกว่ารำพึงดีกว่า ทบทวน ยังไม่คิดอะไรก่อนก็ได้ แต่ก็ทบทวนความรู้สึกต่างๆที่ได้ผ่านมา ว่าเรามันเคยโง่อย่างไร เรามันเคยฉลาดอย่างไร ฉลาดน้อยไป หรือโง่น้อยไปเท่าไหร่ ในสิ่งไรที่เราควรจะฉลาดมากกว่านั้น นี่คือข้อที่ควรจะทบทวนส่วนตัวก่อน แล้วจึงค่อยมองเลยไปถึงผู้อื่น หรือมองไปถึงโลกที่เป็นวงกว้างเท่าที่เราได้ผ่านมามากหรือน้อยไม่เหมือนกันทุกคน แต่ก็มีหนทางที่จะมองโลกอันกว้างขวางในที่มืด นั่งอยู่มืดๆคนเดียว มองโลกอันกว้างขวางได้กว่าที่จะไป เที่ยวไปกลางวันสว่างๆ ที่นั่น ที่นี่ ไปดูนั่น ดูนี่ มันๆเห็นกันคนละอย่าง และเห็นได้มากน้อยกว่ากัน และก็เดี๋ยวนี้มันดูในด้านจิต ด้านวิญญาณ ไม่ใช่ดูในด้านวัตถุ ที่เราไปด้วยตัวเอง ไปที่นั่น ที่นี่ ดูนั่น ดูนี่ ศึกษาอย่างที่เค้าไปดูๆกัน มันเป็นเรื่องวัตถุ ดูในด้านวัตถุ มีปัญหาเรื่องวัตถุ เดี๋ยวนี้เราหลับตาดูในที่มืด ดูโลก ดูทุกอย่างในด้านจิต ด้านวิญญาณ เราจะรู้อะไรมากพอที่จะเอาไปใช้ให้เป็นประโยชน์ในอนาคต จะเข้าใจในสิ่งต่างๆดีขึ้น โดยการดูทุกอย่างที่มันผ่านเข้ามาแล้วในจิตใจของเรา อย่างนี่เขาเรียกในภาษาวัด ภาษาศาสนาว่า ดูข้างใน มองเข้าไปข้างใน ขอให้สนใจเรื่องการมองเข้าไปข้างในให้มาก แล้วก็จะได้ประโยชน์คุ้มกันกับการที่ออกมาเป็นพระป่า พระเถื่อน
ในป่าก็มีต้นไม้ และก็มีโคนไม้ ในโคนไม้นี้ต้องทราบด้วยว่ามันมีอะไรพิเศษอยู่ ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วพระพุทธเจ้าคงจะไม่ตรัสบ่อยๆ ไล่ให้ไปที่โคนไม้ นั่นโคนไม้ ก็คงจะนั่งกันยู่ที่บนกุฏิ หรือว่าที่ศาลา ที่โล่ง ที่แจ้ง พอเสร็จจบการสนทนาพระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสไล่ นั่นโคนไม้ ไปที่นั่น แล้วก็ปิดประชุม ไล่ภิกษุให้ไปที่โคนไม้แล้วก็ปิดประชุม ขอให้สนใจไอ้สิ่งที่เรียกว่าโคนไม้กันบ้าง มันมีอะไรผิดจากที่ไม่ใช่โคนไม้เป็นแน่ ขอให้ลองดู
ข้างกุฏิของใครก็ล้วนแต่มีโคนไม้กันทั้งนั้น อย่างที่ผมเคยพูดว่าไปนั่งโคนไม้มันเป็นเกลอกับธรรมชาติมากกว่าตรงที่อื่น ได้รับอิทธิพลจากธรรมชาติมาก บางทีอากาศออกซิเจนจะมากกว่านั่งในกุฏิ สำหรับในทางจิตใจนั้นเรียกว่ามันพ้นจากความผูกพัน คุณไปศึกษาเรื่องอย่างนี้กันด้วยตนเองดีกว่า ว่าเมื่อนั่งอยู่ในห้อง ในกุฏิ มันรู้สึกอย่างไร แล้วออกจากกุฏิมานั่งข้างนอกมันรู้สึกอย่างไร ลงไปข้างล่าง ไปนั่งที่โคนไม้มันรู้สึกของมันเองอย่างไร หรือไปที่โล่ง ที่แจ้ง โดยเฉพาะกลางคืน ระเบียบการใช้ที่โล่ง ที่แจ้งนั้น ใช้กลางคืนเมื่อไม่มีแดด เมื่อไปที่โล่ง ที่แจ้ง มันรู้สึกของมันอย่างไร พยายามเข้าใจความแตกต่างเหล่านี้ แล้วถือเอาประโยชน์จากสิ่งเหล่านี้ให้ได้ ให้มากที่สุด
ผมเคยเตือนให้สังเกตุว่าเรานั่งกันกลางทรายในสภาพที่นั่งอยู่อย่างนี้ กับที่นั่งในห้องเรียน ในโรงเรียน ในวิทยาลัย ในมหาวิทยาลัยอย่างนั้น มันต่างกันอย่างไร ขอให้มองในส่วนจิตใจ คือด้านจิต ด้านวิญญาณ ไม่ใช่ทางด้านวัตถุ มันให้ผลทางด้านจิตใจต่างกันอย่างไร จะพยายามทำความเข้าใจ ไม่เท่าไรก็จะเข้าใจไอ้คำที่ว่า เดี๋ยวก็ตรัสไล่ไปโคนไม้นั้น ตรัสไล่ไปนั่งโคนไม้อยู่นั่น นี่พระพุทธเจ้าตรัสมากที่สุดในบาลีในสูตรทั้งหลาย ให้ไปทำให้ได้สิ่งที่ควรจะได้ และไม่ต้องเสียใจทีหลัง ท่านใช้คำอย่างนี้เหมือนกัน ประโยชน์อะไรที่ผู้ออกบวชหวังจะได้ ก็ทำให้มันได้ แล้วก็ไม่ต้องเสียใจทีหลัง ขออย่าได้ทำเล่นกับชีวิตแบบนี้ แบบนักบวชอย่างของพระพุทธเจ้านี้ ซึ่งก็ต้องขอเรียกว่าพระป่า พระเถื่อน ไปตามเดิม นี่คือข้อที่อยากจะๆพูด หรือพูดกันจนเข้าใจ นี่สำหรับไอ้ระบบการป็นอยู่ การกิน การอยู่ การนอน การทำการงาน การอะไรต่างๆ เรียกว่าการเป็นอยู่แบบวัดนี้ ก็แปลกจากวัดอื่น พวกฝรั่งเขาไปเขียนหนังสือบางเล่ม เขาเขียนในรูปว่า ปฏิรูปของพุทธศาสนายุคปัจจุบัน มีเขียนถึงสวนโมกข์ มีเขียนถึงข้อที่พระที่สวนโมกข์นี่ทำอะไรๆไม่เหมือนวัดอื่น หรือไม่เหมือนที่มันเป็นอย่างที่เขาทำๆกันอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีวันกรรมกร ฝรั่งบางคนมาวัดนี้พอดีกับที่เป็นวันกรรมกร พระทุกองค์กำลังเป็นกรรมกร ยังมาถามผมเลยว่านี่มันเรื่องอะไรกัน หรือว่ามันมุ่งหมายอย่างไร มันทำไมจึงไม่มี ไม่มีที่อื่น ฝรั่งเขามักจะถามแล้วเอาไปเขียน เห็นเป็นการปรับปรุง และเปลี่ยนแปลง บางทีก็ถามว่าทำไมที่นี่ไม่เห็นมีหีบ หีบที่วางไว้สำหรับให้ใส่สตางค์ มีบางคน มีฝรั่งบางคนถามว่าทำไมที่นี่ไม่มีหีบ เขาเรียกกันว่า Charity Box คือหีบที่มีรูให้ใส่สตางค์ ถือเป็นเรื่องที่แปลก ไม่เหมือนที่อื่น แล้วก็ถาม มันก็ถูกนะ เรามันอยู่อย่างไม่จำเป็นจะต้องเหมือนที่อื่นก็ได้ ถ้าเราเห็นว่าอะไรจะดี มีประโยชน์ เราก็เอาของเราอย่างนั้น ไม่จำเป็นว่าจะต้องเหมือนที่อื่น ที่มันเหมือนกันก็มี นี่ก็เพราะว่าอยากจะให้มีการเป็นอยู่ชนิดที่เป็นการขูดเกลา ช่วยจำคำว่าความขูดเกลา หรือการขูดเกลาไว้ด้วย ที่เป็นบาลีเขาเรียกว่าสัลเลขธรรมๆ แปลว่าขูดให้เกลี้ยง ก็อยากจะเป็นอยู่ชนิดที่เป็นการขูดเกลา ก็ขอให้ทราบว่าเรื่องขูดเกลานี้ไม่ใช่สนุกนัก เหมือนเอามีดมาขูดเนื้อร้ายออกไป ให้เนื้อมันสะอาด มันก็มีการเจ็บปวดด้วย แล้วจะได้ความสะอาดมา เราจะต้องพบกับไอ้ความรู้สึกที่ว่าเจ็บปวดนี่บ้าง แต่มองให้ดีๆ มันเป็นการขูดเกลา ไม่ใช่การทำให้เจ็บเฉยๆ ให้ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงจากอย่างหนึ่งไปสู่ความเป็นอย่างหนึ่ง เราชอบระบบอย่างนี้ จึงมีการเป็นอยู่ กินอยู่อะไรก็ตาม ที่มันเป็นการขูดเกลา
มีคนพูดกระทบกระทั่ง บอกว่ามันบ้าอย่างไรกัน แกล้งให้เป็น (นาทีที่ 18:06) ลำบาก ให้ตื่นตั้งแต่ดึกมาสวดมนต์มานี้ ผมก็บอกว่าผมไม่ได้บังคับ เป็นเรื่องที่ตกลงกันเอง ว่าทำอย่างนั้นมันได้ผลดีกว่า เสียสละความสุขในการนอนมาทำอะไรๆที่มันเป็นการขูดเกลา นอนสายนั้นไม่เป็นการขูดเกลา ตื่นแต่ดึกนั้นเป็นการขูดเกลา ขูดเกลานิสัย ขูดเกลากิเลส ขูดเกลาอะไรอยู่ในตัวมันเอง วันกรรมกรนั้นก็เป็นการขูดเกลา ลองทำดูมันขูดเกลาอะไรได้หลายอย่าง อย่างน้อยที่สุดก็ให้เกิดความรู้สึกว่า ที่ทำอะไรโดยไม่ได้อะไรตอบแทนอย่างที่เราเคยทำนั้น มันเป็นอย่างไร ทีนี้ในโลกนี้ดูเหมือนกับว่าถ้าไม่ได้รับอะไรตอบแทนแล้วเขาจะไม่ทำกัน ที่เรามันจะมีหลักอย่างอื่นว่า เราจะทำชนิดที่ไม่มีอะไรตอบแทนเป็นวัตถุตรงไปตรงมานี้ยิ่งขึ้น แต่ว่าไม่มีอะไรตอบแทนเสียทีเดียวมันก็ไม่ถูกหรอก มันได้รับการตอบแทนทางจิต ทางวิญญาณ ไม่ได้รับการตอบแทนทางวัตถุ สิ่งของ รางวัล หรือแม้แต่การเอาอกเอาใจ การพูดว่าขอบคุณอย่างนี้มันก็ไม่ได้ ไม่ได้รับ มันไม่ได้รับในด้านวัตถุ แต่มันจะไปได้รับในด้านจิตใจที่มันเป็นการขูดเกลา อย่างน้อยก็ทำให้รู้สึกอะไรบางอย่าง ถ้าเรามุ่งหมายให้เหงื่อนี่มันขูดเกลาความเห็นแก่ตัว ให้เหงื่อนี่มันล้าง ชะล้างความเห็นแก่ตัวไปเรื่อยๆ ขอให้สังเกตุดู
รวมความแล้วมันก็ว่ามันเป็นการเป็นอยู่ เป็นระบบการเป็นอยู่อีกระบบหนึ่ง ซึ่งเป็นการอยู่อย่างที่มีความขูดเกลา ถ้ามีการขูดเกลาแล้วก็เรียกว่าพรหมจรรย์ ถ้าไม่มีการขูดเกลาไม่เรียกว่าพรหมจรรย์ พระพุทธเจ้าเองท่านก็ได้ตรัสไว้ว่าพรหมจรรย์นี้เป็นไปเพื่อความขูดเกลา พรหมจรรย์อื่นไม่ทราบ แต่ว่าพรหมจรรย์นี้เป็นไปเพื่อความขูดเกลา เพราะส่วนใหญ่ก็หมายถึงขูดเกลากิเลส กิเลสมันไปสรุปรวมอยู่ตรงที่คำว่าความเห็นแก่ตัว แตกลูกไปเป็น โลภะ โทสะ โมหะ เป็นอะไรก็ได้ แต่ว่าขั้วของมันอยู่ที่ความเห็นแก่ตัว ฉะนั้นเราก็ขูดเกลาความเห็นแก่ตัว ความหมายมั่นเป็นตัว เป็นของตัว เป็นสิ่งที่ต้องขูดเกลาอยู่เสมอ การเป็นอยู่อย่างต่ำยิ่งกว่าขอทานเสียอีก นี่มันก็เป็นการขูดเกลามานะทิฐิ ความกระด้างด้วยทิฐิ กระด้างด้วยวรรณะ กระด้างด้วยอะไรต่างๆ
การเป็นพระนี่ก็อยู่อย่างเป็นขอทานชนิดหนึ่ง ให้สังเกตุดูให้ดี ต้องไปฝึกหัดการถ่อมตัว การที่ไปบิณฑบาต ไปขอทาน ไปบิณฑบาต ให้เป็นบทเรียนที่ดีบทหนึ่งทีเดียว เมื่อไปบิณฑบาตเป็นโอกาสสำหรับบทเรียนบทดีที่ดี บทนี้ไปทำลายความกระด้างด้วยทิฐิ ความถือตัว ความอะไรต่างๆ แม้จะเรียกว่าทำตามประเพณีของนักบวช หรือทำตามประเพณีของพระพุทธเจ้าก็ตามใจ อันนั้นมันเป็นเรื่องประเพณี แต่เดี๋ยวนี้ผลที่ได้หมายถึงการถ่อมตัว ถ้าเป็นพระอรหันต์แล้วก็ไม่ต้องมีบทเรียนอะไรกันอีก แต่ถ้ายังไม่เป็นพระอรหันต์ก็ขอให้ทุกๆอย่างมันเป็นบทเรียน คุณคงจะรู้สึกกันอยู่แล้ว ผมทายได้ว่าบางองค์ก็คงจะรู้สึกอย่างนั้น บางอาค์ก็คงจะรู้สึกอย่างนี้ ไปขอทานตามบ้านเรือนของคนยากจน บางทีของคนที่ไม่ค่อยจะมีระเบียบ ไม่ค่อยจะมีวํฒนธรรมอะไรในเรื่องความสะอาดเรียบร้อย ถ้าไปคิดถึงไอ้เรื่องอย่างนี้แล้วก็คงจะฉันไม่ได้ คือกลัวมีเชื้อโรคติดมา ไอ้ความไม่สะอาดของอาหารที่ได้รับ ที่ว่าถ่อมตัวนั้นขอๆให้หมายความว่า นักบวชเขาจัดไว้เป็นปูชนียบุคคล ทำไมกลายเป็นขอทาน ไปเป็นอยู่อย่างต่ำสุด ไปอยู่อย่างต่ำสุด ไปขอทานจากคนที่ยากจนเข็ญใจก็มี นี่เป็นเรื่องที่เรียกว่าบทเรียน มันเป็นบทเรียน แต่บางคนเขาไม่นึก เขาเดินคุยกันไป เดินสูบบุหรี่กันไป เรียกว่าไปตามธรรมเนียมจริงเหมือนกัน ไปบิณฑบาต ไม่ๆมีความรู้สึกคิดนึกอยู่ภายในใจอย่างลึกซึ้ง ขอแนะนำว่าอย่าให้เป็นอย่างนั้น อย่าเป็นเวลาที่คุย เดินคุยกันไป ถ้ามันมีเรื่องจะต้องพูดบ้างก็พูดได้ แต่อย่าให้เดินคุยกันไป มันเป็นเรื่องที่ไปด้วยสติสัมปชัญญะ ไปเพื่อประโยชน์อะไร
มันผิดกันมากที่ไปบิณฑบาตตามถนนในกรุงเทพ กับบิณฑบาตแถวนี้ ผิดกันมาก ผมก็เคยอยู่กรุงเทพ เคยบิณฑบาตกรุงเทพอยู่ตั้ง ๒ ปี รู้ดีว่ามันเป็นอย่างไร รู้ดีว่าในจิตใจของพระที่ไปบิณฑบาตอย่างในกรุงเทพนี้เป็นอย่างไร อย่างที่นี่ทำอย่างไร แรกๆมีสวนโมกข์นี้ มันมีแต่ป่ารก หญ้ารก เดินไปบิณฑบาตกลับมามันก็เปียกด้วยน้ำค้าง บางทีเราต้องเอาเด็กๆตามหลังไปด้วย ช่วยกันถางหญ้าที่มันออกมา ๒ ข้างทาง พอให้เดินสะดวก อย่างนี้เคยทำมาแล้ว พอมาถึงตอนนี้มันไม่มีแล้ว เขาๆปรับปรุงกันเอง เป็นถนนใหญ่ เป็นอะไรก็ตาม ก่อนนี้เด็กๆต้องไปช่วยถางทางที่พระบิณฑบาตเอง ไม่งั้นมันเปียกมากเกินไป
เวลาที่ไปบิณฑบาตนั้นมีค่ามากเหมือนกัน จิตมันเป็นอิสระอย่างหนึ่ง ถ้ามันถ่อมตัวได้ความคิดมันเกิดออกมาแปลกๆ หรือว่าไปบิณฑบาตไกลๆ ไปตามธรรมชาติ อากาศบริสุทธิ์ เพราะอากาศบริสุทธิ์ทำให้ความคิดเฉียบแหลม คิดอะไรออกมาได้มาก ผมจึงได้ความคิดอะไรแปลกๆพิลึกเมื่อกำลังเดินไปบิณฑบาต ทางฝ่ายนี่ ออกจากนี้ไปตรงเขาน้ำผุด แล้วเลยไปถึงบ้านสุดท้าย ที่เลยเขาน้ำผุดไปอีกหลายนาที เดินตรงนี้ก็ว่าง ไม่ค่อยมีบ้านมากอย่างนี้ บางวันก็เดินตามรอยเสือไป เสือลงมาเมื่อคืน ก็มาถึงหน้าวัดแล้วกลับไปบ้าง เสือไม่เคยเลยหน้าวัดไปถึงหมู่บ้าน มาใกล้ๆหน้าวัดเราแล้วก็กลับ ตื่นเช้าก็เห็นรอย เราไปก่อนใครๆ รอยเสือยังไม่ทันจะลบ ก็ได้เห็นทุกอย่าง เห็นดอกไม้ เห็นแมลง ให้เกิดความคิดที่มันแหลมลึกลงไปในทางธรรม พอกลับมาถึงวัด ลืมหมด ไอ้ความคิดลึกๆลืมหมด แล้วเสียดาย ไม่รู้จะทำอย่างไร ทีหลังไม่ยอม เอาดินสอไปด้วย ดินสอ น้ำหมึกเอาไปด้วย แล้วเขียนมาพอกันลืม เขียนมาในฝ่ามือ พอกันลืม มาถึงวัดแล้วก็รีบๆๆ บันทึก จากหัวข้อนั้นก็เป็นเรื่องเป็นราว มันก็บอกได้เลยว่าไอ้เรื่องต่างๆที่พวกคุณอ่านกันนั้น ก็มีไม่น้อยที่มันเกิดขึ้นในลักษณะอย่างนี้ เมื่อไปบิณฑบาตนึกได้แล้วเขียนเอามา แล้วต่อมาเอามาเขียนเป็นเรื่องเป็นราว มาพูดมาจา มาสั่งสอนในวงกว้าง มาตั้งแต่แรกครั้งกระโน้น
เพราะอากาศตอนเช้ามันดี มันอะไรก็ดี หัวมันแหลมมันก็คิดออกนึกได้ สนุกสนานไปทีเดียว กว่าจะไปถึงหมู่บ้าน ถึงบ้านที่เขาใส่บาตร ก็หยุดไปนิดนึง หยุดคิดไปนิดนึง พอเลยออกอีกก็คิดได้ต่อไปอีกก่อนจะกลับมา ให้ถือว่าการไปบิณฑบาตก็เป็นบทเรียน หรือเป็นการเข้าโรงเรียนเสียก็แล้วกัน โรงเรียนชั้นวิเศษ โรงเรียนแบบที่เรียนกันด้วยจิต ด้วยวิญญาณ ไม่ใช่เรียนด้วยหนังสือ ลองดูบ้าง ถ้าไปทางด้านฝ่ายทิศเหนือนี่ต้องระวัง มีควาย เดี๋ยวควายจะขวิดเอาไม่ทันรู้ แต่ถ้าไปฝ่ายทางนี้ไม่ค่อยมี ไปตามในป่า ถ้าเป็นครั้งพุทธกาล เขาออกบิณฑบาต เขาไปๆจนกว่าจะได้ มันไม่ๆแน่ ไม่แน่นอนตายตัว ไปทางนี้ทางไหนเป็นประจำมันไม่มี มันเหมือนกับไปเที่ยวขอทาน ไปกว่าจะได้ ได้แล้วก็ไปหาที่ฉัน จะกลับมาฉันที่วัดก็ไม่ไหว มันไปกันไกลนัก หรือมันไม่สะดวก หรือมันไม่มีธรรมเนียม ไปสะดวกด้วยน้ำด้วยท่า ที่ลำธาร ที่ตรงไหนก็สุดแท้ ก็ฉัน ฉันเสร็จแล้วจึงจะกลับมาวัด บางทีก็ถือโอกาสพักผ่อนตามป่าที่สงบสงัดก็มี ตอนบ่ายจึงจะกลับมาวัดอย่างนี้ก็มี มันแล้วแต่ว่าเป็นพระระดับไหน เป็นพระเด็กๆ เป็นพระผู้ใหญ่ เป็นพระเถระก็ไปตามเรื่อง การไปบิณฑบาตนั้นคือไปหาอาหารฉันนั่นเอง ไกลจนกลับมาฉันที่วัดไม่ไหวก็ต้องฉันเสียก่อน จะเหลือมาฉันที่วัดอีกก็ได้
อย่างที่เราทำกันอยู่เวลานี้ ที่นี่ มันก็เรียกว่าพอดีแล้ว ไปเข้าโรงเรียน เมื่อเดินไปบิณฑบาตเขาเรียกว่ากำลังเข้าโรงเรียน กว่าจะกลับมาถึงวัด พอมาถึงวัดแล้วโรงเรียนก็เปลี่ยน เป็นโรงเรียนอย่างอื่นต่อไปอีก ก็ทำอย่างนั้น อย่างนี้ อย่างโน้น เรื่อยไป เรียกว่าโรงเรียนของเราเปลี่ยนเรื่อย นี่ก็หมายความว่าขอให้ทุกอย่างมันเป็นโรงเรียน ถ้าจะคิดว่าไปเข้าโรงเรียนต่อเมื่อนั่งฟังพระบรรยายด้วยหนังสือนักธรรมนี่ก็โง่เต็มที นั่นมันก็โรงเรียนจริง แต่มันสู้โรงเรียนอย่างที่ว่าไม่ได้ โรงเรียนที่เรียนด้วยความรู้สึก ด้วยสติปัญญาโดยธรรมชาติ จากธรรมชาติ ตามธรรมชาติ แล้วให้เรียนตัวเอง คือเรียนเข้าไปในจิตใจ ในความรู้สึกของตัวเอง และให้เป็นการสอบไล่ด้วยเสร็จไปในตัว วันนี้เลวกี่มากน้อย ไปบิณฑบาตวันนี้มีเรื่องผิด เรื่องถูก เรื่องดี เรื่องชั่วกี่มากน้อย ให้มันเสร็จ ให้มันสอบไล่เสร็จไปในตัว มีความคิดเลวๆเกิดขึ้นเมื่อไปเห็นสัตว์ สิ่งของ ผู้หญิง ผู้ชาย อะไรก็ในขณะนั้นๆ ก็ให้รู้ว่าไอ้จิตใจมันเป็นอย่างไร ก็ถือเป็นการสอบไล่เสร็จ วันนี้เลว หรือไม่เลว ดี หรือไม่ดี ให้รู้สึกคิดนึกอะไรบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเข้าไปในบ้าน ในเรือน ที่มันมีผู้หญิง มีเด็ก มีอะไร
เอาเป็นอันว่าพอตื่นขึ้น ให้ตั้งต้นที่ตื่นนะ พอตื่นนอนเข้า ก็เข้าโรงเรียนทันที ลุกขึ้นมาอาบน้ำ ล้างหน้า ล้างตา เป็นการเข้าโรงเรียนหมด กระทั่งมานั่งทำวัตรเช้าที่นี่ ก็เป็นการเข้าโรงเรียน ต้องมาสวดบทสวดด้วยจิตที่เป็นสมาธิพอสมควร สวดให้ดีมันต้องสวดด้วยจิตที่เป็นสมาธิพอสมควร มันจึงจะถูกต้อง รู้ความหมายของคำที่สวด ถ้าเป็นเรื่องทำวัตรเช้า ทำวัตรเย็น จิตใจจะต้องซึมซาบไปด้วยความหมายของคำที่สวด โดยเฉพาะในพระพุทธคุณนั้นๆ คนเขาเคยเปรียบเทียบไว้ให้ฟังว่า ให้ทำเหมือนกับว่าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าทั้งเช้า ทั้งเย็น คือในขณะที่ทำวัตรเช้า ทำวัตรเย็นนั่นเอง ให้เป็นเหมือนกับว่าเราไปเฝ้าพระพุทธองค์ นี่ก็ต้องทำด้วยจิตใจในการสวด ความหมายของคำที่สวดมันครอบงำจิตใจของเรา จนเกิดปิติปราโมทย์บ้าง จนเกิดความรู้แจ้งเห็นจริงบ้างอะไรไปตามเรื่อง นี่เป็นการเข้าโรงเรียนอย่างยิ่ง แม้ที่สุดแต่ระวังสวดให้ถูก มันก็เป็นการเข้าโรงเรียนอยู่ในตัว นี่ผมจะต้องบอกตรงๆว่าที่สวดกันอยู่นี่บางคำมันยังไม่ถูก ฉะนั้นช่วยกันปรับปรุงแก้ไขกันเอง ให้การสวดบางคำมันถูกตามหลักเกณฑ์ของไอ้คำของภาษาบาลี ให้เสียงมันถูก ให้อะไรมันถูก ให้ได้ชื่อว่าเป็นผู้มีการศึกษา อย่าให้เป็นสักแต่ว่าเด็กวัด ได้ยินพระว่าๆอะไรก็ว่าส่งๆเดช ตามๆเอา จนผิดๆ ถูกๆ มันไม่ๆเป็นการศึกษา สระสั้นๆ ก็ว่ายาวๆ สระยาวๆ ก็ว่าสั้นๆ และก็ว่าอย่างไม่บังคับลิ้น ปาก มันไม่ได้ มันเสียหายในส่วนหนังสือ ในส่วนภาษา นี่โรงเรียนชั้นนอกสุดก็ยังมีที่มาทำวัตร สวดมนต์ คือสวดให้ถูกตามหลักของคำ ของภาษา แล้วโรงเรียนชั้นในก็คือทำในใจให้ได้ ตามความหมายของคำที่สวด ให้ซึมซาบในพระพุทธคุณ ถ้าสวดมนต์ก็ให้ซึมซาบในหลักของพระธรรมอย่างนี้เป็นต้น
แล้วก็ทำในใจให้ตรงตามเรื่อ ครั้นถึงบทปัจจเวกขณ์ จีวร บิณฑบาต ก็ขอมันเป็นจริงอย่างนั้นเลยตามที่สวดนั้น ครั้นถึงเวลาที่จะตรวจน้ำ จะตรวจน้ำนั้นก็ขอให้มันเป็นการกรวดน้ำจริงๆ ให้จิตใจมันมากไปด้วยเมตตาเพิ่มขึ้นๆจริงๆ มันก็เลยเป็นโรงเรียนเต็มที่ กว่าจะทำวัตรเช้าเสร็จเป็นการเข้าโรงเรียนๆหนึ่งเต็มที่ อ้าว,ไปบิณฑบาต ก็ไปเข้าโรงเรียนอย่างที่ว่าเมื่อตะกี้นี้ กลับมาจากบิณฑบาตจะต้องทำไร จะต้องฉันข้าว จะต้องทำอะไรก็ให้มันเป็นโรงเรียนไปอีก การฉันอาหารด้วยสติสัมปชัญญะนี่เป็นหลักที่สำคัญที่สุดของภิกษุ ว่ากิเลสมันจะเกิดขึ้นเมื่อไม่มีสติสัมปชัญญะในปัจจัยทั้ง ๔ คือ ในจีวร ในอาหาร บิณฑบาต ในเสนาสนะ ในเรื่องหยูกยาบำบัดโรค เมื่อมาฉันอาหาร มันก็ต้องเป็นการเข้าโรงเรียนด้วยสติสัมปชัญญะ อย่าให้มีผิดพลาดอะไรได้ในเรื่องที่จะฉันอาหาร อาหารอร่อย อาหารไม่อร่อย อาหารอย่างนั้น อาหารอย่างนี้ อย่าให้มันมีเรื่องที่จะเกิดกิเลสขึ้นมาได้ อย่าให้มีการกระทบกระทั่งกับผู้อื่นเนื่องด้วยการฉันอาหารเลย นี่เป็นโรงเรียนชั้นเลิศ ชั้นวิเศษ มันจะป้องกันกิเลส เข่นฆ่ากิเลส ทำลายกิเลสอยู่ในตัว ฉันอาหารด้วยสติสัมปชัญญะ ตามแบบของการปัจจเวกขณ์ ยะถาปัจจะยัง หรือปฏิสังขาโย ซึ่งก็มีคำแปลอยู่แล้ว ไปทำให้ดี เป็นการเข้าโรงเรียน ก่อนจะเลิกฉัน และไปทำอะไรที่ไหนก็ขอให้เป็นการเข้าโรงเรียน แม้แต่จะไปอาบน้ำ ไปส้วม ไปฐาน ก็ก่อให้เป็นการเข้าโรงเรียนไปเสียทั้งหมด คือผิดพลาดไม่ได้อย่าให้ผิดพลาดไปจากระเบียบของความเป็นพระ จะเดิน จะทำอะไร จะพักผ่อน หรือจะอะไรก็ตาม ให้มันเป็นเรื่องของสติสัมปชัญญะไปให้หมด นี่ก็เรียกว่าเข้าโรงเรียน
แล้วก็ไปเข้าโรงเรียนจริงๆ ไปเรียนนักธรรม ไปเรียนอะไรบ้างก็ได้ มันก็เป็นการเรียนแบบหนึ่ง ก็ทำให้ดีที่สุด เพื่อพอกพูนความรู้ทางปริยัติ กว่าจะถึงเรื่องทำวัตรเย็น ก็เข้าโรงเรียน ตอนทำวัตรเย็น แล้วกลับไปด้วยสติสัมปชัญญะ ไปทำอะไรของตนเป็นส่วนตัว แต่ละองค์ๆ ก็ขอให้เป็นโรงเรียน จนกว่าจะถึงเวลานอน ก็ให้การนอนนั้นเป็นโรงเรียน เป็นการเรียน นอนอย่างไรเรียกว่าเป็นการนอนอย่างพระ ที่เขาเรียกว่านอนอย่างสีหไสยาสน์ มีสติสัมปชัญญะอย่างยิ่งกว่ามันจะหลับไป มีสติสัมปชัญญะจนกว่ามันจะหลับไป มีความตั้งใจ ตั้งจิตในอันที่จะลุกขึ้นเมื่อเวลาเท่านั้นเท่านี้ แล้วก็สติสัมปชัญญะก็สิ้นสุดลงเมื่อหลับ พอตื่นขึ้นมาก็ต่อด้วยสติสัมปชัญญะใหม่ ออกมาจากการหลับจนลุกขึ้นเข้าโรงเรียนอีก แม้แต่จะไปล้างหน้า ไปแปรงฟัน ก็ขอให้ทำด้วยสติสัมปชัญญะอย่างภิกษุ อย่างพระ ก็เป็นการเข้าโรงเรียนติดต่อกันไปหมด แม้แต่ที่หลับอยู่นั้นมันก็เหมือนกับเข้าโรงเรียน เพราะว่าเราจัดไว้ดี ไม่ให้มีทำอะไรผิดพลาด
เมื่อกลับไปดูภาพในโรงหนัง ให้เข้าใจเรื่องไอ้ชาติหมา มีรูปภาพชุดอยู่ที่ประตู เรียกว่าเรื่องไอ้ชาติหมา คือราชสีห์ตัวนั้นนอนแล้วตื่นขึ้นมาแล้วเห็นมันดิ้นกระจุยกระจายหมด เลยเรียกตัวเองว่าไอ้ชาติหมา นี่ก็เป็นคำสั่งสอนเกี่ยวกับการนอนของพระนอนอย่างสีหไสยาสน์ นอนอย่างราชสีห์ ไม่นอนอย่างหมา คือนอนด้วยความไม่มีสติสัมปชัญญะ มันดิ้น มันอะไรต่างๆนาๆ เมื่อหลับไปแล้ว อย่างนี้ก็เรียกว่าไม่เป็นพระ ไม่ใช่นอนอย่างพระ มีความเป็นพระน้อยไป ถ้านอนแล้วตื่นขึ้นไม่เห็นอะไรกระจุยกระจาย กระจุกกระจุยก็เรียกว่าได้ เรียกว่านอนอย่างพระ เนื่องจากนอนเป็นสติสัมปชัญญะ เนื่องจากนอนน้อย นอนเท่าที่จำเป็นเท่านั้นแหละมันจึงทำได้ มันจึงปฏิบัติได้ นี่ผมจึงพูดว่าแม้แต่หลับไปแล้วมันก็ยังเป็นการเข้าโรงเรียน เลยเรามีโรงเรียนทั้ง ๒๔ ชั่วโมง การเป็นอยู่แบบพระต้องเป็นการเข้าโรงเรียนทั้ง ๒๔ ชั่วโมงอย่างนี้
ลองคิดดูทีว่าอยู่ไปตั้งหลายวัน ตั้ง ๓ เดือน ๔ เดือน มันจะมีการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง มันจะเป็นการขูดเกลากี่มากน้อย ขูดเกลาเท่าไหร่ก็เปลี่ยนแปลงเท่านั้น ผมว่ามันมีการเปลี่ยนแปลงมากทีเดียวถ้าเราเอาตามแบบฉบับที่ครูบาอาจารย์ หรือพระพุทธเจ้าท่านได้วางไว้ แล้วก็นำสืบๆกันมาโดยครูบาอาจารย์นี้ ประพฤติพรหมจรรย์เป็นการขูดเกลาอย่างนี้ ก็ใช้คำว่าเข้าโรงเรียน ก็คือขูดเกลานั่นเอง ก็เข้าโรงเรียนตลอดเวลา ก็หมายความว่าขูดเกลาตลอดเวลา อย่าไปกลัวอยู่เลย มีความกล้าพอที่จะลอง พอที่จะทำให้มันได้เห็นจริงเห็นจัง เห็นดำเห็นแดงกันสักที ว่าทำอย่างนี้มันจะได้อะไร เรียกว่าประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อทำที่สุดแห่งความทุกข์ เพราะเรายังไม่เป็นพระอรหันต์ ก็มีคำประกอบมาว่าประพฤติพรหมจรรย์เพื่อทำที่สุดแห่งความทุกข์ ถ้าเป็นพระอรหันต์แล้วท่านก็ประพฤติพรหมจรรย์เพียงเพื่อความอยู่เป็นผาสุก ไอ้เรานี่มันเหมือนกับเข้าโรงเรียน เพื่อให้ได้ผลแห่งการเรียน เพื่อจะดับทุกข์ นี่คือสิ่งที่อยากจะพูด หรือสิ่งที่มันควรจะพูดให้ทุกคนเข้าใจไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่บวชชั่วคราว ชั่วขณะ จะได้รับอะไรจากการเป็นพระป่า พระเถื่อน
ถ้าทำได้จริงมันก็เป็นพระจริง คือมันใกล้ความเป็นพระของพระพุทธองค์มากขึ้น คือมันใกล้กับความเป็นอยู่อย่างพระพุทธองค์มากขึ้น ฉะนั้นเราไม่ควรจะกลัว ไม่ควรจะละอายที่จะประพฤติพรหมจรรย์ให้เต็มที่ ให้สุดความสามารถของตนๆ ต้องอย่าลืมเสียว่าจะต้องทำให้เป็นเหมือนกับการเข้าโรงเรียนอยู่ตลอดเวลา เป็นโรงเรียนของพระพุทธเจ้าๆ ให้เราเข้าโรงเรียนอยู่ตลอดเวลาทุกอิริยาบท หรือพูดมากกว่านั้นก็ทุกหายใจๆเข้าออก ก็เป็นการเข้าโรงเรียนของพรหมจรรย์อยู่ตลอดเวลา อื่นๆ เรื่องอื่นๆที่มันเป็นอุปสรรคนั้นสละมันเสีย อย่าให้มันเป็นอุปสรรคแก่การที่เราจะเข้าโรงเรียนกันให้ตลอดเวลา อย่าให้มันมีปัญหานั่น นี่ โน่นขึ้นมาเป็นอุปสรรคแก่การจะเข้าโรงเรียนนี้ตลอดเวลา
นี่วันนี้ผมก็พูดเรื่องจะถือเอาประโยชน์จากการเป็นพระป่า พระเถื่อนได้อย่างไร ต่อจากการที่พูดครั้งแรก นี่ก็เอาไปปรับกันดู เมื่อพูดครั้งแรก วันอาทิตย์ครั้งแรก ผมก็ตั้งใจจะพูดเรื่องนี้ และก็ได้พูดไปตามสมควรแล้ว วันนี้ก็ได้พูดขยายความให้มันชัดเจน เต็มที่ยิ่งขึ้นไปอีก โดยหวังว่าจะได้รับประโยชน์ อย่างน้อยก็คุ้มค่ากันกับการที่มาลำบากอยู่ในป่า ซึ่งมันเป็นเหมือนกับการลงทุน เราลงทุนด้วยความเสียสละ ความลำบากอะไร มันต้องได้ผลอย่างน้อยก็คุ้มกัน อย่างมากมันก็เกินค่า ถ้าเกินค่าก็ได้เป็นสาวกที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า เป็นสมณศากยปุตติยะ คือนับเนื่องอยู่ในพระสมณศากยบุตร คือพระพุทธเจ้า องค์พระพุทธเจ้านั้นเขาเรียกว่าสมณศากยบุตร เพราะท่านเป็นลูกของศากยะ ก็เลยเรียกว่าศากยบุตร ส่วนพวกเรานี้ถ้าทำได้จริงก็เรียกสมณศากยปุตติยะ มีติยะเติมท้ายเข้าไป ถ้าเราเป็นภิกษุที่ถูกต้อง เราก็เป็นสมณศากยปุตติยะ เรียกว่าเป็นคนของพระพุทธเจ้าได้จริง นี่เรียกว่าได้ผลเกินคาด เกินมากๆ ไม่เป็นไร ให้เกินเท่าไรก็ได้ถ้ามันเกินไปในทางที่จะเป็นสมณศากยปุตติยะ
นี่เป็นส่วนที่ผมพูด วันอาทิตย์นี่มันเป็นวันสำหรับถามปัญหา ตอบปัญหา ผมพูดเสร็จแล้วก็มาถึงตอนที่จะถามปัญหา ตอบปัญหา ท่านผู้ใดมีปัญหาอะไรก็ว่ามาเลย พูดดังๆก็พอจะได้ยิน มีปัญหาอะไรก็ถามหรือถามไมโครโฟนก็ได้
(นาทีที่ 58:15 - 58:54 เป็นคำถาม เสียงเบามาก)
นี่คือถามว่าสักกายทิฎฐิที่พระโสดาบันจะพึงละเป็นอันดับแรกนั้นคืออะไร นี่คือปัญหาที่ถาม เรื่องนี้ หรือคำถามนี้เป็นคำถามที่คาราคาซังชอบกล ในโรงเรียนก็ไม่ค่อยอธิบายให้ชัดลงไปว่าอะไร ที่ในพระไตรปิฎกเองก็ทำเป็นปัญหาสักกายทิฏฐิ อธิบายเหมือนกันกับอะไร อัตตวาทุปาทาน คือเอาขันธ์ ๕ มาเป็นหลัก แล้วก็ว่าไม่ใช่ตน ไม่มีตน ไม่มีในตน ไม่ใช่ของตนอย่างนี้ มันเลยไปเหมือนกันเสียกับที่ถ้าละได้แล้วมันก็เป็นพระอรหันต์ ครูบาอาจารย์ก็สั่นหัวกันเกือบทุกคนถ้าต้องอธิบายคำนี้ ก็จะอาศัยหลักในพระบาลี มันก็อาศัยไม่ค่อยจะได้อย่างนี้ ผมเข้าใจว่าสักกายทิฏฐินั้นก็คือ ความเห็น ความเข้าใจ ความสำคัญผิด เห็นผิด เข้าใจผิด สำคัญผิด เชื่อผิดว่ากายนี้ของตน เป็นอันดับแรกของเด็กทารกในทางวิญญาณ ว่ากายนี้ ไอ้กายกลุ่มนี้ นามรูปนี้มาเป็นของตน ตามที่คนธรรมดาสามัญรู้สึกกันอยู่ว่ากายนี้ของกู อันนี้ต้องเริ่มละก่อน กว่าจะไปถึงตัวตนชั้นลึกๆๆ และก็ละต่อไปๆข้างหน้า
พระโสดาบันจะต้องมีการละไอ้ความเข้าใจผิดอย่างต่ำ อย่างเลวที่สุดของชาวบ้านนั้นเสีย ไม่ได้รู้สึกว่ากายนี้ของตน คือตัวกูนี่ คือกายนี้ มันก็เมื่อเด็กๆ ตัวเล็กๆ เป็นทารก มันเซไปโดนโต๊ะโดนเก้าอี้ เจ็บแล้วก็ร้องไห้ พี่เลี้ยง หรือแม่เขาช่วยตีเก้าอี้ หรือตีโต๊ะ ว่ามันทำให้กูเจ็บ ให้เด็กเจ็บ เด็กก็รู้สึกว่าได้แก้แค้น หรือได้อะไรแล้ว มันหายแล้ว มันหยุดร้องไห้ นี่ตัวกู หรือตัวไอ้กายของกูอย่างหยาบๆ นี่มันมีได้แม้แต่เด็กทารกอย่างนี้ แล้วก็ติดตัวมาจนโตขึ้นๆ จนตลอดชีวิต มันเป็นความยึดถือว่ากายนี้ของกู กายนี้เป็นกู หรือกายนี้เป็นของกูก็แล้วแต่กรณีไหน มันเป็นได้ทั้ง ๒ อย่าง ชั้นต่ำสุด ชั้นเลวสุดนี่ต้องละก่อน แล้วค่อยๆๆไปละยึด การยึดถือเรื่องจิต เรื่องวิญญาณ หรือว่าตัวตนที่เป็นธรรมะอะไร เป็นตัวตนสูงสุดคือธรรมะโน่น ข้างหน้าโน่น นี่เข้าใจว่าอย่างนี้ สักกายะ กายของตน ในชั้นระดับสัญชาตญาณต่ำสุดของคนทั่วๆไป
แล้วก็ละวิจิกิจฉา ความไม่แน่นอนว่าจะเอาอะไรนี้ไปด้วย แล้วก็สีลัพพตปรามาส คือการกระทำโดยไม่มีเหตุผล โดยไม่รู้เหตุผลของการกระทำ ละการกระทำที่ไม่รู้เหตุผลของการกระทำนั้นเสีย ละได้ทั้ง ๓ อย่างนี้เป็นพระโสดาบัน ผู้แรกถึงกระแสแห่งพระนิพพาน มีแต่จะไหลไปสู่พระนิพพาน ไม่ถอยหลัง เอาจากความรู้สึกจริงๆกันก็แล้วกัน ไอ้ตัวกูนี่รู้สึกอยู่เป็นธรรมดา ละกันเสียก่อน ก็เล็งถึงไอ้ร่างกายชุดนี้ ร่างกายและใจชุดนี้ ถ้าไปแจกสักกายะ ๒๐ แล้วไปเหมือน อัตตวาทุปาทานที่ละแล้วเป็นพระอรหันต์แล้วอธิบายยาก
(นาทีที่ 01:05:05 - 01:05:21 เป็นคำถาม เสียงเบามาก)
มันเนื่องกันอยู่กับสักกายะ คือเนื่องกันอยู่กับกายของตน มันมีกายเป็นของตน แล้วก็มีกายที่มีคุณสมบัติที่ทำให้รู้สึกว่าดีกว่า เลวกว่า ชาติวุฒิ วัยวุฒิ ก็เพื่อดีกว่า เลวกว่า ตรงนี้ไกลอยู่ตรงที่เรียกว่ามานะที่พระอรหันต์จะต้องละ ละเพื่อความเป็นพระอรหันต์ มานะสำคัญว่าดีกว่า สำคัญว่าเสมอกัน สำคัญว่าเลวกว่า อันนี้พระโสดาบันจะไม่อาจละ
(นาทีที่ 01:06:15 - 01:06:21 เป็นคำถาม เสียงเบามาก)
ตามใจสิ ให้ละสักกายทิฏฐิได้จริงๆก็ใช้ได้ ยังมีวิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาสอีก ถ้าวัดด้วยเครื่องวัดชุดอื่นมันยังมีอีก คือเขามีไว้ว่าถ้าเป็นพระโสดาบันจริง ก็เรียกว่ามีโสตาปัตติยังคะ ๔ คือ มีความเชื่อ ความเลื่อมใส ความพอใจ อะไรก็ตาม ในพระพุทธเจ้า ในพระธรรม ในพระสงฆ์ อย่างไม่อาจจะง่อนแง่น คลอนแคลนอีกต่อไป แล้วก็มีศีล ไม่มีด่าง ไม่มีพร้อย หาที่ติไม่ได้ เป็นที่พอใจของพระอริยเจ้า นี่ก็เป็นเครื่องวัด เครื่องทดสอบความเป็นพระโสดาบัน เขาเรียกว่าละสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาสได้จริง จนไปอยู่ในรูปแบบของโสตาปัตติยังคะ ๔ อย่างนั้น และอีกอย่างหนึ่งเขาก็มีเรื่อง สำหรับทดสอบว่าดำรงตนอยู่ในอริยมรรคมีองค์ ๘ ประการนั้นอย่างครบถ้วนในระดับแรก ไม่ใช่ในระดับสุดท้าย คือมีองค์แห่งมรรคทั้ง ๘ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปโป (นาทีที่ 01:08:03) ครบบริบูรณ์ ในอันดับแรก ในอันดับที่เป็นพระโสดาบันนั้นคงไม่ง่ายนัก
(นาทีที่ 01:08:15 - 01:08:21 เป็นคำถาม เสียงเบามาก )
กามราคะ ปฏิฆะ ไม่ๆใช่ว่ามันจะโกรธอย่างเนื้อเต้น หรือหลงไหลในกามอย่างรุนแรง เพียงแต่ความรู้สึกอันนั้นยังเหลืออยู่ ยังไม่หมด ความรู้สึกที่จะชอบ หรือไม่ชอบยังเหลืออยู่ กามราคะนี่ไม่ใช่คนราคะกล้า ปฏิฆะนี่ก็ไม่ใช่ว่าคนโกรธจัด พระโสดาบันยังมีความรู้สึกทางกามบ้าง มีความรู้สึกเป็นความโกรธบ้าง คือละตัวตนได้ไม่หมด ละได้แต่ตัวตนหยาบ ที่ว่ากายนี้เป็นตน กายนี้ของตน พระโสดาก็ดี พระสกิทาคาก็ดี ยังมีกามราคะ และปฏิฆะเหลือ นี่ก็หมายความว่าได้ละไปเป็นส่วนใหญ่เหมือนกัน ไม่มักมากในกาม ไม่โกรธอย่างคนโกรธ แต่มีความไม่พอใจอะไรได้ๆบ้าง ให้ถือว่ามันไม่ไกลสุดเอื้อม แต่อย่าไปถือว่ามันง่ายแค่นี้เอง อยู่ตรงนี้เอง ยังมีปัญหาอะไรอีก ครั้งนี้มีปัญหาอะไรบ้าง
ผมสงสัยไม่เกี่ยวกับหัวข้อเนื้อธรรม แต่ว่าเกี่ยวกับที่มาของข้อธรรมะที่เป็นคำสอนของศาสนาพุทธ เวลาอ่านพระไตรปิฎกแปลแล้ว มีความสงสัยว่ามีการถ่ายทอดมาอย่างไรโดยเฉพาะฉบับพระบาลีเดิมนั้น ฉบับต้นๆมีการได้มาอย่างไร (นาทีที่ 01:11:01 - 01:11:25 เป็นคำถาม)
ถูกแล้ว นี่ไม่ใช่ปัญหาธรรมะ เป็นปัญหาประวัติ หรือหลักฐานของพระไตรปิฎกว่ามันมาอย่างไร นี่หมายความว่ามันๆมีความน่าเชื่อถือเท่าไรนั่นเอง มันยืดยาวถ้าคุณถามอย่างนี้ มันก็ส่อถึงความระแวงในพระไตรปิฎก นี่โดยหลักใหญ่มันก็ต้องตอบว่า ไม่ต้องถือเอาตามปิฎก ตามกาลามสูตร แต่ให้ถือข้อความนั้นท่านว่าอย่างไร ข้อความนั้นปฏิบัติแล้วได้ผลอย่างนั้นจริงหรือไม่ ถ้าปฏิบัติแล้วได้ผลอย่างนั้นจริง ก็ปฏิบัติเลย ไม่ต้องไปหาว่ามันเป็นคำที่ออกมาจากพระพุทธเจ้าจริงหรือไม่ เพราะมันยังมีหลักที่ว่าตัดบทไว้อีกทีหนึ่งว่า พระพุทธเจ้าตรัสว่า แม้ฟังไปจากปากเองเดี๋ยวนี้ก็อย่าเพิ่งเชื่อ ต้องไปมองดูให้เห็นเสียก่อน ว่าทำตามแล้วมันจะได้ผลอย่างนั้นจริง จึงค่อยเชื่อ ฟังจากพระโอษฐ์เอง ตรงพระพักตร์เอง ก็ยังเป็นอย่างนี้ ว่าทำไมจะมาถือหนังสือที่เขาสืบๆกันมาตั้ง ๒,๐๐๐ ปี คัดลอกกันมา มันจะไม่มีผิดบ้างหรืออย่างไร ไม่ต้องๆมีปัญหา มีปัญหาแต่ว่าเอาข้อความนั้นที่เราสนใจมาดู ถ้าปฏิบัติตามแล้วได้ผลอย่างนั้นก็เอาเลย ก็เชื่อเลย นี่ตามหลักมันต้องเป็นอย่างนี้
ถ้าว่าจะพูดให้มากออกไปก็จะพูดได้เหมือนกัน พูดว่าพระไตรปิฎกนี่อยู่ในฐานะที่น่าเชื่อถือ ตามเรื่องราวที่ได้ทำสังคายนานั้นก็มีเหตุผล คือหลังจากการปรินิพพานของพระพุทธเจ้าแล้ว พระสาวกท่านมาช่วยกันสอบสวนว่าข้อนั้นเป็นอย่างไร ข้อนี้เป็นอย่างไร ข้อโน้นเป็นอย่างไร พอยุติลงไปแล้วก็ช่วยกันจำไว้ เพราะไม่มีการพิมพ์ หรือการเขียน ก็ใช้การจำไว้ๆๆ บอกเล่าต่อๆกันมา มันจะมีการหลุดหายไป หรือเพิ่มเข้ามาใหม่บ้างมันก็มี แต่ก็ไม่เป็นไร ก็ถือหลักว่าจะต้องมองเห็นด้วยความรู้สึกของตนก่อนจึงจะปฏิบัติตาม เท่าที่ผมได้แตะต้องมาเป็นเวลาหลายสิบปีนี้ เกิดความรู้สึกว่าเชื่อถือได้ โดยเฉพาะพระไตรปิฎกของเถรวาท คือพระไตรปิฎกอย่างที่เรามีๆอยู่นี่น่าเชื่อถือที่สุด ว่าเป็นของเดิมที่พยายามรักษากันมาอย่างสุดความสามารถ
ถ้าพระไตรปิฎกอย่างของมหายาน ผมว่าไม่ไหว แต่ผมจะไม่พูดให้เสียมรรยาท แต่นี่ผมก็ได้พูดไปแล้วว่าไม่ไหว มองเห็นชัดเลยว่ามันมีไอ้ของที่ปรุงขึ้นใหม่เลยก็มี หรือเติมเข้าไปก็มี ดัดแปลงก็มี พระสูตรมหายานที่สำคัญๆนั้นเป็นสูตรที่ปรุงขึ้นใหม่ พระไตรปิฎกมหายานไม่อยู่ในลักษณะที่ว่าน่าเชื่อถือได้ หรือน่าไว้ใจเหมือนกับพระไตรปิฎกของเถรวาท ทีนี้เดี๋ยวนี้เราเป็นเถรวาท เราพูดอย่างนี้ใครเขาก็หาว่าเข้าข้างตัว แต่ผมนั้นพูดด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่ใช่เข้าข้างตัว ในฐานะที่ลูบคลำมาเป็นเวลาหลายสิบปี รู้สึกว่าพระไตรปิฎกอย่างเถรวาทนี้น่ารัก น่าพอใจ น่าเชื่อถือ ถึงจะมีของอะไรประหลาดๆ แปลกปลอมเข้ามาบ้าง ก็ไม่เป็นไร มันเป็นส่วนน้อย หรือว่าเราอาจจะตีความหมายเสียใหม่ให้ไปในทางที่ว่ามันใช้ประโยชน์ได้ก็แล้วกัน ก็ได้ แต่ส่วนใหญ่ทั้ง ๙๙ เปอร์เซน มันมีน้ำหนัก มันมีอะไรอยู่ในตัวมันเอง พอที่จะเห็นได้ว่าไม่ได้ Make up กันทีหลัง ไม่เหมือนสูตรบางสูตรของฝ่ายมหายาน
แต่ก็ไม่ๆพ้นที่จะกล่าวว่าเมื่อคุณอ่านๆๆแล้วคุณก็ต้องปฏิบัติอย่างที่ว่า ต้องมองเห็นความจริงประจักษ์ว่าอย่างที่กล่าวนี้ ก็ทำตามไปแล้วมันได้ผล ก็เอา ก็ได้ผลอย่างนั้น แล้วมันก็ทนต่อความพิสูจน์ มันไม่จำเป็นหรอกที่จะต้องไปคอยระแวงในพระไตรปิฎกว่ามันมาอย่างไร มันบริสุทธิ์หรือไม่ ถ้าเราทำให้มันบริสุทธิ์ มันจะบริสุทธิ์หมดไปเลย ทั้งหมดเลย คือรู้จักใช้ให้เป็นประโยชน์ก็บริสุทธิ์หมด ในเรื่องที่เขาตั้งข้อรังเกียจกันในหมู่นักศึกษา เช่น ตัวอย่างนะ เช่นว่าเรื่องสูตรกล่าวด้วยสุริยคราส จันทรคราส อย่างพระราหูอมพระจันทร์ พระรา พระจันทร์เอ่ยชื่อพระพุทธเจ้า เอ่ยคุณของพระพุทธเจ้า พระราหูต้องคาย วิ่งตัวสั่นหนีไปหานายของมันคือ เวปจิตติไปบอกเรื่องนี้ว่ามันต้องคาย เพราะได้ยินพระจันทร์พูดถึงพระพุทธเจ้า ถ้าไม่คายหัวจะแตก ๗ เสี่ยง เรื่องจันทรคราสก็เหมือนกัน สุริยคราสก็เหมือนกัน ข้อความอย่างเดียวกัน ไอ้นักศึกษาสมัยนี้เขาก็หาว่ามันๆเป็นเรื่องปลอม เป็นเรื่องเข้ามาทีหลังพระพุทธเจ้า ไม่ใช่คัมภีร์ที่ถูกต้อง ก็ตามใจสิ จะหาอย่างนั้นก็ได้ แต่มันจะกลายเป็นคนโง่เอง
ที่เขาทำเพื่อศีลธรรม เพื่อการส่งเสริมศีลธรรมให้คนนับถือพระพุทธเจ้า และพระพุทธเจ้าไม่ได้ว่านะ เรื่องนี้พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสนะ มันเป็นคำของพระจันทร์เอง เป็นคำของอสูรนั่นเอง แต่มันมาอยู่ในพระไตรปิฎกมันก็เป็นคำของพระสังคีติกาจาย์ ผู้ร้อยกรองพระไตรปิฎก นี่เขาเห็นประโยชน์ เขาจะได้เค้าเงื่อนมาจากไหนก็สุดแท้ เขาทำไปเพื่อประโยชน์ให้เกิดความมั่นคงในทางศีลธรรมแก่ประชาชน ใครว่าเป็นเรื่องเท็จเทียม มันก็ คนนั้นมันก็โง่เอง ฉะนั้นถ้าพวกฝรั่งถามเรื่องนี้ ผมก็จะอธิบายอย่างนี้ ในเรื่องนี้เรียกว่าออกจะสุดเหวี่ยงอยู่ในทางที่ถูกหาว่าเป็นของแปลกปลอม
เชื่อว่าพระสังคีติกาจารย์ ผู้ร้อยกรองพระไตรปิฎกท่านคิดกันดีแล้ว ท่านมองเห็นประโยชน์แท้จริงแล้ว คือจะทำให้ประชาชนในสมัยนั้น ประชาชนอินเดียในสมัยนั้นจะหันมารับนับถือพระพุทธเจ้ามากขึ้น เขาว่าเขาก็เชื่อกันอยู่เรื่องพระราหู เรื่องพระจันทร์ อะไรต่างๆทำนองนั้น ฝังรากให้แก่เด็กๆ หรือแก่ประชาชนชั้นธรรมดาสามัญ ให้เริ่มยึดมั่นในพระพุทธเจ้า มันก็มีประโยชน์แก่คนเหล่านั้น เพียงแต่ออกชื่อพระพุทธเจ้าเท่านั้นแหละ ราหูก็ต้องคายทันที คายพระจันทร์ คายพระอาทิตย์ แล้ววิ่งไปรายงานให้แก่นายของอสูรทั้งหลาย คือเวปจิตติ เมื่อประชาชนชั้นนั้น ในระดับนั้น ในประเทศอินเดียสมัยนั้นได้ฟังเรื่องนี้ก็มีประโยชน์มาก ได้เรื่องอย่างนี้ถ้าเทียบส่วนแล้วมันไม่ถึงๆ ๑% ของทั้งหมดหรอก ของพระไตรปิฎกอันมากมาย ตั้ง ๘๔,๐๐๐ ธรรมขันธ์ เรื่องที่ดี มีประโยชน์ อย่างเรื่องพระอิทัปปัจจยตา อะไรต่างๆนี่มันเนื้อแท้ เนื้อหาสาระอยู่ ก็ตอบได้อย่างนี้ คือว่าไม่ให้ถือตามตัวหนังสือ ไม่ให้ถือโดยอ้างว่ามีในปิฎก ให้ถ้อยคำนั้นมาใคร่ครวญดู เห็นว่าปฏิบัติตามแล้วได้รับประโยชน์ก็เอา นี่คือเป็นหลักอย่างนี้
แต่ถ้าจะลดลงมาเป็นอย่างนักโบราณคดี เขาจะตอบอย่างที่ว่านี้ ผู้รวบรวมพระไตรปิฎกได้รวบรวมไว้อย่างดีที่สุด น่าอัศจรรย์ที่สุด มีเรื่องที่ดีๆอีกมากมายที่ไม่ๆได้เอามาพูด เอามาเผยแผ่กัน แม้จะแปลออกก็ไม่มีใครสนใจ เพราะมันไม่เข้าใจ ที่แปลเป็นไทยออกมาแล้วก็ไม่เข้าใจ มันก็ไม่มีใครสนใจ ยังมีวิเศษอีกมาก เอ้า, ใครมีปัญหาอะไร