แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
บางคนเคยได้ยินได้ฟังมาว่า ธาตุทั้ง ๓ คือ กามธาตุ รูปธาตุ และ อรูปธาตุ ดังนี้ก็มี เดี๋ยวนี้มาพูดว่า รูปธาตุ อรูปธาตุ และนิโรธธาตุดังนี้ กามธาตุนั้นหายไปไหนเสีย ก็อยากจะบอกว่ากามธาตุในส่วนที่เป็นรูป คือวัตถุกามนั้นก็รวมอยู่ในส่วนที่เป็นรูปธาตุนั้นอง ทีนี้กามในส่วนที่เป็นนาม คือกิเลสกามก็รวมอยู่ในคำว่าอรูปธาตุนั้นแล้ว ทีนี้กามธาตุจึงรวมอยู่ในรูปธาตุและอรูปธาตุนั่นเอง และเมื่อเพิ่มนิโรธธาตุ ธาตุเป็นเครื่องดับแห่งสิ่งทั้งปวงเหล่านั้นเข้ามาก็ยังคงมีอยู่เพียง ๓ ธาตุ จึงมีธาตุทั้ง ๓ ปรากฏอยู่คือรูปธาตุ อรูปธาตุ และนิโรธธาตุ ดังที่ได้กล่าวแล้ว สิ่งที่เรียกว่าธาตุนั้น คือสิ่งที่เป็นมูลฐานที่พอจะถือได้ว่าเป็นระดับมูลฐานอันสุดท้ายที่ไม่ควรจะแยกแยะลงไปอีกให้มากไปกว่านั้นให้ป่วยการ
คำว่า รูปธาตุ ก็คือไอ้มูลฐานที่เป็นที่ตั้งของสิ่งที่เรียกว่ารูป อรูปธาตุก็เป็นมูลฐานของสิ่งที่เป็นอรูปคือไม่มีรูป นิโรธธาตุก็คือมูลฐานของธรรมชาติ เป็นที่ดับ 06.59 ทีนี้ดูกันให้ดี ตั้งต้นไปตั้งแต่ร่างกายนี้ อะไรเป็นรูปธาตุก็คือธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม เป็นต้น รวมทั้งสิ่งที่อาศัยอยู่ที่ธาตุทั้ง ๔ นั้น ที่เรียกกันว่า อุปาทายรูป คือ ความเป็นอย่างนั้น ความเป็นอย่างนี้ ลักษณะอย่างนั้น ลักษณะอย่างนี้ ที่อาศัยอยู่ที่ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม รวมทั้งคุณสมบัติของสิ่งเหล่านี้ด้วย เช่นความสวย ความไม่สวย ความงาม เอ้อ,ความเกิด ความดับ ซึ่งเป็นกิริยาอาการของธาตุเหล่านั้น ในร่างกายของเราก็มีดิน น้ำ ลม ไฟ ที่สมมติเรียกกันว่าธาตุ เหล่านี้ก็เรียกว่า รูปธาตุ ในที่นี้
ส่วน อรูปธาตุ คือ ธาตุที่ไม่มีรูปนั้น มันก็คือสิ่งที่เราเรียกกันว่า นาม หรือ จิตใจ คือทุกเรื่องที่เกี่ยวกับจิตใจ เช่น ความรู้สึก เป็นต้น ก็มีอยู่แล้วในร่างกายนี้
ทีนี้ก็มาถึง นิโรธธาตุ คือ ธาตุแห่งความดับ ธาตุเป็นที่ดับแห่งสิ่งเหล่านั้น นิโรธธาตุนี้มันอยู่ที่ไหนเล่า ขอให้ดูให้ดีว่า รูปธาตุ อรูปธาตุ อยู่ที่ไหน นิโรธธาตุก็ต้องอยู่ที่นั่น เพราะว่ามันเป็นความดับแห่งธาตุเหล่านั้น เมื่อธาตุเหล่านั้น มีกิริยาอาการดับลงไป แม้แต่ชั่วคราว เอ่อ,จะมีการเกิดอีกก็ไม่เป็นไร แต่กิริยาที่มันดับลงไปนั้น มันดับโดยอาศัยนิโรธธาตุ กว่าจะถึงการดับครั้งสุดท้ายคือดับชนิดที่ไม่มีการเกิดขึ้นมาใหม่อีกต่อไป
ถ้าผู้ใดรู้จักธาตุทั้ง ๓ นี้อย่างปรากฏชัดเจนอยู่ในใจของตนแล้ว ก็เป็นการง่ายที่จะรู้จักสิ่งที่เรียกว่า นิพพาน จะง่ายในข้อที่ว่า มันมีความดับของมันอยู่เองแล้ว คือเราไม่รู้จักดูให้เห็น เราใช้มันไม่เป็น ทั้งที่มันมีอยู่ เรื่องใช้สิ่งที่มีอยู่แล้วไม่เป็นนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก เราทำผิดในเรื่องนี้ไปตั้งแต่ไอ้สิ่งที่เรียกว่า รูปธาตุ คือ ธาตุที่เป็นเนื้อหนัง ร่างกาย ขอให้พิจารณากันในเรื่องนี้ให้มาก ถ้าอาตมาพูดตรงๆ มันก็จะกลายเป็นการด่าไปเสียอีก ว่าท่านทั้งหลายเป็นคนโง่ ไม่รู้จักใช้สิ่งที่มีอยู่แล้วให้เป็นประโยชน์ หรือกลับไปใช้ไปในทางที่ให้โทษไปเสียอีก มันมีอยู่ควรจะใช้มันให้เป็นประโยชน์ อย่าไปใช้ให้มันเป็นโทษเลย
ยกตัวอย่างในชั้นต่ำที่สุดก็เป็นเรื่องรูปธาตุง่ายๆ เหมือนอย่างว่า ศีรษะของเรา ถ้าโกนเกลี้ยง ผมก็งอกขึ้นมาใหม่ๆ พอยุงกัดที่แขนมันคัน ก็เอาไปถูกับหัวที่โกนใหม่ๆมันก็หายคัน นี่รู้จักใช้ศีรษะให้เป็นประโยชน์ ทีนี้ท่านก็ไม่ใช้ ก็ไปไว้ผมให้มันยาวรุงรังเสีย เหม็นสาบบ้าง อะไรบ้าง ยุงกัดที่แขนคันก็ไม่รู้ว่าจะไปถูที่ไหน นี่มันโง่ สมน้ำหน้า เพราะไม่รู้จักใช้ไอ้สิ่งที่มีอยู่ให้เป็นประโยชน์แล้วจะไปโทษใคร จึงขอย้ำในข้อนี้มากเป็นพิเศษว่า จงพยายามรู้จักใช้สิ่งที่มันมีอยู่นี่แหละให้มันเป็นประโยชน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไอ้ธาตุทั้ง ๓ นี้มันก็มีอยู่แล้ว ก็ใช้ให้เป็นประโยชน์ รูปธาตุใช้ให้เป็นประโยชน์ อรูปธาตุก็ใช้ให้เป็นประโยชน์ อย่าไปใช้ให้ผิด หรืออย่าไปถึงกับยึดมั่นถือมั่นให้มันเป็นตัวตน มันจะกัดเอา
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สิ่งที่เรียกว่า นิโรธธาตุ คือ ความดับนั้น มันมีประโยชน์อย่างยิ่งอยู่ตามธรรมชาติแล้ว ก็ใช้ให้เป็นเถิด เพราะว่าไม่มีอะไรที่มันมีการเกิดขึ้นมาแล้วจะไม่ดับลงไป ไม่มีสังขารไหนเลยที่ว่ามีการเกิดแล้วจะไม่มีการดับลงไป กิริยาที่มันดับลงไปนั่นแหละ เรารู้จักใช้ให้เป็นประโยชน์เถิด ก็จะแก้ปัญหาได้มาก เพราะมันดับเอง เราไม่ต้องลงทุนอะไร จึงขอให้สังเกตในข้อนี้ให้ดีๆ จะเป็นเรื่องรูปธาตุ ร่างกายเนื้อหนังมันก็มีการดับ มันก็ต้องมีการดับลงไปในวันหนึ่ง ทำไมไม่ส่งเสริมหรือไม่รู้จักใช้ให้เป็นประโยชน์สำหรับการดับ พวกอรูปธาตุที่เป็นนาม เช่น กิเลส มันเกิดขึ้นแล้ว มันก็ต้องดับ ทำไมไม่รู้จักใช้การที่มันต้องดับอยู่ตามธรรมชาตินั้นให้เป็นประโยชน์
อาตมาก็จะยกตัวอย่างอย่างง่ายๆที่สุด ไปตั้งแต่รูปธาตุคือวัตถุ เช่นว่าเรากินเชื้ออหิวาต์เข้าไป ทำไมจะต้องพูดเรื่องอหิวาต์ เพราะว่าเดี๋ยวนี้ได้ยินข่าวว่าอหิวาต์กำลังระบาด สมมติว่าเรากินเชื้ออหิวาต์เข้าไป ไปเจริญในเอ่อ,ภายในในลำไส้ เชื้ออหิวาต์มันเป็นพิษ ร่างกายก็ขับน้ำออกมาล้างให้เชื้ออหิวาต์นั้นสูญสิ้นไปจากร่างกาย ถ้าเราไม่หาน้ำอะไรมาทดแทนให้ มันก็ต้องตายเพราะขาดน้ำ เราจึงกินน้ำที่มีเกลือเข้าไปบ้างพอสมควร ทดแทนไว้เสมอ คือทดแทนน้ำที่ร่างกายมันขับถ่ายออกไปไปล้างเชื้ออหิวาต์นั่น เราก็กินน้ำ เอ่อ,เราก็กินน้ำมีเกลือเข้าไปทดแทนไว้เสมอเรื่อยไป ไม่เท่าไรเชื้ออหิวาต์นั้นมันก็จะดับไป หรือว่าถูกถ่ายออกมาจนหมดก็ตาม แม้ไม่ถูกถ่ายออกมาหมดมันก็ต้องดับไปตามธรรมชาติของสังขาร แล้วเราก็ไม่ตาย นี้เรารู้จักใช้นิโรธธาตุคือการที่มันดับลง หรือการที่มันต้องดับเป็นแน่นอนนั้นให้เป็นประโยชน์ ก็รอดชีวิตได้ เพราะรู้จักใช้นิโรธธาตุในทางฝ่ายวัตถุ ดังที่ยกตัวอย่างมาอย่างนี้ มันก็ไม่มีเรื่องอะไรมาก เพียงแต่กินน้ำที่มีเกลือบ้าง เข้าไปทดแทนอยู่เรื่อยไป ให้มันทันกันกับที่เชื้ออหิวาต์ว่ามันจะรุนแรงมากน้อยเพียงใด คือมันมีการขับถ่ายมาก แล้วดูสิว่ามันเอ่อ,เรารอดชีวิตมาได้เพราะเหตุอะไร รอดชีวิตมาได้เพราะความดับไปแห่งเชื้ออหิวาต์โดยวิธีใดวิธีหนึ่ง
ในเรื่องทางวัตถุนี้มันก็ยังเป็นอย่างนี้ ในเรื่องทางนามธรรมก็ยังเป็นอย่างนั้นมากยิ่งขึ้นไปอีก ถ้ากิเลสเกิดขึ้น อดกลั้น บีบคั้นไว้สักชั่วระยะหนึ่ง เดี๋ยวมันก็จะต้องดับเอ่อ,ของมันเอง มันไม่มีอะไรสำหรับสังขารทั้งหลายที่จะคงที่เที่ยงแท้ถาวรอยู่ได้ มันต้องดับทั้งนั้น สิ่งใดมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นก็ย่อมมีการดับเป็นธรรมดา
ถ้ากิเลสเกิดขึ้น ก็รู้จักต่อสู้ด้วยความอดทนเป็นต้น เดี๋ยวมันก็ดับไปตามธรรมดาของมัน มันไม่ยุ่งยากมาก มันไม่หมดเปลืองอะไรมาก มันก็ไม่ต้องเป็นทุกข์มาก เพราะว่าเรารู้สึกตัวอยู่ หรือบางทีก็อาจเป็นได้ถึงกับว่า พอรู้สึกตัวเท่านั้นแหละ มันก็ดับ ขอให้ถือไว้เป็นหลักสักอย่างหนึ่งว่า กิเลสนี้มันเหมือนผี เราไม่รู้จัก มันก็ย่ำยีเล่นงานเอาบอบช้ำ แต่พอ พอเรารู้จักเท่านั้น สักว่ารู้จักเท่านั้น รู้จักว่า ไอ้นี่มาแล้ว มันก็หายไปทันที เพราะวิชชาหรือญาณทัศนะอะไรก็ตามเกิดขึ้น รู้จักว่าอันนี้ อย่างนี้นี่กิเลส นี่คือราคะ นี่คือโทสะ นี่คือโมหะ แล้วแต่ว่าอะไรมันจะเกิดขึ้น พอรู้จักเท่านั้นมันก็จะหายไป นี่ก็เป็นความดับของกิเลสนั้นด้วยอำนาจของนิโรธธาตุ ซึ่งมีประจำอยู่แล้ว สำหรับสังขารทั้งหลายทั้งปวง ดูให้ดีก็จะมองเห็นว่ามีการเกิดดับ เกิดดับแห่งรูปธาตุ แห่งอรูปธาตุในร่างกายของคนเรานี้อยู่ตลอดเวลา และก็มากมายเสียด้วย รูปธาตุนี้ก็มีหลายอย่าง เดี๋ยวอันนั้นก็ดับ เดี๋ยวอันนี้ก็ดับ แม้แต่เนื้อหนังนี้ล่ะ มันก็มีการดับอยู่ตลอดเวลา โดยที่ปรมาณูหรืออณูเล็กๆเหล่านั้นมันก็มีการเกิดดับ เกิดดับอยู่ แม้ที่มันประกอบกันขึ้นเป็นส่วนประกอบใดๆ มันก็มีการดับอยู่ เกิดอยู่ ดับอยู่ เกิดอยู่ ดับอยู่ อย่างที่เราจะเห็นก็เหงื่อไคล หนังกำพร้าหลุดออกไปเป็นขี้ไคล ก็คือการเกิดดับ ซึ่งเป็นไปเอง เป็นอยู่เอง กินเข้าไป ถ่ายออกมา กินเข้าไป ถ่ายออกมา ล้วนแต่เป็นอาการของการเกิดดับทั้งนั้น นั่นเป็นในส่วนรูปธาตุ
ในส่วนอรูปธาตุที่เป็นนาม หรือ จิตนั้น มันก็มีการเกิดดับ เกิดดับอย่างนั้น เป็นกิเลสก็มี ไม่เป็นกิเลสก็มี ที่ไม่เป็นกิเลสนั่นแหละจะมากไปเสียกว่า ที่ว่าจิตเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ไม่ถึงขนาดที่เป็นกิเลสนี้ มันมีอยู่มากกว่า เพราะว่าถ้ามันเกิดชนิดที่เป็นกิเลสมากกว่าแล้ว เราก็คงจะทนไม่ได้ คงเป็นบ้าตาย หรือเรียกว่าตายเพราะอำนาจของกิเลสที่มันเกิดมากไป
เดี๋ยวนี้จิตอาศัย ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สัมผัสอารมณ์ รู้สึกอย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ไม่ถึงกับเป็นการเกิดแห่งกิเลส อย่างนี้มีอยู่มากมายในวันหนึ่งคืนหนึ่ง เดี๋ยวตาเห็นรูป เดี๋ยวหูฟังเสียง เดี๋ยวจมูกได้กลิ่น เป็นต้น มันมากครั้ง เรียกว่ามีมากวาระ เป็นการปรุงแต่งที่ไม่ถึงขนาดที่จะเป็นกิเลส แล้วมันก็ดับไป มีการเกิดขึ้น ดับไปในทางฝ่ายจิตใจอย่างนับไม่ถ้วนครั้ง นี่ก็ด้วยอำนาจของอะไรก็ลองคิดดู เราจะระบุว่าด้วยอำนาจของธาตุอันหนึ่ง ซึ่งเรียกว่านิโรธธาตุนั่นเอง เพราะมันจะประจำอยู่ในสังขารที่มีการเกิดดับ หรือว่ามันจะแสดงออกมาให้เห็นในลักษณะที่เป็นการเกิดดับ ที่สำคัญอย่างยิ่งก็คือการเกิดดับของกิเลส
กิเลสหรือต้นเหตุของกิเลสที่สำคัญอย่างยิ่งก็คือ อวิชชา อวิชชาก็มีการเกิด และอวิชชาก็มีการดับ พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้อย่างนี้ ไม่ใช่ว่าอวิชชานั้นเป็นของตายตัวมีอยู่อย่างไม่เปลี่ยนแปลงเหมือนที่คนไม่รู้บางคนมันพูด นั่นก็เพราะว่าคนนั้นมันมีอวิชชามากเกินไป จนเข้าใจไปว่าอวิชชานี้เป็นของเที่ยงมีอยู่ประจำในสันดาน ไม่ได้เป็นสิ่งที่เกิดดับ เกิดดับ ถ้าอาศัยหลักที่เป็นพระพุทธภาษิตในพระบาลีก็จะมีการแสดงให้เห็นว่า แม้อวิชชามันก็เกิดดับ เมื่อต้นตอของกิเลสทั้งหลายมีการเกิดและการดับอย่างนี้แล้ว ทำไมกิเลสทั้งหลายจะไม่มีการเกิดดับ เราจึงมองดูต่อไปอีกว่า กิเลสก็ดี ต้นตอของกิเลสก็ดี มันมีการเกิดดับกันอยู่อย่างนี้เพราะอำนาจแห่งอะไร ก็อยากจะตอบง่ายๆว่า เพราะอำนาจแห่งเหตุ เอ้อ,แห่งธาตุที่ ๓ คือนิโรธธาตุ ธาตุที่ ๑ คือ รูปธาตุ ธาตุที่ ๒ เอ่อ,คือ อรูปธาตุ ๒ ธาตุนี้มันเป็นตัวสังขารที่จะแสดงอาการเกิดและดับ ส่วนนิโรธธาตุนั้นเป็นธาตุที่ทำให้ดับ ทำให้มีการดับ แสดงการดับออกมาให้เห็นทางสังขารที่มีการเกิดดับนั่นเอง ควรจะถือเอานิโรธธาตุนี้เป็นพื้นฐานของการดับ ดับอย่างธรรมดาสามัญ คือดับแล้วเกิด ดับแล้วเกิด และแม้ที่สุดแก่การดับชนิดสูงสุดคือการดับสุดท้ายไม่มีการเกิดอีกต่อไป ถ้าเป็นการดับครั้งสุดท้าย ไม่มีการเกิดอีกต่อไป เราจะเรียกชื่อเสียใหม่ว่า นิพพานธาตุ จะได้จำกัดความเฉพาะลงไปสำหรับการดับที่เด็ดขาด ถ้าพูดถึงดับเฉยๆไม่แน่นอนว่าเด็ดขาดหรือไม่เด็ดขาด เราจะใช้คำว่า นิโรธธาตุต่อไปตามเดิมดังนี้
ถ้าผู้ใดรู้จักสิ่งที่เรียกว่านิโรธธาตุให้ถูกต้องแล้วก็จะมีประโยชน์มากทีเดียว ในการที่จะดับกิเลสอันไม่พึงปรารถนานั้นได้โดยไม่ยาก เว้นแต่ว่ามีความรู้ ความฉลาด ความสามารถในสิ่งใด ก็ย่อมจะทำสิ่งนั้นได้โดยไม่ยากเลย มัวแต่พูดกันมากมายไม่รู้จักจบจักสิ้นก็น่าสงสาร จะรวบรัดเนื้อความให้มันน้อยลงมาสักหน่อย ก็อยากจะพูดว่า อย่าไปรู้เรื่องอะไรให้มันมากนัก และก็ต้องพูดกันอย่างบ้าน้ำลาย มาพูดกันแต่เพียงคำ ๓ คำว่า รูปธาตุ อรูปธาตุ และนิโรธธาตุเถิด แต่เมื่อพูดกันแล้วก็ต้องให้รู้ว่า มันอยู่ที่ไหน จะดูเห็นได้ที่ไหน จะจัดการกันได้ที่ไหน
นี่ก็ได้บอกมาแล้วข้างต้นว่า เพียงแต่ในร่างกายนี้มันก็พอ ไม่ต้องมองออกไปนอกร่างกายนี้ พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้เองว่า อะไรๆที่เกี่ยวกับความทุกข์และความดับทุกข์แล้ว ตถาคตบัญญัติไว้ในร่างกายที่ยาวประมาณวาหนึ่ง ที่มีพร้อมทั้งสัญญาและใจ มีสัญญาและใจก็คือมีส่วนที่เป็นอรูปธาตุ ซึ่งหมายถึงนาม ซึ่งหมายถึงสิ่งที่มีชีวิต ดังนั้นเมื่อกล่าวถึงร่างกายที่ยาวประมาณวาหนึ่งนี้ ก็ต้องหมายถึงร่างกายที่ยังเป็นๆคือยังมีชีวิตอยู่ ยังมีนามคือสัญญาและมโน รวมความว่าในร่างกายคนๆหนึ่งที่ยังเป็นๆอยู่นั้นจะมีอะไรให้ดูได้ครบ ในแง่ของความทุกข์และความดับทุกข์ หรือในแง่ของสังขารและความดับแห่งสังขาร จึงขอชักชวนท่านทั้งหลายให้พิจารณาให้ศึกษาสิ่งนี้โดยตรง ไม่ต้องไปดูที่ไหน ดูร่างกายที่เป็นๆอยู่ จะไปดูร่างกายของใครมันก็ไม่สะดวก และดูยาก ดูลำบาก อาจจะดูไม่เห็น ก็ดูที่ร่างกายที่เป็นๆของตัวเอง มันสะดวกมันง่ายที่จะเห็น โดยเฉพาะที่เป็นการดูในภายใน เราไม่อาจจะไปดูของท่านอื่นได้ เพราะเราไม่อาจจะรู้สึกในความรู้สึกคิดนึกของคนอื่นได้ แต่เราอาจจะรู้สึกคิดนึกในส่วนที่เป็นร่างกายและจิตใจของเราเองได้ดี เพราะฉะนั้นจึงมาดูกันที่นี่
สิ่งนี้เป็นสิ่งที่อาจจะรู้ได้ ฉะนั้นเราก็ควรจะรู้ เดี๋ยวนี้เราไม่ดู ไม่รู้จักสิ่งที่ควรจะรู้ มันโง่ มันโง่ เพราะเหตุอะไร นี่ก็พูดยาก ก็จะพูดปาวๆไปเท่านั้นเองว่า ก็เรียนกันมาผิด ก็สอนกันมาผิด เพราะบัญญัติไว้มากมายจนศึกษาไม่ไหว มันเวียนหัว และบางทีก็เอาไปจัดไว้ในฐานะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์เกินไปเสียก็มี เช่น เรื่องของนิโรธ เรื่องของนิพพานนี้ เขาสอนกันว่าอย่าไปแตะต้องเลย มันยากเกินไป ไม่มีทางที่จะรู้ได้ดอก โดยเฉพาะสมัยนี้ นี่ก็กลายเป็นทำให้คนสมัยนี้โง่ยิ่งไปกว่าคนสมัยโน้น ทำให้ลูกหลานมันโง่ยิ่งขึ้นไปอีก เพราะการที่มาสอนกันเสียว่า เรื่องโลกุตตระ เรื่องนิพพานนั้นมันพ้นสมัยแล้ว คนสมัยนี้ไม่อาจจะรู้จักได้ ทีนี้อาตมาก็จะทะเลาะกับคนพวกนี้ เพราะมันไม่เป็นอย่างนั้น นิพพานนั้นเป็นสิ่งที่จะหาดูได้ในร่างกายนี้เอง ยิ่งเป็นนิพพานชั่วขณะคือการดับไปแห่งสังขารด้วยอำนาจของนิโรธธาตุแล้ว ฉลาดสักหน่อย เปิดตาขึ้นมาสักหน่อยก็จะมองเห็น ว่ามันมีอยู่ในสังขารกลุ่มนี้ และมีอยู่เองโดยธรรมชาติ มีความดับไปแห่งกิเลสเป็นต้น แสดงอยู่ทุกเวลาทุกระยะที่กิเลสเกิดขึ้นแล้วก็จะดับไป ทำไมไม่ดูให้เห็น แล้วควรจะดูให้มากไปกว่านั้น ก็คือดูให้เห็นว่ากิเลสดับไปเพราะนิโรธธาตุ อยู่เป็นประจำนี่แหละคือความที่เรารอดชีวิตอยู่ได้ หรือเราไม่เป็นบ้าตาย พูดง่ายๆก็จะพูดว่า ถ้ากิเลสมันเกิดขึ้นมาเรื่อยไม่มีการดับเพราะอำนาจนิโรธธาตุโดยธรรมชาตินั้นแล้ว กิเลสนั้นก็จะยิ่งไปกว่าไฟที่จะเผาไอ้สังขารนี้ ร่างกายนี้ให้ตาย เดี๋ยวนี้เราไม่ตาย เราไม่เป็นบ้า เรามีสติสมปฤดีอยู่ได้ เพราะมันมีการดับแห่งกิเลสที่เกิดขึ้นในระยะอันสั้น ใครมันมีกิเลสได้เป็นชั่วโมงชั่วโมง ลองคิดดูเถิด ว่าถ้าความโลภ ความโกรธ ความหลงอย่างใดอย่างหนึ่งแต่ละอย่าง มันเกิดขึ้นแล้วมันอยู่นานเป็นชั่วโมงชั่วโมงอย่างนี้ คนก็เป็นบ้าตาย ดีที่ว่ามันเกิดดับได้เร็วโดยธรรมชาติ คล้ายๆกับว่ามันเป็นของศักดิ์สิทธิ์อย่างหนึ่ง เออ,มันมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างหนึ่งมันมาช่วยจับช่วยทำให้กิเลสแม้ที่จะเกิดขึ้นนี้ดับไปโดยเร็ว ใจคอก็ปกติอย่างเดิม แต่เชื้อหรือความเคยชินที่จะให้เกิดกิเลสนั้นยังเหลืออยู่ ฉะนั้นมันก็เกิดกิเลสได้เรื่อยไป ต่อไปอีก แต่มันก็ดับอีก แล้วมันก็ดับลงไปในเอ่อ,ระยะอันสั้น พอที่จะให้คนนี้มันไม่เป็นบ้า เว้นไว้แต่ในกรณีพิเศษสำหรับบางคน กิเลสเกิดแล้วมันตั้งอยู่นาน มันดับช้า จนทำให้คนนั้นเป็นบ้า ตามธรรมดาแล้วเราก็รอดชีวิตอยู่ได้ คือไม่เป็นบ้า ก็เพราะอาศัยอำนาจแห่งนิโรธธาตุที่ช่วยให้สิ่งนั้นดับไปในเวลาอันควร แต่มันเกิดอีกแล้วก็ดับไปอีก เกิดแล้วก็ดับไปอีก มันยุ่งยากลำบากนัก เราต้องหาวิธีที่จะดับให้มันเด็ดขาดไปเสีย นี่แหละคือส่วนที่จะต้องปฏิบัติธรรม ต้องศึกษาเรื่องพระนิพพาน หรือนิพพานธาตุที่สามารถดับกิเลสให้เด็ดขาดไม่วกกลับมาอีก เป็นสิ่งที่ควรจะสนใจ และเราก็ไม่สนใจ ไม่รู้จักใช้สิ่งนี้ที่มีอยู่แล้วให้เป็นประโยชน์ บัดนี้นิโรธธาตุมันมีประจำอยู่ในทั้ง ๓ กลุ่มนี้แล้ว ก็ไม่รู้จักใช้ให้เป็นประโยชน์ นิพพานธาตุจึงไม่ปรากฏ
ถ้ามีความฉลาดสักหน่อย สนใจกับเรื่องนิโรธธาตุให้มาก ก็จะทำนิพพานธาตุให้ปรากฏได้ในเวลาอันควร โดยหลักทั่วๆไปก็จะต้องพูดได้ว่า สังขารทุกอย่างมันเกิดแล้วดับเป็นแน่ สังขารทุกอย่างเกิดแล้วก็ดับแน่ และสังขารนานาชนิดที่ประกอบกันขึ้นเป็นร่างกายเป็นชีวิตนี้ มันก็เป็นอย่างนี้ ส่วนนั้นเกิดแล้วก็ดับไป ส่วนนี้เกิดแล้วก็ดับไป ส่วนโน้นเกิดแล้วก็ดับไป ขอให้ช่วยดูกันสักหน่อย ถ้าอยากจะดูให้กว้าง เรียนให้มาก ก็ดูไปถึงภายนอกเพื่อจะเป็นความรู้พื้นฐานกันเสียก่อนสักทีหนึ่ง อาจจะสอนให้ลูกเด็กๆดูเป็น ดูเห็นและก็เข้าใจข้อนี้ได้ คือเมื่อพูดถึงรูปธาตุ เราก็เอารูปธาตุที่เป็นวัตถุ เป็นจริงๆ และก็เอาให้ถึงที่สุดอย่างเต็มที่ด้วย เช่นว่า โลกนี้ทั้งโลก หรือดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาวอะไรต่างๆ มันก็เป็นสังขาร มันเกิดขึ้นแล้วก็ต้องดับไป มันไม่เคยมี แล้วมันก็เกิดขึ้น เกิดขึ้นแล้วมันก็เปลี่ยนแปลง เปลี่ยนแปลงแล้วมันก็ดับไป เดี๋ยวนี้พวกเด็กๆเขาเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ เป็นต้น เขาก็รู้ว่าไอ้โลกนี้เมื่อก่อนมันไม่มี มันเพิ่งมีขึ้นเพราะอุบัติเหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่นว่า มันหลุดกระเด็นเอ่อ,ออกมาจากดวงอาทิตย์ส่วนหนึ่งแล้วมาเย็นเป็นโลกนี้ หรือว่าอาศัยเหตุอย่างอื่นทำให้เกิดโลกนี้ขึ้นมา โลกนี้เกิดขึ้นมาแล้วก็เปลี่ยนแปลงอยู่ ร่อยหรออยู่ ไม่เท่าไรมันก็จะต้องดับ ถึงแม้ดวงอาทิตย์ที่ว่ามีฤทธิ์มีเดชมีอำนาจอะไรมาก สักวันหนึ่งมันก็จะต้องดับ ทีนี้ส่วนประกอบน้อยๆไอ้ของ ไอ้โลกนี้ เช่น คน สัตว์ ต้นไม้ ก้อนหิน ก้อนดิน ก้อนกรวด อะไรต่างๆดูให้ดีเถิด มันมีการเกิดแล้วก็ดับ เป็น กระแสที่ไหลไป แห่งการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป นี่เป็นรูปธาตุง่ายๆ ดูได้ด้วยตาธรรมดา
สังขารที่เป็นธรรมชาติชนิดนั้นเกิดแล้วก็ดับ ทีนี้ดูสังขารที่มนุษย์มันสร้างขึ้นเช่น บ้านเรือน สิ่งต่างๆอย่างในวัดนี้ก็มี กุฏิ มีศาลา มีอะไรต่างๆนานา เป็นสังขารที่มนุษย์สร้างขึ้น นี่ยิ่งเห็นได้ง่าย คือมันสร้างขึ้นมาเร็วๆ และมันก็ดับไปเร็วๆ เร็วกว่าสังขารที่เป็นไปตามธรรมชาติ นี่เห็นได้ว่า รูปธาตุที่มันเนื่องกันอยู่กับมนุษย์ ที่มนุษย์ได้ไปจัดการปรุงแต่งสร้างสรรค์ขึ้นมา มันก็ยิ่งดับได้ง่าย ดับได้เร็ว
ทีนี้เมื่อดูเอ่อ,ไอ้สังขารเหล่านั้นที่ประกอบกันขึ้นแล้วก็มีค่า หรือมีคุณสมบัติ หรือมีลักษณะเป็นความสวยความงาม ความเป็นอย่างนั้น ความเป็นอย่างนี้ สิ่งเหล่านั้นก็ยังจะต้องดับ เช่น ครั้งหนึ่งมีความสวยงามตามที่เรารู้สึก แล้วไม่เท่าไรมันก็หายไป นี้เรียกว่า รูปธาตุที่เป็นเพียงรูปอาศัย ที่อาศัยอยู่ที่วัตถุธาตุนั้นๆ มันก็มีการเกิดขึ้นและดับไป ที่่ลูกเด็กๆก็พอจะมองเห็น ถ้าคนแก่มองไม่เห็น มันก็เป็นบาปเป็นกรรมของคนแก่เหล่านั้นนั่นเอง ไปคิดดูกันเสียใหม่ อย่าให้อายลูกเด็กๆ เอาล่ะ,เป็นอันว่ารูปธาตุที่เป็นภายนอกนี้ เรามองเห็นการเกิดและการดับของมัน และยุติไว้เสียชั้นหนึ่งก่อนว่า ไอ้ไอ้การดับของมันนั้นมันสำเร็จมาจากนิโรธธาตุ ซึ่งเป็นสิ่งที่มีอำนาจเหนือสังขารทั้งปวง
ทีนี้ก็มาดูกันที่ อรูปธาตุ ซึ่งเป็นของดูยาก แต่ถ้าดูไปจากไอ้สิ่งที่พอจะดูได้ง่ายๆ ดูกันเสียก่อน เช่นว่า ความดี ความชั่ว ในความรู้สึกของคนหนึ่งๆ มันก็เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ไม่มีใครชั่วยืนยาว ไม่มีใครดียืนยาว เพราะมันเป็นการเกิดขึ้นและดับไป เกียรติยศชื่อเสียงเหล่านี้ มันก็มีการเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป บางทีก็เป็นเกียรติยศชื่อเสียงที่หลอกลวง คือไม่จริง เป็นเรื่องปลอม เป็นเรื่องฉ้อฉลโกหกพกลม เหล่านี้มันก็ยิ่งดับได้โดยง่ายและโดยเร็ว ความรู้สึกที่เป็นสุข ที่พอใจ ที่หลงใหลกันอย่างไม่ลืมหูลืมตา ความรู้สึกที่เป็นสุขนั้น มันเกิดขึ้น แล้วเดี๋ยวมันก็ดับ แล้วมันก็ทำให้คนต้องนั่งร้องไห้อยู่ ทำให้คนฆ่าตัวตายอยู่ ทำให้เกิดเรื่องเกิดราวได้มาก ตามแต่ที่ว่าจะมัน มันจะมาจากอวิชชาในระดับไหน เดี๋ยวนี้คนหนุ่มคนสาวก็ฆ่าตัวตายกันมาก เหมือนกับเป็นของทำเล่นๆ ทำไมความสุขที่เขาแสวงหานั้นมันไม่ยืนยาวอยู่ได้ ทำทำไมมันจึงเหมือนกับว่าเป็นมายา เหมือนกับพยับแดด ซึ่งมีอยู่ชั่วขณะ นี้ก็เรียกว่า อรูปธาตุ มีลักษณะที่เกิดขึ้นและก็ดับไป ในรูปแห่งความสุขที่หลงใหลกันนักก็เป็นอย่างนั้น แม้ในรูปแห่งความทุกข์ที่ไม่มีใครชอบ มีแต่คนเกลียด มันก็ยังเป็นอย่างนั้น ความสุขและความทุกข์เหล่านี้ มันเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป แม้สิ่งที่สมมติกันว่าเป็นความดี เป็นความชั่วมันก็เป็นอย่างนั้น แม้แต่สิ่งที่บัญญัติเรียกกันว่าบุญ ว่ากุศล ก็ดูให้ดีเถิด มันก็ล้วนแต่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ในฐานะที่เป็นโลกียธรรมได้ ในฐานะที่เป็นสังขาร หรือสังขตธรรมได้ มันก็เกิดขึ้นแล้วมันก็ดับไป มันไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น เมื่อเหตุปัจจัยมันยังมีอยู่ มันก็เกิดขึ้นแล้วมันก็ดับไป เหตุปัจจัยนั้นเองมันก็มีการเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปตามเหตุปัจจัยของปัจจัยนั้นๆอีกชั้นหนึ่ง เพราะว่าสิ่งทั้งหลายมีปัจจัยปรุงแต่งซับซ้อนกันอยู่เป็นหลายๆชั้น มันจึงยิ่งมีการเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ตามความมากของปัจจัยที่ปรุงแต่งซ้อนๆกันอยู่ ถ้าได้บวชได้เรียนตามวิธีการของการเรียนธรรมะมันก็รู้ได้ง่าย มันไม่ยากเกินไป มันเป็นสิ่งที่พอจะเข้าใจได้ ถ้าเราจะพูดว่า คำสอนที่พระพุทธองค์ทรงสอนนั้น เป็นสิ่งที่อาจจะรู้ได้และเข้าใจได้ ถ้าคำสอนของพระองค์เป็นสิ่งที่รู้ไม่ได้ เข้าใจไม่ได้ มันก็ไม่มีประโยชน์อะไร คำสอนนั้นก็จะเป็นหมัน แล้วมันจะพลอยทำให้พระพุทธเจ้าเป็นหมันไปด้วย เดี๋ยวนี้มันไม่เป็นอย่างนั้นเลย คำสอนนั้นเข้าใจได้ เป็นสิ่งที่อาจจะเข้าใจได้ ไม่เป็นหมัน พระพุทธองค์ทรงเอ่อ,ทรงประกอบด้วยพระคุณอันสูงสุด ไม่ใช่เป็นหมัน แต่ทำไมมันมีอาการเหมือนกับอย่างว่าเป็นหมัน นี่มันเป็นเพราะความโง่ของคนบางคน คือคนนั้นๆที่ไม่รู้จักใช้สิ่งเหล่านี้ให้เป็นประโยชน์ ความเกิดขึ้นแห่งพระพุทธเจ้า หรือคำสอนของพระองค์ มันก็เป็นหมันเฉพาะคนนั้น คือคนที่มันไม่สนใจที่จะศึกษาหาความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า และมันก็มีอยู่ในหมู่คนที่เรียกตัวเองว่าพุทธบริษัทนี่เอง
เรามีธรรมเนียมเป็นพุทธบริษัทกันได้ง่ายๆ โดยสักว่า ปากว่า หรือไปขึ้นทะเบียนไว้ พุทธบริษัทชนิดนี้หรือระดับนี้ไม่มีความแน่นอนว่าเขาจะรู้พระธรรม เขาไม่มีความรู้พระธรรมเพียงพอที่จะมองเห็นสัจจะ หรือความจริงของสังขารทั้งหลาย ว่ามันมีการเกิดขึ้นและดับไป เขาไม่มีความรู้ว่า สิ่งทั้ง ๓ นี้เนื่องกันอยู่ รูปธาตุคือร่างกาย อรูปธาตุคือจิตใจ นิโรธธาตุ ธาตุเป็นที่ดับแห่งการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปของสิ่งที่ประกอบกันขึ้นเป็นคน คือรูปธาตุและอรูปธาตุนั้นเป็นไปในอำนาจของนิโรธธาตุ คือ มีการดับ มีการดับที่ทำให้มีการเกิดใหม่ก็มี ดับสนิทโดยไม่ต้องเกิดใหม่อีกก็มี การดับนั้นมันต้องเนื่องอยู่กับการเกิด ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วมันจะมีอะไรดับ เพราะฉะนั้นอย่าไปโง่ว่ามันมีได้แต่ความดับโดยส่วนเดียว การดับนั้นมันต้องมีที่สิ่งที่มีการเกิด เมื่อมีความดับอยู่มันก็ต้องมีความเกิด เมื่อนิโรธธาตุทำหน้าที่ดับอะไรได้ มันก็ต้องมีอะไรที่เกิดขึ้นมาสำหรับให้ไอ้นิโรธธาตุนี้มันทำการดับ เราจึงมองเห็นได้ว่ามันมีการเกิดและการดับซึ่งคู่กันไป
เดี๋ยวนี้เรายกเอามาพิจารณาเฉพาะในส่วนที่มันเป็นการดับตามอำนาจของนิโรธธาตุ เพราะสิ่งนี้มันจริงกว่า หรือมันมีอำนาจเหนือกว่า คือจะพูดว่า ความดับนี้มันมีอำนาจเหนือกว่าเกิด ถ้าเรารู้เรื่องของความดับก็เป็นอันว่า รู้สิ่งที่เหนือกว่า คือจะรู้เรื่องของการเกิดได้โดยไม่ยากเลย
สังขารทั้งหลายมีความเกิดขึ้นและดับไป สังขารทั้งหลายไม่อาจประกอบอยู่ได้โดยที่ไม่เนื่องอยู่กับสังขารอื่น เช่นว่า ร่างกายไม่อาจจะมีอยู่ได้โดยปราศจากจิตใจ จิตใจก็ไม่อาจจะมีอยู่ได้โดยปราศจากร่างกาย หรือจะพูดเสียใหม่ทีหนึ่งก็ว่า รูปธาตุไม่อาจจะมีอยู่ได้โดยปราศจากอรูปธาตุ หรือว่าอรูปธาตุก็ไม่อาจจะมีอยู่ได้โดยปราศจากรูปธาตุ เพราะมันต้องอาศัยกันเป็นที่แสดงออก อาศัยกันสำหรับจะปรุงแต่ง สังขารทั้งหลายจึงมีการเกิดดับ
ทีนี้มันก็มีเอ่อ,สังขารมากมาย สังขารใดไม่ ไม่ไม่ไม่ไม่สร้างปัญหามันก็ไม่ต้องไปสนใจมันก็ได้ สังขารใดมันสร้างปัญหาจนสร้างความทุกข์ให้เกิดขึ้นมาจนเราทนอยู่ไม่ได้ เอ่อ,สังขารนั้นเป็นสิ่งที่ต้องสนใจ คือจับฉวยเอามาศึกษาให้เข้าใจอย่างถูกต้องเพื่อจะแก้ปัญหานั้นได้
เวลานี้กำลังพูดอยู่ว่ามีตัวเรา มีสังขารของเรา นี่ก็พูดเพื่อจะให้มันเกิดเรื่องขึ้นมา สำหรับจะได้จับฉวยเอาเป็นเงื่อนต้นของการศึกษา โดยแท้ที่จริงแล้วมันก็มิได้มีตัวเรา และของเรามันก็มิได้มี เมื่อเป็นดังนี้แล้วมันก็จะเกิดปัญหาขึ้นมาว่า ถ้าอย่างนั้นแล้วสังขารนั้นมันคืออะไร หรือมันเป็นของใคร ถ้าตอบได้ว่ามันเป็นของธาตุ ของรูปธาตุ ของอรูปธาตุ หรือของนิโรธธาตุด้วยกัน มันเป็นแต่สักว่าธาตุตามธรรมชาติ แต่เพราะเหตุที่ว่าในธาตุเหล่านั้น มันมีธาตุที่เป็นนาม คือเป็นธาตุจิต ธาตุใจ เป็นมโนธาตุ มันคิดนึกได้ แล้วมันก็โง่เอาเอง คิดอย่างเอ่อ,โง่ๆเอาเองว่ามีตัวเรา ไปยึดมั่นเป็นตัวเรา ยึดมั่นเป็นของเรา แล้วแต่กรณีที่มีอะไรมาให้ยึด นี่แหละ จงดูเถิดว่า แม้แต่สิ่งที่เรียกว่า ตัวเรา มันก็มีการเกิดดับ เพราะมันมีมูลมาจากอวิชชาซึ่งมีการเกิดดับ บางคราวจึงเกิดความรู้สึกว่าตัวเรา และบางคราวไอ้ความรู้สึกว่าตัวเรานั้นก็ดับไป โดยที่แท้แล้วก็เป็นเพียงกิริยาของสิ่งที่เรียกว่า สังขาร ซึ่งมีการปรุงแต่งอยู่โดยธรรมชาติ อวิชชาเกิดขึ้นก็ปรุงแต่งให้เกิดสังขาร วิญญาณ นาม รูป อายตนะ ผัสสะ เวทนา โดยนัยยะแห่ง ปฏิจจสมุปบาท เป็นชุดๆไป เป็นรอบๆไปในวันหนึ่งๆ นี่แหละตัวเราจึงเกิดขึ้นมาได้โดยความรู้สึก ก็เป็นเพียงมายาเท่านั้น ไม่มีตัวจริง และตัวเรานี้ก็ดับไป เดี๋ยวก็เกิดอีก โอกาสที่อวิชชาจะปรุงแต่งความคิดนึกมันมีอยู่เรื่อยไป เดี๋ยวทางตา เดี๋ยวทางหู เดี๋ยวทางจมูก เดี๋ยวทางลิ้น เดี๋ยวทางกาย เดี๋ยวทางใจ มันมีอยู่เรื่อยไปอย่างนี้ ตัวเรามันก็เกิดๆ ดับๆ ผลุบๆโผล่ๆ อยู่เรื่อยไป นี่แม้แต่สิ่งที่เรียกกันว่าตัวเรานี้มันก็ยังมีการเกิดดับ มันเกิดเพราะอะไร เพราะการปรุงแต่งของรูปธาตุและอรูปธาตุ มันดับไปเพราะอะไร มันดับไปเพราะอำนาจของสิ่งที่เรียกว่า นิโรธธาตุนั้น
เพราะฉะนั้น ขอย้ำกันใหม่อีกทีหนึ่งว่า จงดูให้ดีๆ เพราะรูปธาตุ อรูปธาตุ และ นิโรธธาตุทั้ง ๓ อย่างนี้ หาพบได้ ดูได้ในสังขารกลุ่มนี้ ซึ่งเราสมมติเรียกว่า ตัวเรา อุตส่าห์ศึกษาเรื่องตัวเรา สิ่งที่เข้าใจเอาเองว่าตัวเรา โดยตัวมันเองนี่ จนมันมีสติปัญญาเกิดขึ้นในสังขารกลุ่มนี้ มองเห็นแจ้งว่าไม่ใช่ตัวเรา การปรุงแต่งในทำนองที่มีตัวเรามันก็หยุดลง ความรู้สึกประเภทตัวเราไม่ได้เกิดแล้ว ความทุกข์ก็ไม่มีที่ตั้งอาศัย ทั้งจิตใจที่อยู่เหนือการปรุงแต่งว่ามีตัวเรานั้น มันทุกข์กับเขาไม่เป็น มันเป็นทุกข์ไม่ได้ มันเป็นทุกข์กับเขาไม่เป็น จึงเรียกว่า จิตนี้หลุดพ้นแล้ว ด้วยอำนาจแห่งปัญญา ญาณทัศนะที่มันมีการปรุงแต่งกันขึ้นมา โดยอำนาจของธรรมชาตินั้น
ทีนี้ก็จะต้องแยกอรูปธาตุบางประเภทออกมาสำหรับเป็นตัวปัญญา นี่แหละคือสิ่งที่อาตมาพูดว่า มันมีอยู่แล้ว แต่ทำไมไม่รู้จักใช้มัน คนที่ไม่รู้จักใช้สิ่งที่มีประโยชน์ที่มีอยู่แล้วให้เป็นประโยชน์นี้ มันจะโง่สักเท่าไร แล้วมันไปใช้เสียในทางอื่นซึ่งจะเพิ่มความทุกข์หรือปัญหาให้มากขึ้น อย่างตัวอย่างที่อาตมาได้ยกมาให้ฟังข้างต้นนี้ว่า ศีรษะนี้โกนให้เกลี้ยงๆ แล้วมันใช้เป็นที่ถูแก้คันเมื่อยุงกัดที่แขนได้ ทำไมกลับไปใช้ในทางที่ตรงกันข้าม ไปไว้ผมยาวให้มันเหม็นสาบ มีภาระที่จะต้องซัก ต้องฟอก ต้องหลอกกันสำหรับจะปรุงแต่งให้สวยให้งาม สำหรับอวดกันนั้น นั้นมันได้เปรียบแก่กิเลส มันเป็นเหยื่อของกิเลส ถ้าเราโกนมันเสีย มันก็กลับเป็นประโยชน์ในทางที่ตรงกันข้าม เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านจึงสมัครหรือทรงบัญญัติให้บริษัทของท่านโกนหัว อย่าได้เห็นว่ามันเป็นเรื่องโง่เขลาเลย มันเป็นความฉลาดที่จะตัดภาระทั้งหลายเท่าที่จะตัดได้นั้นให้มันหมดสิ้นไป จนกระทั่งว่ามันจะใช้ประโยชน์อะไรได้สักนิดหนึ่ง ก็ให้มันใช้ให้ได้ ให้ได้ประโยชน์เถิด อย่ามาเพิ่มภาระเป็นความทุกข์ยากความลำบาก เหมือนอวิชชาของคนที่ไม่ชอบโกนหัว แล้วก็หัวเราะเยาะคนโกนหัว กระทั่งพุทธกาลมันก็มี ไม่มีใครชอบโกนหัว แล้วก็หัวเราะเยาะไอ้คนที่โกนหัว แต่ก็ไม่ทำให้พระพุทธเจ้าทรงเปลี่ยนความคิดได้ ท่านยังบัญญัติให้สาวกทั้งหลายโกนหัวอยู่นั่นเอง การต่อสู้ที่เข็มแข็งที่เฉียบขาดที่มีเหตุผลมันดีอย่างนี้ มันจึงรักษาขนบธรรมเนียมหรือประเพณีอันนี้ไว้ได้ คือไม่ยอมแพ้แก่ความโง่ ใช้สิ่งที่พอจะเป็นประโยชน์อะไรได้บ้างให้มันเป็นประโยชน์ จึงขอให้พิจารณากันให้ดีๆในเรื่องรูปธาตุ อรูปธาตุ และนิโรธธาตุ
อะไรบ้างเอ่อ,ที่มันจะต้องดับไปด้วยอำนาจของนิโรธธาตุ แล้วเราก็จะต้องรู้จักให้หมด ให้มารู้จักให้ถึงขนาดที่จะเป็นนิโรธธาตุสำหรับดับความทุกข์โดยตรงที่เรียกว่า นิพพาน เมื่อตะกี้นี้อาตมาก็ได้พูดแล้วว่า เราจะพูดเรื่องนิพพานสำหรับชาวบ้าน ไม่ใช่ดูถูกชาวบ้าน แต่โดยเหตุที่เห็นว่าชาวบ้านนี้ไม่ค่อยจะมีโอกาสศึกษา ทั้งฟังเรื่องยากๆไม่รู้เรื่อง ไม่เหมือนกับบรรพชิตที่นั่งอยู่ในที่สงบสงัด ในป่า หรือว่าที่ไหนก็ได้ มีโอกาสศึกษามาก และก็ศึกษากันมาก และก็สอนกันจริงๆ การกระทำอย่างนี้มันเป็นความหมายของคำว่า บรรพชิต คือผู้ที่จะไปเร็ว มีการศึกษามาก มีการศึกษาเร็ว ต่างกับชาวบ้านที่ยังต้องงุ่มง่ามอยู่กลางทุ่งนา ในสวน ในเรือก ในกิจการที่เป็นอาชีพ เพราะฉะนั้นต้องเป็นคนเดินช้า ถ้าเปรียบแล้วก็เปรียบเหมือนกับว่า คนหนึ่งมันเดินตัวเปล่า คนหนึ่งมันหาบเอาบ้านเอาเรือนไปด้วย แบกบ้านแบกเรือนไปด้วย แล้วมันจะเดินเร็วได้อย่างไร เพราะฉะนั้น ความรู้ที่จะมาพูดกับคนชนิดนี้ มันก็ต้องเป็นความรู้ที่ง่ายสักหน่อย อาตมาจึงได้พูดถึงเรื่องนิพพานสำหรับชาวบ้าน เมื่อพูดถึงนิพพานสำหรับชาวบ้านก็ตั้งต้นด้วยเรื่องธาตุทั้ง ๓ นี้ ว่า พยายามให้เข้าใจสิ่งที่เรียกว่า รูปธาตุ อรูปธาตุ และนิโรธธาตุเถิด มันก็ไม่ยากเกินไปกว่าที่ชาวบ้านจะมองเห็นและเข้าใจได้ แล้วเราก็จะพูดลดลงมาให้ง่ายสำหรับชาวบ้าน แม้จะพูดว่า นิพพาน ก็หมายถึง ความดับ ดับแห่งอะไร ก็ดับแห่งความทุกข์หรือความร้อน ตามความหมายเอ่อ,ของคำว่า นิพพาน
คำว่า นิพพาน คำนี้ เมื่อไม่ เมื่อยังไม่ถูกนำมาใช้เป็นคำทางธรรมะ หรือคำทางศาสนา มันก็แปลว่าดับแห่งความร้อน ของร้อนๆดับลงไปก็เรียกว่า นิพพาน เรื่องนี้เคยเอามาบรรยายอธิบายอยู่เป็นประจำ แล้วก็มากแล้วด้วย แต่แล้วก็ยังไม่พ้นที่จะต้องเอามาพูดกันอย่างซ้ำๆซากๆว่า นิพพานนั้นมันเป็นการดับแห่งความร้อนที่เกิดขึ้นในจิตใจของคนโดยตรง แต่ถ้าจะให้เข้าใจหมดจดสิ้นเชิงก็ต้องรู้ไว้ว่า แม้แต่เรื่องข้างนอก เรื่องวัตถุล้วนๆ เขาก็ใช้คำว่านิพพาน ตามภาษาพูดที่พูดกันอยู่ในครั้งพุทธกาล วัตถุที่ร้อน เช่น ถ่านไฟเย็นลงดับลงก็เรียกว่ามันนิพพาน อาหารที่ร้อนยังกินไม่ได้ ก็ต้องรออยู่กว่ามันจะนิพานลง พอจะกินได้ นี่ก็เรื่องวัตถุล้วนๆ
ทีนี้มาถึงสัตว์เดรัจฉาน พิษร้ายของมันเรียกว่า ความร้อน ถ้าเรากำจัดออกไปเสียได้ คือฝึกให้ดี ให้สัตว์นี้เชื่อง ไม่มีพยศร้ายแล้วก็เรียกว่า สัตว์นี้นิพพาน ข้อความอย่างนี้หาพบได้ในพระคัมภีร์ในชั้นพระบาลี แต่นั่นมันเป็นเรื่องวัตถุ และเป็นเรื่องของสัตว์เดรัจฉาน ยังไม่ตรงกับเรื่องของเรา มาพูดกันถึงเรื่องของคนดีกว่า
อะไรเป็นความร้อนของคน ก็คือความกระหาย กระหายอะไรกันมาก ก็กระหายกามารมณ์ตามกฎเกณฑ์ของสัญชาตญาณ ที่ร่างกายของมนุษย์เจริญงอกงามขึ้นมาถึงความเป็นหนุ่มเป็นสาวแล้ว มันก็กระหายสิ่งที่เรียกว่า ความรู้สึกในทางเพศหรือกามารมณ์ นี่มันก็เป็นของร้อน และมันก็ร้อนยิ่งกว่าไฟตามธรรมดา ก็ต้องหาทางที่จะดับลงให้เป็นความเย็น จึงมีวิธีการต่างๆที่จะแนะนำสั่งสอนอบรม เพื่อจะควบคุมความร้ายกาจของความรู้สึกทางกามารมณ์นั้นได้ ก็เป็นนิพพานในระดับหนึ่ง
ทีนี้ถ้าเราไม่มีปัญหาทางกามารมณ์ ก็มามีปัญหาในทางความรู้สึกเกี่ยวกับเกียรติยศ ชื่อเสียง เป็นตัวกูเป็นของกู เมื่อคนไม่มีปัญหาทางกามารมณ์แล้ว ก็ไปกระหายในทางเรื่องเกียรติยศชื่อเสียง มีความกระหายเกียรติยศชื่อเสียงมันก็ร้อนเหมือนกัน ได้มา ยึดถืออยู่ มันก็ร้อน ก็เรียกว่าเป็นไฟ หรือเป็นความร้อน ก็ต้องดับให้มันเย็นลงไปโดยวิธีที่ เอ่อ,ที่นิโรธธาตุมันทำงาน จึงจะเรียกได้ว่า นิพพาน
ทีนี้มันยังมีอะไรเหลืออยู่ เช่นว่า ไอ้ความไม่สงบแห่งจิตใจ ด้วยอำนาจของอวิชชา ความโง่ อะไรก็ตาม มันก็เป็นของร้อน มันก็ต้องทำให้ดับเย็นลงไป สรุปความว่า กิเลสทุกชนิดมันเป็นของร้อน แล้วก็ต้องทำให้มันดับเย็นลงไป โดยกิริยาอาการที่เรียกว่า นิพพาน โดยหลักการของสิ่งที่เรียกว่า นิโรธธาตุนั้น
จะเป็นเรื่องยากเกินไป หรือพอจะเข้าใจได้ นี่ท่านลองคิดดูเอง ว่าเรานี้โง่ถึงขนาดที่จะไม่เข้าใจเรื่องเหล่านี้เอาเสียเลยทีเดียว หรือว่าเราไม่โง่ถึงขนาดนั้น เราอยู่ในลักษณะที่พอจะเข้าใจเรื่องนี้ได้ ขอให้แต่ละคนไปศึกษาเฉพาะตน ทำความเข้าใจในตนเอง ของตนเอง ให้รู้จักสิ่งเหล่านี้ รู้จักทำให้มันเย็นลง เย็นลง คือรู้จักใช้นิโรธธาตุนั้นให้เป็นประโยชน์
ทีนี้ปัญหามันก็จะมีว่า เรื่องที่จะให้ดับของมันเองตามธรรมชาตินั้น มันไม่ทันอกทันใจ หรือว่ามันจะเป็นไปในลักษณะที่เรียกว่า กว่าถั่วจะสุก งามันก็ไหม้ไปแล้ว นี่หมายความว่า การที่เราจะปล่อยให้มันดับไปเองนี้ ความวินาศมันมาถึงเสียก่อน ดังนั้นเราจึงต้องทำให้มันดับลงไปในเวลาที่ควรจะดับ คืออย่าให้แผดเผาเราเกินไป ถ้าจะดับเสียได้ทันควันก็ยิ่งดี หรือว่าจะป้องกันไม่ให้มันเกิดร้อนขึ้นมาได้ ก็ยิ่งดีไปกว่านั้น คือป้องกันไม่ให้กิเลสเกิดได้ ไม่มีความร้อนเลย จนกระทั่งเชื้อแห่งกิเลส หรืออนุสัยของกิเลสนั้นหมดไป กิเลสก็ไม่อาจจะเกิดได้อีก อย่างนี้เรียกว่า ดับถึงขีดสุด ดับถึงขั้นเหตุปัจจัย ความทุกข์ก็ไม่มีเหลือ
ทีนี้จะทำอย่างไรจึงจะรู้จักใช้นิโรธธาตุนี้ให้เป็นประโยชน์ ก็ต้องอุตส่าห์สังเกต ศึกษา คิดนึกบ้าง พิจารณาบ้าง แต่ที่ดีที่สุดนั้นคือดูลงไปตรงๆลงไปยังความทุกข์ เหตุให้เกิดความทุกข์ อย่างนี้มันชัดเจนดี ไม่ต้องอาศัยการคำนวณ หรือการคาดคะเน ซึ่งอาจจะผิดได้มาก หรืออาจจะหลอกให้หลง ตรงกันข้ามไปเสียทีเดียว อาตมาบอกแล้วบอกอีกว่า ถ้าจะเรียนพระธรรมหรือเรียนศาสนานั้น ต้องดูและเรียนลงไปที่ความทุกข์ ไม่ใช่เรียนพระไตรปิฎก ไม่ใช่เรียนเอ่อ,พระคัมภีร์ หรือ พิธีการ อื่นๆ แต่ต้องเรียนลงไปที่ตัวความทุกข์ เมื่อความทุกข์เผาผลาญอยู่ในใจ ต้องเรียนลงไปที่ตัวความทุกข์ แล้วมันจะเห็นเหตุให้เกิดทุกข์ เห็นวิธีที่จะแก้ไขและป้องกัน เรียนอย่างนี้ได้เรื่องจริง ถูกตัวจริง และเร็วกว่าที่จะไปเรียนพระไตรปิฎกเป็นหาบๆ ให้จบแล้วมันก็ยังโง่อยู่นั่นเอง คือว่ามันเรียนไปในทางที่เรียนไปในแนวทางของการเล่าเรียน อย่างเรียนหนังสือหนังหา เรียนปริยัติ ไม่เรียนตัวจริงที่ความทุกข์ที่เรียนให้พ้นทุกข์ อย่างที่พระพุทธองค์ทรงสอน
ชาวบ้านทั้งหลายอย่าได้มีความท้อถอยเลย ควรจะทราบว่าในครั้งพุทธกาลนั้น ไม่มีพระไตรปิฎกดอก พระไตรปิฎกนี้มันเพิ่งเกิดทีหลังๆ แล้วก็เกิดจนเฟ้อ เกิดจนเข้าใจได้ยาก ในครั้งพุทธกาลนั้นไม่มีพระไตรปิฎกดอก เขาก็เรียนจากพระพุทธเจ้า ท่านก็ทรงแนะให้ว่าดูลงไปที่ตัวความทุกข์ ความทุกข์เกิดเมื่อไร ก็ดูที่ตัวความทุกข์ ไม่เกิดก็แล้วไป พอเกิดขึ้นมาก็ดูลงไปที่ตัวความทุกข์ และก็จะพบเหตุให้เกิดทุกข์ พบวิธีที่จะสกัดกั้นอันนั้น บางทีพระองค์ก็ตรัสให้เลยว่า อริยมรรค มีองค์ ๘ นี่จะเป็นเครื่องสกัดกั้นความทุกข์ไม่ให้เกิด หรือว่าแม้ความทุกข์เกิดขึ้นแล้วก็จะดับลงไปได้ด้วยอริยมรรค มีองค์ ๘ นี้ ให้สนใจเป็นพิเศษให้ไปประพฤติปฏิบัติตามคำแนะนำนี้ด้วยตนเอง แต่แล้วพระองค์ก็เกิด เอ่อ,ก็ไม่ได้ทรงสามารถที่จะช่วยดับทุกข์ให้ คนนั้นจะต้องไปกระทำเพื่อจะดับทุกข์ของตนเอง พระองค์ตรัสว่า ตถาคตเป็นแต่ผู้บอกทาง หรือบอกวิธี เกี่ยวกับเรื่องนี้ อาตมาจะยกตัวอย่างให้ฟัง ที่จะเห็นได้ง่ายๆ เอ่อ,ด้วยเรื่องการขี่รถจักรยาน คนที่จะหัดขี่รถจักรยานนั้น ได้รับคำแนะนำเพียงเล็กน้อย เห็นตัวอย่างเพียงเล็กน้อย ว่าจับตรงนั้นและก็ถีบที่ตรงนี้ เห็นอยู่อย่างนั้น เข้าใจได้เพียงเท่านั้น แล้วมันก็ไม่อาจจะขี่รถจักรยานได้ พอขึ้นขี่มันก็ล้ม ขี่มันก็ล้ม แต่แล้วอย่ายอมแพ้ ขี่เรื่อยไปแล้วมันก็จะล้มยากเข้า หรือมันไม่ล้ม มันก็จะขี่ไปได้เตาะแตะ เตาะแตะ ไม่เรียบร้อย และก็อย่าท้อถอย ฝึกฝนเรื่อยไป ตอนนี้ไม่มีใครสอนได้ ให้รถจักรยานนั้นแหละมันสอน ให้การหกล้มหัวเข่าถลอกปอกเปิกนั้นนั่นแหละมันสอน สอนเรื่อยไป มันไม่เท่าไรมันก็ขี่ได้เรียบร้อย กระทั่งมันวางมือเลยก็ได้ มันเก่งถึงขนาดนั้น ตอนนี้ไม่มีใครสอนได้ การหกล้มมันสอน เปรียบเทียบข้อนี้เอ่อ,เหมือนกับว่าความทุกข์นั้นแหละมันสอน พระพุทธเจ้าก็มาสอนตอนนี้ไม่ได้ เพียงแต่แนะวิธี บอกหนทาง ให้ตัวเองไปทำเข้าแล้วการกระทำนั้นมันสอน การหกล้มมันสอนคนขี่รถจักรยานให้ขี่ได้ฉันใด ไอ้ความทุกข์นี้มันก็สอนคนที่เป็นทุกข์ให้ออกมาจากความทุกข์จนได้ ตรงตามที่พระพุทธองค์ได้ทรงแนะนำไว้ จะมาทำแทนไม่ได้ หรือจะมาสอนถึงขนาดที่จะดับความทุกข์ตรงๆอย่างนี้ มันก็ไม่ได้ เพราะมันเป็นเรื่องที่อยู่ในจิตในใจ คนๆนั้นมันก็ต้องสอนตัวเอง แต่บางทีอาตมาก็เรียกว่า ธรรมชาติสอน คือความทุกข์นั้นมันเป็นธรรมชาติอันหนึ่ง ไปเกี่ยวข้องกับความทุกข์ซึ่งเป็นธรรมชาติแล้วมันก็สอนให้เอง อย่างนี้เรียกว่า ธรรมชาติสอน การสอนในลักษณะนี้ ในระดับนี้ พระพุทธเจ้าท่านก็สอนให้ไม่ได้ แต่ท่านสอนวิธีที่คนได้รับเอ่อ,เอามาปฏิบัติ สำหรับให้ธรรมชาติหรือความทุกข์นั้นมันสอน แล้วเขาก็ต่อสู้กับความทุกข์เป็นระยะๆ เป็นลำดับๆไป ในที่สุดก็เอาชนะความทุกข์ได้ เพราะเหตุว่า ไอ้สิ่งที่เรียกว่านิโรธธาตุนั้นมันมีกำลังมากอยู่แล้ว มันจะช่วยดับให้ทุกคราวที่เป็นโอกาสของการดับ รูปธาตุ อรูปธาตุก็เป็นไปตามเหตุตามปัจจัยอยู่แล้ว มีความเกิดและความดับอยู่แล้ว ไปศึกษาในส่วนที่เป็นความดับก็จะเข้าใจความดับ และใช้นิโรธธาตุให้เป็นประโยชน์ คือดับทุกข์ได้ กลายเป็นนิพพานธาตุ อย่างนี้เรียกว่า เรื่องนิพพานสำหรับชาวบ้าน
ขอให้พูดกันแต่เพียงเท่านี้ ขอให้ปรึกษาหารือกันแต่เพียงเท่านี้ อย่าให้มันมากจนลำบาก มากจนเรียกว่า รู้มากแล้วก็อยากนาน เอ้อ,ยากนาน รู้มากแล้วก็ยากนาน คือมันไม่รู้อะไรนั่นเอง บางทีก็รู้พูดได้มาก เหมือนกับคนหอบฟาง มีแต่ฟางไม่มีเมล็ดข้าวเลย อย่างนี้มันก็เป็นได้ แม้แต่พวกพระพวกเณรที่เล่าเรียนแล้วก็มีประกาศนียบัตร มีปริญญาสูง มันก็เป็นบ้าหอบฟาง ไม่ได้เปรียบอะไรกว่าชาวบ้าน ถ้าชาวบ้านไม่มัวบ้าหอบฟางก็จะเป็นการดี เรามีเวลาน้อย สนใจให้ถูกเรื่องที่เป็นแก่นสาร เข้าใจรูปธาตุ อรูปธาตุ และนิโรธธาตุให้เพียงพอเถิด การทำพระนิพพานให้แจ้งก็จะเป็นสิ่งที่ทำได้ จะประสพความสำเร็จ
นี่,วันนี้เป็นวันที่เราประชุมกันเป็นที่ระลึกแก่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใน วันมาฆะปุณมี ที่เรียกว่า จาตุรงคสันนิบาต เป็นโอกาสที่ทรงแสดง โอวาทปาติโมกข์ ทรงย้ำมากในการทำจิตให้บริสุทธิ์ โดยวิธีที่เรียกว่า ประกอบความเพียรในการทำจิตให้ยิ่ง อาตมามีความเห็นว่า ไม่มีเรื่องการทำจิตให้ยิ่งชนิดไหน ที่จะยิ่งไปกว่าเรื่องนี้ที่กำลังพูด คืออบรมจิตให้รู้จัก รูปธาตุ อรูปธาตุ และนิโรธธาตุ ก็จะสามารถทำจิตให้บริสุทธิ์จากเครื่องเศร้าหมองโดยประการทั้งปวง จะเป็นการตามรอยพระอรหันต์อย่างเที่ยงแท้แน่นอน และก็จะถึงสภาพเดียวกันกับพระอรหันต์ได้ สำหรับบุคคลที่ไม่โลเล เหลาะแหละ เหลวไหล เป็นบุคคลที่ตั้งใจจริง จะทำให้สำเร็จประโยชน์จริง ตามที่เราเคารพพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์
ได้ยินพูดกันอยู่ จึงแสดงว่าเป็นที่เข้าใจกันอย่างถูกต้องดีแล้ว ว่าพระศาสนานี้จะเจริญหรือว่าจะล่มจมไป มันก็อยู่ที่การกระทำของพุทธบริษัททั้ง ๔ คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ท่านทั้งหลายที่เป็นฆราวาสก็ต้องเรียกว่าอยู่ในประเภทที่เป็น อุบาสก อุบาสิกา อยู่ในจำพวกที่พระบรมศาสดาทรงมอบหมายหน้าที่ ว่าจะต้องช่วยกันสืบอายุพระศาสนา อาตมาจึงได้พยายามชี้แจงแก่ท่านทั้งหลาย ให้มีความรู้ความเข้าใจในลักษณะที่พอจะช่วยกันสืบอายุพระศาสนาได้ แม้ว่าจะไปช้าๆ คลานงุ่มง่าม เพราะว่าต้องแบกบ้านไป แต่ถ้าไม่เหลวไหล พยายามกันจริงๆ ก็จะเป็นเหมือนกับเต่าที่มันเอาจริง มันก็ชนะกระต่ายที่วิ่งเร็ว คือพวกไม่ต้องแบกบ้าน ได้แก่ บรรพชิตทั้งหลายแต่มีความประมาทเหมือนกับกระต่าย และก็ต้องพ่ายแพ้แก่เต่าที่เดินงุ่มง่าม พูดอย่างนี้ไม่ใช่จะดูหมิ่นดูถูกพวกไหน เพียงแต่บอกให้รู้ว่าหน้าที่ที่จะต้องทำนั้นมันมีอยู่อย่างไร คนไปได้เร็วก็ต้องทำเร็วๆ คนไปได้ช้าก็ทำช้าๆ แต่แล้วมันก็จะเป็นประโยชน์แก่ตน และเป็นประโยชน์แก่พระศาสนาได้อย่างถูกต้อง หรือตรงตามสถานะของตนของตน แล้วแต่ว่าจะมีสถานะในทางกายทางจิตเป็นอย่างไร นี่แหละคือผลของการที่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับรูปธาตุ อรูปธาตุ และ นิโรธธาตุอย่างเพียงพอ
อาตมาถือเอาโอกาสนี้สำหรับทำความเข้าใจในเรื่องนี้ เพื่อช่วยสนับสนุนการที่ว่าจะทำตามพระอรหันต์ อย่างที่สวดร้องอยู่ในบทปัจจเวกขณ์ อุโบสถศีล ถ้าเข้าใจคำว่าอุโบสถศีลดี มันก็เป็นการตามรอยพระอรหันต์จริง ไม่ใช่เป็นเรื่องเบื้องต้นเล็กๆน้อยๆ ถือศีลกันเล่นเล็กๆน้อยๆ เป็นการพักผ่อนหย่อนใจ ตามวัดตามวา นั่นไม่ใช่การตามรอยพระอรหันต์ ถ้าทำตามพระอรหันต์จริง อุโบสถศีลนั้นจะกำจัดกิเลส เพราะว่าไม่แตะต้องด้วยส่วนเกินซึ่งเป็นเหยื่อของกิเลส ขอให้ทายก ทายิการู้จักใช้ประโยชน์จากอุโบสถศีล ซึ่งมีหัวใจเป็นนิโรธธาตุ จะดับกิเลสดับตัณหาได้ตามความสามารถแห่งตนแห่งตน นี่คือข้อที่จะปรารภกันในมาฆบูชาประจำปีนี้ ซึ่งอาตมาก็ได้พยายามเป็นอย่างยิ่ง พยายามสุดความสามารถของอาตมาแล้ว ว่าเราจะค่อยเลื่อนชั้นกันขึ้นไปทีละนิด ทีละนิดทุกปีได้อย่างไร ถ้าท่านพิจารณาดูและเข้าใจ ก็จะเห็นได้ว่าการแสดงธรรมเทศนานี้จะช่วยให้มีการเลื่อนชั้นอย่างนั้นได้จริง เป็นการบรรยายที่เพียงพอ หรือสมควรแก่โอกาสเท่าที่มีในวันนี้ ในปีนี้อาตมาแสดงข้อความนี้ ในความมุ่งหมายอย่างนี้ และก็เป็นการสมควรแก่เวลาแล้ว ขอยุติธรรมเทศนานี้ไว้แต่เพียงเท่านี้ก่อน เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้ (จบนาทีที่ 1:24:01) ต่อด้วยบทสวดมนต์ จนถึงนาทีที่ 1:29:25
นาทีที่ 1:29:43 ท่านพุทธทาสเทศน์เป็นภาษาใต้
เวลายังเหลือเล็กน้อย อยากจะพูดอะไรเล็กน้อย นั่งก่อนเถอะ พอถึงเวลาค่อยทำวัตรเช้า อุตส่าห์มาจากไกล ขอถือโอกาสเพราะว่าหลายคน มีหลายคนและอยู่ในที่ต่างๆกัน มากันแต่ที่ไกลๆต่างๆกัน อยากจะปรารภเรื่องช่วยกันสืบอายุพระพุทธศาสนา เวลานี้มันแสดงให้เห็นว่าน่าหวาดเสียว น่าสังเวชอนาคตของพระศาสนา อยู่ในฐานะที่ว่าน่าหวาดเสียว หรือว่าน่าเป็นห่วง
วัดนะ จะไม่มีพระอยู่แล้ว น้อยลงๆ จะว่าโดยตัวร่างกายนี้ก็จำนวนพระก็น้อย จะว่าโดยจิตใจหรือว่าคุณธรรมสำหรับความเป็นพระมันก็น้อย มันน้อยทั้งปริมาณและมันน้อยทั้งคุณภาพนะ แล้วถ้ามันเกิดอะไรลงไปในระยะนี้ มันก็ต้องพูดว่ามันมาสิ้นสุดลงในยุคของพวกเรา หรือว่ามันมาร่อยหรอทรุดโทรมลงในยุคของพวกเรา เรามันต้องนึก เราต้องรับผิดชอบ อย่าให้ความเสื่อมเสียหรือว่าความทรุดโทรมล่มจมอะไร มันเกิดในชั่วอายุของเรานะ นี้ไปช่วยกันไปคิดไปนึก อยู่ไกลๆแล้วมันก็ไม่ค่อยจะป้องกัน แล้วก็เลยพูดฝากไป ให้ไปช่วยกัน ไปปรึกษาหารือนะ
เรื่องที่ต้องพูดมีมาก ถ้าพูดหมดก็คงจะรำคาญเธอทนไม่ไหว จะพูดแต่เพียงว่ามันต้องรับผิดชอบแหละ เรื่องอะไรต้องรับผิดชอบล่ะ เพราะว่าเราได้รับประโยชน์ จากที่คนก่อนๆเขาทำไว้ให้ ปู่ย่าตายายของเราช่วยสืบอายุพระศาสนาไว้มาจนถึงเรา ถึงเราได้รับและได้รับประโยชน์ พอถึงทีที่เราจะช่วยสืบไว้ให้คนชั้นหลังบ้าง เราไม่รู้ไม่ชี้เสีย แกล้งไม่รู้ไม่ชี้เสีย หรือว่าไม่รู้ไม่ชี้ เพราะว่าไม่รู้ไม่ชี้จริงๆ คือมันหลับหูหลับตาจริงๆ ทั้ง 2 อย่างนี้มัน มันให้อภัยไม่ได้ มันจะแก้ตัวไม่ได้ ยมบาลไม่ฟังเสียง แก้ตัวในเรื่องนี้ ก็ต้องตายเสีย
ต้องช่วยกันรับผิดชอบว่า เมื่อมาถึงเรา ถึงมือของเรา เรามันก็ต้องช่วยสืบไว้ให้คนต่อไป นี้โยมไม่ค่อยสนใจกันนี่ เรื่องของพระศาสนาแล้วมันจะทรุดลงนะ แต่ก่อนฉันก็พูดกับคนแก่มาเป็นจำนวนมากว่า ไอ้ลูกหลาน คนที่ฉลาดสักหน่อยก็เอาไปให้เล่าให้เรียน ไปเป็นนายอำเภอไปเป็นรัฐมนตรีนะ แต่ลูกหลานที่โง่ๆพิกลพิการแล้วเที่ยวมาให้วัด เอามาให้วัดเลี้ยงเป็นภาระนะ เอาอะไร เอามาให้บวชแล้วจะทำอะไรได้ จิตไม่สมประกอบบ้าๆบอๆเอามาให้บวช แล้วจะทำอะไรได้ เอามาเป็นภาระให้พระเลี้ยงนั่นแหละ ลูกหลานคนไหนฉลาดนิด ส่งไปเรียนทางอื่น ลูกหลานคนไหนพิกลพิการเอามาให้วัด แล้วจะสืบอายุพระศาสนากันอย่างไร ลูกหลานก็ไปเรียนทางอื่น
(เสียงเงียบและเบามากนาทีที่ 1:34:42 จนถึง 1:35:12) กลายเป็นเรื่องโลกที่ไปตายเอาดาบหน้า ถึงไม่สำเร็จก็ยอมตายดาบหน้า ไม่กลับมาช่วยศาสนา พ่อแม่ก็เหมือนกันมีความรู้สึกว่าลูกคนไหนฉลาด พอบวชแล้วก็ให้รีบสึกๆให้ไปเรียนทางโลกดีกว่า เรื่องที่ว่าจะส่งกันมาให้เป็นกำลังทางศาสนาก็ไม่ค่อยจะมี
นี่แหละเรื่องที่ฉันอยากจะปรารภ กิจตั้งต้นเบื้องต้นที่ต้องทำก่อน คือให้คนที่อยู่ในวัดมีสติปัญญา จะได้ช่วยกันสืบอายุพระศาสนาในกาลข้างหน้า เวลานี้มันมีวิธีหลายวิธีที่จะช่วยกันต้านทานความทรุดโทรม ใครมีลูกมีหลานก็แนะนำให้มันบวช ถึงไม่บวชตอนนี้ก็บวชระหว่างที่เขาปิดภาคเรียน บวชเณรระหว่างปิดภาคเรียน บวชแล้วได้เรียนกันจริงๆ เตรียมไว้พลางหรือชะลอไว้บ้างอย่าให้มันเตลิดเปิดเปิงนัก ให้เด็กๆรู้จักพระธรรม อย่าให้มันระยะยาวนัก คือให้มันรู้จักพระธรรมไว้ เป็นตอนๆนะ ปิดภาคเรียนบวชครั้ง ปิดภาคเรียนบวชครั้ง บวชกันหลายหนก็ไม่มีใครว่าอะไร การบวชเณรเวลาปิดภาค จะบวชทุกปีก็ไม่มีใครว่าอะไรได้ มันไม่ใช่เรื่องทิด 3 ขา อันนั้นมันเรื่องเหลวไหล บวช 3 ขา บวช 3 ครั้ง อันนั้นมันคนเหลวไหล แต่เราจะฝึกเด็กของเรา ให้บวชปิดภาคทุกปีๆ ทุกปีจะกี่ปีก็ได้ ไม่ใช่ทิด 3 ขา มันไม่ใช่โง่แบบนั้นนะ จะได้ฉลาดบ้าง มันจะมีเชื้อ มีอุปนิสัย มี เอ่อ,มีบุญนะ มีต้นทุน ตอนเป็นผู้ใหญ่ถ้าจะบวชพระบวชอะไรก็หันมาช่วยศาสนากันบ้าง
บางทีมันจะเห็นว่าได้บุญได้ประโยชน์ยิ่งกว่าการจะไปได้ดิบได้ดีในทางโลกนะ การที่มีอำนาจวาสนาได้ดิบได้ดีในทางโลกนั้น มันก็ไม่ช่วยศาสนาได้มากเหมือนกับว่ามาทำกันในทางธรรมโดยตรง คือมันตรงกว่า มันตรงเป้าหมายกว่า ใครมีลูกมีหลานก็ช่วยชี้แจงแบบนี้บ้าง ว่ามาทำงานมาสืบอายุพระศาสนานี้ล่ะ ได้บุญได้กุศลและก็ยังได้ประโยชน์ บวชด้วยการสรรเสริญ บวชด้วยการเคารพ เราควรช่วยกันสรรเสริญกันบ้างนะ ให้เด็กมันอยากบวชอยากเรียน เราอย่าละเลย หรือเราอย่าทำส่ง อย่าดูหมิ่นนะว่าการบวชการเรียนนั้นได้ผลน้อย ถ้าไม่ป้องกันไว้แต่เนิ่นๆแล้วคราวนี้จะทำไม่ทันนะ จนพระหมดวัดเหลือแต่วัด แล้วจะมาคิดกู้มันจะไม่ค่อยไหว จะกู้ไม่ขึ้น เวลานี้พระมันร่อยหรอลงแล้ว ความนิยมมันเสื่อมแล้ว เด็กๆไม่ชอบศาสนาแล้ว มันก็ต้องเข้ามาแล้ว เรียกว่าไอ้อันตรายมันเข้าใกล้มาแล้ว เราต้องพยายามช่วยกันต่อต้าน ป้องกันแก้ไข รับ รับหน้า รับพายุนี้ให้ดีๆ อย่าให้ล่มจม อย่าให้มันคว่ำลงไป
เมื่อมองเห็นประโยชน์ของศาสนาน้อยเกินไปแล้วจะให้ลูกหลานมารับภาระหน้าที่อันนี้ ไอ้ตำแหน่งที่จะไปได้ดิบได้ในทางโลกมันก็เกือบจะไม่มีแล้วเหมือนกันนะเวลานี้ เรากล้าท้าทาย มันเต็มมันอัดมันล้นนะ ทางที่จะมาช่วยโลกช่วยสัตว์โลก คนของพระพุทธเจ้ายังมีที่ว่างมาก ตำแหน่งยังว่างมาก แต่ไม่มีใครเอา ไม่มีใครชอบ มาทำงานให้พระพุทธเจ้านี้ กินเงินเดือนรัฐบาลนี้มันไม่มีใครชอบ ที่จริงมันมี เอ่อ,มันมีค่ามาก ตัวเองก็ไม่ต้องมีความทุกข์ ได้ทำประโยชน์แก่ผู้อื่นมากมายมหาศาล ถ้าพูดว่าได้รับประโยชน์สูงสุด แล้วอันนี้ได้รับประโยชน์สูงสุดกว่า ในความเป็นมนุษย์ก็สูงสุดกว่า
นี้แหละเรื่องๆหนึ่งที่อยากจะพูด และก็พูดในโอกาสมาฆบูชา จะว่าเป็นหมอเหมือนกันนะ จะได้ช่วยกันรักษาเชื้อสายแห่งพระอรหันต์ เชื้อสายของผู้ถึงตถา ถึงตถา คือเป็นตถาคต
ได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วดีที่สุดตรงไหนกันแน่ ตรงไหนกันแน่ ไปคิดดูให้ดีๆ ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ แล้วดีที่สุดของความเป็นมนุษย์ อยู่ตรงไหนกันแน่ จะเอาให้รวย เรื่องกิน เรื่องเล่น เรื่องทรัพย์สมบัติแล้วมันดีที่สุดหรือไม่ที่สุดนะ ไปคิดดูให้ดีๆ แล้วมันไม่เอาได้ทุกคนนะ จะรวยกันทุกคนหรือ โลกนี้มันจะเอาที่ไหนมาให้รวย มันก็ต้องมีรวยพวกหนึ่ง จนพวกหนึ่ง และมันก็มีปัญหาอย่างอื่น (1:42:58ถ้ารู้จักที่จะแบ่งหรือเลี้ยงกันก็อยู่ได้)
ถ้าจิตใจไม่มีกิเลสครอบงำจนเกินไป แล้วก็นึกไปในทางที่เป็นคนที่ทำงานให้พระพุทธเจ้า และเรียกว่าเป็นคนมีพระพุทธเจ้า ถ้าบูชาเงิน กิน เกียรติ แล้วนั้น มันไม่เป็นคนของพระพุทธเจ้าไปได้ แล้วมันไม่มีพระพุทธเจ้า ถึงปากจะพูดว่านับถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ถือพระรัตนตรัยเป็นสรณะอะไร มันก็หลอก มันไม่ได้ถึงพระพุทธเจ้า ไม่ได้มีพระพุทธเจ้า ขอให้มีพระพุทธเจ้ากันจริงๆสักทีนะ
ทุกๆคนนะ ขอให้พยายามเข้าให้มีพระพุทธเจ้ากันจริงๆ ทำใจแบบนี้ อย่ากลัว ไม่มีวันอดตาย คือมันไม่ตาย มันไม่มีคน มันไม่มีตายแล้ว ถ้ามีพระพุทธเจ้ามาเป็นของตนจริงๆ จะไม่มีการตาย จะไม่มีการอดแล้ว คือมันอยู่เหนือที่จะมีการอดและการตาย มันมีสัจธรรมที่เป็นประโยชน์สูงสุดอยู่เหนือการอดและการตายแล้ว คนโง่ๆที่ยังยึดถือเรื่องกินเรื่องกามเรื่องเกียรติอยู่ มันก็พูดกันไม่รู้เรื่อง
เวลานี้ก็ระวังรักษาจิตใจอย่าให้มีความทุกข์ อย่าให้มีความทุกข์ ตายดีกว่าเป็นทุกข์ เราอย่ามีความทุกข์ ถ้าจะ ถ้ามีความทุกข์ก็ตายดีกว่าฉันว่า อย่ามีความทุกข์ ถึง ถึงถึงถ้ามีอะไรมายั่ว มาทำให้มีความทุกข์ ก็ไม่เอา แม้ความเจ็บ ความตายมันจะเกิดขึ้น ก็ไม่รับเอามาเป็นความทุกข์ หัวเราะเยาะกลับไปเลย อย่ามีความทุกข์ ว่าเอ้,อย่ามีความทุกข์ เรามันเป็นคนของพระพุทธเจ้าแล้วอย่ามีความทุกข์ อย่าให้กิเลสเกิดขึ้นมีความทุกข์ อย่ารับเอาความเกิดความแก่ความเจ็บความตายมาเป็นของเรา นั้นมันทุกข์
พระพุทธเจ้าตรัสว่าความเกิดเป็นทุกข์ ความแก่เป็นทุกข์ ความตายเป็นทุกข์ นั้นมันความหมายอย่างอื่น มันมีความหมายว่าถ้าเราไม่รับเอาความเกิดแก่เจ็บตายมาเป็นของเรา แล้วมันก็ไม่มีความทุกข์ มันก็ตรัส เอ้อ,พระพุทธเจ้าก็ตรัสตามธรรมดาแบบชาวบ้าน
ตราบใดถ้ามันมีความเกิดความแก่ความเจ็บความตายขึ้นมาได้ก็เพราะมันยึดถือ ครั้นถ้าไม่ยึดถือมันจะไม่เป็นความเกิดความแก่ความเจ็บความตาย มันเป็นเพียงความเปลี่ยนแปลงของสังขารเท่านั้น ถ้าลองพูดออกมาว่าเกิดแก่เจ็บตายแล้วก็หมายความว่ามันยึดถือแล้ว ปุถุชนคน ธรรมดาน่ะยึดถือแล้ว ความเกิดความแก่ความเจ็บความตายนั้นก็เป็นของเราด้วยนะ ความเกิดแก่เจ็บตายของเราก็เป็นทุกข์ตายสิ ฉะนั้นอย่าเอามาสิ แต่ว่าไอ้ความหมายอันนี้ มันมีความหมายไกลกว่านั้น ไม่ต้องเกิดแก่เจ็บตายอะไรหรอก จะบอกให้รู้ว่าไอ้ความเกิดความแก่ความเจ็บความตายนี้มันน่าเกลียด เวลานี้เรายังไม่เจ็บ ยังนั่งสบาย ไม่มีความเจ็บ ยังไม่มีความตายมาถึง แต่บอกให้รู้ว่าไอ้ความแก่ความเจ็บความตายนั้นเป็นของที่น่าเกลียด น่าขยะแขยง อย่ารับเข้ามาในใจ ป้องกันไว้อย่าให้มันเข้ามาสิงอยู่ในจิตใจ อย่ารับเอามาเป็นของเรา มาใส่ในใจของเรา ให้มันอยู่ข้างนอก เป็นธรรมชาติ เป็นของสังขาร มันเปลี่ยนแปลงอยู่ตามธรรมชาติ มันอยู่แต่มัน อย่ารับเอามาใส่ในใจของเรา ให้มันเป็นความเกิดแก่เจ็บตายของเรา นี้คือคำสอน
ถ้าถือเอาใจความผิด เข้าใจตัวหนังสือผิด แล้วมันก็จะไปรับเอาเป็นความทุกข์นะ ความเกิดเป็นทุกข์ ความแก่เป็นทุกข์ ฟังดูแล้วเป็นการยอมรับ เท่ากับยอมรับเอามาเป็นความทุกข์ของตัว ถ้าแบบนี้แล้วผิดหมดเลย ผิด ผิดความจริง ผิดพระบาลี ผิดพระพุทธประสงค์ พระพุทธประสงค์ต้องการจะให้มันอยู่เหนือความเกิดแก่เจ็บตาย ไม่มีความเกิดแก่เจ็บตายเป็นของเรา เพราะมันเป็นของที่น่าเกลียด คำว่าทุกขังแปลว่าดูแล้วน่าเกลียด เห็นแล้วน่าเกลียด เช่นก้อนหินก้อนนี้มันมีความทุกข์ ในความหมายว่าดูแล้วมันน่าเกลียด น่าเกลียดเพราะมันเปลี่ยนแปลง มันเป็นอนิจจัง เปลี่ยนแปลง ความทุกข์ในความหมายทั่วไปเป็นสังขารทั้งปวง สังขารมีวิญญาณ ไม่มีวิญญาณ สังขารไม่เที่ยง มันก็เป็นทุกข์ เพราะมันมีอาการเหมือนกับหลอกลวงเป็นมายา ไม่เที่ยง ก็เลยจัดไว้ว่ามันเป็นความทุกข์ เห็นแล้วน่าเกลียด เห็นแล้วน่าเศร้าใจ ดูแล้วความเกิดความแก่ความเจ็บความตายมันเป็นแบบนั้น เพราะฉะนั้นอย่ารับเอามาสิ มันน่าเกลียด มันเป็นของน่าเกลียด อย่ารับเอามาเป็นความเกิดแก่เจ็บตายของเรา ถ้าสลัดออกไปได้แบบนี้ นั่นแหละมันคือนิพพาน คือนิพพานที่ว่าไม่ต้องเกิด ไม่ต้องแก่ ไม่ต้องเจ็บ ไม่ต้องตายอีกต่อไป หา,(1:49:31-1:49:34 ฟังไม่ออกค่ะ) รบ นี่คุณจะไปไหนน่ะ ไม่ค่อยได้คุยกันนะ..
ฉันอยากจะคุยกับพุทธบริษัท ทุกหมู่ ทุกคณะ ทุกจังหวัด ที่มีโอกาสพูดกันได้ก็จะพูด ให้ช่วยกันต่อต้านวิกฤตการณ์ของพระศาสนา จะน่าหัวเราะนะ ฟังๆดูฉันพูดเสียน่าหัวเราะ คือพระที่เทศน์น่ะมันจะออกไปเป็นขี้ข้าของกิเลสเสียหมด มันเหลือแต่ปุถุชนรับหน้าที่สืบอายุพระศาสนา มันน่าหัวเราะหรือไม่น่าหัวเราะ ไอ้พระเณรตัวเด็กๆนี่มันจะออกไปเป็นทาสของกิเลส แล้วใครจะอยู่รับหน้าวิกฤตการณ์ ก็กลายเป็นทายกทายิกาที่อยู่ที่บ้าน มันน่าหัวเราะไหม วัดร้างหมด ก็มอบหน้าที่อันนี้ให้ทายกทายิกาที่อยู่ที่บ้าน
ที่พูดนี่จริงหรือไม่จริงลองไปคิดดู พูดเล่นหรือพูดจริงคิดดู เหตุการณ์ชักจะเป็นแบบนี้ ทั้งลูกทั้งหลานก็ไม่มีศาสนาที่จะเหลืออยู่สำหรับเป็นที่พึ่งนะ ฉะนั้นต้องร่วมมือกันนะทั้งชาวบ้านชาววัดทั้งบรรพชิตทั้งคฤหัสน์ สืบอายุพระศาสนา
ศาสนามันหมดสิ้นนั้น มันไม่ใช่ว่าคนอื่นมาทำ แต่เรานั่นแหละ ข้อที่ 1 คือสอนผิด ถ้าสอนผิดเมื่อไรศาสนาหมดเมื่อนั้น ไม่มีใครมาทำดอก เพราะว่าเราสอนผิดๆ สอนผิดศาสนาหมดทันที และอีกข้อหนึ่งคือเราไม่ช่วยกันสนับสนุน ไม่ช่วยกันรักษาให้มันมีการสอนที่ถูกๆ ไม่ช่วยให้คนอยู่ได้ และมีการศึกษาเล่าเรียนที่ถูกต้อง และทายกทายิกาอุตส่าห์ทำไร่ทำนาใส่บาตรให้พระฉัน มันเพื่อประโยชน์อะไรล่ะ คิดดูสิ เพื่อประโยชน์ให้รับภาระหน้าที่ที่ยากที่ลำบากที่มัน ที่มันเกินกำลังของชาวบ้าน แต่มันอยู่ในฐานะที่ว่าบรรพชิตที่จะทำได้นะ ให้ช่วยกันได้ ฉะนั้นบรรพชิตเรียนให้ดีเรียนให้ถูก อย่าสอนให้ผิดนะ ถ้าบรรพชิตสอนผิดแล้วศาสนาหมดทันที ไม่ต้องมีอิสลามอะไร คริสต์อะไรมาเบียดเบียนดอก (1:53:00) มันหมดทันทีเพราะเราสอนผิด สอนให้มีตัวตน สอนให้เห็นแก่ตน สอนให้เห็นแก่ลาภ ยศ สรรเสริญ สอนให้หลงในเรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรติ พุทธศาสนาสอนไม่ให้ยึดมั่นถือมั่น เราสอนให้ยึดมั่นถือมั่น พุทธศาสนาของพระพุทธเจ้านั้นสอนเรื่องไม่มีตัวตน มันมาสอนให้มีตัวตน มันก็เป็นศาสนาอื่นไป
นี่แหละ,พรุ่งนี้ก็จะกลับ ต่างคนต่างกลับกันไปคนละทิศคนละทาง เราก็ถือโอกาสพูดฝากไปด้วย ช่วยเอาไปคิด ช่วยเอาไปปรึกษาหารือกับหมู่คณะของตน ความจริงแก่ตัวอยู่ใช่มั้ย(1:54:07) จังหวัดใครก็ต้องใครช่วยกันนะ นี่ก็พูดฝากไปด้วย จังหวัดใครก็จังหวัดนั้นช่วยกัน ถ้าต่างคนต่างช่วยกันทุกๆจังหวัด แล้วมันก็เป็นอันว่าช่วยหมดทั้ง ทั้งประเทศแหละ นี้จะมาพบกันเป็นโอกาสสำหรับจะทำความเข้าใจปรึกษาหารือ ถ้าเห็นว่าการที่มาทำอะไรที่สวนโมกข์ประจำปีแบบนี้ มันก็มีความดีอยู่ที่ว่าได้พบปะกันปรึกษาหารือกัน ช่วยกันสืบอายุพระศาสนา ไอ้ความรู้ส่วนตัวที่ได้รับมันก็ดีเหมือนกันนะ แต่มันก็ยังไม่มีค่ามากเท่ากับว่าช่วยกันสืบอายุพระศาสนา ความหลุดพ้นส่วนตัวน่ะรอไว้ก่อน ช่วยกันสืบอายุพระพุทธศาสนาด้วยประการทั้งปวงนั้น นี้เขาเรียกว่าแบบพระโพธิสัตว์ แบบพระโพธิสัตว์ เห็นแก่ส่วนรวมก่อน แต่ว่าเราหากินเราไม่ได้เป็นพระโพธิสัตว์ คิดเราใช้หนี้ เราน่ะติดหนี้อยู่ ปู่ย่าตายายคนแต่ก่อนๆเขาทำไว้ให้เราได้รับประโยชน์และเราต้องใช้หนี้ เราต้องสืบอายุพระศาสนา เผื่อให้คนข้างหลังเขาใช้ ถ้าคุณไม่ใช้หนี้มันก็ขี้ฉ้อสิ ถ้าไม่ใช้หนี้มันขี้ฉ้อ ขี้โกง คนโกง ทุกๆคนแหละ ทั้งพระทั้งฆราวาส มันได้รับประโยชน์มันเป็นหนี้ครั้งก่อนๆโน่น ต้องใช้หนี้สิ
ใครมีความเห็นอย่างไร สงสัยอะไร จะค้านอะไร พูดมาเถิด ไม่ต้องเกรงใจ ถ้าไม่เห็นด้วยก็ค้านมาเถิด
อย่าพูดว่าพระพุทธศาสนาอัศจรรย์จริงแต่ปากนะ ไม่เอานะ พระธรรมน่าอัศจรรย์จริง ก็พูดแต่ปาก พระสงฆ์น่าอัศจรรย์จริง พูดแต่ปาก ข้าพเจ้าขอมอบกายถวายชีวิตนี้แด่พระพุทธเจ้า พูดแต่ปาก
พยายามใช้หนี้ ทำงานใช้หนี้ให้สนุก คุณจำประโยคไว้สักประโยคหากทำอะไรไม่ถูกนะว่า ทำประโยชน์ให้สนุก แล้วเป็นการปฏิบัติธรรมไปในตัว จำให้แม่นๆว่าทำประโยชน์ให้สนุกแล้วให้เป็นการปฏิบัติธรรมไปในตัว ทำประโยชน์ให้สนุกก็คือไม่มีความทุกข์ เรื่องความทุกข์ไม่มี แม้จะแก่จะเจ็บจะตายก็ไม่มีความทุกข์ ทำประโยชน์สนุกก็มีความสุขอยู่ใน ในการทำประโยชน์และให้เป็นการปฏิบัติธรรมไปในตัว ถ้าว่ามันทำประโยชน์สำเร็จจริงแล้วมันจะเป็นการปฏิบัติธรรมไปในตัว
ทีนี้จะทำประโยชน์สำเร็จนั้นต้องประกอบไปด้วยธรรมะหลายอย่างหลายประการ จะปฏิบัติจนเกิดประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์แล้วมันต้องมีธรรมะหลายอย่างนะ ครบทุกอย่างเลยแหละ ว่าครบทุกอย่างเลย ประโยชน์นี้ประโยชน์ตนด้วย ประโยชน์ท่านด้วย ประโยชน์ผู้อื่นด้วย รวมกันเป็นประโยชน์ และต้องเป็นประโยชน์ที่มีอยู่อย่างสนุกสนาน นั้นแหละจึงจะมีธรรมะมากมายอยู่ในการทำประโยชน์
นั้นแหละเราจึงพูดว่ามันเป็นการปฏิบัติธรรมอยู่ในตัว เป็นการเลื่อนไปหาพระนิพพานอยู่ในตัว ในตัวการทำประโยชน์อยู่อย่างสุนกสนาน นี้แหละ,หัวใจของพุทธศาสนาสำหรับยุคสมัยนี้ ไอ้เรื่องมันคับขันกันทุกที โลกมันใกล้จะวินาศกันทุกที แล้วต้อง ต้องต่อสู้กันด้วยข้อนี้ ไม่มีความทุกข์ ทำประโยชน์อยู่อย่างสนุกและเป็นการปฏิบัติธรรมไปในตัว บางคนอาจจะไม่เข้าใจนะ (นาทีที่ 1:59:23ไม่ใช่ฉันแกล้งๆแกล้งๆแกล้งดูถูกนะ)บางคนอาจจะไม่เข้าใจในข้อนี้ เอาไปคิดด้วย ทำประโยชน์อยู่ให้สนุกและเป็นการปฏิบัติธรรมอยู่ในตัว ปฏิบัติธรรมเพื่อพระนิพพานอยู่ในตัว ใกล้พระนิพพานเข้าไปทีละนิดทีละนิดทีละนิดอยู่ในตัว การทำประโยชน์ให้สนุก
เวลานี้เรามันจะไม่ได้ทำประโยชน์นะ หรือแม้แต่แก่ตัวเอง มันจะไปเป็น เป็นเหยื่อของกิเลสเสียหมด ถ้าเป็นเหยื่อของกิเลสก็ไม่ใช่ทำประโยชน์แล้ว ทำประโยชน์อะไรแม้แต่ตัวเล็กๆ จะร่ำจะรวยจะมีอำนาจอะไร มันก็ไม่เป็นประโยชน์แก่ตัว คือมันไม่ปลดเปลื้องความทุกข์ให้แก่ตัว นั่นแหละเราต้องทำลายกิเลส ปลดเปลื้องความทุกข์ส่วนตัวด้วย ส่วนผู้อื่นด้วย นี้เรียกว่าทำประโยชน์อยู่อย่างสนุก สนุกยิ่งกว่าดูหนังดูละคร สนุกยิ่งกว่าไปบ้าๆบอๆทำอะไร เหมือนที่ใครเขาเรียกว่าสนุก ไม่ไหว สนุกแบบมันไม่ประกอบไปด้วยธรรมะ เรามันต้องสนุก ประกอบอยู่ด้วยธรรมะ มีความสุขอยู่ในการทำประโยชน์ คือเป็นการปฏิบัติธรรมอยู่ในตัว
เคยมีคนถามหลายคนแล้ว ว่าช่วยสรุปความให้มันดีที่สุดที่ถือเป็นหลักปฏิบัติ ฝรั่งก็ถาม คนไทยก็ถาม ฉันก็บอกแบบนี้แหละ ทำประโยชน์อยู่ด้วยความรู้สึกสนุกและเป็นการปฏิบัติพระศาสนาอยู่ในตัว มีเท่านั้นเอง ถึงไม่รู้อะไรมาก รู้เท่านี้ก็พอ สิ่งอะไรเป็นประโยชน์และดับทุกข์ได้ ทำๆๆ เพื่อตัวเอง เพื่อผู้อื่น และให้มันสนุก มันก็เป็นการปฏิบัติธรรมอยู่ในตัว นั่นแหละเรื่องเดียวกัน เขยิบไปหาพระนิพพานอยู่ทีละนิดๆ โดยไม่ต้องรู้สึกตัวก็ได้ ถ้าทำประโยชน์กันอยู่แบบนี้ หรือถ้าเห็นว่ามันใกล้จะตายกันทุกคนแล้ว อายุเหลือไม่เท่าไรแล้วก็รีบๆ ทำประโยชน์ให้สนุกและเป็นการปฏิบัติธรรมอยู่ในตัว มันก็แล้วแต่คุณแหละ คุณไม่เอาแบบนี้ นั้นแหละว่าพระพุทธเจ้าน่าอัศจรรย์จริง ถ้าว่ายึดพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์แล้วรีบทำประโยชน์ตนและผู้อื่นอยู่อย่างพอใจสนุกสนานมีความสุข ไม่ต้องเที่ยวทำอะไรหมดแหละนอกจากทำประโยชน์
เอ้า,ตี 5 ทำวัตรเช้าแล้ว ตี 5 แล้ว ว่าดังๆแก้หนาวไว้ แก้ง่วงแก้หนาวไว้ อย่าไปเคาะมันแรงๆ แค่ลูบก็พอ มันเสียนะ เอ้า,ว่าไปฉันจะอุตส่าห์หลับตาฟังได้บุญกว่าคนว่าอีก ไม่เหนื่อยด้วย จบนาทีที่ 2:04:01 ต่อด้วยบทสวดมนต์ จนจบนาทีที่ 2:04:25