แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
วันที่ ๒๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๒๑ ธรรมบรรยายหินโค้ง วันที่ ๒๔ พฤษภาคม ๒๕๒๑ เวลา ๒๐.๐๐ น. แด่นิสิตนักศึกษาผู้บวชระหว่างปิดภาคเรียน คือเรื่อง พุทธศาสนาเป็นอะไรสำหรับเรา การพูดครั้งนี้จะกล่าวโดยหัวข้อว่า พุทธศาสนาเป็นอะไรสำหรับเรา ฟังดูก็เป็นหัวข้ออย่างชาวบ้าน ชาวบ้านมาก เพื่อให้เข้าใจง่ายและรวบรัดจึงใช้หัวข้ออย่างนี้
เรื่องว่าพุทธศาสนาเป็นอะไรสำหรับเรา คำตอบอาจจะมีได้หลายอย่าง แต่ว่าท่านทั้งหลายทุกท่านที่นั่งอยู่ที่นี่ เมื่อถูกเกณฑ์ให้ตอบคำถามนี้ก็ต้องตอบได้เป็นแน่ เพราะว่าได้รู้จักพุทธศาสนามาบ้างแล้ว ไม่มากก็น้อย จึงตอบได้เท่าที่ตนรู้ รู้จัก รู้สึก หรือ มองเห็นว่าพุทธศาสนาเป็นอะไรสำหรับเรา เรานี่คือมนุษย์ในฐานะที่เป็นมนุษย์ พวกชาวตะวันตก สนใจพุทธศาสนาในความหมายอย่างนี้มากกว่าอย่างอื่น ถ้าเขาไม่ได้สนใจในความหมายของคำว่าศาสนาอะไรนัก เมื่อรู้ว่าจะต้องเรียน จะต้องศึกษาพุทธศาสนา จะตั้งความหวังไว้ก่อนว่าจะให้อะไรแก่เราในฐานะที่เป็นมนุษย์ นี่ผมพูดอย่างนี้ ก็ขอให้เข้าใจเถิดว่ามันเป็นการพูดเฉพาะกับนิสิตนักศึกษาในระยะเวลาอันสั้น พูดโดยรายละเอียดของธรรมะ หัวข้อธรรมะมันก็ไม่จำเป็น ก็ไปหาอ่านเอาได้จากหนังสือหนังหาตำรับตำรา แต่จะพูดชี้ชวนในทางที่จะหาอ่านไม่ได้จากหนังสือหนังหาตำรับตำรา ก็ต้องการให้รู้จักมองพุทธศาสนาในแง่มุมลึก ลึกลงไป
คุณจะต้องจำไว้เป็นหลักว่า พุทธศาสนาโดยเฉพาะนี้ มีแง่มุมมากมาย แล้วแต่ว่าเราจะมองกันในมุมไหนก็จะเห็นในรูปแบบตรงมุมนั้น ถ้าเราปรารถนาเราก็มีทางให้มองได้หลายทาง ถ้ามองทางศีลธรรม มองตรงๆ ง่ายๆ มันก็เป็นศีลธรรม ก็จะมีพุทธศาสนาในฐานะที่เป็นศีลธรรม แต่ตัวแท้ตัวจริงของพุทธศาสนามันมากกว่านั้น ที่ตั้งอยู่ในฐานะเป็นปรมัตถธรรม ลึกซึ้งไปกว่าศีลธรรมมาก ยิ่งมองได้ในฐานะที่เป็นปรมัตถธรรม แต่คนสมัยนี้ก็ชอบในสิ่งที่เรียกว่าปรัชญา ในศิลปะอย่างนี้กันมากกว่า เราก็มีให้เหมือนกัน ถ้าจะศึกษาพุทธศาสนากันในรูปแบบของปรัชญามันก็ได้ แล้วก็ทำได้มากเหมือนกัน แต่ดูจะไม่มีประโยชน์อะไร มันสำหรับ มันสำหรับพิจารณาใคร่ครวญดูในรูปแบบแปลกๆไป วิธีการใช้เหตุผล ดูกันไปในแง่จริงหรือไม่จริง ถูกหรือไม่ถูก ดีหรือไม่ดี อย่างนี้เสียมากกว่า
ขอให้มองพุทธศาสนาในฐานะที่เป็นศาสนา มีระเบียบปฏิบัติสำหรับกำจัดความทุกข์ทุกชนิด ก็เคยพูดให้มันแปลกๆ ออกไป ให้เขาสนใจกัน ให้มันละเอียดลออสักหน่อยว่า พุทธศาสนาเป็นได้ แม้หลักทางเศรษฐกิจ หรือเศรษฐศาสตร์ มันจะมีความหมายว่ามันทำของที่ไม่มีค่า ให้มีค่าสูงสุด คือลงทุนน้อย เพื่อประโยชน์อันใหญ่หลวง แต่ไม่ใช่การค้าขายในเชิงมุ่งกำไร นี่เรามุ่งผลในทางจิตทางวิญญาณ คือความสุขในบุคคลโดยตรง เศรษฐกิจกับการค้านี่มันไม่ใช่สิ่งเดียวกัน ถ้ามองในแง่เศรษฐกิจ พุทธศาสนาเป็นหลักที่จะใช้เป็นระบบเศรษฐกิจได้ เราลงทุนด้วยของที่เกือบจะไม่มีค่าอะไร เป็นร่างกายที่เน่าเหม็นนี่ลงทุนปฏิบัติได้ผลเป็นนิพพานมาซึ่งมันมีค่ามาก เป็นวิธีการที่เปลี่ยนแปลงอะไรอย่างหนึ่ง ให้ของที่มีค่าน้อยกลายเป็นมีค่ามาก หรือของที่ไม่มีค่าอะไรเลยกลายเป็นมีค่ามาก รู้จักทำชีวิตที่ปล่อยไปตามเรื่องแล้วก็เป็นความทุกข์ ให้มันกลายเป็นไม่มีความทุกข์ เรียกว่า มันได้ประโยชน์หรือได้กำไรอะไรบ้าง อย่างนี้ก็มี ถ้าใครคนไหนมีหัวเป็นศรษฐกิจก็ลองมองพุทธศาสนาในแง่นี้กันบ้าง เดี๋ยวนี้ที่ผมตั้งหัวข้อว่าพุทธศาสนาเป็นอะไรให้แก่เรานะ หมายความว่าจะพูดถึงมุมใดมุมหนึ่ง เหลี่ยมใดเหลี่ยมหนึ่งที่น่าสนใจ ที่อาจจะใช้เป็นประโยชน์ให้ได้มากที่สุด คุณลองตั้งใจที่จะจับฉวยเอาแง่นี้ให้ได้ จะคุ้มค่าในการที่อุตส่าห์บวช ลงทุนเรียนพุทธศาสนา
ถ้าจะเข้าใจในแง่นี้ ในแง่ที่จะตั้งคำถามขึ้นมาว่าพุทธศาสนาเป็นอะไรสำหรับเรา ก็อยากจะให้ เก็บไอ้คำว่าศาสนาหรืออะไรทำนองนั้นไว้เสียทีก่อน เพราะเราได้ยินมาตั้งแต่อ้อนแต่ออกว่าพุทธศาสนา คือคำสั่งสอน คือระบบ ศักดิ์สิทธิ์อันหนึ่งอะไรทำนองนี้ นี่เพราะเราถูกอบรมสั่งสอนมาอย่างนี้เราก็รู้สึกอย่างนี้ ก็เลยไม่ค่อยจะมองเห็นในมุมอื่น แง่อื่น ทีนี้ขอให้เลิกจับคำว่าศาสนา หรือความหมายของศาสนา ไว้เสียสักทีหนึ่งก่อน มามองดูที่ตัวมนุษย์เรา บุคคลเราทั่วๆ ไป แล้วก็ตั้งปัญหาขึ้นมาว่า มันมีปัญหาอย่างไร คนเรามีปัญหาอย่างไร มันก็ต้องศึกษาจากตัวจริง ของจริงว่ามันมีปัญหาอย่างไร อย่าไปเอาในคัมภีร์ตำราอะไรมา นอกจากตัวจริงที่เห็นได้จริง เพราะปัญหาของมนุษย์เรามันก็ไม่มีอะไร นอกจากไอ้ความที่มันไม่มีความสงบสุข มีความยุ่งยากลำบาก นั่นแหละเป็นตัวปัญหา ถ้าเราสบายเสียแล้วมันก็ไม่มีปัญหา เดี๋ยวนี้เมื่อเราปล่อยไปตามเรื่อง มันไม่มีความสบาย
ในความไม่สบาย ความเสียหาย ความเดือดร้อน นี้มันก็ยังต้องแยกออกเป็นสองระดับ คือระดับที่มันเกี่ยวข้องกับคนอื่น ซึ่งเราเรียกว่าในทางสังคม แล้วทีนี้อีกอันหนึ่งมันก็ทางส่วนตัวเราคนเดียว นี่ปัญหามันจะมีอยู่สองชนิดอย่างนี้ และถ้าทางสังคมมันมีปัญหา แล้วมันก็ยากที่ปัจเจกชนคนหนึ่งจะไม่มีปัญหา เพราะว่าเราอยู่กันเป็นสังคม ถ้าสังคมมันเลวร้าย ก็ยากที่คนหนึ่งจะสงบสุขอยู่ได้ เราจึงเห็นว่าในหลักของศาสนา หรือความมุ่งหมายของศาสนาต่างๆ ทุกศาสนา ที่แสดงให้เห็นอยู่ จะเห็นได้ว่ามีการกล่าวถึงปัญหาหรือเรื่องทางสังคมด้วยอย่างเพียงพอ ในพุทธศาสนาก็ได้กล่าวหลักปฏิบัติเกี่ยวกับการทำสังคมให้สงบสุขนี้อย่างเพียงพอ แม้ว่าจะไม่ได้มีถ้อยคำมากมายเหมือนกับที่กล่าวอย่างสำหรับฝ่ายปัจเจกชน มันก็เพียงพอเพราะว่าเรื่องทางสังคมนั้นมันไม่ลึกซึ้งซับซ้อนอะไรมากมายนัก จึงกล่าวไว้เพียงพอได้ โดยสูตรเพียงไม่กี่สูตร ซึ่งเรากล่าวได้อย่างเต็มปากว่า พุทธศาสนาก็ได้มีการกล่าวถึงธรรมะสำหรับแก้ปัญหาของสังคม
ศาสนาอื่นเช่น ศาสนาคริสเตียนก็มีบ้าง จนถึงกับว่ารับใช้ประชาชน รับใช้ผู้อื่นนั่นคือรับใช้พระเจ้า ให้รักผู้อื่น ให้สุดที่เราจะรักได้ ถ้าเอาอย่างพระเยซูก็รักผู้อื่นยิ่งกว่าตัว เพราะเขาถือว่าพระเยซูยังเสียชีวิตเพื่อสัตว์ทั้งหลาย คำกล่าวที่ว่ารักเพื่อนบ้าน นี้มันมีมาก ในศาสนาอิสลามก็เหมือนกันอีก ในคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ของเขา มันมีระบบสังคม ระบบครอบครัว ระบบอะไรต่างๆมากกว่าระบบที่จะไปอยู่กับพระเจ้า ดูในทางศาสนาอื่นก็เหมือนกัน ไม่ว่าศาสนาไหน พระศาสดาแห่งศาสนานั้น มองเห็นสังคมและมองเห็นปัญหาทางสังคมด้วยกันทั้งนั้น และจะกล่าวหลักธรรมะอย่างนี้ลึก บางทีก็กล่าวไปในทางที่จะแก้ปัญหาทางสังคม อย่างลึกอย่างละเอียดอ่อนที่สุดด้วย เช่น คำสอนของเล่าจื๊อ ถือว่าถือกันว่ามันลึกซึ้งละเอียดอ่อนที่สุด มันก็ยังมีวกมาหาสังคม ที่ใช้แก้ปัญหาทางสังคมได้ เรายังพูดได้ว่า ทุกศาสนาต่างๆจะแก้ปัญหาสังคมก่อนหรือแก้ปัญหาสังคมโดยพื้นฐาน
เมื่อปัญหารบกวนกันในทางสังคมไม่มีแล้วก็เหลือแต่ปัญหาส่วนบุคคล ความทุกข์ความลำบาก ความเดือดร้อนของแต่ละคนก็เกิดเป็นปัญหาขึ้นมา และมันจะมีทางที่จะแก้กันได้ไกล ไปกันได้ไกล เพราะมันไม่ต้องผูกพันกับคนอื่น เป็นอันว่าเราจะมองกันในส่วนนี้มากกว่าที่จะ มองในแง่สังคม แล้วมันก็แยกออกจากกันไม่ได้ เพราะว่าการที่เราจะประพฤติปฏิบัติธรรมะให้เราอยู่รอดได้มันก็ต้องไม่ไปกระทบกระทั่งสังคม แปลว่าเราจะต้องประพฤติปฏิบัติชนิดที่เราจะอยู่ได้ในสังคม แม้ว่าไอ้สังคมนั้นมันไม่เรียบร้อย เช่นอย่างในโลกปัจจุบันนี้เราจะเห็นได้ว่ามันเป็นโลกที่เลวร้ายมากขึ้นทุกทีในแง่ของสังคม เราจะอยู่ในโลกชนิดนี้ได้อย่างไร อยู่ในโลกที่ไม่น่าอยู่นี้ได้อย่างไร อะไรจะมาช่วยให้เราสามารถชนะได้ เราหลีกไม่ได้ ที่เราจะไปอยู่ที่อื่น ก็ต้องอยู่ในโลกนี้ ก็ต้องอยู่อย่างที่ว่าไม่มีปัญหา หรือไม่มีความทุกข์ รูปภาพในตึกโรงหนังนั่นมันก็มีอยู่รูปหนึ่งที่ควรจะไปคิดไปนึกให้มาก คือ อยู่ในโลกนี้ ให้เหมือนกับลิ้นงูอยู่ในปากงู แต่ไม่ถูกกับเขี้ยวงู ลิ้นงูอยู่ในปากงูไม่เคยถูกกับเขี้ยวงู นี่เราเชื่อกันอย่างนี้ เราอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยอุปัทวะอันตรายมากมาย เหมือนกับเขี้ยวของโลก เราจะอยู่ในโลกนี้โดยไม่ถูกกับเขี้ยวของโลกได้อย่างไร นั่นแหละเอาไปคิดดู เขี้ยวของโลกนี่มันทิ่มแทงอยู่ข้างนอกก็มี ทิ่มแทงเข้าไปถึงภายในจิตใจของคนก็มี แต่ถ้าสามารถป้องกันไม่ให้ทำอันตรายในส่วนลึก ในส่วนภายในหรือส่วนจิตใจได้แล้ว ในส่วนภายนอกก็ไม่ค่อยมีปัญหา ควรจะพูดสักทีก่อนก็ได้ว่า เราจะมีพุทธศาสนาในฐานะที่เป็นวิธีการที่จะทำให้อยู่ในโลกนี้โดยไม่ถูกกับเขี้ยวของโลก อย่างนี้มันจะเห็นชัดขึ้น
เมื่อสักครู่นี้ผมได้พูดว่า เรื่อง เอาเรื่องศาสนาไปเก็บไว้สักทีก่อน เอาเรื่องคน มนุษย์ตามธรรมดานี้ก่อน ให้ตั้งต้นมองจากมนุษย์ว่ามันมีอยู่ในโลก แล้วมันมีปัญหาอะไร อย่าเพิ่งพูดถึงทางศาสนาหรือต้องมีศาสนาหรือเกี่ยวข้องกับศาสนาก่อน ทั้งนี้เพื่อให้รู้จักไอ้ตัวคน ตัวมนุษย์ที่มันจะเป็นที่ตั้งแห่งปัญหานั้นเสียก่อน ตัวมนุษย์มันต้องมีชีวิตอยู่ และมันจะมีชีวิตอยู่อย่างไร จึงจะ จึงจะ อะไรลองคิดดู มันหาคำยาก จึงจะดีที่สุด จึงจะเป็นสุขที่สุด จึงจะหมดปัญหา จึงจะเป็นที่น่าพอใจที่สุด เหล่านี้ คำชนิดนี้มันควรจะเป็นเป้าหมายของสิ่งที่เรียกว่าชีวิต จะไม่พูดถึงว่าชีวิตต้องได้สิ่งที่ดีที่สุดที่ชีวิตควรจะได้ นั้นมันก็ในระดับสูง ค่อยพูดถึงก็ได้ เอาในระดับธรรมดากันก่อน เมื่ออยู่ในโลกแบบคนธรรมดาทั่วไปนี่มันจะต้องมีอะไรชีวิตของเขาจึงจะน่าพอใจ คนที่มีปัญญาก็มองกันในแง่นี้ เขายังไม่ได้หวังพึ่งศาสนาก็ยังจะไม่พูดถึงศาสนา ก็จะพูดถึงตัวชีวิตหรือระบบอะไรที่ชีวิตควรจะได้มาสำหรับให้มันเป็นอยู่
เขาจึงมองหาระบบที่จะจัดชีวิตนี้ให้มันเป็นอยู่ในลักษณะที่น่าพอใจที่สุด ซึ่งจะใช้คำว่าวิถีทางก็ได้ เช่น เมื่อพวกฝรั่งศึกษาพุทธศาสนาแล้วเขาจะมองมันไปในลักษณะที่เป็นวิถีทาง ดังนั้นเขาจึงชอบพูดหรือเขียนคำว่า Buddhist Way of Life วิถีทางแห่งชีวิตของพวกพุทธบริษัท เขาไม่อยากจะเรียกว่า พุทธศาสนา เขาต้องการจะมีและอยากจะเรียกว่า Way of Life วิถีทางของชีวิต หรือบางคนก็ใช้คำว่า ระบบปฏิบัติ ก็ใช้คำว่า Mode Mode of Life ระบบปฏิบัติของชีวิต Buddhist Mode of Life, Buddhist Way of Life นี่เป็นสิ่งที่สนใจกันมาก ถึงกับจะถือว่าถ้ามันไม่เป็นอันนี้ได้แล้วก็ไม่มีประโยชน์อะไร ถ้าพุทธศาสนาไม่เป็น Way of Life หรือ Mode of Life ได้ ก็ไม่มีประโยชน์อะไรไม่ต้องไปสนใจมันเสียเวลา เพราะว่าคนธรรมดาตามความรู้สึกของเขา เขาต้องการสิ่งนี้
ทีนี้จะต้องศึกษาดูจากมนุษย์จากธรรมชาติของมนุษย์ ชีวิตมนุษย์โดยตรง มันจะได้มองเห็นว่า มนุษย์หรือชีวิตมนุษย์มันต้องมีอันนี้ จะต้องมี Way วิถีทาง หรือต้องมี Mode ระบบกระทำ สำหรับชีวิต จะเป็นชีวิตที่น่าพอใจ เมื่อรู้สึกว่า ชีวิตต้องมี Way หรือ Mode คือมีวิถีทางหรือระบบปฏิบัตินี้แล้วก็ ค้นหาต่อไปว่ามันควรจะเป็นอย่างไร ที่เขาศึกษาเรื่องนี้ต้องการอันนี้มาก่อนที่จะพบพุทธศาสนากันเสียอีก พอมาศึกษาพุทธศาสนาเข้า ก็ถึงอะไร ถึงบางอ้อ รู้สึกว่า อ้อ มันอยู่ที่นี่เอง เพราะฉะนั้นคนเหล่านี้ก็พอใจในพุทธศาสนา นี่ ขอให้เอาเรื่องจริงๆ อย่างนี้มาดู มาพิจารณาดู มาเป็นหลักสำหรับการศึกษาพุทธศาสนา คุณก็เคยศึกษาพุทธศาสนามาแล้วไม่น้อย คุณเคยถึงบางอ้อ อย่างนี้บ้างหรือเปล่า ว่า อ้อ อันนี้เอง ไอ้นี่เอง มันเป็นวิถีทางที่มนุษย์จะต้องปฏิบัติ คือเดินไป ถ้าไม่เคยเป็นอย่างนี้ ไม่เคยรู้สึกอย่างนี้ ก็ยังไม่ได้รับประโยชน์อะไรจากพุทธศาสนาและอาจจะกล่าวได้ด้วยว่า คุณยังไม่พบพุทธศาสนา ถ้ามันยังไม่ถึงบางอ้อ ก็เรียกว่ายังไม่พบพุทธศาสนา ขอให้ทำให้มันเป็นเรื่องจริง อย่าให้เป็นเรื่องตัวหนังสืออยู่ในตำราหรือสำหรับท่องจำ มันเป็นเรื่องจริง ว่าเดี๋ยวนี้เรามีชีวิตอยู่จริงๆ และไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรจะจัดการกันอย่างไร จะดำรงไว้อย่างไรก็ไม่รู้ ฉะนั้นศึกษา ถูกต้องเพียงพอและจะรู้ว่าต้องทำอย่างนี้แน่ คือเห็นด้วยกับพระพุทธเจ้าทุกอย่างธรรมะที่ตรัสไว้นั้นมันจะแก้ปัญหาได้ แม้ในส่วนปัจเจกชนที่ละเอียดอ่อนลึกซึ้งกว่าปัญหาทางสังคม
ทีนี้อยากจะพูดให้มันละเอียดอ่อนลงไปอีกบ้างว่าเพียงแต่เป็น Way หรือวิถีทาง หรือเป็น Mode เป็นระบบ นี้มันก็ยังขาดอะไรอยู่ ที่ไม่ได้พูดถึง เพราะว่าพุทธศาสนาจะเป็นให้มากกว่านั้น ที่จะเป็น Way หรือเป็น Mode นี่แหละแต่จะเป็นให้มากกว่านั้น ในค่าที่มีความหมายมากกว่านั้น นั่นก็คือเป็น Way หรือเป็น Mode ที่มันน่าดูที่สุด น่าเลื่อมใส น่าพอใจ หรือว่ามันสวยงามที่สุด คือมันมีสุนทรียะภาวะเข้าไปอยู่ในนั้นด้วย นั่นคือที่ปัญญาชน ฝ่ายตะวันตกที่เป็นนักศึกษาจริงๆ แต่ไม่ใช่ทั้งหมด เขาประสงค์และเขานิยมชมชอบพุทธศาสนา ว่ามันไม่ได้เป็นเพียง Way หรือ Mode เฉยๆ มันมีลักษณะเป็นศิลป์ด้วย ฉะนั้นเราจึงอาจจะเติมคำว่า Artistic เข้าไปอีกเป็น Artistic Way of Life วิถีชีวิตที่มีรูปแบบแห่งศิลป์ Artistic Mode of Life ก็เหมือนกัน มันมีเป็นระบบชีวิตที่มีลักษณะเป็นศิลป์ ไอ้คำว่า ศิลป์นี่ไม่ใช่เรื่องบ้าๆ บอๆ อย่างไอ้พวกชาวบ้านที่เขาไม่รู้ พอพูดถึงศิลป์เขาก็เรียกว่าสั่นหัวเขาว่าใช้ไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไรไม่จำเป็นสำหรับเรา อย่างนั้นมันเป็นคนที่มีการศึกษาน้อย มีความรู้สึกหยาบ ไม่รู้จักของละเอียดอ่อน สวยงามทางจิตทางวิญญาณ พอพูดถึงศิลป์เขาก็สั่นหัว แต่พวกที่มันมีการศึกษาดี มีความคิดละเอียดอ่อน นี่เรียกว่ามันต้องการสิ่งที่เรียกว่าศิลป์ ไอ้ทื่อๆง่ายๆ นี่มันไม่ชอบ มันต้องละเอียดอ่อน น่าดูน่ารักน่าพอใจ อย่างที่ภาษาบาลีจะต้องเรียกว่า งาม ด้วย คือ กัลยาณะ อาทิกัลยาณัง มัชเฌกัลยาณัง ปะริโยสานะกัลยาณัง ทำไมจะต้องไปเติมคำว่า กัลยาณะ ที่แปลว่างามเข้าไปด้วย นี่แสดงว่าพระพุทธเจ้าเองก็เป็นศิลปิน แสดงเพียงสำเร็จประโยชน์เฉยๆ ไม่พอ จะแสดงให้มันมีประโยชน์ชนิดที่มันงดงามด้วย ฉะนั้นพวกนักศึกษาชาวตะวันตกเขาจึงมองพุทธศาสนาในแง่ศิลป์ด้วย แต่มันไม่ใช่ศิลป์ทางวัตถุ มันเป็นศิลป์ทางจิตทางวิญญาณ เป็นทาง Spiritual บางทีเขาก็เรียกว่า Art of Life เฉยๆ ก็มี
ผมเห็นหนังสือฝรั่งเขียนหลายเล่ม หรือบางบทหลายๆ บทใช้คำว่า Art of Life ศิลป์ของชีวิต แต่ที่แท้มันไม่ใช่อย่างนั้น มันเป็น Artistic Way of Life วิถีทางของชีวิตที่มีรูปแบบแห่งศิลป์ ไอ้ศิลป์นี่มันไม่มีความหมายอะไรมากไปกว่าว่างดงาม หรือไพเราะ ไอ้คนเรามันๆจะติดไอ้ความงดงามความไพเราะหรือความเอร็ดอร่อยอย่างที่แก้ไม่หายซะแล้ว ฉะนั้นเพียงแต่อาหารเฉยๆ มันก็ไม่ค่อยชอบ มันชอบอร่อยด้วย มันจึงมีโภชนศิลป์ อาหารศิลป์อะไรก็ เดี๋ยวนี้วิถีทางดับทุกข์เพียงแต่ดับได้เฉยๆ มันก็ยังไม่พอใจ มันต้องการให้งามด้วย ให้จับอกจับใจด้วย จึงเกิดคำว่า ศิลป์เข้าไปเจืออยู่ในนั้น เจืออยู่ในวิถีทางหรือระบบของชีวิตที่ดีที่สุด แต่รับประโยชน์ที่สุด และในความหมายแห่งศิลป์คืองดงามด้วย
ทีนี้ก็ดูกันต่อไป ที่ว่ามันๆเป็น Way เป็นวิถีทางหรือเป็นระบบอย่างไรและมันงามด้วยที่ตรงไหน ไอ้งามนี่ไม่ใช่มันงามอย่างไอ้วัตถุงาม หรือว่าสีสัน วัตถุศิลป์ มันเป็นเรื่องงามอย่างด้านจิตด้านวิญญาณ มันน่าอัศจรรย์ และมันสำเร็จประโยชน์อย่างที่น่ารักน่าพอใจ เราจะอยู่อย่างไร ความทุกข์จึงจะไม่เกิดขึ้นได้ ผมบอกให้เลยว่าคุณไปคิดเอาเองก็ได้ ถ้าคุณคิดออกมาแล้วมันๆสำเร็จๆประโยชน์ตามนั้นก็อยู่ได้อย่างไม่มีความทุกข์ แล้วคุณก็คิดถูกนะแล้วคุณก็เป็นศาสดาองค์หนึ่งแน่ ถ้าคุณคิดได้เองนะ แต่ถ้าต้องไปเอายืมใครมา หรือไปเอาของพระพุทธเจ้ามา ก็ไม่ใช่ก็ไม่เป็นพระศาสดาด้วยตนเอง แต่เดี๋ยวนี้เราพูดว่าใครก็ตามถ้ามันค้นพบเองว่าปฏิบัติอย่างนี้แล้วการมีชีวิตอยู่นี้ไม่มีความทุกข์เลยก็ใช้ได้ แล้วถ้ามันถูกจริง มันจะไปตรงกับที่พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้ก่อนแล้ว ตั้งสองพันกว่าปี เราจะมีรูปของปัญหาเกิดขึ้นมาว่า จะดำรงชีวิตอยู่อย่างไร ความทุกข์จึงจะไม่เกิด นี่คือ ความหมายของไอ้คำตอบ ที่จะไปตอบกับปัญหาที่ถามว่า พุทธศาสนาเป็นอะไรสำหรับเรา สำหรับคนที่เขาไม่ต้องการศาสนาเขาก็ต้องการวิถีแห่งชีวิต ระบบปฏิบัติแห่งชีวิตนะเขาไม่พูดถึงศาสนา แต่เขาค้นหาสิ่งนี้จนมาพบว่ามันมีอยู่ในศาสนาโดยเฉพาะพุทธศาสนา ฉะนั้น พุทธศาสนาจึงเป็น Artistic Way of Life สำหรับคนพวกนั้น วิถีแห่งชีวิต ในรูปแบบแห่งศิลป์ที่น่ารักน่าเลื่อมใสน่าพอใจที่สุด วิถีทางแห่งชีวิตที่มีลักษณะแห่งศิลป์น่ารักน่าพอใจที่สุด พุทธศาสนาเป็นสิ่งนี้ให้แก่เราหรือสำหรับเรา เดี๋ยวนี้เราตอบเลยว่าพุทธศาสนาเป็น Artistic Way of Life แก่มนุษย์ หรือแก่เราสำหรับเรา ถ้าเราไม่รู้ถึงขนาดนี้มันก็ไม่เป็นให้ ทีนี้ผมบอก นี่บอกหมายความ บอกตามความเป็นจริงมันเป็นอย่างนั้น มันเป็นให้มันอาจจะเป็นให้ได้ แต่เรามันเอาไม่ได้ คือเราไม่เห็น และเรารับเขาไม่ได้ เราจับฉวยเอาไม่ได้ แต่เดี๋ยวนี้มันป็นการบอกว่า มันเป็นอย่างนั้น ที่ดีที่สุด มีค่าที่สุดสำหรับมนุษย์ในความหมายทั่วๆ ไป มันเป็นให้อย่างนี้ เมื่อพูดว่า Way of Life นี้ มันตามธรรมดามันไม่เกี่ยวกับศาสนาเลยก็ได้ แต่มันเกี่ยวกับมนุษย์ เกี่ยวกับปัญหาของมนุษย์ เป็นสิ่งจำเป็นที่สุดสำหรับมนุษย์ จะต้องมี เมื่อมนุษย์จะไม่พูดถึงศาสนาเลย เขาจะต้องมีสิ่งนี้ เขาจึงจะมีชีวิตอยู่อย่างน่าพอใจ แก่ตัวของเขาเองและผู้อื่นคือสังคม ฉะนั้นที่มันน่าดูน่ารักน่าพอใจนี่เรียกว่าศิลป์ ทีนี้คุณลองคิดดู บทธรรมะที่คุณเล่าเรียนกันมาตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ มันตั้งอยู่ในลักษณะที่เป็นวิถีทางแห่งชีวิตในรูปของศิลป์ได้อย่างไร
ผมพูดอย่างนี้อาจจะถูกด่าก็ได้ว่า เอาพุทธศาสนาไปทำให้เป็นศิลป์ แล้วพระอรหันต์นั้นท่านไม่หลงใหลในศิลป์ ในของสวยของงาม อย่ามาพูดดีกว่า นั่นมันคือคนที่ไม่รู้จักศิลป์ มันโง่มาตั้งแต่เกิดไม่รู้จักความหมายของศิลป์ เดี๋ยวนี้มันกลายเป็นสิ่งจำเป็นอันหนึ่งแล้ว ไอ้สิ่งที่เรียกว่าศิลป์โดยแท้จริงมันๆเกิดเป็นของจำเป็นขึ้นมา เพราะมันเป็นวิธีที่จะทำให้มีความรู้สึก มีความสังเกต มีความมีการสัมผัสชนิดที่มันละเอียดอ่อน ลึกซึ้ง และงดงาม ฉะนั้นคำว่า Art หรือ ศิลป์กลายเป็นคำสำคัญ ในโลกแห่งการศึกษาขึ้นมาแล้วซึ่งพวกคุณก็รู้ดีอยู่แล้ว คำว่า Art หรือ ศิลป์ มันมีค่าอย่างไรในวงการศึกษา โดยเฉพาะในระดับมหาวิทยาลัย
มีมนุษย์มองเห็นค่าของไอ้สิ่งนี้ ซึ่งเป็นเครื่องทำจิตใจให้ละเอียดอ่อน ให้ระบบจิตละเอียดอ่อน ระบบประสาทละเอียดอ่อน เขาก็มีการฝึกการกระทำให้เด็กๆ มันมีหัวศิลป์ โดยวิชาที่มันเป็นศิลป์อยู่ในตัว เช่นวิชาวาดเขียน ดนตรี เพลง อะไรอีกหลายอย่างที่มันคล้ายๆกัน ถ้าเด็กคนไหนได้ผ่านการศึกษานี้มามันจะเป็นคนที่มีจิตใจละเอียดอ่อน มีความฉลาดที่ละเอียดอ่อน เรามีกันแต่ความฉลาดที่ทื่อๆ ทึ่มๆ มันก็อาจจะมีประโยชน์เหมือนกัน แต่มันไม่น่าดู ในบางสิ่งบางอย่าง มันใช้ความฉลาดทึ่มๆ อย่างนั้นไม่ได้ มันต้องใช้ความฉลาดที่ละเอียดอ่อน ในรูปแบบของศิลป์ จึงสอนกันให้รู้จักความไพเราะของสิ่งที่มีความไพเราะ หรือมีความงาม ของสิ่งที่มีความงาม แม้แต่ของธรรมชาติเป็นต้น แต่ไอ้เรื่องความงามนี้มันกลายเป็นดาบสองคมขึ้นมาเสีย เผลอนิดเดียวมันก็เป็นไปในรูปของกิเลส เป็นเครื่องส่งเสริมกิเลสไป มันไม่เป็นเรื่องของสติปัญญา เราจึงรู้จักไอ้ความงาม ความไพเราะที่เป็นไปในทางฝ่ายสติปัญญา มันก็สร้างสรรค์ขึ้นมาให้ใช้ ให้ได้เป็นประโยชน์ที่สุด ถ้ามีหัวถึงขนาดนี้ แล้วคนนั้นจะรู้ว่า พระธรรมวินัยนี้ มีความงามในเบื้องต้น มีความงามตรงกลาง มีความงามขั้นสุดท้าย เป็นความงามทางวิญญาณ ทางสติปัญญา ยิ่งมองเห็นจะยิ่งงามๆ ฉะนั้นคนเลื่อมใสในพระพุทธเจ้าเพราะกำลังความงามของพระธรรมนี้มากกว่าอย่างอื่น เพราะสิ่งอื่นมันไม่สะดุดตา ไม่สะดุดใจ ไม่จับอกจับใจ ที่เราชอบพระธรรมวินัยก็เพราะความงามของพระธรรมวินัย แต่เราก็ไม่รู้สึกในแง่ของความงาม เพราะความงามนั้นมันละเอียดอ่อนเกินไป บางคนมันเป็นหัวการค้า เพราะว่าเพราะดับทุกข์ได้มีประโยชน์เราจึงชอบ แต่ที่จริงแล้วไอ้ที่มันจะจับใจ ประทับใจแน่นแฟ้นมันอยู่ที่ความงาม ของความที่มันดับทุกข์ได้ ไอ้ความที่มันดับทุกข์ได้ นั้นมันคือความงามที่สุด
คนที่จะเลื่อมใสในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อย่างลึกซึ้ง จะต้องเห็นความงาม ของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไม่ใช่มองเห็นแต่ประโยชน์ คนที่มองเห็นแต่ประโยชน์ มันก็เรียกว่ามันง่ายเกินไป มันต่ำเกินไป ต้องไปเห็นความงามของประโยชน์ด้วย จึงจะมีสติปัญญาที่ละเอียดอ่อนแม้ว่าเราจะไม่ได้สอนกัน ไม่ได้ใช้คำพูดอย่างนี้ คล้ายๆ กับว่ามันไม่ได้มีความหมายอย่างนี้ แต่ที่จริงมันมี มันมีอย่างยิ่ง มันมีอยู่ในความรู้สึก ของจิตของมนุษย์ เพราะว่าสิ่งที่มันจะจับอกจับใจ ดึงเอาหัวใจไปได้นั้นมันอยู่ที่ความงาม แต่เนื่องจากไอ้ความงามมันมีความหมายหลายระดับ หรือมันดิ้นได้ กิเลสมันก็งามไปตามแบบของคนกิเลส เป็นความงามอย่างกิเลส สำหรับคนมีกิเลส ไอ้กิเลสมันก็งามแล้วคนมันก็หลง ทีนี้คนที่เขารู้จักกิเลส และเขาไม่ชอบเขาเกลียดกิเลส เขาก็ไปหาไอ้งาม ไอ้สวยที่ความไม่มีกิเลส มันจึงจับใจเขามากเท่ากับความงามอย่างแบบกิเลสมันจับใจคนมีกิเลส
ไม่ต้องพูดถึงความงามของพรหมจรรย์ หรือพระธรรม นั้นมันก็เป็นเรื่อง เรื่องงามเพราะว่ามันกำจัดกิเลส ยิ่งพูดมาถึงความงาม มันก็ดูจะเกินๆไปแล้วสำหรับคนธรรมดา หรือคนที่ไม่ๆๆรู้จักความงามของธรรมะ แต่ถ้าคนที่เขารู้จักความงามของธรรมะ มันยังไม่เกิน มันยังพอดีอยู่ มันจะทำให้ชอบธรรมะ มากยิ่งขึ้น จึงใช้คำว่า ศิลป์ รวมฝากรวมเข้าไปในตัวระบบ หรือตัววิถีทาง วิถีทางแห่งชีวิตนี่ในรูปแบบที่มันเป็นศิลป์ น่ารักน่าจับใจที่สุด
ก็เหมือนกับเดี๋ยวนี้เห็นได้ง่าย อาหารหรือของกิน ของใช้อะไรก็ตาม ถ้าทำเพียงสักว่ากินได้ ใช้ได้ ไม่มีความงาม ดูจะขายไม่ได้ จะไม่มีใครซื้อ ฉะนั้นอาหารจึงมีไอ้สิ่งที่ปรุง ให้หอม ให้สวย ให้สีดี กลิ่นดี อะไรดีอีกส่วนหนึ่ง ไอ้จุดที่มันเป็นอาหารกินเข้าไปอิ่มนั้นมันอีกส่วนหนึ่ง ถ้าทำทื่อๆ ง่ายๆ เร็วๆ อย่างนั้น มันไม่เป็นที่สนใจของผู้ที่จะซื้อ ฉะนั้นเราจึงเห็นว่า ทุกอย่างเขาจะเอาไอ้ส่วนที่มันเป็นความงามหรือ เป็นศิลป์นั่นแหละ เป็นเครื่องดึงดูดผู้ซื้อ โลกในปัจจุบันนี้มันเป็นอย่างนี้มากยิ่งขึ้น ฉะนั้นถ้าเราจะเสนอวิธีการดับทุกข์หรืออะไรให้ ก็ขอให้มันเป็นในรูปแบบของศิลป์ด้วย ทีนี้เราไม่ต้องทำอย่างนั้น เพราะพระธรรมมันเป็นอย่างนั้นเองแล้ว ถ้าเราเสนอพระธรรมให้แก่เขาอย่างถูกต้อง ลึกซึ้งถึงที่สุด มันจะเป็นอย่างนั้นเองอยู่ในตัว คือมีศิลป์อยู่ในตัว
พวกฝรั่งนี่เขาหลงในศิลป์ เท่าๆ กับหลงในปรัชญา เขาจึงมองหาไอ้ที่มีลักษณะอย่างศิลป์ เรื่อยๆไป แม้แต่การปฏิบัติเกี่ยวกับชีวิตจิตใจ ให้มันเป็นเป็นสุขสบายน่าอยู่น่าพอใจนี้ ก็ยังเรียกมันว่า ศิลป์ เป็นศิลปะแห่งชีวิตไป แล้วก็เรียกว่าเป็น Buddhist Silp คือเป็นศิลปะของพวกพุทธ หรือชาวพุทธเขามีศิลป์กันอย่างนี้ พระพุทธเจ้าจะทรงแสดงธรรมให้มีศิลป์ ทั้งข้างต้น ทั้งตรงกลาง ทั้งขั้นสุดท้าย และยังทรงกำชับสาวกว่าให้แสดงธรรมประกาศพรหมจรรย์ ให้มีศิลป์ คืองาม ทั้งข้างต้น ทั้งตรงกลาง ทั้งสุดท้าย ไอ้เราก็สวดกันอยู่ในเวลาทำวัตรเช้าทุกวัน พระผู้มีพระภาคพระองค์ใดทรงแสดงธรรมอย่างนั้นๆ เป็น อาทิกัลยาณัง มัชเฌกัลยาณัง ปะริโยสานะกัลยาณัง เราขอเคารพบูชาพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ทีนี้จะดูสิว่ามันงามอย่างไร มันก็คงจะมีความหมายหลายแง่หลายมุม แต่เราจะมองกันในแง่ที่ว่ามันน่ารักน่าพอใจจริงๆ เช่นว่า ไอ้ความทุกข์มันคืออะไร มันเกิดขึ้นอย่างไร นี่คุณต้องรู้จักมันเสียก่อน ทีนี้เรารู้จักความทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ เขาเรียกความดับทุกข์นั้นตามที่ได้ยินได้ฟัง ไม่รู้จักตัวจริง ไม่เคยๆจับเอาตัวจริงของความทุกข์ จับความทุกข์ข้างในภายใน รู้สึกเป็นทุกข์ก็ดิ้นรนกระวนกระวายไป ก็ไม่เข้าใจ ไม่อาจจะศึกษาตัวความทุกข์นั้น ฉะนั้นเราจึงไม่รู้เรื่องโดยแท้จริง คือ จิตไม่ได้สัมผัสกับเรื่องนั้นโดยแท้จริง ไปสัมผัสกับไอ้ความรู้ความจดจำ เหตุผลในรูปแบบนั้นไปเสีย เลยไม่ได้สัมผัสความงามของธรรมะ ที่ทำหน้าที่ดับทุกข์ ตัวแท้ของพุทธศาสนา ที่เป็นพระธรรมตัวแท้ในพุทธศาสนานั้น ก็ต้องถือว่า เรื่อง ปฏิจจสมุปบาท อิทัปปัจจยตานั่นเอง
แต่พอพูดอย่างนี้บางคนสั่นหัวนะ และบางคนก็เคยเกลียดเรื่องนี้มาแล้วด้วย ผมก็เคยถูกด่าซ้ำๆ ซากๆ ว่าเอาเรื่องที่มันลึกเกินไป ไม่ควรจะเอามาสอน เอามาสอนเอามาพูดให้คนเขาเสียเวลา นี่ก็เคยถูกด่าว่า ทำให้คนเขาเสียเวลา เพราะพูดถึงเรื่องปฏิจจสมุปบาท ทีนี้ ไอ้เรื่องปฏิจจสมุปบาทนี้มันคือ ตัวธรรม ตัวแท้ เนื้อตัวแท้ของพุทธศาสนา อย่างอื่น พระพุทธเจ้าตรัสว่า ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาทผู้นั้นเห็นธรรม ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นปฏิจจสมุปบาทมันมีอยู่อย่างนี้ ก็มีต่อไปว่าผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นเราผู้นั้นเห็นธรรม แต่การที่จะเห็นธรรมก็ต้องเห็น ปฏิจจสมุปบาท และปฏิจจสมุปบาทนี้ก็มีอยู่ในตัวชีวิตนั่นเอง คือในตัวคนที่มีชีวิตนั่นเอง ปฏิจจสมุปบาทฝ่ายทุกข์ พาให้เกิดทุกข์นั่นมันก็คือ ความเลวร้าย หรือมันเป็นศิลป์ของพญามารที่ทำให้เกิดทุกข์ ปฏิจจสมุปบาทฝ่ายที่ดับทุกข์ก็เป็นศิลป์ของพระพุทธเจ้า แต่เนื่องจากการที่เราจะศึกษาเรื่องดับทุกข์อย่างไร เราก็ต้องศึกษาเรื่องทุกข์เกิดขึ้นมาอย่างไร เรื่องปฏิจจสมุปบาทจึงเป็นเรื่องหัวใจพุทธศาสนาคือ เรื่องทุกข์เกิดขึ้นอย่างไร และทุกข์จะดับไปอย่างไร ยิ่งดูจะยิ่งเห็น ถ้ายิ่งเห็นจะเห็นว่ามันงาม มันละเอียดอ่อน มันงามสำหรับปัญญาของผู้มีปัญญา เป็นโอชะสำหรับมันสมองที่ประกอบอยู่ด้วยปัญญา มันสมองที่ไม่มีปัญญามันไม่ได้กินนะ มันจะกินจะชิมสิ่งนี้ไม่ได้ มันก็ไม่รู้สึกอร่อย หรือว่ามีโอชะอะไร
ทั้งๆที่เรื่องปฏิจจสมุปบาททั้งหมดนี่มันก็มีอยู่ในเรา ในชีวิตที่ยังเป็นๆอยู่ แต่ละวันๆ มันมีเรื่องของปฏิจจสมุปบาทอยู่เต็มเนื้อเต็มตัว แต่ว่ามองไม่เห็น เราเห็นปฏิจจสมุปบาทในธรรมวิภาคปริเฉทสอง ตัวหนังสืออยู่ในหนังสือ แล้วก็ไม่เข้าใจ เรื่องก็เลยยุ่งกันใหญ่จนๆไม่มีประโยชน์อะไร นอกจากไว้เถียงกันเล่น ผมก็เคยพูดเรื่องนี้มาก เรื่อง ปฏิจจสมุปบาท อิทัปปัจจยตา ในฐานะที่มันเป็นตัวแท้ของพุทธศาสนา ไอ้ฝ่ายที่มันเกิดทุกข์กับเราก็ไม่ชอบ จะเห็นว่างามมันไม่ได้ แต่ฝ่ายที่ดับทุกข์เราจะเห็นว่ามันงาม โดยเฉพาะวิธีที่จะดับทุกข์นะมันยิ่งงาม แต่ถ้าเรามองในรูปแบบของความรู้มันก็งามเหมือนกัน ความรู้เรื่องความทุกข์ แต่ตัวความทุกข์แท้ๆ นี่มันงามไม่ลง แต่ความรู้เรื่องนี้ที่ละเอียดอ่อนลึกซึ้ง มันก็งามในรูปแบบของความรู้ พุทธศาสนาสอนเรื่องนี้ แนะให้ถือเอาเรื่องนี้เป็นเรื่องสำหรับศึกษาก็ควรจะถือว่ามันมีความรู้เรื่องนี้ให้เรา สำหรับเรา ถ้าพูดอย่างไม่น่าฟัง ฟังแล้วเบื่อก็ต้องพูดว่า พุทธศาสนามีเรื่องปฏิจจสมุปบาทสำหรับให้เรา สำหรับเรา เขาก็สั่นหัวกันหมด ไม่รู้ว่าอะไร ถ้าพูดว่ามีเรื่องความทุกข์ และความดับทุกข์ให้เราก็พอจะสนใจบ้าง แต่พอบอกว่า ให้ศึกษาอย่างไรที่ตรงไหนก็ชักจะรวนเรเสียอีก ฉะนั้นคุณอาจจะไม่เข้าถึงตัวพุทธศาสนาอยู่เลยก็ได้นะ อย่าๆๆหาว่าผมจะดูถูกดูหมิ่นเลย ผมก็จะพูดว่าแม้เดี๋ยวนี้คุณยังไม่เคยแตะต้องตัวแท้พุทธศาสนาก็ได้ คือคุณจับฉวยเอาไม่ได้ รู้สึกไม่ได้ สัมผัสไม่ได้ต่อความจริง ของสิ่งที่เรียกว่าปฏิจจสมุปบาทที่เกิดๆดับๆอยู่ในหัวใจของเราตลอดวัน ตลอดเดือน ตลอดปี คุณไปหาอ่านดูเสียใหม่โดยรายละเอียด เดี๋ยวนี้ก็พูดได้แต่โดยสังเขป โดยหัวใจของเรื่องว่าความทุกข์มันเกิดขึ้นมา ก็การปรุงแต่งในรูปแบบของปฏิจจสมุปบาท ตั้งต้นที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ซึ่งคู่กันอยู่กับ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ที่ใช้คำว่าตั้งต้นที่ตรงนี้ ไม่ใช่ผมว่าเองนะ พระพุทธเจ้าท่านตรัส แม้พระบาลีก็มีอยู่ชัดๆ ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องต้นของพรหมจรรย์ เธอจึงเอาไปเรียน เธอจึงเอาไปทำการศึกษา พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าอย่างนี้ ผมจึงถือว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องตั้งต้นควรตั้งต้น เรื่องปฏิจจสมุปบาทนะ คือเรื่องตั้งต้น เงื่อนต้นของพรหมจรรย์ หรือของพระธรรม ของพระพุทธศาสนา จะศึกษาก็ตั้งต้นตรงนี้ จะปฏิบัติก็ตั้งต้นตรงนี้ นี่คนจะมาด่าผมว่าเอาเรื่องเหนือ นอกเหนือความต้องการมาสอนคนนี้มันบ้าเอง และคำด่าที่มันด่าผมมันก็กลับไปหามันเอง เดี๋ยวนี้ผมก็ยังจะพูดอย่างนี้อยู่ว่าเรื่องปฏิจจสมุปบาทนี้มันเป็นเรื่องตั้งต้นของพระพุทธศาสนาอย่างที่พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้
เมื่อพวกฝรั่งถามผมว่า ไอ้ ก. ข. ก. กา พุทธศาสนามันอยู่ที่ตรงไหน ผมก็บอกว่ามันอยู่ที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่คู่กันกับรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ นี่ถ้าคุณจะศึกษาพุทธศาสนา คุณก็ต้องลงมือ A B C D กันที่ตรงนี้ ก็อธิบายให้เขาเข้าใจ เพราะว่าพวกฝรั่งที่เขาเป็นนักศึกษาจัด แก่จัด เขาจะตั้งต้นศึกษาพุทธศาสนาที่ๆอันอื่น ที่ประเทศอินเดีย ที่วัฒนธรรมอินเดีย ปรัชญาอินเดีย อะไรเรื่องราวต่างๆ ที่แวดล้อมพระพุทธเจ้าอยู่ในอินเดียในสมัยนั้น และก็มักจะเอาไปเปรียบเทียบกับปรัชญาตะวันออก ตะวันตกเสียจนหัวมึน ในที่สุดก็ไม่เข้าถึงตัวพุทธศาสนา เพราะมันไม่ใช่เงื่อนต้นของพรหมจรรย์ แม้เราจะศึกษาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็ไม่ๆๆยังไม่ใช่ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์จริง ถ้าเข้าใจเรื่องปฏิจจสมุปบาท ปฏิบัติปฏิจจสมุปบาทจนดับความทุกข์ได้ เมื่อนั้นนะจะเผชิญกับพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ที่แท้จริงในเรื่องของปฏิจจสมุปบาท โดยเฉพาะเอาฝ่ายที่มันดับทุกข์ได้ ปฏิจจสมุปบาทฝ่ายที่ทุกข์ดับลง จะพบพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ในนั้น ก็เป็นพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์จริง อย่างที่พระพุทธองค์ตรัสว่า ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้นเห็นธรรม ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา จะพบอยู่ที่นั่น
นี้ปฏิจจสมุปบาท จะมีอยู่เป็นสองฝ่ายคือฝ่ายทุกข์เกิดกับฝ่ายทุกข์ดับ ฝ่ายทุกข์เกิดตั้งต้นที่ตา หู จมูกเป็นต้น มาสัมผัสกันเข้ากับอารมณ์คือ รูป เสียง กลิ่น รส เป็นต้น พูดกันเรื่องตามาเป็นตัวอย่างก็พอ เมื่อตาเห็นรูปในบาลีเขาใช้คำว่าเมื่อตาเข้าไปเกี่ยวข้องกับรูป ใช้คำว่า ปฏิจจ แปลว่าเกี่ยวข้องกัน เมื่อตาไปปฏิจจกันเข้ากับรูป ก็อุปปัชชะติ วิญญาณัง คือ เกิดจักษุวิญญาณ คุณรู้จักตาหรือเปล่า รู้จักไอ้รูปที่มากระทบตาหรือเปล่า รู้จักจักษุวิญญาณว่ามันเกิดขึ้นหรือเปล่า ดูจะไม่ได้สนใจกันทั้งนั้น เพราะเราไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องสนใจว่าอะไรเรียกว่าจักษุวิญญาณ มีตาเห็นรูปเกิดเรื่องเกิดราวไปตามการเห็น เป็นทุกข์เป็นร้อนเสียแล้ว มันก็เป็นเรื่องทุกข์ไปเสียอย่างนั้น
นี่ว่า ตา อาศัยเข้ากับรูป ก็เกิดจักษุวิญญาณ ๓ อย่างนี้ถึงกันเข้าเรียกว่าผัสสะ คือตา รูป วิญญาณ ๓อย่างนี้ถึงกันเข้าก็เรียกว่าผัสสะ มันเร็วเป็นสายฟ้าแลบ ยากจะแยกตัวออกเป็นจักษุวิญญาณหรือเป็นผัสสะ เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัยจึงเกิดเวทนา เพราะมีเวทนาเป็นปัจจัยจึงเกิดตัณหา ตัณหาปัจจัยเกิดอุปาทาน อุปาทานเป็นปัจจัยให้เกิดภพ ภพเป็นปัจจัยให้เกิดชาติ ชาติเป็นปัจจัยเกิด ชรา มรณะ โสกะปริเทวะ คือ ทุกข์ทั้งหลายย่อมเกิดขึ้นพร้อม พอได้ยินคำเหล่านี้ก็สั่นหัวหมด เพราะว่ามันๆไม่รู้เรื่องว่าอะไร แล้วไม่ลงทุนที่จะศึกษาให้เข้าใจ เพราะมันคิดเสียอะไรก็ไม่รู้ ยุ่งยาก ก็เลยไม่ต้องเข้าใจเรื่องที่สำคัญที่สุดที่เป็นตัวแท้ของพุทธศาสนา นั่นคือ เรื่องตา เรื่องรูป เรื่องวิญญาณ เรื่องผัสสะ เรื่องเวทนา เรื่องตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ รายละเอียดมีอยู่ในหนังสือที่เคยบรรยายก่อนๆ นี่พูดแต่เค้าๆๆเรื่องว่า เกิดจักษุวิญญาณ ก็มีผัสสะ ระหว่างสิ่งทั้ง ๓ ผัสสะ มันทำให้เกิดความรู้สึกเป็นเวทนา เวทนาที่อร่อยแก่จิตใจ หรือเวทนาที่เจ็บปวดแสบเผ็ดแก่จิตใจ ถ้าเกิดเวทนาสุข ที่เรียกว่าเวทนาสุข หรืออร่อยต่อจิตใจ เราก็เกิดความอยากแบบที่จะเอา แต่เกิดเวทนาชนิดที่จะทำความเจ็บปวดต่อจิตใจก็เกิดความอยากที่จะไม่เอา เป็นความอยากที่จะทำลายเสีย เกิดความอยากแล้วก็เกิดอุปาทาน ยึดมั่นในสิ่งที่อยาก เป็นความ เป็นความรู้สึกที่ละเอียดและลึกและเร็วมาก เพราะฉะนั้นไม่ได้มีตัวเราอยู่ที่ไหน มันมีแต่จิตมันรู้สึกตามลำดับของการปรุงแต่ง ที่เรียกว่าปฏิจจสมุปบาทเท่านั้น พอถึงตอนหนึ่งที่มันจะเกิดรู้สึกขึ้นมาว่า ฉัน ฉันอยาก ฉันต้องการนี่จิตมันก็คิดว่ามันเป็นตัวฉัน หรือว่าเป็นตัวเรา แล้วเราก็คือเรา คือเราก็โง่ คิดว่ามีตัวเรา ตัวเราที่ไม่ได้มีอยู่จริง มันเป็นเพียงความรู้สึกของจิต มันก็เกิดขึ้นคล้ายๆ ว่ามันเป็นสิ่งที่มีอยู่จริง แล้วก็มีเป็นเรา เต้นเร่าๆ ขึ้นมา นี่อุปาทานยึดมั่น มีตัวเราผู้อยากก็เรียกว่า ภพ ภพคือความมี มันได้มีตัวเราขึ้นมาแล้ว แล้วก็เรียกว่าชาติ คือตัวเรามันได้เกิดโพลงขึ้นมาแล้ว พอมีตัวเราแล้วสิ่งต่างๆ ก็เป็นปัญหาของเรา คือความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย โสกะปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส แล้วแต่ว่ามันกำลังเกิดอะไร มันก็จะเป็นของเรา แล้วเราก็เป็นทุกข์ เพราะมันโง่มาแต่เกิด ตั้งแต่ตอนต้น ตั้งแต่ผัสสะที่ให้เกิดเวทนา เพราะมันปราศจากปัญญา ปราศจากสติ มันมีแต่อวิชชามาตลอดสาย ที่เรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท มันมีอวิชชาให้เกิดขึ้น
ถ้าเราไม่มีความรู้สึกเป็นเรา ความเกิดก็ไม่ใช่ของเรา ความแก่ก็ไม่ใช่ของเรา ความตายก็ไม่ใช่ของเรา ทุกข์ทั้งปวงก็ไม่ใช่ของเรา เพราะมันไม่มีเรา เพราะมันเกิดเราขึ้นมาเต็มที่ ไอ้สิ่งต่างๆ ที่มันเนื่องกันก็มาเป็นของเราไปหมด นั่นที่เราไม่พอใจมันก็เป็นของเรา ที่เราพอใจมันก็เป็นของเรา ที่เรารักก็เป็นของเรา ที่เราไม่รักก็เป็นของเรา เราจึงมีความทุกข์เพราะการปรุงแต่งของจิตในรูปแบบอย่างนี้ แต่ละวันๆ ตลอดเดือน ตลอดปี ถ้ามันมีความขุ่น ร้อน กระวนกระวายในจิตใจ อย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นมาแล้ว ให้รู้เถิดว่า นี่คือกระแสของปฏิจจสมุปบาทที่ได้ปรุงแต่งมาแล้วอย่างนี้ เมื่อเราไม่ได้อย่างที่เราต้องการ ก็เป็นความหมายอย่างหนึ่งของความทุกข์ เมื่อเราพลัดพรากจากสิ่งที่เรารักเราต้องการก็เป็นความหมายของความทุกข์ หรือมันเผชิญเข้ากับสิ่งที่เราไม่ต้องการมันก็เป็นความทุกข์ มันต้องมีตัวเราเสียก่อน มันจึงจะมีอะไรๆ ที่เป็นปัญหาแก่เรา มันมีของรักของเรา ของไม่รักของเรา การได้ของเรา การเสียของเรา อะไรของเรา
ถ้าฉลาดพอที่จะรู้จักสิ่งเหล่านี้ ไอ้ความรู้สึกที่ว่าเรามันก็ไม่เกิดขึ้น มันก็เป็นของที่เป็นไปตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ เราจะต้องทำอย่างไรเราก็ทำไปอย่างนั้น เราก็จะได้รับ หรือว่าได้กิน ได้ใช้ อะไรไปตามเรื่องนั้นโดยไม่ต้องเป็นทุกข์เลย ที่ถ้าเราทำผิด ไปตามอำนาจของอวิชชา มันมีเรา มันก็มีความทุกข์ทั้งนั้น ทุกข์ทั้งขึ้นทั้งล่อง เมื่อยังไม่ได้ก็เป็นทุกข์ เพราะมันอยากด้วยความโง่ เมื่อยังไม่ได้ก็เป็นทุกข์กระวนกระวาย พอได้อย่างที่ต้องการ มันก็เป็นทุกข์เพราะความรักความหึงความหวงความยึดถือความหวาดระแวงความวิตกกังวล อย่างนี้เรียกว่ามันเป็นทุกข์ทั้งขึ้นทั้งล่อง ก่อนจะได้ก็เป็นทุกข์ ได้แล้วก็ยังเป็นทุกข์อีก มันจะโง่กี่มากน้อย ค่อยลองคิดดู ถ้ามีวิธีอย่างใดอย่างหนึ่งมาทำให้ไม่เป็นทุกข์ ไม่ต้องเป็นทุกข์ เมื่อยังไม่ได้ และแม้เมื่อได้แล้วก็ไม่เป็นทุกข์ มันตรงกันข้ามอย่างนี้ คุณต้องไปเข้าใจเรื่องนี้ให้จริงๆ เสียก่อน ถึงจะรักธรรมะ ชอบธรรมะ ชอบความงามของพระธรรม ที่แสดงถึงความจริง ถึงวิธีปฏิบัติที่จะดับทุกข์ได้ เพราะถ้าปล่อยไปตามเรื่องของความเป็นปุถุชนแล้วมันก็จะมีความทุกข์ ยังไม่ได้ก็เป็นทุกข์ เพราะมันอยากจะได้เหมือนใจจะขาด แต่พอได้มามันก็กระวนกระวายเพราะความรัก ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดความหึงความหวง ความวิตกกังวล ความหวาดระแวงต่างๆ ทีนี้เขาสงสัยว่า เมียเป็นชู้เขาก็ฆ่าเมียตายแล้วก็ยิงตัวเองตาย ในหนังสือพิมพ์ได้อ่านแล้วไม่น่าเชื่อ แล้วก็มีบ่อยๆๆ ที่สุด การยิงลูกเล็กๆ ตายหมด ยิงเมียตายแล้วยิงตัวเองตาย นี่มีๆๆปรากฏมากขึ้น ซึ่งแต่ก่อนมันไม่มี ถ้าอะไรมาระงับไอ้ความเลวร้ายอย่างนี้เสียได้ มันก็ต้องเป็นสิ่งที่สูงสุดน่ารักบูชาน่าเลื่อมใส น่าชอบใจที่สุด นี่คือความรู้เรื่องปฏิจจสมุปบาท และ ความรู้จากตัวพระธรรมที่เป็นตัวพระศาสนาจริงๆ ที่เรียกว่าพระพุทธเจ้าก็ได้ เมื่อปฏิบัติได้ดีอย่างนี้เราก็เป็นพระสงฆ์ที่แท้จริงขึ้นมาทันที เราก็รู้จักพระสงฆ์จริง เราสามารถใช้หลักปฏิบัตินี้ได้เราก็มีพระธรรมจริงๆ และพระธรรมนี้ ส่วนที่เป็นความรู้แจ้งจริงก็เป็นพระพุทธเจ้า อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้เอง
ดังนั้นผมจึงได้พูดอย่างเมื่อสักครู่นี้ว่า เราจะรู้จักพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ที่แท้จริง ต่อเมื่อเรารู้จักเรื่องปฏิจจสมุปบาท อิทัปปัจจยตา ที่ได้มีอยู่จริงในตัวเราทั้งขาขึ้นและขาลง ขาลงก็คือว่า เมื่อตากระทบรูปเกิดจักษุวิญญาณ ๓ ประการนี้เรียกว่าผัสสะ สติสัมปชัญญะมา ในขณะนั้น ผัสสะนั้นมันก็ฉลาด ก็ให้เกิดเวทนาที่ฉลาด คือเวทนาที่จะไม่เกิดปัญหาหรือเกิดอุปาทานความยึดถือ นี่มันไม่เกิดเวทนาชนิดที่ให้เกิดปัญหา ตัณหาก็เกิดไม่ได้ ตัณหาไม่มี อุปาทานมันก็ไม่เกิด ภพก็ไม่เกิด ชาติก็ไม่เกิด ชรามรณะ โสกะปริเทวะก็ไม่มีปัญหา ไม่เป็นปัญหาขึ้นมา นี่คือปฏิจจสมุปบาทฝ่ายที่ดับทุกข์ ในนั้นจะมีธรรมมะฝ่ายดับทุกข์ครบถ้วน จะหาพบทั้งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อยู่ในนั้น พบอริยมรรคมีองค์ ๘ อยู่ในนั้น พบตัวพระศาสนาทั้งหมดอยู่ในนั้น ตัวธรรมะที่ประเสริฐสุดอยู่ในนั้น ในความรู้ข้อนี้ก็มีความงามที่สุดทั้งเบื้องต้น ตรงกลาง และเบื้องปลาย การปฏิบัติได้อย่างนี้ยิ่งงามไปกว่านั้นอีก มันงาม ในเบื้องต้น ตรงกลาง และเบื้องปลาย มันงามในรูปแบบจับอกจับใจ เหมือนกับว่า ศิลป์ หรือ ศิลปะตามความหมายคำว่าศิลปะฝ่ายดี ไม่ใช่ศิลปะฝ่ายกิเลส มันขจัดความทุกข์ได้ มันป้องกันการเกิดแห่งความทุกข์ได้ ไอ้คนนั้นมันก็อยู่อย่างไม่มีความทุกข์ ก็ยังเรียกว่าเป็นสิ่งสูงสุด เป็นวิถีทางแห่งชีวิตในรูปแบบของศิลป์อันสูงสุดที่คนชาวโลกทั่วๆไปเขาต้องการ แม้เขาจะไม่รู้จักสิ่งที่เรียกว่าศาสนา และเขามาพบไอ้สิ่งที่เขาต้องการในพุทธศาสนา แล้วก็ถึงบางอ้ออย่างที่ว่ามาแล้ว คุณไปสังเกตดูไปที่ห้องสมุดที่มีหนังสือเยอะแยะ แล้วก็ไปเลือกดูเฉพาะหนังสือพุทธศาสนาที่พวกฝรั่งเขาเขียนหรือเขาวิพากย์วิจารณ์ จะพบคำอย่างนี้มากที่สุด จะพบคำว่า Way of Life, Mode of Life นี่มากที่สุด เพราะนั้นเป็นสิ่งที่เขาใฝ่ฝันมาแต่ก่อน มาถึงบางอ้อกันในพุทธศาสนา ทีนี้เรา ที่เป็นพุทธบริษัทแท้ๆอย่างนี้ ยังไม่ถึงบางอ้อเลย มันก็ต้อง มันก็ควรจะถูกด่าว่า อยู่กับเกลือมันก็ยังกินขี้เถ้า อยู่กับเกลือ กินด่าง เรียกว่าอยู่กับเกลือมันก็ไม่รู้จักกินเกลือ มันกินขี้เถ้า ก็ขอให้ไปนึกดู ผมคิดว่า ผมก็ได้พูดในสิ่งที่ควรจะพูดกับคุณแล้ว ขอให้มองดูพุทธศาสนา โดยตั้งปัญหาว่า พุทธศาสนาเป็นอะไรสำหรับเรา จนกว่าคุณจะพบว่าพุทธศาสนาเป็น Artistic Way of Life อย่างที่ว่า สำหรับทุกคนที่มีสติปัญญา คนโง่ไม่ต้องพูด คนไม่มีหัวเป็นศิลป์ ก็ไม่รับส่วนที่ละเอียดอ่อนอย่างที่ว่างามเบื้องต้น ท่ามกลาง เบื้องปลาย รับทื่อๆ ทึ่มๆ ไปอย่าง เหมือนกับท่อนไม้อย่างนั้นแหละ ถึงจะดับทุกข์ได้บ้างมันก็ไม่น่าดู
ทีนี้ขอให้ไปตั้งปัญหาว่า พุทธศาสนาเป็นอะไรสำหรับเรา พุทธศาสนามีอะไรให้เรา ถ้าจะเลยไปถึงพระพุทธเจ้าก็ให้มันเนื่องกันไป ว่าพระพุทธเจ้าท่านทรงมุ่งหมายจะให้อะไรแก่เรา คำตอบอาจจะเป็นอย่างเดียวกันหมด วิถีทางแห่งชีวิตที่ถูกต้อง ที่งดงามที่สุดแก่เรา เมื่อเราเดินไปตามนั้นมันก็จะงดงามยิ่งขึ้น แล้วก็ถึงจุดหมายปลายทางแล้วมันก็งดงามยิ่งขึ้น ถ้าให้พูดก็ต้องพูดว่าไม่มีอะไรงดงามเท่าพระนิพพาน แต่คนโง่ หัวไม่มีศิลป์ ก็จะไม่เข้าใจคำนี้ที่พูดว่า พระนิพพาน งดงามที่สุด ถ้าใครเกิดรู้สึกว่าพระนิพพานงดงามที่สุด คนนั้นนะมีหัวเป็นศิลป์ โดยไม่รู้สึกตัว ว่าตัวเป็นผู้มีศิลป์ เดี๋ยวนี้โลกกำลังนิยมวิธีการทางศิลป์ ทำอะไรมันต้องให้จับใจผู้อื่นจึงจะสำเร็จประโยชน์ในทางดีก็ได้ ในทางเลวก็ได้ เช่นเขาจะผลิตอะไรขึ้นมาหลอกลวงเอาเงินของคน เขาก็ต้องทำให้มีศิลป์ ให้น่าซื้อ น่าใช้ คนก็หลงซื้อหลงใช้กัน นี่มันเป็นศิลป์ที่จะล้วงกระเป๋าคนอื่น เป็นเรื่องกิเลสเป็นเรื่องของยักษ์ของมาร อีกทางหนึ่ง ถ้าเราจะชักจูงเกลี้ยกล่อมเขาไปในทางที่ดี ก็ต้องมีอะไรที่เป็นศิลป์มาล่อเขาเหมือนกัน
วิธีการอย่างนี้อาจจะเห็นได้ในเรื่องของพระศาสนา อาจมีพิธีรีตอง แล้วเขาก็เอาศิลป์เข้ามาช่วยเป็นอย่างมาก สมัยผมเป็นเด็กๆ โรงธรรมพอถึงวันที่จะแสดงธรรมนี่เขาประดับประดาสวยที่สุด หรูหราเลยโรงธรรมนี่ เอาใบไม้ ดอกไม้ ต้นกล้วย ต้นอ้อยอะไรต่างๆมาประดับโรงธรรมเสียสวยงาม มีพิณพาทย์ลาดตะโพนอะไรต่างๆ เป็นศิลป์ทั้งทางตา ทางหู ที่มันดึงคนมาหาธรรม ไม่ใช่หลอกลวงจะล้วงกระเป๋าเขา มาหาธรรม มาฟังธรรม สนใจในธรรม มันเข้ารูปกันดีกับที่ว่าพระธรรมมันก็มีความงามอยู่ในตัวพระธรรมแล้ว ใช้ความงามข้างนอกๆ หลอกดึงคนเข้ามาหาพระธรรมที่มีความงามข้างใน เรื่องมันก็มีอย่างนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมัยนี้ที่เราจะต้องเผยแผ่พระพุทธศาสนาในรูปแบบของศิลป์ด้วยอย่างที่จะหลีกเลี่ยงไม่ได้ มิเช่นนั้น จะหาคนสนใจยาก
เป็นอันว่า ทุกๆท่านคงจะมองเห็นแล้วว่า พุทธศาสนา เป็นอะไรสำหรับเรา เราในที่นี้อย่าๆเล็งถึงพุทธบริษัทเลย เล็งถึงมนุษย์อย่างเป็นมนุษย์ธรรมดาๆ เราคือมนุษย์ พุทธศาสนา เป็นอะไรสำหรับเรา มีอะไรให้แก่เรา ก็ค่อยมองเห็นจริงว่า มีสิ่งที่จะแก้ปัญหาดับความทุกข์ร้อนเลวร้ายในจิตใจของเราให้หมดสิ้น นะ มีอันนั้นให้เรา เราจะต้องไปรู้จักไอ้ตัวปัญหาตัวความทุกข์ที่มันมีอยู่จริงๆ ก่อน แล้วเราก็จะรู้จักไอ้สิ่งที่มันดับทุกข์เหล่านี้ได้ มิเช่นนั้นก็จะเป็นเรื่องเรียนกันอย่างนกแก้ว นกขุนทองเรื่อยๆไปเท่านั้นเอง
นี่ผมเจตนา ที่จะพูดสิ่งที่ต้องไปค้นคว้าเอาเองจับฉวยเอาเอง เหมือนกับที่บอกกันวันแรกสุดที่มาถึงนี่ ว่ามาที่สวนโมกข์นี้ เพื่อจะมีโอกาสจะได้สัมผัสกับธรรมชาติด้วยตนเอง ได้รู้จักพุทธศาสนา หรือพระธรรม ในฐานะเป็นสัจจะของธรรมชาติได้ด้วยตนเอง คือ ผมจะช่วยไม่ได้ที่จะให้คุณเข้าถึง แต่บอกวิธีหรือให้ความสะดวกสำหรับคุณจะเข้าถึง ฉะนั้นจึงบอกวิธีสำหรับให้เรียน วิธีสำหรับให้ค้นคว้า วิธีสำหรับให้ไปปฏิบัติ อย่างผมจะสอนให้คุณพายเรือ แล้วสอนได้นิดเดียวตั้ง ๑ เปอร์เซ็นต์ก็ยังไม่ค่อยจะได้ว่าจับพายอย่างนี้ แล้วพุ้ยกันอย่างนี้ ถ้ามันอย่างนั้นแล้วมันอย่างนี้ งัดอย่างนั้น งัดอย่างนี้ ก็พูดได้นิดหน่อยเท่านั้น แล้วคุณก็พายเรือ แล้วมันก็เหไปเหมา เหไปเหมา ตอนนี้มันสอนไม่ได้แล้ว คุณจะต้องให้เรือนะมันสอน แล้วความที่มันผิด มันเหไปเหมามันจะสอน ปลุกปล้ำกันไปสักพักหนึ่ง คือหลายๆวัน ก็ได้ คุณก็จะพายเรือตรงได้ ผมพายเรือเป็นนะ ถึงต้องพูดอย่างนี้ แจวเรือก็เป็น แต่ทีแรกที่กว่าจะแจวเรือเป็น นั่นมันก็รู้ดีทีเดียวว่า ใครมันสอน มันสอนกันไม่ได้ พายหรือแจวเรือนะมันกลับจะสอน หรือบางทีเราก็ชอบยกตัวอย่างด้วยการขี่รถจักรยาน มันสอนกันไม่ได้หรอก ถ้าใครว่าสอนกันได้ คนนั้นนะ มันหลับตาพูด มันสอนได้นิดเดียวไม่ถึง ๑ เปอร์เซ็นต์ เหลือ ๙๙ เปอร์เซ็นต์ นั้นมันสอนกันไม่ได้ ต้องให้รถจักรยานนั้นมันสอน ให้การหกล้มมันสอน ให้ความผิดพลาดมันสอน ใครเคยขี่รถจักรยานเป็นแล้วก็คงจะรู้จักเข้าใจ หรือรู้จริงในเรื่องนี้ว่ามันสอนกันไม่ได้อย่างไร เห็นเขาขี่อยู่แท้ๆ เราก็ยังขี่ไม่ได้ ขึ้นไปทำอย่างนั้นมันก็ล้ม แต่ถ้าล้มหลายๆ หนเข้าไม่ยอมแพ้ มันค่อยจะไม่ล้ม ก็ไม่ค่อยจะล้ม มันเซไปเซมา ขลุกขลักๆ ไปตามเรื่องของมัน แล้วขี่กันอีก เรียนกันอีก มันสอนให้อีก วันหลังๆ มันก็ มันก็เรียบขึ้นๆ แล้วมันก็น่าอัศจรรย์ตรงที่ว่า มันสอนละเอียดอย่างที่เราบรรยายเป็นคำพูดไม่ได้นะ ที่ใครจะมาบรรยายการขี่รถจักรยานให้เรียบร้อยได้ตอนนี้ มันบรรยายด้วยคำพูดไม่ได้ แต่เราก็รู้สึกว่ามันต้องทำอย่างไร และมันยังอัศจรรย์ตรงที่ว่า พอถึงตอนท้าย มันขี่ได้ดี ฉิวไปเลยโดยที่ปล่อยมือก็ได้ เราเคยหัดขี่รถจักรยานปล่อยมือกันไปรอบๆสนาม หรือว่าขี่ทางตรง เลี้ยวก็ได้ ถ้าไม่เคยเห็น ไม่เคยทำอาจจะไม่เชื่อ ในส่วนนั้น รถจักรยานมันสอน การหกล้มมันสอน ธรรมะก็เหมือนกับอย่างนี้ เช่นจะทำสมาธิอย่างนี้ มันก็เหมือนกับบอกกันนิดเดียวว่าทำอย่างนั้น แต่พอไปทำเข้ามันก็ไม่เป็นสมาธิ จิตก็ฟุ้งซ่าน หนีไปไหน หนีไปไหน มันก็เหมือนกับหกล้ม เดี๋ยวนี้เราขี่รถจักรยานจิตมันก็หกล้ม หกล้ม ๒-๓ ที ไอ้คนโง่ โง่มันก็เลิก เลิกไม่เอาแล้วโว้ย รู้สึกว่าทั้งหมดเป็นอย่างนี้ โดยมากเป็นอย่างนี้ ที่ทำสมาธิกันไม่ได้ พอเห็นว่าไม่ได้ก็เห็นว่าเหลือวิสัย ไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้มันก็เลิกไป มันไม่ทนหกล้มตั้ง ๒๐ ครั้ง ๓๐ครั้งเหมือนกับขี่รถจักรยาน การทำสมาธิ พลาดไปทีหนึ่งก็เหมือนกับหกล้มทีหนึ่ง แล้วก็ทำอีก มันก็จะดีขึ้น แล้วก็ทำอีก จะดีขึ้น หลายๆ หนมันก็จะค่อยๆ เป็นสมาธิอย่างหยาบๆ ถ้าทำไปอีกมันก็จะเป็นสมาธิอย่างละเอียด เดี๋ยวนี้คนไม่อดทนถึงอย่างนี้ ไม่จริงถึงอย่างนี้ เพราะมันโง่ มันจึงไม่มีอิทธิบาทครบถ้วนทั้งสี่ประการ มันก็เลยล้มเหลว คุณไปทำกันเสียใหม่ อย่าหวังอะไรนักจากคำพูดคำสอน ไม่ต้องเอาครูมานั่งขนาบข้างทั้งวันทั้งคืนมันจะเป็นเรื่องบ้า ครูบอกให้อย่างไรแล้วก็ไปทำเถิด การกระทำมันจะสอนเองโดยอัตโนมัติ เรารู้กันมาอย่างไรเราก็บอกไม่ได้ บอกไม่ถูก เช่น ทำไมเราจึงรู้จักพายเรือให้ตรง แจวเรือให้ตรง ขี่รถจักรยานได้เรียบร้อยนี่มันทำขึ้นมาได้อย่างไรเราเองก็บอกไม่ถูก แต่พอจะเข้าใจได้ว่ามันค่อยๆได้ขึ้นทีละนิดๆๆๆ เดี๋ยวนี้มันเป็นเรื่องขี่รถจักรยานจิต พายเรือจิต แจวเรือจิต ทำด้วยความพยายาม ความเฉลียวฉลาด มันก็ได้ ที่เราเรียกว่า ความงดงาม ในส่วนที่มันทำได้ เป็นความงดงามอย่างยิ่ง เมื่อเป็นอยู่อย่างถูกวิถีทางของธรรมชาติ โดยเฉพาะคืออริยมรรคมีองค์ ๘ มันก็จะเป็นไปได้ในการที่จะไม่ให้ความทุกข์เกิดขึ้น และจะมีความงดงามอย่างยิ่งในการเป็นอยู่อย่างถูกต้องด้วยอริยมรรคมีองค์ ๘ ถ้าอยู่ด้วยอริยมรรคมีองค์ ๘ คือมีสติสัมปชัญญะ มีปัญญา มีสัมมาทิฐิ อยู่ตลอดเวลา หากว่าตาเห็นรูป เกิดจักษุวิญญาณ เกิดผัสสะ องค์แห่งมรรคมีองค์๘ นี่มันควบคุมไว้ได้ มันไม่เกิดเป็นผัสสะโง่ เกิดปัญหา เกิดอุปาทาน เกิดภพ เกิดชาติ และ เกิดทุกข์ เพราะองค์ที่ ๑ มันมีสัมมาทิฐิของความรู้ที่เพียงพอ สัมมาสังกัปโป สัมมาวาจา อะไรมันๆถูกต้องอยู่ในนั้น สัมมาสติ สัมมาสมาธิ มันมีครบอยู่ในนั้น ปฏิจจสมุปบาท ชนิดที่จะให้เกิดความทุกข์ขึ้นมามันเป็นไปไม่ได้ มันหยุดตัณหาหยุดอุปาทานไว้ได้ นี่เรียกว่าเป็นอยู่อย่างถูกต้อง นี่เป็นตัวพุทธศาสนาแท้ ถ้าไม่เคยได้ฟังก็ขอให้ฟังเดี๋ยวนี้ว่า อริยมรรคมีองค์ ๘ นะมันเป็นตัวพุทธศาสนาแท้ในรูปของการปฏิบัติ ถ้าเราอยู่ด้วยการปฏิบัติอย่างนี้แล้ว ปฏิจจสมุปบาทฝ่ายทุกข์มันเกิดขึ้นไม่ได้ มันจะมีอยู่แต่ปฏิจจสมุปบาท ฝ่ายที่ทุกข์เกิดไม่ได้มันไปหยุดชะงักลงเสียตรงที่ผัสสะ แล้วมันเกิดสติปัญญาเสีย ไม่เกิดเวทนาชนิดที่ให้มีตัณหาอุปาทาน พระพุทธเจ้าท่านจึงตรัสไว้อย่างที่ฟังแล้วก็ ไม่ค่อยจะเชื่อกันนักว่า ถ้าภิกษุเหล่านี้จะเป็นอยู่โดยชอบไซร้ โลกจะไม่ว่างจากพระอรหันต์ คือโลกจะไม่ขาดพระอรหันต์ ถ้าเป็นอยู่กันโดยชอบคืออย่างอริยมรรคมีองค์ ๘ กิเลสไม่เกิด ความทุกข์ไม่เกิด แล้วก็คุมไว้ คุมไว้ กิเลสไม่เกิด อนุสัยของกิเลสก็ไม่มี หรือที่เคยมีอยู่ก่อนมันก็ร่อยหรอลงไปเพราะมันไม่ถูกเติม อาสวะมันก็ไม่มี เพราะอนุสัยมันไม่มี มันก็ไม่มีความทุกข์ ไม่มีอาสวะคือเป็นพระอรหันต์ ฉะนั้นเราจงเป็นอยู่ ชนิดที่กิเลสเกิดไม่ได้ในขณะแห่งผัสสะ วันหนึ่งๆ เรามีผัสสะต่อสิ่งใดบ้าง มันมากมายเหลือเกิน เดี๋ยวทางตา เดี๋ยวทางหู เดี๋ยวทางจมูก เดี๋ยวทางลิ้น เดี๋ยวทางผิวหนัง แต่ที่มันเป็นมากก็เรื่องในทางจิตใจ เพราะมันมีความรู้สึกอะไรต่างๆ สะสมไว้เป็นสัญญามากมาย ทำให้จิตคิดไปก็ได้ โดยที่ตาไม่ต้องเห็น หูไม่ได้ยิน นี่มันพร้อมที่มันจะเกิดกระแส เกิดกิเลสนั่นนะ ถ้าเป็นอยู่อย่างอริยมรรคมีองค์ ๘ มันเกิดไม่ได้เพราะมันคุมกันไว้หมด ตั้งแต่สัมมาทิฐิ ไปจนถึงสัมมาสมาธิ นี่เรียกว่า งามที่สุด จะอวดกันว่าอะไรงามที่สุดก็ต้องว่า อริยมรรคมีองค์ ๘ เป็น Artistic Way of Life วิถีทางแห่งชีวิตในรูปแบบแห่งศิลป์ที่งดงามที่สุด เอาไปอวดนักวิทยาศาสตร์ได้ แม้แต่พวกคอมมิวนิสต์ก็จะไม่มีหนทางจะค้าน พวกคอมมิวนิสต์ก็จะไม่หาว่าพุทธศาสนาเป็นยาเสพติด อย่างนี้เพราะพวกเราไม่รู้จักอะไรๆ ของเราเองที่มีอยู่ ใช้มันไม่เป็น กลายเป็นเรื่องงมงายไปหมดก็ถูกด่าว่าเป็นยาเสพติด สมน้ำหน้ามัน ช่วยกันแก้ปัญหาข้อนี้ให้ที อย่าให้พุทธศาสนาถูกหาว่าเป็นยาเสพติด ศาสนาอื่นก็ไม่ได้เป็นยาเสพติด ที่จริงนะ แต่เป็นเพราะการทำผิดพลาดของผู้ปฏิบัติ ผู้สืบศาสนานั่นเองมันทำผิด จนน่าเกลียดน่าชังจนถูกด่าว่าเป็นยาเสพติด ชวนกันปรับปรุงสะสางให้มันกลับถูกต้องเสีย มันก็พ้นจากความเป็นยาเสพติด แต่เป็นวิถีทางแห่งชีวิตที่งดงามที่สุด มีลมหายใจ อยู่ด้วยความสงบเย็นเป็นนิพพาน ไม่มีความทุกข์ความร้อนเลย เมื่อศึกษาเล่าเรียน ก็เป็นชีวิตที่เยือกเย็น เมื่อทำงานการก็เป็นชีวิตที่เยือกเย็น ถ้าเป็นพ่อบ้านแม่เรือน ก็เป็นชีวิตที่เยือกเย็น เป็นคนเฒ่าคนแก่ก็มีชีวิตที่เยือกเย็น นี่พุทธศาสนามีอะไรให้สำหรับเรา คุณไปคิดดูเองก็แล้วกัน ผมเห็นว่ามันเป็นการสมควรแก่เวลาแล้ว ก็ยุติการบรรยายครั้งนี้ไว้แต่เพียงเท่านี้