แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ณ บัดนี้จะได้วิสัชนาพระธรรมเทศนาของพระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อเป็นเครื่องประดับสติปัญญา ส่งเสริมศรัทธาความเชื่อและวิริยะ ความพากเพียรของท่านทั้งหลายผู้เป็นพุทธบริษัทให้เจริญงอกงามก้าวหน้าตามทางแห่งพระศาสนาของสมเด็จพระบรมศาสดา อันเป็นที่พึ่งของเราทั้งหลายกว่าจะยุติลงด้วยเวลา ธรรมเทศนาเป็นบุปพาปรลำดับมีข้อความต่อเนื่องจากธรรมเทศนาที่ได้วิสัชนาไปแล้วในตอนต้นแห่งราตรี คือ เรื่องศีล
วันนี้เราก็ตั้งใจจะทำความเข้าใจในสิ่งที่จะต้องชำระสะสางให้ดี ให้งามยิ่งๆ ขึ้นไป จึงได้พูดกันเรื่องศีลสมาธิ ปัญญา พูดกันแต่เรื่องศีลก็ยังไม่จบ มันก็ยากที่จะจบ เพราะว่ามันไม่คว้าเอาหัวใจของศีล เพราะว่ามันไปคว้าเอาปลีก เอาเปลือก เอากระพี้ เอาส่วนย่อย เอาภายนอกของเรื่องศีล คนมาศึกษาเรื่องศีลเรื่องวินัยกันมากมายละเอียดลออ แม้แต่ในโรงเรียนนักธรรมมันก็เรียนเรื่องศีลอย่างนั้นอย่างนี้ พูดถึงองค์ศีลอย่างนั้นอย่างนี้ มันเรียนด้วยความหลอกหลวงตัวเอง มันเรียนศีลเพื่อจะแก้ตัว เพื่อจะเป็นทนายให้ตัวเอง เพื่อจะแก้ตัวไม่ให้ต้องได้รับโทษเนื่องจากการผิดศีล มันไม่ได้มีเจตนาที่จะมีศีลแล้วมันก็กลัวว่าจะต้องปรับให้มีโทษผิดเพราะศีล ก็เรียนเรื่องศีลไว้ให้มากๆ สำหรับจะเป็นข้อแก้ตัว มันเรียนศีลเพื่อสำหรับเป็นทนายแก้ตัวให้ตัวเอง เพื่ออยากฟังให้ปรับโทษด้วยศีลข้อนั้นข้อนี้ แม่ชีก็ดี พระเณรเอ่อภิกษุสามเณรก็ดี ดูเหมือนจะเรียนศีลกันแต่เพียงอย่างนี้ แล้วเมื่อไหร่มันจะมีศีลสมบูรณ์ได้ ขอคิดดูให้ดีเถอะว่าทำไมมันจึงไม่มีศีล เพราะมันไม่ได้ศึกษาศีลเพื่อจะมีศีล แต่มันศึกษาศีลเพื่อจะเป็นทนายแก้ตัว เมื่อจะถูกให้ปรับเรื่องศีล อย่างนี้จริงหรือไม่จริง ขอให้พิจารณาดูกันสักทีหนึ่งก่อน ถ้าเห็นว่าจริงนั้นก็เลิกการกระทำอย่างนั้นกันเสียเถิด ศึกษาเรื่องศีลเพื่อจะปฏิบัติตัวให้มีศีล ไม่ใช่ไว้เป็นข้อแก้ตัวเหมือนกับทนายเขาแก้ตัวให้จำเลย ทีนี้อีกอย่างหนึ่งมันมีอยู่ว่าแม้ว่าคนที่ตั้งใจจริงๆ มันก็ยังคลานต้วมเตี้ยมอยู่ที่นี่ มีศีลอย่างลูกเด็กๆ เรียน ก ข ก กา ไม่มีศีลอย่างผู้ใหญ่ที่รู้หนังสือแล้ว ขอให้สังเกตดูสักหน่อย มันเป็นเรื่องที่ควรสังเกตอย่างยิ่งว่าเด็กๆ ก็เรียนหนังสือ ก ข ก กา กิ กี เรื่อยๆ ไปยังจำไม่ได้ ยังมีปัญหาหนัก แล้วจะอ่านให้มันถูกตัวเรื่องกอ กา กิ กี แต่ถ้าคนโตแล้วมันไม่มีปัญหาอย่างนั้น มันอ่านหนังสือที่ยากๆ ได้คล่องแคล้วไปเลย เพราะมันรู้หนังสือแล้ว มันไม่ลำบากเหมือนลูกเด็กๆ ที่ยังจะต้องระมัดระวัง แม้แต่อ่านตัว ก ข ก กา หรืออีกอย่างนึ่งก็เหมือนว่าเด็กๆ ที่มันยังเล็กมาก ยังแรกเรียนเลขมันต้องท่องสูตรคูณ พอจะคิดเลขมันก็ต้องท่องสูตรคูณ บางทีต้องไล่ไปตั้งแต่บรรทัดแรก สองหนึ่งเป็นสอง สอง สองเป็นสาม กว่าจะถึงสองอะไรที่มันต้องการ แต่ถ้าเราเป็นผู้ใหญ่แล้ว มันคล่องแคล่วเรื่องสูตรคูณแล้วมันไม่ต้องทำอย่างนั้น มันออกรับได้เลยว่าอะไรคูณกับอะไรเป็นอะไรอย่างนี้ นั้นการที่มีศีลเหมือนลูกเด็กๆ ที่ยังต้องท่องสูตรคูณหรือว่ามีศีลเหมือนกับผู้ใหญ่ที่ไม่ต้องท่องสูตรคูณแล้วนั้นมันต่างกันมาก หรือว่ามันต่ำไปกว่านั้นอีกลูกเด็กเล็กๆ เมื่อแรกมันเรียนลบ เรียนบวกเรียนลบ มันต้องงอๆ นิ้ว บวกเข้าไปหรือว่าชักออก พอเขาจะคิดเลขอะไร เขาก็ต้องใช้นิ้วมาช่วย งอเข้าเพิ่มเข้าหรือชักออกแล้วแต่ว่ากำลังคิดเลขบวกหรือเลขลบ แต่คนโตๆ แล้วมันไม่ต้องอย่างนั้น มันบวกลบได้เลย แม้จะเป็นจำนวนมากๆ มันก็บวกลบได้เลย ไม่ต้องคอยงอนิ้ว สิบนิ้ว สองนิ้วเหมือนกับลูกเด็กๆ มันต่างกันมากถึงอย่างนี้ พวกเราก็ดูจะมีศีลอย่างลูกเด็กที่ยังต้องงอนิ้วบวกเลขหรือว่าท่องสูตรคูณทำเลขเรียกว่าก็มีศีลอย่างเด็กๆ ที่ยังต้องท่องสูตรคูณ ไม่เหมือนกับผู้ใหญ่ที่เขามันมีความคล่องแคล่วในเรื่องเกี่ยวกับสูตรคูณหรือว่าการบวกลบหรือว่าการอ่านหนังสือ ขอให้สังเกตดูเถอะ บางทีจะรู้จักตัวเองได้ดีขึ้นว่า เรายังอยู่ในลักษณะที่มีศีลเหมือนกับเด็กๆ ที่เขาเรียน ก ข ก กา หรือว่าท่องสูตรคูณ เพราะว่าเราไม่สนใจที่จะทำให้มันจริงให้มันก้าวหน้าให้ถึงขนาดที่เรียกว่า อริยกันตศีล ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย ไม่มีส่วนที่ควรติเตียน ไม่เป็นศีลที่เป็นทาสของกิเลส แต่เป็นศีลที่เป็นไทจากกิเลส ไม่ถูกตันหาทิฐิมานะลูบคลำ มันจึงเป็นศีลที่ขึ้นมาถึงระดับที่เรียกว่า สมาธิสังวัตตนิกานิ ถึงจะเป็นไปเพื่อสมาธิ บททดสอบของศีลที่เป็นอริยกันตศีลบทสุดท้ายนั้นมันมีว่า สมาธิสังวัตตนิกานิ ศีลชนิดนั้นจะเป็นไปเพื่อสมาธิ ถ้ามีศีลชนิดนั้นแล้ว มันจะมีสมาธิได้โดยง่าย จิตจะเป็นสมาธิได้โดยง่าย เรากำลังมีศีลชนิดนี้กันหรือยัง ถ้าว่าเรายังมีศีลในระดับที่เหมือนลูกเด็กๆ ยังเรียน ก ข ก กา ก็ดี หรือว่าเราจะเรียนศีลเพื่อเป็นทนายแก้ตัวให้ตัวเอง เมื่อเกิดปัญหาทางศีลขึ้นอย่างนี้ก็ดี มันไม่มีหวังที่จะเป็น สมาธิสังวัตตนิกานิ คือ ไม่เป็นศีลที่จะเป็นไปเพื่อสมาธิเลย คือ มันไม่มีความปิติปราโมทย์เพราะความมีศีล เมื่อไม่มีปิติปราโมทย์แล้วจิตมันก็ไม่สงบระงับได้ คือ ไม่เป็นปัสสัทธิ แล้วสมาธิมันจะมีมาแต่ไหน เราจึงต้องมีศีลชนิดที่มีปิติปราโมทย์จิตเป็นสมาธิ เป็นปัสสัทธิแล้วก็มาสมาธิได้ คล้ายๆ กับว่าง่ายดายหรืออัตโนมัติทีเดียว ขอให้มองเห็นความสำคัญของความมีศีลกันอย่างนี้เถิด ในระดับต้นๆ ทั่วๆ ไป เราก็จะมีศีลเพื่อตัวเราอยู่เป็นสุขในสังคม ไม่มีเวร ไม่มีภัยกับใครๆ แล้วที่นี้ก็มีศีลที่สูงขึ้นมา สำหรับเพื่อทำจิตใจให้เจริญงอกงามก้าวหน้าตามทางของสมาธิและปัญญาดังที่กล่าวแล้ว ถ้าเราจะมองเห็นประโยชน์อานิสงส์ของศีลกันให้ถึงขนาดนี้ ก็คงจะไม่เล่นตลกกับตัวเองอีกต่อไป คือ ไม่มีศีลเพียง คือ ไม่ศึกษาศีลเพียงเพื่อเป็นข้อแก้ตัว หรือจะไม่มีศีลชนิดที่จะต้องคอยท่องจำไว้เหมือนกับเด็กท่องสูตรคูณ หรือว่าเรียน ก ข ก กา อยู่ ถ้าจะให้จำง่ายก็ต้องใช้คำๆ หนึ่งว่า มีศีลอยู่เป็นปกติ มันมีศีลอยู่ในตัวเองเป็นปกติ ไม่ต้องคอยมานึกมาคิดหรือเรียกว่ามันต้องคอยปลุกปล้ำกันมากเหมือนกับเด็กที่แรกเรียน ก ข ก กา มันจะอ่านหนังสือสักทีก็ทำได้ด้วยความยากลำบาก การที่มีศีลเป็นปกตินั้นก็ต้องเคยบำเพ็ญมาด้วยเจตนาอันบริสุทธิ์จนเกิดเป็นนิสัยแห่งความเป็นผู้มีศีล รักศีล พอใจในศีล ความพอกพูนศีลให้มีขึ้นจนเป็นนิสัยนี้สำคัญมาก ถ้าถือหลักอันนี้ไม่ได้ก็จะไม่มีทางที่จะมีศีลเป็นปกติก็คือ มีศีลโดยอัตโนมัติ ใช้คำว่ามีศีลโดยอัตโนมัตินี้คือไม่ต้องระวังกันมากมาย มันจะเป็นไปแต่ในทางที่ไม่ขาดศีล เพราะมันมีความเคยชินเป็นนิสัย อาตมาอยากจะพูดถึงคำว่า นิสัยและอุปนิสัยกันอีกสักครั้งหนึ่งในวันนี้ ก็ขอให้ท่านทั้งหลายสังเกตดูให้ดี สิ่งใดที่ทำลงไปแล้วมันไม่ยุติแค่เพียงการกระทำในครั้งหนึ่งนั้น มันสร้างสิ่งที่เรียกว่า อนุสัยและอุปนิสัย ในฝ่ายผิด ฝ่ายเลวเราเรียกว่าอนุสัย ในฝ่ายดีฝ่ายถูกเราเรียกว่า อุปนิสัย เรื่องของกิเลส เมื่อได้ประพฤติกระทำลงไปจนขาดศีล เป็นต้น มันก็สร้างอนุสัย คือ ความที่จะเป็นอย่างนั้นเพิ่มเข้าไว้ครั้งหนึ่งหรือหน่วยหนึ่งและต่อมาก็ล่วงละเมิดด้วยกิเลสข้อนั้นอีก มันก็เพิ่มขึ้นอีก เพิ่มหลายๆ หนมันก็หนาแน่นไปด้วยความเคยชินที่จะทำผิดอย่างนั้น การเพิ่มความเคยชินทางฝ่ายเลวฝ่ายชั่วอย่างนี้เราจะเรียกว่า อนุสัย เราทำความผิดในทางโลกหรือราคะกำหนัดลงไปทีหนึ่งมันก็เกิดอนุสัยที่เรียกว่า ราคานุสัย เอาไว้หน่วยหนึ่งก็เกิดอย่างนี้เรื่อยไปจนหนาแน่นไปด้วยราคานุสัย เราจึงมีความโลภเก่งและมีความกำหนัดในทางกามเก่ง เพราะมันเพิ่มอนุสัยไว้ทุกที ในทางโทสะ โกรธะ ก็เหมือนกันโกรธทีหนึ่งมันก็เพิ่มอนุสัยแห่งความโกรธ คือ ความเคยชินที่จะโกรธที่เรียกว่า ปฎิฆานุสัย เอาไว้ทีหนึ่ง โกรธหลายหนหลายสิบหนหลายร้อยหนหลายพันหน ปฎิฆานุสัย คือ ความเคยชินที่จะโกรธมันก็หนาแน่นเหนียวแน่นมันก็เลยมีอนุสัยในส่วนโกรธ ที่จะโง่ จะหลง จะสะเพร่า จะเป็นโมหะ เป็นพวกโมหะนี่ก็เหมือนกัน ไปโง่ไปสะเพร่าเข้าทีหนึ่ง มันก็สร้างสมอนุสัยฝ่ายโมหะที่เรียกว่า อวิชชานุสัย เข้าไว้ทีหนึ่ง มันก็มากไปด้วยอวิชชานุสัยที่เป็นประเภทโมหะ เป็น ๓ อนุสัยแล้ว ราคานุสัยเคยชินสำหรับจะรักหรือจะโลภ ปฎิฆานุสัยเคยชินที่จะโกรธ จะคับแค้น จะประทุษร้าย อวิชชานุสัยที่มันจะโง่ จะหลง จะสะเพร่าเป็นต้น ที่นี่มีอนุสัยอีกอันหนึ่งที่อยากจะพูดถึงด้วยตามความเข้าใจของตนเอง เมื่อไหร่เกิดความรู้สึกประเภทตัวกูของกูขึ้นมาทีหนึ่ง มันก็จะมีอนุสัยที่ชื่อว่า อหังการะ มะมังการะ มานานุสัย อนุสัยคือความสำคัญว่า เราว่า ของเรา เกิดตัวกูของกูครั้งหนึ่งจะเพิ่มอหังการะ มะมังการะ มานานุสัยครั้งหนึ่ง นานเข้ามันก็หนาแน่นไปด้วยอนุสัยที่มีความสำคัญที่เป็นตัวกูของกู มันจึงละได้แสนยากเพราะมันสะสมอนุสัยนี้มีแต่อ้อนแต่ออก เราเคยเกิดความคิดว่าตัวกูเป็นของกูมาแต่อ้อนแต่ออก ก็หนาแน่นไปด้วยอนุสัยชื่อนี้ เอา ๔ อนุสัยนี้ก็พอแล้วเป็นปัญหาที่มากพอแล้ว อนุสัยสำหรับจะโลภ อนุสัยสำหรับจะโกรธ อนุสัยสำหรับจะหลง อนุสัยสำหรับจะเกิดตัวกูของกู นี่เป็นฝ่ายเลวฝ่ายชั่วเราเรียกว่า อนุสัย ตามหลักในพระบาลีก็แล้วกัน
ทีนี้ในทางตรงกันข้ามพอถึงคราวที่ควรจะโลภหรือจะกำหนัด เราควบคุมไว้ได้ไม่ให้เกิดโลภ ไม่ให้เกิดกำหนัด มันก็ไม่เกิดอนุสัยอย่างที่ว่า แต่มันจะเกิดในทางตรงกันข้าม คือ จะเกิดอุปนิสัยที่จะไม่โลภ ไม่กำหนัด ทำนองเดียวกันเมื่อเราควรจะโกรธมันบังคับไว้ได้ มันไม่โกรธ มันก็จะเกิดอุปนิสัยสำหรับที่จะไม่โกรธ หรือมันจะโง่ จะสะเพร่า ก็บังคับไว้ได้ มันก็ไม่เกิดอนุสัยที่มันจะโง่หรือจะสะเพร่า แต่มันจะเกิดอุปนิสัยที่จะไม่โง่ จะไม่สะเพร่า จะมีสติสัมปชัญญะดีหรือว่ามันจะเกิดตัวกูของกูขึ้นมาก็บังคับมันไว้ได้ควบคุมมันไว้ได้ มันเกิดไม่ได้ มันก็ไม่มีอะหังการะมะมังการะมานะนุสัย แต่มันไปมีฝ่ายที่ตรงกันข้าม คือ อุปนิสัยที่จะไม่เกิดตัวกูของกู ส่วนที่ควบคุมไว้ได้ไม่ให้เกิดอนุสัย แต่ให้เกิดอุปนิสัยไปทางฝ่ายดีนี้ เราจะเรียกอีกชื่อหนึ่งก็ได้ว่า บารมี คือ การสร้างสมบารมีเพื่อให้เต็ม อย่างพระพุทธองค์ทรงสร้างบารมีนานาต่างนานา นานาบารมีมีอยู่บารมีหนึ่งที่ควรจะสนใจเกี่ยวกับกรณีนี้ที่เรียกว่า ศีลบารมี เมื่อถึงคราวที่มันจะผิดศีลข้อใดข้อหนึ่งก็ควบคุมไว้ได้ พอจะถึงคราวจะผิดศีลข้อใดข้อหนึ่งก็จะควบคุมไว้ได้ อนุสัยที่จะเคยชินถ้าเราขาดศีลข้อนั้นมันก็ไม่มี มันไปมีอุปนิสัยฝ่ายที่จะควบคุมได้ คือ มีศีลบารมี ทำอย่างนี้เป็นเวลานานพอสมควรก็มีศีลบารมี เราได้เคยทำอย่างนี้กันหรือเปล่า เราได้เคยสร้างศีลบารมีกันอย่างนี้หรือเปล่า เมื่อจะต้องฆ่า เราก็ไม่ฆ่า เมื่อจะต้องลัก เราก็ไม่ลัก เมื่อจะประพฤติผิดในกาม เราก็ไม่ประพฤติผิด เมื่อจะต้องพูดเท็จ ก็ไม่พูดเท็จ เมื่อจะเสพของมึนเมา ก็ไม่เสพ นี่สำหรับศีลหลักทั่วไปคือ ศีล ๕ มันก็เกิดเป็นศีลบารมีขึ้นมา เกิดอุปนิสัยฝ่ายที่จะมีศีลให้เคร่งครัดจนเป็นปกตินิสัย โดยไม่ต้องมัวท่องศีลอยู่ขึ้นมา นี่จะนำไปสู่ความมีศีลเป็นปกติเหมือนคนที่รู้หนังสือดีแล้วก็อ่านไปได้โดยไม่ต้องท่อง ก ข ก กา คนเชี่ยวชาญในเลขคณิตศาสตร์แล้วก็ไม่ต้องมาท่องสูตรคูณอยู่เหมือนลูกเด็กๆ การกระทำได้อย่างนี้เรียกว่า มีศีลเป็นปกติ มีศีลเป็นปกตินิสัย เพราะอำนาจของศีลบารมีหรือเพราะอำนาจของอุปนิสัยแห่งศีลที่เราได้พอกพูนมากขึ้นๆ จนอนุสัยฝ่ายการทุศีล มันไม่มีโอกาสแล้วมันก็เหือดหายไป กลายเป็นอริยกันตศีลขึ้นมาได้ก็เพราะเหตุนี้
เพราะฉะนั้นของให้ทุกคนให้ความสำคัญแก่การที่จะทำให้มีศีลบารมี คือ อุปนิสัยแห่งการมีศีลจนกว่าจะถึงระดับที่ไม่ขาด ไม่ด่าง ไม่พร้อย ไม่ทะลุ คือ เป็นอริยกันตศีลได้ ทีนี้ที่จะให้ง่ายขึ้นไปอีก ก็ขอให้มีธรรมะเป็นเครื่องช่วยศีล การที่เราจะมีศีลได้ดีนั้นต้องมีธรรมะเข้าประคับประคองศีลนั้นๆ ธรรมะ เช่นสติสัมปชัญญะก็ดี ธรรมะเช่นหิริและโอตตัปปะปะก็ดี เหล่านี้มันเป็นเรื่องของธรรมะเลยเรียกว่าธรรมะ ถ้าเราจะมีศีลโดยไม่มีหิริโอตตัปปะปะนั้นคงจะลำบาก คงจะทำไม่ได้ ดังนั้นต้องสร้างธรรมะ สร้างนิสัยแห่งธรรมะ มีความละอายบาปที่เรียกว่าหิริ มีความกลัวบาปที่เรียกว่าโอตตัปปะ เพิ่มธรรมะในข้อนี้เข้าแล้วศีลก็จะมีได้โดยง่าย หรือว่าจะมีสติสัมปชัญญะด้วยการฝึกฝนสติสัมปชัญญะให้มีธรรมะกว่านี้ หรือว่าถึงกับปฏิบัติในลักษณะที่เป็นกรรมฐาน เป็นวิปัสสนา ทำให้เป็นผู้มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ด้วยอำนาจแห่งอานาปานสติภาวนา เป็นต้น เมื่อมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์แล้วก็ง่ายในการที่จะไม่ผิดศีลหรือจะไม่เผลอจะ ไม่สะเพร่าถึงทำให้ผิดศีลได้ง่ายๆ ไม่ต้องมีบารมีธรรมะอย่างอื่น เช่น สัจจะอธิฐานะอะไรก็ตามมาช่วยประคับประคองกันเข้าให้มาก มีธรรมะมาประคับประคองศีล ศีลมันก็จะง่ายดายในการที่จะมีศีล และอีกอย่างหนึ่งขอให้ศึกษาศีลในลักษณะที่จับเอาความหมายให้ได้ อย่าเอาแต่ตัวหนังสือมันจะเป็นโอกาสของทนายขี้โกง ศึกษาศีลเพื่อจะแก้ตัวให้ตัวเองเกี่ยวกับปัญหาทางศีล เมื่อพูดถึงศีล ๕ ก็ขอให้ตีความหมายคำว่า ศีล ๕ ให้กว้างขวางเพียงพอ เช่น ศีลข้อที่ ๑ นั้น อย่าจำกัดความแต่เพียงว่าฆ่าสัตว์ให้ตาย เราจะให้ความหมายที่กว้างขวางสำหรับศีลข้อ ๑ นี้ว่า จะไม่ประทุษร้ายชีวิตและร่างกายของสัตว์อื่น ใช้คำว่าไม่ประทุษร้ายชีวิตและร่างกายของสัตว์อื่น จะถึงตายหรือไม่ถึงตายก็ตามใจ จะไม่ประทุษร้ายทั้งนั้น นี่จะเป็นเหตุให้ถือศีลได้ครบถ้วนกว้างขวาง ป้องกันด่างทะลุพร้อยอะไรได้ จะถือศีลข้อที่ ๒ ก็เหมือนกัน จะต้องมีความหมายว่าจะไม่ประทุษร้ายทรัพย์สมบัติของผู้อื่น จะเอามาหรือไม่เอามาจะทำลายหรือไม่ทำลายอะไรก็สุดแท้ จะไม่แตะต้องประทุษร้ายทรัพย์สมบัติของผู้อื่นโดยวิธีใดก็ตาม อย่างนี้มันทำให้มีศีลข้อที่ ๒ นี้สมบูรณ์และง่าย สำหรับข้อที่ ๓ ไม่ใช่เพียงแต่ว่าจะไปทำชู้จะต้องมีความหมายที่สรุปได้ว่า จะไม่ประทุษร้ายของรักของใคร่ของผู้อื่นโดยวิธีใดก็ตาม ในระดับใดก็ตาม แม้แต่ลูกเด็กๆ ก็ต้องถือศีลข้อนี้ เมื่อรู้ว่าอะไรเป็นที่รักที่พอใจของเด็กคนอื่นแล้วอย่าได้ไปแตะต้องให้เขาชอกช้ำน้ำใจนี่ ถ้ามีความหมายในศีลข้อนี้อย่างนี้ มันก็จะเป็นศีลที่สมบูรณ์ สำหรับศีลข้อที่ ๔ จะไม่ประทุษร้ายความชอบธรรมความถูกต้องหรือสิทธิอะไรของผู้อื่นโดยใช้วาจาเป็นเครื่องมือ มันเป็นการทำลายสิทธิประโยชน์ของเขา เกียรติยศของเขา อะไรของเขาโดยการใช้วาจาเป็นเครื่องมือ อย่าทำเลย สำหรับศีลข้อที่ ๕ นั้น จะไม่ประทุษร้ายสติสมประดีของตนเอง ก็เป็นอันว่าไม่ดื่ม ไม่กิน ไม่สูบ ไม่ทา ไม่ประพฤติกระทำอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นการประทุษร้ายสติสมประดีของตนเอง ไม่ประทุษร้ายความไม่ประมาทของตนเองจนความประมาทเกิดขึ้น ถ้าถือหลักอย่างนี้ มันก็ไม่ไปเป็นทนายแก้ตัว ให้ยกเว้นนั่น ยกเว้นนี่ นั่นทำได้ นี่ทำได้ แต่ถ้าเราถือหลักอย่างนี้ว่า ไม่ประทุษร้ายสติสมประดีของตัวแล้ว เราก็จะขยายขอบเขตออกไปได้ถึงกับว่า แม้ว่าไปดูหนังดูละคร มันก็ผิดศีลข้อนี้ เพราะว่ามันทำให้สติสมประดีเสียไป ไม่ต้องกินเหล้า กินยายาเสพติดอะไร แม้แต่ไปบ้าเรื่องหนังเรื่องละคร บ้าอบายมุขใดๆ ก็ตามมันก็สูญเสียสติสมประดีในข้อนี้แล้ว ศีลของเรามันก็กว้างไปหมด ไม่ประทุษร้ายสติสมประดีของตนแต่ประการใด ทีนี่พวกที่มันศึกษาศีลเพื่อจะเป็นทนายแก้ตัวให้ตัวเอง มันก็ว่าไม่เป็นไรไปดูหนังดูละครบ้าหัวหกก้นขวิดอย่างไรก็ไม่ผิดศีลข้อไหนในศีล ๕ ข้อเหล่านี้ แต่อาตมาพูดว่า อย่าไปทำสิ่งที่ทำให้เสียสติสมประดีโดยประการใดๆ จึงจะไม่ผิดศีลข้อที่ ๕ นี่แหละ คือ ขอให้รู้สึกว่า เรามีความซื่อตรงต่อตัวเองในการที่จะรักษาศีลไม่หลอกลวงตัวเอง คอยแก้ตัวให้แก่ตัวเองเป็นทนายแก้ต่าง อย่าไปหลอกยมบาลเลย เขามันฉลาดกว่า เราเป็นคนซื่อตรงดีกว่า อย่าไปคิดว่าจะตบตาพวกยมบาล ถ้ามันความศักดิ์สิทธิ์เกินไปอะไรเกินไปที่จะไปหลอกมันได้ คือมันเป็นเรื่องกฎแห่งกรรม เป็นพระเจ้าที่แท้จริง ใครจะหลอกไม่ได้ ใครจะตบตาไม่ได้ ขอให้กลัวมากๆ อย่างนี้หิริโอตตัปปะปะก็จะสมบูรณ์ แล้วเราก็จะมีศีล ความมีศีลของเราก็จะเป็นไปในทางเป็นศีลบารมี เพิ่มขึ้นๆ หนักแน่น แน่นเฟ้นยิ่งขึ้น จนมีศีลเป็นปกติทำผิดศีลไม่ได้โดยอัตโนมัติเช่นเดียวกับการประทำของพระอรหันต์ ท่านมีศีลโดยปกติไม่ต้องระวังสังวรอะไรอีกต่อไปก็ไม่มีทางที่จะผิดศีลได้ เพราะมีธรรมะเพียงพอ มีศีลที่ธรรมะประคับประคองไว้เพียงพอ มีศีลเป็นปกติ มีศีลเป็นอัตโนมัติ นี่ศีลของพระอรหันต์ถึงขีดสูงสุดอย่างนี้ ส่วนศีลของบุคคลที่รองๆ ลงมากระทั่งถึงปุถุชนนั้น มันไม่เป็นอย่างนั้น มันมีกิเลสฝ่ายอนุสัยที่จะเอียงลงไปหาความทุศีลมันยังมากอยู่ นั้นมันเผลอไม่ได้ มันก็หล่นลงไปหาความทุศีล นี่คือ ความที่ไม่มีศีลโดยแท้จริง คือ ไม่มีอริยกันตศีล ที่เรียกว่า ศีลชนิดที่พระอริยะเจ้าชอบใจ ไม่ด่าง ไม่ทะลุ ไม่พร้อย เป็นไทแก่กิเลสตันหา ไม่ถูกตันหาและทิฐิลูบคลำเป็นไปเพื่อสมาธิได้โดยง่าย ศีลที่แท้จริง ที่สมบูรณ์ ที่จะเป็นที่พึ่งได้ มันต้องอย่างนี้ ศีลอย่างนี้เท่านั้นที่จะได้ในบทว่า ศีลเลนิพพุทธติงยันติ ไปถึงนิพพานได้เพราะศีล ขอให้คิดดูว่า ศีลอย่างนี้มันไปนิพพานได้หรือไม่ มันไม่เป็นทาสของตันหาและทิฐิ ตันหาและทิฐิมันไม่ลูบคลำได้ มันเป็นรากฐานแห่งสมาธิ ศีลชนิดนี่ก็เป็นไปเพื่อนิพพาน นั้นอย่าเข้าใจว่า ศีลเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ มันก็เป็นไปเพื่อนิพพานได้เหมือนกัน ขอให้ตั้งหน้าหวังศีลที่จะเป็นประโยชน์แก่การลุถึงพระนิพพานด้วยอาการอย่างนี้ รีบทำตนให้เป็นผู้มีศีลเป็นปกตินิสัยเถิด ก็จะหมดปัญหาเกี่ยวกับศีล ละเว้นอนุสัยแห่งความทุศีลเสียและก็เพิ่มอุปนิสัยหรือบารมีในฝ่ายที่ทำให้มีศีลทำอยู่อย่างนี้เรื่อยๆ ไปไม่เท่าไหร่ก็จะมีศีลเป็นปกติ เหมือนคนที่เรียนหนังสือมากแล้วไม่ต้องว่า ก ข ก กา กะ กา กิ กี เรียนเลขมากแล้วไม่ต้องท่องสองหนึ่งเป็นสอง สองสองเป็นสี่ มันก็มีความรู้เหล่านั้นได้อย่างกับเหมือนกับว่า ปาฏิหาริย์ คือ ได้อย่างใจไปเสียทุกอย่าง นี่วันนี้ก็พูดหลายหนแล้วว่า ปีหนึ่งจะชำระสะสางปัญหาที่คาราคาซังให้ก้าวหน้าให้ดียิ่งๆ ขึ้นไปทุกๆ ปี ทุกๆ วันวิสาขบูชา เพื่อเป็นเครื่องบูชาคุณพระศาสดาว่า เราเป็นสาวกที่ไม่เหลวไหล นี้เป็นสาวกที่ก้าวหน้าไปตามหนทางแห่งพระศาสนาของสมเด็จพระบรมศาสดานั้นอยู่อย่างไม่หยุดยั้ง
เดี๋ยวนี้วันนี้ก็เห็นได้ว่า พยายามกันมากพยายามอะไรที่เป็นการก้าวหน้า แต่ขอให้เป็นการก้าวหน้าจริงเถิด โดยเฉพาะเรื่องศีลนั้นมันมีอยู่อย่างนี้ ขอให้พยายามทำให้ศีลเป็นศีล ทำให้ศีลมีความเจริญงอกงามก้าวหน้าไปตามวิถีทางของศีล เมื่อก้าวหน้าจนสุดเขตของศีลแล้ว มันก็เป็นสมาธิสังวัตตนิกานิ จะเป็นไปเพื่อสมาธิแล้วก็ทำสมาธิให้สุดเขตของสมาธิเถิด มันก็จะเกิดปัญญามองเห็นสิ่งทั้งหลายทั้งปวงตามที่เป็นจริง อย่างที่ท่านกล่าวว่าเมื่อจิตเป็นสมาธิแล้ว ย่อมเห็นสิ่งทั้งปวงตามที่เป็นจริง ทีนี้จะก้าวหน้าจากศีลไปสู่สมาธิได้อย่างไร จะก้าวหน้าจากสมาธิไปสู่ปัญญาได้อย่างไร ก็ขอให้ช่วยกันศึกษาพิจารณาค้นคว้าพยายามต่อไป ให้สมกับที่ว่าเราตั้งใจจะก้าวหน้าในทางของศีล สมาธิและปัญญา ในขึ้นนี้เราพูดถึงเรื่องศีลเสียเวลาไป ๒ ชั่วโมงกว่า ก็ไม่ค่อยได้รู้เรื่องราวอะไรเกี่ยวกับเรื่องศีล เพราะมันพูดมากนัก มันพูดเอาใจความสำคัญไม่ได้ นี่เป็นสิ่งที่จะต้องนึกไว้ สำนึกไว้ว่าเรากำลังใช้เวลาพร่ำเพรื่อ พูดอะไรเป็นน้ำท่วมทุ่งเสียโดยมาก ไม่ค่อยจะได้ใจความที่สำคัญ ควรจะถือว่า เป็นความผิดพลาดอย่างหนึ่งด้วยเหมือนกันรีบแก้ไขเสีย เราเคยชินแต่พูดให้มันมากคำพูด ไม่เคยชินในการที่จะพูดให้มันกะทัดรัดและเอาแต่ใจความ บอกให้สรุป เดี๋ยวนี้มันก็พูดมากกว่าคนพูดทีแรกแล้วมันจะเป็นการสรุปได้อย่างไร นี่เป็นการบกพร่องเรื่อยๆ มาจนเกือบจะเป็นอนุสัยเสียแล้ว อนุสัยแห่งการที่ไม่จับจุดใจความสำคัญของเรื่องนั้นให้ได้ มันก็พล่ามไปอย่างนี้ นี่เดี๋ยวนี้มาปรึกษากันจริงๆ ก็พูดกันจริงๆ ไม่ต้องเกรงใจแล้ว อาตมานี่ชักจะบ้าบิ่นแล้ว คือว่า เกรงใจคนไม่ค่อยจะเป็นยิ่งขึ้นทุกที ถ้ามันจะไม่น่าฟังก็ตามใจ แต่เดี๋ยวนี้ก็พูดไปด้วยความหวังดีว่า เราควรจะก้าวหน้าให้ทันแก่เวลา เรื่องศีลนี้มันจำเป็นทั้งส่วนบุคคลและส่วนสังคม ว่าโดยที่แท้แล้วศีลมันเกิดขึ้นมาก็เพราะมันเป็นปัญหาทางสังคม ปัญหานั้นบีบคั้นทำให้อยู่เฉยๆ ไม่ได้ จึงต้องทำให้มีศีล บัญญัติศีลขึ้นมาเพื่อจะแก้ปัญหาทางสังคมเป็นส่วนใหญ่ ขอให้ไปดูเถอะเรื่องศีลเรื่องวินัยนี้จะเป็นปัญหาเกี่ยวกับสังคมทั้งนั้น คือมันเกี่ยวกับบุคคลที่ ๒ เข้ามาเกี่ยวข้อง ถ้าอยู่คนเดียว มันไม่เกิดปัญหาเหล่านี้ศีลเหล่านี้มันก็ไม่ต้องมี สมมติว่าเราอยู่คนเดียวได้มันก็ไม่ต้องมีเรื่องปาณาติปาตา อทินนาทาน กาเมสุมิจฉาจาที่ไหนเพราะมันอยู่คนเดียว แต่เพราะเหตุที่มันไม่อยู่คนเดียว มันอยู่กันเป็นสังคม มันก็ต้องมีศีล ต้องถือว่าศีลนี้คู่กันมากับสังคมอย่างจำเป็น ถ้าถามว่าศีลนี่สำคัญแก่สังคมอย่างไรจะต้องเรียกว่า คนบ้า มันไม่รู้ว่าศีลนั้นคืออะไรเกี่ยวข้องกันมากับสังคมอย่างไร เช่นว่า เรื่องคนเดียวซะอีกที่จะต้องมีปัญหาถามว่ามันมีความสำคัญแก่คนเดียวอย่างไร คนเดียวก็มีความสำคัญ ลองไปประพฤติผิดล่วงศีลทางสังคมเข้า มันก็จะอยู่ด้วยความมีภัยมีเวรนอนตาไม่หลับ มันจะเป็นโรคประสาทแล้วมันจะบ้าและมันจะตาย นั้นศีลก็คุ้มครองบุคคลคนเดียวนั้นไว้ได้ไม่ต้องมีเวร มีภัย ไม่ต้องอยู่ด้วยความหวาดระแวงจนเป็นโรคจิต เรามองอานิสงส์ของศีลให้เห็นถึงอย่างนี้แล้วเราก็จะชอบศีล จะรักศีล จะรักความมีศีล เมื่อสิ่งใดถ้ามันหลงรักแล้วมันง่าย ถ้าลองมันไม่ชอบแล้วมันยาก ความง่ายมันอยู่ที่ความรัก ความพอใจ รีบทำให้เห็นประโยชน์เห็นอานิสงส์ของศีลแล้วก็จะรักศีล มันก็จะง่ายในการที่จะมีศีล ข้อเท็จจริงของธรรมชาติมันมีอยู่อย่างนี้ เราก็ไม่อาจจะทำให้ผิดไปจากข้อเท็จจริงของธรรมชาติได้ แต่เราก็ต้องการความสงบสุขโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับตัวเรา แม้เราจะใจแคบจะใจจืดไม่นึกถึงสังคม นึกถึงประโยชน์แห่งตัวเราแล้ว มันก็ยังต้องระมัดระวังมาก ต้องกระทำให้ดีที่สุดในการที่จะมีศีล และมีสมาธิ และมีปัญญา ถ้าความหมายคำว่า ศีลหมายถึงความปกติแล้ว คำว่าศีลนี้จะคลุมไปถึงสมาธิและปัญญา และยังคลุมไปถึงผลของศีล ของศีลสมาธิ ปัญญาคือการบรรลุมรรคผลนิพพานด้วย สมาธิและปัญญาก็คือเครื่องทำความปกติให้แก่จิตใจ ได้ความปกติมาเป็นมรรคผลนิพพานนั้น มันก็ยิ่งเป็นตัวศีล เป็นเนื้อหาสาระของศีลเป็นหัวใจของศีล นั่นคือ สิ่งที่เราจะได้ เช่นว่า เงินทองมันเป็นหัวใจของการทำงาน ถ้าเราทำการงานแล้วไม่ได้เงินทองเราจะทำไปทำไม เมื่อพูดถึงการงาน มันควรจะเล็งถึงผลที่จะได้รับจากการงานต่างหาก ที่มันช่วยให้เราอยากทำการงาน ถ้าเราจะมีศีลคือ มีความเป็นปกติแล้วก็จะต้องนึกถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่จะช่วยให้เกิดความปกติ โดยสรุปแล้วนั้นก็คือศีล สมาธิ ปัญญา หรือไตรสิกขา นี้เป็นสิ่งที่จะช่วยให้เกิดความปกติตามความหมายของคำว่าศีล ครั้นได้ความปกติอันนั้นมาแล้ว เราก็มาบัญญัติระดับของความปกตินั้นอีกทีหนึ่งว่าเป็นระดับ มรรค ผลและนิพพาน นิพพาน คือ ยอดสุดของปกติ ไม่มีอะไรจะปกติเท่าพระนิพพาน เรียกว่าพระนิพพานก็เป็นศีล คนที่เขาเคยติดตัวหนังสือเขาไม่ยอม เขาว่า พูดอย่างนี้มันบ้าแล้ว มันพูดเอาเองแล้วที่พูดว่า นิพพานเป็นศีล นิพพานเป็นศีลในฐานะที่เป็นตัวผล คือเป็นตัวความสงบสูงสุดตามความหมายของคำว่าศีล ดังนั้นขอให้เข้าใจคำว่าศีลที่กว้างขวางอย่างนี้ คำว่าศีลในความหมายในทางธรรม ทางธรรมะนั้นก็อย่างหนึ่ง คำว่าศีลตามความหมายในทางวินัยนั้นก็อย่างหนึ่ง พระศาสนานี้มันมีอยู่เป็น ๒ ซีก คือธรรมะและเป็นวินัย เรื่องธรรมะนั้นเป็นเรื่องชี้ทางให้ประพฤติปฏิบัติให้ก้าวหน้ายิ่งๆ ขึ้นไปโดยไม่ต้องบังคับ เพราะมันเป็นชั้นสูงขึ้นไป ส่วนศีลในความหมายของวินัยนี้จะต้องบังคับ ถ้าไม่มีใครบังคับ ธรรมชาติบังคับ ความทุกข์บังคับ หรืออะไรมันบังคับ หรือว่าสังคมบังคับ หรือบางทีคนที่อยู่ร่วมกันมันบังคับ ไม่มีศีลไม่ได้มันเกิดเรื่อง วินัยในชั้นนี้ต้องเป็นเรื่องของการบังคับ แต่ถ้าเป็นเรื่องของธรรมะแล้วก็ไม่บังคับเป็นเรื่องของการปล่อยอิสระหรือว่าส่งเสริมตามความพอใจ พระศาสนาทั้งหมดแบ่งเป็น ๒ ซีก คือ ซีกพระธรรมและซีกพระวินัยมันก็มีอยู่อย่างนี้เอง ขอให้จำไว้ให้ดีว่า คำๆหนึ่งในทางพระศาสนานั้น เมื่อเป็นตัวศาสนาแล้วผ่าออกได้เป็น ๒ ซีกเสมอ ซีกหนึ่งมีความหมายตามทางของพระธรรม ซีกหนึ่งมีความหมายไปตามทางของพระวินัย แม้แต่พระไตรปิฎกนี้ที่เป็นพระสุตันตปิฏกและอธิธรรมปิฏกนี้เราเรียกว่า พระธรรม ส่วนที่เป็นวินัยปิฎกนั้นเราเรียกว่า วินัย มันก็มีอยู่ ๒ อย่างๆ นี้ เรื่องที่เป็นระเบียบบังคับเขาเรียกว่า วินัย เรื่องที่ปล่อยให้เลือกเอาเพื่อความเจริญก้าวหน้ายิ่งๆ ขึ้นไปก็เรียกว่า พระธรรม โดยปกติที่เราเป็นอยู่ๆ กัน มันก็มีอยู่อย่างนี้ ที่เราอยู่กันเป็นบ้านเป็นเรือนเป็นอันนี้มันก็มีกฎเกณฑ์อยู่ ๒ ระดับ คือ ระดับที่ต้องบังคับให้ทำ ระดับที่ไม่บังคับก็แต่ว่า ก็ยุยงส่งเสริมให้ทำ เหมือนว่าเรามีลูกมีหลานเราจะปกครองเขาอย่างไร มันก็เป็นการอาศัยหลัก ๒ ประการนี้ ส่วนหนึ่งเราต้องบังคับให้ทำ เด็กๆ ต้องทำ อีกส่วนเราไม่ได้บังคับเพียงแต่ส่งเสริมให้เขาทำให้อิสระสำหรับเขาจะทำ มันก็มีอยู่ ๒ อย่างๆ นี้เสมอ ซึ่งมันเป็นหลักของพระศาสนาจะไปใช้ที่ไหนมันก็มีอยู่อย่างนี้ เดี๋ยวนี้เราจะมีศีลในแบบไหนกัน มีศีลในแบบที่จะทำให้เป็นไปตามอิสระ มีศีลโดยปกติอาศัยธรรมะเป็นเครื่องประกอบนี้มันก็มีอยู่ส่วนหนึ่ง คือ มีศีลในแง่ของธรรม ที่นี้ส่วนหนึ่งก็มีศีลในแง่ของวินัยที่จะต้องบังคับให้ทำ ใครจะเป็นคนบังคับก็ผู้ออกวินัยเป็นผู้บังคับ อย่างในพระศานานี้พระพุทธเจ้าท่านทรงบังคับ หรือจะเรียกว่าความจำเป็นอย่างอื่นมันบังคับก็ได้ แต่มันต้องเป็นเรื่องบังคับจึงจะเรียกว่าวินัย ถ้าเป็นเรื่องชี้ชวนชักจูงให้ทำมันก้าวหน้ายิ่งๆ ขึ้นไปก็เป็นเรื่องของพระธรรม เราจึงมีชีวิตอยู่ด้วยสิ่งทั้ง ๒ นี้ คือพระธรรมและพระวินัย สิ่งใดที่บังคับให้ต้องทำก็เรียกว่า นัย สิ่งใดที่ทำได้ด้วยอิสระสบายใจเราก็เรียกว่า พระธรรม เมื่อมีทั้งพระธรรมและทั้งพระวินัยแล้วย่อมมีความก้าวหน้าไปตามทางแห่งพระศาสนาของสมเด็จพระบรมศาสดาโดยไม่ต้องสงสัยเลย จะมีศีลก็ขอให้มีทางธรรมะและวินัย จะมีสมาธิก็ขอให้มีทั้งทางธรรมะและวินัย จะมีปัญญาขอให้มีทั้งในทางธรรมะและวินัย มันจะต้องควบคู่กันไปอย่างนี้ มาตรฐานใดที่เป็นการบังคับให้ทำมันก็เป็นวินัยไป มาตรการใดเป็นเพียงการปล่อยให้ทำไปโดยอิสระมันก็เป็นพระธรรมไป มันขาดไม่ได้มันจะต้องเคียงคู่กันไปในลักษณะอย่างนี้ คือ ต้องเคียงคู่กันไปในลักษณะอย่างนี้ คือเรามีพระธรรมและพระวินัย บางคนเขาชอบเปรียบเทียบด้วยคำพูดธรรมดาๆ ว่า ต้องมีทั้งการสั่งและการสอน การสั่งนั้นเป็นวินัย การสอนนั้นเป็นพระธรรม เราอยู่ในโลกนี้อยู่ด้วยกันโดยมีทั้งคำสั่งและคำสอน คือ คำชี้แนะ ก็ลองดูที่เรากระทำกับเพื่อนของเรากับลูกเด็กๆ ลูกหลานของเรามันก็มีอย่างนี้จริงๆ นั้นมันเป็นเรื่องบ้านๆ เรือน ทีนี้เป็นเรื่องธรรมะ เรื่องศาสนา เรื่องจะบรรลุมรรคผลนิพพาน มันก็มีอย่างนี้ ในพระศาสนานี้จึงมีทั้งทางธรรมและทางวินัย เมื่อเราจะมาเรียนให้เข้าใจ เราก็ต้องแยกแยะดูให้ดีว่า ส่วนไหนเป็นส่วนธรรม ส่วนไหนเป็นส่วนวินัย ทีนี้ถ้าเราจะยืมระบบฝ่ายศาสนานั้นมาใช้กับบ้านเรือนทางโลกๆ เราก็ต้องรักษาหลักการอันเดิม คือ มีทั้งธรรมและทั้งวินัย มันจึงจะไปด้วยกันได้ หลักเกณฑ์มันก็มีอยู่อย่างนี้ ขอให้ท่านทั้งหลายกระทำแก่ตนเอง ถ้าพูดให้ง่ายก็กระทำแก่จิตใจ บังคับจิตใจให้ไปตามร่องรอยของธรรมะและวินัยมันจึงจะครบถ้วนและสมบูรณ์ บางทีเรามันก็ต้องบังคับ บางทีเราก็ปลอบก็เชื้อเชิญ มันมีอยู่อย่างนี้จะบังคับท่าเดียวก็ไม่ได้ จะไม่บังคับซะเลยก็ไม่ได้ มันก็ต้องทำให้ถูกต้องตามเรื่องของธรรมชาติแห่งจิตใจ มันเป็นอย่างนี้ จิตใจมันควบคุมกาย วาจาทีหนึ่ง ทั้งหมดนั้นมันอยู่ภายใต้การควบคุมของสติปัญญาอีกทีหนึ่ง เบื้องบนเรามีสติปัญญาควบคุมกาย วาจาและใจ อยู่ในเบื้องล่างให้กาย วาจา ใจเป็นไปถูกทาง ในเรื่องของมนุษย์มันก็จะไม่มีปัญหา ศีล สมาธิ ปัญญาก็สมบูรณ์เพราะเหตุนั้น ความสำคัญสูงสุดมันอยู่ที่มีสัมมาทิฐิ คือมีปัญญา มีความรู้ที่ถูกต้องและเพียงพอ ให้สนใจปัญญาสัมมาทิฐินี้กันให้มาก ถ้าเรามีปัญญาหรือมีสัมมาทิฐิแล้วก็จะลากจูงทุกสิ่งไปอย่างถูกต้องและรวดเร็ว มีปัญญาแล้วก็จะทำให้ศีลและสมาธิเป็นไปได้โดยง่าย เมื่อมีศีล สมาธิ ปัญญา เมื่อว่ามีศีลและสมาธิแล้ว ปัญญาก็จะเจริญงอกงามได้โดยง่าย ถ้อยทีถ้อยอาศัยซึ่งกันและกันอย่างนี้ นี่เรามักจะทำเพียงครึ่งๆ กลางๆ หรือไม่ครบถ้วน ไม่ทำให้มีการถ้อยทีถ้อยอาศัยกันอย่างนี้ ความเจริญงอกงามตามทางของพระศาสนานั้น มันจึงติดขัดไม่เป็นไปอย่างที่ควรจะเป็น อาตมาจึงพูดเหมือนกับเตือนอยู่เสมอว่า ขอให้ส่งเสริมสติปัญญาให้มีความเจริญงอกงามก้าวหน้า ตามทางแห่งพระศาสนาของสมเด็จพระบรมศาสดากว่าจะยุติลงด้วยเวลา
ในการพูดกันเป็นครั้งที่ ๒ นี้ก็พูดเรื่องศีล แต่ได้พูดขยายความออกไปถึงเรื่องสมมุติฐานของศีล ถึงวิธีการที่จะสะสมศีลบารมี พอกพูนอุปนิสัยแห่งการมีศีล ขอให้ท่านทั้งหลายจงเข้าใจเรื่องนี้ และระมัดระวังให้มาก ด้วยทำลายยุ้งฉางของฝ่ายอนุสัยเสีย ความเคยชินที่จะเป็นไปในทางต่ำทางทุศีลนั่น มันก็ได้สะสมไว้มากเหมือนกับยุ้งฉางเหมือนกัน รีบทำลายยุ้งฉางส่วนนี้เสียแล้วก็มาสร้างยุ้งฉางฝ่ายที่เป็นอุปนิสัยหรือบารมีให้มันมากขึ้น สิ่งที่เรียกว่าบารมีนั้นไม่ได้ทำไว้สำหรับพระพุทธเจ้าอย่างเดียวพวกเดียวทำไว้สำหรับพวกเราด้วย มันเป็นบารมีสำหรับพวกเราที่เป็นสาวก เป็นบารมีชั้นสาวก ก็ขอให้ทำให้เต็มเถิดแล้วมันก็มีรูปร่างคล้ายๆ กัน ต้องมีทาน มีศีล มีปัญญา มีสัจจะ มีเมตตา มีอธิษฐานะ สะสมไว้เป็นบารมี ส่วนฝ่ายที่ตรงกันข้ามนั้นทำลายป้องกันเสีย อย่าให้มันสะสมขึ้นมาได้ อย่าให้มันตั้งตัวติดนี้จึงเรียกว่า รีบพยายามทำลายสิ่งที่เรียกว่าอนุสัยเสียและก็มาสร้างฝ่ายที่เรียกว่าอุปนิสัยหรือบารมีดังที่กล่าวแล้ว ขอให้รู้จักสิ่งที่เรียกว่าอนุสัยที่ได้สะสมไว้มากและกำลังจะสะสมเพิ่มเติมอยู่ทุกวันๆ ถ้าโลภขึ้นมาอีกทีก็เพิ่มอนุสัยโลภ ถ้าโกรธขึ้นมาอีกทีก็เริ่มอนุสัยโกรธ โง่มาอีกทีก็สะสมอนุสัยโง่ เกิดตัวกูของกูขึ้นมาอีกทีก็สะสมอนุสัยตัวกูของกู ทำไมไม่รู้จักกลัวกันเสียบ้าง อนุสัยนี้มันเป็นความเคยชินจนพร้อมที่จะเกิด เกิดไว เกิดเร็วยิ่งกว่าสายฟ้าแลบ ดังนั้นเราจึงโลภได้เร็วเหมือนสายฟ้าแลบ เราจึงโกรธได้เร็วเหมือนสายฟ้าแลบ เราจึงหลงได้เร็วเหมือนสายฟ้าแลบ เราจึงเกิดตัวกูของกูได้เร็วเหมือนสายฟ้าแลบเพราะว่ามันสะสมไว้อย่างหนักแน่นหรืออัดตัวกันมากพร้อมที่จะปรี่ไหลออกมา เมื่ออนุสัยไหลปรี่ออกมานี่เราเรียกว่า อาสวะ มันก็ออกเป็นความโลภ ความโกรธอะไรชั้นหลังๆ คราวหลังๆ ถ้าไม่มีอนุสัยแล้วจะเอาอาสวะไหนมาไหล ยิ่งต้องทำลายอนุสัยก็ไม่มีอาสวะที่จะไหล อนุสัยที่มันความเคยชินมากเข้า มันกดดัน มันดันจนปรี่ที่จะไหลออกมาเปรียบเทียบเหมือนกับว่าตุ่มน้ำใหญ่ๆ ใส่น้ำเต็ม มีรูรั่วสักนิด มันก็จะพุ่งจี๊ดออกมาเพราะความดัน มันมีมาก อนุสัยนี้ก็เหมือนกันเมื่อมันมีมากขนานนั้นสันดานแล้ว มันก็จะไหลออกมาเป็นอาสวะ ทุกคราวที่มีอารมณ์ สำหรับกิเลสนั้นๆ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย มันมากเหลือเกิน อาสวะมันก็จะไหลออกมาเลอะนองสกปรกไปหมด ก็ทำลายยุ้งฉางแห่งอาสวะเสีย คือ ทำลายอนุสัยนั่นเอง ทำลายโดยวิธีใดก็โดยวิธีอย่าไปทำซ้ำเข้าอีก ระวังอย่าให้มันโลภโกรธหลงซ้ำๆ เข้าอีก อนุสัยมันก็จะค่อยเบาบางแล้วมาเพิ่มทางฝ่ายตรงกันข้าม คือ อุปนิสัยแห่งการไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง ไม่มีตัวกูของกู นี่เพิ่มให้มันมากเข้ามันก็ไปอยู่กับฝ่ายนี้หมดก็เป็นไปตามทางที่สิ้นกิเลสและดับทุกข์ได้ ทั้งหมดนี้มันเป็นเรื่องในตัวของเราในชีวิตประจำวันของเราแท้ๆ วันนี้ได้สร้างอนุสัยอะไรบ้างก็ จงใคร่ครวญดู วันนี้ได้เพิ่มอุปนิสัยของธรรมะอะไรบ้างก็ได้พิจารณาดู มีสติสัมปชัญญะตรวจสอบอยู่เสมอ ก็จะเจริญงอกงามก้าวหน้าไปตามหนทางแห่งพระศาสนาของสมเด็จพระบรมศาสดาได้ตามความประสงค์เป็นแน่นอน วันนี้ก็จะขอเพิ่มคำว่าอนุสัยกับอุปนิสัยให้เป็นของคู่กัน จำเอาไปเป็นของขวัญสำหรับไปจัดการให้ถูกต้องเกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่าอนุสัยและอุปนิสัยนั้น จงด้วยกันทุกคนจะเป็นการได้ชื่อว่า ปฏิบัติตรงตามคำสอนของสมเด็จพระบรมศาสดาที่ได้ทรงมีไว้สำหรับจะช่วยสัตว์ให้รอดจากความทุกข์ ละฝ่ายที่ควรจะละ และก็เพิ่มเติมส่งเสริมฝ่ายที่ควรจะมี ก็รักษาที่มันถูกควรที่ควรจะมีไว้ให้มันมากแล้วไม่เท่าไหร่ เราก็จะเป็นคนมีศีลเป็นปกติ มีสมาธิเป็นปกติ มีปัญญาเป็นปกติแล้วมันจะสบายสักเท่าไหร่ มีศีลเป็นปกติ มันขาดศีลไม่ได้โดยอัตโนมัติ มีสมาธิเป็นปกติ มันมีจิตเป็นสมาธิได้โดยอัตโนมัติ มีปัญญาเป็นปกติ มันก็รู้ในทางที่ถูกต้อง ทำอะไรถูกต้องได้โดยอัตโนมัติแล้วมันจะสบายสักเท่าไหร่ มีศีล สมาธิ ปัญญาได้โดยอัตโนมัตินี่ มันจะเป็นบุญกุศลสักเท่าไหร่ มันเป็นความประเสริฐสำหรับมนุษย์ได้สิ่งที่ดีที่สุดสักเท่าไหร่
ดังนั้นขอให้พยายามกระทำไปๆ จนเป็นผู้มีศีลเป็นปกติ มีสมาธิเป็นปกติ มีปัญญาเป็นปกติ อย่ามีเหมือนกับลูกเด็กๆ ที่ยังต้องท่อง ก ข ก กา ท่องสูตรคูณอยู่อีกต่อไปเลย นี่คือ หนทางแห่งความก้าวหน้าในพระศาสนาโดยอาศัยหลักที่เรียกกันว่า ศีล สมาธิ ปัญญา ดังที่ได้วิสัชนามาพอสมควรแก่เวลา ๑ ชั่วโมงแล้ว ขอยุติธรรมเทศนาไว้แต่เพียงเท่านี้