แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านสาธุชนผู้มีความสนใจในการทำบุญแบบล้ออายุทั้งหลาย การบรรยายในครั้งที่ ๓ นี้ จะได้กล่าวโดยหัวข้อว่า “การดึงเพื่อนมนุษย์ ออกมาเสียจากอำนาจของวัตถุนิยม” ซึ่งเป็นปณิธานข้อที่ ๓ ของอาตมา เมื่อได้ปรารภความประสงค์อันนี้ขึ้นมา ก็มีบางคนสั่นหัวเห็นว่าเป็นสิ่งที่เหลือวิสัย คล้ายกับว่าอาตมาบ้าทำไปคนเดียว นี่คือ ข้อที่ควรจะล้อหรือน่าล้อ เพราะไปทำในสิ่งที่ไม่มีใครเห็นด้วยว่า มันจะทำได้ ที่จริงมันก็เป็นอย่างนั้นอยู่มาก แต่เนื่องจากไม่มีอะไรที่จะทำให้ดีไปกว่านี้ได้ หรือปัญหามันมีอยู่ที่ตรงนี้จะไปทำอย่างอื่น ที่อื่นได้อย่างไร จึงได้สมัครใจให้คนเขาล้อกันทั้งบ้านทั้งเมืองว่า การที่จะดึงเพื่อนมนุษย์ออกมาเสียจากอำนาจของวัตถุนิยมนี้มันเป็นเรื่องบ้าหลัง ไม่มีทางที่จะสำเร็จได้ แต่อาตมาก็ยังคิดว่าจะทำ คิดแล้วคิดเล่า คิดไม่รู้กี่สิบครั้งมันก็ยังบอกว่าจะต้องทำ ทั้งนี้เพราะว่ามันเกี่ยวเนื่องกันอยู่หลายอย่างหลายประการ มองดูในแง่ธรรมดาสามัญทั่วๆ ไป มันก็ต้องทำ เพราะว่าข้อนี้มันเป็นอันตรายโดยแท้จริง ในเมื่อกล่าวโดยหลักของพุทธศาสนา มันก็เป็นการผิดหลักของพุทธศาสนาจะต้องช่วยกันปรับปรุงแก้ไขให้ถูกต้อง ความยากลำบากในเรื่องนี้เปรียบแล้วมันก็เหมือนกับที่จะชวนอูฐรอดรูเข็ม นี่สำนวนฝ่ายตะวันตก หรือสำนวนบ้านเราก็ว่ามันเหมือนกับไสช้างให้รอดรูเข็ม นี่หมายถึงการชักชวนให้เขาละเสียจากวัตถุนิยม ถ้าว่าเป็นการบังคับหรือเป็นการดึง มันก็จะพอๆ กันกับการดึงอ้อยออกมาจากปากช้าง ครั้งหนึ่งเคยลองดูที่ทิมแลนด์ เมื่อยื่นอ้อยให้แล้วเคี้ยวอยู่แล้วก็ดึงออกมา มันก็ไม่ไหวจริงๆ เหมือนกันในการที่จะดึงอ้อยออกมาจากปากช้าง นี้หมายความว่าการจะดึงความหลงใหลในวัตถุนิยมออกมาเสียจากจิตใจของคนสมัยนี้นั้นมันก็เหมือนกับว่าดึงอ้อยจากปากช้าง ถ้าเป็นการชักชวน มันก็เหมือนกับชวนช้างให้รอดรูเข็ม มันจะลำบากกี่มากน้อยก็ขอให้ลองคิดดู ดังที่ได้กล่าวแล้วว่ามันจะลำบากยุ่งยากเท่าไร มันก็ต้องตั้งใจทำให้จนได้ เพื่อให้สมกับความหมายของคำว่าผู้รับใช้พระพุทธองค์ สิ่งใดที่มองดูด้วยสติปัญญาของตนแล้วเห็นว่าเป็นพระพุทธประสงค์ สิ่งนั้นก็จะต้องทำให้ได้ มันก็มีความหมายอยู่ว่า ได้หรือตาย ถ้าไม่ได้ก็ทำจนตาย หรือมิฉะนั้นมันก็ต้องได้ แม้จะได้บ้างเล็กๆ น้อยๆ ก็ยังเรียกว่าได้อยู่นั่นเอง มันดีกว่าไม่ทำเสียเลย ข้อที่ควรจะถูกล้อนี้ จึงนำเอามาปรารภกับท่านทั้งหลาย เรื่องวัตถุนิยมนี้เคยพูดมาหลายครั้งแล้ว บางคนก็จะฟังจนเบื่อแล้วก็ได้ แต่มันเป็นเรื่องที่ไม่ควรจะเบื่อ เพราะเป็นเรื่องที่เป็นหน้าที่ของพุทธบริษัทในแง่ที่จะช่วยส่งเสริมพระศาสนาก็ดี ในแง่ที่จะช่วยมนุษย์ในโลกนี้ก็ดี ในแง่ที่จะประพฤติปฏิบัติธรรมะก็ดี ล้วนแต่จะต้องเผชิญหน้ากับสิ่งที่เรียกว่า วัตถุนิยมนี้ด้วยกันทั้งนั้น ในความหมายง่ายๆ แรกๆ คำๆ นี้ก็หมายถึง ความหลงใหลในรสของวัตถุ ในความหมายที่สูงไปกว่านั้น ก็คือ รู้จักแต่วัตถุ ถือเอาวัตถุเป็นหลักเป็นเกณฑ์ในการศึกษาค้นคว้า ในการเป็นอยู่ หรือจะมีวิชาตำรับตำราอะไรก็อาศัยแต่เรื่องทางวัตถุ การค้นคว้าก็ระดมทุ่มเทกันแต่ในทางวัตถุ ในโลกปัจจุบันจึงเต็มไปด้วยความก้าวหน้าทางวัตถุ ความเป็นวัตถุนิยมมันก็มีมากขึ้นในโลกนี้เกินคาด โลกทั้งโลกมันก็ตกอยู่ใต้อำนาจของสิ่งๆ นี้ สิ่งๆ นี้ก็พาไปสู่อำนาจของกิเลส วัตถุนิยมครองโลก ก็หมายถึง กิเลสครองโลก เราจึงมีโลกที่ปกครองโดยกิเลส แล้วมันจะเป็นอย่างไรบ้างก็ลองคิดดูเอาเองก็แล้วกัน ความนิยมในรสของวัตถุนั่นมันเกี่ยวข้องกับหัวใจหรือหลักสำคัญของพระพุทธศาสนา ดังที่ท่านทั้งหลายก็ทราบอยู่แล้วเป็นอย่างดีว่า หัวใจของพุทธศาสนานั้น คือ มัชฌิมาปฏิปทา การดำรงอยู่ที่ตรงกลางไม่เอียงไปในทางของกามสุขัลลิกานุโยค คือประกอบตนพัวพันอยู่ในกามและไม่เอียงไปในทางอัตตกิลมถานุโยค คือ ทำความลำบากให้แก่ร่างกาย อย่าให้เป็นที่ตั้งของกิเลส ทั้งขึ้นทั้งล่อง มันก็ตกอยู่ใต้อำนาจของวัตถุนิยม เมื่อคนหลงใหลในวัตถุนิยม มันก็ตกไปในทางกามสุขัลลิกานุโยค ประกอบตนพัวพันอยู่ในกาม เมื่อละความนิยมในวัตถุไม่ได้ มันก็ไม่สามารถจะถอนตนออกมาจากกามสุขัลลิกานุโยคได้ อีกทางหนึ่งซึ่งมันตรงกันข้าม ก็คือ เป็นบุคคลที่เห็นแต่วัตถุเป็นใหญ่เป็นสำคัญจึงประกอบอัตตกิลมถานุโยค คือ ทำกายนี้ให้ลำบาก อย่าให้เป็นที่ตั้งของกิเลส ไม่มองเห็นว่า มันควรจะเป็นเรื่องของจิตใจก็มากลายเป็นเห็นเป็นเรื่องของร่างกาย จึงได้หลงทรมานร่างกาย มันก็เป็นความผิดพลาดอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งตรงกันข้าม รวมความแล้วก็ได้ความว่า กามสุขัลลิกานุโยค ก็เพราะอำนาจของวัตถุนิยม คือ นิยมในรสของวัตถุ ที่เป็นอัตตกิลมถานุโยค ก็เป็นอำนาจของวัตถุนิยม คือ รู้จักแต่เรื่องวัตถุหรือเรื่องร่างกาย ไม่มีความรู้ในเรื่องจิตเรื่องวิญญาณ จึงทำการทรมานกายอย่างที่ไร้ประโยชน์ นี่คือ ข้อที่อาตมากำลังกล่าวว่าการทำผิดในเรื่องของวัตถุนิยมนั้น มันกระทบกระเทือนถึงหัวใจของพระพุทธศาสนา กล่าวคือ มัชฌิมาปฏิปทา อันได้แก่อริยมรรค มีองค์ ๘ นั่นเอง อย่างนี้แล้วก็ลองคิดดูว่า มันเกี่ยวข้องกับพุทธบริษัทเราอย่างไร พุทธบริษัทควรจะถือเอาเป็นหน้าที่ที่จะต้องแก้ไขปรับปรุงพุทธบริษัทเองนั้นให้อยู่ในแนวทางที่ถูกต้อง การที่จะไปพยายามดึงกันออกมาเสียจากอำนาจของวัตถุนิยมจึงเป็นสิ่งที่ถูกต้อง มันจะเป็นความง่ายดายเป็นความสะดวกดายในการที่จะดำรงตนอยู่ในมัชฌิมาปฏิปทา เมื่อตั้งปัญหาถามขึ้นมาว่า พุทธศาสนานิยมอะไรหรือเป็นอะไรนิยม คือ ว่าเป็นวัตถุนิยมหรือว่าเป็นจิตนิยม ข้อนี้ก็เคยเข้าใจกันมาผิดๆ เกี่ยวกับการบัญญัติความหมายของถ้อยคำนั้น มันยังไม่ถูกต้อง เคยคิดกันว่า พุทธศาสนาไม่เป็นวัตถุนิยมแล้วก็เป็นจิตนิยมหรือมโนนิยม ถ้ามองกันอย่างนี้มันก็จะกลายเป็นสุดโต่งอีกข้างหนึ่ง คือ พุทธศาสนาจะนิยมอะไรโดยส่วนเดียวไม่ได้ เพราะมีหลักปรากฏอยู่แล้วว่าเป็น มัชฌิมาปฏิปทา คือ อยู่ตรงกลาง ดังนั้นพุทธศาสนาจึงไม่ใช่วัตถุนิยมและไม่ใช่จิตนิยม
เมื่อไม่ใช่ทั้งวัตถุนิยมและจิตนิยมแล้วจะเป็นอะไรนิยม ก็ต้องเรียกว่า เป็นธรรมนิยม ธรรมะในที่นี้หมายถึง ความถูกต้อง เป็นธรรมนิยมไม่เป็นวัตถุนิยมและไม่เป็นจิตนิยมล้วนๆ แต่เป็นความถูกต้องระหว่างสิ่งทั้งสอง ความถูกต้องมีทั้งในทางฝ่ายวัตถุและความถูกต้องมีทั้งในทางฝ่ายจิต เป็นความถูกต้องที่อยู่ตรงกลาง สมกับคำว่ามัชฌิมาปฏิปทา ถ้าเราจะเรียกว่า มัชฌิมานิยม ดูมันก็ยืดยาดแต่ที่แท้มันก็ถูกที่สุด ที่พูดว่าพุทธศาสนานี้เป็นมัชฌิมานิยม คือ ความพอดีที่อยู่ตรงกลาง บางทีก็เรียกว่าความสมดุล ไม่เอียงไปในทางไหน ผู้ที่เป็นพุทธบริษัทควรจะรู้จักพุทธศาสนาของตนเองว่ามีหลักเกณฑ์อย่างไร ดำรงอยู่ในลักษณะอย่างไร แล้วก็จะเป็นการง่ายที่จะประพฤติปฏิบัติธรรม หรือดำรงชีวิตของตนให้อยู่ในลักษณะอย่างนั้น เดี๋ยวนี้ไม่มีหลักเกณฑ์ข้อนี้ก็มักจะทำเกินไป และเกินไปในทางปล่อยวัตถุเสียเป็นส่วนใหญ่ ในทางฝ่ายจิต ฝ่ายใจนั้นไม่ค่อยจะมี แต่ถึงแม้ว่าจะมีกันอย่างสุดเหวี่ยง มันก็ยังผิดอยู่นั่นเอง เพราะความจริงมันต้องอยู่ที่ความถูกต้องตรงกลางระหว่างวัตถุกับจิต
ข้อนี้ไม่ยากลำบากในการที่จะมอง คือ มองง่ายๆ ไปที่คนเรา ก็จะมองเห็นว่าเรานี้ประกอบอยู่ด้วยกายกับใจ ไม่ได้มีกายอย่างเดียว ไม่ได้มีใจอย่างเดียว มันมีทั้งสองอย่างมีความสัมพันธ์กัน เราไม่ถือว่าอะไรใหญ่กว่าอะไรโดยเด็ดขาด ถ้าไม่มีร่างกาย ใจมันก็ตั้งอยู่ไม่ได้ ถ้าไม่มีใจ ร่างกายมันก็เป็นโมฆะหรือเป็นหมัน ต้องอาศัยกันระหว่างกายกับใจจึงจะเป็นไปได้ แต่พวกวัตถุนิยมจะไม่คิดอย่างนั้น จะคิดว่าเรื่องของกายเป็นสำคัญกว่าจึงถือเอาเรื่องของวัตถุเป็นหลัก อะไรๆ ก็ยกให้วัตถุเป็นใหญ่ เอาเรื่องวัตถุมาเป็นหลักเป็นเกณฑ์สำหรับการศึกษาค้นคว้าและการปฏิบัติ แม้ที่สุดแต่การที่จะจัดโลกนี้ให้มีสันติภาพ คนพวกนี้ก็ถือเอาวัตถุเป็นหลัก มุ่งจะจัดแต่ในทางของวัตถุ เพราะเขาเห็นว่าวัตถุหรือกายนี้เป็นใหญ่เหนือจิตใจ ตัวแท้ตัวจริงที่มีอยู่นั้นเป็นเรื่องวัตถุ จิตนั้นเป็นเพียงปฏิกิริยาเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดจากการเคลื่อนไหวในทางวัตถุ เมื่อเอาร่างกายเป็นหลักใหญ่ เป็นเรื่องสำคัญอย่างนี้แล้วก็เป็นทางที่จะให้เกิดการคล้อยตามเรื่องทางฝ่ายวัตถุหรือทางฝ่ายกายมากเกินไป ซึ่งเราเรียกกันว่าความรู้สึกทางเนื้อหนัง ความรู้สึกทางเนื้อหนังย่อมเป็นที่ตั้งของกิเลส เมื่อยึดเอาวัตถุหรือกายเป็นหลักแล้วก็เท่ากับทำให้กิเลสมันได้เปรียบ กิเลสมันก็เป็นเรื่องทางจิตใจ แต่โดยเหตุที่กิเลสมันอาศัยวัตถุหรืออาศัยเหยื่อทางวัตถุหรือจะเรียกกันตรงๆ ก็คือ ความเอร็ดอร่อยทางเนื้อหนัง
ดังนั้นจิตใจที่ประกอบไปด้วยกิเลสนั้นก็ตกลงมาเป็นทาสของวัตถุ เรื่องของจิตใจไม่เป็นอิสระแม้จะเป็นจิตก็เป็นจิตที่เป็นทาสของวัตถุเสียแล้ว มันก็รู้สึกคิดนึกไปแต่ในทางที่จะเป็นทาสของวัตถุ มันก็ยิ่งเป็นเรื่องผิดเกินกว่าที่จะเรียกว่าผิด นั่นคือ ความวินาศในทางฝ่ายจิตใจ ครั้นจะมาอาศัยเรื่องทางฝ่ายวัตถุ มันก็มีแต่จะส่งเสริมกิเลส ส่งเสริมความวินาศของจิตใจอีกนั่นเอง เราจะทำกันอย่างไรดีในข้อนี้ ก็ลองคิดดูด้วยกันจงทุกคน จิตไม่มีอำนาจ ไม่มีโอกาสที่จะเป็นอิสระ เพราะมันถูกครอบงำด้วยวัตถุ ถ้าท่านได้เคยได้ยินได้ฟังคำว่า จิตเดิมแท้ อย่างที่เว่ยหลางพูดก็หมายความว่า จิตนั้นมันยังไม่ถูกกิเลสครอบงำ มันยังเป็นจิตเดิมก่อนแต่ที่จะถูกกิเลสครอบงำ จิตเดิมแท้ชนิดนั้นจะรู้อะไรได้ จะมีความถูกต้องอยู่ในตัวมันเอง เพราะมันไม่ถูกกิเลสครอบงำ เราจะนึกถึงคำว่า จิตว่าง อย่างที่ฮวงโปกล่าว มันก็หมายถึง จิตที่ว่างจากการครอบงำเบียดเบียนของสิ่งต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือ กิเลส อำนาจของวัตถุไม่ครอบงำจิต ไม่มีอะไรตรึงรัดห่อหุ้มจิต มันก็เป็นจิตว่าง จิตว่างมันก็รู้อะไรได้ เพราะมันไม่ถูกทำให้มืดมัวโง่เขลา เราก็ยังไม่มีจิตชนิดนี้ หรือถ้าจะเรียกตามพระบาลีก็เรียกว่า “จิตประภัสสร” คือ จิตที่ไม่มีอุปกิเลสจรเข้ามาครอบงำก็ยังเป็นจิตอิสระ ตลอดเวลาที่จิตไม่ถูกอุปกิเลสครอบงำ มันก็ เป็นจิตที่รู้อะไรได้ตามความหมายของคำๆ นี้คือ วิญญาณธาตุหรือมโนธาตุหรือจิตธาตุ เรามีธาตุพื้นฐานอยู่ธาตุหนึ่งเรียกว่า วิญญาณธาตุ มาควบคู่กันกับธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลมและธาตุอากาศ วิญญาณธาตุมีคุณสมบัติ คือ รู้ มันมีความสามารถในการที่จะรู้ เป็นส่วนประกอบส่วนหนึ่งอยู่ในสิ่งที่มีชีวิต
ขอให้มองให้เห็นว่าบรรดาสิ่งที่มีชีวิตย่อมประกอบอยู่ด้วยธาตุทั้ง ๖ นี้ คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ธาตุวิญญาณ ธาตุอากาศ วิญญาณธาตุมีส่วนประกอบอยู่ในสิ่งที่มีชีวิตในฐานะที่เป็นประธานหรือเป็นส่วนสำคัญ เป็นธาตุที่จะบังคับบัญชา ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลมเป็นต้น ภาพอุปมาจึงเขียนเป็นพญาควบคุมบ่าวทั้ง ๔ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ตั้งอาศัยอยู่บนอากาศธาตุ ถ้าหากว่ามันทำหน้าที่รู้สึกความหมายต่างๆ ก็เรียกว่า มโน คำว่า มโนหรือมานะ แปลว่า รู้หรือรู้สึก ถ้ามันทำหน้าที่คิดนึกต่างๆ เราก็เรียกมันว่า จิต คำว่าจิตนี้ แปลว่า ก่อ ตั้งต้น ก่ออะไรขึ้นมา เมื่อมันทำหน้าที่คิด ก็คือ มันทำหน้าที่ก่อ หรือจะตั้งต้นเรื่องอะไรขึ้นมา เมื่อธาตุนี้ทำหน้าที่คิดเราเรียกมันว่า จิต เมื่อธาตุนี้ทำหน้าที่รู้เราเรียกมันว่า มโน เมื่อทำหน้าที่รู้ทางอายตนะ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้วก็เราเรียกมันว่า วิญญาณ บางคราวก็ใช้แทนกันได้ในความหมายเดียวกันทั้ง ๓ คำแต่โดยเนื้อแท้แล้วมันยังแยกกันได้อย่างนี้ ขอให้ท่านทั้งหลายรู้จักสิ่งที่เรียกว่าจิตหรือมโนหรือวิญญาณกันในลักษณะอย่างนี้ ก็จะต้องรู้จักจัด รู้จักทำ อย่าให้สิ่งนี้ตกไปเป็นทาสของวัตถุ จนถึงกับไปหลงจมอยู่ในรสอร่อยทางวัตถุ เพราะว่าถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วมันก็จะคิดผิด มันก็จะรู้ผิด มันก็จะมีอะไรๆ ล้วนแต่เป็นไปในทางผิด ที่เรียกว่าเป็น มิจฉาทิฐิบ้าง มิจฉาปฏิปทาบ้าง หรือเป็นความผิดโดยทุกประการ นี่คือ โทษของการที่วัตถุนิยมเป็นใหญ่ ขึ้นมาครอบครองนคร คือ ร่างกายนี้ เปรียบร่างกายนี้ อัตภาพนี้เหมือนกับนคร ถ้าให้ความลุ่มหลงในทางวัตถุมาเป็นนายครอบครองแล้ว มันก็ใช้ร่างกายนี้ไปแต่ในทางที่จะแสวงหาเหยื่อของกิเลส คือ รสอร่อยที่จะได้จากวัตถุนั่นเอง ควรจะพยายามปรับปรุงให้จิตที่เป็นอิสระจากวัตถุนิยมครองอัตภาพนี้ไปตามความถูกต้อง ความรู้ของสิ่งที่เรียกว่าจิตหรือมโน ถ้ามันเป็นอิสระแล้วมันก็มีความรู้มีความคิดที่เป็นไปในทางที่ถูกได้
ทีนี้ก็มาดูกันโดยวงกว้างว่า สัตว์ทั้งหลายในโลกนี้ กำลังตั้งอยู่ในฐานะอะไร ทำไมมันจึงเป็นอย่างนั้น เคยพูดกันมาแล้วว่า เด็กๆ ยังอยู่ในท้องแม่ยังมีจิตใจที่ว่างไม่ตกเป็นทาสของกิเลส แม้จะคลอดออกมาจากท้องแม่ใหม่ๆ มันก็ยังว่าง ยังไม่ตกไปในอำนาจของกิเลส แต่ครั้นเด็กๆ นี้เขาได้เติบโตขึ้นมารู้จักกิน รู้จักดื่ม รู้จักสัมผัสต่างๆ นานา พบสิ่งที่อร่อยแก่ความรู้สึกแล้วก็พอใจ ความพอใจนี้สะสมมากขึ้นแล้ว มันก็เป็นการติด เป็นการเสพติดในรสอร่อย ซึ่งได้มาจากวัตถุ เราจึงเห็นได้ว่า สัตว์ทั้งหลายนี้ถูกกระทำให้หลงใหลในรสของวัตถุมาตั้งแต่ยังเล็ก กว่าจะโตเป็นผู้ใหญ่ ก็ติดในรสของวัตถุจนยากที่จะสลัดออกไปได้ ข้อนี้มันน่าละอายหรือว่าน่าภาคภูมิใจ ก็ลองคิดดูด้วยกันทุกคนว่า มันเป็นสิ่งที่ควรนำเอามาพิจารณาเห็นความไม่สมประกอบแล้ว มันก็ควรจะล้อ ล้อใครก็ล้อทุกคนที่ได้สร้างสมความลุ่มหลงในเรื่องของวัตถุมาตั้งแต่เกิดและบางทีก็จนกระทั่งตาย หวังไว้ว่าจะไปเกิดในสวรรค์วิมานที่เต็มไปด้วยวัตถุอันของทิพย์ได้อย่างใจไปเสียทุกสิ่งทุกอย่าง เห็นได้ว่ามันยืดยาวในความเป็นมนุษย์ในชาตินี้ก็ยังไม่พอ ยังหวังที่จะมีให้มากในชาติต่อไป เกิดใหม่แล้วขอให้เกิดในสวรรค์วิมาน ที่เต็มไปด้วยรสอร่อยของกามคุณทั้ง ๕ สรุปเรียกสั้นๆ ว่า มันเป็นเรื่องของวัตถุนิยม เดี่ยวนี้มันเป็นอย่างนี้หรือเปล่า ถ้าเป็นอย่างนี้มันก็ต้องถือว่าเป็นสิ่งที่น่าอับอาย เป็นปมด้อยของพุทธบริษัททั้งหลาย จะปล่อยกันไว้ในลักษณะอย่างนี้หรืออย่างไร ถ้าเป็นเรื่องที่น่าละอายก็มาคิดกันเสียใหม่ มาช่วยกันต่อต้านอำนาจของวัตถุนิยม ดึงพุทธบริษัทออกมาเสียจากวัตถุนิยม ถ้าจะไปกลัวเสียว่าไม่สามารถจะดึงอ้อยจากปากช้างแล้ว พุทธบริษัททั้งหลายก็จะถูกช้าง คือ วัตถุนิยมเคี้ยวกินแหลกลาญไปกลายเป็นขี้ช้างไปหมดสิ้น
นี่มันจะต้องนึกกันถึงขนาดนี้แล้วว่า พุทธบริษัททั้งหลายในโลกนี้จะมีอยู่สักกี่ร้อยล้านก็ตามใจ ส่วนใหญ่กำลังเป็นอย่างไร กำลังหลงไปตามทางของวัตถุนิยมเหมือนกับพวกอื่นๆ หรือเปล่า ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วจะเอาพระพุทธเจ้าไปไว้ที่ไหน จะเก็บพระพุทธเจ้าไว้ที่ไหนในหัวใจของเรา เพราะว่าหัวใจของเรามันไปเป็นทาสของวัตถุนิยมเสียหมดแล้ว ไม่มีเนื้อที่เหลือไว้สำหรับจะเก็บพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เลย การอ้างถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็เป็นเรื่องไม่มีความหมายเป็นโมฆะหรือเป็นหมัน นั่นขอให้คิดดูว่าวัตถุนิยมนี้มีอำนาจอันร้ายกาจสักเท่าไร อาตมามองเห็นความร้ายกาจอันนี้แล้ว จึงได้ตั้งใจมีปณิธานว่า จะต่อสู้กับวัตถุนิยม จะพยายามดึงเพื่อนมนุษย์ออกมาเสียจากอำนาจของวัตถุนิยม แม้ใครจะหัวเราะเยาะว่า บ้าบอก็ยอมทั้งนั้น เพราะไม่มีอะไรอื่นที่ดีกว่านี้ที่จะกระทำแก่กันสำหรับเพื่อนมนุษย์ทั้งหลาย การช่วยอย่างอื่นรู้สึกว่าจะไม่มีประโยชน์อะไร ช่วยดึงออกมาเสียจากวัตถุนิยมนี้มีประโยชน์อันใหญ่หลวง เป็นการช่วยในด้านจิตใจซึ่งไม่ค่อยจะมีใครพิจารณาและมองเห็น นิยมช่วยกันแต่ในทางวัตถุให้เงิน ให้ของให้เสื้อให้ผ้า อย่างนี้จะเรียกว่าช่วยหรือจะเรียกว่าจับเขาขุดหลุมฝังลงไปในวัตถุนิยมให้ยิ่งขึ้นไปอีก การช่วยด้วยสิ่งของนี้ดูแล้วก็น่าสังเวช เพราะว่ามันทำให้เขาไม่สามารถช่วยตัวเอง เรายิ่งช่วยด้วยเงินด้วยทองด้วยสิ่งของ มันก็ยิ่งทำให้เขาไม่สามารถจะช่วยตัวเอง ไม่อยากจะช่วยตัวเองจนเกิดกับนิสัยในการที่ไม่ช่วยตัวเอง เราควรจะช่วยเขาในทางที่ให้เขาสามารถช่วยตัวเองนั่นก็คือ ให้ความรู้อันถูกต้องแก่เขา ให้สัมมาทิฐิแก่เขา จนเขาสามารถถอนตัวเองออกมาเสียได้จากอำนาจของวัตถุนิยม อย่าไปช่วยในทางที่จะให้เขาฝังตัวเข้าไปในวัตถุนิยม การช่วยด้วยวัตถุนั้น มันเท่ากับไปประจานเขา ว่าเขาเป็นคนไม่สามารถจะช่วยตัวเองเสียด้วยซ้ำไป เหมือนกับว่าดูหมิ่นเขาว่าเขาไม่สามารถจะช่วยตัวเอง จนเราต้องเอาน้ำเอาข้าวไปให้เขากิน หรือว่าประจานเขาว่าเขาไม่สามารถจะช่วยตัวเอง มันก็ไม่น่าชื่นใจ ทำไปมันก็น่าล้อ พระพุทธเจ้าท่านจึงตรัสว่า “ธรรมทานประเสริฐกว่าทานทั้งหลาย” จะให้ทานข้าวปลาอาหารอะไรก็ตาม มันก็ไม่ประเสริฐเท่ากับการให้ธรรมทาน คือ ให้ธรรมะเป็นทาน เพราะว่าเขาได้รับธรรมะแล้ว ก็จะมีหูตาอันสว่างไสว มีความสามารถในการที่จะทำอะไรที่เป็นการแก้ปัญหาของตนได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีนี้ ก็คือ ไม่ตกไปเป็นทาสของกิเลส ซึ่งมีวัตถุนิยมเป็นรากฐานอันมั่นคง
คนเราถ้าลองพอใจในรสของวัตถุแล้วมันก็เป็นรากฐานอันมั่นคงแก่กิเลส กิเลสก็จะหนาแน่นขึ้น ทั้งกิเลสธรรมดาสามัญและกิเลสที่เป็นอนุสัย คือ ความเคยชินแห่งกิเลสที่สะสมไว้ในสันดาน แล้วมันก็ถอนยาก มันจมลึกลงไปทุกที ท่านทั้งหลายลองพิจารณากันดูสักนิดหนึ่งเป็นไรว่า การที่จะถอนตนออกมาเสียจากความลุ่มหลงและความเอร็ดอร่อยทางวัตถุนั้น มันยากลำบากสักเท่าไร คนที่ชอบกินของอร่อยๆ ลองคิดดูบ้างว่า การที่จะให้เลิกกินของอร่อยๆ นี้มันทำได้ยากสักเท่าไร ความสะดวกสบายเกี่ยวกับวัตถุนี้มันเลิกได้ยากสักเท่าไร แม้ที่สุดแต่การแต่งเนื้อแต่งตัวให้สวยงามนี้ มันเป็นสิ่งที่เลิกได้ยากสักเท่าไร ล้วนแต่เป็นสิ่งที่เลิกได้ยากเพราะเสน่ห์อันเหนียวแน่นของวัตถุนิยม วัตถุนิยมนี้ หมายถึง ความรู้สึกที่ไปลุ่มหลงในค่าของวัตถุอย่างไม่ลืมหูลืมตา จนถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ทั้งหมดกว่าเรื่องทั้งหลาย เดี๋ยวนี้โลกทั้งโลกกำลังเป็นอย่างนี้ ไม่รู้ว่าใครทำให้ว่า โดยที่แท้แล้วพระเจ้าก็ไม่ได้ต้องการให้คนเราตกเป็นทาสของวัตถุนิยม พระเจ้าต้องการให้ไปอยู่กับพระเจ้า ซึ่งไม่เป็นทาสของวัตถุนิยม พระธรรมในพระพุทธศาสนานี้ก็ไม่ได้ต้องการให้ใครไปเป็นทาสของวัตถุนิยม แต่ต้องการให้ประกอบอยู่ด้วยธรรม คือ ความถูกต้องตามทางของพระธรรม แล้วทำไมมนุษย์จึงมาชวนกันฝังตัวลงไปในความหลงทางวัตถุนิยมจนโลกนี้เต็มไปด้วยวิกฤตการณ์ อาตมาพูดถึงสิ่งนี้เพียงย่อๆ ท่านทั้งหลายก็คงจะฟังถูกแล้วจะไม่เสียเวลายืดยาวมันมากไป พูดถึงคำที่ว่า โลกนี้กำลังอยู่ในวิกฤติการณ์ คือ ความยุ่งยากลำบากระส่ำระสายทุกข์ร้อนไปทั่วทุกหัวระแหง เพราะอำนาจของอะไร เพราะอำนาจของตกอยู่ใต้อำนาจวัตถุนิยมจนไม่มีทางจะสู้ คำว่าไม่มีทางจะสู้นี่มันมีความหมายมากเหลือเกิน คือ เราไม่สามารถจะถอนตัวออกมาเสียจากอำนาจของวัตถุนิยมอย่างหมดประตูสู้ ทุกคนพ่ายแพ้แก่กิเลส สมัครที่จะเป็นทาสของกิเลสแล้วมันจะไปสู้ได้อย่างไร เพราะว่าเราสมัครที่จะเป็นผู้แพ้อยู่ตลอดเวลา แล้วมันจะไปสู้ได้อย่างไร จิตที่ประกอบไปด้วยตัณหา มันก็หวังแต่จะได้เหยื่อของกิเลสตัณหา แล้วจะเอาชนะตัณหานั้นได้อย่างไร ธรรมะไหนจะช่วยได้ ก็ลองคิดดูเมื่อใดจะลืมหูลืมตา มีจิตที่เป็นอิสระ รู้จักโทษของกิเลส ของวัตถุนิยมแล้ว ดำรงตนอยู่โดยปราศจากกิเลส มองดูแล้วก็ไม่เห็นอะไรอื่นนอกจากพระธรรม ในนามว่า “สัมมาทิฐิ” หรือจะเรียกว่าสัมมาทิฐิในนามของพระธรรม สิ่งนี้เท่านั้นที่จะดึงสัตว์โลกออกมาเสียจากวัตถุนิยม เมื่อเดี๋ยวนี้มันจมปลักอยู่ในมิจฉาทิฐิแล้วอะไรจะช่วยดึงออกมาจากมิจฉาทิฐิมาสู่สัมมาทิฐิ ใครจะช่วยดึงใคร ถ้าว่าทุกคนมันจมปลักของมิจฉาทิฐิแห่งวัตถุนิยม ใครจะช่วยดึงใคร บรรดาที่นั่งกันอยู่ที่นี่คนไหนจะประกาศตัวเป็นผู้ช่วยดึงผู้อื่นออกมาเสียจากวัตถุนิยม หรือว่าคนตกน้ำอยู่ด้วยกันทั้งนั้น แล้วคนไหนจะช่วยคนอื่นไม่ให้ตกน้ำ เมื่อมันกำลังตกน้ำ จมน้ำอยู่ด้วยกันทั้งนั้น คนไหนจะช่วยดึงผู้อื่นไม่ให้ตกน้ำ คนที่จะช่วยดึงผู้อื่นไม่ให้ตกน้ำแห่งวัตถุนิยมนี้ มันจะต้องมีอะไรมากเป็นพิเศษ ถ้าเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า มันก็ต้องมีความเป็นสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นอย่างเพียงพอ หมายความว่า มีสัมมาทิฐิ อันเป็นองค์แรกของอัฏฐังคิกมรรคมากอย่างเพียงพอ มันมีกำลังอะไรมากพอที่จะช่วยผู้อื่นได้ ก็สมมติว่าตกน้ำด้วยกันแต่บางคนมันเก่งกล้าสามารถพยุงตัวเองไว้ได้ แล้วยังฉลาดในการที่จะช่วยพยุงคนอื่นไว้ได้อีกสักคนหนึ่งหรือสองคน หรือว่ามีเครื่องมืออะไรมากไปกว่านั้นก็ช่วยพยุงคนได้หลายๆ คน นั่นมันเป็นเรื่องของอะไรอันหนึ่ง ซึ่งมีมากเป็นพิเศษออกไป ไม่ใช่มีแต่ความโง่ ความหลงใหลเหมือนกันทุกๆ คนแล้วมันจะช่วยกันได้ มันจะต้องมีคนที่มีอะไรมากไปกว่าคนเหล่านั้น ซึ่งเป็นความสามารถที่จะช่วยคนอื่น นี่ก็คือ ธรรมะนั่นเอง คนที่มีธรรมะมากกว่าก็สามารถที่จะช่วยคนที่มีธรรมะน้อยกว่า ช่วยให้พ้นจากอันตราย คือ กิเลส ตัณหา ซึ่งมีวัตถุนิยมเป็นเหยื่ออันสำคัญ เป็นรากฐานอันสำคัญ
ทีนี้มาดูปัญหาอันแท้จริงว่าเรากำลังตกเป็นทาสของวัตถุนิยม แล้วใครจะคิดช่วยใคร จะช่วยได้อย่างไร ทำอย่างไรจึงจะมีความเหมาะสมที่จะเรียกตัวเองว่า เป็นพุทธบริษัท เป็นสาวกของพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริงถูกต้องตามความหมายของคำๆ นั้น เมื่อสักครู่ก็ได้พูดแล้วว่า ถ้าในจิตใจเต็มไปด้วยความมัวเมาหลงใหลในวัตถุนิยม ไม่มีช่องว่างจะให้พระพุทธเจ้าเข้าไปประทับอยู่ในจิตใจของตนได้เลย แล้วเขาจะเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าได้อย่างไรอย่างนี้ ตรงนี้นี่เป็นจุดตั้งต้นว่าจะทำอย่างไร ให้มีเนื้อที่ว่างในจิตใจพอสำหรับที่จะมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อยู่ในจิตใจกันบ้าง จะต้องรีบจัดแจงตระเตรียมกระทำให้เกิดที่ว่างจากวัตถุนิยมในจิตใจสำหรับเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์กันบ้าง เมื่อได้มองเห็นข้อเท็จจริงต่างๆ เหล่านี้แล้ว ยังจะกล่าวหาว่า อาตมาบ้าทำในสิ่งที่ทำไม่ได้ต่อไปอีกก็ตามใจ มันก็ต้องถือว่าเป็นสิ่งที่พูดกันไม่รู้เรื่อง ถ้าจะให้พูดกันรู้เรื่องก็ลองคิดดูว่าจะทำอย่างไรจะพูดกันอย่างไร จึงจะได้เห็นว่าการดึงเพื่อนมนุษย์ออกมาเสียจากอำนาจของวัตถุนิยมนั้นเป็นสิ่งที่ควรกระทำ เดี๋ยวนี้วัดมันจะร้างหมดแล้ว มีพระเหลืออยู่ไม่กี่องค์บางวัดมีสององค์ บางวัดก็มีองค์เดียวนี่เพราะอะไรมันลากไปทำให้พระไม่อยู่ในวัด มันก็เป็นเรื่องของวัตถุนิยม แล้วกำลังจะลากคอ ออกไปอีกเรื่อยๆ จำนวนที่มากๆ อยู่นี้มันก็จะลดถอยลงไป เพราะวัตถุนิยมมันลากคอพระเณรออกไปเสียจากวัด จนในที่สุดวัดมันจะร้าง อย่างนี้แล้วยังไม่ตกอกตกใจเตรียมตัวสำหรับแก้ไข มัวแต่หาว่าเป็นเรื่องเหลือวิสัยเป็นเรื่องบ้าๆ บอๆ ไม่ควรจะทำ อาตมาเอามาพูดอย่างนี้มันก็เป็นการประจานตัวเองหรือล้อตัวเองอย่างมากที่สุดอยู่แล้ว ไม่บิดบังอะไร เอามาบอกตรงๆ ว่าทำอย่างนี้ มันก็ถูกด่าว่าไปทำสิ่งที่ไม่มีใครคิดว่าจะทำได้ เหมือนกับการไสช้างรอดรูเข็ม หรือว่าจะดึงอ้อยออกมาเสียจากปากช้างที่มันกำลังเคี้ยวอยู่ ขอให้มองดูว่าวัตถุนิยมนี้ตัวมันใหญ่ควรที่จะเปรียบกับช้างหรือไม่ คนธรรมดาตัวเล็กนิดเดียวจะไปดึงอะไรออกมาเสียจากปากช้างหรือจะไสช้างตัวใหญ่ให้รอดรูเข็ม มันเป็นเรื่องที่ควรจะคิดหรือไม่ควรจะคิด สำหรับอาตมานั้นมันยิ่งกว่าคิด คือ มันตัดสินใจแล้วหลังจากการคิด จึงได้มีปณิธานว่า จะพยายามดึงเพื่อนมนุษย์ออกมาเสียจากอำนาจของวัตถุนิยม
เมื่อกล่าวตามหลักของธรรมะ มันก็เป็นเรื่องที่กำลังมีอยู่จริงเรียกว่า การเป็นทาสของอายตนะ คำนี้ได้เคยพูดให้ฟังหลายครั้งหรือหลายสิบครั้งมาแล้วว่า การเป็นทาสของอายตนะในพระพุทธศาสนานั้นมันเป็นคำๆ เดียวกันกับคำว่าเป็นทาสของวัตถุนิยม เป็นทาสของอายตนะ ก็คือ เป็นทาสของตัณหา ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และทางใจเองด้วย ความเอร็ดอร่อยทางอายตนะ นี่ครอบงำจิตใจ จิตใจจึงไปเป็นทาสของอายตนะ ใครบ้างที่ไม่เป็นทาสของอายตนะ นี้ต้องสอบสวนดูเอง ในข้อที่ว่ามันเป็นมากหรือเป็นน้อย ที่จะไม่เป็นทาสของอายตนะเสียเลยนั้นดูจะมีแต่พระอรหันต์เท่านั้น อาตมาก็สารภาพว่า ตัวเองก็เป็นทาสของอายตนะอยู่บ้างเหมือนกัน แล้วจะไปช่วยดึงคนอื่นให้พ้นจากความเป็นทาสของอายตนะนั้น ส่วนนี้มันเป็นเรื่องที่ควรจะถูกล้อ ท่านทั้งหลายจะล้อสักเท่าใดก็ล้อไปเถิด ไม่ว่าอะไรแต่ล้อพอสมควรอย่าล้อกันเสียทั้งหมดล้อแต่ในส่วนที่ควรจะล้อ คือ มันเป็นทาสของอายตนะอยู่บ้าง แต่ถ้าว่าใครมันเป็นทาสของอายตนะมากกว่าอาตมา ก็ไม่มีสิทธิที่อาตมาควรจะล้อเขาให้มากเท่าที่เขาเป็นทาสของอายตนะ พระเณรก็ดี อุบาสกอุบาสิกาก็ดี มาช่วยกันมองดูในเรื่องนี้ว่า ใครกำลังเป็นทาสของอายตนะอยู่กี่มากน้อย ที่จริงมันก็เป็นเรื่องที่ปิดบังกันไม่ได้ มันก็เห็นๆ กันอยู่ มันพอจะทายใจกันได้ว่าเป็นทาสของอายตนะอย่างไร เมื่อเห็นว่ามันเป็นทาสของอายตนะกันด้วยกันทุกคนแล้วก็ควรจะมาประนีประนอมพร้อมใจกัน ถอนตัวเองออกมาจากความเป็นทาสของของอายตนะ นั้นชื่อว่าทำตามพระพุทธวจนะ ทำตามพระพุทธโอวาทว่า “อย่าไปเป็นทาสของอายตนะเลย”
การปฏิบัติธรรมในพระพุทธสาสนาทั้งหมดทั้งสิ้น มันมารวมอยู่ที่คำๆ นี้คือ อย่าไปเป็นทาสของอายตนะเลย ให้มีสติทุกที ทุกคราว ทุกหน ทุกแห่ง เมื่อได้มีการสัมผัสทางอายตนะ เมื่อใดตาเห็นรูป หูฟังเสียง จมูกดมกลิ่น ลิ้นรู้รส ร่างกายสัมผัสทางผิวหนัง จิตใจรู้สึกต่ออารมณ์ ก็ต้องมีสติสัมปชัญญะที่เพียงพอ อย่าให้เกิดเป็นทาสของอายตนะขึ้นมา เมื่ออายตนะทำหน้าที่รับอารมณ์เป็นเวลาที่คับขันอย่างยิ่ง สำคัญอย่างยิ่ง ระวังอย่าให้ตกเป็นทาสของอายตนะเลย การปฏิบัติธรรมตั้งแต่เบื้องต่ำถึงเบื้องบนระดับสูงสุด ก็มีความหมายสำคัญอยู่ที่ตรงนี้ คือ มีสติสัมปชัญญะรู้จักสิ่งทั้งหลายทั้งปวงตามที่เป็นจริง โดยเฉพาะก็สิ่งที่มาสัมผัสกับอายตนะนั้น อย่าให้จิตตกเป็นทาสของอายตนะ กิเลสก็เกิดไม่ได้ พอจิตตกเป็นทาสของอายตนะ เพราะปราศจากสติสัมปชัญญะแล้ว กิเลสก็เกิด เป็นตัณหาอย่างนั้นอย่างนี้ขึ้นมา เกิดอุปาทานเป็นความเห็นแก่ตัวแล้ว ก็จะเกิดความโลภ ความโกธร ความหลง ต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด การฝึกฝนให้เกิดสติสัมปชัญญะอย่างรวดเร็วทันกับสายฟ้าแลบ นี้เป็นความจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่จะถอนตนออกมาเสียจากความเป็นทาสของวัตถุนิยม สิ่งที่เรียกว่ากิเลสนั้นเกิดได้เร็วเป็นสายฟ้าแลบ ความมีสติก็ต้องเร็วทันกัน สติต้องเร็วแบบสายฟ้าแลบเหมือนกันจึงจะป้องกันการเกิดกิเลสทางอายตนะนั้นๆ เดี๋ยวนี้เราได้ทำการฝึกอย่างนี้กันหรือเปล่า ถ้ายังไม่เคยสนใจเรื่องนี้ ดูก็จะไม่มีหวังในการที่จะออกมาเสียจากความเป็นทาสของอายตนะ คนทั้งโลกเขาจะสนใจฝึกสติสัมปชัญญะกันหรือเปล่า ถ้าเขาไม่สนใจ โลกนี้ก็ไม่มีโอกาสที่จะออกมาเสียได้จากอำนาจของวัตถุนิยม เดี๋ยวนี้เขากำลังผลิตวัตถุที่ยั่วยวนเป็นเหยื่อของกิเลสมากยิ่งขึ้น ในทางอาหารการกินก็ดี ในทางเครื่องนุ่งห่มก็ดี ในทางเครื่องใช้ไม้สอยบำรุงบำเรอร่างกายก็ดี ล้วนแต่ผลิตไปในทางที่ให้มีความยั่วยวนยิ่งขึ้น ทุกคนก็พอจะรู้อยู่แก่ใจ แล้วเราก็ได้เสียเงินเสียทองกันมากๆ เป็นประจำวัน ประจำเดือน ประจำปี เพื่อจะซื้อหาสิ่งเหล่านี้เอามาบริโภคใช้สอยด้วยความสำคัญว่า มันเป็นสิ่งที่ถูกที่ควร ไม่สำนึกเลยว่า มันเป็นการช่วยให้กิเลสได้เปรียบ เป็นการทำให้พลัดลงไปในปลักของกิเลสหรือวัตถุนิยมนั้นๆ
ขอให้ตั้งข้อสังเกตดูให้ดีสำหรับเรื่องสมัยปัจจุบันนี้ มันไม่มีอะไรในโลกนี้ยิ่งไปกว่าการผลิตวัตถุซึ่งส่งเสริมความเป็นวัตถุนิยม สิ่งสวยงามเอร็ดอร่อยยั่วยวนจิตใจเต็มไปทั้งโลก ที่ไม่น่าจะมีมันก็มี ที่มองเห็นอยู่ว่าไม่ควรจะมีมันก็มี ไม่จำเป็นเลยมันก็มีแล้วมันก็ยิ่งมาก นี่มันมีผลกระทบกระเทือนแก่มนุษย์อย่างยิ่ง ซึ่งมันก็กระทบกระเทือนแก่ธรรมะที่จะเป็นที่พึ่งของมนุษย์ คือ มันกระทบกระเทือนต่อพระศาสนา จนพระศาสนาไม่สามารถจะมีประโยชน์ในฐานะที่เป็นศาสนาเห็นอยู่ชัดๆ ว่า คนละทิ้งศาสนาไปหาวัตถุนิยม ลองคิดดูว่า การละทิ้งศาสนานี้ละทิ้งไปหาอะไรที่ไหน ก็ลองดู เหลือบตาดูก็เห็นได้ไม่ยากเลยว่า ล้วนแต่ไปหารสของวัตถุซึ่งเราเรียกกันว่า วัตถุนิยม ซึ่งเรียกกันตามภาษาวัดแต่โบราณก็เรียกว่า กามคุณ ทั้ง ๕ ประการ นั้นภาษาวัดแต่ภาษาบ้านๆ ธรรมดาเดี๋ยวนี้ก็เรียกว่า วัตถุนิยม คือ รสที่เกิดมาจากวัตถุ มันก็แปลว่า สิ่งที่เรียกว่ากามคุณกำลังครอบงำสัตว์ในโลกนี้หรือครอบงำโลกอยู่ทีเดียว
เรื่องกามคุณทั้ง ๕ เป็นอันตราย เป็นศัตรูของมนุษย์ ของธรรมะ ของศาสนาอย่างไร ก็ได้กล่าวถึงกันมาตั้งแต่ต้นตลอดเวลา ควรจะมองเห็นควรจะเข้าใจหรือก็ได้เข้าใจกันอยู่แล้ว ปัญหามันไปอยู่ที่ว่าไม่สามารถจะถอนตนออกมาเสียจากสิ่งนั้น ในทางศาสนาถือว่ากาม หรือกามคุณนั้นคือตัวมารหรือมารร้าย มารร้ายไม่ใช่ยักษ์มารที่ไหน มันอยู่ที่ตัวกามคุณอันเป็นที่ตั้งแห่งความรัก ความพอใจของบุคคลนั้นเอง ไปหลงใหลในสิ่งใดในฐานะเป็นวัตถุแห่งกาม สิ่งนั้นมันก็เป็นมารสำหรับบุคคลนั้นขึ้นมาทันที สิ่งที่เรียกว่ามารนั้นคนเข้าใจผิดว่าเป็นยักษ์เป็นมารที่น่าเกลียดน่าชัง ที่แท้มันเป็นสิ่งที่น่ารักหลอกลวงให้หลงรักยิ่งกว่าสิ่งใด พญามารสูงสุดที่เรียกว่าจอมของมารนั้นก็อยู่ในสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตดี ดังที่เราทราบเรื่องนี้กันดีว่า มารที่มาผจญพระพุทธเจ้าในวันที่จะตรัสรู้นั้นมันมาจากสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตดี มันขี่ช้างคีรีเมฆมาทีเดียว พญามารอยู่ในสวรรค์ชั้นสูงสุดที่มนุษย์ฝันถึงกันนัก นี่พญามาร รูปร่างสวยงามที่สุดและก็มีพาหนะที่มีกำลังมากคือ ช้างคีรีเมฆ ซึ่งในบัดนี้ก็ไม่ใช่อะไรอื่นนอกไปจากวัตถุนิยม วัตถุนิยมเป็นช้างคีรีเมฆที่มีกำลังอันใหญ่หลวงสำหรับพญามารที่จะขี่มาผจญได้แม้แต่กับพระพุทธเจ้า แต่พระพุทธเจ้าท่านมีอะไรสูงไปกว่านั้นจึงชนะมารได้ ที่นี้ก็มาถึงลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้านี่แหละมันมีปัญหาอยู่ กำลังละทิ้งพระพุทธเจ้ากันเสียเป็นฝูงๆ วิ่งตามหลังพญามารไป วิ่งตามหลังอุบายของพญามารไป แล้วก็จะไปกันมากขึ้นๆ จนทิ้งหายลิบไปเสียเลย ไม่มีพระพุทธเจ้าอยู่ในจิตใจของบุคคลประเภทนี้ เพราะว่าไปมอบให้กับวัตถุนิยมเสียหมดดังที่กล่าวแล้ว อาตมาพูดนี้พูดในฐานะที่เป็นพุทธบริษัท พูดกับทุกกับพุทธบริษัท พูดชี้แจงให้เห็นอันตรายของพุทธบริษัทเป็นส่วนรวม เอามาพูดในวันที่เรียกกันว่า วันล้ออายุนี้ ก็เพราะว่ารู้สึกรับผิดชอบร่วมกัน ไม่มีละอายหรือปกปิดอะไรกัน เอามาพูดกันตรงๆ ใครจะล้อใครก็ได้ ทว่าที่แท้แล้วมันก็หัวอกเดียวกัน มันควรจะถูกล้อซึ่งกันและกันด้วยกันทั้งนั้น ถ้าว่ามันจะเป็นไปในทางดีมันก็จะทำให้เกิดความสนใจกันใหม่ รู้สึกละอายแล้วก็กลับตัวเสีย เปลี่ยนแปลงทิศทางเดินกันเสียใหม่ให้ห่างออกไปจากอำนาจของวัตถุนิยม ทั้งที่เคยชอบสวยงามเอร็ดอร่อยนั้น มาคิดดูกันบ้างเถิดว่า จะตกเป็นทาสของวัตถุนิยมกันไปถึงไหน ท่านทั้งหลายจะต้องนึกถึงหลักพระธรรมคำสอนข้อหนึ่ง คือ ข้อที่มีอยู่ว่า “ให้เป็นอยู่อย่างถูกต้องและพอดี อย่าให้มีส่วนที่เกิน” อาตมาบอกว่า ศีลอุโบสถนั้น คือ ศีลที่ห้ามไม่ให้แตะต้องส่วนเกิน ถ้าใครจะรักษาอุโบสถให้มีอุโบสถกันจริงแล้วต้องประพฤติให้ได้ในข้อนี้ คือ ไม่มีส่วนเกิน ส่วนเกินทีแรก ก็คือ เรื่องกิน วิกาลโภชนา นี่อย่าตีความตามตัวหนังสือว่าไม่กินข้าวเย็น ขอให้ตีความว่าจะไม่กินส่วนที่มันเกิน ส่วนที่มันเกินแล้วอย่ากิน เกินโดยเวลา เช่น เวลาเย็นไม่ต้องกินก็ได้ นี้ก็อย่ากิน ก็เรียกว่าไม่กินส่วนเกิน ที่มันดีเกินไป ที่มันแพงเกินไปก็อย่ากินไป กินเข้ามันเป็นเรื่องของส่วนเกิน ความละโมบในความเอร็ดอร่อยนี้ มันทำให้เกินโดยไม่รู้สึกตัว เดี๋ยวนี้ก็มีของชูรสปรุงรสให้มันเอร็ดอร่อยจนคนทนอยู่ไม่ได้ แล้วก็ไปซื้อไปหามาใช้มันก็กินเกิน นี่มันขาดศีลอุโบสถ ไม่มีศีลอุโบสถเหลืออยู่แล้ว เพราะว่ามันไปกินในส่วนเกิน
ทีนี้ข้อถัดไปนับจาก คีตะ วาทิตะ วิสูกะ จนกระทั่ง ภูสะนะ วิภูสะนา นี่มันก็เป็นเรื่องเกิน ฟ้อนรำ ขับร้อง ประโคม ดีดสีตีเป่า รูปตาประดับประตาตกแต่งนี้มันเป็นเรื่องส่วนเกิน ถ้าทำก็ทำเพราะกิเลสตัณหาบังคับให้ทำ ตามธรรมชาติแล้วมันไม่ต้องการ มันไม่ชวนให้ทำแต่เพราะว่ามันถูกกิเลสตัณหาครอบงำ อวิชชาครอบงำมันก็ทำไปได้ ในฐานะที่เป็นส่วนเกิน รักษาศีลอุโบสถข้อนี้ก็เพื่อไม่แตะต้องส่วนเกินในเรื่องนี้ เดี๋ยวนี้ก็ยังชอบส่วนเกินในเรื่องนี้กันอยู่มากโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ก็คือ การประดับประดาเพื่อความสวยงาม ไม่ใช่ความจำเป็น ไม่ใช่ความต้องการโดยแท้จริงของธรรมชาติ แต่เป็นความต้องการของอวิชชา กิเลส ตัณหา ความหลงมันต้องการ มันจึงเกินธรรมชาติ ขอให้ระมัดระวังให้ละเอียดลออให้ถี่ยิบ อย่าให้มันมีเรื่องเกิน เสื้อผ้าเครื่องแต่งเนื้อแต่งตัว ระวังอย่าให้มันเกิน มันจะเป็นคนบ้าที่จะต้องมีสีสันอย่างนั้นอย่างนี้ ที่จะต้องมีอะไรมากมายอย่างนั้นอย่างนี้ ไปดูคนบ้าบางคนที่เขาเอาอะไรมาใส่เข้าที่ร่างกายเป็นสีฉูดฉาด เป็นของที่มากมายรกรุงรังเอาอะไรมาแขวนเข้าที่ร่างกายอย่างไม่รู้สึกว่า มันจะรกรุงรังนี่มันอาการของคนบ้า คนธรรมดานี่ก็เหมือนกันถ้าใส่เสื้อแสงให้มันมีสีสันฉูดฉาด มันก็เป็นคนบ้า เพราะว่ามันต้องเสียเงินมากกว่า เราใส่เสื้อผ้าที่ไม่ต้องทำสีให้มันอย่างนั้นอย่างนี้มันก็ถูกลง ข้อนี้ไม่ต้องเถียงกันเพราะว่าผ้าที่ไม่ต้องพิมพ์ดอกนั้น มันก็คงจะต้องถูกกว่าผ้าที่ต้องพิมพ์ดอก เราก็คิดดูว่า ดอกนี่มันเกินหรือไม่ ถ้ามันเกินก็เรียกว่าผิดแล้ว ไม่จำเป็นจะต้องมีดอกรวงสีสัน ซึ่งเป็นความรู้สึกเหมือนกับคนบ้า ในการถือศีลอุโบสถในเรื่องนี้ก็เหมือนกับเครื่องป้องกันบ้า เป็นเครื่องรางป้องกันไม่ให้บ้า ไม่ให้มีฟ้อนรำ ขับร้องประโคม ดีดสีตีเป่า รูปตา ประดับประดาซึ่งล้วนแต่เป็นอาการของคนบ้า พระพุทธเจ้าได้ตรัสว่า “การเต้นรำคืออาการของคนบ้า การหัวเราะเป็นอาการของเด็กอ่อนนอนเบาะ” การร้องเพลงนั้นเป็นการร้องไห้ เพราะว่าคนร้องเพลงนั้นมันก็ต้องหลับตาทำเสียงอี๋ๆ เหมือนกับคนร้องไห้
เมื่อไม่กี่วันมานี้แหม่มคนหนึ่งเขามาถามว่านี้อธิบายว่าอย่างไร อาตมาก็จนใจที่จะทำให้พวกฝรั่งเข้าใจความหมายของคำ ๓ คำนี้ว่า เต้นรำนั้นมันเหมือนกับอาการของคนบ้า ร้องเพลงคือคนร้องไห้ หัวเราะนั่นคือเด็กอ่อนนอนเบาะ มันลึกอยู่ยากที่จะเข้าใจสำหรับคนที่มีวัฒนธรรมนิยมการเต้นรำและการร้องเพลงจนเป็นของธรรมดาหรือเป็นของจำเป็นไปเสียอีก เดี๋ยวนี้เด็กๆ ไทย คนไทยของเราก็กำลังรู้สึกว่า การร้องเพลงนี้ก็เป็นของจำเป็น กระทั่งว่าการเต้นรำมันก็เป็นของจำเป็น เรื่องหัวเราะนี้อธิบายยากเพราะการหัวเราะนี่เป็นความรู้สึกสนุกสนานสำเริงสำราญอย่างหนึ่งใครๆ ก็ชอบ นั้นยากที่จะห้ามไม่ให้หัวเราะ แต่เรื่องเต้นรำและร้องเพลงนั้นพอที่จะสำรวมระวังมัธยัสถ์กันบ้าง อย่าให้ตกเป็นทาสของวัตถุนิยมส่วนนี้ให้มันมากไปเกินกว่าที่จำเป็น จงช่วยกันรักษาศีลอุโบสถให้ถูกต้องและเพียงพอ ในข้อที่ ๗ นัจจะคีตะ วาทิตะ วิสูกะทัสสะนะ มาลาคันธะ วิเลปะนะ วิภูสะนา ทีนี้ก็มาถึงข้อสุดท้ายข้อที่ ๘ ว่า อุจจาสะยะนะมะหาสะยะนา ที่นั่งที่นอนอันสูงใหญ่ ตัวหนังสือมันว่าอย่างนี้ แต่ความหมายมันหมายถึง เครื่องใช้ไม้สอยที่เป็นไปเพื่อการส่งเสริมกิเลส ไม่เฉพาะแต่ที่นั่งที่นอน จะเป็นอะไรก็ได้ ที่เป็นเครื่องใช้ไม้สอยที่คนเราจะต้องมีต้องใช้แล้ว ระวังอย่าให้มันเป็นการส่งเสริมกิเลส อย่าหวังไปในทางที่จะให้มันสวย มันงาม มันกระตุ้นความรู้สึกว่าเรามีดีกว่าของคนอื่น ของเราล้วนแต่สวยแต่งาม มันก็จะต้องเนื่องไปถึงบ้านเรือนที่อยู่ที่อาศัยอย่าให้มันเตลิดเปิดเปิงไปจนถึงเป็นเรื่องสวยเรื่องงาม มีบ้านราคาหมื่นๆ อยู่ไม่ได้ต้องสร้างบ้านราคาแสนๆ เดี๋ยวไปอยู่ไม่ได้อีกต้องสร้างบ้านราคาล้านๆ รถยนต์ก็เหมือนกันราคาหมื่นๆ ใช้ไม่ได้ก็ต้องใช้รถยนต์ราคาแสนๆ เดี๋ยวก็ต้องใช้รถยนต์ราคาล้านๆ นี่มันเผลออะไรกันได้มากถึงอย่างนี้ เครื่องใช้ไม้สอยเหล่านี้ทำไมมันจึงเกินมากไปถึงอย่างนี้ แม้แต่ของเล็กๆ น้อยๆ ในบ้านในเรือน เรื่องถ้วยเรื่องชามนี่มันก็ยังเกินไปโดยไม่ทันรู้ตัว อะไรๆ ก็ต้องให้มันเป็นทอง ถ้วยน้ำร้อนบางทีมันก็ต้องเลี่ยมทองอย่างนี้คิดดูว่ามันดีหรือบ้า ที่พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้ว่า เครื่องใช้ไม้สอยนี่ให้มันมีความถูกต้องเหมาะสมพอดิบพอดี อย่าให้มันเกิน การบัญญัติอุโบสถศีลก็เพื่อประโยชน์ส่วนนี้ ไปแยกแยะดูให้ดีว่า อุโบสถศีลนี้ทรงบัญญัติขึ้นเพื่ออย่าให้ไปหลงบูชาส่วนที่มันเกิน
มนุษย์เราอยู่ด้วยปัจจัยทั้ง ๔ คือ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัยเครื่องใช้ไม้สอย และหยูกยารักษาโรค เดี๋ยวนี้แม้แต่ยารักษาโรคมันก็จะเข้าไปในขอบเขตของการเกินอยู่มาก กินยาไม่จำเป็นกันซะมาก กินยาเพื่อส่งเสริมกิเลสก็ยังมี ขมนิดหนึ่งก็กินไม่ได้ มันก็ต้องไปจ้างเขาทำให้อย่าให้มันขม อย่างนี้เรียกว่ามันเกินไปซะแล้วในส่วนปัจจัยที่สี่ คือ หยูกยา ขอให้ไปชำระสะสางกันเสียใหม่ทุกคนเถิด อย่าให้มันมีเกินในส่วนนี้ มันเป็นทาสของวัตถุนิยมมากเกินไป ขอย้ำใหม่อีกครั้งหนึ่งว่า อาหารการกินก็ดี เครื่องนุ่งห่มก็ดี บ้านเรือนเครื่องใช้ไม้สอยก็ดี หยูกยารักษาโรคก็ดี อย่าให้มันมีอยู่ในลักษณะที่เป็นการเกิน ซึ่งเป็นเรื่องของวัตถุนิยม นั้นพูดได้ง่ายนิดเดียวถ้ามันไม่เกิน มันก็ไม่เป็นทาสของวัตถุนิยม พอมันเกินมันก็เป็นทาสของวัตถุนิยม นั้นจึงเรียกส่วนเกินนั้นเป็นที่ตั้งของกิเลส กิเลสไม่อาจจะเกิดจากส่วนที่ไม่เกิน กิเลสจะเกิดแต่จากส่วนที่มันเกินทั้งนั้น ความโลภมันก็เกิดจากความต้องการที่มันเกิน ความโกธรมันก็เกิดจากการที่ไม่ได้ส่วนที่เกิน โมหะความโง่มันก็โง่ในเรื่องของการมีส่วนเกินลุ่มหลงในสิ่งที่เป็นส่วนเกินว่าเป็นสิ่งที่ควรจะมี จึงเห็นได้ว่า โลภะ โทสะ โมหะทั้ง ๓ นี้มันตั้งอยู่บนส่วนเกิน อย่ามีส่วนเกินกิเลสทั้ง ๓ นี้ก็จะเหี่ยวแห้งตายไป เข้าใจหรือไม่เข้าใจลองไปสังเกตดูใหม่ว่า อย่าไปแตะต้องส่วนเกินแล้วกิเลสทั้ง ๓ นี้ก็จะหกคะเมนตายไปไม่ตั้งอยู่ได้ นั้นการถือศีลอุโบสถไม่แตะต้องส่วนเกินก็มีความหมายมากสำหรับการที่จะป้องกันไม่ให้เกิดกิเลส ซึ่งอาตมาเรียกว่า ป้องกันความเป็นทาสของวัตถุนิยม
ถ้าทุกคนในโลกพากันถือศีลอุโบสถไปทั้งโลกๆ นี้ก็จะเปลี่ยนสภาพเป็นการตั้งอยู่ในศาสนาของพระศรีอาริย์ มีแต่ความสงบสุขอย่างยิ่ง มีแต่ความพอเหมาะพอดีในการที่จะดำรงชีวิตอยู่ คือ เป็นอยู่กันอย่างถูกต้องพอดีมีความสงบสุข ไม่มีใครที่เป็นทาสของวัตถุนิยม แล้วประพฤติผิดชั่วร้าย ทุศีล เบียดเบียนผู้อื่นเป็นอาชญากรรมอย่างที่กำลังระบาดอยู่ในโลกนี้ แม้ในประเทศไทยเราที่เรียกว่าเป็นพุทธบริษัท มันก็ยังมีอาชญากรรมอย่างน่าละอายขายหน้า ช่วงที่อ่านได้จากหนังสือพิมพ์เรื่องที่เกิดขึ้นที่พิษณุโลกนั้นเป็นเรื่องเลวร้ายมาก ทำลายชื่อเสียงของพุทธบริษัทสิ้นเชิง แม้แต่เรื่องที่เกิดอยู่เป็นประจำวันในเมืองหลวง มันก็เป็นเรื่องทำลายชื่อเสียงของพุทธบริษัทไม่มีเหลือว่า ในเมืองพุทธบริษัทนี้มีการข่มขืน มีการข่มขืนแล้วฆ่า มีการฆ่าก่อนข่มขืน มันเป็นไปได้ถึงอย่างนี้เพราะอะไร เพราะการตกไปเป็นทาสของวัตถุนิยมมากเกินไป คนอันธพาลเหล่านั้นจึงประกอบอาชญากรรมชนิดนั้น
ถ้าอย่าตกเป็นทาสของเนื้อหนังหรือวัตถุนิยมแล้วอาชญากรรมที่เลวทรามเหล่านั้นก็ไม่อาจจะเกิดขึ้นในแผ่นดินที่เรียกกันว่าเป็นเมืองพุทธ คือ ประเทศไทยเรา ถ้ามองเห็นสิ่งนี้เป็นสิ่งที่น่าหวาดเสียว แล้วก็ช่วยร่วมมือกันเถิดในการที่จะป้องกันไม่ให้เพื่อนของเราตกไปเป็นทาสของวัตถุนิยม ช่วยกันป้องกันไม่ให้เพื่อนเกิดแก่เจ็บตายของเราตกไปเป็นทาสของวัตถุนิยม พยายามที่จะตักเตือนกันและกันให้สติแก่กันและกัน ดึงเขาออกมาเสียจากความเป็นทาสของวัตถุนิยม แม้เขาจะโกธร จะตบตีเอาบ้าง จะด่าเอาบ้างก็ทนเอา เพราะว่าหวังดีแก่เขา ลากเขาออกมาเสียจากความเป็นทาสของวัตถุนิยม เขาหายบ้าแล้วเขาคงจะขอบใจ อาตมาจึงไม่กลัวเรื่องนี้ว่า ใครมันจะหาว่าบ้า ไปทำสิ่งที่ไม่ควรจะทำ แล้วก็จะเป็นอันตรายแก่ตัวเอง เมื่อตัวเองชอบอย่างนี้ก็อยากจะให้คนอื่นชอบอย่างนี้บ้าง วันนี้เวลานี้จึงเอาเรื่องนี้มาพูด เพราะพุทธบริษัทเรามาปรึกษาหารือกันในการที่จะดึงพุทธบริษัทเราออกมาเสียจากอำนาจของวัตถุนิยม ถ้าเราไม่สามารถจะดึงคนทั้งโลกออกมาได้ เราก็ดึงแต่พวกพุทธบริษัทด้วยกันก่อน เพราะมันคงจะง่ายกว่ากันมาก เพราะพุทธบริษัทก็มีบทบัญญัติสำหรับประพฤติเพื่อไม่ให้ตกเป็นทาสของวัตถุนิยมอยู่แล้ว เมื่อคนทั้งโลกเขาไม่ถือหลักอย่างนี้ไม่มีบทบัญญัติอย่างนี้ เราดึงมาไม่ไหวก็ปล่อยเขาก่อน แต่สำหรับคนไทยพุทธบริษัทเรามีปู่ย่าตายายที่ไม่เคยเป็นทาสของวัตถุนิยมนั้น มันก็ควรจะมีเชื้อสายอยู่ในสายเลือดเหลืออยู่บ้างที่จะไม่ตกเป็นทาสของวัตถุนิยมไปเสียทั้งหมด คงจะยับยั้งชั่งใจได้ ควรจะถอยหลังออกมาได้ ควรจะต่อสู้ป้องกันได้ นี่เป็นเรื่องที่นำมาพูดกันในวันนี้สำหรับใครจะล้อใครก็ตามใจ ไม่หวง ไม่สงวนลิขสิทธิ์ใครจะเอาไปใช้ก็ได้ ช่วยกันล้อกันและกันให้ออกมาเสียจากวัตถุนิยม จากอำนาจของวัตถุนิยม ด้วยการสมาทานอุโบสถศีล คือ ไม่เอาส่วนเกิน ในการไม่เอาส่วนเกินนี้ก็จะมีผลดีสำหรับจะทำให้สังคมมันดีขึ้น เมื่อแต่ละคนไม่เอาส่วนเกินแล้วมันก็จะเหลือมากขึ้น ของมันก็จะไม่แพง เงินมันก็จะเหลือใช้ หยุดของเกินเสียสักสองสามอย่าง คนมีเงินเดือนน้อย มีรายได้น้อยก็จะมีเงินพอใช้ ถ้าบุหรี่มันเป็นส่วนเกินก็หยุดเสียเถิด ถ้าเหล้ามันเป็นส่วนเกินก็หยุดเสียเถิด หยุดบุหรี่กับเหล้าสองอย่างนี้เงินเดือนก็จะเหลือขึ้นมาก คนเงินเดือนน้อยเหล่านั้นก็จะมีเงินพอใช้ เดี๋ยวนี้เขายิ่งรุดหน้าไปในทางส่วนเกินใช้ของที่ดีที่แพงยิ่งๆ ขึ้นไป เงินเดือนมันก็ไม่พอใช้ มันก็เดือดร้อนมีจิตวิปริต มันก็เป็นอันตรายแก่สังคม กระทั่งเป็นอันตรายแก่ตัวเองฆ่าตัวเองตาย ฆ่าลูกตาดำๆ ตาย ฆ่าเมียตายแล้วฆ่าตัวเองตาย เพราะความเดือดร้อนทางเศรษฐกิจในครอบครัว มีมูลมาจากเงินไม่พอใช้ เพราะว่าเขาเป็นทาสของวัตถุมากเกินไป
นี่อาตมาถือว่าอุโบสถศีลของพระพุทธเจ้านั้นสามารถจะช่วยเศรษฐกิจของมนุษย์ได้ เพื่ออย่าไปบูชาส่วนเกิน ขอให้ไปตั้งหน้าตั้งตาสอบสวนตนเองเกี่ยวกับการบูชาส่วนเกิน คนสูบบุหรี่ก็เลิกเสียเถิด คนกินเหล้าก็เลิกเสียเถิด คนที่ชอบอะไรที่เป็นส่วนเกินก็เลิกเสียเถิด บางทีมันก็จะ เนื่องขึ้นมาถึงน้ำชากาแฟน้ำแข็งอะไรต่างๆ ที่มันยังเกินอยู่ บางคนมันใช้มากเกินไปก็เรียกว่าเป็นส่วนเกินได้ ของกินเอร็ดอร่อยซึ่งไม่จำเป็นแก่สุขภาพมันสมควรจะตัดออกไปเสียได้ การบำรุงร่างกายอย่างอื่น ของเล่นหัวอย่างอื่นก็ควรจะตัดออกไปเสียได้ ไม่มีส่วนเกินในทางจ่ายแล้วเงินมันก็จะเหลือ เหลือสำหรับไปช่วยผู้อื่น เหลือสำหรับจะบำเพ็ญบุญ เหลือสำหรับจะเป็นหลักทรัพย์เพื่อความปลอดภัยในอนาคต มันดีอย่างนี้ อย่าทำให้มันเกินก็เป็นอุโบสถศีลที่แท้จริงตามความประสงค์ของพระพุทธเจ้า อาตมายืนยันว่า เพียงแต่อุโบสถศีลอย่างเดียวเท่านั้นก็จะแก้ปัญหาเรื่องเป็นทาสของวัตถุนิยมนี้ได้มากมาย ช่วยกันทำความเข้าใจในเรื่องนี้ ช่วยกันส่งเสริมซึ่งกันและกันให้ยินดีในการที่จะรักษาอุโบสถศีลให้เกิดอุปนิสัยในการที่จะไม่บูชาส่วนเกินให้ยิ่งๆ ขึ้นไป ผู้ใหญ่ทำตัวอย่างที่ดีแก่ลูกเด็กๆๆ ก็จะมีโชคดีที่จะได้มีความประพฤติถูกต้องไปเสียตั้งแต่ต้นๆ ไม่ลำบากยุ่งยากเหมือนกับที่กำลังเป็นอยู่ คือ ติดนิสัยส่วนเกินมามากแล้วเป็นผู้ใหญ่แล้ว มันละยากอย่างนี้ เพื่อเห็นแก่ลูกเล็กๆ ตาดำๆ ผู้ใหญ่ที่ทำตัวเป็นตัวอย่างที่จะไม่บูชาส่วนเกินแล้วลูกเด็กๆ ก็จะทำถูกต้องได้โดยง่าย ไม่ตกเป็นทาสของส่วนเกินกล่าวคือ วัตถุนิยม อาตมาคิดว่า มันคงจะเป็นการพอแล้วมีเหตุผลที่พอแล้วสำหรับจะมาชักชวนกันในข้อที่ว่า อย่าตกเป็นทาสของวัตถุนิยม แม้ว่าเดี๋ยวนี้วัตถุนิยมกำลังครองโลก เราก็พยายามเล็ดลอดออกมาเสีย ไม่รวมอยู่ในกลุ่มใหญ่ของเขาที่เป็นทาสของวัตถุนิยม นี่คือ การปฏิบัติพระพุทธศาสนาที่มีประโยชน์แก่บุคคลผู้ปฏิบัติและมีประโยชน์แก่ตัวพระศาสนาเอง พระศาสนามีวัตถุนิยมเป็นข้าศึกศัตรูอย่างยิ่ง ช่วยกันกำจัดศัตรูของพุทธศาสนากันให้สุดความสามารถของตนด้วยกันจงทุกๆ คน กลับไปที่บ้านสอบสวนตรวจสอบดูให้ดีว่า อะไรมันเป็นส่วนเกิน แก้ไขเสียอย่าให้มันเป็นส่วนเกิน คือ อย่าให้เป็นทาสของวัตถุนิยมในส่วนนั้น เข้าใจว่า คงจะเลิกละเป็นส่วนมาก เครื่องบำรุงบำเรอที่เป็นส่วนเกิน ส่งเสริมกิเลสนั้นมันมีหนาแน่น เพราะสังเกตเห็นว่าเสาอากาศทีวีนี่มันมีมากเหลือเกิน นี่มันก็แสดงความเกินที่จะทำให้มนุษย์มันจมลงไปในส่วนเกิน แต่เขาก็มีคำอธิบายกันเป็นอย่างอื่น ทำให้สังคมหลงใหลอยู่ในส่วนเกินนี้ยิ่งๆ ขึ้นไป ปัญหามันมีอยู่อย่างนี้เราอย่าไปผสมโรงกับพวกบูชาส่วนเกินเลย ออกมาเป็นคนไม่มีส่วนเกินก็จะได้ชื่อว่า เป็นพุทธบริษัทที่บริสุทธิ์สะอาดสมตามพระพุทธโอวาทของพระศาสดาแห่งพระพุทธศาสนา ซึ่งเรายึดถือเอาเป็นที่พึ่ง
อาตมาเห็นว่าการบรรยายเป็นรอบที่ ๓ ของการบำเพ็ญกุศลเกี่ยวกับการล้ออายุนี้ มันก็พอสมควรแก่เวลาแล้ว อยากจะขอยุติการบรรยายด้วยการทบทวนความรู้สึกคิดนึกกันอีกสักครั้งหนึ่งว่า ท่านทั้งหลายเสียสละมาจากที่ไกล ขอให้ได้รับประโยชน์คุ้มค่าของการเสียสละนั้น อย่าให้อาตมาต้องรับผิดชอบมากเกินไปในข้อที่ว่าไม่ได้รับประโยชน์อะไรคุ้มค่าของการเสียสละ ก็ขอบคุณคนที่ให้ของขวัญร่วมกันล้ออายุ คือ ล้อความผิดพลาดที่มันมีอยู่ในอายุ และก็ฝากกลับไปแก่ท่านทั้งหลายทุกคนว่าจงได้ไปล้อความผิดพลาดในอายุของตนๆ อยู่ตามโอกาสที่ควรจะมี จะปีหนึ่งครั้งหนึ่งก็ได้หรือว่าเดือนหนึ่งครั้งหนึ่งก็ยิ่งดี จะมีสติสัมปชัญญะรู้สึกตัวมากยิ่งขึ้น ไม่ให้มีความผิดพลาดเกิดขึ้นในอายุ หรือในสิ่งที่มันเนื่องกันกับอายุ และการมาประชุมกันในสถานที่นี้ในลักษณะอย่างนี้ ทั้งที่เป็นคฤหัสถ์และเป็นบรรพชิตนี้ อาตมารู้สึกว่า ถูกต้องตามทำนองคลองธรรมของพุทธบริษัท เป็นการกระทำที่ตรงตามพระพุทธโอวาท คือ ช่วยกันชำระสะสางขันธสันดานให้บริสุทธิ์สะอาดปราศจากสิ่งเศร้าหมอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือสิ่งที่เป็นเหยื่อของกิเลสเป็นรากฐานของกิเลส เช่น วัตถุนิยม เป็นต้นนี่เอง เมื่อตอนเช้าพูดกันถึงหัวใจของพระพุทธศาสนา ซึ่งเรายังอยู่ห่างไกลกันไม่สมควรแก่การเป็นพุทธบริษัท พุทธบริษัทที่อยู่ห่างไกลจากหัวใจของพระพุทธศาสนานั้นมีความเป็นพุทธบริษัทน้อยเกินไป ในตอนบ่ายพูดถึงการที่ไม่รู้จักเห็นอกเห็นใจในระหว่างศาสนา ซึ่งล้วนแต่จะเป็นที่พึงของมนุษย์ในโลก เราจึงต้องทำความเข้าใจกันให้ดีในระหว่างศาสนาจนร่วมมือกันสร้างสันติภาพให้โลกนี้ได้ เดี๋ยวนี้ก็กำลังพูดถึงสิ่งที่เป็นอุปสรรคแก่การที่จะทำให้ถูก ให้ต้อง ให้เจริญนั้นๆ กล่าวคือ วัตถุนิยมเป็นเหมือนกับช้างคีรีเมฆอันมีกำลังมหาศาลของพญามารที่จะมาผจญมนุษย์ ไม่ยกเว้นแม้แต่พระพุทธเจ้า ก็เป็นอันว่าเราได้นึก ได้คิด ได้ร่วมกันนึกได้ร่วมกันคิด ได้ร่วมกันพูด ได้ร่วมกันฟังถึงเรื่องที่ควรจะได้ยินได้ฟังพอสมควรแก่เวลาแล้ว อาตมาก็ขอยุติการบรรยายในครั้งนี้ ไว้เพียงเท่านี้