แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ในการพูดครั้งที่แล้วมาได้พูดเรื่องบิดามารดา ในวันนี้จะพูดเรื่องครูบาอาจารย์ ถ้าจะเข้าใจเรื่องครูบาอาจารย์ให้ดีก็ต้องทบทวนไปถึงเรื่องบิดามารดามาด้วยเพราะว่ามีการสัมพันธ์กันอย่างที่จะแยกกันไม่ได้ ครั้งที่แล้วมาเราได้พูดถึงบิดามารดาเป็นผู้ให้การเกิดแก่เราในทางร่างกายหรือมีชีวิตในทางร่างกาย ครั้นเกิดมามีชีวิตในทางร่างกายซึ่งมันมีเพียงครั้งเดียวและเสร็จสิ้นกันไปแล้ว มันยังมีการเกิดทางจิตทางวิญญาณที่จะต้องเกิดกันอีกต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด แล้วก็จะต้องเกิดให้ดีให้ถูกต้องให้เป็นการเกิดฝ่ายดีคือเกิดในฝ่ายพระธรรม ดังนั้นเราจึงต้องมีผู้ที่ให้กำเนิดหรือการเกิดทางฝ่ายจิตฝ่ายวิญญาณที่ดีต่อไป ให้มีแต่การเกิดทางฝ่ายจิตฝ่ายวิญญาณที่ถูกต้องยิ่ง ๆ ขึ้นไป บุคคลเหล่านี้ก็คือครูบาอาจารย์ ที่เป็นบรมครูสูงสุดกว่าครูทั้งหลายก็คือพระพุทธเจ้า ซึ่งมีโวหารสำหรับเรียกว่าเป็นบิดา ให้การเกิดแก่สาวกสืบ ๆ กันมาจนกระทั่งยุคปัจจุบันนี้ นี่เป็นการให้การเกิดทางวิญญาณในระดับสูงสุด ทีนี้ครูบาอาจารย์ที่รองลงไปกว่านั้นก็คืออย่างที่เรารู้จักกันว่าครูบาอาจารย์ ก็มีหลายแขนงวิชาล้วนแต่มีหน้าที่ทำให้มีการเกิดทางวิญญาณอย่างใดอย่างหนึ่งด้วยกันทั้งนั้น แม้แต่สอนหนังสือให้รู้ กอ ขอ กอกา มันก็ทำให้เกิดใหม่เป็นคนรู้หนังสือ ก่อนนี้เป็นคนไม่รู้หนังสือก็มาเกิดใหม่เป็นคนรู้หนังสือ อ้ายคนไม่รู้หนังสือมันก็ตายไปแล้ว มันก็เกิดใหม่เป็นคนรู้หนังสือกำลังมีอยู่ ที่นี้มันเป็นคนโง่ไม่รู้จักทำมาหากินไม่รู้จักประกอบอาชีพ ก็ได้ศึกษาเล่าเรียนจนได้เกิดใหม่เป็นคนมีอาชีพรู้จักประกอบอาชีพ นี้เป็นการทำให้เกิดใหม่ในแบบนี้ ซึ่งเราก็เรียกว่าครูบาอาจารย์ตามธรรมดาสามัญทั่วไป ที่จำเป็นอย่างยิ่งสำคัญอย่างยิ่งก็คือในทางจริยศึกษา เด็ก ๆ ยังไม่ค่อยรู้หรือบางทีก็เป็นอันธพาลอยู่ด้วยมีกิริยามารยาทความประพฤติเลวทรามอีก ต้องให้เกิดกันเสียใหม่โดยครูบาอาจารย์ มาเป็นยุวชนที่ดี สิ่งเหล่านี้เราเรียงรวบเรียงเรียกรวมกันว่าครูบาอาจารย์ รองลงมาจากพระพุทธเจ้า แต่ก็ไม่พ้นจากการที่เขาจะต้องอบรมสั่งสอนไปตามแบบตามวิธีการของพระพุทธเจ้า ด้วยเป็นคนมีธรรมะ ทีนี้ก็อยากจะให้ดูให้ละเอียดลงไปสักหน่อยหนึ่งว่า แม้บิดามารดานั้นเองก็ยังเป็นครูบาอาจารย์ เป็นครูบาอาจารย์คนแรกที่สุด ดังนั้นเราต้องยอมรับว่าบิดามารดานั้นเมื่อเสร็จหน้าที่ให้กำเนิดทางกายเสร็จแล้วยังเป็นผู้ให้กำเนิดในทางจิตทางวิญญาณต่อมาทันทีก่อนที่จะไปหาครูบาอาจารย์ประเภทอื่น เราก็มีบิดามารดาเป็นครูบาอาจารย์ประเภทแรก ดังนั้นพระพุทธเจ้าท่านจึงได้ตรัสว่า ปฺพพาจริยา มาตาปิตโร มารดาบิดานั้นเป็นบุพพาจารย์ คืออาจารย์คนแรก ถ้าพวกเธอจะนึกดูสักหน่อยก็จะเข้าใจในคำพูดที่ว่าบิดามารดาเป็นครูบาอาจารย์คนแรกนั้นอย่างไร บิดามารดาโดยเฉพาะมารดาสอนให้รู้จักทำอะไรมาตั้งแต่เรายังพูดไม่ได้ ยังลุกนั่งก็ไม่ได้ ยังพูดก็ไม่ได้ ก็ได้สอนให้ทำอะไรเป็นเรื่อย ๆ ขึ้นมา จนกระทั่งสอนให้หัวเราะได้ให้ยิ้มได้ให้กินอาหารได้ให้ถ่ายอุจจาระปัสสาวะถูกต้องอย่างนี้เป็นต้น ก็เป็นอาจารย์คนแรกที่สุดเพราะว่าสอนก่อนใคร ๆ แปลว่าสอนสิ่งแรกที่สุดที่มนุษย์เราจะต้องรู้จัก มันก็เป็นเรื่องที่ให้รอดชีวิตอยู่เป็นส่วนมาก แต่ก็มันมีส่วนเรื่องทางจิตทางวิญญาณอยู่ไม่น้อย ก็ต้องสอนให้ทำนั้นทำนี่ ที่ทำไม่เป็นก็ให้ทำเป็น มันก็ไม่ใช่เรื่องทางกายล้วน ๆ แล้ว มันก็เป็นเรื่องทางสติปัญญาขึ้นมาตามลำดับ กว่าจะโตไปโรงเรียนได้หลายปีตอนนี้ล้วนแต่เรียนจากบิดามารดามากกว่าใคร ๆ หรือถ้าบิดามารดาไม่ได้สอนให้โดยตรงก็มีคนอื่นสอนแทนในรูปแบบอย่างเดียวกัน ดังนั้นท่านจึงให้ถือว่าบิดามารดา เป็นอาจารย์คนแรกของบุตร
พวกเณรยังอายุน้อยยังจะไม่สังเกตเห็นข้อที่ว่าเรามีอะไรในทางนิสัยสันดานใจคอความรู้สึกนี่ตามที่เราเป็นอยู่อย่างไรนั้น มันเป็นการถ่ายทอดมาจากบิดามารดา โดยเฉพาะส่วนใหญ่นั้นก็จากมารดา เพราะว่ามารดาอยู่ใกล้ชิดตลอดเวลามากกว่าบิดา ฉะนั้นจึงมีการถ่ายทอดจากมารดาเป็นส่วนใหญ่ ถ้ามารดาพูดหยาบกิริยาหยาบพูดเสียงดัง อ้ายลูกลูกก็จะมีนิสัยพูดหยาบพูดเสียงดังกิริยาหยาบ ถ้าบิดามารดาเป็นคนประหยัดลูกมันก็เป็นคนประหยัดโดยการสอนที่ไม่รู้สึกตัว คือการทำให้เห็นอยู่ตลอดเวลา คือฉันจะบอกให้ก็ได้ว่าเดี่ยวนี้ที่ฉันรู้จักประหยัดน้ำล้างเท้าไม่ราดตูมตุมตามตามเหมือนพระเณรที่บ้า ๆ บอๆ นี่เดี่ยวนี้ฉันอายุ 70 กว่าปีแล้วยังทำอย่างนี้ก็ได้รับอุปนิสัยมาจากมารดาซึ่งประหยัดที่สุด ถ้าใช้น้ำเกินจำเป็นไปแม้แต่สักครึ่งขันก็จะถูกต่อว่าถูกอบรมถูกบ่นทั้งที่ว่าน้ำนี้มันก็ไม่ใช่ว่ามีราคาอะไร แต่ก็จัดมันมีราคาเพราะว่าอย่างน้อยมันก็ต้องไปตักมา แต่ว่ามันไม่ใช่อยู่ที่ตรงนั้น ไม่ใช่อยู่ตรงที่ว่าน้ำมันมีราคาหรือไม่มีราคา ก็ต้องการจะให้เป็นคนที่มีนิสัยประหยัดมัธยัสถ์ ที่เกินไปก็เรียกว่าขี้เหนียว ถ้าพอดีก็เป็นการประหยัดมัธยัสถ์ ถ้ามารดาเป็นคนประหยัดลูกก็เป็นคนประหยัด ถ้ามารดาเป็นคนขี้เหนียวลูกก็เป็นคนขี้เหนียว สอนให้โดยไม่รู้สึกตัวอย่างนี้ เรื่องอื่น ๆ ก็เหมือนกัน ขี้เกียจหรือว่าคดโกงหรือว่าดุร้ายอย่างนี้มันก็ล้วนจากถ่ายทอดให้เป็นนิสัยให้แก่ลูกเด็ก ๆ ที่เพิ่งเกิดมาทั้งนั้น ฉะนั้นเราจึงเห็นว่าบิดามารดานี้ช่างเป็นครูคนแรกเสียจริง ๆ ใส่อะไรลงไปในสันดานของลูกนั้นก่อนใครทั้งหมด แล้วก็ไม่ใช่เรื่องแต่ทางฝ่ายร่างกายอย่างเดียวมันเป็นเรื่องทางจิตใจด้วย แต่ใครจะเชื่อว่าเป็นนิสัยสันดานติดมาแต่ชาติก่อนก็ตามใจ แต่ที่มันแน่นอนที่สุดนั่นก็คือรับการถ่ายทอดอบรมมาตั้งแต่อ้อนแต่ออกจนกว่าจะเติบโต นี่เราจึงถือว่าบิดามารดาเป็นครูอาจารย์คนแรกทั้งในทางฝ่ายร่างกายและฝ่ายจิตใจ ให้ถือว่าไม่ได้เพียงแต่ให้กำเนิดหรือให้ชีวิตมาอย่างเดียว จะได้เป็นครูบาอาจารย์คนแรกด้วยเพื่อจะให้กำเนิดชีวิตกันใหม่ในทางที่สูงทางจิตทางวิญญาณ หรือว่าถ้าไม่ได้ให้มาโดยตรงก็เป็นการให้ชนิดที่เตรียมพร้อมไว้สำหรับการที่เราจะมีการเกิดใหม่ในทางจิตทางวิญญาณที่ดีที่สูงขึ้นไปข้างหน้า เช่นจะมาบวชเป็นพระเป็นเณรมันก็จะทำได้ง่ายทำได้ดี นี้เรียกว่าเตรียมไว้เพื่อการเกิดใหม่ที่ดีข้างหน้า ถ้าลองบิดามารดาไม่ได้ทำมาให้อย่างถูกต้อง ฉันเชื่อว่าพวกเธอนี้ไม่ได้มาบวชกันหรอกคราวนี้ มันคงมีนิสัยเลวถึงขนาดที่เกลียดการบวชไม่อยากบวช ดังนั้นเราจึงถือว่าบิดามารดาได้เตรียมจิตใจของเรานิสัยสันดานของเราให้ง่ายที่จะเกิดต่อไปในทางดี นี่ขอให้รับรู้ครูบาอาจารย์คนนี้ไว้อย่างนี้ก่อน
แล้วที่นี้ก็มาถึงครูบาอาจารย์ที่โรงเรียนที่เมื่อมันอยู่นอกขอบเขตหรือวิสัยที่บิดามารดาจะเป็นให้ได้ เขาก็เอาไปส่งโรงเรียนเพื่อเตรียมการศึกษาอันดับที่สูงขึ้นไป ครูบาอาจารย์ที่โรงเรียนที่ดีเขาก็สอนวิชาหนังสือให้ด้วย อบรมมารยาทกิริยานิสัยใจคอทุกอย่างทุกประการให้ด้วยโดยการเป็นตัวอย่างที่ดี ครูสมัยโบราณนั้นมีความหมายมากกว่าครูเดี่ยวนี้ซึ่งมักจะเป็นกันแต่เพียงผู้รับจ้างสอนหนังสือหรือวิชาชีพ ไม่ยอมรับรู้ถึงดวงจิตดวงวิญญาณในอนาคตกาลของลูกศิษย์เลย ครูเดี่ยวนี้จึงเป็นเพียงลูกจ้างรับจ้างสอนหนังสือหรือวิชาชีพ แล้วเขาพูดกันว่าครูเดี่ยวนี้ไม่ใช่สมัครเป็นครูโดยแท้จริง เป็นครูเพราะจำเป็น ไม่ได้มีอาชีพครูแล้วก็จะไปหาอาชีพอื่นที่สูงกว่าที่ดีกว่า ไม่ได้เลื่อมใสพอใจอุทิศชีวิตแก่อาชีพครูอย่างนี้ก็มี แต่ถึงอย่างไรก็ดีเขาก็ยังเป็นครูเราไม่ได้บอกให้พวกเธอชวนกันประท้วงหรือสไตรค์ครูเหล่านี้ ให้ถือว่าอย่างไรก็ดีเขาก็ยังเป็นครู ถ้าเราไปขืนดื้อไม่นับถืออย่างครูอ้ายบาปมันจะตกอยู่บนหัวเรา กลายเป็นคนดื้อคนด้านไม่ยอมมีครูบาอาจารย์และต่อไปข้างหน้ามันก็จะให้ผลเป็นอันตรายมากไปกว่านี้อีก ที่ครูบาอาจารย์เขามีให้อย่างไรก็พยายามรับไว้ให้มากให้สุดความสามารถ มีคำกล่าวที่เธอควรจะกำหนดจดจำไว้ตลอดชีวิตว่า จงเป็นศิษย์ที่มีครู คนโบราณเขาพูดกันไว้ตั้งแต่ครั้งไหนก็ไม่รู้ แต่ก็พูดไว้อย่างนี้ รับมอบต่อต่อต่อต่อกันมาจนกระทั่งฉันเอามาพูดกับพวกเธอว่า จงเป็นศิษย์ที่มีครู ที่นี้เป็นคนที่เป็นศิษย์ที่มีครูนี่คือเรื่องที่อยากจะพูด คือคนเป็นศิษย์มีครูนั้นมันละเอียดละออระมัดระวังหาสำรวมอะไรดีมากเพราะว่าเขาทำอย่างศิษย์ที่มีครู อย่างน้อยที่สุดเขาก็จะระมัดระวังรักษาชื่อเสียงของครูไม่ให้เสียชื่อเสียงของครู เมื่อฉันยังเด็ก ๆ ก็ได้รับคำเตือนจากครูอยู่บ่อย ๆ ว่าอย่าทำให้เสียชื่อครูนะในเรื่องนั้นเรื่องนี้เรื่องโน้น ครูสมัยนั้นยังเตือนลูกศิษย์อย่างนี้บ่อย ๆ ถ้าเขาเป็นห่วงว่าจะไปทำอะไรเสียชื่อครูเขาก็จะเตือนอย่างนี้ แล้วก็ระมัดระวังที่จะไม่ให้เสียชื่อครู ก็เลยทำผิดทำเลวทำสะเพร่าไม่ได้มันจึงมีผลดีแก่เรา นี่ถ้าเป็นศิษย์มีครูมันดีอย่างนี้ แต่มันยังมีอะไรที่มากกว่านั้นคือถ้าเป็นศิษย์ที่มีครูก็จะพยายามศึกษาจดจำคำพูดของครูไว้ได้ทุกคำ เพราะว่าเขาเคารพและรักครู อ้ายลูกศิษย์ที่มันไม่รักไม่นับถือครูมันไม่ฟังหรอก ถึงได้ฟังมันก็ไม่อยากจะจำ จำมันก็ไม่อยากจะเชื่อ ถึงเชื่อมันก็ไม่อยากปฎิบัติตาม นี่อ้ายพวกลูกศิษย์ที่ไม่มีครูมันเป็นอย่างนี้ ถ้ามันเป็นลูกศิษย์ที่มีครู มันคอยสอดส่องว่าครูจะพูดออกมาว่าอะไรมันคอยจำไว้หมด มันก็เอาไปประพฤติกระทำหมด ทีนี้ก็เลยเป็นผู้มีความรู้มากและทำได้ดีมาก เราเกิดมาทีหลังเราได้เปรียบในข้อที่ว่าอะไร ๆ ที่เขารู้กันมาแต่กาลก่อนเขาบันทึกไว้ สั่งสอนสืบ ๆ กันมา เหลือวิสัยที่เราจะคิดเองได้และรู้เองได้ แล้วเราก็ได้ยิได้ฟังได้รวบรวมเอามาหมดตามที่เขารู้กันอยู่แล้วแต่ก่อนอย่างไร ทีนี้เราก็เติมของเราเข้าไปใหม่ อะไรที่เราคิดได้ใหม่ คิดออกใหม่ ขยายออกไปได้ เราก็เติมเข้าไปเพราะฉะนั้นเราจึงเก่งกว่าครู คนใดทำตนเป็นลูกศิษย์ที่มีครูแล้วคนนั้นจะเก่งกว่าครูเสมอ ทีนี้คนใดมันไม่ทำตนเป็นลูกศิษย์ที่มีครู มันก็ไม่เรียนจริงไม่ฟังจริงไม่ตั้งใจรวบรวมคำสั่งสอนแต่เก่าก่อนไว้ไห้หมด มันก็กลวงอยู่ มันก็ว่างอยู่ แล้วมันก็ไม่มีอะไรที่จะคิดให้แตกออกไปเพิ่มเติมให้ขยายได้มากออกไป มันจึงมีความรู้น้อยกว่าครู ทำอะไรได้น้อยกว่าครู นี่คืออ้ายชาติคนโง่ที่เป็นศิษย์ที่ไม่มีครู ไปเทียบเปรียบเทียบกันดูถ้าเราเป็นศิษย์มีครู แล้วเรามีอะไรของครูหมดแล้วมีอะไรของเราเติมเข้าไปก็เลยได้เป็นคนที่ได้ทำอะไรดีเด่นมีประโยชน์ ถ้าต้องการชื่อเสียงก็มีชื่อเสียงมากกว่าครู ดังนั้นจะเรียกลูกศิษย์คนใดว่าเป็นศิษย์ที่ดีนั้น เราจะวัดด้วยการที่เขาทำอะไรได้ดีกว่าครูเก่งกว่าครูเสมอ ถ้าใครทำอะไรให้ดีกว่าครูไม่ได้คนนั้นมันยังเลวอยู่ ถ้าตามระเบียบ ตามที่เรียกว่าขนบธรรมเนียมประเพณีอะไรก็ตามครูต้องสอนให้ศิษย์รู้และศิษย์ก็รู้หมดที่ครูสอนให้ และศิษย์ก็บวกของตัวเข้าไป เขาจึงทำอะไรได้มากกว่าครูหรือดีกว่าครู เขาเป็นลูกศิษย์ที่แท้จริงจะต้องเป็นอย่างนี้ ถ้าลูกศิษย์คนใดทำอะไรได้น้อยกว่าครูนั้นมันเป็นศิษย์เลว มันไม่อาจจะรวบรวมของครูไว้ได้ทั้งหมดแล้วเพิ่มเติมอะไรของตัวเข้าไป ที่มันทำไม่ได้อย่างนั้นมันก็เป็นได้ทั้ง 2 ทางรวมเป็นคนเหลวไหล เป็นคนเลวก็ได้ นี่หรือว่ามันไม่ได้เลวถึงอย่างนั้น แต่ว่าอ้ายกรรมเก่าของมันมีทำให้มันไม่สามารถจะรับเอาได้ในส่วนนี้ก็มีได้เหมือนกัน แต่เราขอให้ถือกันเป็นหลักว่าเพียงแต่เราไม่ดื้ออย่างเดียวจะแก้ปัญหาได้ แล้วเราจะรับอะไร ๆ ทั้งหมดที่ครูมีให้มาแต่เก่าก่อนก็ได้มากที่สุดกว่าที่เราจะไม่สนใจ เพราะว่าเราเป็นคนดื้อ คนอวดดี คนสะเพร่า ขอให้ไปคิดดูว่าที่พูดนี้มันเป็นความจริงหรือไม่ เป็นสิ่งที่ควรยึดถือเป็นหลักหรือไม่ ถ้าเป็นศิษย์ที่ดีต้องทำอะไรได้มากกว่าครู ในเมื่ออายุมันเท่ากันฉะนั้นถ้าใครทำตนเป็นลูกศิษย์เรียกฉันว่าเป็นศิษย์ เมื่ออายุเท่ากับฉันต้องทำอะไรได้มากกว่าฉันทำ มิฉะนั้นฉันจะถือว่ามันเป็นศิษย์ที่เลว เพราะว่าเดี๋ยวนี้มันก็เป็นศิษย์ที่ไม่มีครู ไม่นับถือครู ไม่คอยสดับตรับฟัง ไม่คอยเงี่ยหูฟัง ไม่คอยเอาใจใส่ซักไซร้ให้ละเอียดละออให้หมดสิ้น ฉะนั้นลูกศิษย์บางคนกับหาว่าอาจารย์นี่โง่เสียก็มี เขาเอาความโง่ของเขามาวัดอาจารย์กลายเป็นคนโง่ไป เพราะความโง่ของเขาไม่สามารถรับเอาความรู้ของอาจารย์ไปได้อย่างนี้ก็มี หรือทำให้เข้าใจผิดไม่เห็นว่าที่สอนนั้นมันถูกก็มีแล้วก็ไม่สนใจ ตั้งตัวเป็นผู้ที่ดีกว่าอาจารย์ไปเสียตั้งแต่เดี๋ยวนี้ตั้งแต่บัดนี้ ไปทักอะไรเข้าไปบอกอะไรเข้าก็เถียง คือว่าในใจมันปฎิเสธอยู่ตลอดเวลา ฉะนั้นเขาจึงไม่ได้รับอะไรไปจากอาจารย์เต็มตามที่ควรจะได้รับเพราะว่าเขาเป็นศิษย์ที่ไม่มีครูเป็นอย่างนี้ ถ้าเขาเป็นศิษย์ที่มีครูก็ต้องเหมือนอย่างที่ว่าเมื่อตะกี้นี้ เขาจะต้องรับอะไรเอาไปได้หมดตามที่อาจารย์มีให้ แล้วทั้งหมดนั้นจะไปคลอดลูกออกไปออกมาอีกมาก มันเป็นส่วนของเขาทำให้มันงอกงามออกไปแล้วเอามาบวกกันเข้า เขาก็รู้อะไรหรือทำอะไรได้มากได้ดีกว่าอาจารย์ นี่คือความหมายของคำว่า ศิษย์ที่มีครู
ทีนี้เราจะพูดกันถึงข้อที่ว่าทำไมมันยังเกิดเป็นศิษย์ไม่มีครูขึ้นมา ถ้ามันเป็นกรรมเก่ามันก็เป็นบาปของมัน มันก็ควรจะรีบแก้ไขเสีย โดยรู้ว่าเพราะเหตุใดมันจึงเกิดอาการศิษย์ไม่มีครู อาการที่จะดื้อดึงไม่ยอมรับไม่นับถือครูขึ้นมานี้มันอันแรกที่สุดก็เป็นเรื่องของ ทิฐิ เขาเรียกว่า ทิฐิ คือความคิดเห็น ความเข้าใจผิดเรียกว่า มิจฉาทิฐิ แล้วก็ทำให้เกิดมานะถือตัว แล้วก็เกิดอัฐะ(นาทีที่27:16)เป็นความกระด้าง ถัตถะ(นาที0.27.22)นั้นคือความกระด้าง มานะถัตฐะ ก็มานะที่กระด้าง มันก็ดื้อแล้วมันก็ไม่ยอมรับเอา นี่ที่เห็น ๆ กันอยู่ว่าที่มันไม่เป็นศิษย์ไม่มีครูเพราะมันมีมานะทิฐิอย่างนี้ คนเราเมื่อมีมานะทิฐิแล้วมันก็ไม่เชื่อใครมันเชื่อมานะทิฐิของมันเอง มันก็ปิดประตูขังตัวเองไม่ให้อะไรเข้าไปได้ มันก็เต็มไปด้วยมานะทิฐิ แล้วมันก็ยังเนื่องไปถึงสิ่งอื่นว่าทำไมจึงมีมานะทิฐิอย่างนี้ ก็เพราะมันไปได้สัมผัสบางสิ่งบางอย่างเข้า ถ้าไม่ไปหลงไหลชอบใจในสิ่งอื่นอยู่ในฝ่ายผิดฝ่ายเลว ก็เกิดมานะทิฐิที่จะไม่เชื่อฟังครูบาอาจารย์ หรือว่ามันไปเกิดหลงไหลในเหยื่อของกิเลสของกามารมณ์เข้า มันก็ไม่ยินดีที่จะเชื่อฟังรับคำสั่งสอนซึ่งมันล้วนแต่ยังไม่ทำอย่างนั้น จึงเป็นคนขี้โมโหโทโส สันดานของมันเป็นคนโมโหโทโสง่ายมันก็ไม่ยอมที่จะเป็นผู้เชื่อฟังด้วยเหมือนกัน นี่คือต้นเหตุที่ทำให้เกิดเป็นศิษย์ไม่มีครูขึ้นมา เราพูดนี้ก็เพื่อว่าเธอจะได้เอาไปวัดตัวเองดู ว่ากำลังอยู่ในฐานะที่เป็นศิษย์มีครูหรือไม่ ถ้ามันไม่อยู่ในฐานะเป็นศิษย์มีครูแล้วเธอก็จะไม่ได้รับอะไรจากที่เขามีมาให้เป็นมรดกตกทอดกันมาไม่รู้กี่พันปีกี่หมื่นปีแล้ว ความรู้ของคนหลายพันปีหลายหมื่นปีนั้นให้เรามาค้นเดี๋ยวนี้ค้นลำพังตนเดี๋ยวนี้ได้ไม่พอไม่ครบหรอก ฉะนั้นเราจึงถ่ายทอดกันมาโดยรับโดยตรงดีกว่าจะมาเป็นคนหัวดื้อไม่ยอมรับจะคิดเอาใหม่จะค้นเอาใหม่เดี๋ยวนี้มันไม่พอ แม้เรื่องทางจิตใจก็ยังไม่พอ แม้แต่การที่จะตัดสินอะไรดีอะไรชั่วอะไรผิดอะไรถูกนี้มันก็ยังไม่พอ เราก็ยอมรับตามที่ท่านได้รู้และได้สอนสืบ ๆ กันมาว่าอะไรดีอะไรชั่วอะไรผิดอะไรถูกเข้าเอาไว้ก่อนแล้วก็ไปศึกษาเพิ่มเติมได้
แม้เรื่องทางวัตถุเขาก็ต้องทำอย่างนั้น ให้คนคนหนึ่งในปัจจุบันนี้เป็นนักวิทยาศาสตร์ชั้นเอกทำอะไรได้ไปโลกพระจันทร์ได้นี้มันก็อาศัยความรู้มาแต่เก่าก่อน ตั้งแต่คนสมัยหินนั้นเขาได้รู้ได้ทำอะไรบางอย่างบอกสอนไว้เป็นหลักง่าย ๆ เบื้องต้นสืบ ๆ กันมาสืบ ๆ กันมาจนเกิดวิชานั่นนี่เสริมขึ้นมาเรื่อยเสริมขึ้นมาเรื่อยเป็นวิชาพื้นฐานเป็นเรื่องทางธรรมชาตินี้ คนเดี๋ยวนี้ไม่ต้องมาคิดค้นอย่างนั้นอยู่ อย่างรับเอามาแล้วก็ศึกษาพิสูจน์แล้วก็รู้ตามนั้นจริงในเวลาอันสั้นแล้วมันจึงทำอะไรได้มากไม่น่าเชื่อ เรื่องทางจิตใจนี้ก็เหมือนกันให้เราลองรับเอาคำสั่งสอนของบัณฑิตทั้งหลายมีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขที่สอนสืบ ๆ กันมาเป็นพัน ๆ ปีเอามาเป็นเดิมพัน เรามีเดิมพันมากแล้วก็ทำให้เป็นกำไรงอกงามออกไปแตกออกไปใหม่ออกไป จะว่าที่จริงเมื่อเป็นเรื่องของการดับทุกข์แล้วเราดูจะไม่ต้องมีรู้อะไรใหม่แปลกออกไปจากการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ถ้าจะมีอะไรแปลกใหม่ออกไปก็เป็นเรื่องปลีกย่อยเป็นเรื่องฝอย เป็นเรื่องวิธีการอะไรบางอย่าง อยู่ที่จะใช้ให้มันเหมาะสมกับอ้ายชีวิตในแบบปัจจุบันในโลกปัจจุบัน ดังนั้นเรายินดีเป็นศิษย์ที่มีครูมาตั้งแต่พระบรมครูคือพระพุทธเจ้า มาถึงครูบาอาจารย์ทุกระดับแล้วก็ลงมาถึงบิดามารดาซึ่งเป็นครูคนแรกแล้วก็ยังเป็นครูอยู่ก็ได้ เดี๋ยวนี้ยังมีอะไรที่สามารถจะสอนลูกสอนหลานที่โตแล้วแต่งงานไปแล้วก็ยังได้ ต้องมีอะไรดีกว่าอ้ายลูกหลานชนิดนี้ เพราะว่าอ้ายลูกหลานนั้นแต่งงานแล้วยังต้องกลับมากราบขอเงินพ่อแม่อยู่อีก เอาละทีนี้พูดถึงคำว่าครูกันให้ชัดเจนสักหน่อย คำว่าครูตามตัวหนังสือในภาษาอินเดียนั้นมีความหมายมากมีความหมายสูงกว่าอาจารย์เสียอีก อาจารย์เป็นเพียงผู้ฝึกมารยาท จะเห็นได้ง่าย ๆ ส่วนครูนั้นเป็นผู้เปิดประตูทางวิญญาณ คำว่าอุปัชฌาย์นั้นความหมายของเขาเป็นเพียงสอนวิชาชีพหรือว่าชักนำเข้ามาสู่อาชีพใดอาชีพหนึ่ง ความหมายตามคำพูดนั้นยังสู้คำว่า ครู ก็ไม่ได้ แต่เดี๋ยวนี้ครูมาทำเสียชื่อของคำว่าครูมันก็เปลี่ยนไป จะมาพูดถึงคำว่าครูกันดีกว่า เพราะถือว่าอ้ายรากศัพท์คำนี้มันมีความหมายว่าผู้เปิดประตูหรือเปิดช่องในทางวิญญาณคือทางจิตใจ ไม่ค่อยได้เล็งมาถึงทางวัตถุทางเนื้อหนังทางร่างกาย แต่คำว่าทางจิตทางวิญญาณนี้ก็หมายถึงวิชาความรู้ทุกแขนง จนเรียนหนังสือนี่ก็ทำให้ฉลาดก็เป็นเรื่องวิญญาณเหมือนกัน คำว่าเปิดประตูเปิดช่องนี่ก็หมายความว่า ทำช่องไว้ให้โล่งเป็นปล่องไปเลย แล้วเราก็เดินตามช่องหรือล่องทางอันนั้น เหมือนกับมันเป็นป่าทึบถ้ามีใครมาเจาะช่องโล่งโถงเป็นทางไว้ให้เลย เราออกมาก็เดินสบายก็เดินไปตามช่องนั้นสบาย หรือว่าทางนั้นเขาไม่ได้ทำให้มันเตียนให้มันเดินโล่งสบายแต่ก็ทำแนวไว้ให้ เราก็เดินได้ถูกไม่หลงทาง หรือมันดีกว่าที่มันจะไม่มีร่องรอยวี่แววแนวทางอะไรเสียเลย ทีนี้มานึกถึงพ่อแม่พอคลอดลูกออกมาแล้วทำตนเป็นครูคนแรกแล้ว มันก็เท่ากับเจาะช่องอะไรไว้ให้เดินนะ เธอดูให้ดี ๆ นะ บิดามารดาได้เจาะช่องสำหรับอนาคตไว้ให้เธอแล้ว ด้วยการอบรมเธอผิดหรือถูกชนิดไหนก็ตาม ถ้าเขาได้ใส่อะไรลงไปในจิตในวิญญาณของเธอสำหรับเธอจะต้องเดินไปตามแนวนั้นน่ะ ฉะนั้นมันจึงเหมือนกับว่าบิดามารดาเป็นครูคนแรกได้เจาะช่องแนวทางอะไรไว้แล้ว พอเธอออกมาก็จะเดินไปตามแนวนั้น คือตามนิสัยหรือตามอุปนิสัยที่เขาได้ถ่ายทอดไว้ให้ใส่ไว้ให้ แล้วมันก็จะต้องเดินไปตามแนวนั้น นี่กิริยาอาการที่เรียกว่าผู้เปิดประตูทางวิญญาณ ทีนี้ครูบาอาจารย์ก็เหมือนกัน ถ้าเป็นครูบาอาจารย์ที่ดีก็ถ่ายทอดอะไรที่ดี ๆ ลงไปในชีวิตจิตใจของเด็ก เกิดเป็นนิสัยเกิดเป็นอุปนิสัยอย่างเดียวกันอีก อ้ายเด็กคนนั้นมันก็เดินไปตามช่องนั้นทางโล่งอันนั้น ทีนี้เป็นครูทางจิตทางวิญญาณโดยตรงเป็นเรื่องทางศาสนา สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ได้เจาะช่องทางเปิดโล่งไว้ให้สัตว์ที่จะได้เดินออกจากความทุกข์ไปสู่ความดับทุกข์ เดินออกมาเสียจากที่มืดคืออวิชชา ออกมาสู่ที่สว่างพ้นปัญหาดับทุกข์ทั้งปวงได้ยิ่งกว่าครูบาอาจารย์พวกไหนหมด ดังนั้นเราจึงเรียกท่านว่า สมเด็จพระบรมครู ที่พูดว่าพระบรมศาสดานั้น คำว่าศาสดาแปลว่าครู บรมศาสดาคือบรมครู เพราะสอนสิ่งสูงสุดสอนแก่ทุกคน แม้แต่ครูบาอาจารย์หรือบิดามารดาของเราก็ได้รับแสงสว่างจากพระบรมครู ก็จึงถือว่าครูทุกคนขึ้นสังกัดอยู่กับพระพุทธเจ้า ถ้ามันเป็นครูที่แท้จริงมันต้องขึ้นสังกัดอยู่กับพระพุทธเจ้า ได้เจาะช่องทางวิญญาณให้โล่งโล่งโล่งโล่งไว้สำหรับสัตว์ทั้งหลายมันจะได้เดินไปมันจะได้ออกไป แล้วถ้าว่าครูคนใดไม่ได้ทำอย่างนั้น เห็นแต่ประโยชน์สอนเอาเงินเดือนอย่างเดียวแล้วโกงเวลาโกงอะไรด้วย อ้ายครูคนนี้มันก็ไม่ได้ขึ้นสังกัดอยู่กับพระพุทธเจ้า แล้วไม่ควรจะเรียกว่าครูด้วย ไม่ทำอะไรให้สมตามความหมายของคำว่าครู คือผู้เปิดประตูทางวิญญาณเสียเลย การที่เธอบวชระหว่างปิดภาคนี้มันก็เหมือนกับว่าปลีกตัวออกมาศึกษาอะไรพิเศษออกไปจากที่จะศึกษาได้จากโรงเรียน คล้าย ๆ มาหามาสอดส่องมามองมาคลำให้พบร่องรอยทางที่ดีพิเศษเหนือกว่าทางใด ๆ จะช่วยให้ทางอื่น ๆ นั้นมันมารวมอยู่ที่นี่ มารวมอยู่ที่ทางนี้แล้วก็เป็นไปได้โดยสะดวกสบาย คิดดูทีว่าเป็นศิษย์มีครูกับเป็นศิษย์ไม่มีครูอันไหนมันจะดีกว่ากัน ถ้าถามให้มันฟังง่ายตอบง่าย มันก็ถามว่าการที่มีพระพุทธเจ้าเป็นครูกับการที่ไม่มีพระพุทธเจ้าเป็นครูมีอันไหนมันจะดีกว่ากัน ถึงแม้ครูที่รองลงมาก็เหมือนกันแหละ การที่เป็นศิษย์มีครูกับเป็นศิษย์ไม่มีครูมันก็ไม่ใช่ศิษย์อันไหนจะดีกว่ากัน ถ้าเป็นศิษย์ที่ถูกต้องมันก็ต้องมีครูไม่เช่นนั้นเขาก็ไม่เรียกว่าศิษย์ ที่เป็นศิษย์ขึ้นมาได้ก็เพราะว่ามีครู แล้วก็อย่าลืมว่าบิดามารดานั้นเป็นครูคนแรกโดยอัตโนมัติโดยไม่ต้องมีใครจ้างออนให้เงินเดือนอะไรเลย ท่านก็เป็นครูมาเสร็จแล้วโดยอัตโนมัตินี้ก็อย่าลืมเสีย บิดามารดาถึงจะไร้การศึกษาอย่างไรก็ยังสอนถูกต้องอยู่นั่นแหละ เพราะมันมีต้นทุนคือความรัก มันอยากจะให้ลูกดี นึกได้อย่างไรว่าลูกมันจะดีแล้วก็จะบอกอยู่เรื่อยไป เพราะว่ามันผิดไม่ได้ อ้ายลูกเสียอีกมันจะโง่ มันก็จะไม่เชื่อบิดามารดา เพราะว่าบิดามารดาไม่เคยเล่าเรียนไม่เคยเข้าโรงเรียนไม่เคยเข้ามหาวิทยาลัย อย่างนี้มันไม่จริง บิดามารดายังมีอะไรที่รู้แล้วดีกว่าสำคัญกว่าอ้ายความรู้ที่ได้มาจากมหาวิทยาลัยเสียอีก ข้อนี้ก็มันขึ้นกันอยู่กับสถานะของบิดามารดาขนบธรรมเนียมประเพณีอะไรอยู่มากด้วย แม้ว่าท่านไม่ได้เรียนอะไรในโรงเรียน แต่ว่ามันเรียนอยู่โดยขนบธรรมเนียมประเพณีที่ถือกันมาอย่างมั่นคงรักษาไว้กันอย่างมั่นคง ฉะนั้นจึงตั้งอยู่ในสุจริตเป็นคนซื่อตรง ขยันขันแข็ง เป็นคนกลัวบาปและกล้าบุญ บรรพบุรุษของเรากลัวบาปและกล้าบุญ ไม่เหมือนสัตว์อันธพาลสมัยนี้มันไม่รู้จักกลัวบาปและกล้าบุญ มันกลับไปกล้าบาปและกลัวบุญ มันกลัวบุญจะทำให้หมดความสนุกสนานเอร็ดอร่อย มันก็ไปชอบบาปที่เป็นโอกาสให้ได้สนุกสนานเอร็ดอร่อย แล้วก็ลองคิดดูเถิดว่าอ้ายคนที่ไม่เคยเรียนในมหาวิทยาลัยแล้วกลัวบาปแต่กล้าบุญนี่มันยังดีกว่า อ้ายคนที่มันเรียนในโรงเรียนเรียนในวิทยาลัยในมหาวิทยาลัยมันก็ยังไม่รู้จักบาปจักบุญ มันไม่ซื่อตรงต่อบาปและบุญ มันไม่ซื่อตรงต่อความผิดถูกชั่วดี ฉะนั้นให้เคารพบิดามารดาตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ท่านเป็นอาจารย์คนแรก แล้วเป็นพระพรหมของบุตร คือผู้ที่หวังดีต่อบุตรไม่มีใครเท่าเทียมได้ แล้วก็เป็นอาหุนัยยะบุคคล(นาทีที่43.09.7)ของบุตร คือเป็นพระอรหันต์ของบุตร เป็นเนื้อนาบุญของบุตร นี่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้อย่างนี้เธอลองเอาไปคิดดู จะได้เคารพนับถือซื่อตรงกตัญญูต่อครูคนแรกคือบิดามารดา เอ้า,ทีนี้ถ้าเธอสร้างนิสัยอย่างนี้สำเร็จในตอนนี้แล้วมันก็กลายเป็นนิสัยที่ว่าจะเคารพครูเชื่อฟังครูอะไรกันมา พอมาอยู่โรงเรียนก็ไม่เป็นไรมันก็คงมีนิสัยนั่นติดมา แล้วก็มาเป็นเด็กที่ดีกอบโกยวิชาความรู้จากครูบาอาจารย์ออกไปเป็นศิษย์มีครูอีกต่อหนึ่ง จนกระทั่งเป็นนิสัยที่ฝังแน่น ที่นี้จะมาบวชมาเรียนเป็นพระเป็นเณรปฏิบัติเพื่อจะบรรลุมรรคผลนิพพานก็ทำได้ง่าย เพราะมันเป็นศิษย์มีครูมาทุก ๆ ตอน มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องมีครู ฉันอยากจะพูดว่า อ้ายพวกเณร ๆ เหล่านี้สมัยนี้เดี๋ยวนี้นะถ้าใช้ปิ้งปลาก็แทบจะกินไม่ได้ แต่คนโบราณเขาสอนว่าเราเป็นศิษย์มีครูแม้แต่จะปิ้งปลาก็ยังต้องมีครู มีครูสอนให้ปิ้งปลาอย่างไรจึงจะเป็นปลาที่ปิ้งแล้วดีมีรสดีมีสีสรรดี มีอะไรดีแล้วก็อร่อยดี แม้แต่จะปิ้งปลากินมันยังต้องเป็นศิษย์ที่มีครู เพราะเขาก็สนใจกันอย่างนั้นจริง ๆ แม้ฉันก็ได้รับคำสั่งสอนในเรื่องนี้ว่าแม้แต่ในการปิ้งปลาให้ดีอย่างไร เด็ก ๆ สมัยนี้อาจจะไม่มีโอกาสได้รับคำสั่งสอนว่าปิ้งปลาให้ดีอย่างไร เพราะมันเตลิดเปิดเปิงไปไหนไม่ยอมทำงานอย่างนี้ ไม่ช่วยบิดามารดาในเรื่องอย่างนี้ แล้วบิดามารดาสมัยนี้ก็มักจะโง่เขลาปล่อยลูกปล่อยหลานให้ตามใจมากเกินไปด้วยความรัก อ้ายลูกมันก็กระทำไม่เป็นแม้แต่จะปิ้งปลาให้ดีที่สุดมันก็ทำไม่เป็น เพราะว่าจะปิ้งปลามันก็ยังต้องเป็นศิษย์มีครู ทุกอย่างที่มันยากไปกว่าเรื่องปิ้งปลานี่มันก็ต้องมีครู แม้แต่หุงข้าวมันก็ต้องมีครู แม้แต่ผ่าฟืนมันก็ยังมีครูมันจึงจะผ่าได้ดีได้เร็วได้ปลอดภัยเป็นต้น ก็ลองคิดดูว่าเราจะเรียนในโรงเรียนนี่มันต้องมีครูที่ช่วยจ้ำจี้จำไชให้ จะเรียนจะเขียนจะอ่านจะออกเสียงในภาษานั้น ๆ มันก็ต้องมีครู ถ้ายึดหลักครูมันก็ผิดไม่ได้ มันมีแต่จะดียิ่ง ๆ ขึ้นไป ที่มันเถลไถลมันไม่เชื่อครูนั้นน่ะมันก็เป็นความโง่ของมันเอง ครูก็บอกให้ว่า ลอเป็นลอ(นาทีที่46.33.2) ให้ว่ารอเป็นรอ อ้ายเด็ก ๆ มันก็กลับกันเสีย เอารอเป็นลอ เอาลอเป็นรอ พอมาใช้กับภาษาบาลีเข้ามันก็บ้าเลย ภาษาบาลีถ้าไปเปลี่ยนตัว รอเป็นตัวลอ(46.49 )อะไรเข้าความหมายมันก็เปลี่ยนตรงกันข้ามไปเลยก็มี ใช้ไม่ได้เลยก็มี ฉะนั้นเธอเป็นคนหนักแน่นเคารพต่อระเบียบต่อคำสั่งบังคับบัญชาของครูกันดีกว่า จะได้ชื่อว่าเป็นศิษย์ที่มีครูเพราะเหตุนี้ ขอให้ทำให้สำเร็จประโยชน์ การที่เราบวชเดือนหนึ่งคราวนี้ก็เพื่อจะหัดนิสัยส่วนนี้ หัดนิสัยกลายเป็นคนที่มีศิษย์(นาทีที่47:25:8)เป็นศิษย์ที่มีครูให้จนได้ เรามาฝึกหัดอดทนลำบากปฏิบัติตามคำสั่งของผู้ฝึกฝนเรา ถ้าเราเป็นศิษย์มีครูเรายอมทำทุกอย่างจะลำบากเหนื่อยยากอย่างไยอมทำทุกอย่างมันก็เกิดนิสัยที่เป็นศิษย์มีครูขึ้นมา ถ้าเธอไม่ยอมเธอดื้อดึงเธอหลบหนีไปเสีย บางทีเธอก็ต่อสู้ประท้วงหรือชวนกันด่าอาจารย์ก็มีมันก็เป็นศิษย์มีครูไม่ได้ การที่เรามาฝึกฝนกันให้อยู่ในระเบียบวินัยตลอดเวลาหนึ่งนี้มันก็ปรับปรุงให้เป็นศิษย์ที่มีครูได้เป็นอย่างมากทีเดียว หรือว่ามันจะถึงกับแก้นิสัยเลว ๆ ที่เคยเป็นศิษย์ไม่มีครูมาแต่ก่อนนั้นให้มันเปลี่ยนเสียใหม่ เพราะเคยเป็นศิษย์ไม่มีครูมาแต่ก่อนเดี่ยวนี้มาเปลี่ยนเสียใหม่ เราจะไม่วิพากษ์วิจารณ์ครู ประท้วงครูเหมือนอ้ายเด็กเห่อประชาธิปไตยสมัยนี้ เราทำที่เราเห็นว่าถูกก็ได้แต่เราก็ไม่ต้องไปดื้อ แต่ถ้าเราเป็นประชาธิปไตยแบบเลยเถิดไปแล้วเราก็จะไม่ฟังอะไรเสียเลย นี้เรียกว่ามาฝึกความอ่อนน้อมถ่อมตนซึ่งเป็นของสำคัญมาก ถ้าเป็นคนกระด้างแล้วก็ไม่มีทางที่จะเป็นศิษย์ที่มีครูแล้วก็จะล้มเหลวในส่วนอื่น ๆ ด้วย โดยเฉพาะล้มเหลวในทางธรรมะเรื่องของมรรคผลนิพพาน นี่บอกให้รู้ว่าเรื่องของภิกษุสามเณรที่จะบรรลุมรรคผลนิพพานนั้นต้องการความเป็นคนว่านอนสอนง่าย ที่เรียกว่า โสวัจจะสัตตา (49.29.8) สุวโจ จฺสส มุทุ อะนะติมานี(49.35.3) เป็นสูตรสูตรหนึ่งซึ่งแสดงคุณสมบัติของผู้ที่จะเป็นอริยบุคคล สุวโจแปลว่าเป็นคนว่าง่าย มุทุเป็นคนอ่อนโยน แล้วก็อนติมานี ไม่จองหอง ไม่ดื้อ ไม่กระด้าง
บุญชูเป็นคนซื่อ สุบุญชู(นาทีที่50:01)เป็นคนซื่อ ซื่อตรงอย่างดี มันก็จะเป็นเรื่องของศิษย์มีครูทั้งนั้นแหละ จึงจะเป็นพระอริยบุคคลเช่นพระโสดาบันเป็นต้นได้ ถ้าต้องการความอ่อนโยน ความเชื่อฟัง ความว่าง่าย สอนง่าย ถ้าใครไม่มีคุณธรรมเหล่านี้แล้วก็ยากที่จะหมดหนทางเสียทีเดียวที่จะเป็นศิษย์มีครู เมื่อเป็นศิษย์ไม่มีครูแล้วมันก็เคว้งคว้างไปตามเรื่องของมานะทิฐิ มันก็เหมือนกับว่าทำลายตัวเอง ไม่มีครูแล้วก็คือไม่มีร่องรอย สำหรับจะเดินตรงไปถูกทางได้ นี้คือเปิดประตูทางวิญญาณไว้โดยครูบาอาจารย์ เปรียบเหมือนอีกอย่างก็ได้ เช่นว่าคอกเล้าที่มืดมิดเหม็นสกปรกนี่ อ้ายสัตว์ที่อยู่ในคอกถูกขังอยู่ในคอกนั้นควรจะได้รับการเปิดประตูให้ออกมาจากคอกมาสู่แสงสว่างมาสู่ที่สะอาดมาสู่ที่สบาย เหมือนกับสัตว์ทั้งหลายนี่มันถูกขังอยู่ในคอกของความโง่ของทิฐิมานะของอวิชชาที่ทำให้ดื้อดึงเป็นศิษย์ไม่มีครู ต้องย้ำตรงนี้อีกว่า อวิชชาความโง่ทิฐิมานะความกระด้างมันเป็นเหมือนกับคอกที่มืดที่สกปรกที่ไม่น่าอยู่ ทีนี้ครูก็คือผู้ที่เปิดประตูให้สัตว์เหล่านั้นออกมาเสียจากคอกเหล่านั้น คอกแห่งมิจฉาทิฐิ แล้วก็มาสู่แสงสว่างได้รู้อะไรเป็นอะไรแล้วก็สะดวกสบาย ทำไมจึงพูดเรื่องนี้มากนัก ก็เพราะว่าอ้ายโลกนี้จะอยู่ได้เพราะความมีครูเป็นผู้เปิดประตู เราไม่มีบุคคลชนิดครูนี่โลกนี้มันจะวินาศแล้ว วินาศเสียก่อนหน้านี้แล้ว ทีนี้ก็มีผู้เปิดประตูอยู่บ้างแม้ไม่สูงสุดมันก็เป็นเรื่องเปิดประตู แล้วอีกอย่างหนึ่งฉันจะพูดรุนแรงว่า ถ้าพวกเธอจะไม่เสียชาติเกิดแล้วละก็จงพยายามเป็นครูต่อไปในอนาคต นี่เธอจะต้องพยายามเป็นครูผู้เปิดประตูให้คนที่มาทีหลังจากเธอต่อไปอีก ถ้าสมมุติว่านะถ้าเธอสึกออกไปมีภรรยามีบุตรแล้วเธอก็ต้องเป็นครูอย่างที่ว่า ไม่อย่างนั้นมันเสียชาติเกิดนะที่เกิดมาทำแต่ความเสื่อมนะไม่ได้ทำความเจริญ ไม่ได้ทำโลกนี้ให้งดงาม แล้วก็ไม่ควรจะอยู่ในโลกนี้ไปตายเสียดีกว่า แล้วเรายังต้องทำตนให้เป็นผู้มีแสงสว่างในทางวิญญาณสำหรับตัวเราช่วยเราได้ เพราะอาศัยครูบาอาจารย์ที่ดีที่ทำหน้าที่นี่สืบ ๆ กันมา แล้วพอเราโตขึ้นเราก็ทำหน้าที่นั้นสืบต่อไปอีก เป็นครูที่ดี อย่างน้อยก็เป็นครูคนแรกของลูกหลาน เป็นครูบาอาจารย์ต่อ ๆ กันไปเสียตั้งว่าจะเป็นผู้บรรลุธรรมะอันสูงสุด แล้วก็สอนธรรมะสืบสืบต่อ ๆ กันไป ก็มีความเป็นครูที่สมบูรณ์ ใครจะหลีกความเป็นครูพ้น ถ้าหลีกพ้นก็ดีไปหลีกไม่พ้นแล้วมันก็คือความเลวร้ายความเสียหาย จนถึงกับใช้คำว่าเสียชาติที่เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วพบพระพุทธศาสนา แล้วก็เดี๋ยวนี้เราจะไม่ให้เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์และพบพระพุทธศาสนาถึงจะเป็นมนุษย์ที่ดี มีจิตใจสูงเป็นศิษย์มีครูไปตั้งแต่บัดนี้ ก็จะเป็นมนุษย์ที่ดีมีจิตใจสูงได้ แล้วก็จะเป็นครูสืบต่อ ๆ กันไปไม่ขาดสาย ก็จะเป็นโชคดีของโลกนี้ที่มันจะไม่วินาศในอนาคต
นี่คือเรื่องครูบาอาจารย์ ส่วนเราเป็นลูกที่ดีของบิดามารดา แล้วก็เขยิบกันมาเป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ เพียงสองอย่างนี้ก็จะปลอดภัยในกาลข้างหน้าที่จะเป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อน เป็นพลเมืองที่ดีของชาติ เป็นสาวกที่ดีของศาสนา ก็ขอให้ตั้งต้นด้วยการเป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา เป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์จึงจะเวันเสียไม่ได้ จึงได้เอามาพูดเป็นเรื่องแรก ๆ สำหรับจะพูด ทีนี้ถ้ามันพูดรุนแรงหรือเธอรู้สึกว่ากระทบกระเทือนก็ขอให้เข้าใจเลยว่า ฉันก็ซื่อตรงต่อหน้าที่ของครูบาอาจารย์ ฉันจะพูดเอาอกเอาใจประจบสอพอกับพวกเธอไม่ได้ แล้วก็ทำไม่เป็น ก็พูดออกไปตรง ๆ อย่างนี้แล้วมันอาจจะออกไปรุนแรงกระทบกระเทือนบ้าง ก็ขอให้ถือว่ามันเป็นหน้าที่ที่ต้องทำอย่างนั้น ถ้าพูดเพราะ ๆ มีประโยชน์ก็จะพูดเพราะ ๆ เหมือนกัน คือบางกรณีมันทำอย่างนั้นไม่ได้ มันก็พูดตรง ๆ แรง ๆ มันก็ไม่ไพเราะมันก็ต้องพูดอย่างนั้นเหมือนกัน มันก็เหมือนกับว่าบางทีมันก็ต้องใช้มีดเฉือนเนื้อร้ายให้มันหมดไป มันจะเจ็บบ้างก็เพื่อมันจะได้หาย เหมือนกับการกินยานี้มันจะขมบ้าง ก็เพื่อจะให้โรคนั้นมันหาย ฉะนั้นถ้าเธอจะเป็นศิษย์มีครูแล้วก็เธอยินดีรับฟังคำพูดแม้ว่าจะไม่ไพเราะให้ถูกต้องตามพระพุทธวจนะที่ว่า คำสอนถึงแม้จะหยาบคายดุดันมันก็เป็นการชี้ขุมทรัพย์ ให้ทุกคนถือว่าคำพูดของบิดามารดาครูบาอาจารย์เป็นคำชี้ขุมทรัพย์ แม้ว่าบางทีมันจะฟังเป็นคำดูเป็นคำด่า อย่าไปหวังว่าอย่าไปคิดอย่าไประแวงว่าจะเป็นคำด่า ให้ถือว่าเป็นคำชี้ขุมทรัพย์เสมอไป เพราะว่าเป็นคำที่กรุยทางเปิดช่องให้โล่งไปสำหรับเธอจะเดินไปในอนาคตนั้นเอง ตอนแรกก็คิดว่าการพูดเรื่องความหมายของครูบาอาจารย์โดยใจความที่สำคัญนี่ก็พอสมควรแล้ว จะหยุดพูดแล้ว จะเตือนคำสุดท้ายว่า เธอทั้งหลายจงเป็นศิษย์ที่มีครูแล้วจงเจริญงอกงามก้าวหน้าไปตามทางของมนุษย์ที่มีจิตใจสูงอยู่ทุกทิวาราตรีกาลเถิด เอ้า, พอกันที