แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
สามเณรทั้งหลาย ฉันขอแสดงความยินดี ในการกระทำของพวกเธอและได้มาพบกันนี้ และยินดีที่จะประพฤติประโยชน์ให้แก่พวกเธอตามที่จะทำได้ รู้สึกว่าการซ้อมความเข้าใจให้เป็นไปถึงที่สุด ให้ชัดเจน แจ่มแจ้ง ให้มั่นคง นี่คงอาจจะมีประโยชน์มาก ที่แล้วมามักจะทำอย่างใจลอย คือทำไปอย่างนั้นแหละ ไม่มีอะไรที่ชัดเจน แน่นแฟ้น มั่นคง ฝังรกฝังรากลงไปในจิตใจ แม้ที่สุดแต่การเรียนก็มักจะเป็นเสียอย่างนั้น นั่นแหละคือไม่สำเร็จประโยชน์ในอนาคต
ทีนี้เรามาบวชเณรอบรม ถ้าว่ามีการอบรมไปอย่างถูกต้องตามแบบแผนมันจะสร้างความเข้มแข็งมั่นคง เอาจริงเอาจัง มีความรู้สึกรับผิดชอบเต็มที่ในการกระทำที่เราจะทำต่อไปหรือว่าจนตลอดชีวิต มันเหมือนกับมาฝึกฝนตามขั้นตอนของความเป็นคนให้ถูกต้องและบริบูรณ์ ซึ่งเป็นเรื่องของธรรมะนั่นเอง ช่วยจำไว้ทุกคนว่า ธรรมะ คือ ระบอบการปฏิบัติที่ถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์ทุกขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการของเขา ธรรมะ คือระบอบการปฏิบัติที่ถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์ทุกขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการของเขา นี่คือธรรมะ หมายถึงการกระทำ ไม่ใช่การเรียน การท่องจำ การจดไว้ในสมุด หรือการสวดร้องท่องบ่นอะไรก็ยังไม่ถึงขนาด ถ้าถึงขนาดมันก็ต้องเป็นการกระทำ และการกระทำนั้นไม่ใช่อย่างเดียว เราจึงใช้คำว่าระบอบหรือระบบ การบวชเณรคราวนี้ เธอต้องประพฤติอะไรหลายอย่าง เป็นหมวดเป็นหมู่ นั่นเขาเรียกว่าระบบ เป็นระบบ ระบบของการประพฤติปฏิบัติกระทำที่ถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์ ก็เพื่อให้มันเป็นมนุษย์ที่ถูกต้องและสมบูรณ์ทุกขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการ ตั้งแต่คลอดจากท้องแม่มาตามลำดับๆ จนบัดนี้แล้วก็เรื่อยๆไป จนกว่าจะแก่เฒ่า เข้าโลง นี่ทุกขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการ คนเราจะต้องประพฤติปฏิบัติทำให้ถูกต้องต่อความเป็นคนหรือเป็นมนุษย์ของเรานี้จนตลอดชีวิต เดี๋ยวนี้วิวัฒนาการของเธอในระดับนี้ก็ด้วยเป็นยุวชน เป็นสามเณร เป็นเด็ก เด็กเล็ก เด็กโต เขาเรียกว่าวิวัฒนาการตอนหนึ่งๆ และเธอต้องมีการประพฤติกระทำให้ถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์ของเธอในขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการที่เป็นเด็ก
อยากจะบอกให้รู้ถึงหลักทั่วไปแต่โบราณโน้น ในประเทศอินเดียซึ่งเป็นรากฐานต้นตอของวัฒนธรรมของทวีปเอเชียหรือซีกโลกส่วนนี้ ได้รับวัฒนธรรมได้จากประเทศอินเดียแต่เก่าก่อน เขาก็มีหลักเกณฑ์ ระบบวัฒนธรรม เมื่อคนเราจะเป็นมนุษย์ให้ถูกต้องและสมบูรณ์ที่สุดนั้น ให้แบ่งออกเป็น ๔ ตอน ตอนที่ ๑ เป็นพรหมจารี ที่หมายถึงก่อนแต่งงาน ก่อนสมรส ก่อนแต่งงานลงมาจนกระทั่งเป็นเด็กเล็กๆ เรียกว่าพรหมจารีหมด แปลว่าผู้ประพฤติประเสริฐที่สุด เด็กตัวเล็กๆก็ต้องประพฤติให้ดีที่สุด ในการที่จะเป็นเด็กให้สมบูรณ์แบบ วัยรุ่นประพฤติดีที่สุด มีธรรมะดีที่สุด สมบูรณ์แบบ หนุ่มสาวเต็มที่ก็ต้องประพฤติให้ดีที่สุดให้สมบูรณ์แบบ ไม่ใช่เหมือนหนุ่มสาวสมัยนี้ไม่มีการประพฤติถูกต้องสมบูรณ์แบบ ซ่อนเร้นกิเลสต่างๆนานาไว้ไม่ถูกต้องตามวัฒนธรรมนั้น ก็แปลว่าก่อนสมรส ก่อนแต่งงาน เขาเรียกว่าพรหมจารี ทั้งหญิงทั้งชายมีระเบียบวินัยประพฤติปฏิบัติอย่างไร ก็อดกลั้นอดทนประพฤติดีที่สุด เป็นเด็กที่ดีที่สุด เป็นคนวัยรุ่นที่ดีที่สุด เป็นคนหนุ่มคนสาวที่ดีที่สุด หามลทินมิได้ นี่ขั้นตอนหนึ่ง เกี่ยวกับพรหมจารี ไม่ชิงสุกก่อนห่าม จนกว่าจะถึงขั้นตอนที่ ๒ คือเป็นคฤหัสถ์ นี่ครองเรือนสมรส แต่งงานมีครอบครัวก็ทำดีที่สุด มันคนละแบบกับเมื่อก่อนแต่งงาน เดี๋ยวนี้มาถึงวัยสมรส แต่งงานเป็นพ่อบ้านแม่เรือนก็ดีที่สุดตามแบบของพ่อบ้านแม่เรือน นั้นมันก็ไม่เหลวไหล มันก็ตั้งตัวได้ มันไม่ประพฤติอบายมุขคือความฉิบหาย เป็นพ่อบ้านแม่เรือนที่ดีไป ๑o ปี ๒o ปี ๓o ปีก็แล้วแต่ ก็มีความเป็นพ่อบ้านแม่เรือนที่ดีที่สุดที่สมบูรณ์แบบ นี่เรียกว่าขั้นตอนที่ ๒ ขั้นตอนที่ ๓ เขาเบื่อที่จะเป็นคนครองเรือน ทนทุกข์อยู่ในการครองเรือน เขาออกไปบวช ไปสู่ที่สงัด ไปอยู่ในป่า ที่เรียกว่าไปบวช เลิกบ้านเลิกเรือนแล้วก็ไปบวช ก็เป็นพระที่ดี เป็นนักบวชที่ดี เป็นฤาษีที่ดี เป็นมุนีที่ดี อยู่ในป่าไม่ยุ่งกับใคร นอกจากยุ่งกับจิตใจในภายใน ศึกษาปฏิบัติจนเข้าใจแจ่มแจ้ง ทะลุปรุโปร่ง ในการที่จะควบคุมจิตใจให้มันสงบเย็น จะกี่ปีก็ตามใจเรียกว่าผู้อยู่ป่า นี่มันขั้นตอนที่ ๓ พอถึงขั้นตอนที่ ๔ เขายังไม่ตาย ประโยชน์ส่วนตัวเขาก็ได้เต็มที่แล้ว เขาก็นึกถึงเพื่อนมนุษย์เขาก็กลับจากป่ามาสู่เมืองมนุษย์อีก เพื่อทำประโยชน์แก่มนุษย์ทั้งหลาย เขายังเที่ยวไปในหมู่มนุษย์ เพื่อจะตอบปัญหาตอบคำถามหรือว่าสั่งสอนอะไรต่างๆตามที่มีผู้ต้องการจะทราบ คนเหล่านี้เขาก็ตอบได้ดี นักบวชเหล่านี้เขาเรียกว่า สันยาสี เมื่ออยู่ป่าเรียกว่า วนปรัสน์ เมื่อออกป่ามาสอนคนเรียกว่า สันยาสี อย่างพระพุทธเจ้าของเรานี่ก็เป็นสันยาสี หลังจากการอยู่ป่าถึงที่สุดแล้ว ก็ออกมาเกี่ยวข้องกับมนุษย์ นักบวชที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ เที่ยวไปในหมู่มนุษย์เขาเรียกว่า สันยาสี เที่ยวประกอบประโยชน์ในหมู่มนุษย์เพราะเหตุที่เคยเป็นเด็กที่ดี หนุ่มสาวที่ดี พ่อบ้านแม่เรือนที่ดี วนปรัสน์อยู่ป่าที่ดีถึงที่สุด เขาจึงรู้ทุกอย่างที่มนุษย์ควรจะรู้เพราะเขาเคยผ่านมาแล้ว หรือว่าเขาได้คิดค้นถึงที่สุดจริงๆและก็ทำประโยชน์ให้แก่มนุษย์ได้ และก็ไม่รับประโยชน์อะไรตอบแทน นอกจากอาหารมื้อหนึ่งๆเหมือนกับคนขอทาน ที่ชาวบ้านเขาให้ทานรับประโยชน์ตอบแทนเพียงเท่านั้น แต่เอาประโยชน์มาให้อย่างใหญ่หลวงสำหรับมนุษย์จะได้เป็นมนุษย์ มนุษย์จะรู้จักเป็นมนุษย์ที่ถูกต้อง เต็มตามความหมายของมนุษย์ ไม่เป็นมนุษย์ลุ่มๆดอนๆครึ่งๆกลางๆ เกิดมาทำไมก็ยังไม่รู้ มันมีอยู่ ๔ ตอนอย่างนี้
ทีนี้ไม่ต้องบอกก็ได้ เธอก็รู้เองว่าเราอยู่ในตอนไหน เราก็อยู่ในตอนที่ ๑ คือพรหมจารี เป็นนักเรียนเป็นนักศึกษาอะไรก็ตามใจ ขอให้มันเป็นพรหมจารี มีแต่ความประพฤติอย่างพรหมคือดีที่สุด ไม่คดในข้อไม่งอในกระดูก ไม่มีความลับซ่อนเร้น ทีนี้เราจะเป็นพรหมจารีที่ดี เราก็หาโอกาสฝึกฝน ฝึกฝนมากเท่าที่จะทำได้ เพราะฉะนั้นจึงบวชเณรกันบ้าง ที่ฝึกฝนกันอย่างเป็นเด็กนักเรียน อยู่ในโรงเรียนในสำนักศึกษามันก็ได้เหมือนกัน แต่มันก็ไม่ดีเท่าที่มาฝึกกันอย่างนี้ที่เรียกกันว่าบวชเณร เพราะมันได้ฝึกมากกว่า นี่จะบอกโดยหลักทั่วไปเสียก่อนว่า ไอ้คนวัยนี้ก่อนสมรสแต่งงานจะต้องฝึกอะไรบ้าง หรือเรียกว่าเด็กๆก็แล้วกันจะต้องฝึกอะไรบ้าง มันก็ต้องฝึกทุกอย่างที่มันตรงกันข้ามกับ ตรงกันข้ามจากกิเลส กิเลสมีอยู่อย่างไร แล้วอะไรที่เราต้องฝึกตรงกันข้ามจากกิเลสทุกอย่างทุกประการ เช่นว่าเราจะเป็นคนไม่เห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัวเป็นกิเลส แล้วก็ฝึกเพื่อไม่ให้เห็นแก่ตัวนี่คือฝึกหรือว่าเราไม่บังคับตัว ชอบปล่อยไปตามกิเลส อยากรักก็รัก อยากเกลียดก็เกลียด อยากโกรธก็โกรธ นี่เหมือนที่สามเณรชกต่อยกันบ้างก็มี มันไม่บังคับตัว ถ้ามีการบังคับตัวทั่วถึงในหมู่สามเณรแล้ว จะไม่มีสามเณรชกต่อยกันหรือจะไม่มีสามเณรหลุกหลิกอย่างลิง เขามาพูดจนเราได้ยินด้วยหูน่ะ สามเณรบางคน บางกลุ่ม บางหมู่ บางเวลาหลุกหลิกเหมือนกับลิงน่ะ มีคนเขามาบอกเรา เพราะว่ามันไม่บังคับตัว นั่งให้ปกติ ให้เรียบร้อยก็ไม่ได้ หลุกหลิก หลุกหลิกเหมือนกับเด็กๆ เหมือนกับลูกลิง นี่มันไม่บังคับตัว แม้บังคับตัวให้ถูกต้องให้เรียบร้อยอยู่ในระเบียบ เขาเรียกว่าบังคับความรู้สึกที่สูงขึ้นไปด้วย ความรู้สึกทางความโลภ ทางกามารมณ์ ทางอะไรก็บังคับไว้ก่อนว่าเรามันยังเป็นเด็ก ว่าเรามันยังเป็นระบบพรหมจารีอยู่หรือว่ามันจะโกรธ มันจะประทุษร้ายผู้อื่นนี้ก็บังคับไว้ก่อน หรือมันจะโง่ มันจะประมาท มันจะสัปเพร่า นี่ก็บังคับไว้ก่อน ที่จริงมันก็บังคับยาก ถ้าไม่บังคับยากมันก็ดีกันเสียหมดทุกคนแล้ว ดังนั้นเราก็ต้องอดกลั้นอดทนบังคับให้ได้ ทั้งที่มันบังคับยาก มาบวชเณรก็เพื่อเป็นโอกาสที่จะฝึกฝนอย่างนี้แหละ บังคับตัวเองในความรู้สึกที่เลวๆร้ายๆทุกอย่างทุกประการ ที่เขาสรุปออกมาได้เป็น ๓ พวก คือ โลภ โกรธ หลง บังคับความรู้สึกอย่าให้บันดาลความโลภ บันดาลความโกรธ บันดาลความหลง อะไรขึ้นมา
สามเณรจะต้องฝึกมาตั้งแต่ต้น ให้มันไม่เห็นแก่ตัว รักผู้อื่นและบังคับความรู้สึกอดกลั้นอดทน ก็เป็นอยู่อย่างฉลาดที่สุด ฉันกำลังพูดว่าเป็นอยู่อย่างฉลาดที่สุด ให้มีความหมายอยู่บ้าง ฟังให้ดีดี เป็นอยู่อย่างฉลาดที่สุด ก็คือ ลงทุนน้อยที่สุด แต่ได้ประโยชน์มากที่สุด พวกเณรเราอยู่อย่างไม่ใช้สตางค์เลยกลับมีประโยชน์ทำประโยชน์ได้มาก พระเณรเป็นอยู่อย่างไม่ต้องใช้เงินเลยแต่กลับทำประโยชน์ได้มาก หรือว่าใช้เกินบ้างแต่กลับทำประโยชน์ได้มาก พระเณรรองค์ไหนใช้เงินมากคนนั้นจะมีความเป็นพระเณรเหลือน้อยที่สุด ฟังถูกไหมว่าพระเณรองค์ไหนมันใช้เงินมากจะมีความเป็นพระเณรเหลือน้อยที่สุด ไม่ถูกตามหลักของพระพุทธเจ้า จะธรรมะหรือความสุขนี้มันให้เปล่า นิพพานก็ให้เปล่า ไม่ต้องใช้เงินใช้สตางค์ อะไรๆก็จะใช้สตางค์นี่มันคนโง่ ใช้เงินมากลงทุนมากแล้วเพื่อประโยชน์นิดเดียวหรือไม่ได้ประโยชน์อะไรเลยนี่มันคนโง่ ถ้ามันลงทุนน้อยหรือไม่ต้องลงทุนเป็นเงินเป็นทองเลยมันก็ได้ประโยชน์อันสูงสุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางธรรมะ นี่คือคนฉลาด ฟังให้ดี คนโง่มันใช้เงินลงทุนมากเอาประโยชน์น้อยหรือไม่ได้เลย คนฉลาดลงทุนน้อยหรือไม่ใช้เงินเลยมันกลับได้ประโยชน์มาก ฉะนั้นระหว่างเธอบวชนี้ เธอพยายามฝึกฝนระเบียบการเป็นอยู่ที่ไม่ต้องใช้เงินเลย เมื่ออยู่ที่บ้านเป็นเด็กนักเรียนมันใช้เงินเท่าไร อย่างไร พอบวชมาเป็นสามเณรแบบนี้มันใช้เงินอย่างไรหรือเท่าไร บางทีอาจจะพบว่าไม่ได้ใช้เงินเลย นี่เราก็มาฝึก ฝึกอยู่อย่างต่ำ กินอยู่อย่างต่ำ ใช้เงินน้อยที่สุด เข้มแข็ง อดทน อยู่ในระเบียบเชื่อฟังผู้บังคับบัญชาอย่างดีที่สุด แล้วมันก็เหมือนกับเกิดใหม่ เกิดใหม่ อะไรที่แล้วๆมาแต่หนหลังช่างหัวมัน ตายไปแล้ว เดี๋ยวนี้เราเกิดใหม่เป็นบุคคลอีกคนหนึ่งแล้ว เดี๋ยวนี้มีความรักผู้อื่น ไม่เห็นแก่ตัว ซื่อสัตย์ กตัญญูรู้บุญคุณของบิดามารดา ครูบาอาจารย์ เพื่อนมนุษย์ แล้วก็บังคับตัวเองไม่ให้เป็นอันตรายแก่บุคคลใดหรือไม่ทำอันตรายแก่ตัวเอง มีชีวิตอยู่อย่างที่เป็นประโยชน์ที่สุด คือว่าเราก็ไม่มีความทุกข์และก็การมีชีวิตของเราอยู่ในโลกนั้นก็เป็นประโยชน์แก่คนทุกคนรอบด้าน นี่เราเกิดใหม่ เมื่อเป็นคนที่อบรมดีแล้ว นี่ฉันถือว่าทุกคน เณรทุกองค์อบรมดีแล้ว เหมือนเกิดใหม่เป็นสามเณรแล้ว เธอเปลี่ยนจากเด็กนักเรียนในโรงเรียน เกิดใหม่เป็นสามเณรแล้ว
สามเณรแปลว่าอะไร? ใครรู้ไหม? สามเณรทั้งหมดที่นั่งอยู่นี้ สามเณรแปลว่าอะไร? ใครรู้ยกมือขึ้นให้สูงๆเลย ใครรู้บ้าง? ไม่มีแม้แต่คนเดียวเหรอ เณรเล็กก็มี เณรโตก็มี มีใครรู้ว่า สามเณรแปลว่าอะไร? ลองยกมือดูซิ ยกแล้วครับ อยู่ไหนมันมืดๆใครจะไปเห็น อ๋อ! นั่นคนหนึ่ง อยู่ในที่มืดมีคนหนึ่ง ที่นี่คนนี้อยู่ใกล้ๆ ปฏิบัติธรรมตามพระสงฆ์ คนโน้นก็ เหล่ากอสมณะ นี่จำมาตามแบบ คนนั้นก็จำตามแบบตามตัวหนังสือ สมะ-เณระ สมณ-เอระ แปลว่า ผู้ที่จะเป็นสมณะ สามเณร สมณ-เอระ นี่คือผู้ที่จะเป็นสมณะ นี่เธอผู้ที่จะเป็นสมณะในที่สุด สมณะคือผู้สงบจากความทุกข์ จากกิเลส จากอะไรทุกอย่างที่มันไม่สงบ ถ้าเป็นสมณะก็สงบ เราเป็นสามเณรคือผู้ที่จะเป็นผู้สงบ เมื่อเป็นสามเณรจริง เดี๋ยวนี้มันก็ไม่เป็นสามเณรลิง สามเณรลิง หลุกหลิกๆอยู่ตลอดเวลา ความคิดนึกอะไรก็ไม่เป็นระเบียบ เป็นสามลิง ไม่ใช่เป็นสามเณร ก็มาฟ้องว่ามีมาก เป็นเณรที่หลุกหลิก เป็นสามลิง มันไม่สงบ ใครเห็นลิงมันสงบบ้าง มันก็เป็นสามเณรที่จะเป็นผู้สงบ ที่จะเป็นสมณะ อยู่ในเพศนี้ยังไม่ทันสึกก็สงบ ทีนี้เธอสึกออกไปเป็นเด็กนักเรียนที่บ้าน ต่อไปก็สงบกว่าเดิมแหละ ไม่เป็นคนเร่าร้อน ไม่เป็นคนมุทะลุ ดุดันฉุนเฉียว ไม่เคารพระเบียบวินัยเหมือนนักเรียนโดยมาก ไม่รู้จักบาปบุญ ไม่กลัวบาป ไม่รับบุญ เด็กนักเรียนโดยมากไม่รู้จักคำว่าบาปว่าบุญ เดี๋ยวนี้เราก็มารู้จักคำว่าบาปว่าบุญกันให้เต็มที่ ละบาปออกไปเสีย มันก็เป็นผู้สงบ มันก็มีบุญ งั้นขอให้เป็นผู้สงบเรื่อยๆไป
ซึ่งมันมีหลักอยู่แล้วว่าฆราวาส ในเพศฆราวาสนั้นก็เป็นพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี ก็ยังได้ เป็นสมณะได้ถึง 3 ชั้น สมณะ 3 ชั้นคือ โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี มีได้ในเพศคฤหัสถ์ ถ้าเราบวชจริง เรียนจริง ไม่เป็นสามลิง มันก็ตั้งต้นสงบ เป็นสามเณรสึกไปแล้วก็สงบ สงบมากขึ้น ก็มีหวังว่าจะเป็นโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี กันได้ในเพศฆราวาสหรือคฤหัสถ์ เหมือนการที่เป็นสามเณรของเราก็จริงถูกต้อง มีความหมายว่าสามเณรคือผู้ที่จะเป็นสมณะ สมณะคือสงบ สมณะที่ ๑ โสดาบัน สมณะที่ ๒ สกิทาคามี สมณะที่ ๓ อนาคามี ก็เป็นไปได้ในโอกาสข้างหน้า นี่อย่าห่วงอย่าอาลัยเลยไอ้ความสนุกสนานเหมือนลิง สละเถิด อย่าห่วง อย่าอาลัยเอากลับมาอีกเลย ออกไปจากนี้ สึกไปจากนี้ ไปเป็นเด็กต่อไปอย่าห่วงอย่าอาลัยในความเป็นลิงที่เคยมีมาแต่ก่อนๆ เสียสละมันเสียเถิด อดกลั้นทิ้งไปหมด ไม่กลับมาอีก เหมือนกับที่เป็นสามเณร สามเณร สมณะอยู่นี้ ให้เป็นสมณะต่อไปมากขึ้น มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเพศฆราวาส ก็เป็นสมณะที่ ๑ ก็ได้ สมณะที่ ๒ ก็ได้ สมณะที่ ๓ ก็ได้ นี่เราตั้งใจจะบอกเพื่ออยากให้มันลงรากฐานที่มั่นคง ลงไปในจิตใจของพวกเธอ ว่าต้องเป็นสมณะให้ได้ เป็นชาวนา ชาวสวน พ่อค้า ประชาชนอะไรก็ได้ แต่เป็นสมณะได้เหมือนกัน คือสงบเสียจากความชั่ว สงบเสียจากกิเลส สงบเสียจากความทุกข์ ความชั่วร้าย เลวทราม อันธพาลทั้งหลาย เพียงแต่ไม่ดื่มน้ำเมา ไม่เที่ยวกลางคืน ไม่ดูการเล่น ไม่เล่นการพนัน ไม่คบคนชั่วเป็นมิตร ไม่เกียจคร้านทำการงาน ๖ ประการนี้เท่านั้นก็สงบมากมายแล้ว ทีนี้ก็บำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์ยิ่งๆขึ้นไป อยู่ในระเบียบวินัยมันก็ยิ่งมีประโยชน์เกิดขึ้น มีความสงบมากขึ้น ความเป็นมนุษย์ของเราก็หมดปัญหา คือไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์นั่นเอง จะพูดกันให้สั้นๆอีกครั้งหนึ่งก็ได้ว่า บวชเณรนี้จะมาฝึกฝนให้มีความเป็นมนุษย์ที่ถูกต้องต่อไปในอนาคต อย่าเสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์ รักษาธรรมะนี้ไว้ให้ได้คงเป็นสามเณรต่อไปได้แม้สึกแล้ว แต่เขาไม่เรียกว่าสามเณร เดี๋ยวนี้เราฝึกฝนความสงบเพื่อจะเป็นสมณะในอนาคต สึกแล้วเราก็ยังทำอย่างนั้นอยู่ ในเพศของฆราวาสจนได้เป็นสมณะระดับระดับหนึ่งในเพศของฆราวาสนี่ดีที่สุด ไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์และได้พบพระพุทธศาสนา
เธอทบทวนความรู้สึกคิดนึกตั้งแต่ก่อนบวช และก็บวชเข้ามา และก็ฝึกฝนอะไรบ้าง และฝึกฝนอะไรบ้างจนกระทั่งถึงวันนี้ ถ้าว่ามันมีระบบการฝึกฝนที่ดี ก็ต้องได้รับการฝึกฝนที่ดี ที่ว่าถ้าจะสรุปกันแล้วก็จะพูดว่าบังคับตัวเองนั่นแหละเป็นทั้งหมด การฝึกฝนทั้งหลายทั้งสิ้นมีกี่อย่าง กี่ชนิด กี่แบบ มันอยู่ที่การบังคับตัวเองให้มัน ให้เรามันอยู่ในความถูกต้อง มีความเป็นมนุษย์ถูกต้อง บริสุทธิ์ผุดผ่อง น่าชื่นใจก็เพราะว่าเราบังคับตัวเองได้ การมาบวชเณรกันคราวนี้หรือคราวไหนก็สุดแต่ หัวใจของมันอยู่ที่การบังคับตัวเอง จะได้รับการฝึกฝนมาแล้วอย่างไรที่ไหน ไปดูเถอะ ไปคิดดู ไปใคร่ครวญดู มันจะไปรวมอยู่ที่การบังคับตัวเอง ข้างนอกก็บังคับให้ดี กินอาหาร ถ่ายอุจาระ ถ่ายปัสสาวะ นั่งนอนยืนเดินอะไรต่างๆก็เป็นการบังคับตัวเอง การพูดจาก้บังคับตัวเอง ความรู้สึกภายในใจก็เป็นการบังคับตัวเอง ให้มันอยู่ในความถูกต้อง ถ้าไม่บังคับตัวเองมันก็เป็นลิง คือ หลุกหลิก หลุกหลิก มันไม่ถูกต้องอยู่เรื่อย พอบังคับตัวเองมันก็ถูกต้อง มันก็จะเป็นมนุษย์ซึ่งมันไม่หลุกหลิกเหมือนกับลิง เรายึดการบังคับตัวเองเป็นหลัก ถ้าบังคับตัวเองแล้วก็ไม่ไปทำอันตรายผู้อื่น ไม่เห็นแก่ตัวเองจนทำอันตรายผู้อื่น บังคับความรู้สึกในใจแล้วได้ก็ไม่เกิดความชั่วขึ้นในใจ ในกาย ในวาจา เราได้บวชกี่วัน กี่เดือน ทุกนาทีมันเต็มไปด้วยการบังคับตัวเอง ถ้าเธอฉลาดเธอสามารถ เธอจะมองเห็นว่ามันเป็นการบังคับตัวเอง แม้มานั่งฟังนี้ก็อยู่ลักษณะบังคับตัวเอง ถ้าไม่บังคับตัวเองมันไม่ได้ฟัง มันไม่ได้ยิน ใจมันลอยไปไหนก็ไม่รู้ ถึงตลอดเวลามันสำเร็จประโยชน์อยู่ได้ด้วยการบังคับตัวเอง เรารอดตัวด้วยการบังคับตัวเอง ต่อไปข้างหน้าจนตาย จนไปเป็นพ่อบ้านแม่เรือน หรือเป็นผู้อยู่ป่า เป็นสันยาสี ผู้ออกมาสั่งสอน อะไรก็ตามมันเป็นเรื่องการบังคับตัวเองทั้งนั้น
ทีนี้อยากจะขยายความการบังคับตัวเอง เธอช่วยจำไปด้วย บังคับตัวเองนี่เป็นศูนย์กลาง ทีนี้ก่อนจะบังคับตัวเองนี่เราจะต้องรู้จักตัวเองและเชื่อตัวเองเสียก่อน ข้อที่ ๑ มันรู้จักตัวเอง ข้อที่ ๒ มันเชื่อตัวเอง ข้อที่ ๓ มันบังคับตัวเอง ข้อที่ ๔ มันก็พอใจตัวเอง และข้อที่ ๕ มันเคารพนับถือตัวเอง
แต่วัตถุประสงค์อันแท้จริงที่เป็นแกนกลางนั้นมันอยู่ที่การบังคับตัวเอง เหมือนที่เธอได้ไปฝึกฝนมาแล้วตลอดเวลาบวช การกิน การนอน การนุ่ง การห่ม การทุกอย่างมันเป็นลักษณะการบังคับตัวเอง ที่ต่อไปนี้เราก็จะยึดหลักการบังคับตัวเอง เพื่อให้สมบูรณ์ จึงขยายความให้เธอออกเป็น ๕ หัวข้อ ที่จริงมัน ๑ หัวข้อ คือการบังคับตัวเอง และมันขนาบเข้ามาข้างหน้า ๒ ข้อ ขนาบเข้ามาจากข้างหลังอีก ๒ ข้อ ก็เป็นการสมบูรณ์ที่ว่าเราจะต้องรู้จักตัวเอง เราจะต้องรู้จักตัวเองว่าเราเป็นอะไร อย่างน้อยเราก็เป็นมนุษย์ เป็นคน ไม่ใช่เป็นสัตว์ และเดี๋ยวนี้ก็รู้จักตัวเองว่าเป็นสามเณรด้วย คือผู้ที่จะเป็นสมณะหรือผู้ที่มีความสงบต่อไป ขอให้รู้จักตัวเองอย่างนี้ว่าเราเป็นมนุษย์ ไม่ใช่สัตว์น่ะ เป็นสามเณรน่ะไม่ใช่เป็นสามลิงน่ะ รู้จักตัวเองให้มันเฉียบขาดลงไปว่ามันต้องอย่างนี้ ถ้าพูดกันให้ตลอดสาย ก็คือเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ เราจะต้องเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ นี้ทำอะไรได้ถูกต้อง ตามความหมายของคำว่ามนุษย์ มีใจสูง และในที่สุดมันก็สงบเหมือนกัน ถ้ามนุษย์มันปฏิบัติไปโดยหลักของมนุษย์คือใจสูงขึ้นๆ มันก็สูงไปถึงความสงบ คือมรรคผลนิพพาน แล้วเรารู้จักตัวเองว่าเราเป็นมนุษย์ที่จะเป็นมนุษย์ให้ถูกต้องให้ได้ อย่าเป็นสักว่าเกิดมาเป็นคน ยังไม่เป็นมนุษย์ โดยมากนี่เกิดมาเป็นแต่เพียงคน ยังไม่เป็นมนุษย์เพราะยังไม่รู้จักปฏิบัติให้ถูกต้องตามความเป็นมนุษย์ ให้รู้จักตัวเองก่อนว่าเราเกิดมาเป็นมนุษย์ ที่เรียกว่าเชื่อตัวเองว่าเราเป็นมนุษย์ได้ ฉันต้องเป็นมนุษย์ให้ได้ นี่เรียกว่าเชื่อตัวเอง ถ้าว่าไม่เชื่อตัวเอง ก็เป็นได้ มันก็ล้มละลาย ล้มละลายกันทีแรก มันก็เหลวหมดเป็นมนุษย์ไม่ได้ ไม่เชื่อว่าตัวเองจะเป็นมนุษย์ให้ได้ มันก็ล้มละลายตั้งแต่ทีแรกแล้ว ฉะนั้นขอให้เชื่อแน่ลงไปว่าเราต้องเป็นมนุษย์ให้ได้ เชื่อเลยไปถึงระเบียบคำสอนของพระพุทธเจ้าที่สอนไว้ว่าจะเป็นมนุษย์ให้ได้ นี่มันก็เป็นได้จริง คำสอนนั้นเป็นของจริงจะช่วยเราเป็นมนุษย์ได้ มีศรัทธา เชื่อตัวเอง เชื่อความเป็นมนุษย์ เชื่อคำสอนที่ทำให้เป็นมนุษย์ ให้เต็มที่ ให้ถึงที่สุด เรียกว่าเชื่อตัวเอง เมื่อเชื่อตัวเองว่าทำได้ทีนี้ก็เริ่มบังคับตัวเอง ต้องบังคับได้เพราะเรามีหมายมั่นปั้นมือมาตั้งแต่รู้จักตัวเอง เชื่อตัวเอง และก็บังคับตัวเองให้ถูกต้อง อยู่ทุกอิริยาบถทั้งกลางวัน ทั้งกลางคืน ทั้งหลับ ทั้งตื่น แม้หลับก็บังคับตัวเองเป็นระเบียบไม่เหมือนกับไอ้ชาติหมา ในเรื่องราชสีห์ ไปดูรูปภาพในตึกโรงหนังก็ได้ ไอ้ชาติราชสีห์มันบังคับตัวเองแม้แต่เวลานอนหลับ ทีแรกราชสีห์มันว่าจะนอนมันสังเกตพื้นที่ สังเกตอะไรต่างๆ ดิน หินอะไรที่อยู่โดยรอบ แล้วล้มตัวลงนอน นอนอย่างไร นอนตะแคงข้างขวาอย่างไร มือวางตรงไหน ตีนวางตรงไหน หางวางตรงไหน หัววางตรงไหน แล้วมันก็หลับไป ที่ว่ามันตื่นขึ้นมา มันไม่ผลุนผลัน เหมือนคนไม่มีมรรยาท มันดูว่าไอ้ที่ได้ตั้งมือ ตั้งตีน ตั้งหาง ตั้งหัวไว้อย่างไรนั่นนะ มันเคลื่อนที่หรือเปล่า มันดูดิน ดูกรวด ดูเม็ดทราย เม็ดหินอะไรที่มันนอนทับนะ มันเคลื่อนที่กระจุยกระจายหรือเปล่า ถ้ามันเห็นว่าเคลื่อนที่กระจุยกระจาย อ้าว! มันรู้แล้วว่ามันนอนดิ้น มันก็ด่าตัวเองว่าไอ้ชาติหมา มันไม่ใช่ชาติราชสีห์ ไม่มีการบังคับตัวเองเมื่อนอน เมื่อนอนหลับ นี่ไอ้ชาติหมาและก็เสียใจมาก เพราะมันเป็นไอ้ชาติหมาซะแล้ว มันไม่เป็นชาติราชสีห์เสียแล้ว มันนอนอีก ไม่ไปหากิน หิวก็หิว ลงโทษมัน นอนอีก กำหนดอีก นอนอีก ถ้าตื่นขึ้นมาเห็นว่ากระจุยกระจายหมด ก็ด่าไอ้ชาติหมาอีก ทีนี้มันก็ทำได้ มันก็นอนปกติ ไม่กระจุยกระจายหรือพื้นดิน ตื่นขึ้นมาเห็นเป็นเรียบร้อยดีอยู่ ก็พอใจตัวเอง ว่าเป็นชาติราชสีห์ ลุกขึ้นอย่างผ่าเผยแผ่สีหนาทก้องไปทั้งป่าและก็ไปหากิน นี่มาเล่าให้ฟังก็เพื่อให้รู้ว่าระเบียบปฏิบัติของพระอริยเจ้านั้น ถ้าเราปฏิบัติดีแล้ว มันบังคับตัวเองแม้แต่เวลานอนหลับ แม้แต่เวลานอนหลับมันก็อยู่ในระเบียบในการบังคับ ไม่นอนดิ้นเหมือนหมูเหมือนหมา ไม่นอนเปิดผ้าเหมือนเด็กที่ไม่มีมรรยาทไม่บังคับตัวเอง นี่เรียกว่าบังคับตัวเองทั้งหลับและทั้งตื่น แม้หลับก็ยังมีการบังคับตัวเอง ฉะนั้นเราอย่าไปเห็นแก่ความเอร็ดอร่อย สนุกสนาน อะไรที่มันไม่ชวนให้บังคับตัวเองสละมันไปเสีย บังคับตัวเองให้ได้ตลอดเวลา ทั้งวันทั้งคืน คือทั้งตื่นทั้งหลับนั่นเอง แล้วก็จะพอใจตัวเองว่าไอ้ชาติราชสีห์ ไม่ใช่ไอ้ชาติหมา มันบังคับกันได้ ที่ควรจะบังคับทุกอย่าง นี่ก็บังคับตัวเอง และทีนี้ก็มาถึงพอใจตัวเอง ชอบใจตัวเอง รักตัวเองว่าเออมันเป็นคนหรือว่าเป็นมนุษย์ที่ควรจะพอใจ ไอ้พอใจนั่นแหละคือความสุข ไปดูเถอะความสุขชนิดไหนก็ตามมันอยู่ที่ความพอใจอะไรอย่างใดอย่างหนึ่ง ถ้าพอใจเลวมันก็สุขเลว ถ้าพอใจดีมันก็ความสุขอย่างดี และความสุขมันต้องมาจากความพอใจเสมอ เมื่อเราบังคับตัวเองให้ได้แล้วเราก็จะพอใจตัวเอง ชมเชยตัวเอง พอใจตัวเองนั่นคือความสุข เราได้ความสุขที่เราบังคับตัวเองได้ ไม่ใช่หาเงินไปซื้อเหล้า ซื้อยา ซื้อกามารมณ์ และก็ว่าเป็นความสุข นั่นมันเรื่องหลอกลวง ความสุข ความสุขคือพอใจในตัวเอง ประพฤติธรรมะได้ถูกต้องและสมบูรณ์ นี่เราก็ได้ความพอใจตัวเอง และในที่สุดเราก็ได้สิ่งสุดท้ายคือ เคารพตัวเอง นับถือตัวเอง ยกมือไหว้ตัวเองได้ มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อยู่ในเราจนเรายกมือไหว้ตัวเองได้ เรื่องมันก็จบ เณรคนไหนยกมือไหว้ตัวเองได้ เณรคนไหนยกมือไหว้ตัวเองได้ พิจารณาตัวเองแล้วไม่มีตำหนิด่างพร้อยอะไร ยกมือไหว้ตัวเองได้ด้วยใจจริง ไปทดสอบตัวเองดู เรื่องนี้ไม่เรียกร้องให้ยกมือ ไม่ต้องการให้ยกมือ ให้เป็นเรื่องส่วนตัว ไปทดสอบส่วนตัว ลำพังตัวทำตัวใครมันดี พอใจตัวเองทุกอย่างทุกประการจนยกมือไหว้ตัวเองได้ ก็ใช้ได้ มันก็จบหลักสูตรของความเป็นมนุษย์ ถ้ามันดีจนยกมือไหว้ตัวเองได้ด้วยใจจริงแล้วมันก็จบหลักสูตรของมนุษย์ ไอ้คนนั้นเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบแล้ว เป็นสมณะแล้ว เราเป็นสามเณรเรื่อยๆไปจนกว่าเป็นสมณะยกมือไหว้ตัวเองได้ นี่ขอให้มองดูซ้ำลงไปอีก
ในการที่ได้เกิดมา ในการที่ได้รับการศึกษา ได้เป็นเด็กนักเรียนและก็ได้มาบวชเณรและกำลังมานั่งอยู่ที่นี่ ทั้งหมดนั้นมันมีอะไรอย่างไร มันถึงขนาดที่จะพอใจตัวเองได้หรือยัง ยกมือไหว้ตัวเองได้หรือยัง ถ้ายังก็ไปทำเสียใหม่ อย่าไปท้อแท้ว่าเราทำไม่ได้ นั่นมันโง่เกินไป นั่นมันไม่มีความเป็นมนุษย์ ถ้ามีความเป็นมนุษย์ต้องเอาให้ได้ มันจะยากลำบากเท่าใดก็ต้องเอาให้ได้ ต้องเป็นให้ได้ ต้องเป็นมนุษย์ให้ได้ เพราะเราฝึกฝนไอ้ความเข้มแข็งมามากแล้ว ไปนอนกลางดิน ไปกินกลางทราย ไปนอนกลางน้ำค้าง ไปฝึกฝนความเข้มแข็งทั้งทางกาย ทั้งทางจิตมามากแล้ว ใช้ต่อไปเข้มแข็งเรื่อยไป มันก็จะสำเร็จได้สักวันหนึ่ง ในการบังคับตัวเอง จนพอใจตัวเอง จนเคารพตัวเองยกมือไหว้ตัวเองได้ จบหลักสูตรของการเกิดมาเป็นมนุษย์
นี่ฉันขอแสดงความยินดี อนุโมทนา แก่พวกเธออีกครั้งหนึ่งว่าที่เธอให้ได้ไปเล่าเรียนมา ได้ไปฝึกฝนมา ได้ไปอบรมมา ในการบวชเณรครั้งนี้ ให้มันเป็นไปอย่างถูกต้องตามกฎเกณฑ์ของพระธรรม เพื่อให้เรามันเลื่อนชั้นตัวเองขึ้นมาได้ตามลำดับ อย่างที่เรียกว่าน่ายินดี น่าพอใจ น่าอนุโมทนา น่าจะพลอยชื่นอกชื่นใจด้วย ฉันรู้สึกอย่างนี้ จึงขอกล่าวคำอนุโมทนาแก่พวกเธอทั้งหลาย และในที่สุดนี้ขอแสดงความหวัง หรือว่าจะเรียกว่าให้พรก็ได้ ว่าเธอจงเป็นคนเชื่อมั่น แน่วแน่ เข้มแข็ง กล้าหาญ ปฏิบัติต่อไป อย่าให้มันหยุดชะงัก หรือถอยหลังเสียเลย ให้มันเข้มแข็ง ก้าวหน้าต่อไป เพื่อจะถึงจุดหมายปลายทางตลอดเวลาเหล่านี้ ฉันก็ขอให้มันเป็นการเจริญงอกงามก้าวหน้าตามทางแห่งพระศาสนา ซึ่งทำให้มีความสุขอยู่ในตัว มีความพอใจเคารพนับถือตัว มีความสุขอันแท้จริงอยู่ทุกทิพาราตรีกาลเทอญ… สาธุ