แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
มาฆบูชาเทศนา ภาคค่ำ ที่หินโค้ง วันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๑
ณ บัดนี้ อาตมาภาพจะได้วิสัชนาพระธรรมเทศนา เพื่อเป็นเครื่องประดับสติปัญญา ส่งเสริมศรัทธาความเชื่อ และวิริยะความพากเพียร ของท่านทั้งหลายผู้เป็นพุทธบริษัท ให้เจริญงอกงามก้าวหน้าตามทางแห่งพระศาสนาของสมเด็จพระบรมศาสดา อันเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลาย กว่าจะยุติลงด้วยเวลา ธรรมเทศนาเป็นบุพพาปรลำดับต่อจากธรรมเทศนาเมื่อเย็นนี้เนื่องด้วยมาฆบูชา ดังนั้นอาตมาจะได้กล่าวถึงเรื่องที่เกี่ยวกับมาฆะนั้น อาศัยพระพุทธภาษิตที่ได้ยกขึ้นไว้ข้างต้น อันเป็นพระพุทธภาษิตที่เรียกกันว่า โอวาทปาติโมกข์ พระบาลีที่เรียกว่าโอวาทปาติโมกข์นั้น มีอยู่เป็น ๒ ตอน ดังที่ท่านทั้งหลายที่เป็นนักศึกษาก็ย่อมจะทราบดีอยู่แล้ว แต่ว่าก็มีบางคนที่ยังไม่ทราบ จึงจะบอกให้ทราบ และเป็นที่น่าสงสัยว่าทำไมจึงได้ตรัสไว้เป็น ๒ ตอน ที่ว่าเป็น ๒ ตอนนั้นก็เพราะว่า คำลงท้ายสรุปเรื่องของพระบาลีนั้นเป็นอย่างเดียวกัน เมื่อถามว่ามีใจความอย่างไร ก็อาศัยพระบาลี ๒ ตอนนั้นตอบ แล้วก็ได้เป็น ๒ ตอน
ตอนที่ ๑ ว่า สพฺพปาปสฺส อกรณํ เป็นต้น ซึ่งมีใจความว่า การไม่กระทำซึ่งบาปทั้งปวง การกระทำกุศลให้ถึงพร้อม การทำจิตให้ขาวรอบ ๓ อย่างนี้เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลายที่ตอนหนึ่ง อีกตอนหนึ่งก็ว่า อนูปวาโท อนูปฆาโต การไม่กล่าวร้าย การไม่ทำร้าย ปาติโมกฺเข จ สํวโร การสำรวมในพระปาติโมกข์ มตฺตญฺญุตา จ ภตฺตสฺมิง ความรู้ประมาณในการบริโภค ปนฺตญฺจ สยนาสนํ ที่นอนที่นั่งอันสงัด อธิจิตฺเต จ อาโยโค การประกอบกระทำในการทำจิตให้ยิ่ง เอตํ พุทฺธาน สาสนํ นี้เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ผู้ที่ได้ยินก็มีส่วนที่จะเกิดความสงสัยว่าทำไมจึงได้ตรัสเป็น ๒ ตอน และแต่ละตอนนั้น ตรงกันหรือเหมือนกันอย่างไร นี่อาจจะตอบได้โดยชี้ให้เห็นว่า ในตอนแรกนั้นตรัสอย่างสรุปความที่เป็นหลักเหมือนกับว่าเป็นหลักทางสัจธรรม คือบอกให้ทราบว่า ไม่ทำบาป ทำแต่กุศล ทำจิตให้บริสุทธิ์นี้เป็นคำสั่งสอน ส่วนตอนล่างมีลักษณะเหมือนกับว่าเป็นธรรมสัจจะ คือหลักที่จะต้องปฏิบัติลงไปตรง ๆ เพื่อให้คำสอน ๓ ประการข้างบนนั้นสำเร็จประโยชน์ได้ตามนั้น ดังนั้นจึงกล่าวไว้เป็นหัวข้อปฏิบัติ ๖ ข้อ อนูปวาโท ไม่กล่าวร้าย อนูปฆาโต ไม่ทำร้าย ปาติโมกฺเข จ สํวโร สำรวมในระเบียบวินัย มตฺตญฺญุตา จ ภตฺตสฺมิง รู้ประมาณในการบริโภค ปนฺตญฺจ สยนาสนํ การนอน การนั่งในอาสนะ การนอนการนั่งในที่สงัด อธิจิตฺเต จ อาโยโค การทำความเพียรในการทำจิตให้ยิ่ง นี้ก็เป็นพุทธศาสนา
เมื่อบุคคลประพฤติอยู่ในธรรมะ ๖ ประการ หรือจะแยกเป็น ๗ ประการก็ยังได้นี้แล้ว ย่อมทำให้การปฏิบัติข้างบนนั้นสำเร็จได้ ถ้าจะแยกให้เห็นชัดกว่านั้น ก็ยังจะเห็นได้ว่า การไม่กล่าวร้าย การไม่ทำร้าย นี้ก็เป็นการไม่กระทำซึ่งบาปในหัวข้อแรก ปาติโมกฺเข จ สํวโร สำรวมในพระปาติโมกข์ รู้ประมาณในการบริโภค ที่นอนที่นั่งอันสงัดนี้ ก็จะได้ในบทว่า การทำกุศลให้ถึงพร้อม ส่วนคำว่า อธิจิตฺเต จ อาโยโค ย่อมได้ในบทว่า สจิตฺตปริโยทปนํ คือการทำจิตให้ขาวรอบ จิตที่ขาวรอบนั้นก็คือจิตที่ยิ่งในความหมายนี้ ทั้งหมดนี้จึงเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า ถ้าพิจารณากันโดยนัยยะนี้แล้วจะเห็นได้ว่า การที่ได้ตรัสเป็น ๒ ตอนนี้ มิใช่เป็นการทำให้ยุ่งยาก ลำบาก หรือขัดขวางซึ่งกันและกัน หรือบางคนเกิดความสงสัยว่า คงจะเป็นสักตอนหนึ่งตอนใดที่เป็นของเพิ่มเข้ามาอีกดังนี้ก็มี แต่จะมามองเห็นว่าไม่จำเป็นที่จะมีข้อสงสัยอย่างนั้น เพราะอาจจะกล่าวได้อย่างนี้ว่า การไม่กระทำบาปทั้งปวงนั้น คือ การไม่กล่าวร้าย ไม่ทำร้าย การทำกุศลให้ถึงพร้อมนั้น คือ การสำรวมปาติโมกข์ รู้ประมาณในการบริโภค และนอนนั่งในที่ ในเสนาสนะอันสงัด สจิตฺตปริโยทปนํ ก็คือการทำจิตให้ยิ่งนั่นเอง ข้อความย่อมเข้ากันสนิทเลยคิดว่าอย่างแรกนั้น ข้อความตอนแรกนั้นจะทรงมุ่งหมายให้เป็นกฎเกณฑ์หรือเป็นสัจธรรม ส่วนข้อความตอนที่สองนี้เป็นการแสดงธรรมสัจจะ ชี้หลักการปฏิบัติ แสดงการปฏิบัติ เพื่อให้ได้ผลเต็มตามหลักของสัจธรรมที่กล่าวแล้วข้างต้น
ในที่นี้ก็ขอให้ท่านทั้งหลายได้สนใจจนเข้าใจสิ่งที่เรียกว่า โอวาทปาติโมกข์ ที่พระพุทธเจ้าท่านได้ทรงแสดงในวันที่เรียกกันว่าวันมาฆปุณมี คือ วันเพ็ญแห่งเดือนมาฆะ เช่นวันนี้ ขอให้ทุกคนสนใจหัวข้อปฏิบัติเหล่านี้ โดยเฉพาะหัวข้อของโอวาทตอนที่สองซึ่งมีคำว่า ไม่กล่าวร้าย ไม่ทำร้าย เป็นต้น ที่ให้สนใจพิจารณาเป็นพิเศษก็คือหัวข้อเหล่านี้เป็นการแสดงถึงข้อธรรมะ ที่โลกแม้ในปัจจุบันนี้จะต้องประพฤติปฏิบัติเป็นอย่างยิ่ง หรือจะกล่าวอีกอย่างหนึ่งว่า เพราะโลกแห่งยุคปัจจุบันนี้ไม่ปฏิบัติให้ตรงตามพระบาลีโอวาทปาติโมกข์นี้ โลกนี้จึงเป็นอย่างนี้ คือเต็มไปด้วยวิกฤติการณ์ สิ่งเลวร้ายมากขึ้น มากขึ้น มากขึ้น และเชื่อได้ว่าจะต้องวินาศลงในที่สุด ถ้าหากว่าโลกแห่งยุคปัจจุบันนี้ พาการประพฤติปฏิบัติตามหัวข้อธรรมเหล่านี้ ก็จะหลุดรอดไปได้จากความวินาศนั้น ดังนั้นเราควรจะวินิจฉัยกันดูแม้แต่ว่าโดยใจความ
ข้อแรกที่ว่า อนูปวาโท ความไม่กล่าวร้ายนั้น เราจะเห็นได้ชัดว่าโลกปัจจุบันนี้มีแต่การกล่าวร้าย การกล่าวร้ายในส่วนบุคคลต่อบุคคลก็มี การกล่าวร้ายในระหว่างหมู่คณะใหญ่ ๆ ก็มี กระทั่งการกล่าวร้ายระหว่างประเทศ หรือการกล่าวร้ายระหว่างกลุ่มของประเทศ เช่นว่าถ้าโลกนี้มันแบ่งเป็น ๒ กลุ่ม หรือ ๓ กลุ่ม มันก็มีการกล่าวร้ายกันในระหว่าง ๓ กลุ่มนั้น ก็หมายความว่า มีการกล่าวร้ายกันเต็มไปหมดทั้งโลก จริงหรือไม่จริงก็ขอให้ลองคิดดู โดยสังเกตดูจากการโฆษณาต่าง ๆ ซึ่งเรียกว่าเครื่องมือสื่อสารสมัยนี้ อะไรที่เอามาสื่อกัน ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเรื่องด่าทอ ว่าร้าย ชวนเชื่อในลักษณะที่ทำลายผู้อื่นทั้งนั้น เห็นได้ไม่ยากเลยว่าโลกกำลังเต็มอยู่ด้วยการกล่าวร้าย ถ้าหยุดกล่าวร้ายกันเสียจะเป็นอย่างไรก็ไม่ต้องพูดมาก
ทีนี้ข้อที่ว่า อนูปฆาโต การไม่เข้าไปกำจัด คือการไม่ทำร้าย นี่ก็เห็นได้โดยนัยยะอย่างเดียวกัน นี่ก็หมายถึงการเบียดเบียนกันตั้งแต่เล็ก ๆ น้อย ๆ กระทั่งถึงการทำสงคราม เดี๋ยวนี้ในโลกนี้กำลังมีสงครามทั้งโดยตรงและโดยอ้อม คือทั้งที่ลี้ลับและเปิดเผย อย่างที่เรียกกันว่าสงครามใต้ดิน สงครามบนดิน สงครามบนฟ้า มันก็มีอยู่ทั่วไป กำลังมีความอาฆาตมาดร้ายแก่กันและกัน มุ่งจะทำลายกันอยู่ตลอดเวลา ถ้าว่าโลกนี้พากันปฏิบัติตามพระธรรมข้อนี้ คือไม่ทำร้ายซึ่งกันและกัน มันก็เป็นโลกที่น่าดู น่าอยู่
ทีนี้ข้อถัดไปที่ว่า การสำรวมในปาติโมกข์ ซึ่งในที่นี้ก็ได้แก่การสำรวมในตัวบทกฎบัตร กฎหมาย ระเบียบวินัยอะไรก็ตาม ซึ่งเป็นหลักปฏิบัติอันมีไว้สำหรับความสงบสุข ความอยู่กันเป็นระเบียบ ไม่กระทบกระทั่งกัน นั่นก็จะเป็นผลทำให้มีความเป็นระเบียบ หรือความสงบสุขอย่างเห็นได้ชัด คำว่าระเบียบหรือปาติโมกข์ในที่นี้ ควรจะเล็งถึงบทบัญญัติในทางพระศาสนา คือทุกศาสนาที่มีอยู่ในโลกในปัจจุบัน ถ้าคนในโลกซึ่งจะนับถือศาสนาอะไรก็ตาม พากันสำรวมเป็นอย่างดีในบทบัญญัติทางศาสนานั้น ๆ แล้ว โลกนี้ก็จะไม่มีสิ่งที่เรียกว่า วิกฤติกาล
ทีนี้ข้อต่อไปอีกที่ว่า มตฺตญฺญุตา จ ภตฺตสฺมิง เป็นผู้รู้ประมาณในการบริโภค นี่เป็นข้อที่จะต้องมองให้ดีจึงจะเห็นความสำคัญของไอ้บทพระธรรมบทนี้ ว่าให้รู้ประมาณในการบริโภค อาตมามองเห็นว่าเพราะคนในโลกทุกคนก็แล้วกัน ในเวลานี้ไม่รู้ประมาณในการบริโภค ต้องการแต่จะบริโภคตามที่ตนมันอยาก ด้วยอำนาจของกิเลส ไม่คำนึงถึงความเหมาะสมใด ๆ ไม่คำนึงถึงเหตุผลใด ๆ เอาแต่ว่ากิเลสตัณหามันต้องการอย่างไร ก็อยากจะบริโภคอย่างนั้น บริโภคอย่างบริโภคอาหารก็ได้ บริโภคอย่างใช้สอยก็ได้ ล้วนแต่ไม่รู้ประมาณ หมายความว่าทำเกินประมาณ ทำตามที่กิเลสตัณหาต้องการ ไม่ใช่ทำตามบทบัญญัติของพระธรรม หรือว่าไม่ได้ทำอย่างที่ควบคุมไว้ด้วยสติปัญญา และบทพระธรรมบทนี้เองที่อาตมาตั้งใจจะกล่าวโดยละเอียดในการแสดงธรรมเทศนาครั้งนี้ แต่อยากจะกล่าวให้ตลอดไปทั้งหมดเสียก่อนว่าโลกกำลังไม่มีการปฏิบัติตามบทพระธรรมเหล่านี้อย่างไร
บทถัดไปมีว่า ปนฺตญฺจ สยนาสนํ ที่นอนที่นั่งอันสงัด เดี๋ยวนี้คนในโลกทั้งโลกไม่ชอบที่นอนที่นั่งอันสงัด เขาชอบที่นั่งที่นอนที่กระตุ้นความรู้สึกให้มีกิเลสรบกวน คำว่าที่นั่งที่นอนอันสงัดนี้ ไม่ได้หมายความว่าเงียบเชียบอย่างในป่า ที่นั่งที่นอนที่บ้านนั่นแหละ ถ้ามันเป็นที่นั่งที่นอนเครื่องใช้ไม้สอยอะไรก็ตาม ที่ไม่รบเร้าความรู้สึกทางกิเลสแล้วก็เรียกว่า ที่นอนที่นั่งอันสงัดทั้งนั้น เดี๋ยวนี้เราสร้างสรรค์จัดหามา แก้ไขดัดแปลงให้ที่นอนและที่นั่งเหล่านั้นมันส่งเสริมความรู้สึกของกิเลส ถูกกิเลสรบกวนนั่นแหละเรียกว่า ความไม่สงัด ต่อเมื่อไม่ถูกกิเลสรบกวนจึงจะเรียกว่าสงัด ฉะนั้นบ้านเรือนของใครก็ตาม ตลอดถึงเครื่องใช้ไม้สอยในบ้านเรือน คือเครื่องเรือนนั้นมันทำเพื่อให้ส่งเสริมความรู้สึกให้รุนแรงในทางที่จะโง่ ในทางที่จะหลง ในทางที่จะส่งเสริมกิเลสตัณหาแล้ว ก็เรียกว่าบ้านเรือนนั้นไม่มีความสงัด เดี๋ยวนี้เขาก็ประกวดประขันกันแต่จะสร้างบ้านเรือนหรือเครื่องเรือนชนิดนี้ เห็นได้ในเขตที่มนุษย์อยู่กันอย่างที่เรียกว่ามันเจริญหรือก้าวหน้า บ้านเรือนก็ดี เครื่องใช้ไม้สอยก็ดี มีสีสันวรรณะอย่างไร มีการจัดการทำอย่างไร สรุปความก็ได้ว่ามันจะทำแข่งกันกับพวกเทวดา ทั้งที่มันไม่รู้จักพวกเทวดา
ถ้าว่าบ้านเรือนหรือเครื่องเรือนของใครจัดไปในทางที่จะหยุดการเร้าความรู้สึกทางกิเลสแล้ว แม้จะสร้างอยู่ หรือตั้งอยู่ในที่อันอึกทึกครึกโครม อย่างในกลางเมืองหลวงก็ดี ก็ยังคงเรียกว่า ที่นั่งที่นอนอันสงัดอยู่นั่นเอง ทุกคนกลับไปบ้านของตนแล้วจงไปสังเกตดูในข้อนี้ ว่าบ้านเรือน เครื่องเรือน เครื่องใช้ไม้สอยของเรานั้น ที่เราจัดหามาใช้สอยอยู่นี้ มันกระตุ้นความรู้สึกทางกิเลสหรือเปล่า ถ้าเห็นว่ามันล้วนแต่กระตุ้นความรู้สึกให้ฟุ้งซ่าน เป็นไปในทางที่จะทะเยอทะยานด้วยกิเลสตัณหาแล้วก็ควรจะคิดกันเสียใหม่ เอาตัวเองเป็นประมาณว่าความรู้สึกกำลังเป็นอยู่อย่างไร บ้านเรือนที่ว่าสวยงาม ส่งเสริมความรู้สึกทางกิเลสนั้น ก็มีความหมายที่เห็นได้ชัด ๆ ก็เรียกว่ามันไม่สงัด ทีนี้มันยังมีความหมายอย่างอื่นอีก ถ้าบ้านเรือนนั้นมันยังต้องลำบาก ยุ่งยากอยู่ด้วยการรักษาดูแล ทำให้ร้อนใจ กระวนกระวายเกี่ยวกับเรื่องนี้ บ้านเรือนนี้ก็จะเรียกว่าไม่สงัดด้วยเหมือนกัน ไม่ใช่เพียงแต่ว่าจะส่งเสริมกิเลสโดยตรงในทางกามารมณ์ แต่ถ้ามันทำให้เจ้าของยุ่งยากลำบากใจ ก็จะเรียกว่าบ้านเรือนนั้นไม่สงัด อยู่ไปไม่เป็นไปเพื่อความสงบ แล้วก็เราก็ดูเอาเองว่าทั้งโลกนี่ เขาชอบสร้างบ้านเรือนเครื่องใช้ไม้สอยประจำเรือนกันอย่างไร แล้วผลมันทำให้เกิดอะไรขึ้นในโลกนี้ เพราะทุกคนต้องการแต่จะให้ดีให้ยิ่งไปกว่าคนอื่น ในเรื่องกิน เรื่องอยู่ เรื่องใช้ เรื่องสอย ซึ่งล้วนแต่ว่ารบกวนจิตใจ รบเร้าจิตใจ กระตุ้นจิตใจไม่ให้มันสงบสงัดได้
ทีนี้ข้อสุดท้ายที่เรียกว่า อธิจิตฺเต จ อาโยโค การประกอบความเพียรในการทำจิตให้ยิ่ง ทีนี้มันมีปัญหาอยู่ตรงที่ตัวหนังสือที่ว่า ทำจิตให้ยิ่ง จิตชนิดไหนมันเป็นจิตที่ยิ่ง ในทางภาษาธรรมะนี้ หมายถึงจิตที่มันสูงขึ้นไปตามทางของพระธรรม สูงชนิดที่กิเลสตามขึ้นไปไม่ได้ จิตมันอยู่เหนือกิเลสเสียเรื่อยไป อย่างนี้ก็เรียกว่าจิตยิ่งหรือจิตสูง การประกอบความเพียรทำให้จิตเป็นอย่างนั้น ก็คือคำสอนบทสุดท้ายแห่งโอวาทปาติโมกข์นี้ แต่ชาวโลกเขาอาจจะให้ความหมายกันไปในทางอื่นก็ได้ ว่าทำจิตให้ยิ่งในที่นี้หมายถึงทำให้มันเก่งในการที่จะคิดจะนึก ในทางที่จะประดิษฐ์อะไรออกมาให้ยิ่งกว่าคนอื่น ให้เหนือกว่าคนอื่น อย่างนี้มันก็เกิดผลไปในทางอื่น มันยิ่งไปเท่าไรมันก็ใกล้ความวินาศไปเท่านั้น เพราะว่าจิตชนิดนี้จะถูกท่วมทับด้วยกิเลส คือมันทำให้ยิ่งถูกท่วมทับด้วยกิเลส มันยิ่งไปในทางฝ่ายนั้น ความมุ่งหมายแท้จริงนั้น ต้องการจะให้จิตยิ่ง คือสูงขึ้นไปจนกิเลสเกิดไม่ได้ หรือกิเลสตามไม่ทัน
เดี๋ยวนี้เราพิจารณาดูกันถึงการศึกษา การค้นคว้า การประดิษฐ์ ที่มีอยู่ในโลกนี้ที่กำลังนิยมกันว่าดี ว่าเจริญ ว่าก้าวหน้านั้นมันเป็นไปในรูปไหน มันยิ่งสำหรับจะไกลไปจากกิเลส หรือว่ามันยิ่งสำหรับจะจมลงไปอยู่ใต้กิเลส ดูให้มันทั่วทั้งโลก แล้วก็ดูพวกที่เขาเป็นผู้นำ คนไทยเรานี้เป็นคนตามก้น ตามก้นพวกฝรั่งที่เขาก้าวหน้าในการประดิษฐ์ เราก็ดูก็แล้วกันว่าความก้าวหน้านั้น มันก้าวหน้าไปในทางที่จะทำให้จิตสูงเหนือกิเลส หรือว่าจะทำให้มัน ให้จิตมันตกต่ำลงไปอยู่ใต้อำนาจของกิเลส อาตมาพูดตามความรู้สึก ก็จะพูดว่าเขากำลังมึนเมาในสิ่งเหล่านี้ จนไม่รู้ว่ามันสูงทางไหน มันต่ำทางไหน เขาเอาแต่เพียงว่าถ้าถูกใจหรือถูกกิเลสของเขาแล้ว เขาก็เรียกว่าสูง เขาก็พอใจ เขาก็ยกย่อง เราจะเห็นได้ในที่ทั่ว ๆ ไปว่าเขาบูชาสิ่งซึ่งยั่วยุกามารมณ์ อุปกรณ์ที่ยั่วยุกามารมณ์ กิริยาอาการที่ประพฤติปฏิบัติในทางส่งเสริมกิเลส หรือกามารมณ์ มีอยู่ทุกหนทุกแห่ง ที่เขาเรียกกันว่าความเจริญก้าวหน้า และก็กำลังระบาดมาแม้ในประเทศไทยของเรา ทำลายขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรมอะไรก็ตามที่เคยดีเคยงามนั้นให้สูญสิ้นไปหมด เหลือแต่วัฒนธรรมหยาบคาย วัฒนธรรมบูชากามารมณ์ แม้จะชั้นดีวิเศษอย่างไร มันก็ยังเป็นทาสของกามารมณ์ นี่ถ้ากล่าวโดยสายตาของพุทธบริษัทมันก็มองเห็นอย่างนี้ จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ไปดูเอาเองอีกทีหนึ่ง ในที่นี้จะสรุปความแต่เพียงว่า โลกในปัจจุบันนี้ไม่ได้พยายามที่จะทำจิตให้สูงอยู่เหนือการท่วมทับของกิเลสเลย ยินดี พอใจ สมัครใจอย่างหน้าชื่นตาบาน ที่จะตกจมลงไปอยู่ภายใต้การครอบงำของกิเลส
ก็เป็นอันว่าพระพุทธโอวาททั้ง ๖ ข้อหรือทั้ง ๗ ข้อนี้ กำลังหาไม่พบในโลกปัจจุบัน เพราะว่าโลกปัจจุบันเขาทำไปในทางตรงกันข้ามไปเสียหมด มีการกล่าวร้าย มีการทำร้าย มีการไม่สังวรในบทบัญญัติของพระศาสนา ไม่รู้ประมาณในการบริโภค ไม่ชอบเสนาสนะอันสงัด และก็ไม่รู้จักทำจิตให้สูงให้ยิ่งเลย กลับพอใจในจิตที่ต่ำที่เปียกที่แฉะ ก็เป็นอันว่าโลกนี้ไม่มีคุณธรรมตามบทของพระธรรมที่เป็นโอวาทปาติโมกข์ ขอให้ท่านทั้งหลายสนใจให้ดี สนใจเป็นพิเศษสำหรับพุทธบริษัท ที่ว่าวันนี้เรามาประกอบพิธีมาฆบูชา ในวันที่ทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์ และเมื่อโอวาทปาติโมกข์ที่ทรงแสดงนั้นมันมีใจความอยู่อย่างนี้แล้วเราจะทำอย่างไรดี อย่างน้อยที่สุดเราก็หยิบขึ้นมาพิจารณา ก็คงจะทำให้รู้จักความหมายของคำว่าโอวาทปาติโมกข์ เมื่อรู้จักความหมายของโอวาทปาติโมกข์แล้ว ย่อมรู้จักความหมายของคำว่า มาฆบูชา เพราะว่าเราจะต้องประกอบการบูชาในโอกาสแห่ง มาฆปุณมี นี้ ให้มันตรงตามโอวาทปาติโมกข์
ทีนี้อาตมาก็อยากจะกล่าวโดยละเอียดเฉพาะข้อที่มีพระบาลีว่า มตฺตญฺญุตา จ ภตฺตสฺมิง ความเป็นผู้รู้ประมาณในการบริโภค นี่แหละเป็นพิเศษ คือจะพูดกันอย่างละเอียดลออให้สำเร็จประโยชน์อย่างน้อยก็สักข้อหนึ่งคือข้อนี้ โดยที่พิจารณาเห็นว่ามันเป็นอันตราย แต่ก็เป็นสิ่งที่จะพอแก้ไขได้ พอจะพูดกันรู้เรื่องได้ เรากำลังประมาทเกินไป จึงมองไม่เห็นว่าเรื่องบริโภคเกินที่ควรจะบริโภคนี้มันเป็นอันตราย และกำลังเป็นอันตรายที่มีอยู่เหนือคนทุกคน รวมทั้งประชาชนที่เรียกตัวเองว่าพุทธบริษัทด้วย ก็ขอให้ตั้งใจฟังให้ดี ถ้าว่าเป็นผู้รู้ประมาณในการบริโภคนี่ มันก็ตรงกันข้ามกับคำที่จะพูดว่า ความเป็นผู้ไม่รู้ประมาณในการบริโภค ความเป็นผู้ไม่รู้ประมาณในการบริโภคได้ทำให้เกิดผลขึ้นมาอย่างไรในโลกนี้ นี่คือข้อที่อยากจะให้พิจารณากันเป็นพิเศษ และช่วยกันปรับปรุงแก้ไขต่อสู้ แล้วแต่จะทำให้มันกลับไปในทางที่ถูกต้องได้อย่างไร ถ้าถือเอาตามตัวอักษรว่าความเป็นผู้รู้ประมาณในการบริโภค พวกที่รู้บาลีอย่างลูกเด็ก ๆ รู้คงจะตีความว่าหมายถึงอาหารการกินอย่างเดียว เพราะเมื่อพูดถึงบริโภค มันก็รู้จักแต่เรื่องกินทางปาก แต่ความหมายอันแท้จริงของพระบาลีคำนี้ ไม่ได้เล็งถึงแต่เรื่องการกินทางปาก แต่หมายถึงการบริโภคทั่วไป
ในภาษาบาลีใช้คำว่าบริโภคกับสิ่งที่ในเมืองไทยเดี๋ยวนี้เรียกว่าอุปโภค อุปโภค หมายถึง ที่ไม่ได้กินทางปาก เขาก็แยกออกไปจากบริโภคที่กินทางปาก แต่ในภาษาบาลีแท้ ๆ นั้น ไม่เคยพบคำว่าอุปโภค ไม่รู้มันหลงมาแต่ไหน ฉะนั้นจึงขอพูดถึงคำว่าบริโภค ตามความหมายในภาษาบาลี คำว่าบริโภคในภาษาบาลีนั้น แม้แต่การใช้สอยเตียงตั่งอย่างนี้ก็เรียกว่าบริโภคเหมือนกัน แม้ที่สุดแต่การเกี่ยวข้องกับรสทางกามารมณ์ในระหว่างเพศ นี่ก็ยังเรียกว่าบริโภค ใช้คำว่าบริโภค บริโภคกามารส บริโภคเพศตรงกันข้าม นี่ไม่ใช่ผู้หญิงกินผู้ชาย หรือผู้ชายกินผู้หญิง แต่ว่าผู้ชายบริโภครสอันเกิดแต่สตรี สตรีบริโภครสอันเกิดแต่บุรุษ คำว่าบริโภคในภาษาบาลีมีความหมายถึงขนาดนี้ จึงเป็นการกล่าวได้ว่า การรู้ประมาณในการบริโภคนั้น หมายถึงการบริโภคทุกชนิด รวมทั้งที่เรียกในภาษาไทยว่าอุปโภคเข้าด้วยกัน และยังมีอะไร ๆ มากกว่านั้น อาตมาอยากจะถือตามหลักที่รู้จักกันดีทั่วไปคือปัจจัย ๔ ปัจจัย ๔ เป็นคำใช้เรียกวัตถุอุปกรณ์ของบรรพชิต ภิกษุ สามเณร มีอยู่ ๔ อย่าง คือ เครื่องนุ่งห่ม อันได้แก่ จีวร นี่ก็เรียกว่าบริโภคจีวร อาหารบิณฑบาตนี้ คือ อาหารที่กินทางปาก ก็เรียกว่าบริโภคบิณฑบาต เสนาสนะ คือตัวสถานที่อยู่อาศัยเครื่องใช้ไม้สอยในเสนาสนะนั้น นี้ก็เรียกว่าบริโภคเสนาสนะ แต่ก็ไม่ได้กินก้อนอิฐ ก้อนปูน โต๊ะ เก้าอี้ ที่มีอยู่ในอาคารเหล่านั้นเลย คือว่าการใช้สอยเสนาสนะนั้นแหละเรียกว่า การบริโภคเสนาสนะ สิ่งสุดท้ายก็คือหยูกยา รวมอุปกรณ์ทุกอย่างที่จะกำจัดโรคให้หายไป เรียกว่าหยูกยาในที่นี้ทั้งนั้น จะเป็นเครื่องใช้ไม้สอย หรือเป็นการประพฤติกระทำอะไรก็ตาม
สิ่งที่จะต้องบริโภคโดยหลักใหญ่ ๆ นี้ก็มีอยู่ ๔ อย่าง คือ เครื่องนุ่งห่ม อาหารการกิน ที่อยู่ที่อาศัย เครื่องใช้ไม้สอย และหยูกยา เป็นอันว่าเราจะต้องรู้จักสิ่งที่จะต้องบริโภคนั้นให้ครบถ้วน แล้วมาศึกษาให้รู้จักประมาณ หรือมาตรา เครื่องวัดเครื่องกำหนด ว่ามีอะไร เท่าไหร่ อย่างไร แล้วก็จะต้องบริโภคสิ่งเหล่านี้ให้ถูกกับประมาณ ถ้าพูดสั้น ๆ ก็จะพูดเสียเลยว่า ไม่บริโภคชนิดที่เป็นส่วนเกิน ทำไมไม่พูดถึงส่วนขาด เพราะส่วนขาดนั้นกิเลสมันไม่ต้องการ ไม่มีใครต้องการจะกินอะไรให้มันขาด เพราะกิเลสมันไม่ต้องการ ทุกคนมันต้องการจะกินให้เกินอยู่ทั้งนั้นเพราะกิเลสมันต้องการ ถ้าว่าไม่รู้ประมาณในการบริโภคนี้ ย่อมหมายถึงต้นเหตุที่ทำให้บริโภคเกิน บริโภคส่วนเกิน บริโภคด้วยกิริยาอาการที่มันเกิน นี่แหละคือพระพุทธประสงค์ซึ่งทรงแสดงไว้ในโอวาทปาติโมกข์ข้อนี้ เดี๋ยวนี้คนเขาบริโภคส่วนเกินและก็ไม่รู้สึกว่าเกิน การบริโภคส่วนเกินนั้นจะนำมาซึ่งความวินาศ เขาก็ไม่มองเห็นว่าจะนำมาซึ่งไอ้ความวินาศ ขอให้สนใจคำว่าส่วนเกิน บุคคลก็ไม่รู้จักส่วนเกิน และคนทั้งโลกก็พลอยไม่รู้จักส่วนเกิน จะกล่าวกันในภาษาโลก ภาษาคน หรือในภาษาธรรมะ มันก็มีความหมายอย่างเดียวกันหมด คำว่า เกิน ในที่นี้หมายความว่า ให้โทษ ไปทำเข้าแล้วให้โทษ ไปทำเข้าแล้วเป็นการส่งเสริมกิเลส เรากำลังอยู่ในสภาพที่เรียกว่า บริโภคส่วนเกิน แล้วส่วนใหญ่ก็ไม่ได้รู้สึกตัว เพราะเราไม่เห็นว่าสำคัญ หรือเพราะว่าเราได้ปฏิบัติกันอย่างนี้ ทีละนิด ๆ ๆ โดยไม่รู้สึกตัว
เมื่อเราพูดถึงคำว่าโลกนี้เจริญ เริ่มเจริญ เริ่มมีวิวัฒนาการมาตามลำดับ นับตั้งแต่โลกเริ่มมีมนุษย์ขึ้นมาในโลก สมัยที่ยังเป็นคนป่าคนดอย แล้วมันก็มีวิวัฒนาการขึ้นมา มันก็มีวิวัฒนาการขึ้นมาโดยสิ่งที่เรียกว่าเกิน เมื่อคนป่าไม่นุ่งผ้าก็ได้ แล้วเขาก็ต้องการจะนุ่งผ้าขึ้นมา ก็แปลว่ามันเกินระดับคนป่า ทีนี้เมื่อคนป่าเขากินเนื้อดิบ ๆ ก็ได้ ต่อมาเขาอยากจะเผา อยากจะจี่ อยากจะปิ้ง นี่ก็เรียกว่ามันเกินระดับคนป่า ทีนี้ต่อมาเผา จี่ ปิ้ง ต้ม แล้วมันยังมีน้ำจิ้มนานาชนิดมาจิ้มให้มันมากขึ้นอีก มันก็กินมากขึ้นอีก นี่มันค่อยเกินมาโดยไม่รู้สึกตัว เราเรียกไอ้การที่มันค่อย ๆ เกินมานี้ว่าความเจริญ หรือวิวัฒนาการ มองในทางหนึ่งมันก็ถูก แต่มองในทางหนึ่งแล้วมันก็จะเห็นได้ว่ามันเกิน มันเดินมาในแนวของความเกิน กระทั่งเกินจนไม่รู้ว่าจะเกินกันอย่างไร ไม่มีขอบเขตที่ว่าจะพอดีกันอย่างไร มนุษย์เจริญมาในลักษณะนี้ แล้วก็เจริญในด้านวัตถุเกินกว่าในด้านจิตใจ ขอให้ท่านทั้งหลายช่วยทำความเข้าใจให้ดี ๆ ว่า ไอ้ความเกินนี่มันเกินแต่ในด้านเนื้อหนัง คือด้านวัตถุที่ส่งเสริมกิเลส ส่วนด้านจิตใจที่จะทำให้มีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีมีธรรมะนั้น มันกลับไม่เกิน มันกลับหดเสีย ดังนั้นวัตถุนิยมมันจึงมีมากเกินกว่าจิตนิยม นี่คือความไม่สมดุลกันในระหว่างสิ่งทั้งสอง พุทธศาสนาต้องการความสมดุลกันในระหว่างวัตถุและจิต เพราะว่าพุทธศาสนานี้ไม่ใช่วัตถุนิยมโดยส่วนเดียว ไม่ใช่จิตนิยมโดยส่วนเดียว แต่นิยมของทั้งสองอย่างนั้นอย่างสัมพันธ์กัน อย่างเกี่ยวเนื่องกันด้วยความสมดุล อย่าให้วัตถุมันเกินจิตใจ มันมีอันตรายมาก ไม่ให้จิตมันเกินวัตถุ แม้ว่ามันมีอันตรายน้อย เราไม่ต้องการให้อะไรมันเกินหน้าที่ของมัน แต่แล้วมันก็เกินจนได้
ท่านทั้งหลายลองคำนวณดูให้ดีว่า วิวัฒนาการของมนุษย์นี่มันเจริญเกินมาในด้านวัตถุ คือเนื้อหนังร่างกายนี่ยิ่งขึ้น จนด้านจิตใจมันตามไม่ทัน แม้ว่าจะได้เกิดพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ตรัสรู้พระธรรม สั่งสอนเรื่องความสมดุลในระหว่างร่างกายกับจิตใจ มันก็เป็นไปได้ในขอบเขตจำกัด มนุษย์ส่วนใหญ่หรือส่วนมากไม่ได้รับคำสอนนี้ แม้ว่าพระพุทธองค์จะได้ตรัสคำสอนข้อนี้หรือเหล่านี้มาตั้งแต่แรกจนกระทั่งบัดนี้ก็ยังถือว่าเป็นหลักคำสอนอยู่ แต่ก็ไม่ได้รับความสนใจความเอื้อเฟื้อที่จะประพฤติปฏิบัติตาม มีผู้ปฏิบัติตามเป็นส่วนน้อย อ้างตัวเองว่าเป็นพุทธบริษัท หรือจดทะเบียนว่าเป็นพุทธบริษัท แล้วก็ร้องตะโกนว่า กูเป็นพุทธบริษัทกันให้ก้องไปหมด เสร็จแล้วมันมีกี่คนที่ร้องตะโกนอยู่อย่างนั้นแล้วก็ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระองค์ จะหาข้อเท็จจริงกันในเรื่องนี้ก็ดูตรงที่ว่าเขาเป็นอยู่ด้วยวัตถุส่วนเกินหรือเปล่า เป็นพุทธบริษัทแท้ ๆ แล้วก็ไปหลงตามก้นไอ้พวกที่ไม่ใช่พุทธบริษัท เพื่อกินอยู่หรือเป็นอยู่ด้วยส่วนเกิน ไปถามมันดูว่าไอ้กินเหล้านี่มันเป็นส่วนเกินหรือไม่เกิน มันก็ไม่อยากจะตอบ เพราะมันรู้อยู่ว่าไอ้กินเหล้านี้มันก็เป็นส่วนเกินไม่ควรจะกิน แต่แล้วมันอยากจะกิน มันก็จะแก้ตัวว่าไม่ใช่ส่วนเกิน แล้วมันก็กินเหล้า
แม้แต่สูบบุหรี่นี่พระเณรมันก็สูบ ไปถามมันดูเหอะว่าเกินหรือไม่เกิน ไอ้คนที่ติดบุหรี่มันก็บอกว่าไม่เกิน ทั้งที่แท้มันเกิน และมันเกินอย่างเลว คือมันเหยียบย่ำคำสอนของพระพุทธองค์ อธิบายสิ่งเสพติดให้กลายเป็นหยูกยาไปเสีย นี่ยกตัวอย่างในส่วนที่มันเลวร้าย ยาเสพติดที่รุนแรงไปกว่า เหล้า หรือ บุหรี่นี้มันมีมาก และกำลังได้รับความนิยม คนในโลกรวมทั้งพวกฝรั่งด้วย มันจัดการการศึกษากันอย่างไรหนอ ลองคิดดูเถิด เรามีการศึกษาแล้วมันยังมีปัญหาเรื่องเฮโรอีน นักศึกษามันยังมีปัญหาเรื่องเฮโรอีน รัฐบาลทุกประเทศในโลกมันก็ยังมีปัญหาเรื่องพลเมืองมันเสพเฮโรอีน นี่มันจัดการศึกษากันอย่างไร เห็นของที่เหลือที่จะเกินนี่เป็นของไม่เกิน เห็นของที่น่าขยะแขยงนี่กลายเป็นสิ่งที่น่ารักน่าพอใจไปเสีย ไม่รู้จักคำว่าเกิน เพราะกิเลสมันหลอก หรือมันบีบบังคับไม่ให้รู้สึกว่าเกิน ไอ้เรื่องที่รุนแรงเหล่านี้มันก็มีอยู่พวกหนึ่ง ยังมีอีกพวกหนึ่งซึ่งไม่รุนแรง แต่ก็ไม่รู้ว่าไอ้พวกไหนมันทำอันตรายให้มาก เช่นว่าเดี๋ยวนี้มันก็กินน้ำอัดลมกันเหลือที่จะประมาณได้ ไม่เคยนึกถามตัวเองว่านี่มันเกินหรือไม่เกิน หรือมันกินน้ำแข็ง ใช้น้ำแข็งกันมาก เลยไม่คิดว่านี่มันเกินหรือไม่เกิน ขอให้หยิบขึ้นมาพิจารณาด้วย มันมีการปรุงแต่งรสด้วยผงชูรส ด้วยน้ำจิ้ม อาตมาไปเห็นแล้วตกใจว่าเฉพาะน้ำจิ้มอย่างเดียวนี่ทำไมมันจึงมีตั้งยี่สิบสามสิบชนิด แต่แล้วก็พอจะกล่าวได้ว่า น้ำจิ้มทุกชนิดนั่นก็คือล้วนแต่ทำหน้าที่เหมือนกันหมด คือทำให้คนกินมากเกินกว่าที่ควรจะกิน น้ำจิ้มอย่างนั้น น้ำจิ้มอย่างนี้ มันก็เลือกจิ้มจนมันกินเข้าไปได้อีกทั้งที่ท้องมันอิ่มแล้ว หมายความว่ามันอาศัยน้ำจิ้มนี้มันทำให้คนมันกินเข้าไปได้มากเกินกว่าที่จะเรียกว่าตะกละ จริงไม่จริงก็ไปลองสังเกตดู ไอ้เครื่องชูรสทั้งหลายทำให้คนกินเข้าไปมากเกินกว่าที่จะเรียกว่าตะกละ แล้วเขาก็ยังมีอะไรอีกหลายอย่างที่จะทำให้คนกินเกินตะกละ มาร้องเพลงให้ฟังเมื่อกำลังกิน เอาเพศตรงข้ามมาป้อนให้กินเหล่านี้ มันล้วนแต่จะส่งเสริมให้กินเกินกว่าที่จำเป็นจะต้องกินทั้งนั้น แล้วก็ไม่มีใครพูดว่ามันเกิน นี่เราเป็นกันมาอย่างนี้โดยไม่รู้สึกตัว ไอ้วัตถุนิยมมันจึงเกินจิตนิยม เกินจนไม่รู้ว่าจะเกินกันอย่างไร
ทีนี้มันก็ให้ผลโดยอ้อม คือว่าทุกคนนี้มันชวนกันนิยมไอ้ส่วนเกิน มันก็เลยเกลียดศาสนา ช่วยกันเฉยเมยหันหลังให้ศาสนาเสีย จนกระทั่งมาถึงยุคนี้เขาแยกศาสนาออกไปเสียจากการศึกษาในโรงเรียน คนไทยเราก็ตามก้นพวกฝรั่งที่แยกสิ่งที่เรียกว่าศาสนาออกไปเสียจากการศึกษาในโรงเรียน เว้นแต่โรงเรียนที่พวกศาสนาเขาจัด ถ้าเป็นโรงเรียนธรรมดาสามัญทั่วไปแล้ว เขาแยกธรรมะหรือศาสนาของทุกศาสนาออกไปเสียจากโรงเรียน นี่เพิ่งนิยมกันเมื่อไม่นานมานี้ คนไทยเราก็เพิ่งไปตั้งตามก้นเขาเมื่อไม่นานมานี้ เรื่องแยกศาสนาออกไปเสียจากการศึกษาสามัญ แล้วก็ยังแยกการศึกษาออกไปเสียจากเรื่องที่จำเป็นสำหรับชีวิต ไม่มีใครสอนให้ใคร ๆ รู้ว่า ไอ้ธรรมะหรือศาสนานั้นจำเป็นสำหรับชีวิต มีแต่ช่วยกลบเกลื่อนกันเสีย จะไม่ต้องถือศาสนากัน จะได้ประพฤติตามกิเลสตัณหาต้องการได้ทุกแง่ทุกมุม การเหยียบย่ำพระศาสนาโดยไม่รู้สึกตัวอย่างนี้ทำลายศาสนาทุกศาสนา รวมทั้งพุทธศาสนาของเราด้วย
อาตมาใช้คำว่า ทำลาย เหยียบย่ำพระศาสนาโดยไม่รู้สึกตัว ขอให้มองดูความหมายของคำว่า ไม่รู้สึกตัว ทำไมไม่รู้สึกตัว ทำไมจึงไม่รู้สึกตัว เพราะว่ากิเลสมันกำลังขึ้นขี่คออยู่ มันมองเห็นอะไรไม่ได้นอกไปจากที่กิเลสมันจะต้องการ ฉะนั้นเขาจึงเหยียบย่ำพระธรรม เหยียบย่ำพระศาสนาโดยไม่รู้สึกตัว เพราะว่าตัวมันกำลังเป็นกิเลส กิเลสมันก็ต้องการอย่างนั้น นี่ขอให้คิดดูเถอะว่ามันมีอะไรเกิน กิเลสมันช่วยให้เนื้อหนังนี่เกินเรื่องทางจิตใจ หลงใหลในเรื่องเนื้อหนังนี่เราเรียกว่า มันเกินเหลือที่จะเกิน เกินให้ฝ่ายกิเลส ฝ่ายธรรมะนี้มันก็ขาดจนไม่มีความสมดุล เหมือนกับว่าถ้าพวกนายทุนเขาเอาไปเสียหมด พวกกรรมกรมันก็ขาด แล้วเราก็โกรธแล้วก็แช่งด่ากัน ไอ้ทีตัวเราเองทำไมเราไม่มองอย่างนั้น แล้วเอากิเลสเป็นตัวเสียแล้วก็ปล่อยให้มันเกิน เกิน เกิน เป็นอยู่อย่างเกิน ก็ไปดูปัจจัย ๔ ที่เรามีอยู่ในบ้านเรือนของเรา มันมีอะไรเกินบ้าง เรื่องเครื่องนุ่มห่มข้อแรกนะ ปัจจัย ๔ นี่ท่านยกเอาเครื่องนุ่งห่มมาเป็นข้อที่ ๑ เอาอาหารเป็นข้อที่ ๒ เอาบ้านเรือนเครื่องใช้ไม้สอยเป็นข้อที่ ๓ เอาหยูกยาเป็นข้อที่ ๔ เมื่อเราดูตามหลักอันนี้ เราก็ดูที่เครื่องนุ่งห่มกันก่อน
คนในโลกเวลานี้มีส่วนเกินเกี่ยวกับเครื่องนุ่งห่มอย่างไรบ้าง อาตมาก็ดูเท่าที่ลูกตามันจะมองเห็น เห็นว่าเขาชอบใส่เสื้อสวย เสื้อลาย เสื้ออะไรแปลก ๆ ให้มันสวยก็แล้วกัน โดยไม่ต้องคำนึงว่ามันจะแพงหรือจะไม่ทนทานอะไรเหล่านี้ แล้วก็มีการประดับประดาเหมือนกับยายบ้า เมื่อเราเด็ก ๆ เราเห็นคนบ้าที่แต่งตัวอย่างนั้นเรียกว่ายายบ้า เดี๋ยวนี้คนที่ไม่ใช่ยายบ้าก็แต่งตัวอย่างนั้น นี่เรียกว่าไอ้เรื่องเครื่องนุ่งห่มนี่มันเป็นการตกอยู่ในลักษณะส่วนเกินมากทีเดียว ฉะนั้นใครใส่เสื้อเขียว เสื้อแดง เสื้อลาย เสื้อใส่ลูกไม้ ประดับทอง ประดับเงิน อะไรอย่างนี้ไปดูกันเสียใหม่ว่ามันเกินหรือไม่เกิน เกินก็เรียกว่าเกินในส่วนเครื่องนุ่มห่ม แล้วยังจะต้องไปนึกถึงเรื่องที่ทำให้หอม ให้แปลกประหลาดอะไรต่อไปอีก ผนวกเข้าไว้ในพวกที่เกินด้วยกันทั้งนั้น ทีนี้มาถึงเรื่องที่ ๒ เรื่องอาหารการกิน ก็เห็นได้ว่ามันเกินอย่างที่ได้พูดมาแล้ว ไม่ต้องพูดซ้ำอีก ทีนี้มาดูเรื่องบ้านเรือนและเครื่องใช้ไม้สอย เครื่องเรือนทั้งหลายนั้นมันมีอะไรเกินซึ่งไม่มีก็ได้ ไปดูกันเสียให้ดี
พอมาถึงเรื่องหยูกยานี้มันหมายความว่า เขาก็ต้องการไอ้ความเกิน หยูกยาดีเกินจนจะไม่เป็นยาอยู่แล้ว เอาน้ำเมามาเป็นยาก็มี ยานี้ก็ก้าวหน้ามากจนเกินที่ควรจะเป็นก็มี อาตมาก็ไม่ได้เป็นหมอ แต่ได้อ่านหนังสือหนังหาที่เกี่ยวกับเรื่องหมอ หมอเขาก็บอกว่าไอ้หยูกยานี้มันก็มีส่วนที่เป็นคุณอนันต์ และโทษของมันก็มหันต์ พวกยาปฏิชีวนะกินเข้าไปได้รับประโยชน์เหมือนกับยาทิพย์ แต่พร้อมกันนั้นมันก็ทำลายสภาพเดิมแท้ของร่างกาย ของจุลินทรีย์เหล่านั้น เพราะว่ามันไม่ได้ฆ่าแต่จุลินทรีย์ที่เป็นโรค มันทำลายจุลินทรีย์ที่เป็นคุณพร้อมกันไปในตัว ทำให้คนอ่อนแอลง อ่อนแอลง รอดอยู่ได้ด้วยความยากลำบาก คนที่ควรจะตายมันก็ไม่ได้ตายสักที มันอยู่อย่างไม่มีประโยชน์ มันก็ทนอยู่ได้ มันไม่ได้ตายอย่างที่ควรจะตาย และมันไม่ได้ตายดี คือไม่ได้ตายอย่างมีสติสัมปชัญญะรู้สึก เขามาช่วยไม่ให้มันตายลงก็แล้วกัน นี่เรียกว่ามันดีเกิน ธรรมโอสถของพระศาสนานั้นไม่รู้จัก รู้จักแต่หยูกยาในทางวัตถุแห่งยุคปัจจุบัน และก็ทำให้มันเกิน อย่างที่เรียกว่า คุณก็อนันต์ไอ้โทษก็มหันต์ ซึ่งคนแต่กาลก่อนเขาไม่มีปัญหาอย่างนี้ คือมันไม่ดีเกิน
ขอให้ดูให้เห็นไอ้ความเกินของปัจจัยทั้ง ๔ แล้วก็เอาเรื่องจริงมาดู ไม่ต้องคิดไม่ต้องคำนวณเพื่อเหตุผล เอาเรื่องจริงมาดู เช่น เรื่องอาหารนี่มันไม่ได้กินอย่างอาหาร แต่มันกินอย่างเหยื่อ อย่างนี้ก็เรียกว่า กามด้วยเหมือนกัน อาหารที่กินเพื่ออร่อยนั้นเขาเรียกว่า กาม ตามภาษาบาลี อาหารที่กินเพียงเพื่อส่งเสริมให้ร่างกายอยู่ได้นี้เรียกว่าอาหาร เดี๋ยวนี้ก็เอาเหล้ามาเป็นอาหารแล้ว กินเหล้าเป็นอาหารนี้มันจะเป็นอย่างไรบ้างไปคำนวณดู มีเรื่องบังหน้า วิชาโภชนาการทั้งหลายนี่มันเป็นเรื่องบังหน้า ที่จริงก็สำหรับจะกินให้เกินกันทั้งนั้น อาตมาไม่ชอบไอ้เรื่องที่มาหลอกให้กินกันให้เกิน ไอ้น้ำจิ้ม ไอ้ผงชูรส สิ่งที่จะมาทำให้กินให้ได้มากเกินความต้องการในเรื่องอาหาร
เรื่องเครื่องนุ่งห่มนี้ถ้าเพียงจะปกปิดร่างกาย เขาก็เรียกว่าเครื่องนุ่งห่ม แต่ถ้าเพื่อประดับให้สวยงามนี้มันไม่ใช่เครื่องนุ่งห่ม เพราะฉะนั้นมันก็คือความหลอกลวง เครื่องนุ่งห่มปกปิดร่างกายในส่วนที่ควรละอาย ปกปิดป้องกันเหลือบ ยุง ลม แดด เป็นต้น นี่เรียกว่าเครื่องนุ่งห่ม แต่ถ้าว่าเอามาใส่ให้มันสวย เพื่อยั่วยวน เพื่อหลอกกันแล้วจะเรียกว่าเครื่องนุ่งห่มได้อย่างไร มันไม่มีความหมายไอ้เครื่องนุ่งห่ม หรือว่าจีวรเสียแล้ว มันก็กลายเป็นเครื่องหลอกลวง นี่คือส่วนที่มันเกิน เครื่องนุ่งห่มก็มีเรื่องเกินไม่น้อยกว่าส่วนที่เป็นอาหาร ทีนี้ดูที่บ้านเรือน ถ้าทำบ้านเรือนเท่าที่จำเป็น สำหรับจะอยู่อาศัยให้สะดวกสบาย ก็เรียกว่าบ้านเรือนได้ อาคารนี้เพื่อเป็นบ้านเรือนสำหรับอยู่อาศัย แต่ถ้ามันทำสำหรับอวดกัน สำหรับเพื่อสะดวกแก่การบำรุงบำเรอกามารมณ์แล้วมันจะเป็นบ้านเรือนได้อย่างไร ไม่ได้ทำบ้านเรือนสำหรับอยู่ แต่ทำบ้านเรือนสำหรับอวดกันในทางบำรุงบำเรอ มันก็เป็นส่วนเกิน แล้วก็มีส่วนเกินไม่น้อยกว่าส่วนเกินของไอ้อาหารการกิน หรือเครื่องนุ่งห่ม
เป็นอันว่าเราอยู่กันด้วยส่วนเกินโดยไม่รู้สึกตัว แล้วก็กำลังเกินยิ่งขึ้นทุกที โดยไม่รู้สึกตัวอย่างยิ่ง และแกล้งทำไม่รู้สึกตัวอย่างยิ่ง ไม่อยากจะให้รู้สึกตัว ก็ยิ่งเกินมากขึ้นไปเท่านั้น ฉะนั้นมันจึงขัดกับพระพุทธภาษิตที่ได้ยกมาให้ฟังในโอวาทปาติโมกข์ คือ มตฺตญฺญุตา จ ภตฺตสฺมิง ซึ่งเราจะต้องยอมรับว่าเป็นความสำคัญข้อหนึ่งใน ๖ ข้อหรือ ๗ ข้อนั้น ไม่พูดร้าย ไม่ทำร้าย สำรวมในระเบียบวินัย แล้วก็รู้ประมาณในการบริโภค นั่งนอนในเสนาสนะอันสงัด ประกอบความเพียรในการทำจิตให้ยิ่ง นับดูแยกข้อแล้วก็ได้ ๗ ข้อ ในหนึ่งข้อ ในแต่ละข้อนั้นมีความสำคัญทั้งนั้น การเป็นอยู่ด้วยส่วนเกินนี้ก็มีความสำคัญเท่ากับว่าไปด่าเขา ไปฆ่าเขา ไม่ถือศาสนา ระเบียบวินัย ชอบเรื่องยุ่ง ๆ และก็อยากให้จิตมันต่ำ แล้วมันก็ส่งเสริมกันอยู่ในตัว ไอ้ความเลวข้อหนึ่งมันก็ส่งเสริมความเลวข้อนอกนั้น เช่นว่า เรามีการเป็นอยู่ด้วยส่วนเกิน เราชอบส่วนเกิน มันก็ต้องทำให้ไปด่าเขา และไปฆ่าเขาเป็นแน่ แล้วมันจะไม่สำรวมอยู่ในระเบียบวินัยอะไรได้ แม้เราชอบส่วนเกินแล้ว เราไม่ชอบที่นั่งที่นอนอันสงบสงัด แล้วเราก็ไม่ชอบทำจิตให้สูงเหนืออำนาจกิเลส เพราะเราชอบส่วนเกิน เพราะว่ากิเลสกำลังเป็นตัวเรา กิเลสก็ต้องการให้ได้ส่วนเกิน นี่จะมองดูที่ข้อไหนลงไปเพียงสักข้อเดียว ก็จะเห็นว่ามันส่งเสริมข้ออื่น ๆ ด้วยกันทั้งนั้น แล้วก็ผูกพันกันไปด้วยกัน
ดังนั้นถ้าเราจะมาจัดการข้อสำคัญข้อหนึ่งนี้ให้เด็ดขาดลงไปว่า เราจะไม่เป็นอยู่ด้วยส่วนเกิน ว่ากันตรง ๆ อย่างนี้ มันก็คงจะลดไอ้การที่จะไปด่าเขา ไปฆ่าเขา ไปย่ำยีระเบียบวินัยอะไรต่าง ๆ ได้ แล้วก็จะชอบอยู่อย่างสงบสงัด แล้วก็ชอบให้จิตมันสูงขึ้นไป ๆ นี่ลองคิดดูเถอะว่าเราเป็นอย่างไรที่เกี่ยวกับส่วนเกินของมนุษย์ ใครเป็นอะไรกันแน่ถ้าส่วนเกินมันเป็นเรื่องของพวกผีปีศาจ ดังนั้นเราก็กำลังเป็นพวกผีปีศาจ คิดดูก็แล้วกัน ถ้าว่าส่วนเกินมันเป็นของดีของมนุษย์ของเทวดาก็ทำต่อไปก็ได้ แต่เดี๋ยวนี้กำลังชี้ให้เห็นว่าไอ้ส่วนเกินนี้กำลังเป็นอันตรายที่จะทำโลกนี้ให้วินาศ พวกคนรวยก็ต้องการเกิน พวกคนจนก็ยังต้องการเกิน จนแสนจะจนมันก็ยังทะเยอทะยานที่จะมีส่วนเกิน นี่เรียกว่าปัญหามันได้เกิดขึ้นแล้ว เพราะว่าไอ้คนมั่งมีกับคนยากจนนี่มันทะเลาะกันด้วยการแย่งส่วนเกิน เมื่อคนมั่งมีเอาไว้มาก คนจนมันก็ขาดแคลน นี่เพราะคนมั่งมีหลงใหลในส่วนเกิน โลกมันก็จะฆ่ากันให้วินาศเพราะแย่งชิงส่วนเกินระหว่างลัทธิ ที่ลัทธิหนึ่งมันส่งเสริมส่วนเกินของคนร่ำรวย อีกลัทธิหนึ่งมันก็จะช่วยคนจนฆ่าคนร่ำรวย แล้วโลกนี้จะเอาความสงบกันมาแต่ไหน
ดังนั้นการที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้แต่คำสั้น ๆ ว่า มตฺตญฺญุตา จ ภตฺตสฺมิง จงเป็นผู้รู้ประมาณในการบริโภคเถิด นี่มันสำคัญกี่มากน้อย อาตมามองเห็นว่า เพียงแต่ถือธรรมะข้อนี้ข้อเดียวเท่านั้น นี่ข้อนี้ข้อเดียวเท่านั้นแหละโลกนี้ก็จะสงบสุข เป็นโลกพระศรีอาริย์ได้ ทุกคนไม่เอาส่วนเกิน หามาได้มากเกินที่จะกินจะใช้ได้ ก็ไม่กินเกิน ไม่ใช้เกิน เอาส่วนเกินไปช่วยผู้อื่น ฟังดูให้ดีว่าไอ้ส่วนเกินนั่นแหละ นั่นส่วนที่จะเอาไปทำบุญทำกุศล ส่วนที่เราจำเป็นจะต้องกินเองก็กิน จะเอาไปทำบุญทำกุศลเสียได้อย่างไร ทีนี้ส่วนที่มันเกิน มันเหลือกินเหลือใช้คือส่วนที่จะเอาไปทำบุญทำกุศล ทีนี้ก็เอามากินเสียมันก็ไม่เหลือส่วนเกิน เพราะว่าไอ้ส่วนเกินนี้มันขยายออกไปได้ มันจะต้องมีไอ้ตู้เย็นอย่างนี้เพื่อให้มีการกินอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วมันก็ออกไปหากินข้างนอก กินอาหารที่เขานิยมกัน ว่ามันจะแพง หรือมันจะพิเศษอะไรก็จะกินให้ได้ เท่านั้นยังไม่พอ มันก็ยังไปกินของมึนเมาที่ทำให้ไม่มีหลักเกณฑ์อะไรเหลืออยู่ ฉะนั้นเงินเดือนมันก็ไม่พอใช้ เป็นตำรวจเงินเดือนก็ไม่พอใช้ เป็นครูประชาบาลเงินเดือนก็ไม่พอใช้ เป็นข้าราชการชั้นระดับสามัญอย่างนี้ เงินเดือนกันมันก็ไม่พอใช้ นี่มันก็เลยต้องทำอะไรที่ไม่ควรจะทำ คือทำคอรัปชั่น นี่เพราะว่ามันเป็นทาสของปีศาจส่วนเกิน ถ้าว่าคนเหล่านี้ไม่เอาส่วนเกินเงินเดือนมันก็พอใช้ เพียงแค่เลิกบุหรี่เลิกเหล้าสองอย่างซึ่งเป็นส่วนเกินเท่านั้นเงินเดือนมันก็พอใช้
เรามองดูกันต่อไปถึงข้อที่ว่า ถ้าไม่เอาส่วนเกินแล้วมันจะเหลือสักกี่มากน้อย มันเหลือมากทีเดียว ไปคิดดูเองเถิด นับตั้งแต่ว่าเว้นบุหรี่เสีย เว้นเหล้าเสีย เว้นเครื่องหลอกลิ้นให้กินมากนั้นเสีย การประดับประดาที่มันเกินนั้นเสีย อะไรเกินเอาเสียให้ออกเสียมันก็มีเงินเหลือ นี่เรียกว่าเศรษฐกิจมันดีขึ้นมาทันที ถ้าเราเชื่อพระพุทธเจ้ากันในข้อนี้ว่าไม่บริโภคส่วนเกิน เศรษฐกิจส่วนบุคคล เศรษฐกิจในครอบครัว เศรษฐกิจของภรรยาสามีอะไรก็ตามมันจะดีขึ้นทันที รวมทั้งเศรษฐกิจของประเทศชาติมันก็จะดีขึ้นด้วย ทีนี้อนามัยคือร่างกายคนนั้นมันก็จะดี เพราะว่าส่วนเกินนี้มันทำลายอนามัยของร่างกาย พอไม่บริโภคส่วนเกินอนามัยทางกายก็ดี ทีนี้อนามัยทางจิตมันก็ดี เพราะมันไม่ถูกทำลายด้วยส่วนเกินอีกเหมือนกัน การกินของมึนเมาเป็นต้นซึ่งเป็นส่วนเกินนี้ก็ทำลายระบบอนามัยของจิตด้วย
ทีนี้สิ่งสุดท้ายก็คือ สติปัญญา ถ้าจะเรียกว่าอนามัยในทางวิญญาณคือสติปัญญามันก็ดี มันไม่โง่ มันไม่เมา มันไม่หลงในเรื่องหลอกลวงของกิเลส เรียกว่าทางวิญญาณ หรือทางสติปัญญาก็ดีด้วย ทางเศรษฐกิจดี อนามัยทางกายดี อนามัยทางจิตดี สภาพทางวิญญาณ หรือสติปัญญาก็ดี เมื่อเป็นอย่างนี้แล้วจะเอาอะไรกันอีกล่ะคนเรา มันดีถึงขนาดนี้ ทีนี้มันยังมีปลีกย่อยออกไปว่า ถ้าไม่ไปหลงใหลในส่วนเกินแล้ว เวลาเหลือสำหรับพักผ่อนมันก็มาก เวลาสำหรับจะอยู่กับครอบครัวพร้อมหน้าลูกหลานตาดำ ๆ มันก็มาก เดี๋ยวนี้พ่อมันก็ออกไปเอาส่วนเกิน แม่มันก็ออกไปเอาส่วนเกิน วันเสาร์วันอาทิตย์ก็ยังไม่พอ มันไม่มีวันเสาร์วันอาทิตย์สำหรับอยู่กับลูกกับหลาน หรือไปฟังเทศน์ฟังธรรมที่วัด เพราะมันไปหลงส่วนเกิน ได้ยินว่าอย่างนั้น อย่างอยู่ที่กรุงเทพนี่วันเสาร์วันอาทิตย์เขาไปไหนกัน มันไปหาส่วนเกินในสถานที่กามารมณ์ พอหยุดส่วนเกินเสียมันก็ไม่รู้จะไปไหน มันก็ต้องอยู่บ้านแล้วมันก็ได้พักผ่อน มันก็ได้พบหน้าลูกเมีย สอนลูกสอนหลาน หรือว่าจะได้อ่านหนังสือธรรมะ เขาพูดว่าไม่มีเวลาที่จะอ่านหนังสือธรรมะ ไม่มีเวลาที่จะอบรมลูกเด็ก ๆ ด้วยตนเอง ไว้ให้คนใช้มันอบรมแล้วพ่อแม่มันไปไหน มันต้องไปเอาส่วนเกิน มันมาช่วยกันหาเงินเดือนให้มาก เงินเดือนมากนี้ก็เพื่อส่วนเกิน เพราะเงินเดือนเท่าที่ได้อยู่นั้นมันพออยู่แล้วสำหรับจะเป็นอยู่โดยไม่ต้องมีส่วนเกิน นี่คนในโลกมันเลวลง เลวลง เลวลงตามชั่วอายุของลูก ของหลาน ของเหลน เพราะว่ามันไปบูชาส่วนเกิน นี่มันเหยียบย่ำคำสอนของพระพุทธเจ้าสั้น ๆ ข้อเดียวว่า มตฺตญฺญุตา จ ภตฺตสฺมิง ความเป็นผู้รู้ประมาณในการบริโภค
ลองถามกันขึ้นมาสักคำหนึ่งว่า เรากำลังจะเป็นสัตว์อะไรชนิดหนึ่ง จะเป็นสัตว์ที่ไม่มีประโยชน์อะไรนอกจาก กิน กิน กิน กิน กิน บริโภค บริโภคส่วนเกิน บริโภคส่วนเกิน อาตมาพูดนี้จะฟังกันถูกหรือไม่ยังสงสัยอยู่ ว่าเรากำลังจะเป็นเพียงสัตว์อะไรที่ไม่มีประโยชน์เลยนอกจากว่าบริโภคส่วนเกิน บริโภคส่วนเกิน บริโภคส่วนเกิน เป็นสัตว์ที่กินส่วนเกิน กินส่วนเกิน กินส่วนเกิน ไม่มีความหมายอื่นนอกจากนี้ เรากำลังเป็นสัตว์ชนิดนี้กันอยู่ในโลกยิ่งขึ้นทุกที นี่ขออภัยที่มาย้ำเรื่องนี้ในโอกาสมาฆบูชาเป็นพิเศษ เพราะว่าพระพุทธองค์ได้ทรงสั่งสอนไว้ และทรงย้ำมากอย่างนี้ว่า จงเป็นผู้รู้ประมาณในการบริโภคเถิด เมื่อเรามีกันแต่คนไม่รู้ประมาณในการบริโภค มันก็มีแต่จะเป็นสัตว์ที่ไม่มีประโยชน์อะไร นอกจากจะบริโภคส่วนเกิน จะเกิดมาในโลกนี้ จะมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ เพียงเพื่อบริโภคส่วนเกิน แล้วโลกนี้ก็กำลังจะวินาศ เพราะทุกคนมันแย่งกันเพื่อจะบริโภคส่วนเกิน นี่แหละคือเรื่องที่เรามานำมาแสดงในวันนี้ ในโอกาสวันมาฆบูชา ด้วยบทโอวาทปาติโมกข์ของพระพุทธองค์ ที่ได้ตรัสไว้เป็นคำ ๆ หนึ่ง เป็นคำสำคัญในบรรดาคำเพียงหกเจ็ดคำนั่น ว่าจงเป็นผู้รู้ประมาณในการบริโภคเถิด
หวังว่าท่านทั้งหลายจะรับฟัง คือสนองความประสงค์ของอาตมา ว่าการที่เอาธรรมะข้อนี้มาพูดกันในวันนี้มันเป็นการถูกต้อง หรือมีเหตุผล อาตมามีเหตุผลที่จะพูดข้อนี้ในวันนี้ ท่านทั้งหลายจะรู้สึกอะไรก็ขออภัย แต่อาตมามีความรู้สึกว่า เรามีความรู้สึกว่าจำเป็นแล้วที่จะเอาธรรมะข้อนี้มาพูดกันในโอกาสนี้ ในวันนี้ ในโลกนี้ โลกปัจจุบันนี้เขาไม่เคารพคำสั่งสอนข้อนี้ของพระพุทธเจ้า ทีนี้อยากจะให้มองเลยไปถึงว่า แม้ในศาสนาคริสต์เตียน ศาสนาอิสลาม ศาสนาอะไรก็ตามล้วนแต่สอนเหมือนกันหมด สอนไม่ให้ตะกละในเรื่องการบริโภค สอนให้ขยักไว้สำหรับช่วยเหลือผู้อื่น สำหรับการทำนั้น ก็ทำได้มาก หาได้มากนี้ไม่ห้าม หาประโยชน์มาอย่างถูกต้อง ไม่คดโกง หามาให้มาก นี่ก็ส่งเสริมไม่ต้องกลัวเกิน แต่เมื่อได้ประโยชน์มามากแล้วก็อย่ากินเกิน อย่าบริโภคเกิน จงขยักส่วนเกินนั้นไว้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์เถิด ทุกศาสนาก็สอนอย่างนี้ พระพุทธเจ้าท่านก็สอนอย่างนี้ ฉะนั้นเราเป็นพุทธบริษัทเชื่อฟังพระพุทธเจ้าก็พอแล้ว จึงหวังว่าพุทธบริษัททั้งหลาย จะได้ชวนกันไปพิจารณาการประพฤติ การกระทำ การเป็นอยู่อะไรของตนเองนี่ว่ากำลังบริโภคส่วนเกินหรือเปล่า
นี่อยากจะขอแถมสักนิดหนึ่ง บางคนอาจจะง่วงนอนหรือเมื่อยหลังแล้วก็ตามใจ นาน ๆพูดกันทีหนึ่ง ก็อยากจะบอกให้รู้ว่าไอ้การที่ไม่แตะต้องส่วนเกินนั่นแหละ คือ การถืออุโบสถศีล คนเดี๋ยวนี้เขาเกลียดคำว่า อุโบสถศีล คนที่ถืออุโบสถศีลส่วนมาก มันก็ถือเพ้อ ๆ อวดคนนั้นแหละ คนแก่ไม่มีอะไรจะอวดใคร แล้วมันก็ถือศีลอุโบสถสำหรับอวดคน มันไม่รู้ว่าศีลอุโบสถนี้คือยังไง อาตมากำลังจะบอกว่า อุโบสถศีลนี้ คือ ศีลที่ไม่แตะต้องส่วนเกิน ศีล ๘ หรือ ศีลอุโบสถ มีข้อบัญญัติเพิ่มต่อท้ายศีล ๕ เข้ามาอีก ๓ ข้อ
ข้อที่ ๖ วิกาลโภชนา นี้จะไม่บริโภคอาหารในเวลาวิกาล อาหารในเวลาวิกาลนั้นมันคือส่วนเกิน ถ้าของพระของเณรนี้มันก็ไม่กินหลังจากเที่ยงวันไปแล้ว แต่ชาวบ้านก็ขยายออกไปได้ แต่เดี๋ยวนี้ชาวบ้านมันกินอาหารเย็น อาหารค่ำ อาหารหัวค่ำ อาหารดึก อาหารหัวรุ่ง นี่มันเกินหรือไม่เกิน คิดดู ถ้ามันถือศีลข้อ ๖ ในอุโบสถศีลแล้วก็จะกินได้แต่ในระยะที่สมควรจะกิน อย่างมากมื้อบ่ายมื้อเย็น ถ้าเขาทำงานเบา ก็ไม่ต้องกินอาหารหลังจากเที่ยงวันไปแล้วก็ได้ ไม่เชื่อลองดูจะสบายกว่า แต่ถ้าจะยืดออกไปอีกสักมื้อหนึ่ง ก็อย่าให้มันถึงค่ำเลย ดึกแล้วก็อย่ากินเลย เลยดึกไปแล้ว ตีสอง ตีสาม ตีสี่แล้วก็อย่าไปหาอะไรมากินเลย นี่ศีลอุโบสถข้อที่ ๖
ไอ้ข้อที่ ๗ นจฺจคีตวาทิตวิสูก นี่ไม่ฟ้อนไม่รำ ไม่ดีดสีตีเป่า ไม่เล่นหัวทำนองนั้น ไม่ลูบทาของหอม เครื่องประดับประดาตกแต่ง นั้นมันเป็นการบำเรอบำรุงร่างกายด้วยส่วนเกิน เว้นเสียได้ก็จะสบายดี และก็ไม่มีใครตาย อยากจะพูดว่าไอ้เรื่องร้องเพลง เรื่องเต้นรำ เรื่องบำเรออะไรร่างกายต่าง ๆ นั้นมันเกิน หยุดเสีย นี่คือศีลอุโบสถข้อที่ ๗
ศีลอุโบสถข้อที่ ๘ มีว่า อุจฺจาสยนมหาสยนา ท่านสรุปไว้แต่สั้น ๆ ว่า ที่นอนที่นั่งอันสูงอันใหญ่ หมายความว่า ที่มันงาม ที่มันสวย ที่มันแพง ทุกอย่างเลยไม่ใช่เฉพาะไอ้ที่นั่งที่นอน เครื่องใช้ไม้สอยทุกอย่างแหละ อย่าให้มันต้องแพงเลย อย่าให้มันต้องสวยต้องงาม เหมือนอย่างที่เขากำลังประกวดประขันกันเลย นอนบนเสื่อก็ได้ นอนบนพื้นก็ได้ ไปลองดูเถอะว่ามันจะตายหรือไม่ตาย แล้วจิตใจมันจะเป็นอย่างไร นี่อุโบสถศีล คือ ศีลที่ไม่แตะต้องส่วนเกิน ศีลนี้จะช่วยโลกทั้งโลกในปัจจุบันนี้ได้
พอคนทั้งโลกถืออุโบสถศีลกันเท่านั้นแหละ มันจะมีส่วนเกินนั่นเหลือ เหลือออกมาทีเดียว คือไม่มีใครใช้มัน มันก็จะได้เจือจานกันไปทั่ว โลกนี้ก็มีสันติสุข มันจะเกิดส่วนเกินที่ไม่มีใครกิน ไม่มีใครใช้เหลืออยู่ในโลกนี้ แต่ทีนี้ถ้ามันไม่ชวนกันถือศีลข้อนี้มันจะกินเกิน เอ้า,มันก็ไม่มีพอให้กินเกิน มันก็ขาด มันก็มีส่วนขาด มันก็เลยแย่งชิงกัน มันก็เลยทะเลาะวิวาทกัน กิเลสมันหนาขึ้นมามันก็ฆ่ากัน นี่เพราะการแย่งชิงส่วนเกิน ฉะนั้นผู้ที่ชอบถือศีลอุโบสถตามรอยพระอรหันต์วันหนึ่งคืนหนึ่งในวันนี้ ขอให้พิจารณาในข้อนี้ ว่าความมุ่งหมายแท้จริงนั้น อย่าไปแตะต้องส่วนเกิน แล้วก็เป็นศีลอุโบสถ อุโบสถ แปลว่า เข้าไปอยู่ในภาวะที่สะอาดบริสุทธิ์ สงบเย็น ภาวะนั้นก็คือ ไม่แตะต้องส่วนเกิน อย่าออกมาแตะต้องส่วนเกิน เข้าไปอยู่ในสภาพที่สะอาด สว่าง สงบเย็น นี่คำว่า อุโบสถ มันแปลว่าอย่างนั้น เราถือศีลอุโบสถก็ต้องให้ได้ความหมายอย่างนี้
อาตมาอยากจะพูดว่า แม้แต่ศีล ๕ มันก็มีความหมายอย่างเดียวกันแหละ คือมีความหมายว่า ไม่เอาส่วนเกิน แต่มันส่วนเกินชั้นเลวมาก ส่วนเกินชั้นที่ทรามที่สุด เช่นว่าคน ๆ หนึ่งเขาจะอ้างสิทธิว่า เรามีอำนาจ เรามีพวกพ้อง เรามีอาวุธ เรามีอะไร ฉะนั้นเราอยากจะฆ่าใครก็ได้ เขาถือสิทธิเกินอย่างนี้แล้วเขาก็ฆ่าคน ฆ่าผู้อื่น นี่มันถือสิทธิมากเกินจนฆ่าผู้อื่น จนลักทรัพย์ของผู้อื่น จนประทุษร้ายของรักของพอใจของผู้อื่น จนทำลายความเป็นธรรมของผู้อื่น ข้อสุรานั้นมันทำลายสติปัญญาของตัวเอง ซึ่งมันเป็นเรื่องเกินคือมันไม่มีประโยชน์อะไร มีแต่ให้โทษ ฉะนั้นจะพูดว่าไอ้ศีล ๕ ทั้ง ๕ ข้อก็เป็นเรื่องป้องกันไม่ให้เอาส่วนเกินเหมือนกัน แต่เป็นส่วนที่หยาบคายมาก เลวร้ายมาก ส่วนที่เพิ่มมาอีก ๓ ข้อเป็นอุโบสถศีลนี้ ยิ่งเห็นได้ชัดว่าเป็นศีลที่ไม่ต้องการให้ไปแตะต้องส่วนเกิน แต่ว่าในทางศาสนานี้เขาถือว่า ไปแตะต้องส่วนเกินเมื่อไร กิเลสมันจะเกินขึ้นมาเมื่อนั้น คือกิเลสมันจะอ้วน มันจะหนาขึ้นมา เกินฐานะที่กิเลสมันควรจะมี ฉะนั้นใครลองไปแตะต้องส่วนเกินดูเถอะ จะส่งเสริมให้กิเลสอ้วนหนาขึ้นมาทีเดียว หรือจะพูดว่าไอ้กิเลสที่มันมี ๆ อยู่นี้มันมาจากได้ส่วนเกินเลี้ยงดูมันทั้งนั้น หยุดส่วนเกินกันเสีย กิเลสก็จะผอมลงและตายไปในที่สุด ขอให้ไปลองทดลองดู ไม่ต้องเชื่ออาตมา
เป็นอันว่าในภายในวงของพุทธบริษัทนี้ก็ยังมีความผิดพลาดในเรื่องอันเกี่ยวกับส่วนเกิน ยังมีอะไร ๆ เกิน แล้วบางทีมันจะบ้าบุญ บ้าสวรรค์เกินไปก็ได้ บ้าบุญนี้ก็เกินได้ บ้าสวรรค์นี้ก็เกินได้ ระวังให้ดี อย่าไปเอาส่วนเกินเกี่ยวกับบ้าบุญบ้าสวรรค์เลย ลงทุนบาทหนึ่งได้วิมานหลังหนึ่งนี้ มันเกินยิ่งกว่าเกิน เอาไปคิดดูกันบ้าง หยุดส่วนเกินเสียก็จะเป็นพุทธบริษัทเท่านั้นเอง ดังนั้นจึงหวังว่า การที่อาตมาเอาพระธรรมข้อหนึ่งในบรรดาโอวาทปาติโมกข์นี้มากล่าวในวันนี้คงเป็นสิ่งที่ชอบด้วยเหตุผล อย่าไปคิดว่าเราเอามาพูดให้คนรำคาญเลย ไม่ได้มีเจตนาอย่างนั้น เจตนาจะช่วยกันปรับปรุงแก้ไขภาวะความเป็นอยู่ของพุทธบริษัท ให้ตรงตามพระพุทธประสงค์ ไม่แตะต้องส่วนเกินแล้วก็ไม่ต้องพูดถึงว่าจะไปบูชาส่วนเกิน ไอ้โลกทั้งโลกมันจะบูชาส่วนเกินก็ตามใจมันเถอะ เราไม่แตะต้องส่วนเกินก็จะเป็นพุทธบริษัทสมชื่อ
ธรรมเทศนาในโอกาสของมาฆบูชาวันนี้ก็เรื่อง ไม่แตะต้องส่วนเกิน เพื่อเคารพต่อพระพุทธภาษิตที่ว่า รู้ประมาณในการบริโภค อาตมาเห็นว่าการบรรยายนี้สมควรแก่เวลาแล้ว ก็ขอยุติการบรรยายตอนนี้ไว้แต่เพียงเท่านี้ก่อน เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้