แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
(กล่าวถึงเนื้อเพลง)...เพิ่งแต่งปีนี้ยังไม่เคยร้องที่ไหน เข้าใจว่าคืนนี้ว่าส่งร้องที่สถานีประเทศไทยโดยพุทธสมาคม นายเซ่ง สีนวล..... บัดนี้ขอบังคมบรมบาท สมเด็จพระโลกนารถชินสี เนื่องในวันวิสาขคุณมีนี้ พระปัญญาบารมีพิชิตชัย ขจัดเสียซึ่งความเห็นแก่ตน ประสบผลเป็นมหาอัตตาใหญ่ เป็นที่พึ่งแก่หมู่สัตว์ขจัดภัยทั่วภพไตรมีพระธรรมกำจัดมาร พระทรงมีเมตตามหาพลัง ขนสัตว์ขึ้นจากฝั่งแห่งสงสาร ได้พร้อมพรั่งดั่งพระปณิธาน มวลหมู่มารพ่ายแพ้แก่บารมี ขอพระคุณทั้งผองคุ้มครองโลกได้พ้นโศกทุกข์ภัย ไม่เสียดสี มีสุขเด่นดั่งวิสาขคุณมี ได้หลุดจากโลกีเป็นโลกอุดร ให้ความเห็นแก่ตัวทั่วโลกา กลายเป็นอารีรักษ์สโมสร มุฑิตาต่อกันทุกขั้นตอน รับพระพร คือพระธรรมใส่น้ำใจ ให้กล้าบุญกลัวบาปบังคับจิต สุจริตระบบพุทธวิสุทธิใส เกิดศาสนาพระศรีอาริยเมตตรัย ได้ทันใจประจักษ์ตาทั่วหน้ากัน
นี่ใจความว่าเราจะขอถวายบังคมสมเด็จพระศาสดาเนื่องในวันวิสาขคุณมี เพราะพระปัญญาบารมีสามารถพิชิตขจัดเสียได้ซึ่งความเห็นแก่ตัว จนเป็น เกิดมหาอัตตา คืออัตตาไม่มีความเห็นแก่ตัว เป็นที่พึ่งแก่หมู่สัตว์กำจัดทุกข์ทั่ว ไตรภพมีพระธรรมกำจัดมาร ทรงมีพระเมตตาเป็นกำลังใหญ่หลวง ขนสัตว์ขึ้นจากฝั่งแห่งสงสาร ได้สมดั่งพระปณิธานที่ได้ตั้งใจไว้ มวลหมู่มารพ่ายแพ้แก่บารมี คำขอร้องขอให้พระคุณทั้งผองนี้คุ้มครองโลกให้พ้นโศกทุกข์ภัยไม่เสียดสี มีความสุขเหมือนกับพระจันทร์วันวิสาขคุณมี ได้หลุดพ้นจากโลกี เป็นโลกอุดร ให้ความเห็นแก่ตัวทั่วโลก กลายเป็นความรัก สมัครสามัคคี ยินดีต่อกันทุกขั้นตอน รับพระพรคือพระธรรมช่วยนำใจ ให้กล้าบุญแล้วกลัวบาป ให้กล้าบุญแล้วกลัวบาป บังคับจิตสุจริตระบบพุทธสุดวิสัย ให้เกิดศาสนาพระศรีอาริยเมตไตรย์ ได้ทันใจประจักษ์ตาทั่วหน้ากัน ถ้าปฏิบัติตามนี้จริง ศาสนาพระศรีอาริยเมตไตรย์เกิดทันทีไม่ต้องรออีกกี่ปีอสงไขยกัป
(คอยบันทึกเสียงไว้บ้าง เชิญได้เลย ๆ...)
(เสียงผู้หญิงพูด)....ดิฉันขอกราบเรียนท่านอาจารย์นะคะ คือว่ามีความตั้งใจจะสนองพระเดชพระคุณให้ได้สูงสุดเท่าที่จะทำได้ แต่ก็คงจะไม่ได้เท่าใจที่ปรารถนาคะ เพราะพอดีคอเจ็บมาหลายวันแล้วก็ไม่ได้ทราบล่วงหน้าจึงไม่ได้กังวลที่จะรักษาให้หาย และคณะที่ร้องนี้ก็เพิ่งจะหัดกัน ทำนองเพลงพม่าฉ่อยนี้นะคะ ไม่ได้ลองมาแล้ว ก็ยังยังซ้อมกันไม่ค่อยได้ ขอประทานกราบอภัยด้วยค่ะ ถ้าจะร้องให้ได้จริง ๆ สว่างก็คงจะไม่ได้ร้อง ก็เลยขอเปลี่ยนเป็นนางนาคนะคะเพราะรู้สึกว่าจะสันทัดกัน ก็ขออภัยที่จะต้องเปลี่ยนทำนองไป
เพลง (เสียงผู้หญิงร้องเพลงเป็นกลุ่ม)... บัดนี้ขอบังคมบรมบาท สมเด็จพระโลกนารถชินสี เนื่องในวันวิสาขคุณมีนี้ พระปัญญาบารมีพิชิตชัย ขจัดเสียซึ่งความเห็นแก่ตน ประสบผลเป็นมหาอัตตาใหญ่ เป็นที่พึ่งแก่หมู่สัตว์ขจัดภัยทั่วภพไตรมีพระธรรมกำจัดมาร พระทรงมีเมตตามหาพลัง ขนสัตว์ขึ้นจากฝั่งแห่งสงสาร ได้พร้อมพรั่งดั่งพระปณิธาน มวลหมู่มารพ่ายแพ้แก่บารมี (อีกส่วนหนึ่งจะต่อเลยมั้ยค่ะ)....ขอพระคุณทั้งผองคุ้มครองโลกได้พ้นโศกทุกข์ภัย ไม่เสียดสี มีสุขเด่นดั่งวิสาขคุณมี ได้หลุดจากโลกีเป็นโลกอุดร ให้ความเห็นแก่ตัวทั่วโลกา กลายเป็นอารีรักษ์สโมสร มุฑิตาต่อกันทุกขั้นตอน รับพระพร คือพระธรรมใส่น้ำใจ ้ให้กล้าบุญกลัวบาปบังคับจิต สุจริตระบทพุทธวิสุทธิใส เกิดศาสนาพระศรีอาริยเมตตรัย ได้ทันใจประจักษ์ตาทั่วหน้ากัน
วิสาขบูชาเทศนาภาคค่ำ ประจำวันที่ 21 พฤษภาคม 2521
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโตสัมมาสัมพุธธัสสะ
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโตสัมมาสัมพุธธัสสะ
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโตสัมมาสัมพุธธัสสะ
ณ บัดนี้จะได้วิสัชนาพระธรรมเทศนา ของพระผู้มีพระภาคเจ้าเพื่อเป็นเครื่องประดับสติปัญญา ส่งเสริมศรัทธาความเชื่อและวิริยะความพากเพียร ของท่านทั้งหลายผู้เป็นพุทธบริษัท ให้เจริญงอกงามก้าวหน้าตามทางแห่งพระศาสนาของสมเด็จพระบรมศาสดา อันเป็นที่พึ่งของเราทั้งหลาย กว่าจะยุติลงด้วยเวลา
ธรรมเทศนาในวันนี้ เป็นธรรมเทศนาพิเศษ ปรารภเหตุเนื่องในวันวิสาขคุณมีอันเป็นวันที่ประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานของสมเด็จพระบรมศาสดา พุทธบริษัททั้งหลายได้มาประชุมกัน ประกอบพิธีนี้เพื่อเป็นที่ระลึกบ้าง เพื่อเป็นเครื่องบูชาบ้าง เพื่อเป็นโอกาสแห่งการซักซ้อมความเข้าใจในพระธรรมคำสอนของสมเด็จพระบรมศาสดาบ้าง เมื่อกระทำได้อย่างนี้ก็นับว่าเป็นการได้ที่ดี เราจึงมาประชุมกันในลักษณะอย่างนี้ ขอให้ท่านทั้งหลายทำในใจให้แยบคาย ให้สำเร็จประโยชน์ตามความประสงค์มุ่งหมายนั้น ทั่วกันทุกคน โอกาสแห่งวันนี้เมื่อกล่าวโดยภาษาคนก็ถือว่าเป็นวันประสูติ ตรัสรู้และปรินิพพาน ในทางวัตถุธรรมหรือทางรูปธรรมคือการประสูติจากพระครรภ์มารดา และการตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ และการปรินิพพานคือการดับเบญขันธ์ มีได้ในวันที่เผอิญตรงกันเป็นวันเพ็ญแห่งเดือนวิสาข นี้ประการหนึ่งซึ่งควรจะกำหนดจดจำไว้ตามสมควรแก่กรณีนั้น ๆ แต่ถ้าจะกล่าวอีกหนึ่ง ซึ่งเป็นการกล่าวโดยภาษาธรรมก็จะกล่าวว่า วันเช่นวันนี้เป็นวันที่มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นพร้อมกันทั้ง 3 ความหมาย คือ การประสูติ ตรัสรู้และการปรินิพพาน การประสูตินั้นหมายถึงการบังเกิดขึ้นแห่งพระองค์ การตรัสรู้นั้นหมายถึงการได้รู้ธรรมมะถึงที่สุด การปรินิพพานนั้นนั่นคือการดับกิเลส ซึ่งเป็นเหตุให้ยึดถือว่าตัวตนซะได้ ดับความยึดมั่น ในสัตว์ในบุคคลเสียได้ อย่างหลังนี้เรียกว่าเป็นการกล่าวโดยภาษาธรรม มีใจความสำคัญสั้น ๆ ว่า ได้บังเกิดมีจิตดวงหนึ่งขึ้นมาแล้วก็ประกอบอยู่ด้วยสัมปยุทธรรมอันเป็นเชตสิทธิ์ประกอบด้วยปัญญาถึงขนาดที่จะเป็นญาณทัศนะรอบรู้สิ่งทั้งปวงอันเกี่ยวกับความทุกข์และความดับทุกข์ แล้วก็ทำให้เกิดอาการอันหนึ่งคือการดับลงไปเสียได้แห่งสิ่งที่ยึดถือว่าเป็นสัตว์เป็นบุคคล ชื่อนั้นชื่อนี้ ตัวตนอย่างนั้นอย่างนี้ อันกล่าวได้ว่าเป็นกิเลสที่เรียกกันว่า อหังการ มมังการ มานานุสัย อย่างนี้ก็เป็น ก็มีความหมายว่าสิ่งทั้ง 3 นั้นเป็นไปในขณะเดียวกันคือ เกิดดวงจิตที่รู้ถึงที่สุดแล้วก็ฆ่าเสียซึ่งอหังการ มมังการ มานานุสัยให้ดับสนิทไป เป็นความดับสนิทแห่งกิเลสอันเป็นเหตุให้ยึดถือว่าตนว่าของตน เมื่อมีความแตกต่างกันระหว่างภาษาธรรมกับภาษาคนอย่างนี้แล้ว ก็พึงเข้าใจให้ถูกต้องครบถ้วน ถือเอาประโยชน์ให้มากได้ที่สุดอย่างไร ก็ถือเอาโดยประการนั้นเถิด ที่ว่าจะถือเอาได้เป็นประโยชน์มากที่สุดอย่างไรนี้ หมายความว่า มีความเข้าใจชนิดไหน แล้วเป็นประโยชน์แก่จิตใจได้มากอย่างไร พึงถือเอาโดยประการนั้นเถิด คือว่ามีความเข้าใจอย่างไรก็สามารถกระทำสิ่งนั้น ๆ มามีขึ้นได้ในจิตใจของเราคือว่าเมื่อเข้าใจอย่างไรแล้ว พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์โดยแท้จริงจะมามีบังเกิดขึ้นในจิตใจของเรา ก็พึงถือเอาโดยประการนั้นเถิด หรือมากไปกว่านั้นอีกก็คือว่าจะสามารถทำให้เกิดญาณ เกิดทัศนะ เกิดปัญญา อย่างเดียวกันกับสิ่งที่เกิดแก่สมเด็จพระบรมศาสดา ขึ้นมาในจิตใจของเราแล้วจงถือเอาโดยประการนั้นเถิด นี่แหละคือความแตกต่างกันระหว่างที่เราจะตีความหมายแห่งเรื่องนั้น ๆ โดยภาษาคนก็มี โดยภาษาธรรมก็มี เดี๋ยวนี้เป็นที่ประจักษ์ชัดเจนแล้วว่า การทำความเข้าใจเรื่องใด ๆ โดย 2 ภาษาคือภาษาคนกับภาษาธรรมนี้ ได้มีประโยชน์มากคือช่วยได้มาก ช่วยทำความเข้าใจระหว่างบุคคลได้มาก ช่วยทำความเข้าใจระหว่างศาสนาก็ได้มาก เมื่อคำอธิบายเรื่องภาษาคน ภาษาธรรมได้แปลเป็นภาษาต่างประเทศ แพร่หลายไปในต่างประเทศแล้ว มีผู้เข้าใจจะใช้เป็นประโยชน์ได้มากกว่าแต่ก่อนคนเหล่านั้นได้เขียนจดหมายส่งมาถึงอาตมาว่าได้รับประโยชน์จากการใช้ความรู้ 2 ภาษานี้ในการศึกษาพระศาสนาในการอธิบายความทางพระศาสนาคือแม้ที่สุดเรื่องสามัญธรรมดาก็ได้ประโยชน์ ข้อนี้ทำให้กล่าวได้ว่า หากความรู้เรื่องภาษาคน ภาษาธรรมนั้นกำลังแพร่หลายไปในโลก กำลังจะทำให้เกิดประโยชน์ที่ไม่ควรจะเกิด ขอให้เราสนใจ รู้จักใช้วิธีการพูดจาโดย 2 ภาษา คือทั้งภาษาคนและภาษาธรรม สำหรับผู้ที่ยังไม่เคยฟังก็คงจะมีอยู่มาก อาตมาก็จำเป็นที่จะต้องอธิบายข้อความนี้ไปตั้งแต่ต้นอีกสักวาระหนึ่ง ก็ภาษาคนนั้นพูดอย่างคนธรรมดาสามัญที่ยังไม่รู้ธรรมะเขาพูดกัน แล้วก็เล็งไปยังรูปธรรมคือเนื้อหนัง ร่างกาย วัตถุ สิ่งของเป็นส่วนใหญ่ ส่วนภาษาธรรมนั้นเป็นภาษาพูดถึงสิ่งที่เป็นนามธรรมไม่ต้องมีตัวมีตนเป็นวัตถุ แล้วก็เล็งถึงความจริงที่ลึกซึ้งที่คนธรรมดาสามัญมองไม่เห็น พูดไม่เป็นหรือฟังไม่ถูกจึงพูดได้และฟังถูกกันอยู่ในหมู่บุคคลผู้รู้ธรรม คำพูดชนิดนี้เราจึงเรียกว่าภาษาธรรม จะยกตัวอย่างเปรียบเทียบกันให้เห็นกันง่าย ๆ ถ้าเราพูดโดยภาษาคน พระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้วคือตายแล้ว ถ้าเราพูดโดยภาษาธรรมพระพุทธเจ้าก็ยังอยู่ อยู่ที่นี่ อยู่ในที่ทั่วไป ทุกหนทุกแห่ง แต่ยังจะอยู่ในจิตใจของเราได้ด้วย เมื่อพูดภาษาคนว่าพระพุทธเจ้านิพพานแล้วคือมีค่าเท่ากับตายแล้ว มันจะได้ประโยชน์อะไร แต่ว่าพูดด้วยภาษาธรรมว่าพระพุทธเจ้ายังอยู่และอยู่ในจิตใจของเราด้วย อย่างนี้มันจะมีประโยชน์อะไร ท่านทั้งหลายลองเปรียบเทียบกันดู คำพูดเช่นนี้พูดได้แม้ในศาสนาอื่น ๆ ในศาสดาของศาสนาอื่น ๆ อาตมาได้ใช้คำพูด 2 อย่างนี้คู่กันไปสนทนากันกับเพื่อนที่เขาเป็นคริสเตียน เป็นคริสตัง พูดเปรียบเทียบถึงพระศาสดาของพระศาสดาของศาสนานั้น ๆ เพราะเขาก็ยังพูดว่าพระศาสดาเช่นพระเยซูคริสต์เป็นต้นก็ยังอยู่เดี๋ยวนี้ จะพูดกันอย่างไรถึงจะมองเห็นได้ว่ายังอยู่กันเดี๋ยวนี้ ยืมวิธีภาษาธรรมอย่างที่เราใช้กันใช้พูดกันนี้ไปพูดจา ก็ได้ประโยชน์เพิ่มขึ้นมา นี่ขอให้พยายามศึกษาสังเกตุให้เข้าใจว่าภาษาธรรมแสดงอะไรได้ลึกซึ้ง แสดงลึกซึ้งถึงจิตใจ แสดงนามธรรมที่ไม่มีตัว ไม่มีตนให้เป็นที่เข้าใจแก่บุคคลทุกคนได้ เมื่อเราพูดถึงพระพุทธเจ้า พระธรรมและพระสงฆ์ ถ้าพูดอย่างภาษาคนก็พูดว่าพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นในประเทศอินเดีย 2000 กว่าปีมาแล้วนิพพานไปแล้ว พระธรรมนั้นคือคำสั่งสอนของท่านจารึกอยู่ในกระดาษ ในใบลาน ในตู้พระไตรปิฏก ส่วนพระสงฆ์คือบุคคลที่ออกบวชตามระเบียบวินัยของพระพุทธเจ้า อย่างนี้ก็เป็นตัวบุคคล เป็นตัววัตถุ แล้วเราจะเอามาใส่ไว้ในใจได้อย่างไร ในลักษณะที่พูดว่าพุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธรรมมังสรณัง คัจฉามิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ ได้อย่างไร ขอให้ลองคิดดู ถ้าไปถือแต่ว่าถ้านิพพานแล้วก็คือตายแล้ว อย่างนี้นั่นแหละคือทำลายศาสนาของตนโดยไม่รู้สึกตัว เพราะว่าโดยแท้จริงนั้น พระพุทธเจ้ายังอยู่แล้วเราไปพูดแล้วตายแล้วนิพพานแล้วไม่มีแล้ว ลูกเด็ก ๆ ไม่อาจจะเข้าใจเพราะว่ามีพระพุทธเจ้าอยู่กับเราได้ การพูดอยางนี้มันเป็นการทำลายหรือเปล่า ถึงเมื่อพูดถึงพระธรรมก็อย่างเดียวกันอีก พระธรรมที่อยู่ในกระดาษในใบลานนั้น จะเข้าไปอยู่ในจิตใจของคนได้อย่างไร ก็จะพูดว่าพระธรรมนี้อยู่ในที่ทั่วไป คอยคุ้มครองโลกอยู่ดังนี้มันจะมีได้อย่างไร หรือจะพูดว่าพระสงฆ์คือเป็นบุคคลที่ออกบวชแต่งตัวด้วยเครื่องของนักบวชแล้วก็เป็นพระสงฆ์ อย่างนี้มันก็ไม่มีความวิเศษที่ตรงไหนเพราะไม่ได้เล็งถึงจิตใจที่ประพฤติปฏิบัติแล้วทำลายกิเลสได้ แล้วเราก็มีโอกาสที่จะเป็นพระสงฆ์ หรือมีโอกาสที่จะมีพระสงฆ์ที่นำมาใส่ไว้ในจิตใจ จนกระทั่งในจิตใจนี้เต็มไปด้วยพระพุทธ พระธรรมและพระสงฆ์ เมื่อพูดเป็นภาษาคนมันก็ไปในรูปแบบของวัตถุ ของบุคคล เมื่อพูดในภาษาธรรมมันก็เป็นไปในเรื่องของนามธรรมเป็นเรื่องของสัจธรรม หรือไม่สุดแต่เป็นเรื่องของการปฏิบัติธรรมอยู่ที่เนื้อที่ตัว เมื่อพูดถึงพระพุทธองค์ ในภาษาคนก็เป็นเรื่องที่ลูกเด็ก ๆ เขาเคยเล่าเรียนกันมาแล้วจากหนังสือหนังหาก็มีความรู้อยู่เพียงเท่านั้น เป็นเรื่องประวัติกระทั่งเป็นเรื่องนิยาย เป็นเรื่องนิทานไปเสียก็มี แต่ถ้าพูดกันในภาษาธรรมแล้วพระพุทธเจ้า ยังคงมีอยู่ในฐานะเป็นพระคุณ เป็นคุณธรรม สำหรับจะไปสิงสถิตย์อยู่ในจิตใจบุคคลใดเข้าใจเลื่อมใสศรัทธา แล้วคุณของพระพุทธ แล้วคุณของพระพุทธเจ้าก็จะประดิษฐานอยู่ในจิตใจของบุคคลนั้น เรียวกว่ามีสถาบันของพระพุทธศาสนาตั้งมั่นลงไปในจิตใจของบุคคลนั้น เดี๋ยวนี้ที่เราต้องการกันเป็นอย่างมากก็ให้คนไทยทุกคนมีสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ แต่แล้วก็เราพูดกันแต่ในภาษาคน สอนลูกเด็ก ๆ กันแต่ในภาษาคน สถาบันชาติก็คือธงชาติ ร้องเพลงชาติหรือแผ่นดินไทย มันก็ไม่เข้าไปอยู่ได้ในจิตใจของคน เมื่อพูดถึงสถาบันศาสนาก็เล็งถึงวัดวาอารามโบสถ์วิหารพระเจดีย์หนังสือหนังหาพระคัมภีร์ มันก็ล้วนแต่อยู่นอกจิตใจของคนมันไม่ตั้งมั่นลงไปในจิตใจของคน เมื่อพูดถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ก็มักจะเล็งถึงองค์พระมหากษัตริย์ที่เป็นบุคคลไม่ได้เล็งถึงคุณค่าและความศักด์สิทธิ์หรือคุณสมบัติหรือประโยชน์อันจำเป็นของการที่ต้องมีพระมหากษัตริย์ ดังนั้นพระมหากษัตริย์จึงไม่เข้าไปตั้งอยู่ในจิตใจของคน ต่อเมื่อเขาเข้าใจถึงความจำเป็นที่จะต้องมีพระมหากษัติร์อย่างแท้จริงแล้ว หัวใจก็เลื่อมใส ก็ต้องการ ก็จงรักภักดี สถาบันของพระมหากษัติรย์ก็จะตั้งลงในจิตใจของบุคคลนั้น ตอนนี้เรามันมองดูกันแต่ในภาษาคน และคำว่าสถาบันก็หมายถึงการตั้งอยู่แห่งสิ่งนั้น ๆ แห่งบุคคลนั้น ๆ การตั้งอยู่แห่งแผ่นดินนี้ หรือว่าการตั้งอยู่แห่งโบสถ์วิหารวัดวาอารามอยู่บนแผ่นดินนี้หรือว่าการมีอยู่แห่งพระมหากษัตริย์ที่เป็นบุคคล อย่างนี้มันก็เป็นการตั้งอยู่แห่งวัตถุสิ่งของรูปธรรม แล้วก็ไม่ได้ตั้งอยู่ในจิตใจของคนตั้งอยู่ตามสถานที่นั้น ๆ คนก็มักจะเข้าใจว่า สถานที่นั้น ๆ เป็นตัวสถาบัน ลูกเด็ก ๆ จึงไม่มีสถาบันแห่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในจิตใจของตน เพราะเข้าใจว่าคำว่าสถาบันนี้แปลว่าตั้งอยู่อย่างมั่นคงอยู่อย่างมั่นคงนั้นจะตั้งอยู่ที่ไหน มันก็ต้องตั้งอยู่ในจิตใจ สิ่งที่ตั้งอยู่ในจิตใจได้นั้นต้องเป็นนามธรรมสิ่งที่เป็นรูปธรรมไม่สามารถจะเข้าไปตั้งอยู่ในจิตใจ เราจึงต้องศึกษาให้เข้าใจให้รู้จักคุณค่าให้รู้จักประโยชน์ให้รู้จักความจำเป็นที่เราจะต้องมีชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ จึงจะเข้าไปตั้งมั่นอยู่ในจิตใจแห่งบุคคล แล้วบุคคลคนนึง ทัวทั่งประเทศก็จะมีสถาบันแห่งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ตั้งอยู่ในจิตใจ อย่างที่จะล้มละลายไม่ได้ อย่างที่จะล้มละลายไม่ได้อย่างที่ใครจะมาทำให้ล้มละลายไม่ได้ เพราะมันตั้งอยู่ในจิตใจ นี่สถาบันทั้ง 3 นี้เมื่อกล่าวโดยภาษาคนก็เป็นอย่างหนึ่ง เมื่อกล่าวโดยภาษาธรรมก็เป็นอย่างหนึ่ง อย่างไหนจะมีประโยชน์ อย่างแท้จริงก็ลองไปคิดดูเถิด ขอให้ใช้สติปัญญาของตนมีความคิดที่เป็นอิสระที่จะเลือกเอา อาตมาเห็นว่าเราควรจะรู้จักสิ่งทั้งหลาย ในภาษาธรรมซึ่งเล็งถึงคุณค่าหรือความหมาย ความศักดิ์สิทธิ์ ความจำเป็นที่จะต้องมีสิ่งเหล่านั้น วันนี้ก็เป็นวันวิสาขบูชา เป็นวันที่ทั่วโลกจัดไว้เป็นวันสำหรับระลึกถึงพระบรมศาสดา เรียกว่าเป็นวันพระพุทธเจ้า ขอให้ยอมรับด้วยจิตใจฝังแน่นลงไปในจิตใจอย่างที่เรียกว่าสถาบัน ว่าวันนี้เป็นวันสำหรับพระพุทธเจ้า เพราะวันประสูติ ตรัสรู้และปรินิพพาน หรือเป็นวันที่เกิดขึ้นแห่งพระพุทธเจ้า ต่อไปอีกสัก 2 เดือนก็จะถึงวันอาสาฬหคุณมี นี่เรียกว่าเป็นวันสำหรับพระธรรม เป็นวันของพระธรรม เพราะว่าพระธรรมถูกเปิดเผยออกมา พระสงฆ์ยังไม่มียังไม่เรียกว่ามีคณะสงฆ์เกิดขึ้นในวันอาสาฬหคุณมีนั้น แต่ว่าพระธรรมที่เป็นตัวพระศาสนาเป็นหัวใจของพระศาสนา คืออริยสัจ 4 ประการ หรือมัชฌิมาปฏิปทา ได้ถูกเปิดเผยขึ้นมาแล้ว ทำให้มนุษย์ได้มี ทำให้โลกมนุษย์นี้มีแสงสว่างแล้ว วันเพ็ญอาสาฬห นี้จึงเป็นวันพระธรรม ต่อมาอีก 4-5 เดือนจะไปถึงวันเพ็ญมาฆะคุณมี นี้เป็นวันที่พระสงฆ์ได้เกิดขึ้นโดยสมบูรณ์ ดังที่เราได้ทราบกันแล้วว่าพระสงฆ์ 1,250 รูป ได้ประชุมกัน แสดงความตั้งมั่นแห่งคณะสงฆ์ การสถาปนาคณะสงฆ์ได้เป็นไปแล้ว วันเพ็ญมาฆะคุณมีจึงเป็นวันพระสงฆ์ดังนี้ มีวันพระพุทธเจ้า มีวันพระธรรม มีวันพระสงฆ์เป็นลำดับกันไปครบ 3 วัน ขอให้จำใส่ใจเพื่อจะได้ไม่ลืมพอถึงวันนั้น ๆ ก็จะได้ทำอะไรให้ดีที่สุด สมกับที่ว่าวันนั้นมันเป็นวันอะไร เป็นวันพระพุทธ เป็นวันพระธรรม เป็นวันพระสงฆ์อย่างนี้ ก็วันนี้เป็นวันพระพุทธ เราก็ต้องทำอย่างดีที่สุด สำหรับที่ว่าเป็นวันพระพุทธ ทำอย่างไรดีที่สุด อาตมาคิดว่าไม่มีอะไรดีที่สุด นอกจากจะเอาพระพุทธเข้ามาใส่ไว้ในใจ หรือชำระสะสางการมีพระพุทธอยู่ในใจของตนนั้น ให้เป็นไปอย่างถูกต้องยิ่งขึ้น ให้เจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้น ให้มีพระพุทธเจ้าองค์ใหญ่ขึ้นในจิตใจของเรา นี่คือสิ่งที่มีความหมายที่สุด สำคัญที่สุด ที่เราจะต้องทำในวันนี้ เราจะทำอย่างไรที่จะให้มีพระพุทธเจ้าฝังแน่นลงไปกว่าเดิม เจริญงอกงามยิ่งขึ้นไปกว่าเดิมในจิตใจของเรา ตอนนี้มันก็ไม่มีอะไรทำให้พระธรรมที่เป็นตัวการปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านั้น ตั้งมั่นลงไปในจิตใจของเรา เจริญงอกงามอยู่ในจิตใจของเรา เราจะมองเห็นพระธรรมที่มีอยู่ในตัวเรา อย่างแท้จริง พระธรรมใน 4 ความหมาย หรือตัวธรรมชาตินั้นก็เป็นพระธรรม เรามีรูปและนามเป็นตัวธรรมชาติ เป็นธรรมะในฐานะที่เป็นธรรมชาติ เรามีพระธรรมในฐานะที่เป็นกฎของธรรมชาติ เช่น กฎของอิฐธปจจตา กฎของสามัญลักษณะเป็นตัว นี้ก็มีอยู่ในตัวเรา ทำไมเราก็ไม่มองให้เห็น นี่พระธรรมในฐานะที่เป็นการปฏิบัติ สรุปลงว่าให้ถูกต้องตามกฎของ อิฐธปัจจตา หรือสามัญลักษณะเป็นต้นนั้น มันก็ต้องมีอยู่ในเนื้อในตัวของเรา มีการปฏิบัติศีล สมาธิ ปัญญา อยู่ที่เนื้อที่ตัวของเรา แล้วก็มีพระธรรมในส่วนที่เป็นการปฏิบัติอยู่ที่เนื้อที่ตัวของเรา เรามองเห็นหรือเปล่า เรามีสำหรับมองหรือเปล่า หรือว่าพูดกันแต่ปากเท่านั้นเอง พระธรรมในฐานะที่เป็นผลการปฏิบัติ นี้ต้องดูให้เห็น หรือต้องมีให้สำหรับดูด้วย เรามีผลของการปฏิบัติอย่างไร ละอะไรได้บ้าง มีความสะอาด สว่าง สงบ เกิดขึ้นกี่มากน้อย การบรรลุมรรคผลนิพพานของเราได้ก้าวหน้า ได้ขยายตัวไปอย่างไร ถึงไหนแล้ว ก็ควรจะดูให้เห็น นี่เรียกว่าพระธรรมใน 4 ความหมาย นั้นมันก็มีอยู่ในตัวเรา หรืออาจจะทำให้มีอยู่ในตัวเรา หรืออาจจะทำให้เจริญงอกงามยิ่งขึ้นไปในตัวเรา เราก็ไม่สนใจ เมื่อเราไม่มีพระธรรมในตัวเรา พระพุทธเจ้าก็พลอยไม่มีในตัวเรา เพราะว่าเราไม่มีคุณสมบัติอย่างเดียวกับพระพุทธเจ้า เพราะว่าจิตใจของเราไม่เป็นอย่างเดียวกับจิตใจของพระพุทธเจ้า คุณสมบัติที่ทำความเป็นพระพุทธเจ้าไม่มีในเรา เรียกว่าไม่มีทั้งพระพุทธ ทั้งพระธรรมในเรา ถ้าต้องการจะให้วันวิสาขบูชาสมชื่อ ก็ต้องทำให้มีพระพุทธเจ้าในเราที่เรามองเห็นได้ชัดเจน เคารพบูชาได้ว่ามีอยู่ในเราโดยแท้จริง ขอย้ำซ้ำลงไปว่าทำอย่างไรจึงจะมีคำตอบก็คือว่าต้องปฏิบัติธรรม ปฏิบัติธรรมนั้นคือทำอย่างไร คือปฏิบัติติตามที่พระองค์ทรงสอนไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็ในวันที่ประกาศพระธรรมในวันเพ็ญอาสาฬหคุณมี ที่เราเรียกกันว่าธรรมจักรกัปวัฒนสูตร มีใจความสำคัญเริ่มต้นอยู่ที่มัชฌิมาปฏิปทา ที่พระองค์ตรัสว่าเป็นสิ่งที่ไม่ได้เคยฟังมาแต่ก่อน เป็นสิ่งที่รู้พร้อมเฉพาะขึ้นมาโดยพระองค์เอง มัชฌิมาปฏิปทานี่แหละคือตัวธรรมที่พระองค์ทรงเปิดเผยและทรงเอ่ยขึ้นเป็นคำแรก ขอให้ไปเปิดดู พระบาลี ธรรมจักรกัปปวัฒนสูตรซึ่งจะพูดถึงมัชฌิมาปฏิปทาก่อน แล้วจึงจะพูดถึงอริยสัจ 4 ประการซึ่งรวมมัชฌิมาปฏิปทา หรืออัตธันทิกา มรรค ไว้ในอริยสัจสุดท้ายด้วย แต่ความสำคัญอยู่ที่มัชฌิมาปฏิปทา ถ้าไม่มีมัชฌิมาปฏิปทาแล้ว อริยสัจทั้ง 4 ก็ไม่มีประโยชน์อะไร เมื่อกล่าวอริยสัจทั้ง 4 กล่าวสำหรับรู้ แต่เมื่อกล่าวถึงมัชฌิมาปฏิปทานั้นกล่าวสำหรับการปฏิบัติ ถ้าพูดอย่างคนสมัยนี้พูดก็พูดว่าอริยสัจ 4 นั้นเป็นทฤษฎี ส่วนมัชฌิมาปฏิปทานั้นเป็นตัวการปฏิบัติ ถ้าไม่มีตัวการปฏิบัตินี้แล้ว อริยสัจทั้ง 4 ก็ไร้ประโยชน์ ไม่มีประโยชน์อะไร เพราะแค่เราสนใจสิ่งที่เรียกว่ามัชฌิมาปฏิปทา มัชฌิมาปฏิปทา คืออัตธันทิกามรรค ถ้ากล่าวโดยรายละเอียดแล้วก็มีอยู่ถึง 8 องค์ แต่ถ้าจะกล่าวโดยสรุปเป็นพวกแล้วก็มีอยู่ 3 ส่วนคือเรียกว่า ศีล สมาธิ ปัญญา เนื้อแท้และหัวใจของมัชฌิมาปฏิปทานั้นก็คือศีล สมาธิ ปัญญานั่นเอง เมื่อเรียกว่าศีล สมาธิ ปัญญานี้ยิ่งฟังง่าย และยิ่งเป็นไปในรูปแบบที่จะเรียกกันสมัยนี้ว่าเป็นไปตามกฎของธรรมชาติ ในรูปแบบของหลักการทางวิทยาศาสตร์เราควรจะพูดกันถึงเรื่องนี้เป็นพิเศษ คือพูดถึงศีล สมาธิ ปัญญา ทำไมอาตมาจึงพูดว่านี้มันเป็นหลักการทางวิทยาศาสตร์ ก็เพราะว่ามันต้องอาศัยเหตุผลทางวิทยาศาสตร์นั้นเอง พูดถึงศีล หมายถึงการปรับปรุงสิ่งพื้นฐานแวดล้อมรอบนอกให้ถูกต้องเสียก่อน แล้วก็พูดถึงจิตลึกเข้าไปเป็นตัวการสำคัญที่จะต้องใช้ให้ทำหน้าที่ที่สำคัญที่สุด แล้วจึงพูดถึงเรื่องของจิตและสิ่งที่เรียกว่าสมาธิ คือวิธีการสำหรับฝึกฝนจิตแล้วเราก็พูดถึงเรื่องสุดท้ายคือเรื่องของสติปัญญาที่จะหาพบได้โดยจิตหรือจะมามีอยู่ในจิต เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดโดยจะสำเร็จประโยชน์ตามที่เราต้องการได้ก็เพราะส่วนนี้คือส่วนที่เรียกว่าปัญญา แต่ถ้าไม่มีสมาธิ ปัญญามันมีไม่ได้ เพราะว่าสมาธินั้นคือสิ่งที่จะเป็นที่ต้งของปัญญา ถ้าสมาธิแก่กล้าแหลมคม ปัญญาก็แก่กล้าแหลมคม ที่สมาธินั้นก็อยู่ตามลำพังไม่ได้ต้องอาศัยเหตุอาศัยปัจจัยที่แวดล้อมอยู่รอบนอกคือคือเรื่องกาย เรื่องวาจา ดังนั้นเราจึงต้องมีศีล ศีลสร้างความถูกต้องในทางกายและวาจา สมาธิสร้างความถูกต้องในทางจิตใจ ปัญญาสร้างความถูกต้องในทางสติปัญญา หรือจะเรียกว่าทางวิญญาณก็แล้วแต่จะเรียก เมื่อกล่าวโดยผลศีลก็คือความเป็นทางกาย ทางวาจา สมาธิก็คือความเป็นในทางจิต ปัญญาก็คือความเป็นในทางวิชาความรู้ มีความรู้ถูกต้อง ทำความเป็นอย่างลึกซึ้งคือทำลายความกระวนกระวายในทางสติปัญญาหรือวิชาความรู้ ถ้าวิชาความรู้มันผิด เราก็เรียกว่าความไม่ปรกติหรือความกระวนกระวาย เราต้องใช้ความรู้นั้นถูกต้องและสมบูรณ์จึงจะมีความปรกติ ในทางความรู้ พูดอีกอย่างหนึ่งก็เรียกว่ามีความปรกติในทางทิฐิ คือความคิดเห็น ย้ำอีกทีหนึ่งก็ได้ว่าศีล เป็นความเป็นทางกาย ทางวาจา สมาธิเป็นความเป็นในทางจิต ปัญญาเป็นความเป็นในทางทิฐิ คือความคิดเห็น เมื่อเป็นทั้ง 3 ส่วนนี้แล้วมันก็หมดเรื่องหมดปัญหากัน ไม่มีปัญหาอะไรที่เหลืออยู่สำหรับเป็นความวุ่นวาย หรือเป็นความทุกข์ที่เรียกว่ามันเป็นเหตุผลตามธรรมชาติในหลักการของวิทยาศาสตร์นั้น ก็คือการที่มันจำเป็นจะต้องอาศัยกันอย่างนี้ในรูปธรรมมันเป็นพื้นฐานเป็นรากฐานสำหรับจิต ระบบจิตมันก็เป็นพื้นฐานเป็นรากฐานสำหรับปัญญาคือทิฐิความคิดความเห็น นี้มันเป็นไปตามกฎธรรมดา ตามกฎของธรรมชาติซึ่งมันต้องเป็นอย่างนั้น ถ้าผิดจากนั้นมันก็ผิดกฎของธรรมชาติ มันผิดหลักการของวิทยาศาสตร์คือมันไม่เป็นไปตามที่มันควรจะเป็นอย่างถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ เราได้พูดกันมาแล้วในเรื่องธรรมะ 4 ความหมาย คือตัวธรรมชาติอย่างหนึ่ง ตัวกฎของธรรมชาติอย่างหนึ่ง ตัวหน้าที่ตามกฎของธรรมชาตินั้นอย่างหนึ่ง ตัวผลเกิดจากหน้าที่นั้น ๆ การปฏิบัติหน้าที่นั้นอย่างหนึ่ง มันเป็น 4 อย่างอยู่ นี้มันก็เป็นความเด็ดขาด เฉียบขาดของธรรมชาติที่ต้องเป็นอย่างนี้มันเป็นอย่างอื่นไม่ได้ กฎของธรรมชาติควบคุมธรรมชาติอยู่อย่างเฉียบขาดเหมือนกับว่าเป็นพระเจ้า พุทธศาสนามีพระเจ้ามีพระเป็นเจ้าคือมีกฎของธรรมชาตินั้นเอง เป็นพระเป็นเจ้าแต่เป็นพระเป็นเจ้าในภาษาธรรม ศาสนาอื่น ๆ เขามักกล่าวพระเป็นเจ้าไว้ในรูปแบบของภาษาคน ทำให้พระเจ้านั้นมีลักษณะเหมือนกับคนมีอารมณ์เหมือนกับคนโกรธได้ รักได้อะไรได้ เหมือนกับคน ให้เข้าใจง่ายคือลูกเด็ก ๆ พระเจ้าที่พูดกันอย่างนี้มันเป็นพระเจ้าในภาษาคน พุทธบริษัทรับไม่ไหว กลืนไม่ลงจึงต้องมีพระเจ้าตามแบบของตนคือพระเจ้าในภาษาธรรม คือเป็นกฎของธรรมชาติและเป็นนามธรรม ทำอะไรได้ทุกอย่างเหมือนกับที่พระเจ้าในภาษาคนทำได้เขากล่าวคุณสมบัติของพระเจ้าในภาษาคนไว้อย่างไร เราก็มีพระเจ้าในภาษาธรรมที่ทำหน้าที่ครบถ้วนอย่างที่พระเจ้าในภาษาคนจะพึงกระทำได้ เช่นเขากล่าวว่าพระเป็นเจ้านั้นเป็นปฐมเหตุของสิ่งทั้งปวง เป็นที่ออกมาของสิ่งทั้งปวง เราก็กล่าวได้ว่ากฎของธรรมชาตินี่แหละเป็นที่ออกมาของสิ่งทั้งปวงเป็นปฐมเหตุของสิ่งทั้งปวง เขาพูดวาพระเจ้านั้นแหละสร้างโลกสร้างสิ่งทั้งปวง เราก็พูดได้ว่าพระเจ้าของเราคือกฎของธรรมชาตินี่แหละสร้างสิ่งทั้งปวง ไม่มีอะไรที่ไม่ออกมาจากกฎของธรรมชาติ โดยเฉพาะกฎของอิทธปัจจตา เขาพูดว่าพระเจ้าคุ้มครองโลก เราก็บอกว่าพระเจ้าของเราก็คุ้มครองโลก กฎอิทธปัจจตา ในรูปแบบแห่งกฎของกรรมหรือกฎเหตุและผลเป็นต้นมันก็คุ้มครองโลก เขาว่าพระเจ้านี้ทำลายโลกเมื่อถึงคราวที่ควรจะทำลาย เราก็พระเจ้ากฎธรรมชาตินี่แหละมันทำลายโลกเมื่อถึงคราวที่ควรจะทำลาย เขาพูดว่าพระเจ้านั้นอยู่ในที่ทุกหนทุกแห่ง เราก็พูดว่ากฎของธรรมชาตินี่แหละเป็นพระเจ้าที่อยู่ในที่ทุกหนทุกแห่ง เขาว่าพระเจ้ารู้ทุกสิ่ง เราก็กฎของธรรมชาตินี้มันประกอบอยู่ที่สิ่งทุกสิ่งที่จะต้องรู้ คือมันมีความรู้อยู่ในนั้น หรือพระเจ้ามีอำนาจเหนือสิ่งทั้งปวง เราก็กฎของธรรมชาติมีอำนาจเหนือสิ่งทั้งปวง พูดด้วยกันกี่วันกี่เดือนก็ได้ จะชี้ให้เห็นได้ว่า พระเจ้าที่เป็นกฎของธรรมชาตินั้นแหละเป็นพระเจ้าที่จริงกว่า ไม่ประสบกับปัญหาที่เขาจะสงสัยว่าพระเจ้านี้วิปริตผิดธรรมดา หรือว่าใครจะสร้างพระเจ้าหรือว่ามันไม่สมเหตุสมผล ถ้าพูดพระเจ้าอย่างบุคคลมันก็ไม่สมเหตุสมผลจริง ๆ ด้วย ที่นักวิทยาศาสตร์เขาพากันเบื่อหน่ายศาสนาที่มีพระเจ้าอย่างบุคคลแล้วหันมาสนใจพุทธศาสนาที่มีพระเจ้าอย่างนามธรรมคือกฎของธรรมชาติ ก็เพราะความบกพร่องของคำอธิบายเรื่องพระเจ้าในภาษาคนนั้นเอง นี่เราควรจะเข้าใจพุทธศาสนาให้ถูกต้องกันถึงอย่างนี้ เพราะไม่มีอะไรที่ย่อหย่อนกว่าศาสนาใด ๆ มีอะไรทุกอย่างที่มันควรจะมี แม้ที่สุดแต่พระเจ้า คนที่พูดว่าในพุทธศาสนาไม่มีพระเจ้าคือคนมันโง่ คนมันหลับตาพูด มันเป็นคนที่ยึดติดพระเจ้าอย่างบุคคลมากเกินไป ไม่คำนึงถึงคุณสมบัติของพระเจ้าเสียเลย จึงว่าพุทธศาสนาไม่มีพระเจ้า ถ้าคนทั้งโลกจะพูดกันอย่างนี้อาตมาก็จะยืนยันว่าทั้งโลกมันยังโง่ ที่ถือว่าพุทธศาสนาไม่มีพระเจ้า เราจะยืนยันว่าเมื่อกล่าวโดยภาษาธรรมแล้วพุทธศาสนาก็มีพระเจ้า คือมีสิ่ง ๆ หนึ่งซึ่งทำอะไรได้ครบถ้วนทุกอย่างทุกประการตามที่พระเจ้าในศาสนานั้น ๆ จะถึงกระทำได้ เมื่อไม่เป็นบุคคลเราก็ไม่ต้องไปกราบไหว้ อ้อนวอน บวงสราวงบูชา อย่างเราไปขอทานจากพระเจ้า แต่ว่าเราก็มีการทำอะไรที่คล้าย ๆ กันคือเราจะต้องประจบพระเจ้าด้วยการกระทำให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติถ้าไม่อย่างน้นแล้วกฎของธรรมชาตินั่นแหละจะเล่นงานเราจะลงโทษเราเหมือนกับพระเจ้าโกรธขึ้นมาแล้วก็ลงโทษให้ จะมีการเซ่นสรวงอ้อนวอนบูชาที่เรียกว่า ขอ ร้องขอ ก็ทำได้ แต่เป็นการร้องขอด้วยการทำให้ถูกตามความต้องการของพระเจ้า กฎของธรรมชาติมีอยู่อย่างไรเราต้องทำให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติเหล่านั้น เราจึงจะได้รับผลตามที่เราอยากจะได้ อยากจะได้อะไรก็ได้ ถ้าเราให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติได้ที่เป็นอย่างสูงสุดคือเราต้องการนิพพาน เราก็นิพพานได้เพราะประพฤติกระทำถูกต้องตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ ซึ่งเป็นพระธรรมสูงสุดธรรมชาติทั้งหลายเรียกในภาษาบาลีว่า ธรรม ด้วยกันทั้งนั้น ตัวธรรมชาติก็เรียกว่าธรรม ตัวกฎของธรรมชาติก็เรียกว่าธรรม ตัวหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติตามกฎของธรรมชาติก็เรียกว่าธรรม มีผลเกิดขึ้นมาจากหน้าที่ก็เรียกว่า ธรรม เพราะฉะนั้นเรามีพระธรรมเป็นพระเจ้า แต่พระธรรมนี้ต้องมองดูกันในแง่ของนามธรรม ต้องพูดกันในภาษาธรรม ถ้าเอามาพูดกันในภาษาโลกก็จะเป็นพระเจ้าที่ถูกหัวเราะเยาะ แล้วก็ไม่มีใครสนใจ จนพระเจ้าชนิดนั้นได้ตายไปจากโลก หรือกำลังตายไปจากโลก ค่อย ๆ ตายไปจากโลก เพราะการพูดจาในภาษาคนให้กับพระเจ้านั้นเอง เราอย่ามัวแต่พูดจาแต่ในภาษาคนให้กับพระธรรม ให้กับพระพุทธ ให้กับพระธรรม ให้กับพระสงฆ์ อยู่อย่างลูกเด็ก ๆ ถ้ามันนานเกินไปนัก ขอให้ขยับขึ้นมาพูดจาในภาษาธรรมอย่างที่ผู้มีปัญญาเขาพูดจากัน ถ้าเรามีพระพุทธเจ้าท่านก็ไม่ได้นิพพาน ไม่ได้ตายไปไหน ยังเป็น ๆ สดชื่นอยู่ไม่รู้จักตาย อยู่ในหัวใจของเรา นี่เราเรียกว่าพูดถึงพระพุทธเจ้ากันในภาษาธรรม ถ้าพูดพระธรรมเราก็พูดถึงสิ่งที่มีอยู่ในจิตใจของเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือการประพฤติกระทำอย่างถูกต้องมีความสะอาด สว่าง สงบอยู่ในจิตใจของเรา เมื่อเราพูดถึงพระสงฆ์ก็มีอยู่ในจิตใจของเราคือกาย วาจา ใจ ของเราที่กำลังประพฤติปฏิบัติอยู่อย่างถูกต้อง นั่นแหละเป็นองค์พระสงฆ์ในภาษาธรรม ทุกคนเป็นพระสงฆ์ถ้าเขาประพฤติปฏิบัติอยู่อย่างถูกต้องทางกาย ทางวาจาและทางใจ พระสงฆ์ที่มีอยู่แล้วกลับไม่มองเห็น ตนก็เลยไม่มีพระสงฆ์หรือมีพระสงฆ์ก็มีอย่างที่ว่า ๆ ตาม ๆ กันไปในภาษาคน และก็จะต้องผิดหวังอย่างแน่นอน ขอให้ท่านทั่งหลายสนใจในเรื่องของนามธรรมพูดกันโดยภาษาธรรมเข้าใจกันโดยภาษาธรรมให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป เราก็จะมีพระพุทธเจ้าพระองค์จริงอยู่ในจิตใจของเรายิ่ง ๆ ขึ้นไปด้วยเหมือนกัน ในโอกาสแห่งวันวิสาขบูชาเช่นนี้นั้น เรามาซักซ้อมความเข้าใจอันนี้ มาเพิ่มพูนความมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์นี้ให้ยิ่งขึ้นไปทุก ๆ ปี ให้ดีขึ้นกว่าปีที่แล้วมา การทำพิธีวิสาขบูชาก็จะมีความหมาย ไม่ใช่มานั่งทำอะไรกันอย่างงมงาย ซำ ๆ ซาก ๆ ย่ำเท้าอยู่ที่นี่ทุก ๆ ปี อาตมาหวังว่าปีนี้ก็คงจะดีกว่าปีกลาย คือการทำวิสาขบูชาที่มีความหมายมากกว่าปีกลาย ได้รับแสงสว่างมากกว่าปีกลาย คือพูดได้ว่ามีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ในจิตใจของเรามากกว่าปีกลาย ถ้าใครอยากจะเร่งให้มีมากขึ้นโดยเร็ว ก็เร่งแห่งการปฏิบัติในส่วนศีล สมาธิ ปัญญานั้นเถิด ทำพื้นฐานคือกาย วาจาให้เหมาะสมยิ่งขึ้น ให้ถูกต้องยิ่งขึ้น ก็จะมีความเหมาะสมในทางจิต คือมีสมาธิ ยิ่งขึ้น แล้วก็ง่ายที่จะมีความเหมาะสมถูกต้องในทางสติปัญญา ซึ่งจะสามารถตัดกิเลสและความทุกข์ทั้งหลายได้ เร่งในส่วนศีล สมาธิ ปัญญาได้เท่าไร ก็จะมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เจริญงอกงามอยู่ในจิตใจของเรามากขึ้นเท่านั้น ที่พูดทั้งหมดนี้ถ้าฟังไม่ดีก็จะไม่รู้เรื่อง แล้วก็หาว่าพูดเพ้อเจ้อก็ได้ แต่อาตมาก็ได้พยายามอย่างยิ่ง ทำนี่ให้ดีที่สุดที่จะพูดให้ท่านทั้งหลายเข้าใจ ถ้าเราจะต้องมีพระพุทธ พระะธรรม พระสงฆ์กันอย่างไร และจะได้เจริญงอกงามยิ่ง ๆ ขึ้นไป เรามาซักซ้อมความเข้าใจและการกระทำมากเป็นพิเศษในโอกาสแห่งวันวิสาขบูชา ซึ่งได้กำหนดลงไปแล้วว่านี้เป็นวันสำหรับพระพุทธเจ้า ครั้นถึงวันอาสาฬหบูชาก็ทำให้มากให้ยิ่งขึ้นเป็นพิเศษสำหรับพระธรรม เพราะว่าเป็นวันพระธรรม ครั้นถึงวันมาฆะบูชาก็ทำให้มากให้ดีให้ยิ่งขึ้นเป็นพิเศษในเรื่องของพระสงฆ์เพราะว่าเป็นวันของพระสงฆ์ เมื่อวัน 2 วันนั้นยังไม่มาถึงในวันนี้ วันนี้เป็นวันวิสาขบูชาเป็นวันพระพุทธเจ้า ก็ขอให้ทำในใจถึงพระพุทธเจ้าให้มากเป็นพิเศษให้มีพระพุทธเจ้าตั้งอยู่อย่างแน่นแฟ้นในจิตใจยิ่งขึ้นทุกที พระพุทธเจ้าเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เราจะมีความรู้ ความตื่นและความเบิกบานในใจของเราให้มากยิ่ง ขึ้นทุกที รู้คือรู้สิ่งที่ควรจะรู้ ที่จะดับทุกข์ได้ ตื่นนี่ก็คือตื่นจากหลับแห่งอวิชชา หลับด้วยกิเลสก็เรียกว่ากิเลสนิทรา จึงตื่นจากการหลับด้วยกิเลส อย่ามัวหลับอยู่ด้วยกิเลสคืออวิชชา ก็เรียกว่ามีความตื่น ขอให้ความตื่นนี้ ตื่นหรือลืมตามากกว่าปีที่แล้วมา สำหรับความเบิกบานนั้น คือความสงบสุขอยู่เป็นผาสุก เพราะไม่ถูกเบียดเบียนด้วยกิเลสหรือความทุกข์จึงมีความเบิกบาน ก็ขอให้เรามีความสดชื่น แจ่มใส สงบเย็นเบิกบานแห่งจิตใจให้มันมากยิ่งขึ้นไปกว่าปีที่แล้วมา เรียกว่ามีความเป็นผู้รู้ มีความเป็นผู้ตื่น มีความเป็นผู้เบิกบานยิ่งกว่าที่แล้วมา เรียกอีกอย่างหนึ่งว่ามีความสะอาด มีความสว่างมีความสงบ ยิ่งกว่าปีที่แล้วมา ขอให้ถือเอาวันนี้เป็นวันซักซ้อมเรื่องนี้ เป็นวันขยับขยายปรับปรุงเรื่องนี้ให้มากยิ่ง ๆ ขึ้นไป ดูเหมือนก็ได้ตั้งใจกันไว้แล้วว่า ในวันนี้เราจะแสดงธรรม เราจะซักซ้อมความเข้าใจสัมมนาอภิปรายในเรื่องอันเกี่ยวกับการที่จะทำให้มีพระพุทธเจ้ามากขึ้นในจิตใจของเรา ด้วยวิธีการที่เรียกว่าศีล สมาธิ ปัญญา นั้นเอง ธรรมเทศนานี้เป็นเพียงการแสดงให้ท่านทั้งหลายทราบว่าเราจะต้องทำอย่างไรกับวันนี้ แล้วว่าเราจะต้องเตรียมตัวอย่างไรเพื่อจะทำสิ่งที่มีค่าที่สุดสำหรับวันนี้ให้เราได้รับประโยชน์อันนั้น ขอให้เป็นผู้ตื่น จากหลับอันคือกิเลสได้ แล้วก็คงจะไม่มานั่งง่วงนอนอยู่ตามธรรมดาสามัญ หลับในทางร่างกายคือความง่วงนอน ก็พูดอะไรกันไม่รู้เรื่อง อาตมาจะพูดไปแล้วคนฟังก็ง่วงนอนนี่ก็ฟังกันไม่รู้เรื่อง เรื่องหลับธรรมดาก็ยังเป็นอุปสรรคมากถึงอย่างนี้ เรื่องหลับด้วยกิเลสนิทรามันยังเป็นอุปสรรคมากไปกว่านั้นอีก นั้นควรจะมีหูตาอันสว่าง มีจิตใจแจ่มใสไม่ง่วง ไม่ซึม ไม่อ่อนเพลีย ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่ฟุบ และไม่แฟบ เป็นจิตใจที่ปรกติแล้ว เหมาะสมที่จะทำวันนี้ให้เป็นวันของพระพุทธเจ้า คือเป็นวันแห่งความรู้ ความตื่น และความเบิกบานให้ถึงที่สุดได้จริง ๆ ขอให้สนใจทุกวิถีทาง ทุกขั้นตอน ของสิ่งที่เรามีมาสำหรับพูดจา สัมมนาอภิปรายกันในวันนี้จงทุก ๆ คนเถิด ธรรมเทศนาเพื่อเตรียมท่านทั้งหลายสำหรับประกอบการวิสาขบูชาให้มีผลยิ่ง ๆ ขึ้นไปก็สมควรแก่เวลา ขอยุติธรรมเทศนาในขั้นแรกนี้ไว้แต่เพียงเท่านี้ก่อน เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้ (เสียงสวดมนต์)