แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ณ บัดนี้ อาตมาจะได้วิสัชนาพระธรรมเทศนาเป็นเครื่องประดับสติปัญญาส่งเสริมศรัทธาความเชื่อและวิริยะความเพียรของท่านทั้งหลายให้เจริญงอกงามก้าวหน้าในทางแห่งพระศาสนาของพระบรมศาสดาอันเป็นที่พึ่งของเราทั้งหลาย กว่าจะยุติลงด้วยเวลา ธรรมเทศนาในวันนี้เป็นธรรมเทศนาเนื่องด้วยวันปีใหม่ จึงปรารถธรรมเกี่ยวกับปีใหม่ ขอให้ท่านทั้งหลายตั้งใจฟังให้ดี ให้สำเร็จประโยชน์ในการที่ปรารภเกี่ยวกับปีใหม่ นักเรียนนักศึกษาทั้งหลายจำนวนหนึ่งก็มีมารวมอยู่ในที่นี้ด้วย ขอให้เธอทั้งหลายทำในใจให้ดีให้สำเร็จประโยชน์ในความหมายในคำว่า “ปีใหม่” แล้วก็มีอะไรให้มันใหม่สมกับคำว่ามันเป็นปีใหม่
เมื่อสักครู่ก็ได้พูดปรารภเรื่องนี้กับชาวต่างประเทศว่าปีใหม่ ปีใหม่ ไม่มีอะไรใหม่ ซ้ำซากอย่างเดียวอยู่นั่นแหละ ปีใหม่ก็ทำต้นไม้คริสต์มาสเลี้ยงดูกันเป็นการใหญ่ ได้กินไก่งวง ก็ทำอย่างนั้นทุกปีๆ มันก็ไม่มีอะไรใหม่ มันควรจะมีอะไรใหม่ซึ่งเป็นความก้าวหน้าเจริญทั้งทางวัตถุและทางจิตใจ แต่ว่าให้เจริญไปในลักษณะที่ถูกต้องคือเพื่อสันติภาพ อย่าให้มันเจริญเพื่อวิกฤติการณ์ คือยิ่งยุ่งยากลำบากขึ้นมามากกว่าแต่ก่อน ความเจริญที่ไม่ถูกต้องตามทางธรรมะนั้น ย่อมนำมาซึ่งความยุ่งยากลำบากยิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อน ยิ่งเจริญยิ่งยุ่ง แล้วมันจะเรียกว่าปีใหม่กันได้ที่ตรงไหน เพราะมันใหม่ไปหาความวินาศ ขอให้มันใหม่ไปในทางที่จะมีสันติสุขสันติภาพแก่ทุกๆ ฝ่าย นี่เป็นใจความสำคัญที่ว่าจะต้องทำให้มันใหม่ ให้มันใหม่ไปในทางที่จะมีสันติสุขและมีสันติภาพมากกว่าแต่ก่อน มิฉะนั้น มันก็เป็นการซ้ำซาก ซ้ำๆซ้ำๆอยู่กับปีเก่านั้นแหละ แม้ว่าจะใช้วิธีอย่างใหม่เพื่อที่จะซ้ำๆซ้ำๆ มันก็ได้ผลอย่างเดียวกันนั่นแหละ มันก็คือซ้ำๆ มันก็ไม่มีปีใหม่เกิดขึ้นมา ขอให้ท่านทั้งหลายสนใจที่จะทำให้มันมีอะไรใหม่ คือแปลกออกไปในทางที่เป็นความสงบสุข
จะให้อะไรใหม่ในที่นี้ก็มีเรื่องที่จะต้องคิดและจะต้องพูดกันหลายอย่างอยู่เหมือนกัน แต่ใจความสั้นๆก็คือเพื่อให้มันดีกว่าปีเก่า ให้มีความสุขสงบมากกว่าปีเก่า มันมีเท่านั้นแหละ ที่เป็นเรื่องของการศึกษาก็ให้ได้ศึกษามากขึ้นหรือแปลกออกไปหรือลึกซึ้งยิ่งขึ้น ที่ไม่เคยได้ฟังก็ขอให้ได้ฟัง ที่ฟังอยู่แล้วขอให้เข้าใจลึกซึ้งยิ่งขึ้นไป ยิ่งขึ้นไปจนถึงที่สุด นี่เป็นเรื่องของการศึกษา เป็นเรื่องของการปฏิบัติ ก็ปฏิบัติให้ยิ่งขึ้นไป ปฏิบัติให้ได้ ปฏิบัติดี มีสติสัมปชัญญะ มีปัญญา มีสมาธิมากขึ้นกว่าแต่เก่า แต่ปีเก่า อย่าให้ป้ำๆเป๋อๆอยู่ตามเดิม ผลของการปฏิบัติก็วัดกันได้เลยว่า มีความสงบสุข มีความเยือกเย็น เป็นสุขมากขึ้นกว่าปีเก่า ทีนี้ก็จะเริ่มไปแต่การศึกษา
เมื่อสักครู่นี้ก็ได้พูดกับชาวต่างประเทศถึงเรื่องพระรัตนตรัย ที่ยังไม่รู้จักพระรัตนตรัย ขอให้รู้จักพระรัตนตรัยว่าเป็นอย่างนั้นๆ ที่รู้จักแล้วก็ขอให้มีมากยิ่งขึ้นๆๆ จนเป็นพระรัตนตรัยโดยสมบูรณ์ มันก็มีความสงบสุข มีมรรค มีผล มีนิพพานเกิดขึ้นมา พระรัตนตรัยนั้นเป็นของโลก เป็นของธรรมชาติ ธรรมชาติกำหนดให้เกิดขึ้นมา พระพุทธเจ้าเกิดขึ้นในโลกโดยธรรมชาติ กำหนดให้เกิดขึ้นมา แล้วก็เกิดมาเพื่อโลก จึงมีคำว่าพระพุทธเจ้าได้เกิดขึ้นแล้วในโลก ไม่ใช่เกิดสำหรับพวกไหน ประเทศไหน ถิ่นไหน ไม่เป็นอย่างนั้น มันเกิดมาสำหรับโลก พระธรรมก็ได้เกิดขึ้นแล้วในโลก ก็เกิดขึ้นมาสำหรับโลก สำหรับสัตว์ทั้งโลก พระสงฆ์ก็เหมือนกัน เกิดแล้วในโลกก็คือเป็นตัวอย่างของการปฏิบัติที่ดีเพื่อคนทั้งโลกจะได้ถือเอา ควรจะรู้ว่าพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์นี้เกิดขึ้นมาเพื่อโลกโดยไม่ยกเว้นใคร เอาใจความที่ลึกซึ้งชัดเจนกว้างขวางกันได้ว่า พระพุทธเจ้าคือบุคคลที่รู้ สิ่งที่โลกควรจะรู้ คือรู้เรื่องที่มันดับทุกข์ได้ พระธรรมก็คือระบบเรื่องนั้นแหละที่เป็นการศึกษา เช่นวิชชา ก็รู้ถูกต้องดับทุกข์ได้ที่เป็นการปฏิบัติ ก็ปฏิบัติถูกต้องดับทุกข์ได้ ที่เป็นผลของการปฏิบัติก็ดับทุกข์ได้จริง ทั้ง ๓ อย่างนี้เรียกว่า “ธรรมะ” ธรรมะ ฉะนั้น สิ่งที่จะช่วยโลกได้ มีพระสงฆ์ก็คือหมู่คนที่ปฏิบัติตามนั้นจนมันดับทุกข์ได้แล้วมันก็อยู่ในโลก พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จำเป็นอย่างยิ่ง ทว่าโลกนี้ไม่มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็หมายความว่าในโลกนี้ไม่มีใครมีความรู้ที่จะดับทุกข์ได้ ความรู้ที่จะดับทุกข์ได้มันก็ไม่มี ความรู้ที่ดับทุกข์ได้มันไม่มี มันก็ไม่มีใครปฏิบัติเพื่อดับทุกข์ได้ โลกนี้ก็เป็นโลกบ้า เป็นโลกมืดมน เป็นโลกวินาศในที่สุด พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสิ่งที่จะต้องมีเพื่อโลกอย่างนี้จึงเรียกว่าถูกต้องตามที่ธรรมชาติกำหนดไว้ พุทธบริษัทโง่ๆคิดว่าเป็นของพวกเรา มีแต่ของพุทธบริษัท บางคนก็จะคิดว่ามีแต่ในประเทศไทยหรือว่ามีแต่ในประเทศอินเดีย ที่อื่นไม่มี นั้นมันไม่รู้แล้วมันหลับตาพูดตามแบบของคนไม่รู้ ชาวพุทธจะต้องมีทั่วไปทั้งโลกแหละความรู้ที่จะดับทุกข์ได้อย่างไร ตามยุคตามสมัย และธรรมคือความรู้และการประพฤติปฏิบัติเพื่อดับทุกข์ได้ มันก็ต้องมีในโลก พระสงฆ์ผู้ปฏิบัติได้มันก็ต้องมีในโลก เพราะฉะนั้นขอให้ถือว่าเป็นของโลก นี่เอามาผูกขาดเป็นของกู มันจะบ้า มันเป็นของโลก เป็นของจำเป็นที่จะต้องมีอยู่ในโลกเพื่อช่วยโลกให้รอด ถ้ายังไม่เคยเข้าใจอย่างนี้ ก็เข้าใจเสียอย่างนี้ มันจะได้เป็นความรู้ของปีใหม่ที่ดีกว่าปีที่แล้วมา มันดีกว่าปีที่แล้วมา
พูดถึงความรู้ต่อไปอีก ความรู้มันก็พูดกันทั่วๆไปว่า รู้ดีรู้ชั่ว รู้ดีรู้ชั่ว นั้นแหละคือความรู้ แต่แล้วมันก็น่าหัวหรือน่าเศร้าหรือน่าสงสารด้วยซ้ำไปที่ว่า รู้ดีรู้ชั่วนั้น มันไม่รู้จะรู้กันอย่างไร แล้วมันแบ่งได้เป็นชั้นๆเป็นพวกๆไป คือไม่เหมือนกันเลย ไม่เหมือนกันจริงๆ ถ้าฟังให้ดี พวกอันธพาล มันก็รู้ดีรู้ชั่วไปตามแบบอันธพาล เห็นกงจักรเป็นดอกบัว มันเอาดีเอาชั่วมากลับกันเสีย ถ้าได้ถูกใจของมัน มันก็ว่าดี ไม่ถูกใจมัน มันก็ว่าชั่ว เรื่องของกิเลสทั้งนั้นแหละพวกอันธพาล ที่ว่าดีๆ กิเลสทั้งนั้น ไอ้รู้ดีรู้ชั่วของอันธพาลนั้นเอามาถือเป็นหลักไม่ได้ ไว้ให้เป็นสมบัติของอันธพาล อย่างนี้คนที่เป็นไม่เป็นอันธพาลนั้นเรียกว่าเป็นสัตบุรุษ เป็นกัลยาณปุถุชน คำว่าดีว่าชั่วมันก็เปลี่ยนความหมาย เปลี่ยนความหมาย ไม่เหมือนของอันธพาล นี่ก็คือไม่ทำอันตรายใคร มีประโยชน์แก่ทุกฝ่าย ชั่วก็ทำอันตรายคน ไม่มีประโยชน์แก่ใคร ดีหรือชั่วสำหรับสัตบุรุษหรือสำหรับกัลยาณปุถุชนมันเป็นอย่างนี้ เป็นอย่างนี้ พอมาถึงขั้นสูงสุด ดีหรือชั่วของพระอรหันต์ พระอรหันต์ไม่มีดีไม่มีชั่ว เลิกหมดเลย ไม่มีดีไม่มีชั่ว ดีชั่วของพระอรหันต์ มันไม่มี มันไม่ดีไม่ชั่ว มันก็อยู่ได้อย่างนั้น นั่นแหละขอให้ได้ความรู้ว่าเรื่องดีเรื่องชั่วนี้ จงรู้จักธรรมให้สำเร็จประโยชน์แก่ตน ที่อยู่ในระดับไหน ในชั้นไหน มีความต้องการอย่างไร เลิกดีชั่วอย่างอันธพาลเสีย มามีดีมีชั่วอย่างสัตบุรุษ คนที่ไม่อันธพาลว่าอย่างนั้น ที่มาถึงที่สุดแล้ว ไปเป็นพระอรหันต์แล้ว ก็หมดดีหมดชั่ว เหนือดีเหนือชั่ว เลิกการกำหนดคำว่าดีว่าชั่ว มันกลายเป็นไม่ดีและไม่ชั่ว มันก็เป็นนิพพาน มันก็ว่าง เหนือดีเหนือชั่ว เห็นหรือไม่ คำว่าดีชั่ว คำพูดนี้มันกลายเป็นคำว่า ๓ ชั้นอย่างนี้ ๓ ชั้นอย่างนี้เป็นอย่างน้อย ถ้าเรารู้เพียงเท่าไรก็รู้ไว้ว่าเรารู้เพียงเท่าไร เรายังโง่อยู่เท่าไรก็รู้ว่ายังโง่อยู่เท่าไร จะรู้ให้ดีขึ้นไปถึงที่สุดของเรื่องดีเรื่องชั่ว หากปฏิบัติไปถึงที่สุดไม่ยึดมั่นถือมั่นเรื่องดีเรื่องชั่ว นั่นก็จะเป็นบุคคลสูงสุดที่สมมติเรียกกันว่าเป็นพระอรหันต์
ทีนี้ มันก็อยู่ที่ว่าดับความยึดถือว่าตัวตนเสียได้ ดับความยึดถือว่าตัวตนเสียได้ เรื่องนี้กว้างขวางมาก เรื่องที่มีความโง่ ความหลงแล้วยึดมั่นถือมั่นว่าตัวตนนี่ ต้องศึกษากันให้ดีเป็นพิเศษ จึงจะถูกต้องตามหลักของพระพุทธศาสนา ศาสนาอื่นพวกอื่นเขาสอนว่ามีตัวตน ก็ตามใจเขาเถิด เขามีตัวตน แต่พุทธศาสนานี้สอนเรื่องไม่มีสิ่งที่เรียกว่าตัวตน มีก็มีแต่สิ่งที่มิใช่ตน คำนี้สำคัญมาก คือคำว่า “มิใช่ตน” มันเป็นธาตุตามธรรมชาติ สิ่งที่ควรเรียกว่าตัวตน ตัวตนนั้นมิได้มี มิได้มีเลย มีแต่สิ่งที่จะต้องเรียกว่ามิใช่ตัวตน จะเป็นของธรรมดามีเหตุมีปัจจัยปรุงแต่งก็มิใช่ตน เป็นของเหนือเหตุเหนือปัจจัยปรุงแต่งก็มิใช่ตน พูดเป็นภาษาศัพท์แสงสักหน่อยก็พวกสังขตธรรมทั้งหลายมีเหตุปัจจัยปรุงแต่งนี้ก็มิใช่ตน อสังขตธรรมไม่มีเหตุไม่มีปัจจัยปรุงแต่งทั้งหลายก็มิใช่ตน แล้วจะอยู่กันอย่างไร อยู่กันได้อย่างไรกับสิ่งที่มิใช่ตน นี่ตั้งใจฟังให้ดีๆ ก็คงจะเข้าใจได้แหละ มิใช่ตัว มิใช่ตน นี่เข้าใจได้ คือเข้าใจหลักพื้นฐานถึงที่สุดเลยว่ามันมีแต่ธรรมชาติ ที่เรียกว่านามและรูป รูปและนาม ถ้าเรียกเป็นบาลีก็เรียกว่า “นามรูป” คือทั้งนามและรูป มี ๒ เรื่อง เรื่องใจกับกาย ใจกับกาย มันมีเท่านี้แหละ
ส่วนที่เป็นร่างกายนี้ก็รู้กันอยู่แล้วว่ามันเป็นร่างกายอย่างไร มีธาตุหลายๆธาตุประกอบกันขึ้นเป็นร่างกายก็เป็นระบบหนึ่งเรียกว่าระบบกาย และอีกระบบหนึ่งเป็นเรื่องจิต เป็นธาตุ เป็นธาตุจิต จิตธาตุ เป็นนามธาตุ ประกอบกันอยู่เป็นเรื่องจิต แล้วก็อาศัยกันอยู่กับกาย กายกับใจอาศัยกันอย่างนี้ นามและรูปอาศัยกันอย่างนี้ แล้วคุณรู้สึกคิดนึกหรือทำอะไรได้ ไม่ต้องมีสิ่งที่ ๓ ไม่ต้องมีอัตตา อาตมัน ตัวตนอะไรที่ไหน ซึ่งเป็นสิ่งที่ ๓ นั้นไม่ต้องมี มีแต่ ๒ สิ่งก็พอนั่นคือกายกับใจ จำให้ดี ๒ คำว่า “กาย” กับ “ใจ” ใจบางทีก็เรียกว่าจิต นี่ค่อยรู้ว่าระบบกายนี่มันก็มีที่ตั้ง เป็นที่ตั้งให้กับจิต มันมีระบบฝ่ายกายที่เนื่องกับฝ่ายจิตโดยใกล้ชิดที่เรียกว่า “ระบบประสาท” ระบบประสาท นี่ช่วยจำไว้ให้ดี มันเป็นเรื่องของฝ่ายกายที่มันใกล้ชิดกับเรื่องฝ่ายจิต จึงเรียกว่าระบบประสาท ทำงานใกล้ชิดกับระบบจิต ในภาษาธรรมะแขนงบางแขนงก็เรียกมันว่า “เจตสิก” เจตสิก ระบบประสาททั้งหลายที่ทำงานเนื่องกันอยู่กับจิต นั้นเรียกว่าเจตสิก เราไม่แยกกันอีกระบบหนึ่ง มันเป็นส่วนประกอบของจิตก็แล้วกัน ระบบประสาทมันทำให้จิตรู้สึกอะไรได้ มันก็มีที่ตั้งที่ร่างกาย ที่ที่มีตา หู จมูก ลิ้น กาย นี่เป็นที่ตั้งฝ่ายกายแล้วก็มีจิตมีใจนี่แหละ แล้วมันก็มีส่วนที่ให้เกิดความรู้สึกที่นั่น มีระบบประสาทตา ระบบประสาทหู ระบบประสาทจมูก ระบบประสาทลิ้น ระบบประสาทผิวหนัง นี่เรียกว่าระบบประสาท ทำงานส่วนใหญ่เกี่ยวข้องอยู่กับจิต แต่มันก็ตั้งอาศัยอยู่บนระบบกายนั่นแหละ ลูกตาแท้ๆ ก็คือเป็นร่างกายส่วนหนึ่ง แต่ระบบประสาทตามันอยู่ระบบประสาท มาทำงานกับฝ่ายจิต ทีนี้สังเกตดูให้ดีนะ เพียงแต่ว่ามันมีระบบประสาทเท่านั้นแหละ มันก็ทำหน้าที่ต่างๆ ได้ มันมีระบบประสาทตา ระบบประสาทตาทำหน้าที่เห็นได้ ส่งไปทางจิตให้จิตรู้สึกได้ ประสาทหู ระบบประสาทหูก็ทำหน้าที่ฟังเสียงได้โดยไม่ต้องมีอาตมัน เจตภูต วิญญาณที่ไหนมาทำ ระบบประสาทหูมันก็ได้ยินได้ ระบบประสาทจมูกก็ได้กลิ่นได้ ระบบประสาทลิ้นก็รู้รสได้ ระบบประสาทผิวหนังก็รู้สึกทางผิวหนังได้ ระบบประสาททางจิตใจมันก็คิดนึกได้ เพราะฉะนั้นเราต้องดูให้ดี ไม่ต้องมีอัตตาไม่ต้องมีเจตภูต วิญญาณศักดิ์สิทธิ์อะไรที่ไหนมาช่วยอีกมาทำหน้าที่ทางตาทางหู ลำพังระบบประสาทตา หู จมูก ลิ้น กาย มันก็ทำหน้าที่ของมันได้
เพราะฉะนั้น เมื่อตามันเห็นรูป ตามันเห็นรูป มันมีระบบประสาทมันเห็นรูป ก็อย่าได้โง่ไปว่ากูเห็นรูป ถ้ามันไม่รู้เรื่องนี้ มันก็โง่ไปว่ากูเห็นรูป พอได้ฟังเสียง มันก็กูฟังเสียง กูได้ยินเสียง มันไม่คิดว่าระบบประสาทหูมันทำหน้าที่ มันก็ได้ยินเสียงได้ พอจมูกมันได้กลิ่น ระบบประสาทจมูกมันได้กลิ่น มันรายงานขึ้นมาอย่างนั้น จิตมันก็โง่ กู กูได้กลิ่น กูรู้สึกกลิ่น รสก็เหมือนกัน ลิ้นมันรู้สึกรส จิตโง่มันก็ว่ากูรู้สึกรส แล้วประสาททางผิวหนังอ่อนนุ่มกระด้างอะไรก็ตาม จิตมันก็โง่ว่ากูได้รับ มันก็หลงใหล นี่ถ้าว่าน่ารักน่าพอใจมันก็หลงใหลไปอย่าง ถ้าไม่น่ารักไม่น่าพอใจมันก็หลงใหลไปอีกอย่างหนึ่ง นั่นแหละความลับ ก็มีระบบประสาททำให้เกิดความรู้สึกได้ ตามที่มันควรจะรู้สึก ในระบบประสาทนั้นมันถูกกันมันก็สบาย สบาย จิตก็พลอยโง่ไปว่าดี ว่าดี ว่าเป็นฝ่ายดี เป็นฝ่ายดี เรียกว่าฝ่ายบวก ถ้ามันตรงกันข้ามไม่ถูกกับความรู้สึกหรือความพอใจมันก็เป็นฝ่ายลบ เป็นฝ่ายลบ ความรู้สึกว่าถูกใจหรือไม่ถูกใจมันก็เกิดขึ้นมาตามความโง่ของจิตที่มันถูกหลอกโดยระบบประสาท ถ้าไม่โง่ต่อระบบประสาทมันก็ไม่มี มันก็เป็นอย่างนั้นๆ เรียกว่าอย่างนั้นๆ มันก็มาหลงว่าเป็นดีเป็นชั่ว เป็นบวกเป็นลบเป็นพอใจไม่พอใจ เป็นยินดียินร้าย ไม่ต้อง ทีนี้เรามันหลง มาหลงเป็นกูไปเสียทั้งนั้น กูเห็นรูป กูฟังเสียง กูได้กลิ่น กูลิ้มรส กูสัมผัสผิวหนัง กูคิด กูนึก เกิดของหลอกมหาศาลขึ้นมาเป็นดีเป็นชั่ว เป็นบุญเป็นบาป เป็นสุขเป็นทุกข์ เรียกตามภาษาวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ก็เรียกว่ามันเป็นบวกหรือมันเป็นลบขึ้นมา
เมื่อมันได้รู้สึกอารมณ์เป็นบวก จิตใจก็บ้าไปแบบบวก เมื่อได้อารมณ์เป็นลบ มันก็เป็นบ้าไปแบบลบ ดังนั้น มันจึงเกิดยินดียินร้ายขึ้นมา ภาษาบาลีแท้ๆเรียกว่า “อภิชฌา” หรือ “โทมนัส” เป็นที่พอใจ ดีใจ เป็นฝ่ายบวก เรียกว่าอภิชฌา อภิชฌา ถ้าไม่ถูกใจเป็นฝ่ายนั้นก็เรียกว่าโทมนัสปัจจัย นี่มันมีอภิชฌาและโทมนัส มีอภิชฌาเป็นฝ่ายบวกก็เกิดกิเลสฝ่ายบวก มีโทมนัสฝ่ายลบก็เกิดกิเลสฝ่ายลบ ฝ่ายบวกก็ให้เกิดโลภะ เกิดราคะ เกิดยึดมั่นถือมั่นกำหนัด ฝ่ายลบก็ให้เกิดโทสะ โกรธะ มันยังมีส่วนที่เกิดหลงใหลเป็นโมหะนั้นได้ทั้งฝ่ายลบและฝ่ายบวก แต่เพราะมีฝ่ายลบฝ่ายบวก มันยังเกิดความรู้สึกเป็นกิเลสประเภทต่างๆ ต่างๆกัน นี่ปัญหามันมีอย่างไร ฝ่ายบวกก็ยินดีหลงใหลรักใคร่ยึดมั่นถือมันจนเป็นทุกข์ ถ้าฝ่ายลบก็ทรมานมันก็ถูกกัด ถูกเผา ถูกอะไรกันเดี๋ยวนั้นเลย เป็นฝ่ายทุกข์ นี่รู้จักคำว่า “บวก” คำว่า “ลบ” ให้ดีๆ เป็นภาษาวิทยาศาสตร์หน่อยก็เรียกว่าบวกว่าลบ ภาษาธรรมดาขึ้นบ้างก็เรียกว่า “ยินดี” “ยินร้าย” ภาษาธรรมะที่พระพุทธเจ้าท่านชอบใช้ก็ว่า “อภิชฌา” และ “โทมนัส” พอมีอภิชฌามันก็รัก ก็พอใจ ก็หลงใหลยึดมั่้นถือมั่น จนเป็นทุกข์เพราะความยึดมั่นถือมั่นเพราะหลงบวก ถ้าเป็นลบ เป็นโทสะ ขัดใจร้องห่มร้องไห้ ก็เพราะว่าฝ่ายลบ ฝ่ายบวกก็ทำให้เป็นทุกข์ตามแบบบวก ฝ่ายลบก็ทำให้เป็นทุกข์ตามแบบลบ นี่เพราะว่ามันยังมีตัวกู มันมีตัวกู เป็นสิ่งที่ ๓ เข้ามา
นี่ถ้ามันมีแต่สิ่งที่เรียกว่านามกับรูปคือกายกับใจแล้ว มันก็ไม่เป็นไรนัก อย่ามีตัวกูที่เป็นเจ้าของเรื่องเสวยผลอย่างนั้นอย่างนี้ขึ้นมานี่ จะกำจัดตัวกูก็ศึกษาเรื่องนี้แหละให้ดีๆ ตาเห็นรูปก็ให้ตาเห็น ระบบประสาทของตามันเห็นอย่าว่ากูเห็น หูได้ยินเสียง ก็ว่าหู ระบบหูได้ยินเสียง ไม่ใช่กูได้ยินเสียง จมูกก็ได้กลิ่นก็ว่าระบบจมูกมันได้กลิ่นไม่ใช่กูได้กลิ่นอย่างนี้ไปจนตลอดสาย ถ้ามันไม่มีตัวกู มันก็ไม่เกิดอะไร เป็นตามธรรมชาติ จัดการไปตามสมควร เมื่อทนไม่ได้ มันเจ็บปวดก็จัดการไปตามสมควร ถ้ามันน่ารัก น่าพอใจ น่ายินดี น่าหลงใหล ก็กูไม่เอากับมึง มึงก็เช่นนั้นเอง มึงก็ตามธรรมชาติเช่นนั้นเอง กูไม่เอากับมึง มันก็ไม่มีปัญหา ไม่หลงบวก ไม่หลงลบ ไม่เกิดยินดี ไม่เกิดยินร้าย ไม่ทุกข์ อายตนะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
แล้วทีนี้จะพูดให้ละเอียดไปกว่านั้นอีก เมื่ออายตนะภายใน ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นั้นพบกันเข้ากับอายตนะภายนอกคือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ มันก็เกิดของสิ่งใหม่ขึ้นมาเรียกว่า “วิญญาณ” วิญญาณ ๖ วิญญาณทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ก็ให้เรียกว่ามันวิญญาณธาตุตามธรรมชาติ เกิดมาจากการถึงกันระหว่างอายตนะภายในกับภายนอก ไม่ใช่ตัวกู ไอ้วิญญาณ วิญญาณนั้นไม่ใช่ตัวกู เป็นผลปฏิกิริยาเกิดมาจากอายตนะภายในและภายนอก ถ้ามีวิญญาณแล้วมันก็มีผัสสะ อายตนะภายในด้วย ภายนอกด้วย วิญญาณด้วย รวมกันทำหน้าที่เขาเรียกว่า “ผัสสะ” ก็ให้รู้ว่ามันเป็นการกระทบถึงกันระหว่างสิ่งทั้งสามนี้ ไม่ใช่กูผัสสะ ไม่ใช่ผัสสะของกู ไม่ใช่กูผัสสะ มันผัสสะของอายตนะภายใน ภายนอก และวิญญาณ ในครั้นเกิดผัสสะแล้ว มันก็ต้องเกิด “เวทนา” เกิดเวทนา ก็เวทนา เวทนาธาตุตามธรรมชาติอย่างหนึ่ง ไม่ใช่กูเวทนา ไม่ใช่กูเป็นผู้เวทนา หรือไม่ใช่เวทนาของกู ไม่เอาผัสสะเป็นของกู ไม่เอาเวทนาเป็นของกู มันเป็นผัสสะของธรรมชาติ เป็นเวทนาของธรรมชาติ ครั้นเกิดเวทนาแล้วมันก็จะเกิด “สัญญา” เกิดสัญญเจตนา ตัณหา วิตกวิจารณ์ตามลำดับ ไม่ใช่ของกู สัญญาก็สัญญา ไม่ใช่กูสัญญา สมมติเรามาเกิด “ตัณหา” ตัณหาก็เกิดความอยากของกิเลสของอวิชชา ไม่ใช่กูตัณหา ไม่ใช่กูอยาก มันเป็นเรื่องของตัณหาตามธรรมชาติ มันรู้สึกเช่นนั้นเอง มันโง่มาถึงตัณหาแล้วไม่ต้องสงสัย มันก็มีอุปาทานยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวกูเป็นของกู นี่มันช่วยไม่ได้เสียแล้ว เพราะมันเป็นตัวกูของกูเสียแล้ว มันก็ต้องเป็นทุกข์ไปตามนั้น เพราะฉะนั้น ก่อนที่มันจะเป็นอย่างนั้น อย่าได้โง่อย่าได้หลงว่าเป็นตัวกู ให้มันเป็นเรื่องของอายตนะภายใน อายตนะภายนอก ของวิญญาณ ของผัสสะ ของเวทนา ของตัณหา พอมาถึงอุปาทานแล้วก็ช่วยไม่ได้แล้ว เป็นตัวกูเสียแล้ว นี่มันมีอยู่ในประจำวันของเรา ตา หู จมูก ลิ้่น กาย ใจ ทำงานกับ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ วิญญาณมีผัสสะ มีเวทนา มีตัณหาวันหนึ่งไม่รู้กี่ ๑๐ ครั้งกี่ ๑๐๐ ครั้ง ถ้าเอามันมาเป็นตัวกูเป็นทุกข์ทุกทีแหละ ถ้าไม่เอามาเป็นตัวกูก็ไม่เป็นทุกข์หรอก คำว่าเป็นตัวกูเป็นของกูมันมาหนักอยู่บนกบาลหัวของกูนั่นแหละ ไม่ว่าอะไรพอยึดถือเป็นตัวกู ยึดถือเป็นของกู ก็มาหนักอยู่บนความรู้สึกว่าตัวกู พูดอย่างหยาบคายก็มันมาหนักอยู่บนกบาลหัวของคนที่รู้สึกว่าเป็นตัวกู รู้สึกว่ามีเงิน มันก็หนักบนหัวคนรู้สึกว่ามีเงิน รู้สึกว่าได้อะไรมาชอบใจยินดี ก็มาอยู่บนความรู้สึกว่าตัวกูเหมือนกับมาอยู่บนกบาลหัวนี่ ความทุกข์ทั้งหลายเกิดมาจากความยึดมั่นถือมั่น ถ้าอย่าให้มันเป็นตัวกูของกู อย่ามาอยู่บนศีรษะกันอย่างนี้แล้วก็ไม่เป็นไร มันก็ไม่มีความทุกข์
ความจริงเป็นอย่างนี้ ธรรมชาติเป็นอย่างนี้ เราไม่รู้ เราโง่ มันก็ต้องเป็นไปตามความโง่ เป็นไปตามความทุกข์ มันก็ได้เป็นทุกข์ เห็นรูปก็เป็นทุกข์เวลาเห็นรูป ได้ฟังเสียงก็เป็นทุกข์พอได้ฟังเสียง ได้ดมกลิ่นก็เป็นทุกข์พอได้ดมกลิ่น ลิ้มรสโผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ด้วยกันทั้งนั้นแหละ นี่เรียกว่าความรู้ ที่มันมีอยู่อย่างนี้เป็นความรู้ของธรรมชาติเรียกว่า “ปฏิจจสมุปบาท” ตามคำเรียกของพระพุทธเจ้า ไม่เคยรู้ว่าปฏิจจสมุปบาทมันเป็นอย่างนี้ มันเป็นอย่างนี้ มันเป็นกระแสของปฏิจจสมุปบาท อย่าได้เป็นตัวกู วิญญาณนี่อย่าเป็นตัวกู นามรูปก็อย่าเป็นตัวกู อายตนะก็อย่าเป็นตัวกู ผัสสะก็อย่าเป็นตัวกู เวทนาก็อย่าเป็นตัวกู ตัณหาก็อย่าเป็นตัวกู มันก็ไม่มีเรื่องที่จะต้องเป็นทุกข์ นี่ผู้รู้ปฏิจจสมุปบาทถึงที่สุดอย่างนี้แล้ว ควบคุมได้อย่างนี้แล้ว ก็ไม่เป็นทุกข์ แต่การที่จะควบคุมได้อย่างนี้ต้องปฏิบัติให้มีจิตใจชนะอย่างนั้นคือ ปฏิบัติอาณาปานสติภาวนา เป็นต้น มีจิตใจบังคับให้ได้ ไม่ให้โง่ ไม่ให้โง่ ไม่ให้ไปเที่ยวโง่เป็นตัวกู ที่ตา ที่หู ที่จมูก ที่ลิ้น ไม่ๆ ไม่ทั้งหมด ไม่เป็นตัวกูที่ไหนทั้งหมด นี่ก็ไม่เกิดตัณหาอุปาทาน มันก็ไม่เป็นทุกข์ รู้สึกได้เร็วเท่าไหร่ ก็ระงับทุกข์ได้เร็วเท่านั้น โง่ไปยึดถือเข้ามันก็เป็นทุกข์ ยึดถือมากก็เป็นทุกข์มาก อย่างนี้ละเอียดอ่อน ละเอียดที่สุด เป็นเรื่องปฏิจจสมุปบาทที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสเองว่าเป็นเรื่องที่ลึกซึ้งที่สุุด พระอานนท์เข้าใจว่าไม่สู้ลึกซึ้งนะ พระอานนท์ทูลพระพุทธเจ้าว่าเรื่องปฏิจจสมุปบาทนี้ไม่สู้จะลึกซึ้ง เป็น “ยาวะคัมภีโร” สักว่าลึกซึ้งแต่ไม่ลึกซึ้ง พระพุทธเจ้าท่าน โอ้, อย่าพูดอย่างนั้น อย่าพูดอย่างนั้น มันเป็น “อะติคัมภีโร (นาทีที่ 33:36) อะจันตะคัมภีโร” มันลึกซึ้งถึงที่สุด ยิ่งกว่าถึงที่สุด เราจึงรู้กันง่ายๆไม่ได้ เมื่อไม่รู้เราก็ทำผิด เราก็มีตัวกู ตัวกู ทุกทีที่ตาเห็นรูป ที่หูฟังเสียง ที่จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายได้สัมผัส มันก็เป็นทุกข์ทุกแห่งทุกทีทุกคราว นี่คือสิ่งที่แลกมา
ถ้าปล่อยไปอย่างนี้อีก ก็ไม่มีอะไรใหม่ ปีใหม่ไม่มีอะไรใหม่ เป็นปีใหม่ที่มันโง่ โง่ซ้ำ โง่ๆ โง่ซ้ำๆ ซ้ำๆ โง่ๆ ไม่มีอะไรใหม่ แต่ถ้ามีความรู้เกิดขึ้นอย่างถูกต้องไม่ยึดถือเป็นตัวกู มีสติเร็วพอที่จะไม่ยึดถือเป็นตัวกู ก็เป็นมีปีใหม่แหละ นั่นแหละจะเป็นของใหม่ ดังนั้นขอให้ปีใหม่นี้ มีสติ เจริญเร็ว มีกำลังมาก แล้วก็มีปัญญามาก ไปเอามาโดยสติสัมปชัญญะ เผชิญหน้ากับอารมณ์เมื่อตาเห็นรูปเมื่อหูฟังเสียง เมื่อจมูกได้กลิ่น เมื่อลิ้นได้รส สติไปเอาปัญญามาเป็นสัมปชัญญะเผชิญหน้ากับมัน หยุดมันเสีย ถ้ากำลังมันอ่อนสู้อารมณ์ไม่ได้เอาสติเอาสมาธิมา เอาสมาธิมา ตัวนี้เป็นกำลังมั่นคงมหาศาล เอาสมาธิมาช่วยสัมปชัญญะ สัมปชัญญะก็มีกำลังเข้มแข็ง เป็นปัญญาเข้มแข็งขึ้นมา ก็กำจัดความโง่ได้ ก็ไม่ต้องเป็นทุกข์ นี่เป็นส่วนปฏิบัติให้มีสติปัญญาสัมปชัญญะสมาธิให้มากกว่าปีเก่า มันก็มีอะไรใหม่ จงรู้อาณาปานสติ ปฏิบัติอาณาปานสติให้ได้มากกว่าปีเก่า เราก็มีของใหม่สำหรับปีใหม่ นี่ขอให้ทุกคนเป็นอย่างนี้
ในแง่ของความรู้ก็รู้มากกว่าปีเก่า รู้ปฏิจจสมุปบาทมากกว่าปีเก่า ในแง่ของปฏิบัติ เราก็ปฏิบัติได้มากกว่าปีเก่า เราปฏิบัติอาณาปานสติได้มากกว่าปีเก่า มีสติ โดยลมหายใจเกี่ยวกับลมหายใจนั้นมากที่สุด ฝึกอยู่เสมอ ฝึกอยู่เสมอ มันก็มีสติสัมปชัญญะ ปัญญา สมาธิ สมบูรณ์ แล้วอื่นๆ ก็สมบูรณ์อีกมาก แต่ที่เราจะมาใช้เป็นประโยชน์โดยจำเป็นอย่างยิ่งก็คือสติ ปัญญา สัมปชัญญะ สมาธินี่แหละ ขอให้มากกว่าปีเก่าเถิด และในที่สุดเราก็จะได้รับผลมากกว่าปีเก่า ชีวิตของเราจะเย็น จะเย็น ไม่ใช่เย็นที่คู่กับร้อน มันเย็นเพราะไม่มีกิเลส มันเย็นเพราะไม่มีกิเลส เพราะไฟกิเลสมันดับ มันก็จะเย็นกว่าปีเก่า จะบรรลุมรรคผลขั้นไหนก็อย่าไปคิด เรื่องป่วยการไม่ต้องคิด แต่ให้มันเย็นกว่าปีเก่า มันเย็นกว่าปีเก่า เย็นๆๆ ไปถึงที่สุดมันก็สุดเองแหละ นี่เราจะมีความรู้ปฏิจจสมุปบาทมากกว่าปีเก่า เราจะปฏิบัติอาณาปานสติได้มากกว่าปีเก่า เราจะได้รับผลเป็นความเย็นของพระนิพพานมากกว่าปีเก่า นี่คือปีใหม่ที่มีของใหม่จริง ดีกว่าปีเก่าจริง ขอให้ท่านทั้งหลายได้สนใจเป็นพิเศษเถิด สรุปความว่ารู้เรื่องอนัตตามากขึ้นก็ได้ หรือว่าสามารถกำจัดตัวกู ตัวกู ได้มากกว่าปีเก่า มันก็ได้ เรียกว่าเข้าถึงหัวใจพระพุทธศาสนามากกว่าปีเก่าก็ได้เพราะความรู้เรื่องอนัตตา ไม่มีตัวกูโง่ๆ หลงๆ ตัวกูหลอกลวง เรื่องตัวกู ตัวกูนี้ เป็นเรื่องหลอกลวงของระบบประสาทซึ่งเป็นพวกเจตสิกประกอบทำให้จิตมันโง่ จิตมันโง่เพราะเจตสิกโง่เหล่านั้น
ขอทบทวนอีกที มันมีระบบประสาทอยู่ที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ระบบประสาทมันรู้สึกอย่างไร มันก็รายงานขึ้นมาอย่างนั้น ทีนี้ จิตมันโง่ไม่รู้ตามเป็นจริง มันก็หลงความพอใจและความไม่พอใจ ถ้ามาอย่างพอใจก็พอใจ อย่างไม่พอใจก็ไม่พอใจ เรียกว่ามันหลงบวกหลงลบ มันหลงยินดี มันหลงยินร้าย มันหลงอภิชฌา มันหลงโทมนัส นั่นแหละทุกข์ มันถูกหลอกโดยระบบประสาทให้เห็นเป็นบวกและเป็นลบ ความจริงมันไม่เป็นบวกไม่เป็นลบหรอกตามธรรมชาติ ตามปฏิจจสมุปบาทของธรรมชาติแท้ๆ มีเหตุอย่างไรผลก็เกิดอย่างนั้น มีเหตุอย่างไรผลก็เกิดอย่างนั้น เกิดตามธรรมชาติแท้ๆ แต่ระบบประสาทนี้มันรายงานขึ้นมาอย่างโง่ๆ ทำให้จิตมันโง่ หลงไปเป็นบวกหลงไปเป็นลบ หลงไปเป็นอย่างที่เรียกว่า “อิตฐารมณ์” หรือ “อนิฏฐารมณ์” เรียกว่าจิตมันถูกลวงถูกหลอกให้โง่ด้วยระบบประสาทที่ทำงานอยู่ที่อายตนะนั้นๆ อย่าให้ระบบประสาทลวงได้อีกต่อไป เราก็ไม่มีปัญหา ไม่ต้องหลงบวก ไม่ต้องหลงลบ ไม่ต้องหลงอร่อยหลงไม่อร่อย หลงสวยหลงไม่สวย หลงไพเราะไม่ไพเราะ คือไม่หลงทุกคู่ ทุกคู่ไป เรื่องมันก็จบ ทีนี้ มันหลงในเรื่องอร่อย จะเอากันให้วิเศษสุด บูชาเรื่องกามารมณ์เป็นเรื่องสูงสุดกว่าสิ่งใดในชีวิต เยาวชนที่ยังมีอายุน้อยสนใจว่าอย่างนี้คือเรื่องที่เธอจะหลง หลงบวก หลงลบ หลงอารมณ์ที่เป็นบวก ที่ฆ่ากันตาย วิวาทกันในวิทยาลัยเองก็เพราะว่ามันหลงบวกและหลงลบอย่างนี้ มันหลงกูจะมีหน้า กูจะชนะ กูจะมีเกียรติกว่า มันเหมือนกันก็เลยไม่ยอม ก็เลยตีกันในมหาวิทยาลัยนั่นแหละ ในวิทยาลัยที่มีข่าวบ่อยที่สุด นี่เป็นเรื่องหลงบวกและหลงลบ จิตมันโง่
ดังนั้น จะต้องมีอะไรสักอย่างมาทำให้จิตไม่โง่ จิตคงที่ ใช้คำว่า “คงที่” คงที่ ช่วยจำไว้ให้ดีคำนี้สำคัญมาก คงที่ คงที่อยู่ในความถูกต้อง ให้มันคงที่อยู่ในความถูกต้องไม่หลงบวก ไม่หลงลบ ถ้าเธอทำได้อย่างนี้ก็ไม่มีปัญหา แล้วจะเป็นพระอรหันต์ตั้งแต่เล็กๆด้วยซ้ำไป คงที่อยู่ในความถูกต้องหมายความว่าปัจจัยอะไรมาปรุงแต่งให้เป็นอย่างไรก็ไม่ได้ มันคงที่ แล้วปัจจัยจะยึดจับยึดไว้ที่นี่ไม่ให้มึงไปไหนก็ไม่ได้ ยึดจับยึดไว้ไม่ได้ เพราะมันคงที่ ถูกตรึงก็ไม่ได้ ถูกผลักไปทางไหนก็ไม่ได้ นี่เรียกว่าคงที่อยู่ในความถูกต้อง นี่เป็นบาลี มันคำลึกคำยาก คำไม่เคยจะได้ยินเรียกว่า “อตัมมยตา” ความที่จิตคงที่อยู่ในความถูกต้อง ปัจจัยอะไรจะมาปรุงแต่งให้เป็นอย่างอื่นไปจากความถูกต้องไม่ได้ เมื่อมีแต่ความถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้อง มันก็เจริญในทางถูกต้อง สูงขึ้นไปในทางถูกต้อง ถูกต้อง ไม่ปรุงแต่งให้เป็นอย่างอื่นได้ คือไม่ให้ผิดพลาดได้ ความคงที่อยู่ในความถูกต้องนี่ประเสริฐสูงสุดกว่าสิ่งใด ทำให้เป็นพระอรหันต์ ทำให้เป็นพระพุทธเจ้า ทีนี้เราไม่อาจจะคงที่ เดี๋ยวไอ้นั่นมาก็คิดอย่างนี้ คิดอย่างตา ทางตาก็คิดอย่าง ทางหูก็คิดอย่าง จมูกก็คิดอย่าง ความสวยความไม่สวยความเหม็นความหอม ความขมความหวาน มันปรุงแต่งวุ่นวายไปหมด ไม่คงที่ นี่ถูกใจจับยึดไว้ที่นั่นไม่เป็นอิสระ นี่คือความทุกข์ คงที่อยู่แต่ในความถูกต้องมันก็สะอาด มันก็สว่าง มันก็สงบ ไม่เปลี่ยนแปลงให้เป็นอย่างอื่นไปได้ นี่คงที่ คงที่ นี่เรียกว่าอตัมมยตา อะไรๆปรุงแต่งไม่ได้ ตัวหนังสือคำนี้ อตัมมยตานี้ แปลว่า ไม่ถูกปรุงแต่งโดยปัจจัยอะไรๆ ปัจจัยอะไรๆจะมาปรุงแต่งไม่ได้ มันเลยคงที่ คงที่อยู่ในความถูกต้อง ไม่มีอะไรที่จะมาปรุงแต่งได้ พูดให้คนธรรมดาฟัง พูดให้พวกฝรั่งที่ไม่เคยเข้าใจก็อุปมาให้ฟังว่าความคงที่ให้กี่มากน้อย จิตคงที่ คงที่ คงที่ยิ่งกว่าสิ่งใด จิตคงที่ คงที่ยิ่งกว่าภูเขาหิมาลัย ในเอเชียมีภูเขาหิมาลายาวสองพันไมล์ ในยุโรปมีภูเขาแอลป์ยาวพอๆกัน ในอเมริกามีภูเขาร็อกกี้ยังจะยาวใหญ่กว่าภูเขาเหล่านี้ยังหวั่นไหว ภูเขาเหลานี้ยังหวั่นไหวเมื่อแผ่นดินมันไหว ภูเขาเหล่านี้ยังไหว ทั่งที่ภูเขานี้ใหญ่ยาวเป็นพันๆไมล์มันยังหวั่นไหว จิตที่มีอตัมมยตาไม่หวั่นไหว ไม่หวั่นไหว ไม่หวั่นไหวเพราะเหตุปัจจัยอะไรมาปรุงแต่ง ดู คำนวณดูว่ามันคงที่กี่มากน้อย มันคงที่กี่มากน้อย ตัวอย่างเล็กๆแคบๆ ก็ว่า ผู้หญิงสาวมีธรรมสูงสุดถึงอตัมมยตา จิตคงที่ หญิงสาวสวยคนนี้เมื่อชายหนุ่มรูปสวยอะไรดีทุกอย่างมาสักฝูงหนึ่งมาเกี้ยวก็ไปไม่ได้ มาเกี้ยวตัวไปไม่ได้เพราะเขามีอตัมมยตา มีความคงที่ คงที่ หรือตรงกันข้ามว่าชายหนุ่มรูปสวยมีอตัมมยตา ให้นางฟ้านางงามจักรวาลมาเป็นฝูงๆก็มาหลอกเอาตัวไปไม่ได้ เพราะว่ามันมีอตัมมยตา ดูความคงที่ คงที่ คงที่ของจิตที่มีอตัมมยตา คือมันรู้ถึงที่สุดว่าความจริงเป็นอย่างไร มันไม่มีตัวกู ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่ใช่ตัวกู อะไรไม่ใช่ตัวกู สัมผัสไม่ใช่ตัวกู เวทนาไม่ใช่ตัวกู ตัณหาไม่ใช่ตัวกู มันจึงคงที่ คงที่ ถ้าเธอไม่เคยได้ยินมาแต่ก่อนก็ได้ยินเสียสิ มันจะได้เป็นความรู้ปีใหม่ที่มีอะไรมากกว่าปีเก่า หรือถ้าว่าเธอเคยได้ยินมาแล้ว มีความคงที่อยู่บ้างแล้ว ก็คงที่มากไปกว่านั่น คงที่ให้มากไปกว่านั้น คงที่ถึงที่สุด คงที่นี้มันเจริญไปในความถูกต้อง ถูกต้อง มันไม่ได้หยุดอยู่กับที่หรอก มันคงที่ มันถูกต้องมากขึ้น ถูกต้องมากขึ้น
ทีแรกมันก็บ้ากามอารมณ์ หลงกาม บูชากามอยู่ในโลกนี้ ทีนี้จิตถูกอบรมมีความคงที่มากขึ้น กามก็มาเอาตัวไว้ไม่ได้ มันก็หลุดจากกามแล้วไปหาที่สูงขึ้นไป เรียกว่า “รูป” “รูปธาติ” สมาบัติ สมาธิ รูปธาติ เอาตัวไว้ได้พักหนึ่ง มันก็จะคงที่สูงขึ้น เอาตัวมันไม่ได้ก็เลื่อนไปสู่ “อรูปธาติ” สูงสุดขึ้นไปอีกก็เป็น ออกไปเป็น “นิโรธ” เป็น “โลกุตระ” ความคงที่อยู่ในความถูกต้องมันเลื่อนชั้นตัวเองได้อย่างนี้ ฉะนั้น ขอให้เราพยายามมีความคงที่ๆ มากขึ้นๆ ทุกปีๆ เป็นของขวัญปีใหม่ มีความคงที่แห่งจิตใจมากขึ้นๆ นั่นแหละคือของขวัญปีใหม่ ถ้าไม่ได้ยินก็ได้ยินเสียเดี๋ยวนี้ว่า อตัมมยตา ความคงที่แห่งจิตใจที่อะไรปรุงแต่งไม่ได้ เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ขอให้มีมากขึ้นๆเป็นของขวัญปีใหม่เถิด จะไม่ต้องเป็นทุกข์ จะไม่ต้องหัวเราะ จะไม่ต้องร้องไห้ จะไม่ดีใจ จะไม่เสียใจ เรียกว่ามันไม่มีอะไรที่จะให้หวั่นไหวไปในทางใด มันคงที่ คงที่ เสียใจมันก็ไม่ไหวนะ เหนื่อยเหมือนกัน ดีใจมันก็เหนื่อยเหมือนกัน ดีใจก็กินข้าวไม่อร่อย นอนไม่หลับเหมือนกัน ฉะนั้นไม่ดีใจไม่เสียใจทั้่งสองอย่าง คงที่ คงที่นั่นแหละสบาย ไม่หัวเราะ ไม่ร้องไห้ นั่นแหละสบาย ไม่ยินดี ไม่ยินร้าย นั่นแหละสบาย สอนให้เราได้มาปีใหม่กันโดยมีธรรมมะนี้มากขึ้นๆๆ และขอยืนยันว่าไม่มีอะไรมากกว่านี้ ไม่มีอะไรดีไปกว่านี้ ไม่มีอะไรสูงไปกว่านี้ คือมีอตัมมยตานี่แหละ สูงขึ้นๆๆ ทุกๆปีเป็นของขวัญปีใหม่ โลกนี้จะสงบเป็นสุขเป็นโลกพระศรีอาริยเมตไตรนั่นแหละถ้าว่าทุกคนในโลกมันมีอตัมมยตา มันไม่ถูกกิเลสปรุงแต่งมันสงบเย็นกันไปหมดแต่ละคนๆ โลกนี้มันก็สงบเย็น ปัญหามันก็หมด เดี๋ยวนี้แต่ละคนมีกิเลสมีตัณหามาก ไม่มีอตัมมยตาเลย บ้ากันใหญ่เลย ปรุงแต่งกันใหญ่ อะไรกันใหญ่ ไม่มีหยุดไม่มีหย่อน จนโลกนี้จะวินาศเพราะการปรุงแต่งของมนุษย์
เอาละเป็นอันว่านี่แหละคือปีใหม่ที่จะดีกว่าปีเก่า ก็เพราะว่ามีธรรมะมากขึ้น ธรรมะสำหรับเล่าเรียนก็มากขึ้นดีขึ้นสูงขึ้น ธรรมะสำหรับปฏิบัติก็ดีขึ้นมากขึ้น ธรรมะที่เป็นผลของการปฏิบัติก็ดีขึ้นสูงขึ้น กล่าวได้ว่าเรามีพระพุทธมากขึ้น มีพระธรรมมากขึ้น มีพระสงฆ์มากขึ้น เหลียวดูสิ โอ้, เราเป็นเสียเอง เรานั้นเป็นเสียเอง คือเรารู้สิ่งที่ควรรู้เหมือนที่พระพุทธเจ้าท่านรู้ เราก็เป็นพระพุทธเจ้าองค์น้อยๆเสียเอง สิ่งนั้นเป็นความรู้อยู่ในจิตใจของเราเป็นธรรมะ จิตก็เป็นธรรมะเสียเอง นามรูปนี้ปฏิบัติธรรมะสูงสุดก็เป็นพระสงฆ์เสียเอง อย่างนี้ก็เป็นพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เสียเอง อยู่ในโลกนี้ กายอยู่ในโลกนี้ แต่ไม่ต้องเป็นทุกข์เหมือนกับคนที่เขาไม่รู้ เป็นทุกข์ทั้งกายเป็นทุกข์ทั้งจิตอยู่ในโลกนี้ ส่วนผู้มีธรรมะสูงสุดนี้ไม่เป็นทุกข์เลยทั้งทางกายทั้งทางจิตเพราะมีความรู้ถึงที่สุดดังที่กล่าวมาแล้ว ฉะนั้นขอให้เรามีปีใหม่จริง ดีกว่าปีเก่าจริง มีพระพุทธมากกว่าปีเก่า มีพระธรรมมากกว่าปีเก่า มีพระสงฆ์มากกว่าปีเก่า มีการเล่าเรียนดีกว่าปีเก่า มีการปฏิบัติดีกว่าปีเก่า มีได้รับผลของการปฏิบัติดีกว่าปีเก่า นี่แหละคือแท้จริง เป็นปีใหม่ที่แท้จริง เป็นปีใหม่ที่สูงสุดแท้จริง
นี่ขอให้ท่านทั้งหลายทุกคนรู้จักตัวเองว่าโง่เท่าไหร่ ว่าหลงเท่าไหร่ ว่าเป็นทุกข์เท่าไหร่ และให้รู้จักโลกทั้งหมดที่มันรวมกันว่ามันโง่เท่าไหร่ มันหลงเท่าไหร่ มันเป็นทุกข์ทรมานเท่าไหร่ ที่เห็นชัดตามรายงานหนังสือพิมพ์บ้างอะไรบ้าง โลกกำลังบ้าหนักขึ้น เป็นทุกข์มากขึ้นอย่างไร เท่าไร นี่จะได้สังเวช จะได้สลด มันจะได้เปลี่ยนทิศทางไม่เอากับมันแล้ว อย่างนี้ไม่เอากับมันแล้ว หันมาหาความถูกต้องแห่งจิตใจ มีความถูกต้องแห่งจิตใจ เป็นผู้ที่เอาชนะความทุกข์ทั้งหลายได้ อุตส่าห์มาจากที่ไกลมาเพื่อฟังธรรมมะปีใหม่ อาตมาก็พยายามอย่างยิ่ง พยายามอย่างสุดความสามารถ พยายามให้มันดีที่สุดที่จะให้ธรรมะที่จะเป็นของใหม่ อยู่สูงขึ้นไป ถ้าธรรมะเดิมก็สูงขึ้นไปก็เรียกว่าใหม่เหมือนกัน ขอให้ทุกคนได้มีความรู้ที่มากกว่าเดิมที่สูงกว่าเดิมยิ่งๆขึ้นไปด้วยกันทุกๆ คน จะได้เป็นมนุษย์ที่สูงขึ้นไปจากจะเป็นพระอริยเจ้า เกิดมาเป็นคนไม่ดีกว่าหมากี่มากน้อย ไปคิดดูเองก็เห็น เวลาต่อสู้ๆ จนเลื่อนมาเป็นมนุษย์ดีกว่าคน เป็นมนุษย์ดีกว่าคนมากทีเดียว เสร็จแล้วก็ยังไม่ดับทุกข์หรอก ต้องต่อสู้ๆมนุษย์เลื่อนไปเป็นพระอริยเจ้า มนุษย์เป็นพระอริยเจ้านั้นแหละถึงที่สุด ชนะได้ถึงที่สุด พยายามเถิดมันจะเลื่อนได้อย่างนี้ เลวนักก็เป็นคน พอใช้ได้ก็เป็นมนุษย์ ที่ว่าดีที่สุดก็เป็นพระอริยเจ้า ถ้าเราเลื่อนได้ทุกวัน เลื่อนได้ทุกเดือน เลื่อนได้ทุกปี มันก็อยู่ในความหวังที่จะเป็นพระอริยเจ้าได้ ฉลาดขึ้นทุกที ฉลาดขึ้นทุกที เกลียดกลัวความทุกข์ เกลียดกลัวความชั่ว เกลียดกลัวความเลว ก็เลื่อนไปหาความดี ความดี ดี ดี ดี จนกระทั่งดีก็ไม่เอา เหนือดีก็เป็นพระอรหันต์
ข้อนี้จะต้องรู้จักกันไว้หน่อยว่า ดีมันยุ่งไปตามแบบดี ชั่วมันก็ยุ่งไปตามแบบชั่ว ต่อไม่ชั่วไม่ดี ไม่ชั่วไม่ดี จึงจะไม่ยุ่ง ความดีมันก็สวยสดงดงามก็ยุ่งไปตามแบบสวยสดงดงาม ความชั่วสกปรกรกรุงรังเศร้าหมองเจ็บปวด มันก็ยุ่งไปตามแบบนั้น ไม่เอาทั้งชั่วทั้งดี ไม่เอาทั้งบุญทั้งบาป ไม่เอาทั้งนรกไม่เอาทั้งสวรรค์ ไม่เอาสิ่งที่ตรงกันข้ามเหล่านี้อยู่เหนือๆๆหมด ว่างๆๆๆ ให้หมด นี่เรื่องมันจบ ปีใหม่ดีกว่าปีเก่า ปีใหม่ดีกว่าปีเก่า ก็ข้อนี้ที่ทำให้คงที่ๆ มากขึ้นๆๆ จนไม่หวั่นไหวโดยประการทั้งปวง ขอให้ท่านทั้งหลายทุกคนที่อุตส่าห์มาจากที่ไกลเข้าใจเรื่องนี้ให้มากกว่าปีเก่าเถิด ก็จะได้รับประโยชน์สมกับการมา จะเหนื่อยหน่อย จะเปลืองหน่อย จะลำบากหน่อย มันก็ได้ผลคุ้มค่า ถ้าจิตใจมันสูงขึ้นไป สูงขึ้นไป สูงขึ้นไป เป็นความถูกต้องเหนือความดี เหนือความชั่ว เหนืออะไรทั้งหมด เป็นความถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้อง แล้วคงที่ คงที่อยู่ในความถูกต้อง คงที่อยู่ในความถูกต้อง กิริยาอันนี้เรียกว่าอตัมมยตา ขอแสดงความหวังว่าท่านทั้งหลายทุกคนคงจะได้มีธรรมะชื่ออตัมมยตานี้มากขึ้นกว่าปีเก่าไม่มากก็น้อย แต่ละคนๆจงทุกๆคนเถิด ธรรมเทศนาปรารภปีใหม่เป็นอย่างนี้ แล้วก็สมควรแก่เวลาอย่างนี้ กำหนดจดจำไว้ให้ดีว่าอย่าให้มันซ้ำที่ คงอยู่กับที่ ขอให้มันดี ดีกว่าปีเก่าจนเหนือดีจนพ้นดี
เมื่อสักครู่พูดแล้วนะเรื่องดีเรื่องชั่ว อันธพาลมันเอาไปกลับกันเสีย ชั่วเป็นดี ดีเป็นชั่ว ใช้ไม่ได้ ปุถุชนชั้นดี กัลยาณปุถุชนรู้ชั่วตามชั่ว รู้ดีตามดี ไปยึดมั่นในความดีๆๆ สูงขึ้นมา พอมาถึงชั้นสูงสุด สะอาด โอ้, เหนือชั่วเหนือดี ชั่วและดีไม่มีความหมายอะไร เหนือชั่วเหนือดี คำว่าชั่วหรือดีมีความหมายอยู่เป็น ๓ ชนิด ๓ ประเภท ๓ อย่างอย่างนี้ ประเภทที่โง่ที่สุดก็หลงชั่วหลงดี ว่าชั่วเป็นดีว่าดีเป็นชั่ว ประเภทที่สูงขึ้นมาก็ดีเป็นดี ชั่วเป็นชั่ว สูงสุดก็ว่าไม่มีชั่วไม่มีดี อยู่เหนือชั่วเหนือดี หมดตัณหาโดยประการทั้งปวง ไม่ต้องหัวเราะ ไม่ต้องร้องไห้ ไม่ต้องดีใจ ไม่ต้องเสียใจ ไม่ต้องกำไร ไม่ต้องขาดทุน ไม่ต้องแพ้ ไม่ต้องชนะ ไม่ต้องเอาเปรียบ ไม่ต้องเสียเปรียบ ไม่ต้องทุกๆอย่าง กระทั่งว่าไม่ต้องเป็นผู้หญิง ไม่ต้องเป็นผู้ชาย ไม่มีอะไรที่เป็นคู่ตรงกันข้ามอีกต่อไป เรื่องมันก็จบที่นั่น
ขอให้ฟังแล้วมันก็จะเอาไปคิด เอาไปคิดแล้วก็จะเห็นเอง จะเห็นเองโดยไม่ต้องเชื่ออาตมา นี้เป็นหลักสำคัญที่สุดในพระพุทธศาสนาว่าอย่าเชื่อผู้พูด พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้เอง อย่าเชื่อผู้พูดแม้พระพุทธเจ้าพูดเองตรัสเองก็อย่าเพิ่งเชื่อ ต้องเอาไปคิดไปใคร่ครวญจนเห็นความจริงหรือเหตุผลที่มันแสดงอยู่ที่ตัวคำพูดนั่นแหละ แล้วจึงเชื่อเหตุผลอันนั้นที่มันแสดงอยู่ที่ตัวคำพูดโดยไม่ต้องเชื่อพระพุทธเจ้า ฟังดูแล้วก็น่ากลัวนะ ไม่เชื่อพระพุทธเจ้า จะเชื่อเหตุผลที่มันแสดงอยู่ในคำพูดที่พระพุทธเจ้าท่านตรัส คำพูดของพระพุทธเจ้ามีเหตุผลเสมอที่จะเห็นได้เองและเชื่อเหตุผลนั้นได้โดยไม่ต้องเชื่อพระพุทธเจ้า จะไปหาที่ไหนอีกเล่า เสรีภาพสูงสุดอย่างนี้ ประชาธิปไตยสูงสุดอย่างนี้ ไปหาที่ไหนอีก มันมีแต่ในคำสอนของพระพุทธเจ้า อาตมาจึงว่าไม่ต้องเชื่อที่อาตมาพูดนี่ พูดนี้ไม่ต้องเชื่อ แต่ขอว่าเอาไปคิดไปใคร่ครวญไปสังเกต เดี๋ยวมันจะบอกออกมาเอง มันจะเห็นที่ควรแล้วก็เชื่อ แล้วก็เรียกว่าได้รับประโยชน์จากการเชื่อ คือเชื่อเหตุผลที่มีอยู่ในตัวธรรมะ ได้ยินได้ฟังพระธรรมออกไป ก็ไปคิดใคร่ครวญธรรมะนั้น ธรรมะนั้นก็แสดงเหตุ แสดงผลแสดงปาฏิหาริย์อยู่ในตัวธรรมะนั้น แล้วคนก็ดับทุกข์ได้ ดับทุกข์ได้โดยเชื่อธรรมะนั้น ไม่ต้องเชื่อตัวผู้พูด หลักพระพุทธศาสนามีอยู่อย่างนี้ พุทธบริษัทจึงไม่เป็นทาสทางสติปัญญาของผู้ใด ญาติโยมเหล่านี้คงจะฟังไม่ออกว่าเป็นทาสทางสติปัญญาของผู้ใด แต่นักเรียนนักศึกษากลุ่มนู้นคงจะฟังออกว่าเรากำลังเป็นทาสทางสติปัญญาของพวกฝรั่งมากเกินไป ก็ไปเรียนเมืองนอกเมืองนา ฝรั่งมันกรอกหูให้อย่างไรก็เชื่ออย่างนั้น นิยมอย่างนั้น เรียนกลับมาก็เป็นทาสทางสติปัญญาของฝรั่งมาอย่างเต็มที่ นี่ไม่ถูก นี่ไม่ถูกตามความเป็นพุทธบริษัท จะต้องเชื่อเหตุผลที่มันแสดงอยู่ในตัวหลักธรรมะนั้น หลักธรรมะนั้นมีเหตุผลแสดงอยู่แล้วไม่ต้องไปเป็นทาสทางสติปัญญาของใคร ถ้าจะเป็นทาสทางสติปัญญาบ้างก็ของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แต่ไม่ต้อง ไม่ต้อง พระพุทธเจ้าท่านไม่ต้องการให้ใครมาเป็นทาสทางสติปัญญาของท่าน ท่านต้องการให้ทุกคนอิสระเสรี มองเห็นตามที่เป็นจริงด้วยปัญญาของตนเองว่าธรรมะ ธรรมะ อย่างนี้ๆมันจริงอย่างนี้หรือไม่ มันจะดับทุกข์ได้จริงหรือไม่ ไปรู้ได้ในตัวธรรมะนั้น เราก็เป็นอิสระเสรี อย่างนี้เรียกว่า “วิมุติ วิมุติ หลุดพ้น หลุดพ้น” จากความเป็นทาสของอารมณ์ เป็นทาสของทิฐิ ความคิดความเห็น เป็นทาสของกามารมณ์ เป็นทาสของไสยศาสตร์ เป็นทาสของขนบธรรมเนียม เลิกหมดเลย จะได้หลุดพ้น หลุดพ้นจากความเป็นทาสโดยประการทั้งปวง จะได้เป็นพระอริยเจ้าขั้นสูงสุด ไม่ต้องทะเยอทะยานจะเป็นหรอก ยิ่งทะเยอทะยานจะเป็นไม่ได้เป็นหรอก ปฏิบัติไปอย่างโดยไม่ต้องการจะเป็น มันจะถึงเข้าๆแล้วก็เป็นเอง นี่พวกที่จะเป็นอยากเป็นไม่ได้เป็นหรอก ถือกับหูชูหางหลอกคนอื่น ไม่ต้องคิดว่ากูจะเป็นนั่น กูจะเป็นนี่ แต่ปฏิบัติให้มันถูกๆๆ ๆ แล้วมันเป็นของมันเอง อยู่เหนือความทุกข์โดยประการทั้งปวง ก็ใช้ได้ ใช้ได้ นั่นแหละถูกแล้ว นั่นแหละใช้ได้ นั่นแหละถึงที่สุดแล้ว
ขอให้ทุกคนได้ก้าวหน้าไปตามลำดับโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เรียกว่าปีใหม่ก็ได้ ทุกๆปีใหม่ก้าวหน้า ทุกเดือนใหม่ก้าวหน้า ทุกวันใหม่ก้าวหน้า ทุกชั่วโมงใหม่ก็ก้าวหน้า ทุกนาทีใหม่ก็ก้าวหน้าๆ อย่างนี้ดีที่สุด เรื่องปีใหม่จะต้องเป็นอย่างไรนี้ก็คือเป็นอย่างนี้ ขอทบทวนให้เข้าใจว่า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นของธรรมชาติ เป็นของโลกเป็นของจักรวาลทั้งหมดทั้งสิ้นเท่านี้ ต้องรู้จักต้องเกี่ยวข้องให้ถูกต้องและต้องปฏิบัติให้มีมากยิ่งๆขึ้นไปเป็นความสุขปีใหม่ เป็นผลดีปีใหม่ แล้วก็รู้จักตัวกูของกูว่าเป็นเรื่องหลอกลวงของระบบประสาท รู้เท่าทันให้ยิ่งกว่าปีเก่าก็ไม่ต้องถือตัวกูของกูยิ่งๆขึ้นไป แล้วก็จะมีความคงที่ คงที่ คงที่อยู่ในความถูกต้อง ความผิดพลาดใดๆ ปรุงแต่งไม่ได้ นั่นแหละคือยอดสุดท้าย จากกามไปสู่รูป จากรูปไปสู่อรูป จากอรูปไปสู่นิโรธหรือนิพพาน เพราะอำนาจของสิ่งที่เรียกว่า อตัมมยตา อตัมมยตา อตัมมยตา ความคงที่ของความถูกต้อง คงที่ยิ่งกว่าภูเขาทั้งหมดในโลกที่หวั่นไหวเมื่อแผ่นดินหวั่นไหว จิตไม่หวั่นไหว เอาละสมควรแก่เวลา การบรรยายธรรมะเกี่ยวกับปีใหม่ ที่จะได้มีให้ยิ่งๆขึ้นไปก็มีอยู่อย่างนี้ หวังว่าท่านทั้งหลายจะได้ช่วยตัวเองให้ขยับสูงขึ้นไปได้จริง สมควรแก่ความเป็นปีใหม่ด้วยกันจงทุกๆคนเถิด ธรรมเทศนาสมควรแก่เวลาเอวังก็มีด้วยประการฉะนี้