แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
วันนี้จะได้พูดกันถึงหัวข้อธรรมคำกลอน ต่อจากที่เคยบรรยายค้างไว้มาแล้ว คนที่ยังไม่เคยฟัง ไม่เคยรู้เรื่องมาก่อนก็จะฉงน คือว่าเราเห็นประโยชน์ของการที่สรุปหัวข้อของธรรมะเข้าไว้เป็นคำกลอน วิธีนี้ใช้กันมาแต่โบร่ำโบราณ แต่ก่อนพุทธกาลก็ได้ ที่ว่าสิ่งที่ต้องจำจะพูดเป็นคำกลอนมันมีผลดี ประโยชน์ของกลอน ทำให้จำง่ายแล้วก็ช่วยกำกับไว้ไม่ให้เกิดความเปลี่ยนแปลง นี่ขอให้นึกดูเถิดว่าไอ้คำร้อยแก้วที่เรามาท่องจำ มันเปลี่ยนแปลงได้ โดยไม่มีอะไรไปกำกับไว้ ถ้าเป็นคำกลอน ไอ้สัมผัสกลอน หรือว่าธรรมะของกลอน มันช่วยควบคุมไว้ ถ้าไม่อย่างนั้นมันไม่ลง ไม่ลงคำกลอน คนจำก็จะรู้ว่ามันไม่ถูก เพราะฉะนั้นว่าเป็นคำกลอนมันง่ายที่จะจำไว้ ด้วยเขากำกับไว้ให้เลือนยากด้วยถ้าเป็นคำกลอน คัมภีร์สำคัญ ๆ ก่อนพุทธกาลก็เขียนเป็นคำกลอนเรียกว่าคาถา ถึงแม้ในพระไตรปิฎกของเรา ส่วนที่มันมาก ๆ จะท่องจำกันได้ง่าย ๆ ก็แต่งเป็นคำกลอน เป็นตัวคาถาทั้งหลาย เช่น คาถาธรรมบท หรือชาดกทั้งหลาย นปทาน เถรคาถา เหริคาถา (นาทีที่ 3.07) เหล่านี้เป็นคำกลอนทั้งนั้น เห็นประโยชน์คำกลอนอย่างนี้จึงนำมาใช้บ้าง
ทีนี้ที่ไม่เคยฟังมาก่อนที่บรรยายมาแล้วทั้ง ๑๐ ครั้ง ไม้อิงสามขา ศาสตราสามอัน โจรฉกรรจ์สามก๊ก ป่ารกสามดง เวียนวงสามวน ทุกข์ทนทั้งสามโลก เขาโคกสามเนิน ทางห้ามเดินสองแพร่ง แมลงห้าตัว มารน่ากลัวห้าตน บ่วงผูกคนหกบ่วง เหตุแห่งสิ่งทั้งปวงหกตำแหน่ง เหล่านี้เป็นต้น ว่าเล่นก็ได้ ว่าจริงก็ได้ มันง่ายและใจความของมันฝากไว้กับในคำกลอน แต่ถ้านึกคำกลอนออกมา ไอ้ใจความของมันก็พลอยออกมาด้วย ไม้อิงสามขานั้น พระรัตนตรัยหรือว่าไอ้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามของทุก ๆ ศาสนามีสิ่งสามสิ่งที่ว่าสำคัญที่สุด ศาสตราสามอัน ศีล สมาธิ ปัญญา โจรฉกรรจ์สามก๊ก กิเลสสามกลุ่ม ป่ารกสามดงคือมานะสามชนิด เวียนวงสามวน คือ วัฎฎะ กิเลส กรรมวิบาก ทุกข์ทนทั้งสามโลก ไม่ว่าจะเป็นกามโลก รูปโลก อรูปโลก เขาโคกสามเนิน คือมานะ ตัวกูของกู ว่าดีกว่าเขาบ้าง เสมอเขาบ้าง ต่ำกว่าเขาบ้าง แต่ก็เป็นมานะทั้งนั้นคือไม่ยอมทั้งนั้น จะต่ำกว่าก็ไม่ยอม ทางห้ามเดินสองแพร่ง ก็ทางกามสุขัลลิกานุโยค อัตตกิลมถานุโยค มดแมลงห้าตัวเป็นนิวรณ์ ๕ มารน่ากลัวห้าตนคือมารทั้ง ๕ บ่วงผูกมัดคนหกบ่วง ซึ่งจะพูดวันนี้ พูดเรื่องบ่วงผูกมัดคนหรือสัตว์ ประเภทคน ๕ บ่วง ก็คือกามคุณ ๕ บ่วงคล้องคน ๖ บ่วง ภายนอกมีอยู่ ๕ บ่วง ภายในมีอยู่ ๖ บ่วง เอ้อ, ภายในมีอยู่ ๑ บ่วง ได้ฟังมาแล้ว ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มี ๖ อายตนะ แสวงหาอารมณ์คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ แล้วก็ธรรมารมณ์ ที่เป็นบ่วงนี้ก็คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ๕ ชนิดนี้ภายนอก และที่มันเข้าไปเป็นอดีตสัญญาหรืออะไรที่ว่าจะปรุงเป็นภายในก็มีอยู่บ่วงหนึ่งที่เรียกว่า ธรรมารมณ์ ดูในพระบาลีส่วนมากเท่ากับ ๕ แต่ภายนอก แต่ก็มีจัดเต็มทั้ง ๖ ก็มีอยู่บ่อย ๆ เพราะว่าธรรมารมณ์ก็เป็นที่ตั้งแห่งกามกำหนัด เป็นที่เข้าไปอาศัยแห่งกามได้เหมือนกัน เรารู้หลักพื้นฐานอันนี้ไว้ว่าเรามีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ๖ คือสิ่งที่เป็นคู่กันก็ ๖ คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมอารมณ์ นี่เพราะมนุษย์ ยังมีไอ้ ๖ อย่างนี้เรื่องมันจึงมี ถ้าไม่มีไอ้ ๖ อย่างนี้ เรื่องมันก็ไม่มี เพราะมันสัมผัสอะไรไม่ได้ ถ้ามันจะคว้าอะไรมาหาตัวไม่ได้ ทีนี้เพราะเรามีตา มีหู จมูก ลิ้น กาย สำหรับสัมผัสภายนอก และจิตใจสำหรับสัมผัสภายใน
ทีนี้อะไรที่เป็นอารมณ์ของตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจนี้ นั่นแหละที่เราจะพูดกันวันนี้ คืออารมณ์ของตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจด้วย ที่เป็นรัชนียา ที่ตั้งความกำหนัด กามูปสัญหิตา (นาทีที่ 8:33) เป็นที่เข้าไปอาศัยแห่งกาม และก็มี กามูประกอบ (นาทีที่ 8:42) อีก แต่ที่สำคัญที่จะพูดในวันนี้คือ กามูปสัญหิตา (นาทีที่ 8:47) เป็นที่เข้าไปอาศัยแห่งกาม ทีนี้เรื่องที่จะต้องพูดก็คือคำว่ากาม ซึ่งเป็นคำที่สับสน ในภาษาไทยเรามันใช้สับสนคำว่ากาม ใช้หมายถึงไอ้กามารมณ์ ก็เรียกว่ากาม คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะที่น่ารักน่ายินดี ก็เรียกว่ากาม ไม่ถูก ที่ถูกต้องเรียกว่าว่าอารมณ์แห่งกาม หรือกามารมณ์ หรือกามคุณ ส่วนความรู้สึกที่เป็นกามนั้น คือความรู้สึกข้างใน ที่จะมาจับฉวยเอาอารมณ์ ๕ ข้างนอก จึงมีชื่อเรียกสั้น ๆ ว่ากาม หรือกามราคะ ไอ้รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะที่น่ารักน่ายินดีนี้มิใช่กาม นี่พระพุทธเจ้าตรัสไว้อย่างนี้ เป็นเพียงกามคุณ เรียกว่ากามคุณคือสิ่งที่มีคุณค่าทางกามหรือกามารมณ์ หรือกามารมณ์เป็นอารมณ์ของกาม ส่วน สังกัปปราโค ปุริสัสสะกาโม (นาทีที่ 10:18) ความกำหนัดด้วยความตริตรึก นั่นแหละคือกามของคน เมื่อได้เห็นสิ่งที่เป็นที่ตั้งแห่งความรู้สึกทางเพศ และความรู้สึกกำหนัดยินดี ซึ่งที่แท้ก็เป็นเพียงความตริตรึก หรือความอยากจะได้ ไม่ได้พูดถึงตัวตนอันแท้จริง แต่อันนี้เรียกว่ากามซึ่งเป็นความใคร่ เราแยกคำว่ากามไว้ ๒ ฝ่าย ที่เป็นอารมณ์นั่นก็เรียกว่ากามารมณ์หรือกามคุณ ที่เป็นความรู้สึกของจิต อยู่ในจิตก็เรียกว่ากามหรือกามราคะ ในหนังสือบางเล่มก็เรียกข้างนอกว่ากามคุณหรือวัตถุกาม กามที่เป็นวัตถุหรือวัตถุแห่งกาม ที่เป็นกิเลสข้างในเรียกว่ากิเลสกาม มีคำพูดว่ากิเลสกามหรือวัตถุกาม แล้วแต่ใครจะเอาคำไหนขึ้นหน้า วัตถุกามหรือวัตถุแห่งกาม หรือรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสที่น่ารักน่าพอใจนี่ วัตถุกาม และความรู้สึกต่อสิ่งนั้น ตามหน้าที่นั้นเรียกว่ากิเลสกาม หรือกามที่เป็นกิเลสข้างใน จึงมี ๒ ความหมาย ในภาษาบาลีครั้งกระโน้นก็คงจะใช้ปนเปกันเหมือนกัน สำหรับ ๒ คำนี้ ถ้ามิฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านคงจะไม่ทรงนำมาจัดแยกไว้ให้เห็นชัดอย่างนี้ ที่ว่าให้อารมณ์นี้มิใช่กาม ส่วน สันตะปราคะ (นาทีที่ 12:32) นั่นแหละ ของมนุษย์นั่นแหละเป็นกาม ทีนี้เราจะต้องรู้จักมัน ไม่ใช่รู้จักตัวหนังสือ หรือไม่ใช่รู้จักเรื่องของมัน พอได้ยินได้ฟังไว้ ศึกษาต้องไปรู้จักตัวจริงของมัน ไอ้สิ่งที่เข้ามาทางตา หู จมูก ลิ้น กาย มาสัมผัส และเกิดความรู้สึกรัก ยินดี พอใจ นั่นแหละเรียกว่าวัตถุกาม ทีนี้ตัวความพอใจนั่นเองคือตัวกิเลสกามเรียกว่า นันทิ ก็มี แทนกันได้คำเหล่านี้ ที่รู้จักกามมี ๒ ความหมาย แล้วก็ดูต่อไปว่ามันเป็นเครื่องคล้องคนได้อย่างไร กามคุณอยู่ข้างนอก
กิเลสกามอยู่ข้างใน พอถึงกันเข้า ไอ้ความที่มันถึงกันเข้านั่นแหละมันผูกพันกัน สิ่งที่ถูกผูกพันก็คือจิต จิตเกิดความรู้สึกชอบ รัก เป็นกามราคะ ไปกำหนัดในอารมณ์นั้น อารมณ์นั้นก็ผูกพันเอาเรียกว่าคล้องเอา ฉะนั้นสิ่งที่คล้องมันก็คือรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะที่น่ารัก ที่เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัดยินดีมันเป็นสิ่งที่จะคล้อง และสิ่งที่ถูกคล้องก็คือจิต และสมมุติก็คือคน มันจึงมีการคล้องเมื่อมีการรับอารมณ์แล้วกำหนัดยินดี นี้เป็นของธรรมดาที่สุดเพราะธรรมชาติมันสร้างจิตมาในลักษณะนั้น มันสำหรับรับอารมณ์ ถ้าอารมณ์นั้นน่ารักน่าพอใจมันก็ยินดี ไม่น่ารักไม่น่าพอใจมันก็ยินร้าย ทีนี้ปัญหามากที่สุดเบื้องต้นที่สุดก็คือยินดี เราก็เคยหลงรักยินดีสิ่งที่น่ารักน่ายินดีมาแล้วมากมาย ต้องไปเรียนจากสิ่งนั้นเรียกว่าเรียนจากหนังสือ จะมาท่องหนังสืออยู่ก็ไม่สำเร็จประโยชน์ เรียนจากธรรมชาติของเราเองที่เคยหลงรัก ยินดี ในอะไรจนสิ่งนั้นผูกพันจิตใจของเรา เมื่อมันเป็นไปถึงอย่างนี้ก็เรียกว่ามันมีความคล้อง ทีนี้เขามีการพูดอย่างบุคคลาธิษฐาน คนบวชใหม่คราวนี้อาจจะไม่ได้เคยยินได้ฟังว่า ไอ้คำพูดชนิดบุคคลาธิษฐาน เขาพูดให้มันเป็นคน เป็นตัวเป็นตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล ขึ้นมา ซึ่งมันก็ไม่มีตัวตนที่แท้จริงแต่จะต้องพูด เช่นในที่นี้อาจจะถามขึ้นมาว่าใครล่ะเป็นผู้คล้องไอ้รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ อารมณ์ มันจะคล้อง มันคล้องได้หรือเพราะมันไม่ใช่คน นี่ก็เลยสมมุติให้ว่ามันมีมาร มันเป็นมาร พญามาร เป็นเจ้าของกามคุณ พญามารใช้กามคุณ ๕ นี่คล้องสัตว์ สัตว์เป็นผู้ถูกคล้อง สมมุติเรามีคนเป็นคนเป็นผู้คล้อง พญามารก็ใช้บ่วงทั้ง ๕ คล้อง ถ้าพูดอย่างนี้เรียกว่าพูดแบบมีคน บุคคลาธิษฐาน ไม่ใช่พูดไปจริงตามธรรมชาติ ไม่เป็นวิทยาศาสตร์ พูดให้เป็นบุคคลาธิษฐาน ซึ่งมนุษย์ชอบสมมุติ ชอบพูดอย่างนี้กันโดยมาก มนุษย์ชอบสมมุติ พูดอย่างนี้กันโดยมากมาแต่โบราณแล้ว เรื่องสิ่งคล้องหัวใจคน ๕ อย่างนี้ เขาก็เรียกว่าบ่วงของมาร ฉะนั้นเรารู้คำว่าบ่วงของมาร ไอ้มารนี่สมมุติ ถ้าพูดอย่างวิทยาศาสตร์นั้น มันบอกว่าจิตไปรับอารมณ์มากระทบอย่างนั้นและจิตมันหลงรัก เพราะสิ่งนั้นมีสิ่งที่ชวนให้รักและจิตมันก็หลงรัก ไอ้ความรักถ้ามันก็คือการคล้อง ก็เท่ากับถูกคล้อง ถ้าพูดอย่างนี้ก็ไม่มีใคร บุคคลไหนคล้อง และไม่มีบุคคลไหนถูกคล้อง นี่ก็พูดอย่างธรรมะแท้ ๆ มันเหมือนกับวิทยาศาสตร์ ไม่มีคนที่ถูกคล้องและก็ไม่มีคนที่คล้องด้วย ถ้าพูดวิธีนี้ก็เรียกว่าธรรมาธิษฐาน นี่ผมเอามาบอกกล่าวกันด้วยเพราะเพิ่งบวชก็มีแยะไม่เคยได้ยินได้ฟังคำเหล่านี้ว่า ในพุทธศาสนาเราแต่เดิมแต่ดึกดำบรรพ์มา ก็มีวิธีพูด ๒ อย่างอย่างนี้และเชื่อได้ว่าแม้นอกพุทธศาสนา ก่อนพุทธศาสนา เขาก็มีวิธีพูดอย่างนี้มาแล้วกันทั้งนั้น แต่ทีนี้คงมาเรียกสั้น ๆ ว่าพูดอย่างมีคน เขาเรียกว่าพูดอย่างพูดภาษาคน ถ้าพูดอย่างไม่มีคนก็เรียกว่าพูดโดยภาษาธรรม ทีนี้คนไม่รู้เรื่องนี้ พอได้ยินได้ฟังอย่างไร มันก็ยึดถือเอาเสียจริง ๆ อย่างนั้น เช่นได้ฟังว่ามีพญามารเอาบ่วงมาคล้องคนเอาไป แล้วมันเลยกลายเป็นเชื่อแน่นแฟ้นว่ามีพญามารมาแม้จะไม่เห็นตัวเอาบ่วงนี้มาคล้องคนแล้วก็พาไป ทำนองเดียวกับพญายมส่งคนเอาบ่วงมาคล้องคนพาไปนรก เมืองนรก ยมโลกนี่ อย่างเดียวกัน ถ้าพูดโดยภาษาธรรม ธรรมชาติ โดยวิธีวิทยาศาสตร์ ก็คือความรู้สึกของจิตมันเป็นไปตามสิ่งที่เข้ามา เกี่ยวข้องด้วย ผูกพันด้วย เลยรู้สึกอย่างนั้น เป็นอย่างนั้น ราวกับว่า มีคำว่าราวกับว่าเปรียบเสมือนว่า มีคน ๆ หนึ่งมาคล้องหรือถูกคล้องแล้วก็ลำบากเดือดร้อนอยู่
นี่ก็มีหัวข้อว่าบ่วงคล้องคนหกบ่วง เมื่อจิตได้รับอารมณ์ทั้ง ๖ นี้แล้ว ไม่มีสติปัญญา วิชาความรู้ที่จะต่อสู้ หรือจะต่อต้านมัน แล้วมันก็จะต้องถูกคล้องตามธรรมชาติ เป็นธรรมชาติ ฉะนั้นไปรู้เองว่าข้างหลังมันมีมาแล้ว มันเป็นมาแล้ว เราไม่ได้ศึกษา ไม่ได้สังเกต หรือว่าจิตของเรานี้พอมีอารมณ์อะไรเข้ามา ๖ ทางนี้ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจนี้ เป็นที่รักที่พอใจ มันก็จับฉวยเอาด้วยความโง่ ความหลง จนเกิดกิเลสที่เรียกว่าความโง่ ความหลง ความรักนี้ ถ้ามันไม่ได้ทำให้มีวิชชา มีปัญญา มีความรู้มาก่อนแล้ว มันจะต้องโง่ ต้องหลง จับฉวยเอาด้วยความโง่ ความหลง สิ่งที่พร้อมอยู่เสมอคืออวิชชา พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าอวิชชานั้นพร้อมจะตกลงไปในธรรมใด ๆ ธรรมทั้งปวง ในธรรมทั้งปวง มันเป็นธาตุชนิดหนึ่งมีอยู่ตามธรรมชาติ โดยไม่ต้องไปรู้ว่ามันมาจากไหน ใครแต่งมัน รู้ไม่ได้ แต่มันเป็นธาตุ ๆ หนึ่งที่มีอยู่ตามธรรมชาติ พอจิตนี้มันโง่เง่า ปราศจากวิชชา ปัญญาเพราะไม่ได้เล่าได้เรียนมา ก็เป็นโอกาสให้อวิชชาที่มีอยู่ทุกหนทุกแห่งครอบงำจิตนั้น ก็ไปตามอำนาจของอวิชชา เพราะฉะนั้นจิตนั้นจึงหลงรัก พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในสูตรหนึ่งซึ่งน่าขำที่สุด เพราะไอ้ทารกนั้นมันไม่มีความรู้ด้วยเหตุด้วยเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ มันจึงยึดถือจับฉวยเอาอารมณ์นั้น ท่านใช้คำอย่างนี้ ทารกมันจะไปรู้เจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อย่างไรได้แต่ท่านหมายความว่าไอ้ความรู้ด้วยเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุตินี้มันจะป้องกันคนไว้ไม่ให้อวิชชาครอบงำจนไปหลงรักหลงอะไรเข้า ทีนี้เรามันก็เหมือนเด็กทารกนั่นหละไม่มีความรู้เรื่องนี้ ก็เป็นช่องของอวิชชาซึ่งมีอยู่ในทั่วไปในทุกหนทุกแห่ง เข้าไปครอบงำจิต จิตนั้นก็ปรุงแต่งเป็นกามราคะ ความรักชนิดกามราคะ เป็นสังกัปปราคะ คือกำหนัดรักยินดีไปตามความตริตรึก มันก็เกิด
ฉะนั้นเราจะเรียนธรรมะกันทั้งโดยทางภาษาคนและโดยภาษาธรรม คือทั้งโดยธรรมาธิษฐานและบุคลาธิษฐาน พูดอย่างให้เป็นคนขึ้นมา ตามภาษาคนธรรมดาพูดก็ได้ หรือพูดอย่างภาษาของผู้รู้ซึ่งไม่ใช่คนธรรมดา ผู้รู้นั้นไม่ใช่คนธรรมดา รู้ด้วยเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติก็ได้ เหมือนที่กล่าวมาแล้ว จิตมันถูกปรุงเป็นความรัก และมันก็รักอารมณ์นั้นไม่ต้องมีบุคคล พูดอย่างนี้มันไม่ถูกกับนิสัยของคนธรรมดา สู้พูดว่ามีมารเอาอารมณ์มา เอาบ่วงมาแล้วก็คล้องเรา คือตัวเรานี่ถูกคล้องแล้วลากหัวเอาไปทำตามความต้องการของมาร ฉะนั้นคำพูดนี้จะเอามาพูดในชุดนี้ก็พูดอย่างภาษาคน บ่วงคล้องคน ๖ บ่วง ถ้าเรารู้ โอ้, ไม่มีมารเหมือนในที่ไหนแล้ว มันตามธรรมชาติจิตมันรู้สึกอย่างนั้น จิตมันถูกผูกพันอยู่ในอารมณ์นี้ ก็เรียกว่าถูกคล้อง แต่แล้วคนแต่โบราณก่อนดึกดำบรรพ์นั้น เขาไม่ชอบพูดแบบธรรมะ ชอบพูดแบบบุคคล ฉะนั้นมารก็เกิดขึ้นในโลกไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ก่อนพระพุทธเจ้าคนเขาพูดเรื่องมารกันนี้เป็นแล้วก่อนพระพุทธเจ้า โดยเฉพาะไอ้นี้ กามราคะนี่ กิเลสที่เป็นกามนี้ เขาเรียกว่ามาร เรียกว่าพญามารจัดไว้ในสวรรค์ ให้อยู่ในสวรรค์ชั้นสูงสุด ทีนี้ในลัทธิอื่น ในศาสนาอื่นนั้นเรามองออกไปเขาก็ถืออันนี้ว่าเป็นเทวดา เรียก ความรู้สึกทางกามนี้ว่า กามเทพ ซึ่งเป็นเทวดาองค์หนึ่งอยู่ที่ไหนก็ตามแต่ แต่เรื่องที่เขาจะพูดเขาสมมุติให้เป็นเทวดาองค์หนึ่ง ต้องการจะคล้องสัตว์ตัวไหนเอาไป เทวดานั้นก็เอาบ่วงที่เหมาะมาจะคล้องสัตว์คนนี้ มนุษย์คนนี้ไปด้วยบ่วงอะไร เขาก็เอาบ่วงอันนั้นมา เขาก็คล้องไปตามความพอใจ ฉะนั้นไอ้กามารมณ์นี้ก็เลยถูกเรียกว่าบ่วงของพญามารก็มี ที่เรียกว่าดอกไม้ของพญามารก็มี พญามารมีดอกไม้หลายชนิดที่มาเป็นบ่วงคล้องคน พบคำว่าดอกไม้ของมารก็มี บ่วงของมารก็มี แล้วมารก็เอามาคล้องจิตสัตว์นี้เอาไป ไปทำตามที่มารปรารถนา ทีนี้คำว่าทำตามที่มารปรารถนาก็คือทำตามกฏของธรรมชาติให้เป็นไป คือเป็นทุกข์เกือบตายเพราะติดบ่วงกามารมณ์นี้ก็เป็นทุกข์เกือบตาย ถ้าพูดอย่างบุคคลาธิษฐานพญามารเอาไปต้ม เอาไปแกง ไปทำโทษ ทำทุกข์อะไรต่าง ๆ ติดบ่วงของมารและก็ถูกมารทำตามที่มารต้องการ
นี่คือธรรมชาติ ธรรมชาติแท้ ๆ ของจิตที่เราจะต้องรู้ ถ้ารู้อย่างนี้ ทำตามธรรมชาติอย่างนี้เป็นรู้ธรรมะ ที่พูดกันอย่างภาษาธรรมะ ถ้าแปลความหมายเป็นมารเป็นตัวเป็นตน เอาเหยื่อเอาบ่วงมาล่อคล้องเอาเราไป เป็นทุกข์นี่ก็เรียกว่าพูดธรรมะแต่ในภาษาคน พูดอย่างบุคคลาธิษฐาน ฉะนั้นช่วยจำไว้ด้วยว่าในโลกนี้เป็นอย่างนี้ เรื่องเกือบจะทุกเรื่องพูดได้ ๒ แบบนี้ ฉะนั้นเขาพูดไว้แล้ว พูดไว้ก่อนแล้ว เราอย่าไปหลง เขลา หรือว่าไปคัดค้าน ไปอวดไอ้ความรู้ของเรา ไปคัดค้านเราก็โง่เอง เราควรจะระวังตัวไว้ว่า ไอ้สิ่งที่เขาพูดไว้แต่ก่อน สำหรับให้เรากลายเป็นคนโง่มันมีมากนัก ระวังให้ดีเพราะเราไปเข้าในบ่วงนั้นหละก็ ไอ้คำพูดที่เขาพูดไว้ฉลาด ๆ แต่โบราณมาก่อนแล้ว เขาพูดไว้ให้เรากลายเป็นคนโง่ พอเราไม่เข้าใจ เราก็กลายเป็นคนโง่ พอเราไปคัดค้าน เราแย้งไปตามภาษาโง่ ๆ ของเรา ไม่ได้ประโยชน์อะไร นอกจากว่าเป็นคนโง่เอง ระวังคำพูดที่มีอยู่แล้วมากมายในพุทธศาสนาก็ดี นอกพุทธศาสนาก็ดี เป็นเรื่องธรรมะชั้นลึก ระวังไว้ก่อนว่าเขาพูดไว้สำหรับทำให้เรากลายเป็นคนโง่ เราไม่ยอม เราจะไม่ตกหลุมอันนี้แล้วมาพูดให้เรากลายเป็นคนโง่
นี่ก็ยกตัวอย่าง มันเคยมีนี่ มีพญามาร มีบ่วง มีของล่อ มีดอกไม้ มีเหยื่อ มีอะไรมาคล้องเอามนุษย์ไป จำง่ายดี เข้าใจง่ายดี เด็ก ๆ เข้าใจง่ายดี สอนเด็กได้โดยง่ายโดยเร็ว ให้เรารู้ว่าไอ้ธรรมชาติมันมีอยู่อย่างนี้ ตามธรรมดาธรรมชาติมันมีอยู่อย่างนี้ มันมีอยู่แต่ว่าเรานี่จะรู้หรือไม่รู้ทั้งที่มันเกิดอยู่กับเราตลอดเวลา นี่มันน่าสงสารก็ตรงที่ว่าสิ่งเหล่านี้มันเกิดอยู่กับเราตลอดเวลาเราก็ยังไม่รู้ ถ้ารู้มันก็ดีกว่า มันมีแต่ว่าเราจะรู้หรือไม่รู้เรื่องนี้ ถ้าเรารู้มันก็ดีกว่าไม่รู้ จะไม่หลง ทำผิดในเรื่องนี้ หรืออย่างน้อยก็เสียเวลากับเรื่องนี้ ซึ่งในที่สุดมันก็ มันก็เกี่ยวกับไอ้ความลึกลับของธรรมชาติ ไอ้ความรู้สึกทางกามารมณ์นี่คุณก็รู้ได้เองผมจะไม่บอก เพราะที่มันรุนแรงมากก็คือที่มันเกี่ยวกันระหว่างเพศ พระพุทธเจ้าท่านตรัสเรื่องนี้ไว้เป็นแถวหางว่าว ในคัมภีร์อังคุตตรนิกายรูปก็ดี เสียงก็ดี กลิ่นรสก็ดี อะไรนั่น ที่มันจะมีค่ามากที่สุดสำหรับผู้หญิงก็คือรูปของผู้ชาย เสียงของผู้ชาย กลิ่นของผู้ชาย รสของผู้ชาย สัมผัสของผู้ชาย ที่มันจะมีค่ามากแก่จิตของผู้ชายมันก็คือรูปของผู้หญิง เสียงของผู้หญิง กลิ่นของผู้หญิง รสของผู้หญิง ที่เนื้อผู้หญิง โผฏฐัพพะของผู้หญิง จะเป็นสัญญาในอดีต เป็นธรรมารมณ์ก็เหมือนกัน จึงเป็นระหว่างเพศ นั่นแหละมันมาฝังใจ ประทับใจรส เกิดขึ้นรบกวนบ่อย ๆ
คำว่ากามนอกจากจะเป็นตามธรรมชาติแล้ว มันก็เป็นเครื่องทำความยุ่งยากให้แก่มนุษย์ ซึ่งมีจิตยังต่ำอยู่ ยังต้องรู้สึกไปตามธรรมชาติ ในอารมณ์นั้น ๆ เป็นความรู้สึกทางเพศ ทีนี้ตามที่ผมมองเห็น ตามที่ผมมองเห็น ผมพูดตามที่ผมมองเห็นอีกอย่างหนึ่งว่า ไอ้กามารมณ์นี้มันเป็นค่าจ้างของธรรมชาติเพื่อให้มนุษย์สืบพันธุ์ นี่ผมบอกเดี๋ยวนี้ ผมพูดไปตามที่ผมมองเห็น ถ้าคุณพบในหนังสือเล่มไหน ตำราไหน ในคัมภีร์ไหน ช่วยบอกผมด้วย ช่วยเอามาบอกผมด้วย นี่ผมพูดไปตามที่มองเห็นเอง กามารมณ์นี่คือค่าจ้างของธรรมชาติเพื่อให้มนุษย์สืบพันธุ์ หรือให้สิ่งที่มีชีวิตสืบพันธุ์ เพราะว่าไอ้การสืบพันธุ์นั้นมันไม่ใช่ของสนุก มันเป็นของเจ็บปวด มันเป็นของสกปรก มันเป็นของยุ่งยากลำบากสำหรับการสืบพันธุ์ แต่ธรรมชาติมันก็เก่งกว่ามนุษย์หรือสัตว์ทั้งหลาย มันเอากามารมณ์ปะหน้าเอาไว้ มันจึงอยู่เป็นเบื้องหน้า หรือปะหน้าของการสืบพันธุ์ ความรู้สึกทางเพศเป็นความรู้สึกเอร็ดอร่อยสูงสุดทางเพศนั้นมันอยู่เมื่อทำการสืบพันธุ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งขณะที่ถ่ายน้ำเชื้อใส่กันนั่นแหละสูงสุด นี่จะเรียกว่าพระเจ้าหรือจะเรียกธรรมชาติก็ตามใจ มันเก่งเหลือเกิน ที่มันเอาสิ่งนี้มาบังคับให้มนุษย์ต้องทำการสืบพันธุ์ พวกคุณไปรู้เรื่อย ๆ ค่อยไปรู้ให้มากขึ้นไปเรื่อย ๆ ก็แล้วกันว่าไอ้การสืบพันธุ์นั่นเขาจ้างด้วยค่าจ้างที่สูงสุดทางความรู้สึกที่สัตว์ไม่รู้สึก ต้องการกามารมณ์โดยแท้จริง แต่แล้วมันกลายเป็นการสืบพันธุ์ ซึ่งต้องยุ่งยาก ลำบาก ถ้าไม่มีการสืบพันธุ์ ถ้ามันไม่มีกามารมณ์เป็นค่าจ้าง จะไม่มีใครทำการสืบพันธุ์ เพราะฉะนั้นมันจึงเลยไปถึงว่าพญามารเขาก็จับตัวสัตว์เหล่านี้ไปอยู่ในอำนาจของเขาแล้วยังให้ทำการสืบพันธุ์ที่มันสกปรก มันเหน็ดเหนื่อย มันลำบาก ถ้าจะถามว่าทำไมธรรมชาติต้องการให้มีการสืบพันธุ์ อันนี้ก็ตอบยากหรือตอบไม่ได้ แต่ตอบว่ามันเป็นอย่างนั้น มันเป็นกำปั้นทุบดินว่า ธรรมชาตินี้มันมีอะไรพิเศษเหลือที่จะอธิบาย คือมันไม่ต้องการให้ชีวิตที่สูญพันธุ์นั้นเป็นเจตนาของธรรมชาติ จะว่าพระเจ้าก็ได้ พระเจ้าไม่ต้องการให้สัตว์สูญพันธุ์ ฉะนั้นต้องให้มีการสืบพันธุ์ ฉะนั้นธรรมชาติจึงจัดให้มีอุปกรณ์ของการสืบพันธุ์ จึงมีเชื้อฝ่ายตัวผู้ มีไข่ฝ่ายตัวเมีย ถึงกันเข้าแล้วก็จะมีการสืบพันธุ์ แต่การทำงานนั้นลำบากมาก เหน็ดเหนื่อยมาก น่าอิดหนาระอาใจ ไม่ทำ ฉะนั้นธรรมชาติจึงมาเหนือเมฆมาเหนือกว่าคนเหล่านั้น ก็ใส่ไอ้อันนี้ไว้ให้ คือความรู้สึกทางกามารมณ์
เมื่อมนุษย์หรือสัตว์ก็ตามโตเต็มที่ ได้ต่อม gland ประเภทสืบพันธุ์ที่ธรรมชาติมันใส่มาให้แล้ว มันก็ถึงจุดที่จะทำงานของมัน ฉะนั้นมันก็เที่ยว มันก็รู้สึกขึ้นมาก็เที่ยวหาเอาเอง จนได้เสวยรสของกามารมณ์และมีการสืบพันธุ์ตามหลังมาหรือติดอยู่ในนั้น ฉะนั้นกามารมณ์เพื่อการสืบพันธุ์นี่มันเหมือนกับเหยื่อที่เกี่ยวเบ็ด ทีนี้มนุษย์ไปกินกามารมณ์นั้นเข้ามันก็ติดเบ็ด คือต้องสืบพันธุ์ ไม่มีข้อแย้งโดยไม่ยกเว้น โดยไม่ต้องแย้ง สัตว์เดรัจฉานก็ดี มนุษย์ก็ดี เรียกว่าสิ่งที่มีชีวิตก็แล้วกัน แม้แต่ต้นไม้ก็มีชีวิต ฉะนั้นต้นไม้ก็มีการสืบพันธุ์แบบเดียวกัน กล้าพูดว่าเมื่อต้นไม้มีการผสมพันธุ์ มันก็คงมีความรู้สึกเอร็ดอร่อย สูงสุดมันก็สัตว์หรือคนเหมือนกัน ทีนี้พูดไปคงหาว่า ต่อไปคงจะค้นพบวิชาความรู้ในอนาคต
การศึกษาของมนุษย์เรา ต่อไปเขาจะมีวิชา มีความรู้ มีเครื่องมือ ซึ่งวัดความไอ้รู้สึกของต้นไม้ ของพืช ก็มีความรู้สึกเหมือนกับมนุษย์ ที่เคยอ่านพบก็มีเค้าเงื่อนมาก ต้นไม้รู้จักกลัวตาย นี่เป็นแรก ต้นไม้มีชีวิต รู้จักกลัวตาย เขาวัดได้ เมื่อจะทำให้มันตายนี่มันแสดงไอ้อาการ หรือเมื่อคนที่เกลียดต้นไม้ ทำลายต้นไม้ไปหยก ๆ นี้ เข้าไปใกล้ต้นไม้ในห้องทดลอง ต้นไม้แสดงอาการเกลียดคน ๆ นั้น มีหนังสือเขียนเรื่องนี้อย่างละเอียดใครสนใจก็ไปหาอ่าน ประดิษฐ์เครื่องมือวัดความรู้สึกของต้นไม้ ของพืชในห้องทดลอง เป็นพืชเล็ก ๆ ในห้องทดลอง จนผู้ทดลองถามเพื่อนฝูงที่ย่างเข้ามาในห้องว่านี่แกทำอะไรมา นี่เข็มมันบอกอย่างนี้ เพื่อนบอกว่าฉันไปเผาหญ้ามาหอบใหญ่เมื่อตะกี้นี่เอง คนนั้นเขาตอบ ฉะนั้นต้นไม้นี่มีความรู้สึกกลัวตาย ฉะนั้นไอ้ความรู้สึกจะสืบพันธุ์มันก็ต้องมี ก็ดูเถอะ ดูดอกไม้อะไรที่มันมีเกสร ๒ ชนิดที่จะต้องมีการถึงกันเข้ามันจึงจะออกมาเป็นลูก โดยมันหล่นร่วงมาใส่กันเองก็ได้ แมลงพาไปก็ได้ ลมพัดตกมาก็ได้ ไหลไปตามกระแสน้ำไปพบกันข้างหน้าก็ได้ ก็มีถึงอย่างนี้ เพื่อมันต้องการสืบพันธุ์ และในขณะสืบพันธุ์ต้นไม้จะรู้สึกอร่อยเหมือนกับกามารมณ์ด้วยเหมือนกัน นี่ผมว่าเอาเอง เชื่อว่าอย่างนั้น และเชื่อว่าต่อไปเขาจะสามารถค้น มีเครื่องมือค้นพบอย่างนี้ได้ ไม่เป็นของแปลก แต่คงจะนานหน่อย แต่ว่าเดี๋ยวนี้ก็พบไอ้ความรู้สึกบางอย่างของต้นไม้โดยเฉพาะความกลัวตาย และต้องการสิ่งประเล้าประโลมใจของคนที่หวังดี เข้าไปนั่งข้างๆ ร้องเพลงให้ฟัง พูดจาประเล้าประโลม ต้นไม้นั้นกลับงอกงามดี งอกงามเร็ว มีอะไรดี มีผลดี
นี่พูดเลยเถิดกันแล้ว ก็ต้องการจะให้รู้ว่าไอ้การสืบพันธุ์นั้นจ้างด้วยความอร่อยของกามารมณ์ พระเจ้าจ้างหรือธรรมชาติจ้างก็ตามแต่ ฉะนั้นกามารมณ์จึงมีอิทธิพลมาก เข้าไปสัมผัสกันด้วยก็เลยคล้องเอาไว้เต็มเลย เอาไปเป็นทาสของมันเลย นี่เราควรจะไปศึกษาเอาเองว่ามนุษย์ตกอยู่ภายใต้ความรู้สึกทางกามารมณ์อย่างไร เมื่อจับกามารมณ์ เป็นพระเจ้าอย่างนี้แล้วก็ไปคิดดูเองว่ามันหลงกามารมณ์อย่างไร หลงให้เป็นกามเทพ หลงให้เป็นพระเจ้า มีพิธีอ้อนวอนบวงสรวง เหมือนกับบวงสรวงพระเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งด้วยเหมือนกัน อย่างนี้ในประเทศอินเดียมีมาก แล้วก็เขียนเป็นตำรับตำราเลย เป็นบูชาบวงสรวงพระเจ้า กามเทพ นี้อย่างไร มีเรื่องละเอียดมาก และยิ่งกว่านั้นมันกลายเป็นว่า เป็นสิ่งสำคัญสำหรับมนุษย์ นี่คัมภีร์บางนิกาย คัมภีร์ของลัทธิบางลัทธิบางนิกาย เขาถือว่าเป็นสิ่งที่ต้องผ่านไปให้ได้ คือต้องชนะได้และผ่านไปนิพพาน ไปหาสิ่งสูงสุดนี้ต้องผ่านไอ้ด่านกามารมณ์นี้ มนุษย์ธรรมดามันโง่ ก็หลงจมติดอยู่ที่นั่น ผ่านไปไม่ได้ เลยต้องแยกตัวมา เป็นพวก ๆ หนึ่ง คือพวกมนุษย์ธรรมดา พระคัมภีร์ก็ถูกเขียนขึ้นนั่นเป็นเรื่องปฏิบัติต่อกามารมณ์อย่างถูกต้อง ให้อยู่เป็นผัวเป็นเมีย เป็นอะไรกันนี่ แต่ให้อยู่อย่างถูกต้อง ไม่เป็นกิเลสอันเลวร้าย จึงจะถือว่ามนุษย์คนนี้มีองค์ประกอบพร้อม เหมาะแล้วที่จะผ่านไป เดินต่อไปยังนิพพานอย่างนี้ก็มี
พวกหนึ่งบูชาไอ้กามารมณ์เป็นพระเจ้าเลย พวกที่ไม่รู้มันก็ไปตามบุญตามกรรมของมัน ก็ต้องทนทุกข์ทรมาน แต่ถ้าพวกที่เป็นนักวิทยาศาสตร์ก็ใช้คำว่าอย่างนั้น คือไม่พูดเป็นศาสนา ไม่พูดเป็นลึกลับอะไรกันแล้ว มันก็คือธรรมชาติ มันคือเรื่องของธรรมชาติ ที่ทำให้มนุษย์ต้องมีการสืบพันธุ์ และอยู่ เหลืออยู่ไม่สูญพันธุ์ ที่นี้การต้องสืบพันธุ์นี้ต้องจ้างกันอย่างพิเศษคือกามารมณ์ ฉะนั้นคนที่ยังไม่รู้เรื่องนี้เขาก็ต้องทนทุกข์ทรมานมาก คนที่รู้เรื่องนี้ คือไม่หลงในเรื่องนี้ก็ทนทุกข์ทรมานน้อย พอมาถึงเดี๋ยวนี้ มันก็เปลี่ยนแปลงบ้างเพราะความก้าวหน้าของมนุษย์ในทางวิชาการ อย่างเช่น การป้องกันการตั้งครรภ์ หรือการสืบพันธุ์ได้ และก็บริโภคกามารมณ์ฟรี เรียกว่ากินค่าจ้างฟรีแล้วไม่ทำงานตามธรรมชาติ นี่มันก็เกิดเป็นของใหม่ เป็นปัญหาใหม่สำหรับมนุษย์ยุคปัจจุบัน ซึ่งมนุษย์ยุคก่อนทำไม่ได้ ทำไม่เป็น แต่มนุษย์สมัยนี้ขบถต่อธรรมชาติ หรือเอาชนะธรรมชาติในเรื่องค่าจ้างนี้ได้ ด้วยวิธีการก้าวหน้า วิชาทางวัตถุก็คุมกำเนิดได้ เขาก็ลุ่มหลงกามารมณ์กันได้โดยไม่ต้องชดใช้อย่างเจ็บปวด ก็ดีเหมือนกันสำหรับมนุษย์พวกนั้น
แต่เดี๋ยวนี้เรามันพูดกันอีกทางหนึ่ง อีกแบบหนึ่งคือทางฝ่ายธรรมะ เอาเรื่องของธรรมะเป็นหลัก ไม่ใช่เรื่องได้เปรียบเสียเปรียบอะไรกันกับไอ้ธรรมชาติชนิดนั้น คือให้มองในข้อที่ว่า แม้ว่าเราจะไม่ต้องถึงกับสืบพันธุ์ ไอ้ความรู้สึกทางกามารมณ์ก็ทรมาน ทำความเจ็บปวดทรมานให้แก่คนเป็นอย่างมาก เพราะว่าในร่างกายนี้เขาใส่อวัยวะสืบพันธุ์ และเอาอวัยวะเพื่อกระตุ้นกามารมณ์เอาไว้เสร็จ ธรรมชาติมันใส่ไว้เสร็จ ฉะนั้นพอถึงอายุนั้นเข้า ไอ้คนเหล่านี้มันก็ดิ้นรนจะสืบพันธุ์ หรือมันต้องการกามารมณ์ ไม่ต้องการสืบพันธุ์ก็ตามใจ ไอ้ความต้องการกามารมณ์นั้นมันก็ทรมานจิตใจของคนนั้นเหลือประมาณ ฉะนั้นเมื่อเขาทนไม่ได้เขาต้องออกไป เช่นถ้าเป็นพระเขาทนไม่ได้ ก็ต้องสึกออกไป ไปหากามารมณ์ ในเมื่อมันหาไม่ได้ง่าย ๆ มันก็ต้องใช้วิธีชนิดที่เป็นการเบียดเบียนผู้อื่น ไม่คำนึงถึงว่าผิดถูกชั่วดีอะไร จะเอาแต่กามารมณ์อย่างเดียว ฉะนั้นไอ้ความประพฤติที่เลวทราม ข่มขืน หรืออะไรทำนองนั้นมันก็เกิดขึ้น ถ้าคนนั้นบังคับความรู้สึกอันนี้ไว้ไม่ได้ มันก็ต้องไปแสวงหา เมื่อไม่ได้มันก็ต้องทำผิดโดยการข่มขืน การฉุดคร่า การอะไรต่าง ๆ นี่คิดดูว่ามันตกอยู่ในบ่วงของพญามารกี่มากน้อยไปทำเลวทรามอย่างนี้ก็ได้ เพราะว่าตกอยู่ในอำนาจของมารแล้ว แม้นั่งนอนอยู่ที่นี่ก็ไม่เป็นสุข เพราะตกอยู่ในอำนาจของมารแล้ว เรียกว่าบ่วงทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่เรียกว่าอายตนะ มีอยู่ ๖ บ่วง ถ้าเราติดเข้าไปในบ่วงนี้แล้ว เราจะตกอยู่ใต้อำนาจของมาร ตามที่มารจะพาไปทำให้เสียหายเลวทรามอย่างไร ทนทุกข์ทรมานอย่างไร
ทีนี้เมื่อใครสักคนหนึ่งจะเป็นพระพุทธเจ้าหรือใครก็ดี ต้องการจะเอาชนะเรื่องนี้ ต้องการจะเอาชนะเรื่องนี้ มันจะให้แพ้ตลอดสายไปเลย ก็ต้องคิดหาวิธีการอย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อจะควบคุมความรู้สึกอันนี้ ฉะนั้นจึงไปค้น ค้นจนพบวิธีที่จะเอาชนะกิเลส โดยเฉพาะกามารมณ์นี้ได้ จะพบได้ แล้วก็สอนให้เพื่อนมนุษย์ด้วยกันรู้จักเอาชนะด้วย การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าที่เรียกว่ารู้เรื่องความดับทุกข์นี รวมเรื่องกามารมณ์นี้อยู่ด้วย เรื่องกามารมณ์ เรื่องเอาชนะกามารมณ์นี้มันก็รวมอยู่ในเรื่องดับทุกข์ดับกิเลส ทีนี้เรามองดูกันแต่ในส่วนที่เรียกว่ากามารมณ์ หรือเกี่ยวกับกามารมณ์ หรือเอามาพูดกันเฉพาะเรื่องนี้ เราจะต้องรู้เรื่อง ไอ้สิ่งที่เรียกว่ากิเลสกามให้ดี ๆ หรือกามราคะ หรือกิเลสกาม หรือกามในความหมายที่เป็นกิเลสในภายในให้ดี ๆ ว่ามันมีธรรมชาติของมันอย่างไร อย่างน้อยก็มันเป็นอย่างที่ผมว่าไปแล้ว เป็นความรู้สึกตามธรรมชาติที่ธรรมชาติใส่เอาไว้ให้เป็นค่าจ้าง ให้สิ่งที่มีชีวิตทำการสืบพันธุ์ด้วยความยากลำบาก เมื่อเราไม่ต้องการจะถูกกระทำถึงขนาดนั้น
เราก็ต้องมีวิธีอย่างใดอย่างหนึ่งที่จะระงับไอ้ความรู้สึกที่เป็นกามกิเลส หรือกามราคะนั้นเสีย ธรรมะระบบใหญ่ ระบบหนึ่งในพระพุทธศาสนาเพื่อเรื่องกามโดยเฉพาะนี้ มันก็เกิดขึ้นรวมอยู่ในการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า เราจะตั้งปัญหาขึ้นมาว่าทำอย่างไร เราจึงจะระงับความรู้สึกอันนี้เสียได้ ปัญหามีเท่านั้น ถ้าเราระงับความรู้สึกอันนี้เสียได้ ก็หมดปัญหา พญามารก็เก้อกลับไป คือว่าจะคล้องคนนี้ไปไม่ได้ พญามารเก้อกลับไป และบุคคลนั้นไม่ต้องทนทุกข์ทรมานด้วยอำนาจของกามารมณ์ ที่นี้ตามหลัก ตามหลักของธรรมะในพระพุทธศาสนาก็เป็นหลักเดียว ๆ กันอยู่ที่ว่า เมื่อต้องการจะชนะอะไร ก็ต้องรู้จักสิ่งนั้นดีที่สุด ในทีนี้ก็ต้องรู้จักสิ่งที่เรียกว่ากามราคะ หรือกามกิเลส หรือกามมะ ดีที่สุดจนสามารถจะควบคุมมันได้
ทีนี้ตามหลักทั่วไปเป็นหลักพื้นฐาน หรือเป็นหลักได้ทุกเรื่อง ก็คือหลักทำนองเรื่องอริยสัจ ทำนองเดียวกับอริยสัจ คือว่า มันคืออะไร และมันมาจากอะไร มันจะสิ้นสุดลงได้อย่างไร หรือโดยวิธีใด ถ้าสิ้นสุดลงแล้วมันจะมีผลอย่างไรนี้ นี่เราก็ต้องรู้ก่อน เราจึงอยากจะให้มันสิ้นสุดลงไป เช่นว่า ความทุกข์นี้เป็นอย่างไร สมุทัยเกิดทุกข์เป็นอย่างไร และความที่ไม่มีทุกข์ ดับทุกข์ได้ นั้นวิเศษอย่างไร แล้วเราเกิดอยากขึ้นมา จึงรู้ว่าไอ้ทางที่จะดับทุกข์ได้นั้นเป็นอย่างไร ไอ้ ๔ อย่างนี้ จำไว้เถิดมันใช้ได้ทุกกรณี ทุกเรื่องในพระพุทธศาสนาที่จะต้องจัดการละ หรือชนะให้ได้ รู้จักมันว่ามันเป็นอย่างไร ไอ้ที่ว่าเป็นอย่างไรนี่ก็แยก แยกหัวข้อไปได้เหมือนกันนะ แยกไปได้มาก แต่รวมความว่ามันเป็นอย่างไร แล้วมันมาจากอะไร อะไรเป็นเครื่องปรุงแต่งขึ้นมา และถ้าเราจะไม่ให้มันมี ไม่ให้มันเกิดขึ้น เราต้องทำในทำนองที่ตรงกันข้าม มันเกิดขึ้นมาอย่างไรและทำในทำนองตรงกันข้าม มันก็ไม่เกิด เรียกว่าความดับของมันเป็นอย่างไร วิธีดับเป็นอย่างไร นี่เป็นลักทั่วไปใช้กับทุกเรื่อง
ผมไปพบไอ้รูปกวาง ๔ ตัวหัวเดียวที่บันไดวิหารที่ถ้ำอาจารย์ตา ทั้งหมดทั้งบริเวณอาจารย์ตา (นาทีที่ 55.03) มีอยู่ ๒ แห่งเท่านั้น รูปกวาง ๔ ตัวหัวเดียว เลยถ่ายรูปมาปั้นขึ้นที่นี่ และผมเข้าใจเรื่องนี้ต้องการแสดงความหมายข้อนี้ เดี๋ยวนี้ก็มีคนชอบมากเรื่องกวาง ๔ ตัวหัวเดียว มันคืออะไร มันจากอะไร มันเพื่ออะไร มันโดยวิธีใด เชื่อว่าเป็น logic ของไอ้คนโบรมโบราณแต่ปางก่อน อย่าเข้าใจว่าคนโบราณเขาไม่มีความรู้เรื่อง logic เขายังมีดีกว่าเรา แต่อย่างน้อยเขาได้รู้เรื่อง ๔ ข้อนี้ คืออะไร จากอะไร เพื่ออะไร โดยวิธีใด
ฉะนั้นมารู้เรื่องกาม กามนี้คืออะไร มันมาจากอะไร หรือถ้ามันจะสิ้นสุดลงจะเป็นอย่างไร ทุกอย่างมันเพื่อสิ้นสุดทั้งนั้น ฉะนั้นมันไม่มีอะไร บรรดาสังขารธรรมแล้วมันก็เพื่อสิ้นสุด พอสิ้นสุดมันก็ไม่เป็นปัญหา ที่กำลังเป็นอยู่ มันก็ทำให้มันสิ้นสุดได้โดยวิธีใด เท่านี้พอ แต่ว่า ๔ ข้อนี้แยก ซอยให้ละเอียดได้อีกมาก ได้อีกมาก มันคืออะไร มันดูได้หลายแง่ หลายมุม จะดูว่ามันมีกี่อย่าง กี่ชนิด กี่ขนาด หรือว่าจะเปรียบอุปมาได้อย่างไร อย่างนั้น อย่างนี้ อย่างนี้ในบาลีก็มีมากเหมือนกัน ดูว่ามันเป็นอย่างไรก็ดูได้ มันคืออะไรก็ดูได้หลายแง่หลายมุม แต่ว่ามันมาจากอะไรก็ดูได้หลายซับหลายซ้อน ถ้าความดับของมันก็คือตรงกันข้าม ภาวะตรงกันข้าม ฉะนั้นโดยวิธีใดนี้ก็มีหลายซับหลายซ้อนแล้วแต่ว่าจะเอากันสักเท่าไร ทีนี้กาม ความรู้สึกทางกาม ก็ไปดูกันว่ามันมีกี่อย่าง กี่ขนาด หรือจะเปรียบเทียบกับอะไรดี อย่างนี้เป็นต้น เป็นสิ่งที่เป็นค่าจ้างของการสืบพันธุ์หรือเปล่า ไปดู มันให้รสอร่อยคุ้มกับให้ความลำบากหรือไม่ นี้หมายถึงเมื่อปล่อยไปตามธรรมชาติ
ดูอย่างนี้ว่ามันคืออะไรและมันมาจากอะไร ดูอย่างนักธรรมะ ธรรมะล้วน ไม่ใช่ว่ามาจากพระเจ้า กามเทพ มันก็มาจากธรรมชาติ ธรรมดา ธรรมชาติคือผัสสะ ด้วยความโง่ เมื่อตะกี้เราพูดไปแล้วว่า ไอ้อวิชชาธาตุ อวิชชา ธา-ตุ มีอยู่ทุกหนทุกแห่ง พอคนมาสัมผัสอารมณ์ รูป เสียง กลิ่น รสที่น่ารักน่าพอใจ นั้นและไม่มีปัญญามากำกับอยู่ อวิชชาธาตุก็เข้ามาครองการสัมผัสนั้น การสัมผัสนั้นก็สัมผัสไปตามธรรมชาติ อวิชชาตามธรรมชาติที่ปราศจากวิชชา ไอ้คนนั้นมันก็ต้องรัก ก็เกิดความรัก ความพอใจ ความรู้สึกที่เป็นกามารมณ์ มันเท่านั้นเอง เพราะมันสัมผัสอารมณ์สำหรับจะเกิดความรู้สึกอย่างนี้ แล้วไม่มีปัญญาคุ้มครอง เป็นอย่างนั้น ฉะนั้นจึงรู้สึกกำหนัดยินดีแล้วก็ตริตรึกไปได้ยืดยาว สังกัปปราคะ ความกำหนัดด้วยอำนาจของตริตรึก ต้องการ ปรารถนา ถ้าถามว่าความรู้สึกกามารมณ์มันมาจากไหน หรือเกิดมาจากอะไร มีอะไรเป็นสมุทัย พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่ามันมาจากสัมผัสด้วยอวิชชา ไอ้เรื่องเกี่ยวกับความทุกข์ทั้งหลายทั้งปวงพูดได้เลยว่ามาจากสัมผัสด้วยอวิชชา ทีนี้เดี๋ยวนี้เรากำลังพูดเรื่องกามารมณ์ที่มันก่อขึ้นมาในใจเรา มันมาจากการที่เราสัมผัสอารมณ์ข้างนอกด้วยความโง่คืออวิชชา เมื่อสิ่งนั้นเป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ยินดี หลงรัก มันก็มาเข้าร่วมกับความรู้สึกภายในที่ธรรมชาติใส่มาให้แล้ว ไอ้ความแรงสำหรับความรู้สึกทางเพศ เมื่อได้อารมณ์ตรงนั้นมันก็กำหนัดรัก เพราะฉะนั้นสัตว์จึงกำหนัดรักได้เองโดยไม่ต้องมีใครสอน สัตว์เดรัจฉานไม่ต้องมีใครสอน เรื่องสัมผัสอารมณ์ชนิดนั้นมันก็เกิด ถึงแม้คนก็เหมือนกัน เขาบอก เขาเชื่อกันว่าแม้จะให้เลี้ยงทิ้งไว้ในป่าอยู่กับใครที่ไม่มีใครสอนเรื่องนี้ มันก็รู้สึกได้เอง
นิทานตลก ๆ จะเป็นของจีนหรือของอินเดียก็ลืมเสียแล้ว ว่าฤาษีหรืออาจารย์คนหนึ่ง เขาเลี้ยงเด็กไว้คนหนึ่งในป่า อยู่ด้วยกัน ไม่ให้รู้เรื่องนี้เลย เรื่องเพศเรื่อง อยู่ด้วยกันในป่า ทีนี้วันหนึ่งมันมีธุระเข้ามาในเมือง ไอ้เด็กหนุ่มคนนี้มันก็ตามอาจารย์เข้ามาในเมือง แล้วมันก็มาได้เห็นผู้หญิง ผู้หญิงที่ร่างอย่างผู้หญิงที่มันไม่เหมือนกับผู้ชาย มันก็รู้สึกได้เอง รู้สึกได้เองว่ามันจะอะไร คืออะไร ทีนี้มันถามอาจารย์ว่าไอ้ตัวนั้นอะไร เป็นตัวอะไร อาจารย์ก็หลอกมันว่าเป็นเสือ ที่ชี้ว่าผู้หญิงแต่ก็ต้องบอกว่าเป็นเสือ ทีนี้พอกลับไปถึงวัดที่ในป่า มันนอนไม่หลับ ..... (นาทีที่ 62.20) คืนนี้แกนอนไม่หลับจะรุ่งอยู่แล้ว มันบอกว่าอยากจะได้เสือ ไม่มีใครสอน มันรู้สึกเอง มันอยากจะได้เสือ นี่ก็เรียกว่าธรรมชาติ มันมีมาอย่างนี้ ก็จะรู้สึกได้อย่างนี้โดยไม่ต้องสอน
ทีนี้พออารมณ์ชนิดนั้นมาถึง มันก็สัมผัสอารมณ์นั้น สัมผัสด้วยอวิชชา คือจิตที่ไม่มีปัญญา ไม่เล่าเรียนมาด้วยเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ มันก็สัมผัสด้วยอวิชชาเต็มที่ เมื่ออารมณ์ที่เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัดมาถึงเข้า มันก็รับเอาด้วยความกำหนัดยินดี นี่สังกัปปราคะที่เรียกว่ากาม นี่มันก็เกิดขึ้นกันแน่นอน ไม่แปลก เป็นเรื่องธรรมดาที่สุด มันก็เปลี่ยนจิตใจของคนนั้นไปตามอารมณ์อันนั้น เรื่องยุ่งยากก็เกิดขึ้นหลายอย่างหลายประการ แล้วแต่ว่าได้อาศัยรูปทางตา อาศัยเสียงทางหู อาศัยกลิ่นทางจมูก อาศัยรสทางลิ้น อาศัยโผฏฐัพพะทางผิวหนัง อาศัยอารมณ์นั้น ๆ แต่เป็นอดีตมาแล้ว ก็ไปปรุงในจิตใจเป็นธรรมารมณ์ทางใจ ก็กำหนัดยินดียินได้ ฉะนั้นจึงมีหลายชนิด แล้วแต่ว่ามันไปอาศัยอารมณ์อะไร และมันให้ผลอย่างไรก็ดูเอาตามเรื่องที่มันเกิดขึ้น มันจะกระวนกระวายสักเท่าไร แม้จะล่าม หรือจะขังกรง แล้วมันก็ดิ้นรนต่อสู้อย่างน่าสงสาร มันจะออกไปให้ได้ ผมเห็นจุดนั้น ก็ถึงกล่าวมันนั้น (นาทีที่ 64.40) มันแรงที่สุด ฉะนั้นจึงมีวิบาก มีความทุกข์
ต่อจากนั้นก็ไปศึกษาเอาเองจากธรรมชาติ จะเห็นพ้องตามที่พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสว่า รสอร่อยน้อยแล้วก็ทุกข์ทรมานมาก ทุกข์ทรมานมาก ไอ้ความหิวกระหายทางกามารมณ์นี้มันยิ่งกว่าหิวอาหาร มันจะระงับไอ้ความอยากอาหาร อยากหิวอาหาร ไม่ต้องหาอาหาร ไม่ต้องกินอาหาร ลืมกินอาหาร แล้วมาแสวงหากามารมณ์ที่หิว เมื่อเราแรกมาอยู่ที่นี่ใหม่ ๆ ราว ๔ โมงเย็น เสือจะร้องอยู่บนเขานั่นเอง ตอนนั้นมันยังเป็นป่าไม้ เพื่อจะเรียกตัวเมียมันร้องอยู่ตลอดคืนจน ๓ โมงเช้า แปลว่าตลอดตอนนั้นไม่มีอาหาร ไม่กินอาหาร แล้วกลางวันก็ไม่อาจจะหาอาหาร ฉะนั้นเสือตัวนั้นผมเชื่อว่าไม่ได้กินอาหารมา ๔-๕ วัน ที่มาร้อง ฮึ่ม ๆ ตั้งแต่ ๔ โมงเย็นจนค่ำ จนรุ่งขึ้น ๓ โมงเช้า แล้วกลางวันมันก็หาไม่ได้หรอกเสือ มันก็เลยไม่ต้องกินอาหาร ไอ้ความหิวอาหารหมดไป เพราะความหิวกามารมณ์นี้ท่วมทับ คิดดูว่าพระพุทธเจ้าตรัสว่า รสอร่อยน้อยความทุกข์มากมันเป็นอย่างไร เพื่อรสอร่อยวูบเดียว กามารมณ์นี้ ลงทุนกันมากมายเพื่อความบ้าวูบเดียว ทีนี้ถ้ามันดับ ก็คือไม่รู้สึกเพราะว่าผัสสะดับ คำว่าผัสสะดับนี้ ถ้าในขณะนั้น มันมีผัสสะให้เกิดอารมณ์นี้ ผัสสะก็ดับ มันก็ดับได้ ทีนี้ในกรณีอื่น มันเกิดสติสัมปชัญญะปัญญาขึ้นมา สำหรับมนุษย์มันก็ดับได้ แต่ถ้าสำหรับสัตว์เดรัจฉานมันก็ทำไม่เป็น แต่สำหรับมนุษย์เราอาจจะทำเป็น ที่เรียกว่าดับด้วยสติ ด้วยสติอย่างที่เรียกว่าสติปัฏฐาน กายคตาสติ ก็ได้ มันก็ดับได้ เพราะว่าเป็นมนุษย์ มันก็ดับได้ เกิดญาณ เกิดวิชชาขึ้นมา ดับอวิชชาเหล่านั้นเสีย มันก็ได้ แต่สัตว์เดรัจฉานทำไม่ได้ เกิดญาณ ความรู้ขึ้นมา โอ้ย, มันเป็นเรื่องความทุกข์มาก อร่อยน้อย แล้วก็ทั้งหมดนี้เพื่อความบ้าวูบเดียว การสืบพันธุ์ทางเพศเพื่อความบ้าวูบเดียวไม่คุ้มกัน ถ้าวิชชา ปัญญา หรือญาณมันเกิดมาอย่างนี้ มันก็ดับได้ และเพื่อดับกันเป็นการถาวร เต็มรูปแบบเพื่ออยู่ ท่านว่าดับด้วยอัฏฐังคิกมัคค์
นี่บอกเสียเลยว่า คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าที่จะดับเรื่องอันเป็นทุกข์โทษอะไรก็ตาม ทุกเรื่องท่านจะตรัสมันดับด้วยอัฏฐังคิกมัคค์ นี้เรียกว่ารู้ไว้ก่อนเลย เชื่อก่อนเลยไม่มีทางผิด จะดับเรื่องที่เป็นเรื่อง เป็นทุกข์ มีปัญหาดับด้วยอัฏฐังคิกมัคค์ทั้งนั้น ไม่ว่าปัญหานั้นจะเป็นอย่างไร ความทุกข์นั้นจะเป็นอย่างไรก็ตามแต่ ท่านตรัสไว้ในฐานะ พอดับได้ด้วยอัฏฐังคิกมัคค์ เรียกว่านิสสรณะ ทางที่จะออกไปได้นั้นคือ อัฏฐังคิกมัคค์ ที่จะออกไปเสียจากอำนาจของกามนี้ก็เหมือนกัน มันก็อัฏฐังคิกมัคค์ อยู่อย่างมีอัฏฐังคิกมัคค์ ความรู้สึกทางกามมันก็ไม่เกิด หรือมันถูกควบคุมไป เงียบไป ด้วยอำนาจของสัมมาทิฐิบ้าง ด้วยอำนาจของสัมมาสมาธิบ้าง จำคำว่าอัฏฐังคิกมัคค์ ไว้ให้ดีมันจะเป็นเครื่องดับปัญหาเหล่านี้ ซึ่งในที่นี้ก็หมายถึงกาม กามารมณ์ ๖ ชนิด ซึ่งเป็นเหมือนบ่วงคล้องคน ๖ บ่วง
ทีนี้ปัญหามันมี ตรงกันข้าม คือมันไม่มีใครที่อยากจะดับ มันมีแต่คนที่อยากจะยื่นคอเข้าในบ่วงนี้ ปัญหาเลยเปลี่ยน ไม่รู้จะพูดกันอย่างไร ในเมื่อสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงเขาไม่ต้องการจะชนะ เขาต้องการจะพอใจ จะเข้าไปหลงใหลอยู่ในนั้น ก็ยื่นคอเข้าบ่วง และเขาบัญญัติตาม ๆ กันเรียกกันตาม ๆ กันไปว่าความสุขสูงสุด ไอ้บ้าวูบเดียวของกามารมณ์เขาบัญญัติเป็นความสุขสูงสุด ผมอ่านพบหน้าหนังสือพิมพ์ที่เขาใช้คำว่าความสุขสูงสุด แล้วก็หมายถึงกามารมณ์อันนี้
เด็กหญิง เด็กชายรุ่นหลังเขาเล็งอันนี้เป็นความสุขสูงสุดทั้งนั้นแหละ แล้วก็ถามปัญหาหมอ ถามกับหมอบ้าง ถามกับครูบ้าง ถามเรื่องความสุขสูงสุดของเขา ก็เพื่อกามารมณ์สูงสุด มันเป็นเพราะเขาไม่ต้องการจะละมัน ต้องการจะส่งเสริมให้มันสูงสุด มันก็พูดกันไม่รู้เรื่อง ไม่ต้องพูดกัน แล้วเขาก็ไม่เห็นบ่วง เพราะเขาจะอยากจะเข้าไปในบ่วง และอยู่ในบ่วง นอนอยู่ในบ่วง ด้วยความรู้สึกว่ามันเป็นความสุขสูงสุด แล้วจะพูดอะไรกัน มันก็ไม่รู้จะพูดอะไรกัน เดี๋ยวนี้เราพูดกันสำหรับคนที่จะเรียกว่ามีปัญญาปกติ มองเห็นความทุกข์เป็นความทุกข์ มองเห็นความสุขเป็นความสุข มองเห็นการทนทรมานเป็นการทนทรมาน นั่นแหละจึงจะมาพูดกันได้เรื่องเอาอารมณ์ของกาม ๖ ประเภท เปรียบเหมือนบ่วง ๖ บ่วงที่คล้องสัตว์ไว้
ผมจะพูด เดี๋ยวก็อาจจะกลายเป็นเรื่องการเมืองหรือเป็นเรื่องตำหนิ การแต่งงานสมรสของเจ้าฟ้าชาร์ลนี่ ลงทุนเป็นสิบ ๆ ล้าน ร้อย ๆ ล้าน เมื่อวานนี้มีการสมรสอันดับโลกของเจ้าฟ้าชาร์ล นี่ก็เพื่อบูชา เพื่อยกย่อง เพื่อส่งเสริมไอ้ความรู้สึกอันนี้ ถึงที่ไหนก็เหมือนกัน เขาเก็บเงินไว้มาก ๆ เพื่อใช้เงินมากที่สุด สูงสุดกัน ดูจะเพื่อการสมรม แต่งงานกันทั้งนั้น ถึงคุณเองออกไปก็ลองดู ที่มีปัญหาอย่างเดียว สึกออกไป สะสมเงินไว้ ใช้สูงสุดครั้งหนึ่ง คือการแต่งงาน ให้เกียรติแก่การสมรสหรือเรื่องเพศกันถึงขนาดนี้ทั้งนั้น เสื้อตัวหนึ่งกี่พันปอนด์ก็ไม่รู้ เสื้อสมรส นี่มันจะเป็นเรื่องแพงมากอะไรไปหมด เพราะว่าเรา มนุษย์สมัยนี้ยกย่องสิ่งเหล่านี้ และเขาว่าเป็นเกียรติสูงสุดของชายหนุ่มหญิงสาว ดังนั้นจึงพูดกันไม่ค่อยรู้เรื่อง และไม่รู้สึกว่าเป็นบ่วง
เรื่องมันก็มีเท่านี้ ว่าไอ้บ่วงคล้องคน คล้องหัวใจคล้องวิญญาณของคนมีอยู่ ๖ บ่วง คือความรู้สึกต่ออารมณ์ที่เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด เป็นที่เข้าไปอาศัยแห่งความรู้สึกของกาม แล้วก็ให้สมัครทนทุกข์ทรมาน ชื่นหน้าชื่นตา ยินดียอมรับทุกข์ทรมาน เพื่อกามารมณ์นั้น เอาไปศึกษาให้ดี แม้ว่าจะยังเอาชนะมันไม่ได้ แต่รู้เรื่องของมันไว้ให้ถูกต้อง มันดีกว่าไม่รู้ ดีกว่าไม่รู้อย่างมากมาย ถึงจะไปหลงมันก็ไม่หลงมาก ต้องรู้ รู้ดี มันไม่หลงมาก มันไม่หลงนาน มันไม่หลงชนิดที่เสียหายมาก นี่คือเรื่องของสิ่งที่เรียกว่ากาม เป็นรากฐานการสืบพันธุ์ เพื่อสิ่งที่มีชิวิตไม่สูญพันธุ์ แล้วก็คิดค่าจ้างแพงมากให้สิ่งที่มีชีวิตยอมทนทรมานเพื่อการสืบพันธุ์ มันมีอำนาจรุนแรง เหนียวแน่น ตัดยาก ละยาก จึงเรียกว่าบ่วง ในบาลีเรียกว่าบ่วงชนิดที่ไม่แสดงการผูก บ่วงตามธรรมดาเราเห็นว่ามัน มันผูกอย่างไร เราก็แก้ตามถอยสวนทางกับที่มันผูก แต่มีบ่วงชนิดหนึ่งซึ่งมันไม่แสดงการผูก แล้วก็ไม่รู้จะแก้อย่างไร คือบ่วงกามารมณ์ด้วยอำนาจของอวิชชา มีวิธีเดียวคือทำวิชชา ปัญญา แสงสว่างให้เกิดขึ้นมา แล้วมันก็ละลายบ่วง ทำลายบ่วงเอง ขอยุติการบรรยายเรื่องของบ่วง ๖ บ่วงไว้แต่เพียงเท่านี้ ก็สมควรแก่เวลาแล้ว