แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
การบรรยายธรรมะปาฏิโมกข์จะได้มีต่อไปจากครั้งที่แล้วมา ขอร้องความเข้าใจซ้ำอีกทีหนึ่งว่าต้องการให้เป็นคำที่ติดปาก จนกลายเป็นเรียกว่าขนบธรรมเนียมประเพณี เป็นคำติดปากก็แล้วกัน สำหรับจะพูดกันง่าย สำหรับจะตักเตือนตนเองก็ง่าย สำหรับจะแนะให้ใครศึกษา สอนใครก็ได้มันง่าย เรามันจำแต่เพียงสองสามคำ และในแต่ละคำ บทนั้นมันมีความหมายที่พอจะคิดได้เอง ผมก็มีหน้าที่แต่เพียงอธิบายความหมายพอให้คิดได้เอง ก็ควรจะพูดกันอยู่บ่อย ๆ ด้วยถ้อยคำเหล่านี้ จะมีอะไรที่ทำให้นึกถึงพระรัตนตรัยก็พูดออกมาว่าไม้สามขา ไม้สามขานั้น แล้วก็พูดถึงตัวศาสตรา ๓ อัน ก็หมายถึง ธรรมวินัย หรือพระพุทธศาสนานั่นเอง เราจะเพ่งเล็งแต่ว่าให้มันเป็นศาสตรา ๓ อันเท่านั้น อย่าให้มันฟุ้งซ่านให้มากความไปจนเวียนหัว พุทธบริษัทมีศาสตรา ๓ อันเท่านั้นก็พอแล้ว ก็แก้ปัญหาได้หมดสิ้น ทีนี้โจรฉกรรจ์ ๓ ก๊กไม่รวมเรื่องกิเลสร้ายทั้งหลายเป็น ๓ พวก เตือนกันให้ระวังโจรฉกรรจ์ ๓ ก๊ก มันเป็นคำใหม่อยู่ มันยังไม่ได้ใช้จนชินปาก ประโยชน์มันก็ยังมีน้อยอยู่ ถ้าต่อไปในอนาคตมันใช้กันจนชินปาก และประโยชน์มันจะมากขึ้น และขอให้จำกันไว้ติดปาก แล้วก็เอามาพูด มาใช้ถ้อยคำเหล่านี้กันให้บ่อย ๆ จะสอนธรรมะให้เด็ก ๆ ให้ชาวบ้านทั่ว ๆ ไปได้โดยสะดวก โดยง่าย ผมจึงได้พยายามร้อยกรองถ้อยคำให้มันเป็นคำกาพย์ กลอน จำง่าย เราได้พูดกันมากี่ครั้งแล้ว
ไม้อิงสามขา ศาสตราสามอัน
โจรฉกรรจ์สามก๊ก ป่ารกสามดง
เวียนวงสามวน ทุกข์ทนทั้งสามโลก
เขาโคกสามเนิน ทางห้ามเดินสองแพร่ง
เข้าใจว่าเดี๋ยวนี้ทุกคนจะได้รู้ความหมายของคำเหล่านี้พอสมควร พอมองเห็นลู่ทาง แต่ก่อนแต่ที่จะได้รับคำอธิบายมันก็งงไปหมด ความหมายไม่รู้ทิศทางไหน ฟุ้งซ่านไปหมด เดี๋ยวนี้มันจับเข้ากันเป็นรูปเป็นร่างแล้ว พอผมพูดขึ้นอย่างนี้ ทุกคนก็แจ่มแจ้งพอสมควรว่าหมายถึงอะไร มันจำเป็นที่จะมีถ้อยคำชนิดนี้อยู่ในวงพุทธบริษัท ในสังคมพุทธบริษัท มีถ้อยคำที่เขาเรียกกันว่าอะไรก็สุดแท้ ไม่ใช่ถึงจะเรียกว่าสุภาษิต แต่มันเป็นหลัก เป็นหัวข้อ เป็นหัวข้อของเรื่อง ทำให้ลืมยาก ลองว่าเล่น ๆ อยู่ทุกวัน ครั้งที่แล้วมาเราใช้มาถึงคำว่าทางห้ามเดินสองแพร่ง
นี่วันนี้ก็จะพูดโดยคำสรุปว่า มดแมลง ๕ ตัว บางคนคงจะนึกได้แล้วว่าผมจะพูดถึงเรื่องอะไร มดแมลง ๕ ตัว เพราะเคยพูดถึงสิ่งนี้มาหลายครั้งแล้ว ในการบรรยายอื่น ๆ โดยเปรียบนิวรณ์ทั้ง ๕ เหมือนกับมดแมลงที่รบกวน บางคนก็เข้าใจแล้วจนเกือบจะไม่ต้องอธิบายก็ได้ แต่เพื่อให้เห็นแก่คนที่ยังไม่เข้าใจ ก็ยังอธิบายต่อไปตามลำดับ มดแมลง ๕ ตัวที่สำคัญที่สุดก็ต้องจับความหมายของคำว่ามดแมลงให้ได้ คือมดแมลงนั้นไม่ใช่เสือ คุณไม่มองเห็นเหรอ เมื่อพูดว่ามดแมลงไม่ได้หมายความถึงเสือ ไม่ได้หมายความถึงงูเห่า ไม่ได้หมายความถึงอะไร ทำนองนั้น มดแมลงเล็ก ๆ ไปเปรียบดูกับเสือ กับงูเห่า หรือว่ากับอะไรที่มันร้ายกาจ ทีนี้ก็มาดูตามข้อเท็จจริงว่าไอ้เสือหรืองูพิษร้ายนั้น มันไม่ได้มาหาเรา รบกวนเรา เป็นประจำวัน เหมือนกับมดแมลง ถ้าอยู่ตามบ้านเรือน กุฎิ วิหารต่าง ๆ มันก็รบกวนกันเรื่อย มดแมลงอยู่เกือบจะตลอดวันก็ได้ ส่วนเรื่องเสือหรืองูเห่ามันไม่รู้ที่ไหน มันยังไม่มา นี่มันก็มีธรรมะ แสดงถึงกิเลสในระดับแมลงอยู่หมวดหนึ่ง ทว่า โจรฉกรรจ์ ๓ ก๊ก คือ โลภะ โทสะ โมหะ นั้นมันมาในอัตตาเดียวกันกับเสือหรือกับงูเห่า เอาตายเลย แต่มดแมลงนี้มันไม่ใช่อย่างนั้น เราจะแยกความหมายของมดแมลงได้เป็นสองอย่าง คือ ทำให้เจ็บปวดบ้างเล็กน้อยคือไม่ตายแน่ นี่อย่างหนึ่ง แล้วก็ทำให้รำคาญจนทำอะไรไม่ได้ นี่ก็อีกอย่างหนึ่ง มดแมลงมันจะทำได้มากเท่านี้แหละ เพียงเท่านี้ เท่านั้นแหละ มันจึงเรียกว่ามดแมลง แต่ว่าเพียงเท่านี้ก็มันไม่ใช่เล็กน้อย มันทำความเสียหายให้มากเหมือนกัน ตามแบบของแมลง แล้วมันก็เป็นความทุกข์แบบหนึ่งอีกเหมือนกัน มันเป็นความทุกข์หยุมหยิมไปตามแบบของแมลง แมลงบางชนิดทนทานที่สุด เช่น แมลงหวี่ที่ตอมตา ตอมหู ปัดไปก็มาอีก ปัดไปก็มาอีก อยากจะนอน ก็นอนไม่หลับ เพราะมันมาตอม จะนั่งให้สบายก็ไม่ได้ อ่านหนังสือก็ไม่ได้ มันมากวน อย่างแมลงหวี่ตัวเล็ก ๆ มันก็ทำอย่างนี้ ทำลายความสงบสุข แล้วก็กวน ไม่ให้ทำอะไรตามที่เราอยากจะทำ มันคล้ายกับว่าเป็นอะไรดี เป็นไอ้กองรบกวนเล็ก ๆ น้อย ๆ กองรบกวนที่ไอ้โจรฉกรรจ์สามก๊กมันส่งมา ไอ้โจรฉกรรจ์สามก๊กนั้นมันมีแผนการที่จะเอาตายเลย และเมื่อมันยังมาไม่ได้ มันก็ส่งไอ้กองรบกวนนี้มาเป็นรูปของนิวรณ์ทั้งห้าเช่น กามฉันทะ มันก็เป็นเรื่องของราคะ โลภะ พยาบาท มันก็เป็นเรื่องของโทสะ ไอ้นอกนั้นมันควรจะสงเคราะห์ไว้ในเรื่องของโมหะ มันก็มาจากไอ้โจรฉกรรจ์สาม ก๊ก เราจึงถือว่ามันเป็นกองรบกวนที่โจรฉกรรจ์สามก๊กมันส่งมา พอรบกวนจนเราอ่อนแอแล้วนั่นแหละมันจะออกมาฆ่าโดยตรง ในนามของโจรสามก๊ก เดี๋ยวนี้ส่งมาในนามของกองรบกวน เรียกว่า นิวรณ์ทั้งห้า
คำว่านิวรณ์ แปลว่า ปิดหรือกั้น ก็หมายถึง ปิดกั้นไม่ให้ประสบความสำเร็จนั่นเอง การตั้งใจจะทำความดี ความก้าวหน้าในทางโลกก็ได้ ในทางธรรมก็ได้ มันไม่ประสบความสำเร็จ เพราะมันมีไอ้กองรบกวน เหมือนกับว่าคอยปิดกั้นเอาไว้ไม่ให้ทำได้ แล้วมันก็ได้น้ำหนักหรือได้ประโยชน์ทั้งฝ่ายกิเลส ให้ถือเหมือนกับตัวอย่างที่ยกมาว่าไอ้กองรบกวนห้าตัวนี้ มารบกวนให้รวนเร ให้อ่อนแอ แล้วไอ้ตัวโจรฉกรรจ์สามตัวมันก็จู่มาฆ่าเราอีก วินาศไปเลย เพราะไอ้ตัวกองรบกวนนี้มันมาทำให้ถอยกำลังอยู่ตลอดเวลา ขอให้สังเกตุจนเข้าใจตามนี้ ไม่ใช่ว่าจะเอามาพูดกันเป็นเรื่องตลกหรือสนุก ให้มันเสียเวลา ต้องการจะให้เห็นให้ชัดลงไปว่าในชีวิตประจำวันนั้นมีความรู้สึก ๕ ประการนี้มารบกวน จะอยู่เป็นพระก็ได้ ออกไปเป็นฆราวาสก็ได้ ล้วนแต่มีหน้าที่ที่จะต้องทำให้ดี แล้วมันทำไม่ได้ด้วยมันมีกองรบกวนของกิเลส คือ นิวรณ์ทั้ง ๕ หรือเพื่อจะเข้าใจนิวรณ์ทั้ง ๕ ก็อย่าศึกษาจากหนังสือหนังหา ตำรับตำราเลย ไปศึกษาจากตัวชีวิตจริงที่เป็นอยู่ประจำวัน ประจำวันว่ามันมีสิ่งทั้ง ๕ นี้อย่างไร จะศึกษาได้ง่ายมาก แล้วจะศึกษาได้ลึกซึ้งถึงที่สุดด้วย ไอ้ความรู้สึกทางเพศหรือทางกามนั้น มันเป็นสมบัติดั้งเดิมในสัญชาตญาณของสัตว์ แล้วมันก็มีต่างกันอยู่ระหว่างคนกับสัตว์ ไอ้ความรู้สึกทางเพศของสัตว์มีน้อย ชั่วเวลาที่มันถึงฤดู ถึงคราวเข้า คือต่อมแกรนด์ทางเพศนั้น ๆ มันสุกงอม มันก็ก่อให้เกิดกิเลสอันนี้ คือความรู้สึกทางเพศขึ้นมารบกวน มันก็ต้องไปปฏิบัติกิจกรรมทางเพศชั่วฤดู ชั่วเวลาอั้นสั้น ปีหนึ่งคงไม่กี่วัน ทั้งกามฉันทะไม่ได้รบกวนสัตว์เดรัจฉานมากเท่ากับที่มันรบกวนมนุษย์ ข้อนี้ก็เพราะเหตุว่ามนุษย์นี้เผอิญมันมีสัตว์ มันเป็นสัตว์ที่วิวัฒนาการขึ้นมาเร็วมากในทางจิตใจ จนมันคิดนึกได้สูงกว่าระดับสัตว์ การเสวยอารมณ์ การอะไรต่าง ๆ มันก็เป็นความรู้สึกที่สูงกว่าสัตว์ อันนี้เป็นเหตุให้มนุษย์มีปัญหามากกว่าสัตว์ เพราะมนุษย์อาจจะสร้างความรู้สึกทางกามารมณ์ได้ไม่มีที่สิ้นสุด แล้วก็เมื่อไรก็ได้ ความคิดทางกามารมณ์ มนุษย์สร้างขึ้นมาเมื่อไรก็ได้ แล้วก็มีอุปกรณ์ส่งเสริมความรู้สึกทางกามารมณ์มาก ซึ่งสัตว์ทำไม่เป็นเลย ที่เขาเรียกกันว่า ไอ้ลักเพศ สัตว์ทำไม่เป็น ไม่มีลักเพศ แต่มนุษย์มีมาก มากจนไม่รู้จะมากอย่างไร มันมีบาปหนามากที่มันสั่งสอน ชี้แจง ชักจูง อบรมกันจนมีมากแบบ มากอย่าง หลายวิธีการ มันก็เป็นการพอกพูนจิตใจ นิสัย ติดนิสัยลงไปในจิตใจ ให้พอใจ ให้เกี่ยวพันกันอยู่กับความรู้สึกทางเพศ จนเกิดเป็นพวกกามารมณ์ขึ้นมา สัตว์นั้นจะมีแต่เรื่องการสืบพันธุ์ ความรู้สึกทางเพศเกิดขึ้นเพื่อการสืบพันธุ์ด้วยต่อมแกรนด์สำหรับการสืบพันธุ์ มันมีความหมายจำกัดเพียงแค่การสืบพันธุ์ เราจึงเห็นได้ในสัตว์เดรัจฉาน ในฤดูสืบพันธุ์ มันก็มีเท่านั้น ไม่กี่วันมันก็เลิกกัน
ส่วนมนุษย์นี้มันขยายออกไปเป็นอีกแผนกหนึ่งต่างหาก เรียกว่า กามารมณ์ ซึ่งไม่เกี่ยวกับการสืบพันธุ์ เราจึงได้เห็นการงานที่เขาสร้างขึ้นเพื่อกามารมณ์ ให้คนหลงใหลกามารมณ์ตลอดปี ตลอดเดือน ตลอดปี ส่วนนี้ไม่ใช่การสืบพันธุ์ ไม่ได้เป็นไปเพื่อสืบพันธุ์ เป็นไปเพื่อกามารมณ์ ในครั้งพุทธกาลไม่รุนแรงมากเหมือนยุคปัจจุบันนี้ กิจกรรมที่ส่งเสริมความรู้สึกทางกามารมณ์นั้นก็มีเหมือนกัน ไม่ใช่ไม่มี ก็ปรากฎว่ามีโสเภณี มีการเล่นอะไรที่มันเพื่อกามารมณ์ก็มี แต่ไม่มากเหมือนเดี๋ยวนี้ มนุษย์เดี๋ยวนี้จะต้องมีความรู้สึกทางกามารมณ์รบกวนมาก ผิดกับคนสมัยโน้น ความรู้สึกอันนี้เรามาเรียกว่า กามะฉันทะ คือความรู้สึกต้องการกามารมณ์ที่เกิดขึ้นกรุ่น ๆ กรุ่น ๆ อยู่เรื่อย บ่อย ๆ ในวันหนึ่งวันหนึ่ง ไปสังเกตุดูเอาเอง ไปศึกษาดูเอาเอง จากบุคคลบางคนที่มันเป็นโรคชนิดนี้มาก จะเข้าใจได้ พอมันมารบกวนแล้วมันก็ทำอะไรไม่ได้ จะเขียนหนังสือสักหน้าสองหน้าก็ทำไม่ได้ จะแต่งกลอนเล่นสักบทสองบทก็ทำไม่ได้ ด้วยความรู้สึกชนิดนี้มารบกวน กระทั่งจะไหว้พระสวดมนต์ก็ทำไม่ได้ อะไรอะไรมันก็ทำไม่ได้ มันต้องไปหาเหยื่อ ถ้ามันไปหาไม่ได้หรือมันไม่มีเหยื่อมาให้ได้ตามต้องการ มันก็ทุรนทุราย กระวนกระวาย นี่คืออาการของแมลงที่รบกวนให้รำคาญ และบางทีก็กัดเอาหรือต่อยเอาเล็ก ๆ น้อย ๆ พอเจ็บปวดเล็ก ๆ น้อย ๆ ชนิดที่เอายาหม่องทาหาย แต่มันทำลายการงานเสียมากกว่า โดยเฉพาะการงานทางจิตใจ ผู้มีหน้าที่ดำเนินงานทางจิตใจ ต้องมีจิตที่ปราศจากนิวรณ์ทั้งนั้น
นิวรณ์ทุกอย่างเราพูดตัวแรก ข้อแรก คือ กามะฉันทะ มันเป็นความรู้สึกที่เคยชิน ที่เพิ่ม เพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น มันก็มาจากอนุสัยส่วนลึกในสันดาน ความเคยชินทางกามเรียกว่าอนุสัย ราคานุสัย ส่วนนั้นมันมีความเคยชิน แล้วความเคยชินนี้ขยายออกมาเป็นความรู้สึกทางกามารมณ์ระดับนิวรณ์ ไม่ถึงกับระดับราคะ โลภะอะไรเต็มตัว แล้วก็ทำให้ยุ่งยากลำบากมากกว่าที่จะเป็นกิเลสเต็มตัวเสียอีก เพราะว่ามันกวนเรื่อย แม้แต่กวนเล็ก ๆ น้อย ๆ มันก็กวนเรื่อย หาความเป็นสุขไม่ได้ ก็หมายความว่าเป็นสมาธิไม่ได้ จิตจะดิ่งเดี่ยวลงไปในหน้าที่ การงานไม่ได้เพราะไอ้านิวรณ์มันกวน
ทีนี้ก็ดูถึงนิวรณ์ตัวถัดไป พยาบาท นี่ก็ไม่ได้หมายถึง พยาบาทอาฆาตรุนแรง ถึงจะไปฆ่าไปแกงกันเดี๋ยวนั้น แต่หมายถึงความไม่ชอบ ไม่พอใจในสัตว์ สังขารคนใดคนหนึ่งอยู่จนถึงกับว่ามันมาปรากฎในความรู้สึกอยู่เรื่อยไป ไอ้คนที่เราเกลียดชังมันมาปรากฎอยู่ในความรู้สึกเรื่อยไป เดี๋ยวมา เดี๋ยวมา เดี๋ยวมา ไอ้ที่เป็นศัตรูคู่อาฆาตนั้นมันมีหลายแบบ แบบที่รุนแรงจะฆ่ากันเสียให้ตายเร็ว ๆ นี้ มันก็อีกแบบหนึ่ง แบบที่มันไม่ถึงขนาดนั้นแต่มันเกลียดชังอย่างลึกซึ้ง ความเกลียดชังอันนี้จะมากวนเราอยู่บ่อย ๆ ถ้ามีคนเกลียด มาก ๆ ก็ไม่ต้องทำอะไรกัน มีแต่ความรู้สึกเกลียดคนนั้นที เกลียดคนนี้ที ผุดขึ้นมาในห้วงนึก ห้วงคิด จนทำอะไรไม่ได้ ก็เสียเปรียบคนที่เขาไม่มีคนเกลียด ไม่มีศัตรู ไม่มีคนเกลียด เขาสบายกว่า เราต้องทำจิตใจเสียใหม่ อย่าให้มันรู้สึกว่าเป็นการเกลียด มีความเกลียดนั้นเป็นเรื่องปฏิบัติธรรมะในสายของเมตตา มีเมตตากรุณา เดี๋ยวนี้เรากำลังพูดถึงเมื่อมันทำหน้าที่รบกวน อึดอัดขัดใจ นั่นที นี่ที โน่นที เรื่อยไป ใช้คำรวม ๆ กันแล้วก็ใช้คำว่าไม่โปร่งก็แล้วกัน เมื่อใดจิตไม่โปร่ง เมื่อนั้นเรียกว่าจิตมีนิวรณ์ เป็นกามฉันทะบ้าง เป็นพยาบาทบ้าง นี้ดูตัวต่อไปมันจะเข้าใจได้ง่ายขึ้น เพิ่มขึ้น เรียกว่า ถีนะมิทธะ ความที่จิตแฟบ ละเหี่ย ละห้อย มึนชา คือ ฝ่ายตกต่ำ จิตมีกำลังตกต่ำ สูญเสียความสดชื่นแจ่มใส
อีกตัวถัดไปก็คือตรงกันข้าม มันคือฟุ้ง ฟุ้งเกินระดับที่มันฟู เรียกว่าฟุ้งซ่าน ส่วนอีกอันหนึ่งมันลดกว่าระดับ จำไว้เป็นคู่กันดีกว่าว่า ถีนมิทธะ จำไว้เป็นคู่กับ อุทธัจจกุกุจจะ เมื่อจิตมีการลดต่ำกว่าระดับคือมีกำลัง มีมรรถนะ มีปกติภาวะอะไรก็ตาม มันลดต่ำลงไปกว่าระดับ ก็เรียกว่านิวรณ์ตัวที่ ๓ ในเมื่อจิตมันฟู บ้า ๆ บอ ๆ ของมันไปเกินระดับ ก็เป็นความฟุ้งซ่าน ก็เรียกว่า นิวรณ์ตัวที่ ๔ คือ อุทธัจจกุกกุจจะ ใช้คำสั้น ๆ เพียงคำเดียวก็ได้ เช่นว่า จิตแฟบ คือ นิวรณ์ตัวที่ ๓ จิตฟู คือ นิวรณ์ตัวที่ ๔ ไปอธิบายคำว่า แฟบ ว่า ฟู เอาเองก็แล้วกัน มันจะมีเหตุปัจจัยอะไรก็สุดแท้แต่ ทว่าจิตมันเป็นอย่างนี้แล้ว เราต้องเรียกว่านิวรณ์ มันก็มีต้นตอมาจากอวิชชา โมหะ มาจากโมหะ หรือมันเป็นการปรุงแต่งแบบโมหะ ถีนมิทธะนี่มันมีได้แม้แต่โดยเหตุปัจจัยทางวัตถุภายนอก เช่น กินอะไรเข้าไปมาก มันก็ง่วงนอน เพราะว่าร่างกายมันต้องการจะเอาโลหิตไปย่อยอาหารในกระเพาะ นี้โลหิตที่จะไปเลี้ยงมันสมองให้สดชื่น มันขาดไป แล้วมันก็อยากจะพักผ่อน สมองอยากจะพักผ่อน มันจึงมีการมึน มีการง่วง มีการลดลงไป คือมันง่วงนอน มันอยากจะนอน เพื่อเอาโลหิตไปย่อยอาหารในกระเพาะ อย่างนี้ก็เรียกว่านิวรณ์เหมือนกัน เพราะมันมีผลเหมือนกัน แม้มันไม่ใช่เป็นกิเลสมากมายหรือโดยตรง แต่มันก็เป็นกิเลสนั่นแหละ และถ้าเราฉลาด เราก็อย่ากินอาหารให้มันมากจนทำให้ต้องไปหยุดนอนเพื่อย่อยอาหาร เราสังเกตุดูเห็นว่าไอ้สัตว์ แม้มันจะกินเข้าไปอิ่ม วัวควายกินหญ้า หรือแมวหมากินข้าวต่าง ๆ มันไม่ได้กินอิ่มจนต้องไปนอน ผมพยายามให้มันกิน แมวนี่มันก็ไม่อิ่มมากจนต้องไปนอน มันกินเต็มที่แล้ว มันก็ยังร่าเริง ผ่องใส กระโดดโลดเต้น อะไรอยู่ ไม่ต้องไปนอน คนเรานี่ระวังให้ดี มันจะกินเกินไปจนต้องไปนอน ถ้าไม่นอน มันนั่งง่วงโงกอยู่ คิดอะไรก็ไม่ได้ เรียนหนังสือก็ไม่ได้ ฟังเทศน์ก็ไม่รู้เรื่อง นี่เรียกว่าแม้ปัจจัยภายนอกทางวัตถุก็ทำให้เกิดไอ้นิวรณ์ตัวนี้ได้ คือ ถีนมิทธะ ซึมเซา ละเหี่ย ละห้อย ง่วงเหงาหาวนอน จัดสิ่งแวดล้อมให้ดี อย่าให้มันเกิดอาการอย่างนี้ จัดสิ่งกระตุ้นความรู้สึกให้สดชื่นแจ่มใสอยู่เสมอ อย่าให้มันลดลงไปสู่ความอ่อนเพลีย ละเหี่ย ละห้อย มึนชา ง่วงเหงาหาวนอน
ในพระบาลีมีอยู่ชัดว่า ภิกษุไปบิณฑบาตร ฉันบิณฑบาตรแล้ว กลับมาแล้ว ไปสู่ที่สงัด ทำจิตให้ปราศจากนิวรณ์อยู่ นี่เป็นคำที่เอ่ยทีแรก เพราะเขาทำจิตให้ปราศจากนิวรณ์อยู่ แล้วก็จะพูดไปถึงเรื่องสมาธิ เรื่องฌาณ เรื่องอะไรต่อไป แต่จะมีคำที่เน้นอยู่คำหนึ่งว่าทำจิตให้ปราศจากนิวรณ์อยู่ กลับมาจากบิณฑบาตร ฉันแล้ว ไปสู่ที่สงบสงัด ทำจิตให้ปราศจากนิวรณ์อยู่ นี่ขอให้สนใจคำนี้ แล้วไปลองดู ฉันบิณฑบาตรแล้ว ไปสู่ที่สงัดแล้วหลับฟี้อยู่ นี่มันจะเป็นเสียอย่างนี้ มันต้องต่อสู้ เพราะความง่วงเกี่ยวกับการเมาในอาหารที่มากเกิน มันต้องต่อสู้ ทางที่ดีก็อย่าให้มันมากจนมันง่วงนอน ต้องไปต่อสู้กับนิวรณ์ อย่างนี้มันลำบาก เดี๋ยวมันก็ขอสมัครนอนเสียก่อน ดังนั้นผู้ที่จะมีจิตใจแจ่มใส โปร่ง โปร่ง สดชื่น แจ่มใส ทำงานทางจิตใจได้ตลอดเวลา ขอให้ระวังข้อนี้ด้วย คือ ระวังนิวรณ์ทั้งหมด ระวังนิวรณ์ทั้ง ๕ ตัว กระผมพูดเน้นในข้อนี้ก็เพราะว่าไอ้คนมันชอบกินกันนัก สมัยนี้มันชอบกินเกิน ไม่อยากจะกินแต่พอดี ไปแสวงหาการปรุงแต่งที่ทำให้กินเกิน การ ชูรสมันมีมากมายนัก เดี๋ยวนี้การชูรสที่กินเกิน มันมีมากมายนัก เขาต้องประสบปัญหาข้อนี้คือนิวรณ์ข้อที่จิตใจหนัก ทื่อ มึน ซึม ไม่แอคทีฟ
ทีนี้นิวรณ์ถัดไปที่ว่าฟุ้งซ่าน มันมีเหตุปัจจัยของมันเหมือนกัน สำหรับความฟุ้งซ่าน มันเกี่ยวกับระบบประสาท ระบบสมองที่ไปทำกับมันผิด ให้มันต้องฟุ้ง ต้องการให้มันระงับลง มันไม่ระงับ เหมือนกับคนนอนไม่หลับ นอนตาแห้งอยู่ตลอดคืน จิตมันฟุ้ง คล้าย ๆ กับว่าไอ้สมองนี้มันเหมือนเครื่องจักรชนิดหนึ่ง พอไปเขี่ยมันถูกจุดเกินแล้วมันก็เดินของมันอย่างที่ไม่ยอมลดละ เราต้องปฏิบัติให้เป็นระเบียบอยู่เป็นประจำ อย่าได้เกิดอาการชนิดนี้ขึ้นมา อย่าอวดว่าพอจิตฟุ้งแล้วทำอานาปานสติแล้วมันจะหยุดได้ง่าย ๆ ตามต้องการ ในกรณีที่มันมีเหตุปัจจัยมาก มันยากที่จะทำสมาธิให้ความฟุ้งนี้มันหยุดลงไปได้ แม้แต่เพียงจะให้นอนหลับลงไปได้ นี้ก็ยังทำไม่ได้ ต้องกินยานอนหลับ ยานอนหลับมันก็ขายดี เพราะเหตุนี้
เรารู้จักป้องกันโดยวิธีของธรรมะ คือ รู้เท่าทันการฟุ้งซ่าน มันจะเกิดขึ้นได้อย่างไร คนสมัยนี้เขาชอบถือหลักว่าชีวิตนี้อยู่ได้ด้วยความหวัง ความหวังนั่นแหละคือชีวิต มันก็เผาอยู่ด้วยความหวัง ขยายความหวังออกไปเรื่อย อย่างที่เรียกว่าฝัน ฝันเฟื่อง ฝันทั้งตื่น ๆ เป็นเรื่องสร้างวิมานในอากาศได้ทั้งฝันตื่น เพราะไอ้อันนี้มันเป็นนิสัย เป็นอะไรขึ้นมา คนนั้นก็จะฟุ้งซ่านเก่ง จะนอนหลับยาก แล้วมันก็มีเหตุปัจจัยภายนอกด้วยเหมือนกัน เช่นเดียวกับถีนมิทธะ มันมีเหตุปัจจัยภายนอก เช่น อาหาร เป็นต้น ส่วนไอ้อุทธัจจกุกกุจจะมันก็มีเหตุปัจจัยภายนอกช่วย ไอ้ยาเสพติดบางจำพวกที่มันทำให้นอนหลับไม่ได้ กระตุ้น เดี๋ยวนี้เขาทำยากระตุ้น มีขายให้คนที่อยากทำงานมาก ๆ ไม่ง่วงนอน กินเข้าไปแล้ว มันไม่ง่วง ระวังให้ดีเถิด มันจะเกิดปัญหาอย่างอื่นขึ้นมา ในพวกนิวรณ์ คือ ความฟุ้ง แล้วก็จะเกิดปัญหาร้ายแรงในบั้นปลาย กลายเป็นคนบ้าไปก็ได้ เพราะไอ้ความฟุ้งมันควบคุมไม่ได้ ผมเห็นว่าไม่ควรจะไปใช้ยาประเภทนั้น แล้วทำให้จิตทำกิจกรรมของจิตให้มันเป็นระเบียบ เวลาทำงาน เวลาพักผ่อน เวลาทำสมาธิ เวลาไหว้พระสวดมนต์ ไอ้คนบางจำพวก บางประเภท เขามีวัฒนธรรมที่ดีที่จะกำจัดนิวรณ์ประเภทนี้ พวกแขกปาทาน อัฟกานิสถาน ผมเห็นหลาย ๆ คน เขาเดินชักลูกประคำเรื่อย มันมีพวงประคำอยู่ในมือ ก็ชักลูกประคำแบบพระเหล่านี้เรื่อย เป็นวัฒนธรรมของเขา ทุกคนมีสมาธิดีมาก เป็นพ่อค้า เข้มแข็ง นี่อาศัยวัฒนธรรมที่ทำให้เป็นสมาธิอยู่เป็นปกติ ถ้าพุทธบริษัทเรามีเวลาไหว้พระสวดมนต์ มีเวลาชักลูกประคำ มีเวลาให้ทำอย่างเดียวกันนี้บ้าง จะแก้นิวรณ์ข้อนี้ได้มาก แก้นิสัยแห่งนิวรณ์ฟุ้งซ่านนี้ได้มาก จะเป็นคนที่มีจิตใจเป็นระเบียบ สงบเย็น เมื่อคิดก็คิด เมื่อหยุดคิดก็หยุดคิด เมื่อตื่นก็ตื่น เมื่อนอนก็นอน แบบนี้ไม่มีการฟุ้งซ่าน คือไม่หยุด ไม่ยอมหยุดแห่งระบบคิดหรือระบบประสาท มันไม่ยอมหยุด เหมือนกับเครื่องยนต์ที่ดับไม่ได้ มันคงจะเป็นยากสำหรับทุกคน แต่ก็มีคนไม่น้อยเหมือนกันที่มีปัญหาเรื่องนิวรณ์ฟุ้งซ่าน นิวรณ์คือความฟุ้งซ่าน แล้วเขาชอบคิดเถลไถลนอกขอบเขตจนเป็นความเคยชิน แล้วเมื่อมาถือหลักกันว่ามีชีวิตอยู่ด้วยความหวังแล้วจะส่งเสริมนิวรณ์ประเภทนี้ ผมได้ยินเด็ก ๆ แล้วส่วนมากก็เป็นเด็กผู้หญิงเสียด้วย ว่าชีวิตนี้อยู่ด้วยความหวัง แล้วเขาก็มีความหวัง มันก็เป็นการส่งเสริมนิวรณ์นี้ แล้วสักวันหนึ่งจะประสบปัญหาที่หยุดความฟุ้งซ่านนี้ไม่ได้ จะเป็นโรคประสาทหรือเป็นบ้าไปเลย น่าจะนึกถึงวัฒนธรรมที่ดีของชนบางชาติ ที่เมื่อเราปฏิบัติตามอยู่เป็นขนบธรรมเนียมประเพณีแล้วมันป้องกันกิเลสและป้องกันนิวรณ์ได้ ในสมัยที่เขาถือศาสนากันจริงจัง มันก็ป้องกันสิ่งเหล่านี้ได้ เราก็มีการไหว้พระสวดมนต์กันเสียเรื่อย
นิวรณ์ข้อสุดท้ายที่ ๕ เรียกว่า วิจิกิจฉา วิจิกิจฉาที่ว่าที่จริงก็คือความฟุ้งซ่านชนิดหนึ่ง แต่มันคนละรูปแบบ ความไม่ยุติของความคิดหรือสติปัญญา มันตั้งข้อสงสัยเรื่อย มันมีเหตุปัจจัยของมัน มันตั้งข้อสงสัยเรื่อย เรียกว่า ความระแวง สติปัญญามันเลยขอบเขต มันตั้งข้อสงสัย แม้ในข้อที่ตัวเองได้คิดนึกตกลงใจ เป็นที่พอใจ แล้วมันก็ค่อย ๆ เกิดเป็นนิสัยมากขึ้น มากขึ้น ที่จะสงสัยตัวเอง สงสัยทุกอย่างที่ตัวเองได้ยึดถือเป็นหลัก นี่มันเป็นเหตุให้สงสัย แม้แต่พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ตามที่ได้ศึกษามาแล้วอย่างไร ยังตั้งข้อสงสัยว่าจะไม่จริงตามนั้น จะไม่เป็นไปตามนั้น แล้วยิ่งเขาปฏิบัติอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ ผิด ๆ ถูก ๆ แล้วไม่ได้ผลตามที่ต้องการ แล้วเขาก็ไปโทษพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ว่าไม่จริงโว้ย จะมีได้ อันตรายมาก ต้องฝึกตนให้เป็นผู้ที่มีอะไรแน่นอน เฉียบขาด และเป็นระเบียบ อย่าให้มันคอยระแวง ไอ้ความคิดในชั้นต้นมันคิดว่าอย่างไรถูกต้องที่สุด ดีที่สุด แล้วก็ยุติ แล้วก็ทำ แต่แล้วก็เกิดนิวรณ์ แมลงนี้มาอีก มาตอม ไอ้หลักเกณฑ์ที่ได้ทำไว้ดีแล้ว วางไว้ดีแล้ว คือความตั้งข้อระแวง มันก็ระแวงออกมาเป็นวงกว้าง ระแวงหลักการ ระแวงวิธีการ แล้วก็ระแวงบุคคลที่จะร่วมงานด้วย เดี๋ยวมันก็ระแวงบุตร ภรรยา สามี มันระแวงกันไปหมด ก็เลยหาความสุขไม่ได้ พยายามเป็นผู้มีสติให้มาก ทำอะไรให้เป็นระเบียบ ให้มันแน่ชัดลงไปว่ามันอย่างนี้ อย่างนี้ ก็ฝังความรู้สึกอันนั้นไว้ มีสติสมบูรณ์มันจะไม่เกิดความสงสัยขึ้นมาในเรื่องที่ได้คิดไว้ดีแล้ว ได้ตั้งไว้ดีแล้ว
ดังนั้นเราหัดมีสตินับตั้งแต่เบื้องต่ำ เบื้องต้นที่สุด เช่น สติที่จะไม่ลืม ไม่ขี้ลืม สติที่ว่าทำอะไรก็ทำด้วยจิตใจทั้งหมดคือบทฝึกสติทั้งหลาย คือทำอะไรก็ทำด้วยจิตใจทั้งหมด ชัดเจนลงไป แม้งานเลวที่สุด งานล้างจาน งานถูบ้าน ก็ต้องทำด้วยจิตใจทั้งหมด ด้วยสติทั้งหมด หรือว่างานง่าย ๆ ที่เราทำวันละมาก ๆ เช่น ปิดประตู เปิดประตู วันละหลาย ๆ หน อย่างนี้ ต้องปิดและเปิดด้วยสติ ไม่ดังนั้นจะไประแวงอยู่ว่าประตูปิดหรือยัง จะไปหลับให้ได้ ประตูมันปิดแล้วหรือยัง อย่างนี้เป็นต้น ก็เพราะว่าเขาเป็นคนที่ไม่มีสติที่สมบูรณ์ ความรู้สึกไม่เด็ดขาด ไม่เป็นระเบียบ เรียกว่า วิจิกิจฉา แปลว่า ความลังเล แต่เขาแปลกันว่า ความสงสัยก็มี เพราะมันคล้ายกันมาก ความลังเล ความสงสัย เราคิดดีที่สุดว่าเอาอย่างนี้แล้วก็เกิดลังเลขึ้นมาอีก นี่ วิจิกิจฉา ไอ้สงสัยมันควรจะขจัดหมดไปตั้งแต่เมื่อแรกคิดว่าจะเอาอย่างไร คิดให้ดีถึงที่สุดแล้วก็ไม่สงสัย มันก็อาจจะไม่มีความสงสัยทีหลัง เพราะมันอยู่ในรูปของความลังเล ลังเลของเดิม ทีนี้มันก็เหมือนกันกับนิวรณ์อื่น ๆ มันขึ้นอยู่กับปัจจัยภายนอก มีอะไรเข้ามาแทรกแซงบ้าง แล้วก็ทำให้เราลังเล อันนี้หลักการเดิม จนมันมีอะไรเกิดขึ้น ทำให้ลังเล แผนการที่ได้วางไว้ดีแล้ว มันมีได้ ควรจะเก่งกว่านั้น ควรจะคิดได้ดีกว่านั้น อย่ามามัวลังเลในแผนการที่วางไว้ดีแล้ว อยู่บ่อย ๆ
นี่เราพูดถึงนิวรณ์ครบทั้ง ๕ แล้ว แล้วก็ดูกันอีกทีในรูปลักษณะของแมลง ไม่ใช่เสือร้าย ไม่ใช่งูพิษ ไม่ใช่อะไรที่มันใหญ่โตขนาดนั้น คิดดูกันในเรื่องทางธรรมะ นิวรณ์นี้เขาเป็นคู่ปรปักษ์กันกับความเป็นสมาธิ ถ้ามีสมาธิแล้วไม่มีนิวรณ์ ถ้ามีนิวรณ์แล้วไม่มีสมาธิ ถ้าทำสมาธิสำเร็จก็ไม่มีนิวรณ์ เพราะว่าสมาธิคือการกวาดนิวรณ์ออกไปหมด จิตเป็นอิสระ จิตปกติ จิตสดชื่น จิตเข้มแข็ง จิตว่องไว ตามแบบของจิต มันจะมานั่งนิ่งหลับตาเป็นท่อนไม้ไม่ใช่ เป็นผู้มีจิตสดชื่น แจ่มใส เข้มแข็ง ว่องไว มีสมรรถนะทางจิตสูงคือความเป็นสมาธิ ถ้ามีนิวรณ์มันเป็นไม่ได้ ถ้าเป็นไปได้มันต้องไม่มีนิวรณ์ ดังนั้นเราจึงมีเป็นหลักตายตัวว่าการทำสมาธิคือการกำจัดนิวรณ์ด้วยกำลังจิตที่ดีกว่า ที่เหนือกว่า ที่สูงกว่า นิวรณ์ทั้ง ๕ ถูกกวาดเกลี้ยงไป จิตโผล่มาเป็นจิตชนิดที่เป็นสมาธิ พร้อมที่จะมีปัญญาต่อไปอีก มันเป็นความสุขอยู่ในตัว เมื่อแมลงไม่รบกวนให้เรารำคาญ เราก็สบาย เราก็นอนหลับดี ถ้าจะนอนเล่นก็นอนได้ นอนเล่นสบายดี เมื่อแมลงมันไม่กวน ขอให้ถือว่าเป็นหน้าที่หรือเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับมนุษย์ทุกคนที่จะมีชีวิตอยู่ด้วยจิตที่ปราศจากนิวรณ์ อย่าถือว่าเป็นเรื่องศาสนา เรื่องในป่า เรื่องของฤาษีชีไพร อย่าไปถืออย่างนั้น อยู่ที่บ้าน อยู่ในโลก อยู่ในกรุง อยู่ในเมืองหลวง อยู่ในออฟฟิศ เราจะต้องมีจิตที่ปราศจากนิวรณ์ เราจะมีสมรรถนะในการทำงานได้ดีที่สุด แล้วก็สบายที่สุด อยู่ในตัวการงานนั้นได้ ทำจิตให้เป็นสมาธิ ปราศจากนิวรณ์ นี่มันเป็นหลักอย่างนี้ ทำจิตให้เป็นสมาธิ ปราศจากนิวรณ์ ชำระจิตให้ปราศจากนิวรณ์ พอตื่นนอนขึ้นมา ตั้งหลักในการชำระจิตให้ปราศจากนิวรณ์ทุกอย่าง เรื่องกิน เรื่องอาบ เรื่องถ่าย เรื่องอะไร อย่าให้มันเกิดความรู้สึกประเภทที่มันรบกวนจนกระทั่งไปทำงานที่ออฟฟิศ ทำด้วยจิตที่ปราศจากนิวรณ์ตลอดเวลา มันจะมีผลวิเศษที่ว่าเป็นความสุขตลอดเวลา ถ้างานนั้นดีที่สุดด้วย งานที่ทำนั้นจะดีที่สุดด้วย
ที่ผมพูดเมื่อคืนนี้ ขอให้แสวงหาความสุขจากการงานเถิด อย่าไปมัวหวังหาจากผลของงานเลย ถ้าคุณไปหวังผล หวังความสุขจากผลของการงานแล้วจะมีนิวรณ์เพิ่มขึ้น ดังนั้นเมื่อทำการงานอยู่ จงแสวงหาความสุขจากตัวการกระทำนั้นเถิด อย่ามัวไปหวังผล หวังจากผลของการงานเลย มันจะสร้างนิวรณ์ให้เกิดขึ้น ทีนี้เราก็เป็นสุขอยู่ในการทำการงาน จิตชนิดนี้ทำได้ดีและงานมันก็ดี ผลงานมันจะไม่ไปไหนเสีย เดี๋ยวมันจะมากเกินไปจนต้องเอาไปทิ้งก็ไม่แน่ เพราะว่าเรามันได้รับความสุขเป็นที่พอใจอยู่แล้ว เมื่อจิตปราศจากนิวรณ์ก็เป็นสมาธิ เมื่อเป็นสมาธิก็เป็นสุขที่สูงขึ้นไปกว่าธรรมดา
ธรรมดาจิตก็ต้องพอใจ ผ่องใส ก่อนที่จะเป็นสมาธิได้ แต่เมื่อเป็นสมาธิแล้วมันก็พอใจ ผ่องใส แล้วก็เป็นสุขยิ่งขึ้นไปกว่านั้นอีก จนเรารู้สึกว่ามันมาก ว่ามันไม่ใช่ธรรมดา เพราะมันเป็นของดี พิเศษ หรือวิเศษสำหรับมนุษย์ จิตใจสดใส สว่างไสว อิสระ เยือกเย็น เป็นชีวิตที่ปราศจากนิวรณ์ ซึ่งเดี๋ยวนี้คงจะเข้าใจผิด ไม่ต้องการกันก็ได้ ถ้าเขาต้องการสิ่งกระตุ้นความรู้สึกทางกามะฉันทะ แล้วถ้าว่าโกรธใคร เกลียดใครอยู่ เขาก็ชวนกันหาทางแก้แค้น มันคิดไปในทางแก้แค้น ไม่ต้องการให้ปล่อย ให้เลิก ให้ระงับความเกลียดชัง ความพยาบาท อาฆาต ถึงทว่าง่วงนอนขึ้นมาก็อยากจะไปนอนมากกว่าที่จะต่อสู้ ถ้ามันมีความฟุ้งซ่านขึ้นมา บางทีก็จะผสมโรงเลย แล้วเดี๋ยวนี้มันเจริญด้วยวิถีทางปรัชญา วิถีทางปรัชญานั้นแหละเป็นตัวการสร้างความสงสัยเก่งที่สุด ก็เพิ่มวิจิกิจฉาได้ด้วยวิธีทางปรัชญา นักปรัชญาเขาก็ยอมรับว่าความสงสัยเป็นรากฐานของปรัชญา ความอยากรู้ก็คืออันเดียวกับความสงสัย ความสงสัย อยากรู้ เป็นรากฐานของการคิดนึก ตามวิถีทางปรัชญา คล้าย ๆ กับว่าสมัยนี้เรานิยมไอ้ความไม่แน่นอนหรือไม่นิยมไอ้ความที่ว่าตัดสินใจเด็ดขาดลงไปโดยไม่เอาปรัชญาอะไรมาจับเป็นข้อวิพากษ์วิจารณ์ แม้สำหรับจะสงสัย ขอให้สังเกตุดูก็แล้วกันว่าโลกปัจจุบันนี้เขาไม่ต้องการจิตชนิดที่สงบเย็น ปราศจากนิวรณ์ทั้งนั้น เพราะเขาไม่รู้จักมากกว่า ถ้าเขาเข้าใจ เขารู้จัก เขาคงจะต้องการ
เดี๋ยวนี้มันไปหาวิธีอื่น วิธีใหม่ จะกลบเกลื่อนนิวรณ์ด้วยวัตถุ หาความรู้ทางวัตถุเพื่อจะกลบเกลื่อนนิวรณ์ ถ้าเป็นเรื่องกามารมณ์ก็ส่งเสริมทางวัตถุให้มันถึงที่สุด ถ้าเป็นเรื่องเกลียดชัง มันก็ไปหาอาวุธมาฆ่ามันเสียให้หมด นี่เรื่องฟุ้งซ่าน เรื่องห่อเหี่ยว นี่จะทำยาให้กินแล้ว ยากล่อมประสาท ยาระงับประสาทก็ก้าวหน้า ส่วนความสงสัยไม่มีที่สิ้นสุดนั้น เขานิยมกัน เพราะมันเป็นทางมาแห่งปัญญา แห่งสติปัญญา ที่เรียกว่า ปรัชญา ผมอยากจะท้าทายว่ามันคงเต็มไปด้วยแมลง ๕ ตัวมากยิ่งขึ้นในบุคคลเหล่านี้ ส่วนในจิตใจของเขาจะต้องเต็มไปด้วยแมลง ๕ ตัวรบกวนยิ่งกว่าครั้งพุทธกาลอย่างแน่นอน นี่เราจะเอากับเขาหรือไม่ หรือเราจะเอาอย่างไรก็ไปคิดดูเอง นี่เป็นเรื่องบอกให้ทราบว่าโดยหลักทั่วไปทางจิตใจมีแมลงรบกวนอยู่ ๕ ตัว ความรู้ของคนโบราณ รู้จักทำสมาธิเพื่อขจัดนิวรณ์นี้เสีย รวมทั้งการกระทำอื่น ๆ ที่มันจะเป็นเครื่องช่วยกำจัดนิวรณ์นี้เสีย แม้ที่สุด แต่ขนบธรรมเนียมประเพณีวัฒนธรรมเขาก็วางไว้สำหรับมนุษย์มีจิตใจแจ่มใส ผ่องใส เบิกบาน ปราศจากนิวรณ์อยู่มากทีเดียว เดี๋ยวนี้คนมันมาเลิกละวิธีการเหล่านี้เสีย ดูถูกว่าคนเหล่านั้นโง่เขลา บรรพบุรุษเป็นคนโง่เขลา ตัวเองฉลาด ในยุคที่ว่าลูกหลานมันจะวินาศ มันเป็นอย่างนี้ ไม่มีจิตเป็นอิสระเลย
ทีนี้มาดูไอ้ทางบ้านเรือนกันบ้าง ในทางธรรมะที่จะบรรลุมรรคผลนิพพานนั้น ก็ต้องต่อสู้ ต้องกำจัดนิวรณ์ ทำจิตให้ปราศจากนิวรณ์อยู่ตลอดเวลา นี้ในเรื่องเป็นอยู่ในบ้านเรือนก็อย่างเดียวกันแหละ ขอให้มีความมุ่งหมายหรือหลักการที่จะกำจัดนิวรณ์คือทำจิตให้ผ่องใส แจ่มใสอยู่ตลอดเวลา แม้เราทำงานที่ไม่อยากจะทำ คนเราไม่ชอบทำงานหลาย ๆ อย่างก็เพราะว่ามันมีจิตที่เป็นนิวรณ์โง่ นิวรณ์อะไรอยู่ เช่น เราทำงานต่ำ ๆ เช่นว่าซักผ้า ถูเรือน ผ่าฟืน อันนี้ไม่ทำ อันนี้ไม่อยากทำ แต่ถ้าว่ามีจิตปราศจากนิวรณ์ ดังนั้นจะสนุก สนุกในการผ่าฟืน กองท่วมหัวเลยก็ยังไม่อยากเลิก ยังสนุกอยู่ ใครเคยมีบ้างก็ลองไปทดสอบดู ซักผ้า ล้างจาน ถูเรือน ทุกอย่างที่ว่าเป็นงานที่เขารังเกียจกัน ถ้าจิตมันปราศจากนิวรณ์ ฝึกมาดี มีสมาธิ ให้ทำงานสิ่งเหล่านั้น มันก็เป็นเรื่องสนุกไปหมด แม้แต่จะล้างจาน สติมันเป็นตัวการกระทำเสียเอง แล้วมันก็เลยสนุก ไม่ใช่ว่ามีเรามาคิดว่าไอ้ล้างจานนี้มันเป็นงานต่ำ งานเลว งานไม่เหมาะแก่เรา นี่เรามีตัวเราออกมาดูไอ้งานนี้ ถ้ามีจิตเป็นสมาธิ ไอ้การล้างจานมันเป็นจิตเสียเอง มันไม่มีจิตไหนจะออกมาเป็นตัวเรารังเกียจการล้างจาน นี่ผมยกตัวอย่างงานล้างจาน ถ้าทำอะไรอย่าแยกตัวเราออกมา อย่าแยกจิตออกมาเป็นตัวเราแล้วมาคอยดูการกระทำนั้นดีเลวอย่างไร ให้การกระทำนั้นมันเป็นตัวจิตเสียเองจะได้ไม่มามีผู้วิพากษ์วิจารณ์งานต่ำงานเลว งานอะไรด้วย แล้วมันจะสนุกด้วย เมื่อจิตมันเป็นอันเดียวกับการงานแล้วการงานจะสนุก ถ้าไปคิดดู ไปสังเกตุดู บางครั้งบางคราวเราสนุก การทำงานอย่างต่ำ ๆ อย่างกวาดพื้น บางทีมันก็สนุก เพราะว่าตอนนั้นจิตมันไปเป็นตัวการทำงานเสียเอง จิตไม่มาเป็นตัวกูสูง การกวาดพื้นมันต่ำมันเลว มันไม่เหมาะสำหรับกู อย่างนี้มันจะสนุกอย่างไรได้ ดังนั้นสมาธิ สติ จิตมันไปเป็นการทำงานเสียเอง มันเป็นตัวการทำงานเสียเอง มันก็สนุก มันก็รู้สึกสนุก เคลื่อนไหว ขอให้จิตมันไปเป็นตัวการงานเสียเอง
ถ้าฟังไม่ถูกก็ไปคิดเอาใหม่ ไปพยายามคิดว่าให้จิตมันเป็นตัวการงานเสียเอง อย่ามาเป็นตัวกูผู้ทำอยู่เอง ในธรรมะสูงสุดในพระพุทธศาสนาที่ว่าทำงานด้วยจิตว่าง ไม่มีตัวกูแยกออกมา เอาจิตไปเป็นตัวการงานเสียเลย ความรู้สึกคิดนึก สติ สมาธิ อะไรก็ตามเป็นตัวการงานเสียเลย อยู่ในตัวการกระทำนั้นเลย อย่ามีตัวกูมาแยกยืนดูเป็นผู้กระทำอยู่ ผมเรียกว่าทำงานด้วยจิตว่าง คือ ว่างจากตัวกู ว่างจากตัวกูผู้กระทำ มีแต่การกระทำด้วยกายด้วยจิตเต็มที่ ไม่มีตัวกูมาเป็นผู้กระทำหรือเจ้าของการกระทำหรือเพื่อหวังผลการกระทำ อย่างนี้เราเรียกว่าทำงานด้วยจิตว่าง ไม่ใช่จิตสลบไสลหรือว่าจิตบ้าบออะไร ไม่ใช่เป็นจิตที่ปราศจากตัวกู จิตที่มันไปเป็นตัวการงานเสียเลยจะได้รับรสของการงานสนุกสนาน จะกินอาหาร จะอาบน้ำ จะถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ อย่ามีตัวกูผู้ทำเลย ให้มันให้จิตมันไปอยู่การกระทำนั้นเสียเลย เป็นการงานที่ทำไปเสียเลย อย่าแยกจิตออกมาเป็นตัวกูผู้กระทำเลย เราก็เรียกว่าว่างจากตัวกูผู้กระทำ ถ้ามีความสุขอยู่ในนั้น จะทำให้ดีด้วย นี่เรียกว่าทำงานด้วยจิตว่าง
ฆราวาสแท้ ๆ ก็ลองไปทำดู จะเป็นฆราวาสที่ไม่ต้องเป็นโรคประสาทหรือเป็นโรคจิต ฆ่าตัวตาย เมื่อเป็นชาวนาไถนาอยู่ จิตเป็นการไถนาเสียเลย อย่ามีตัวกู จิตไปเป็นควาย ไปเป็นไถ ไปเป็นอะไรที่เป็นตัวการไถนาเสียเลยดีกว่า อย่ามามีตัวกูไถนาอยู่ด้วยหวังอย่างนั้นอย่างนี้ หวังผลอย่างนั้นอย่างนี้ มันทรมานใจ
จิตนั้นคือความรู้สึก ความคิด และความรู้สึก เราให้ความคิดและความรู้สึกเป็นตัวการกระทำไปเสียเลย อย่าแยกออกมาเป็นตัวตนมายืนดูอยู่ มาหวังอยู่ มาอะไรอยู่ อย่างนี้เรียกว่ามันเป็นตัวตนที่สลายไปแล้ว ไปอยู่เป็นการงานเสียแล้ว ตัวตนไปผสมอยู่ในตัวการงานเสียแล้ว มันไม่มายืนเฝ้าดูว่าเราจะเอาอย่างนั้นจะเอาอย่างนี้อยู่ มันจึงสนุกได้ ไปหัดทำอะไรให้สนุกยิ่งกว่าที่แล้ว ๆ มา กวาดขยะก็สนุก ซักผ้าก็สนุก ล้างจานก็สนุก ลองไปทำดูใหม่ ที่ที่แนะให้เอางานต่ำ ๆ เป็นบทเรียนเพราะว่ามันทำยั่น มันได้ผลมาก เมื่อจะแต่งกลอนสักบทหนึ่ง ต้องหยุดความรู้สึกที่เป็นตัวตน จิตนั้นกลายเป็นบทกลอนไปเลย เข้าใจว่าคนที่จะเขียนรูปภาพเป็นศิลปินให้สวยสักรูปหนึ่งมันก็ต้องให้จิตนั้นเป็นปากกา เป็นพู่กันเป็นนั่นไปเลย ให้มีตัวตนที่แยกออกมาสำหรับจะเอาอย่างนั้นจะหวังอย่างนี้ อย่างนี้เราเรียกว่าจิตปราศจากนิวรณ์ เป็นจิตที่ทำอะไรได้ไม่น่าเชื่อ เอาจิตไปเป็นตัวการกระทำสิ่งนั้นเสียเลยดีกว่า อย่ามาเป็นผู้หวังผลอะไรอยู่ นี่เป็นเคล็ดที่ว่าแสวงหาความสุขจากการกระทำ อย่าแสวงหาจากผลของการกระทำเลย มันจะสร้างนิวรณ์ขึ้นมา
นี่ขอให้จำไว้เป็นอีกอันสุดท้ายว่า ทางห้ามเดินสองแพร่งและมดแมลง ๕ ตัว อธิบายกันพอสมควรแก่เวลาแล้ว ก็ขอยุติที นี่มันหกโมงตรงแล้ว ปิดประชุม