แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
การบรรยายที่เรียกว่าธรรมปาฏิโมกข์เป็นครั้งที่๗ในวันนี้ จะได้กล่าวในหัวข้อว่า เขาโคกสามเนิน ขอให้ทบทวนมาแต่ต้นไอ้ที่เรียกโดยหัวข้อต่างๆเหล่านั้น จึงจับฉวยให้ได้ว่ามันเป็นเรื่องสิ่งที่มีอยู่ภายในตัวเรา ไม่ใช่ในหนังสือ และก็ไม่อยู่ตามผิวโลกตามพื้นดิน ตามชื่อนั้นๆ ชื่อนั้นๆมันเป็นเพียงอุปมาทั้งนั้น ตัวจริงของมันคืออะไร ต้องมองเห็น หรือจับตัวให้ได้ ขอให้ทบทวนมาแต่ครั้งแรกที่สุดว่า ไม้ค้ำสามขา คือพระรัตนตรัยก็อยู่ในตัวเรา ศาสตราสามอัน ศีล สมาธิ ปัญญา โจรฉกรรจ์สามก๊ก คือ โลภะ โทสะ โมหะ ป่ารก๓พง ทิฐิ ๓ เวียนวงสามวน นั่นก็คือ กิเลส วิบาก ทุกข์ทนทั้งสามโลก เพราะโลกมีเพียงสามโลก ก็หมายถึง เรื่องในใจ ในตัวของคน
ที่นี้ก็มาถึงคำว่า เขาโคกสามเนิน อุปมาเหมือนกับเนินเขาซึ่งมีอยู่สามเนิน ก็เป็นชื่อของกิเลส ประเภท มานะ คือความสำคัญมั่นหมาย กิเลสที่ชื่อว่ามานะ มีลักษณะเปรียบเหมือนกับโคกหรือเนิน เหมือนกับเนินใหญ่ เหมือนกับเนินเขา มีความหมายว่ามันโผล่ขึ้นมา มันมีความหมายว่ามันดันขึ้นมา กดลงไปยากเรียกว่าเนิน เมื่อกี้ก็มีเรียกคำ อีกคำหนึ่งว่า อังคณะ คำนี้ก็แปลว่าเนิน ถ้าเป็นชื่อของกิเลสก็ว่ากิเลส ดุจเนิน อังคณะแปลว่ากิเลสดุจเนิน เนินก็คือที่ๆมันสูงเป็นโคกขึ้นมา มานะถ้าเราเข้าใจคำว่ามานะ ก็จะรู้สึกได้เองว่ามันควรจะอุปมาด้วย ของที่สูงขึ้นมา ตุงขึ้นมา พองขึ้นมา บวมขึ้นมา บางทีก็ใช้คำว่า วาโต หรือวาตะ คือลม ที่เปล่งพองขึ้นมา ถ้าตรงกันข้ามเรียกว่าไม่มีวาตะ คือนิวาโต ก็หมายความว่าไม่จองหองพองขน วาตะแปลว่าลมเปล่งขึ้นมา คือการจองหองพองขน กิเลสเพียงดังลม กิเลสเพียงดังเนิน อันนี่ก็เรียกว่ามานะ หมายถึงมานะที่เป็นดุจเนิน เรื่องของมันไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย มันเป็นเรื่องที่ทำให้เกิดความ ทุกข์ยากลำบากถ้าเกิดเรื่องแล้วก็เป็นทุกข์ และถ้าหมดมานะก็คือเป็นพระอรหันต์ ขอให้รู้ไว้ว่า ถ้าหมดกิเลสดุจเนิน ดุจลม โป่งหรือว่ามานะนี่แล้วมันก็เป็นพระอรหันต์ ในความหมายหนึ่ง คือมันต้องสิ้นกิเลส อาสวะอะไรด้วยเหมือนกัน มันจึงจะสิ้นมานะ ขอให้รู้จักไอ้สิ่งที่เรียกว่ามานะให้ดีๆ จะรู้จักตัวเองมากขึ้น ได้รู้จักกิเลสมากขึ้น ได้รู้จักการหมดกิเลสมากขึ้น เรามีกิเลสที่เปรียบด้วยเนิน ด้วยโคก ด้วยเนิน อยู่เป็นพื้นฐานตั้งแต่เกิดมาจนกระทั่งตาย มีความสำคัญมั่นหมายว่า ตัวเราคือของเรา ซึ่งในภาษาไทยเรามีคำใช้สะดวกๆ ว่าตัวกู ว่าของกู อย่างที่ไอ้เด็กเล็กๆมันก็พูดเป็น ขอให้สังเกตเมื่อเราเป็นเด็กเล็กๆและก็มีเพื่อนเด็กๆเล็กๆ ถ้าขัดใจอะไรขึ้นมา มันก็มีคำว่ากูว่าตัวกู ว่าของกูขึ้นมา นี่หมายความว่าไอ้เด็กเล็กๆมันก็มีกิเลส ดุจโคกหรือเนิน ที่เป็นเหตุให้จองหองพองขนยกหูชูหางนี่แล้วทั้งนั้น
พอมันรู้ความ มันๆไม่ใช่แรกคลอดที่เดียว พอมันรู้รสรู้เรื่องรู้อะไรต่างๆพอสมควรแล้วก็ เริ่มมีความรู้สึกประเภทเป็นตัวกู เป็นของกู โดยถ่ายทอดออกมาจากบิดามารดาหรือคนใกล้ชิดข้างเคียง เริ่มจากว่าเขามีคำพูดว่ากู ว่าของกู หรือคำอื่นๆแต่ว่าในความหมายอันนี้เด็กได้ยิน จนกระทั่งเด็กๆรู้ความหมาย จนกระทั่งพูดเป็น และก็ยึดถือด้วยความหมาย ซึ่งเป็นเหตุให้เด็กนั้นไม่ยอม ไม่รู้จักยอม มีแต่จะพุ่งขึ้นมา อย่างนี้เรียกว่ามานะ ความสำคัญมั่นหมายว่าตัวกูว่าของกู มันเริ่มมีความหมายขึ้นมาเมื่อเด็กรู้ความ คือรู้ความหมายคำว่าตัวกู นั้นเด็กก็จะรู้จักดื้อ รู้จักไม่ยอม รู้จักบิดพลิ้ว หรือว่ารู้จักคดโกงอะไรทุกอย่าง โดยกิเลสประเภทมานะ นี่เขามีมานะหลายๆหนเข้ามันก็เข้มข้นขึ้น อยากให้จะไปดูเด็กเล็กๆตัวเล็กๆที่มันเริ่มรู้จักพูดว่าของกูว่าตัวกู ตั้งแต่เล็กๆมันรู้จักพูดมากขึ้นในความหมายที่เน้นมากขึ้น ในความหมายที่แข็งกล้ามากขึ้น จนถึงที่สุดของความหมายนี้ว่าตัวกูว่าของกู จะถือตามหลัก ปฏิจจสมุปบาท มันก็เกิดโดยการ ปรุงแต่งทางอายตน ตาหู จมูก ลิ้น กายใจ เกิดวิญญาณ เกิดอักษะ เกิดเวทนา เกิดตัณหา เกิดอุปาทาน เกิดภพ คือความรู้สึกที่เป็นตัวกู แล้วก็ได้เห็นเด็กที่ไม่สู้โตนัก ไม่ทันเป็นหนุ่ม มีความดื้อกระด้าง ด้วยความรู้สึกที่ว่าตัวกู กิเลสนี้เรียกว่า มานัตถัทโธๆ มานัตถัทโธ ความกระด้างด้วยมานะ และคุณก็จะจำไว้ว่าทุกคนมี และก็มีจนกระทั่งเดี๋ยวนี้นะ ผมๆกล้าพูดว่ามีจนกระทั่งเดี๋ยวนี้ ไอ้มานัตถัทโธนี่ นอหนูสะระอาและตอเต่าสะกด และก็ถอถุงทอทะหารทอธงสะระโอ มานัตถัทโธ แปลว่าความกระด้างด้วยมานะ และก็มีไปกันจนตาย มันมีเรื่องอื่นเข้ามาประกอบอีกมากเพราะฉะนั้น ไอ้มานะกระด้างด้วยมานะนี่มันเปลี่ยนแปลงได้หลายรูปแบบ สำหรับจะดื้อดึงกับบิดามารดา หรือจะดื้อดึงกับครูบาอาจารย์ก็แล้วแต่ เล่นงานเพื่อนฝูงหรือว่าสำหรับจะทำอะไรอีกหลายๆอย่าง จะเป็นความกระด้างด้วยมานะ ฉะนั้นไปสังเกตุดูให้ละเอียดตรงที่ว่า ความกระด้างมันมากขึ้นๆมากขึ้นไม่ใช่มันจะคงที่ เมื่อคนนั้นเติบโตเป็นหนุ่มเป็นสาวเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมา ไอ้ความกระด้างด้วยมานะนี่มันมากขึ้น จนกระทั่งเหนียวแน่นเหมือนความกระด้างด้วยมานะของคนแก่ ความกระด้างด้วยมานะของเด็กๆอาจจะกรอบและแตกง่าย แต่ความกระด้างด้วยมานะของคนแก่มันก็เหนียว อย่าให้เป็นเรียนจากหนังสือหรือว่าฝากไว้กับคำพูด ต้องจับตัวไอ้มานะนี้ให้ได้จริงๆ จากความรู้สึกตัวเองจริงๆดีกว่า พูดแล้วก็ไม่ต้องอาย ก็ศึกษาจากกิเลสของตัวเอง ว่ามีมานะและกระด้างด้วยมานะและก็มากขึ้นๆ จนถึงขีดที่เรียกว่ามันยกหูชูหาง ให้รู้ความที่มันสะสม เหนียวแน่น แน่นแฟ้นหนาขึ้นๆในสันดานซึ่งเรียกว่า อนุสัยด้วยเหมือนกัน ผมเข้าใจว่าทุกคนทุกไม่ลืม คำว่าอนุสัย คำว่าอนุสัยแปลว่า ไอ้สิ่งที่เราทำซ้ำๆซากๆ ซ้ำๆซากๆ จนมันหนาขึ้นๆ เรียกว่า อนุสัย เช่นโลภบ่อยๆจนโลภเก่งก็มีความโลภเป็นอนุสัย โกรธบ่อยๆจนโกรธเก่งก็มีความโกรธเป็นอนุสัย โง่บ่อยๆจนเก่งก็มีความไง่เป็นอนุสัย นี่คือ อนุสัย มันเรื่องเกี่ยวกับ โลภ โกรธ หลง ราคะ โทสะ โมหะ เดี๋ยวนี้เรื่องของมานะ แถมเข้ามาอีกเรื่องเป็นเรื่องที่๔ มันก็มีสิ่งที่เรียกว่าอนุสัยด้วยเหมือนกัน มานะความถือตัวนี่มันก็ ถูกสะสมมากขึ้นๆจนเป็นอนุสัย ก็ได้ชื่อขึ้นมาใหม่ว่า มานานุสัยนี่ ก็จะจำไว้ให้ดีๆ มานะบวกกับอนุสัย ศัพท์มันสนธิกันเข้าก็เป็นมานานุสัย แปลว่าอนุสัยแห่งมานะ คือการสะสมแห่งมานะ
ที่นี้มานะนั้นก็ได้พูดแล้วว่ามันมีรูปแบบแยกออกเป็นสองอย่าง คือเป็นตัวกู กับเป็นของกู ไอที่เป็นตัวกูเรียกด้วยภาษาบาลี อหังการะ ตัวกู และก็มะมังการะนี่ของกูเรียกเป็นไทยหน่อยก็ อหังการ มะมังการ อหังการแปลว่าตัวกู มะมังการแปลว่าของกู อหังนะแปลว่าเราในที่นี้เราเรียกว่ากู การะแปลว่าการกระทำ อหังการะแปลว่าการกระทำความรู้สึกว่าตัวกู มะมังกาละการกระทำความรู้สึกว่าของกู ทั้งอหังการมะมังกาลนั้นก็เป็นมานะ เราจึงมีความเคยชินสะสมความเคยชินแห่งมานะว่า ตัวกูและของกู ที่เป็นบาลีเต็มรูปก็มี อหังการะ มะมังการะ มานานุสัย เอาไปต่อกับมานานุสัย อหังการะ มะมังการะ มานานุสัย นุสัยแห่งมานะว่า กูว่าของกู ที่เป็นหยาบ ที่เป็นชั้นหยาบชั้นกระด้างเรียก อหังการ มะมังการ ทีนี้ที่เป็นชั้นละเอียดชั้นธรรมดาไม่หยาบคายอะไรนักก็เรียกว่าเรา ว่าของเรา ถ้าเปลี่ยนรูปเป็นเราเป็นของเรา ไอ้บาลีนี่เราใช้คำว่า อัตตา กับอัตตนียา อัตตาว่าตัวตนอัตตนียาว่าของตน ความหมายเดียวกันแหละ ตนก็คือเราคือกู ของตนก็คือของเราของกู เราเพิ่มความรู้สึกว่าตัวเราว่าของเราไปเรื่อย จนหนาแน่นเป็นอนุสัย แล้วที่ออกมาอาละวาดเพื่อนฝูงอยู่บ่อยๆก็ อหังการ มะมังกาล ให้รู้จักขอให้ทุกๆคนรู้จักไอ้คำว่าอหังการความรู้สึกอย่างไร มะมังกาลมีรู้สึกอย่างไร อัตตามีความรู้สึกอย่างไร อัตตนียารู้สึกอย่างไร มันผิดกันแต่เพียงว่าอันนึงมันเดือดจัด เหมือนกับภาษาไทยเรา ถ้าโกรธจัดมันก็ไม่พูดว่าเราว่าของเรา มันพูดว่ากูว่าของกู นี่คือตัวมานะ ที่พอเราไคร่ครวญดูให้ดีถึงลักษณะถึงอะไรของมานะก็จะรู้สึกว่ามันมีลักษณะ พอง โป่ง สูงขึ้นมา หรือว่าแข็งขึ้นมา ผมจึงว่าควรเปรียบด้วยอุปมาว่าเนิน เนินเขาหรือโคกที่สูง เป็นเนินเขาแม้ในบาลีก็มีใช้อยู่แล้ว ที่เปรียบด้วยโคกด้วยเนิน คือ อังคณะ กิเลสดุจเนิน เนินเขาที่มันโค้ง เขาเอาความหมายของคำว่าเนินในที่นี้ก็หมายความว่ามันสูงขึ้นมาอย่างแข็งกระด้างไม่ยอมใคร เราจึงใช้คำว่าเขาโคกสามเนิน เขาโคกสามเนิน มีเนินเขาโคกมีโคกเขาอยู่สามโคก เขาโคกสามเนินที่นี้สามเนินหมายถึงอะไร หมายความถึงความรู้สึกที่เป็นมานะ มันแบ่งได้เป็นสามชนิด คือดีกว่า เลวกว่า เสมอกัน ความรู้สึกที่เป็นมานะ เป็นตัวกูเป็นของกูนี่ มีลักษณะที่ทำให้แบ่งได้เป็นสาม ดีกว่า เลวกว่า แล้วก็เสมอกัน ไอ้ที่ว่าดีกว่ารู้สึกว่าดีกว่าแล้วเรามีมานะ อย่างนี้ ไม่ยอมอย่างนี้มันก็ เข้าใจได้ง่าย แต่ที่ไอ้รู้สึกว่าเลวกว่ามันก็ไม่ยอมเหมือนกัน ตัวเล็กมันก็ไม่ยอมแพ้เหมือนกัน แม้ว่าเราจะเลวกว่าโดยอะไร หรือว่าต่ำกว่าโดยวัยโดยคุณวุฒิ โดยชาติโดยสกุลโดยอะไรก็ตามก็ไม่ยอมเหมือนกัน ไม่ว่าเราเลวกว่าเราก็ไม่ยอมเหมือนกัน ที่นี้เสมอกันก็ยิ่งมีทางที่จะไม่ยอม ยอมเสมอกัน ฉะนั้นไปสังเกตให้ดีให้รู้สึก ความหมายของคำว่า เลวกว่า ดีกว่า เสมอกัน นี่ว่าล้วนแต่เป็นมานะ ดีกว่าก็ยกหูชูหาง เลวกว่ามันก็ยังยกหูชูหาง ทั้งๆที่เลวกว่า เสมอกันก็ยกหูชูหาง ถ้ามันมีมานะ ฉะนั้นต่อให้มีมานะลองคิดดู มันจึงไม่มีอาการยกหูชูหาง เพราะฉะนั้นอย่าไปคิดว่าเราดีกว่าโตกว่าแข็งแรงกว่า แล้วจะให้ตัวเล็กๆมันยอมแพ้ง่ายๆอย่างนั้นมันเป็นไปไม่ได้ เพราะมันมี กิเลสที่เรียกว่ามานะ กิเลสดุจเนินมันไม่ยอมแพ้ ถ้ามันมีนะมีมานะมากเท่าไหร่มันก็มีอาการยกหูชูหาง และมันก็มีผลไปในทางสังคม คือสังคมวุ่นวาย ถ้าเราเอาไอ้มานะสามนี้ไปวัดกัน ทับเหวี่ยงกันมันก็มีผลทางสังคม ที่ว่ามีมานะอยู่ในใจคนเดียว มันก็มีผลในส่วนตัวเอง ที่จะต้องมีความทุกข์ ที่ความทุกข์เผาลนตัวเอง เราจึงต้องรู้จักมานะที่มันมีอัดอั้นอยู่ในเรา มันก็เผาเราให้ร้อน แม้แต่เราจะรู้สึกอยู่คนเดียวว่าเราดีกว่า เราเลวกว่า เราเสมอกันไม่ไปแตะต้องใคร มันก็ร้อนอยู่คนเดียว หรือว่าจะมาแยกไม่สู้มาถึงมีความรู้สึกดีกว่าเลวกว่าแต่ว่ามีตัวกูแล้วมันก็ต้องร้อน คือมันๆมันต้องแบกตัวกู มันมีอาการเหมือนกับแบกของหนักอะไรไว้อันนึง คือแบกตัวกู ก็เป็นทุกข์อยู่เงียบๆเพราะมีมานะ ว่าตัวกู ว่าของกู กลัวใครจะมาฆ่าให้ตาย กลัวใครจะมาเอาทรัพย์สมบัติไปหมด ความกลัวนี้มันก็มาจากมานะ ที่ว่ามีตัวกูมีของกู ถ้าไม่มีมานะมันก็ไม่รู้สึกอย่างนั้น มันก็ยกให้ธรรมชาติเป็นของธรรมชาติเป็นของปรุงแต่ง ไปตามเหตุตามปัจจัย ตามกฎอิทัปปัจจยตาอย่างนี้ มันก็ไม่หนัก ไม่เอามาแบกไว้เป็นของหนัก ก็ไม่เป็นทุกข์ ให้รู้จักมานะ ในฐานะที่ว่ามันเป็นปัญหาส่วนบุคคลนั้น ส่วนหนึ่ง มานะในฐานะที่เป็นปัญหาเกี่ยวกับผู้อื่นหรือสังคมอีกส่วนหนึ่ง
เดี๋ยวนี้โลกเรามีความยุ่งยากลำบากระส่ำระสาย เดือดร้อนหรือวิกฤตการณ์นั้น เพราะมีมานะเป็นต้นเหตุอยู่ส่วนหนึ่งด้วยเหมือนกัน ไม่ใช่เพียงแต่ว่า โลภะโทสะ โมหะอะไร มันมีมานะที่เป็นเหตุให้ไม่ยอม ในที่ประชุม องค์การสหประชาชาติที่ว่าใหญ่มีเกียรติ ก็ได้ยินคำว่าไม่ยอมเพราะกลัวเสียหน้า มีอยู่บ่อยๆ ไม่ใช่มีเรื่องอะไรมัน ไม่ยอมเพราะกลัวเสียหน้า นี่คือมานะเป็นต้นเหตุให้ไม่ยอม หรือประเภทที่ใหญ่โตจะมาผ่อนผันอะไร ให้ใครง่ายๆมันกลัวเสียหน้ามันก็ไม่ยอม ก็ไม่ผ่อนผัน ซึ่งมันไม่ให้อภัย การที่เราไม่ยอมไม่ให้อภัยกันนี้ก็เพราะกิเลสชื่อนี้ด้วยเหมือนกัน และก็มันมีอาการยกหูชูหาง ก็ทำให้คนเขาเกลียด ในทางสังคมก็มีผลทำให้รักกันไม่ไม่ได้ มันมักจะเงื้อมง้ำเข้าไป ครอบงำผู้อื่น ด้วยกิเลสนี้ถ้าขืนมีกิเลสนี้ ไม่เท่าไหร่คนก็เกลียดทั้งบ้านทั้งเมือง นี่เรื่องทางสังคมที่เกียวกับมานะ ระวังให้ดีๆ มันเป็นเรื่องที่ยังมีตั้งแต่เกิดไปจนถึงกระทั่งตาย เพราะฉะนั้นเราจึงต้องศึกษามัน ต้องควบคุมมันตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตาย ที่เวลาที่ล่วงมาแล้วแต่วันหลัง ก็ๆมันก็ล่วงไปแล้ว ก็ว่าตั้งแต่นี้ไป เราก็จะต้องรู้จัก ควบคุมมานะ อย่าให้มันเป็นพิษขึ้นมาจนกว่าจะตาย ถ้าทำลายได้หมดก็จะได้เป็นพระอรหันต์โดยไม่ต้องมีใครแต่งตั้ง หมดกิเลสก็จะเป็นพระอรหันต์เองโดยไม่ต้องมีใครแต่งตั้ง ไม่มีมานะก็จะเป็นความสุขเย็นอย่างยิ่ง ก็คือมานะพื้นฐานที่ว่ามีตัวตน ดังบาลีที่ว่า อัสมิมานัสสะ วินะโย เอตัง เว ปะระมัง สุขัง เป็นพระพุทธภาษิตหลักที่สำคัญ เป็นอุเทศ เป็นอุเทศเป็นปาฏิโมกข์ของหลักธรรมะ อัสมิมานะ ก็คือมานะว่าเรามีอยู่เราเป็นอยู่ เป็นเราอยู่ นี่เป็น
อัสมิมานะ ถ้านำออกเสียได้ก็เรียกว่า อัสมิมานัสสะ สะวินะโย การนำออกเสียได้โดยซึ่ง อัสมิมานะ ตัวเอตัง นั่งเวโว้ย ปะระมัง สุขัง เป็นสุขอย่างยิ่ง นั้นก็คือความเป็นพระอรหันต์ แล้วก็นั่นแหละ บรรลุนิพพานเท่านั้นแหละ ที่จะหมด อัสมิมานะโดยประการทั้งปวง อัสมิมานะแปลว่ามานะว่ามีตน นี่ยังไม่แบ่งว่า ดีกว่า เลวกว่า เสมอกัน แต่ว่าเป็นมานะพื้นฐานต้องมีอยู่ก่อนว่ามีตน ที่มีตัวกู พอมีตัวกูมันก็จะแบ่งได้ว่า ดีกว่า เลวกว่า หรือว่าเสมอกัน ที่เป็นของกูมันก็แบ่งได้เหมือนกันว่าเลวกว่า ดีกว่า ดีกว่า เลวกว่า หรือเสมอกัน อะไรที่มันเป็นของกูมันก็พอที่จะจัดระดับว่า ของกูดีกว่า ของกูเลวกว่า ของกูเสมอกันด้วยเช่นเดียวกัน แต่โดยเหตุที่ว่า ไอ้ของกูนี่มันเนื่องอยู่กับตัวกูนั้นจึงพูดถึงน้อยกว่า พูดถึงไอ้ตัวกูมากกว่า เพราะว่าถ้าเมื่อมีตัวกูทำอย่างไรเสียมันก็ต้องมีของกู มันก็เป็นเงาตามตัวอย่างนั้น เพราะฉะนั้นจึงพูดเรื่อง ตัวตนหรือตัวกูนี้มากกว่าที่จะพูดเรื่องของตนหรือของกู ถึงแม้พระพุทธภาษิตที่ว่า ทำลายมานะ วัดตนเสียได้เป็นสุขเว้ย, อย่างนี้ เป็นสุขอย่างยิ่งเว้ย,นี่ มันก็กินความไปถึงทำลายมานะ ว่าของกูเอาเสียได้พร้อมกันไปในตัว ขอให้เรามองเห็นเข้าใจ รู้สึก สิ่งที่เรียกว่ามานะ มันมีอยู่เป็นพื้นฐานสำหรับจะมีตัวตน ยังมีของตน เหมือนถ้าอัสมิมานะว่ามีตน ยังมีอยู่แล้วมันก็มีความคิดที่จะโลภ จะโกรธ จะหลงอะไรไป จนครบเรื่องของกิเลส ไอ้อยากได้หรือโลภ หรือกำหนัด มันก็เพื่อตัวตน ให้โกรธให้ประทุษร้ายนี้มัน มันก็เพราะไม่ได้อย่างที่ตนมันต้องการ นี่มันหลงมันโง่มันสะเพร่า เพราะว่าไอ้ตนนี่มันขาดปัญญาขาดความรู้ที่ถูกต้อง ถ้าอย่ามีตนอย่างเดียวอย่ามีตัวตนอย่างเดียว กิเลสเขาก็ไม่มีที่เกิด ถ้ามันมีไอ้ความรู้สึกที่เป็นตัวตน ความรู้สึกที่เป็นกิเลสพวกนี้ก็ได้อาศัยตัวตนเป็นที่ตั้ง แล้วมันก็เกิดกิเลส ได้รู้จักไอ้จุดศูนย์กลางของมันคือตัวตนมันเป็นที่ตั้งอยู่เป็นจุด เป็นแกน เพราะอะไรๆมันก็ไปเกาะไปอาศัยไอ้สิ่งที่เรียกว่าตัวตนนั้น เกิดขึ้นอีกมากมายหลายอย่างมีเรื่องมีราวมากอย่าง มีความทุกข์นานาชนิด
นี่ถ้าทำลายตนลงไปเสียได้ ไอ้สิ่งเหล่านั้นมันก็หมดไปพร้อมกัน มันก็เลยไม่มีอะไรที่เป็นที่ตั้งของความทุข์ หรือของกิเลส หรือของกรรม หรือของอะไรทั้งนั้น ถ้ายังมีตัวตนอยู่ก็มันมีที่ตั้งของกิเลส ของกรรมของผลกรรมอยู่ ก็ไม่สุขได้ พอทำลาย อัสมิมานะตัวตนนี้เสีย กิเลสกรรมหรือผลกรรมมันกรรมก็ไม่มีที่ตั้งที่อาศัย มันก็เลิกกันไปหมด จึงกล่าวว่าเป็นสุขอย่างยิ่งเว้ย, ทำลายมานะว่าตนเสียได้ เป็นความสุขอย่างยิ่งเว้ย, ถ้ายังมีตนก็ยัง มันก็มีแผ่นดิน ให้สิ่งต่างๆมันงอกขึ้นมา มีตนก็เท่ากับมีพื้นฐานที่ให้กิเลสมันงอกขึ้นมา ถ้าไม่มีตนไม่ก็ไม่มีๆพื้นฐานให้กิเลส งอกขึ้นมา
ดังนั้นเราจะรู้จักไอ้สิ่งที่เรียกว่ามานะ ว่าตนมีอยู่ แล้วมันก็งอกงูนขึ้นมาเป็นสามปุ่ม เป็นสัตว์ชนิดหนึ่งมีสามปุ่ม เรียกว่า เขาโคกสามเนิน หมายมั่นเป็นดีกว่า เลวกว่า หรือเสมอกัน พระอริยบุคคลที่จะตัดมานะได้ก็มีแต่พระอรหันต์ พระโสดาบรรณ พระสกิทาคมีนี้ทำไม่ได้ นั่นน่ะไอ้ทางเล่นทางโคกสามเนิน ในทางปฏิบัติได้รู้จักระวังให้ดี ในความรู้สึกคิดนึกประจำวันที่เราอยู่วันหนึ่งๆ ระวังความรู้สึกคิดนึก ที่มันเป็นประเภทมานะนี่ให้ดีๆ อย่าให้มันโป่งขึ้นมา เป็นโคกนั้นโคกนี้โคกโน้น โคกที่ดีกว่า โคกที่เลวกว่า โคกที่เสมอกัน ไอ้โคกที่เลวกว่าเข้าใจได้ยาก พอเรารู้สึกว่าเลวกว่าเราก็น้อยใจแล้วก็เสียใจ จริงแต่มันไม่ยอมแพ้ มันไม่มีวันยอมแพ้ มันก็สู้กันไปจนตัวตาย สัตว์ที่มีอัสมิมานะสูง มันก็สู้กันจนตายไม่ยอมแพ้ ตัวเล็กมันก็สู้ตัวใหญ่จนตายไม่ยอมแพ้ สัตว์ประเภทนี้มันก็มีอยู่ในโลกนี้ ไอ้ความเข้าใจความรู้สึกบางอย่างบางประการ น่าจะเข้าใจไปว่ามันมีประโยชน์ เขาก็อบรมให้มีมานะแรงกล้า ไม่ยอมแพ้ ถือตัวถือตน ถือสกุล ถือวรรณะอะไรต่างๆนี่ เรียกว่า ถือทิฐิมานะนี่ก็มี คือเขาไม่ต้องการจะละทิฐิมานะ เขาต้องการจะส่งเสริมให้มันแรงขึ้น
ทีนี้ก็จะมาพูดในแง่ดีกันบ้าง ว่ามานะนี่มันจะมีแง่ดีอย่างไร ที่เราพูดมาแล้วนั่นมันเป็นเรื่องแง่เลว ทำให้มีความทุกข์ส่วนตัว อาจทำให้กระทบกระทั่งส่วนผู้อื่น ถ้าจะพูดว่ามานะมีส่วนดีหรือฝ่ายดีนี้มันก็เป็นเรื่อง เล่นลิ้นหรือสำนวนพูดหรือพูดเป็นสำนวน อย่างมีสำนวนในบาลีว่าอาศัยมานะละมานะ นี่ก็มีเพื่ออาศัยมานะให้ดึงไปในทางดี ก็ละมานะที่มันเป็นกิเลสเป็นเหตุแห่งความทุกข์เสีย แต่โดยข้อเท็จจริงแล้วมันเลิกหมด มันเลิกหมดทั้งสองมานะ มันจะมีอยู่ไม่ได้ ที่ละมานะด้วยมานะนี่มันจะต้องเลิกล้างกันทั้งสองมานะ แล้วก็มีขนบธรรมเนียมประเพณีที่สอนเด็กๆเล็กๆให้มีมานะ ดูอย่างเพื่อนฝูง เขาก็เป็นคนเหมือนกัน ทำไมเขาทำได้เขาเรียนได้ เขาดีได้เขารวยได้เราก็ไม่ยอมแพ้ นี่ก็เรียกว่ามานะเกี่ยวกับความถือตนมาใช้ ให้เป็นตัวกำลัง สำหรับปฏิบัติความดี มันก็ได้ในส่วนที่อาจจะได้ความดีมา แต่โดยเหตุที่ความดีนั้นไม่ใช่เหตุที่สิ้นสุดของความทุกข์ มันต้องผ่านพ้นไปจากนั้นอีก จนหมดตัวตนที่เป็นเจ้าของความดี ไม่มีตัวกูที่เป็นเจ้าของความดีอย่างนั้นมันจึงจะจบเรื่อง เอาล่ะในตอนนี้นะ เราจะใช้ให้มันเป็นประโยชน์ ใช้สิ่งที่ธรรมดามันเป็นโทษแต่เราจะเอามาใช้ให้เป็นประโยชน์เพราะว่ามันมีแรงมาก แรงของมานะมันมีมาก เพราะฉะนั้นเราเอาแต่แรงมันมาใช้ มานะพยายาม ละกิเลส โดยถือว่าเมื่อคนอื่นละได้เป็นพระอรหันต์ได้เราก็ต้องเป็นพระอรหันต์ให้ได้ มานะอย่างนี้เรื่อยๆไป เป็นเครื่องจูงใจอย่างนี้เรื่อยๆไป ก็เรียกว่าเอากำลังของมานะมาใช้ในทางดี แต่แล้วมันก็เป็นพระอรหันต์ไม่ได้ถ้าหากว่ามานะยังมีอยู่เป็นพระอรหันต์ไม่ได้ แต่ปฏิบัติปฏิบัติทำลายมานะไถ่ถอนมานะลดกำลังของมานะอยู่เรื่อยไปๆเรื่อยไป จนถึงโอกาสหนึ่ง ไอ้มานะมันก็ดับสิ้นลงแล้วก็เป็นพระอรหันต์ได้ อย่างนี้มันก็ยังพูดเป็นคำพูดได้ว่าอาศัยมานะละมานะ เหมือนกับเราพูดว่าไอ้ๆหนามมันยอกต้องเอาหนามบ่งหนามออกมา แต่แล้วเราก็ไม่ได้เอาไว้ทั้งสองหนาม ไอ้หนามที่ยอกหนามที่เราบ่งก็ไม่ได้เอาไว้ นี่อาศัยมานะละมานะ อาศัยตัณหาละตัณหาก็มีคำพูด แต่ไม่เคยพบที่เป็นพุทธภาษิต เคยพบที่เป็นสาวกภาษิตก็แยกฝ่ายดี ก็เอามาถือเป็นหลักมาศึกษามาปฏิบัติกันอยู่ แต่ถ้าในภาษาไทยละก็มีพูดกันอยู่ ก็ใช้ได้ขอให้มีมานะพยายาม ในฐานะที่เป็นมนุษย์คนหนึ่ง เป็นลูกผู้ชายคนหนึ่งต้องทำอะไรให้ได้ ให้เต็มที่ ตามความหมายของมนุษย์คนหนึ่ง แต่แล้วนั่นมันไม่ใช่เป็นพระอรหันต์ มันเป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่งอาศัยมานะสำหรับทำความเป็นมนุษย์คนหนึ่ง ถ้าต่อไปจะทำความเป็นพระอรหันต์ก็มานะกันอีกทีว่าคนอื่นเป็นได้เราก็เป็นได้ และก็ปฏิบัติเพื่อละมานะนั้นเสีย พอมานะถูกละไปไอ้ตัวเรา ที่เป็นเจ้าของมานะมันก็หมดไปเสียด้วย ถ้ามันหมดอัสมิมานะ มานะที่ว่าตัวตนมันก็หมดเสียด้วย มันก็เลยไม่มีมานะอะไรเหลือ ก็ได้เป็นพระอรหันต์ได้
ทีนี้ก็มาดูอีกทีหนึ่งก็จะเห็นได้ว่า ไอ้สิ่งที่ร้ายกาจอันนี้ เป็นสิ่งที่อันตรายร้ายกาจอันนี้เราจะต้องเกี่ยวข้องกับมันให้ถูกวิธี เกี่ยวข้องกับมันให้ถูกวิธี ถูกกาลเทศะ จึงจะใช้มานะที่เป็นอันตรายนี่ให้เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ได้ เหมือนกับว่าช้างตกมันหรือว่าไอสัตวที่มันกำลังตกมัน มันมีฤทธิ์มากแรงมาก ถ้าใครใช้มันได้ มันก็ทำงานได้มาก ทำงานได้มาก มีแรงมาก คนก็เหมือนกันที่มันมีมานะมากทิฐิมากมันก็มีแรงมากใช้ให้ทำงานได้มาก แต่ยังไม่ดับทุกข์ เพราะถ้าดับทุกข์มันก็เป็นเรื่องหมดมานะไม่มีมานะเหลือ
ทั้งหมดนี้ที่พูดมานี้ไม่ต้องการให้เป็นเรื่องของตัวหนังสือ ไม่ต้องการให้เป็นเรื่องของพระคัมภีร์และก็มีอยู่ในพระคัมภีร์ แต่ต้องการให้เป็นเรื่องของทุกคน เป็นเรื่องจริงที่มีอยู่ในตัว ของคนทุกคน ถ้าเขาจัดการกับมันไม่ดี มันจะเป็นอันตราย เป็นสิ่งที่ทำลาย แต่ถ้าเราจัดการให้ดีให้ถูกวิธี ก็พอจะใช้ประโยชน์ได้ ถ้าในในตอนปลายก็เลิก เลิกกันเสีย ไม่ถือเอาไว้เป็นตัวตนที่บริสุทธิ์หรือถาวร ดังนั้นก็อยากจะพูดเสียเลยตรงนี้ว่า ลัทธิอื่นศาสนาอื่นในอินเดียที่เขามีตัวตนอันถาวรนั้น เขาไม่ละไอ้ตัวตนสุดท้ายที่ว่าดี เขาเอาตัวตนดีนั้นเป็นนิรันดรไปเลย แต่พุทธศาสนาไม่เอาอย่างนั้น การจะดับตัวตนที่เป็นถาวรเป็นนิรัดรโดยการไม่มีตัวตนไปเสียเลย แต่ถ้าใครมันชอบตัวตนมันก็พลิกกลับมาอีกทีหนึ่ง เอาความไม่มีตัวตนเป็นถาวรเป็นตัวตนอีกทีหนึ่ง มันเป็นคำพูดที่เล่นลิ้น ความไม่มีตัวตนมันถาวรจริงนั้นแหละ มันดับตัวตนเสียได้มันก็มีความว่างจากตัวตนที่ถาวร นี่ใครจะไปเกิดเอาสิ่งนั้นเป็นตัวตนอีกก็ตามใจ เขาไม่มีหลักในพระพุทธศาสนา คือไม่ให้มีความคิดนึกหมายมั่นว่าอะไรๆเป็นตัวตน อยู่อย่างถาวร เพราะฉะนั้นอมตะธรรมก็ดีพระนิพพานก็ดีอะไรก็ดี ที่เป็นของถาวรถูกปฏิเสธหมดด้วยคำว่าไม่ใช่ตัวตน มันเป็นอย่างนั้นทั้งนั้นแหละ มันไม่ใช่ตัวตน นิพพานก็นิพพานไม่ใช่ตัวตน อมตะก็ไม่ใช่ตัวตนมันก็เป็นอมตะมันก็เป็นอย่างนั้น อสังขตะก็ไม่ใช่ตัวตนมันก็เป็นอสังขตะ นี่เรามีหลักสำหรับพุทธศาสนาอย่างนี้ ถ้ากระโดดออกไปเอาเป็นตัวตนที่ถาวรเอาไว้ตลอดกาลนี่ก็จะต้องเป็นลัทธิอื่นเป็นศาสนาอื่น นี่ก็ไม่ได้ปฏิเสธว่ามีสิ่งที่ถาวร เรายอมรับว่ามีสิ่งที่ถาวรคือพระนิพพานก็ดี อสังขตธรรมก็ดี อมตธรรมก็ดีหรือชื่ออื่นๆอีกก็ดี นั้นก็มีอยู่ นี่ว่าเป็นสิ่งที่ถึงได้ ต่อเมื่อหมดความยึดถือว่าตัวตน หมดความยึดถือว่าตัวตนจึงจะถึงพระนิพพาน ถึงอสังขตะ ถึงอมต ถึงโลกุตระถึงอะไรได้ นั้นความคิดว่าตัวตนไม่ควรจะกลับมาอีก ไปได้สิ่งที่ถาวรแล้วจะเอาไอ้สิ่งนั้นมาเป็นตัวตนอีกนี่ไม่ใช่พุทธศาสนา
พระพุทธเจ้าได้ตรัสปฏิเสธไว้ด้วยคำว่าว่าธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา คือสังขตะธรรมก็ดี คืออสังขตะธรรมก็ดีล้วนแต่เป็นอนัตตา ไม่ใช่สิ่งที่เป็นตัวตนควรจะถือว่าเป็นตัวตน ความรู้สึกว่าตัวตนเป็นเพียงความสำคัญมั่นหมาย เพราะความไม่รู้เท่านั้นแหละ เพราะความไม่รู้ เช่นเด็กๆเกิดมาใหม่ๆก็มีความรู้สึกเป็นตัวตนขึ้นมา นั่นเพราะความไม่รู้อันถูกต้องว่าไม่ใช่ตัวตนและถูกสนับสนุนให้ความยึดถือว่าตัวตนแรงขึ้นๆแรงขึ้น แล้วพอได้รับรสอร่อย ทางอายตนะ มันก็สร้างความรู้สึกว่าตัวตนผู้อร่อย ผู้รับรสความอร่อย ผู้เป็นเจ้าของความอร่อยมากขึ้นไอ้ตัวตนมันก็เข้มแข็งมากขึ้น นี่ขอให้เข้าใจไว้ด้วยว่า การได้รับรสอร่อยทางอายตนะทางผัสสะ ส่งเสริมทุกอย่างที่เป็นกิเลสให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น ความหมายมั่นเป็นตัวกูเป็นของกู นอกจากจะมีรากฐานอยู่บนไอ้ความยึดถือว่าตัวตนนี้แล้ว มันก็ได้รับการสนับสนุนปรุงแต่งด้วยรสอร่อยทางอายตนะที่เข้ามาสัมผัสแล้วมันเกิดความรู้สึกว่ากูเป็นผู้อร่อย กูเป็นเจ้าของความอร่อย กูแสวงหาปัจจัยแห่งความอร่อย กูจะรวบรวมสมบัติมหาศาลมาว่าเป็นปัจจัยแห่งความอร่อยแห่งตัวกู คำว่าตัวกูมันก็ใหญ่ออกๆ หนาขึ้นๆ สูงขึ้นๆ หมายความว่าโคกเนินอันนี้มันก็สูงขึ้นๆเป็นภูเขาที่งอกได้งอกสูงขึ้นมาเรื่อย ลองเปรียบเทียบดูทีใน ไอ้ตัวกูเด็กเล็กๆ สี่ขวบห้าขวบมีตัวกูเท่าไหร่ แล้วตัวกูของเราเดี๋ยวนี้อายุ ยี่สิบสามสิบสี่สิบมีห้าสิบนี่มันมีตัวกูหนาแน่นเข้มแข็งเข้มข้นเท่าไหร่ ควรจะมีเวลาที่จะเอามาเปรียบเทียบดู มีตัวกูมากเท่าไหร่ก็มีความหนักมากเท่านั้น ไอ้เด็กทารกเด็กเล็กๆเขาไม่มีความหนักอกหนักใจอะไร เพราะว่าเขาไม่มีตัวกูชนิดที่ใหญ่โตเหมือนของคนแก่ๆ มีตัวกูที่มันใหญ่มากหนักมาก แล้วก็แบกตัวกูนี้อยู่ตลอดเวลา ก็มีความเคยชิน ด้วยมานะว่าตัวกูว่าของกูมากขึ้นๆ มันๆมันจะไม่ใช้คำพูดว่าตลอดเวลาได้อย่างถูกต้อง แต่ความรู้สึกมันๆมันจะเป็นอย่างนั้นมันจะคล้ายอย่างนั้น เพราะว่ามันจะรู้สึกแต่ในทางนั้น ความคิดนึกที่ปล่อยไปตามเรื่องตามราวของมันๆจะเป็นความคิดนึกประเภทตัวกูของกูทั้งนั้นแหละ วันนี้กูจะทำอะไรให้ดีที่สุด กูจะอร่อยที่สุด หรือไม่กูจะพักผ่อนให้สบายที่สุดมันเป็นเสียอย่างอย่างนั้น เพียงพอที่พูดได้ว่ามันแบกตัวกูอยู่ตลอดเวลา ภาระหนัก ก็คือแบกตัวกูอยู่ตลอดเวลา ถึงแม้พระพุทธภาษิตที่ว่าขันธ์ทั้งห้าเป็นภาระอันหนักเน้อ นั่นก็หมายความว่าเมื่อยึดถือไอ้ขันธ์นั้นว่าเป็นตัวตนหรือของตน ถ้าขันธ์นั้นไม่ถูกยึดถือว่าตัวตนหรือของตนแล้วขันธ์นั้นไม่หนักหรอก ดังนั้นเข้าใจดีๆบทสวมนต์ที่ว่าขันธ์ทั้งห้าเป็นภาระอันหนักเน้อ หมายถึงขันธ์ทั้งห้าที่ถูกยึดถือว่าเป็นตัวตนเป็นของตน ดังนั้นความหนักมันจึงอยู่ที่ความยึดถือว่าตัวตนว่าของตน ไม่ใช่หนักอยู่ที่ขันธ์ห้า แต่เดี๋ยวนี้คำพูดประโยคนั้นมันเป็นกาพย์กลอนพระพุทธเจ้าจึง จึงมีพระพุทธภาษิตที่เราถือว่าพระพุทธเจ้าตรัสลุ่นๆว่าขันธ์ทั้งห้าเป็นของหนัก ที่จริงความหมายที่ถูกต้องของมันคือขันธ์ทั้งห้า ที่ถูกยึดถือว่าเป็นตัวตนนั่นแหละเป็นของหนัก ที่ถ้าว่าตรัสเป็นคำร้อยแก้วธรรมดาไม่ใชกาพย์กลอนแล้วมันก็จะมีว่า ปัญจุปาทานักขันธา ทุกแห่งแหละเป็นทุกข์เป็นของหนัก เดี๋ยวนี้คำมันเป็นกาพย์กลอนมันจำกัดพยางค์ จำกัดมิติอะไรต่างๆ มันก็เลยมีว่า ธาราชเวปัญจะมันทา ขันธ์ทั้งห้าเป็นภาระหนักเว้ย, หนักเพราะยึดถือเป็นตัวตน เราควรจะรู้ข้อเท็จจริงอันนี้ให้ชัดเจนอย่างยิ่ง ว่าถ้าเราไปยึดถืออะไรโดยเป็นตัวตนเป็นของตนมันก็หนัก ยึดถือบ้านเรือนทรัพย์สมบัติ วัวควายไร่นา บุตรภรรยาหรือว่าตัวตนมันก็หนัก กระทั่งยึดถือในภายในว่าชีวิตนี้ร่างกายนี้เป็นตัวตนมันก็หนัก จึงสอนว่าภายนอกก็ไม่ไหว ภายในก็ไม่ไหวคือยึดๆเป็นตัวตนไม่ได้มันหนักทั้งนั้น ความรู้อันนี้ก็มีเพื่อจะให้ปลงของหนักลงไปเสีย ดังบาลีว่า ภาระนิกเขปะนัง สุขัง ปลงของหนักลงเสียได้เป็นความสุข ก็คือปลงตัวตนนั่นเอง บทสวดพารา หเว ปัญจขันธา ดีมาก มีไม่กี่บรรทัดแต่ว่าดีมาก มีความหมายมากมีความหมายสำคัญมาก ควรแก่การศึกษาอย่างยิ่ง ก็สวดกันได้ทุกๆทุกคนแล้ว ก็ไปแยกแยะพิจารณา ดูความหมาย ที่ว่าถอนตัณหาขึ้นเสียได้ ก็เพราะว่าตัณหาคล้ายๆกับว่าเป็นรากของตัวตน สะมุลัง ตัณหัง อัพภุยหะ นิจฉาโต ปะรินิพพุโต ถอนตัณหาไปเสียได้กระทั่งรากของตัณหา เมื่อไม่มีตัณหาแล้วก็ไม่มีอุปาทาน ไม่มีปาทานก็ไม่มีมานะว่าตน ถอนตัณหาพร้อมทั้งรากเสียได้ก็เท่ากับว่าถอนตนเสียได้ เพราะตัณหาเป็นเหตุให้เกิดอุปาทานหรือมานะ ก็ต่อกันไปอีก
นี่วันนี้เราพูดถึงเรื่อง เขาโคกสามเนิน หรือเนินเขาสามเนิน มีภูเขาลูกหนึ่งมีอยู่สามปุ่มสามสามเนิน อยู่ที่ไหน อยู่ในจิตใจคนทุกคน แล้วมันงอกๆงอกออกมาเป็นเนินสูงออกมาตั้งแต่แรกเกิด แรกคลอด ไปไคร่ครวญให้ดีว่าไอ้ภูเขาลูกนี้มันตั้งจุดตั้งปมขึ้นมา เป็นปุ่มขึ้นมาแล้วมันงอกใหญ่ขึ้นๆพอโตเต็มที่มันออกมาเป็นสามยอดหรือสามเนินคือตัวกู ที่ดีกว่า ที่เลวกว่า ที่เสมอกัน ดังนั้นอย่าชอบเลย ที่ดีกว่าก็อย่าชอบ ที่เลวกว่าอย่าไปเอามันเลย มันเป็นควมทุกข์ที่ว่าเสมอกันนี่ก็ยิ่ง ยอมแพ้ยาก กิเลสที่เป็นเหตุให้ไม่ยอมนี่เรียกว่ามานะ จึงๆจึงถือเหมือนกับโคกหรือเนินไม่ยอมลด จะกดลงไปยังไงมันไม่ยอมลด มันต้องมีวิธีของพระพุทธเจ้า ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ทำลายโคกทำลายเนิน ให้ราบเตียนไป เดี๋ยวนี้ภูเขาใหญ่ๆเขายังทำลาย เปลี่ยนไปได้ด้วยเครื่องมือจักรกล มันเป็นเรื่องวัตถุ เรื่องภายในจิตแล้วก็เครื่องมือภายในจิต ทางธรรมทำลายเนินเขานี้ให้ราบเตียนลงไปอย่าให้โผล่ขึ้นมาอีก ให้ถือปฏิบัติทั้งในส่วนสังคมและส่วนตัว เมื่อสู่สังคมแล้วก็อย่าๆอย่าให้มีโคกมีเนินที่ยกหูชูหางอะขึ้นมา ในมงคลสูตรที่กล่าวถึงมงคลทั้งหลายก็มีคำว่า นิวาโต แปลว่าไม่มีลมป่อง ไม่มีลมโป่งก็เป็นมงคลอันสูงสุดอย่างหนึ่งด้วยเหมือนกัน ไอ้คนที่มีลมโป่งคุยเบ่งโม้ ยกตนข่มท่านอย่างนี้ อย่างนี้ก็คือมานะในที่นี้ หรือเรียกว่าลม ที่โป่งขึ้นมา ถ้านิวาโตเอาลมออกเสีย ก็หยุดโป่งก็เป็นมงคลสูงสุดอย่างหนึ่งด้วย นี่เรียกว่าทางสังคมเล็กๆน้อยๆไม่ใช่ไปนิพพาน มันก็ต้องขจัดไอ้ตัวตนหรือว่าไอ้โคกเนินที่มันยกสูงขึ้นมา
เราลองหลับตามองเห็นภาพว่าไอ้คนทั้งหลายในโลกนี้มันมีอยู่พันล้านแต่ละคนๆ มันมีโคกเนินของมัน สูงตระหง่านอยู่ทั้งนั้น โลกนี้มันก็เป็นอย่างนี้ ไม่มีใครยอมใคร เมื่อไม่ยอมก็ตกลงกันไม่ได้ มันไม่หยุดมันไม่เย็น เมื่อไม่ยอมก็ไม่หยุด ก็สู้กันไปเรื่อย ไม่หยุดมันก็ไม่เย็น มันก็ไม่ดับทุกข์ ไอ้ความที่ไม่ยอม ไม่ใช่ของเล็กน้อยนะ ช่วยจำเอาไปด้วยว่าไอ้ความที่ไม่รู้จักยอมนี่ ไม่ใช่ของเล็กน้อย เป็นเรื่องใหญ่โตถึงความวินาศได้ ถ้าทางธรรมก็ไม่มีทางเป็นพระอรหันต์ได้ เรื่องหยุดเรื่องเย็นเรื่องยอม อยู่มันเกี่ยวข้องอยู่กับเรื่องมานะ แล้วเป็นอันๆว่าวันนี้เราพูดกันเรื่อง เขาโคกสามเนิน เนินเขาสามเนินแสดงถึงมานะที่มีตัวตนเป็นพื้นฐานอัสมิมานะเป็นพื้นฐาน แล้วก็สะสมมากเข้าๆจนเป็น อนุสัยแห่งมานะว่าตัวกูว่าของกู ครั้นเป็นตัวกูของกูขึ้นมาแล้วก็มีทางที่จะจัดแบ่งแยกออกเป็นสามพวก คือพวกที่ดีกว่า พวกที่เลวกว่า พวกที่เสมอกัน ขอให้ระวังให้ดี รู้จักทำลายโคกเนินแห่งมานะ ซึ่งเป็นหลักปฏิบัติในพระพุทธศาสนา ทำลายตัวตน ทำลายความรู้สึกว่าตัวตน ทำลายความรู้สึกว่าของตนเสียให้ได้ ข้อปฏิบัติหรือพหรมจรรย์ในศาสนา ก็มีเพื่อทำลายอันนี้ เพื่อทำลายอหังการ มะมังการ มานานุสัย ความเคยชินที่สะสมไว้ สำหรับหมายมั่นว่า ตัวเรา ว่าของเรา ให้วันคืนๆมันล่วงไปๆ ด้วยการบรรเทาลงไอ้ของมานะว่าเราว่าของเรา ไม่ใช่ไปเป็นฆาราวาสก็ลองไปคิดดูให้ดีเถิดว่ามันเป็นอันตราย อย่าไปหวังพึ่งไอ้มานะแบบนี้ ถ้าจะหวังพึ่งมานะแบบนี้ก็หวังพึ่งเพียงว่าเป็นกำลัง สำหรับบากบั่นในการทำความดีเท่านั้นแหละ และในที่สุดก็ต้องยกเลิกถอนกันไปพร้อมกันกับความดี ความชั่ว หมดบุญ หมดบาป หมดดี หมดชั่ว หมดตาย หมดเกิด คือ หมดมานะ แล้วพอกันทีสำหรับการบรรยายวันนี้ เขาโคกสามเนิน ผมพยายามให้เป็นกลอนเพื่อจำง่าย นิมนต์ ไม้ค้ำสามขา ศาสตราสามอัน โจรฉกรรจ์สามก๊ก ป่ารกสามพง เวียนวงสามวน ทุกข์ทนทั้งสามโลก เขาโคกสามเนินะกิงอื่นเข้ามาประกิบอีกมากรียกว่า มา เเขเขเดว