แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ธรรมปาฏิโมกข์ในวันนี้ จะได้กล่าวโดยหัวข้อว่า ทุกข์ทนทั้งสามโลก ลองทบทวนมาตั้งแต่ต้นว่า ไม้อิงสามขา ศาสตราสามอัน โจรฉกรรจ์สามก๊ก ป่ารกสามดง เวียนวงสามวน ทุกข์ทนสามโลก นี่เป็นถ้อยคำที่สัมผัสกันมาเรื่อย เนื้อความมันก็สัมพันธ์กันมาเรื่อย เรามีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นเครื่องอิงสามขา และมีอาวุธที่จะตัดปัญหาต่างๆ ๓ อย่างคือ ศีล สมาธิ ปัญญา นี้ก็เพื่อฆ่าโจรฉกรรจ์ ๓ ก๊ก คือกิเลส ๓ พวก ได้แก่ โลภะ โทสะ โมหะ และก็ป่ารก ๓ ดง หมายความว่า กิเลสมันเกิดหรือตั้งอยู่ได้ เพราะทิฏฐิที่ผิดๆ ๓ ประเภท ได้แก่ สัสสตทิฏฐิ อุจเฉททิฏฐิ นัตถิกทิฏฐิ มีผลทำให้เวียนวงอยู่ ๓ วนคือกิเลส กรรมและวิบาก มีผลทำให้เป็นทุกข์ทั้งหมดที่เรียกว่า ทุกข์ทนทั้ง ๓ โลก โลกทั้งหมดคือทุกข์ทุกชนิด คือแจงออกเป็น ๓ ได้เพียง ๓ คือ กามโลก รูปโลก อรูปโลก เมื่อพูดว่า ๓ โลก ก็หมายถึงว่า หมดทุกโลกนั่นเอง ก็หมายถึงหมดทุกโลกนั่นเอง ที่พูดว่าทุกข์ทนทั้ง ๓ โลก ก็มีค่าเท่ากับทุกข์ทนหมดทุกโลก นี่เรารู้เรื่อง ๓ โลกคือโลกทั้งหมดกี่ชนิดก็มาจัดเป็นหมวดๆ ได้ ๓ หมวด คือ ๓ โลก
กามโลก คือโลกของสัตว์ที่มีจิตต่ำอยู่ในระดับมัวเมาอยู่ในกาม โลกของสัตว์ที่มีจิตอยู่ในระดับต่ำคือมัวเมาอยู่ในกาม นี่ก็หมายถึงสวรรค์ชั้นกามาวจร พวกเทพชั้นกามาวจรก็อยู่ในกามโลก มนุษย์ก็อยู่ในกามโลก อมนุษย์ถ้าจะมีมันก็ยังชอบกาม บูชากาม ก็อยู่ในกามโลก แม้แต่สัตว์เดรัจฉานก็ยังถือว่า สงเคราะห์อยู่ในกามโลก แม้ที่สุดแต่สัตว์นรก กำลังทนทรมานอยู่ในนรกเขาก็ยังมีจิตใจบูชากาม อยากจะขึ้นมาบริโภคกาม มีจิตใจที่อยู่ในระดับที่บูชากามด้วยเหมือนกัน ก็เรียกว่าอยู่ในกามโลก
ฉะนั้น กามโลกนี้กว้างขวางยืดยาว เอาขึ้นไปตั้งแต่ข้างล่างคือสัตว์นรก แล้วก็สัตว์เดรัจฉาน หรืออมนุษย์ อบายเปรต อื่นๆ จนถึงมนุษย์ธรรมดาจนถึงเทวดาในชั้นกามาวจร ๖ ชั้น คือเทวดาประเภทที่มีกามารมณ์เป็นสิ่งสูงสุด หมดนี้รวมเรียกกันว่า กามโลก จะแจกเป็นกี่โลก ก็เรียกว่ากามโลกทั้งนั้น เข้าใจไว้เป็นหลัก เป็นหลักธรรมะ เขามันมีหลักอย่างนี้ ที่จะจัดโลกจัดคนมีหลักอย่างนี้
ทีนี้ที่มันสูงขึ้นไป คือไม่บูชากาม ไม่นิยมกาม ก็พวกรูปโลก หมายถึงบูชาความสุขที่ไม่เกี่ยวกับกาม แต่มันต้องมีที่ตั้งอาศัยอย่างใดอย่างหนึ่ง ได้แก่ รูปธรรมอันบริสุทธิ์ ไม่เกี่ยวกับกาม นี่ก็เรียกว่าพรหมโลก ในชั้นรูปพรหม พรหมโลกในชั้นรูปพรหม คือพรหมที่เกิดขึ้นเพราะอำนาจของรูปฌาน คือภาวะของจิตใจที่พอใจอยู่ในรสของรูปฌาน เมื่ออยู่ในฌานแล้วหมายความว่า มันไม่มีกามารมณ์เจืออยู่เลย เช่น เมื่อจิตของเราเป็นสมาธิ เป็นสุขอยู่สมาธิในเวลานั้นมันไม่ผวนไปถึงกามารมณ์ ไม่บูชากามารมณ์และก็ไม่ถูกรบกวนด้วย กามารมณ์อะไรหมด แต่โดยเหตุที่ความสุขนั้นยังต้องอิงอาศัยรูป จึงจัดเป็นพวกรูป เขาเรียกว่ารูปโลก ทีนี้ถ้าสูงขึ้นไปอีก ก็เรียกว่าอรูปโลก แปลว่าไม่มีรูป หรือไม่ใช่รูป ความพอใจ สิ่งที่เป็นที่พอใจของสัตว์ประเภทนี้ก็คืออรูป ได้แก่ นามธรรม ที่ระบุไว้เช่น อากาศ วิญญาณ ความไม่มีอะไร ความที่มีความรู้สึกชนิดที่เงียบเหมือนกับว่าตายแล้ว ก็ไม่ใช่ อยู่ก็ไม่ใช่ เรียกว่าจิตนั้นมันอยู่ในอรูปโลก และภาวะนั้นเป็นอรูปโลก สำหรับจิตชนิดนั้น และก็ได้โลกอีกพวกหนึ่ง เรียกว่าอรูปโลก สำหรับรูปโลกคือพรหม รูปพรหมนั้นตามที่เขากล่าวไว้ อย่างปุคคลาธิษฐาน ก็มีเป็นโลกสวรรค์ อีกพวกหนึ่งอยู่ที่ไหนก็ตามใจ ซึ่งเขาไม่ได้ชี้ให้เห็นได้ แต่มันเป็นสวรรค์ประเภทหนึ่งที่แท้ไม่ควรจะเรียกว่าสวรรค์ ควรจะเรียกว่าพรหมโลกดีกว่า ที่สูงขึ้นไปก็เรียกว่า พรหมโลกชนิดอรูป เราไม่อาจชี้ว่า อยู่ข้างบน ข้างล่าง ข้างเหนือ ข้างใต้ ที่ตรงไหน แต่เขากล่าวเป็นโลกชนิดที่จิตนี้จะไปถึงได้ โดยเฉพาะก็หลังจากตายแล้ว
ถ้าพูดตามที่เขาพูดกันอยู่ทั่วๆไป โดยภาษาคนเป็นเรื่องหลังจากตายแล้ว ที่ไปสู่เทวะโลก พรหมโลก แล้วคำอีกคำ ซึ่งถ้าคุณจะได้ยินก็ว่ามารโลก มารโลกก็คืออยู่ในพวกกามาวจร พวกกามโลกเหมือนกัน จำหลักว่า กามโลก รูปโลก อรูปโลกไว้ให้ดีๆ จะสะดวกจะง่ายดายในการศึกษาธรรมะ ที่เกี่ยวกับระดับของจิตใจ ทีนี้ผมจะพูดโดยภาษาธรรม อะไรๆก็เป็นเรื่องของจิตใจหมด ไม่เกี่ยวกับเรื่องของวัตถุ มันจึงหาได้ครบในขอบเขตของจิตใจ ขอบเขตของจิตใจอยู่ที่ไหนเราจะหาโลกทั้ง ๓ นี้ได้ครบ สำหรับกามโลกนี้ คือจิตที่ยึดติดอยู่ในกาม พอใจอยู่ในกาม เสวยรสของกาม เวลานั้นโลกนั้นที่จิตรู้สึกนั้นก็เป็นกามโลก เป็นเพียงสิ่งที่จิตรู้สึก แล้วเราก็เรียกว่ากามโลก คนเรานี่แหละ บางเวลามีจิตอิ่มเอิบด้วยกามารมณ์สูงสุด มันจะเป็นการบังเอิญก็ได้ มันก็สูงสุดได้ไม่แพ้พวกไหน พวกเทวดามันก็สูงสุดได้แค่ความรู้สึกทางเพศ มันจะรู้สึกเป็นเรื่องเพศมันก็แล้วแต่อวัยวะเพศ มันจะอำนวยให้ได้ มันก็สูงสุดแค่นั้น ของสัตว์มนุษย์ก็มี คนจนคนรวยคนอะไรก็ตาม แม้แต่คนจนมันก็มีเหตุมีปัจจัยบางครั้งบางโอกาสได้เสวยกามสุขได้ชั่วขณะ ไปซื้อหาเอาก็ได้ สุดเหวี่ยงในทางกามารมณ์ มันก็เรียกว่าสุขแวดล้อมอยู่ด้วยกามโลกเหมือนกัน สัตว์เดรัจฉานที่เห็นกันง่ายว่า มันก็มีความรู้สึกอยู่ในระดับที่พอใจในรสทางเพศ ส่วนสัตว์นรกนั้น ทางภาษาคนก็หมายถึงว่าอยู่ใต้ดิน อยู่กันโดยทนทรมานในลักษณะของผู้ถูกลงโทษชนิด ผู้ถูกลงโทษชนิดนั้น ไม่มีโอกาสแตะต้องเรื่องเพศและกามารมณ์ แต่ว่าจิตของเขาอยู่ใต้กามารมณ์ ยังต้องการกามารมณ์ อยู่ในคุกในตารางในเรือนจำอะไร มันก็ยังมีจิตที่บูชากามารมณ์ หาโอกาสทำกามารมณ์ จิตของคนที่กำลังดื่มอยู่ในกามารมณ์ ก็ต้องกล่าวได้ว่า ภาวะเช่นนั้น สำหรับคนๆนั้น มันเป็นกามโลกสำหรับเขาคือจิตของเขาตั้งอยู่ในกามโลก ที่ไหนก็ได้เมื่อไหร่ก็ได้ ความหมายคำว่ากามโลกมันเป็นอย่างนี้ จงจำกันไว้ดีๆ
ทีนี้มนุษย์เราบางเวลาไปหลงอยู่กับสิ่งที่ไม่ใช่กามารมณ์ เป็นวัตถุเป็นของเล่น พอใจอยู่อย่างสูงสุด หลงใหลทั้งวันทั้งคืน เล่นของเล่นที่เป็นวัตถุ คือเขาอาจจะเล่นด้วยความมัวเมาจนลืมกามไปก็มี นี่ธรรมดา คนธรรมดาก็เป็นได้ที่จะถลำเข้าไปอยู่ในรูปโลก จิตมันไม่ได้เกี่ยวข้องกับกาม แต่มันมัวเมาอยู่กับรูปธรรม อันเป็นที่ตั้งแห่งความพอใจ คนที่เล่นต้นไม้ เล่นบอล เล่นนกเขา เล่นปลากัด เล่นแสตมป์ เล่นอะไรก็ตามที่มันเป็นรูปธรรมล้วนๆ มันไม่เกี่ยวกับกามารมณ์ เล่นลายคราม เล่นอะไรก็สุดแท้ มันหลงขนาดที่ว่าลืมกามารมณ์บางขณะก็มี แต่คนชนิดนี้มันจัดอยู่ในพวกกามโลกโดยพื้นฐานของเขา แต่บางครั้งบางเวลาบางโอกาส บางคน มันไปลุ่มหลงอยู่ในวัตถุล้วนๆ เหล่านั้น ในภาวะจิตใจของเขาในขณะนั้นมันเป็นรูปโลก สำหรับเขา จิตของเขาจมอยู่ยินดีอยู่ มัวเมาอยู่ในรูปโลก ชั่วขณะหนึ่งเราไปนั่งดูอะไรเพลินอยู่ ไม่อยากลุก ก็เรียกว่าเข้าไปในรูปโลก ชนิดต่ำๆเลวๆได้ เหมือนกัน หรือว่าคนๆนั้นเขาทำสมาธิเป็นนักบวช เป็นโยคี เป็นมุนี เจริญรูปฌานคือเอาวัตถุใดวัตถุหนึ่ง เป็นอารมณ์เจริญสมาธิ มีจิตเป็นเอกกัคคัตตา(ไม่แน่ใจ นาทีที่ 16.11)อยู่ด้วย รูปารมณ์นั้นได้รับความสุขพอใจ ซึมซาบอิ่มเอิบอยู่ด้วยจิตทั้งหมดทั้งสิ้น เราต้องถือว่าบุคคลนั้นในขณะนั้นเขาอยู่ในรูปโลก เทียบเท่ากับว่าอยู่ในพรหมโลก ประเภทรูปพรหม นี่เอากันอย่างนี้ สมมุติว่าที่นี่พระองค์ใดองค์หนึ่ง เจริญรูปฌานจนลุ่มหลงอยู่ในความสุขนั้น ก็เรียกว่าเขาเข้าไปสู่รูปโลก
ที่นี้สูงขึ้นไปก็อรูปโลก นี้ไปเอาสิ่งที่ไม่มีรูป มาเป็นอารมณ์ มันก็เป็นนามธรรม บางคนอาจจะหวังบุญหวังกุศลหวังเกียรติยศชื่อเสียง ซึ่งเป็นนามธรรมก่อน แล้วหวังบุญหวังกุศลบ้าดีบ้าอะไรพอใจอยู่แต่ในเรื่องนามธรรม ที่มีความหมายอย่างนั้น จนถึงขนาดที่ว่ายึดถือด้วยจิตใจจมอยู่ในความรู้สึกอันนั้น ก็เป็นตัวอย่างของอรูปโลกชั้นเล็กๆ ชั้นต่ำๆ เล็กๆได้ เพียงแต่ว่าเขาเป็นโยคี มุนี ฤษี เจริญอรูปฌานที่เรียกกันว่า อากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ ไปหารายละเอียดอ่านดูจากบทเรียนนักธรรมชั้นโท ก็ดื่มด่ำอยู่ในรสของอรูปฌานนั้น ก็เรียกว่าบุคคลนั้นเวลานั้นเขากำลังเข้าสู่อรูปโลก โลกที่มีอรูปเป็นคุณค่า เป็นความหมายอันสูงสุด แล้วก็ได้โลกมาเป็น ๓ พวก หรือ ๓ โลก
โลกที่ 1 มีกามารมณ์เป็นคุณค่าอันสูงสุด เรียกว่า กามโลก
โลกที่ 2 มีความสุขเกิดแต่รูปธรรมเป็นคุณค่าอันสูงสุด เรียกว่า รูปโลก
โลกที่ ๓ มีความสุขเกิดแต่อรูปธรรมเป็นสิ่งสูงสุด มีค่าสูงสุด เรียกว่า อรูปโลก
ดูเข้าใจง่ายๆก็ดูที่ว่า อันหนึ่งมันมีความสุขเกิดจากกามารมณ์ อันหนึ่งมันมีความสุขเกิดจากรูปธรรมบริสุทธิ์ไม่เกี่ยวกับกามารมณ์ อีกอันหนึ่งความสุขมันเกิดจากอรูปธรรมอันบริสุทธิ์ไม่เกี่ยวกับกามารมณ์เหมือนกัน เราได้มีโลกเป็น ๓ โลก พูดอย่างภาษาคนก็ต้องอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ อยู่บนสวรรค์วิมานทิศไหนทางไหนผมก็บอกไม่ได้ คนพวกนั้นมันก็บอกไม่ได้ มันว่าตายแล้วจิตมันไปหาเอง แต่ถ้าพูดอย่างภาษาธรรม ภาษาผู้รู้ธรรม ไม่ติดอยู่กับวัตถุ แล้วมันก็ระบุไปยังจิตใจของมนุษย์เรา ที่อาจจะเปลี่ยนแปลงได้ถึง ๓ ระดับอย่างนี้
ถึงตัวเราเอง นี่แหละก็ขอให้สังเกตดูให้ดีเถอะ บางคราวมันชอบกามารมณ์พลัดตกไปสู่กามารมณ์ บางคราวมันอยากจะอยู่นิ่งๆ ไม่เกี่ยวกับกามารมณ์ อยู่ด้วยของวัตถุบริสุทธิ์ก็ได้ หรืออยู่ด้วยอรูปธรรม ความรู้สึกในจิตใจอย่างใดอย่างหนึ่งมันก็ได้ เป็นอันว่ามันมีอยู่ในจิตใจของคนที่เป็นๆ คนที่ยังเป็นๆ ไม่ใช่คนตายแล้ว เพราะคนตายแล้วมันรู้สึกไม่ได้ แล้วก็ไม่พูดว่ามีวิญญาณไปไหนมาไหน เราไม่พูดทั้งนั้น เราพูดว่าจิตใจของคนเป็นๆ มีความรู้สึกเกี่ยวกับความสุขที่เขาบูชานั้นได้เป็น ๓ ระดับ คือระดับกามโลก ระดับรูปโลก ระดับอรูปโลก ดังที่กล่าวแล้ว
ทีนี้เมื่อได้โลกมาทั้ง ๓ โลกแล้ว หัวข้อเราก็มีว่า ทุกข์ทนทั้ง ๓ โลก ต้องทุกข์ทน ทนทุกข์ทั้ง ๓ โลก ไม่ว่าโลกไหน ถ้าคุณมีปัญญาอยู่บ้าง คุณอาจจะเข้าใจไปได้แล้วว่า ทุกข์ทนอย่างไร ขึ้นชื่อว่าอยู่ในโลกแล้วต้องมีความทุกข์ทน เพราะการอยู่ในโลก มันหมายถึงความยึดมั่นอยู่ในโลก แล้วต้องทุกข์ทนทนทุกข์ เพราะความยึดมั่นนั้นเอง
ถ้าจะพูดกันคราวเดียวหมด ไอ้โลกทุกโลกทุกชนิดมันก็เป็น สังขตธรรมไม่ก็ไม่เที่ยง มีลักษณะแห่งความทุกข์ที่น่าเกลียดน่าชัง ดูแล้วรู้สึกว่าน่าเกลียดคือเป็นทุกข์ ทุกโลกมันก็เป็นทุกข์ได้อยู่แล้ว นี่เราดูลักษณะของมัน มันก็เป็นทุกข์ทุกโลกอยู่แล้ว ทีนี้ก็มาดูตัวจริงของมันว่าถ้าไปยึดมั่นถือมั่น ลุ่มหลงพอใจ ติดพันอยู่ในสิ่งใดก็จะเป็นทุกข์เพราะสิ่งนั้น แม้เราไปพอใจในความอร่อยในความสุข ไปลุ่มหลงติดพันอยู่ในความสุข ในความเอร็ดอร่อย ความอร่อยนั้นก็เป็นที่ตั้งของความยึดถือ มันก็เป็นทุกข์เหมือนกัน ถ้าเป็นสุขแล้วยึดถือก็เป็นทุกข์เพราะสุขนั้น เป็นทุกข์แล้วยึดถือก็เป็นทุกข์เพราะยึดถือนั้น มันสำคัญอยู่ที่มีความยึดถือแล้วก็เป็นทุกข์ หรือเขาจะตีคลุมหมดทีเดียวก็ได้ว่า ไม่ว่าโลกไหนมันยังอยู่ด้วยกิเลส อยู่ด้วยกรรม อยู่ด้วยความเกิดแก่เจ็บตาย มันไม่พ้นจากกิเลส มันไม่พ้นจากกรรมไปได้ จะอยู่ในรูปโลก หรืออรูปโลกสูงสุด มันก็ยังมีกิเลส มันก็อยู่ในกิเลสที่ยึดถือตัวตน มันก็ต้องเป็นทุกข์เพราะยึดถือ
ในแต่ละโลกก็มีความเปลี่ยนแปลงที่เรียกว่าการเกิดแก่เจ็บตาย มันก็มีความทุกข์อยู่ในความเกิดแก่เจ็บตาย จะเป็นเทวดา หรือเป็นพรหมชนิดไหน มันก็ยังถูกบีบคั้นอยู่ด้วยความเกิดแก่เจ็บตาย มีกิเลสมีตัณหา มีอุปาทาน ยึดมั่นถือมั่น มันทุกข์ด้วยกิเลส และความยึดมั่นนั้นเอง ในหัวข้อที่แล้วมา เราเรียกว่า เวียนวง ๓ วน เวียนวง ๓ วน คือกิเลส กรรม และวิบาก กิเลส กรรม วิบาก กิเลส กรรม วิบากนี่มันมีแก่สัตว์ในทุกโลก สัตว์ในกามโลกมันก็มี กิเลสกรรมวิบาก สัตว์ในรูปโลกมันก็มีกิเลสกรรมวิบาก สัตว์ในอรูปโลกมันก็มีกิเลสกรรมวิบาก แล้วมันก็วนอยู่ใน ๓ วงนี้ มันก็เป็นทุกข์เพราะการวนนั้นเอง
นี่ทำให้เรากล่าวได้ว่า ทุกข์ทนทั้ง ๓ โลกไม่ยกเว้นว่าโลกไหน เมื่อยังเป็นโลกก็ยังต้องทุกข์ทน เพราะว่าคำว่าโลกนี้ มันหมายความว่า เป็นสังขตธรรม ที่ต้องเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป และคำว่าโลกก็ โลกนี้ก็จำไว้เลยว่ามันแปลว่า แตก แปลว่าของแตก เป็นธรรมดา คำว่าโลกนี้แปลว่าของที่ต้องแตกเป็นธรรมดา แล้วมันจะพ้นจากความทุกข์ได้ยังไง เอากามารมณ์เป็นโลก เดี๋ยวมันก็แตก เอากามารมณ์เป็นโลก โลกกามารมณ์เดี๋ยวมันก็แตก นี่ถ้าเอารูปฌาน รูปสุขมาเป็นโลก เดี๋ยวมันก็แตกเหมือนกัน เดี๋ยวมันก็ต้องออกจากฌานอยู่แล้ว หรือจะเอารูปโลก อรูปธรรม อรูปสุข อรูปฌานมาเป็นโลก มันก็แตกเหมือนกัน เดี๋ยวมันก็แตกเหมือนกัน ขึ้นชื่อว่าโลกแล้วมันก็ต้องแตกอย่างนี้ และไอ้ความที่มันต้องแตกนี้มันเป็นทุกข์ มันจึงพูดว่าทุกข์ทนทั้ง ๓ โลก
ทีนี้เมื่อเห็นว่ามันทุกข์ทนทั้ง ๓ โลก สั่นหัวหมดทั้ง ๓ โลก จิตมันก็น้อมไปสู่ความอยู่เหนือโลก ถ้ามองเห็นว่าทั้ง ๓ โลก มันเป็นทุกข์แล้ว จิตมันก็น้อมไปเองโดยอัตโนมัติไปหาไอ้ที่มันไม่ต้องทุกข์ทน แล้วมันก็น้อมไปสู่ความอยู่ น้อมไปถึงภาวะที่อยู่เหนือโลก คือไม่ต้องเป็นไปในโลก ไม่ต้องเป็นไปตามโลก ไม่ต้องเป็นไปอย่างโลก ก็เรียกว่าโลกุตระ พูดให้ตรงไปตรงมาประหยัดเวลาก็ว่า อย่าไปยึด ๓ โลกนั้นมันก็เป็นโลกุตระเอง อย่าไปยึดอย่าไปหวัง อย่าไปยึดอย่าไปกอดรัดใน ๓โลกนั้น แล้วจิตมันก็ออกมาจากโลก เป็นโลกุตระ แปลว่าอยู่เหนือโลก เหนือโลกทั้ง ๓ โลก เรียกว่าโลกุตระ การที่เรามองเห็นว่าทุกข์ทนทั้ง ๓ โลกนั้นมันมีค่า มีคุณค่า มีประโยชน์ ที่มันจะสั่นหัวต่อทุกโลก พอสั่นหัวต่อทุกโลก มันก็กระเด็นดีดพ้นจากทุกโลกไปสู่เขต ใช้คำว่าเขตแดนก็ได้ ที่เป็นโลกุตระ เรียกว่ามันอยู่เหนือโลก เป็นแดนที่ดับแห่งโลก โลกทุกโลกตามขึ้นไปที่นั่นไม่ได้ มันก็ดับอยู่ที่ใต้โลกุตระ ที่นี้เวียนวนวัฏฏะ อะไรมันก็ไม่มี ในลักษณะแห่งความไม่เที่ยง เป็นทุกข์เป็นอนัตตานี่ มันก็ไม่บีบคั้นจิตใจอีกต่อไป กิเลสไม่มี กรรมไม่มี วิบากไม่มี ในแดนที่พ้นจากโลกทั้ง ๓ โลก มันก็ยังพยายามพูดอธิบายชี้แจงให้เห็นว่า ไม่มีโลกไหนที่ควรจะไปติดอยู่ ไปสนใจไปติดอยู่ ที่นี้เราสรุปเป็นคำสั้นๆว่า ทุกข์ทนทั้ง ๓ โลก
ผมไม่ได้แนะให้ศึกษาอย่างวิชาหนังสือหนังหาหรือว่าพระคัมภีร์ พระบาลี อะไรนัก แนะให้ศึกษาจากจิตใจโดยตรง เพราะว่าจิตใจ ๓ ชนิดนี้ มันไม่พ้นจากความทุกข์ และไม่ต้องการให้ใช้วิธีคำนวณ คาดคะเน ถึงเหตุผลด้วยการคำนวณ แต่ให้ใช้วิธีของความรู้สึก หรือว่าสัมผัสลงไปด้วยจิต ว่าแม้ในขณะที่เราบูชากามารมณ์ มันก็ไม่ไหว บูชาอรูป บูชารูปธรรมล้วนๆก็ไม่ไหว บูชาอรูปธรรมล้วนๆมันก็ไม่ไหว ใช้ความรู้สึกที่รู้สึกได้จริงๆว่ามันไม่ไหว ถ้าไปเอาเข้าไปยึดเอาเป็นตัวเป็นตน ของอะไรเข้า ของเราก็ได้ ของมันก็ได้ ยึดเอาความเป็นตัวตนแล้วมันก็เป็นของมีพิษขึ้นมาทันที มีพิษมีฤทธิ์ขึ้นมาทันที เหมือนกับว่าถ้าไม่ไปแตะต้องมันก็แล้วไป ถ้าไปแตะต้องมันเข้ามันกัดเอาในทันที โลกมันเป็นอย่างนี้
นั้นก็ว่ามันเป็นของที่มีพิษร้ายทั้งหมดทั้งแท่งทั้งก้อนทั้งหมดทั้งสิ้น ไปแตะเข้ามันกัดเอาหมายความว่าไปยึดมั่นในอุปาทานว่าเป็นตัวเป็นตน เป็นโลกของโลก แล้วเอามาเป็นของเรา อุปาทานก็ทำให้เกิดความหนัก เกิดความบีบคั้นทางจิตใจ เราก็เป็นทุกข์ เราจงทำให้ดี ให้ถูกต้องเหมือนอย่างว่าเรามิได้อยู่ในโลกไหน คุณลองฟังดีๆ ทำจิตใจให้เป็นเหมือนกับว่าเราไม่ได้อยู่ในโลกไหน ใช้คำว่าว่างก็ได้ หรือใช้คำว่ามิได้อยู่ในโลกไหน คือไม่ไปหลงติดในกามโลก ไม่หลงติดในรูปโลก ไม่หลงติดในอรูปโลก จิตนี้เป็นอิสระ ไม่ได้ติดอยู่ในโลกไหน เมื่อใดจิตมันไม่ได้ติดอยู่ในโลกไหน เมื่อนั้นเรารู้สึกบอกไม่ถูก จะใช้คำว่าสุขมันก็ไม่ถูก มันยิ่งไปกว่าสุข แต่ก็ต้องใช้คำว่าสุข หรือเมื่อนั้นเราไม่มีทุกข์เลย ไม่มีความทุกข์เลยเมื่อใดจิตไม่ไปติดอยู่ในโลกไหน เมื่อนั้นเราจะไม่มีความรู้สึกที่เป็นทุกข์เลย จิตนั้นก็เป็นจิตว่าง เป็นจิตเกลี้ยง เป็นจิตอิสระ เป็นจิตเยือกเย็น เดี๋ยวก็น้อมมาหาความสุขอีกแหละ ถ้าชอบคำว่าความสุขก็ได้เหมือนกัน แต่ว่าเป็นความสุขชนิดอื่น เป็นความสุขประเภทที่เป็นโลกุตรสุข ไม่ใช่โลกียสุข สุขอย่างโลกๆ ต้องอาศัย ความยึดถือต้องอาศัยกิเลสตัณหามันจึงจะอร่อยและเป็นสุข ทั้ง ๓ โลกจะเป็นสุขก็ต่อเมื่อมีกิเลสมียึดถือแล้วก็เป็นสุข อย่าง ก สะกด สุกหนัก สุขเผารน สุขผูกมัด สุขทิ่มแทงนั่น นี่เรียกว่าโลกียสุข สุขมีเหยื่อสุขมีอามิสเป็นเหยื่อ ที่นี้พอจิตออกไปทั้ง ๓ โลก มันก็ทำให้เกิดความสุขแก่อันอื่น ที่ไม่เสียดแทงไม่เผาลน ควรจะเรียกว่าสุข ข สะกด จริงและก็อย่างยิ่ง อย่างที่ท่านกล่าวว่า นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่งก็เพราะเหตุนี้ เพราะมันไม่เสียดแทงเผาลน คือไม่ใช่ ก สะกด แล้วก็เป็นโลกุตรสุข นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่งเพราะเป็นโลกุตรสุข ในโลกนี้จะมีความสุขอย่างไรก็เป็นเรื่องโลกียสุข ก็เป็นสาเหตุอาศัยปัจจัย อาศัยอายัตนะ เป็นเครื่องลิ้มรสแห่งความสุข มันเลยเป็นเรื่องสุข ก สะกด สุขแผดเผา จิตเป็นทาสของความสุขเหล่านั้น หาความเป็นอิสระไม่ได้ มันก็เป็นจิตวุ่นไม่ว่าง เป็นจิตที่เป็นทาสไม่เป็นอิสระ เราจึงเรียกกันว่าโลกียสุข สุขที่เป็นไปในโลก สุขที่ตกอยู่ใต้อำนาจของโลก พอหลุดออกไปจาก ๓ โลกนี้ได้ก็เป็นโลกุตรสุข สุขแท้จริงอย่างที่กล่าวแล้ว ทำภาพพจน์อันใหม่ขึ้นมาอีกก็ได้ว่า ๓โลกนี้เหมือนคุกตาราง เรือนจำ ๓ เรือนจำ หลุดออกไปจากเรือนจำทั้ง ๓ นี้ได้ มันก็ free เป็นอิสระอย่างยิ่ง ขอให้เข้าใจโลกทั้ง ๓ อย่างนี้ และเข้าใจความที่พ้นออกไปจากโลกทั้ง ๓ อย่างนี้อีก คำว่าทุกข์ทนทั้ง ๓ โลกนี้มีประโยชน์ให้มองเห็นข้อนี้ และจะไม่ได้ติดอยู่ในโลก เพราะจะได้หลุดออกไปจากโลกโดยจิตใจ
ทีนี้ปัญหาสุดท้ายมันก็มีอยู่ว่า ร่างกายนี้มันต้องอยู่ในโลกนี้ไง ร่างกายนี้มันต้องอยู่ในโลกนี้ไง เรียกว่ามนุษย์โลกที่เราเคยจัดเป็นกามโลกนี้ โลกนี้นะ โดยเนื้อแท้แล้วมันไม่ควรจัดเป็นอะไร ต่อเมื่อเราไปเอาอะไรเป็นอย่างไรเข้ามันจึงจะจัดเป็นอย่างนั้นหรือเป็นโลกนั้น โลกนี้มันก็มีกาม พอไปเอาเข้าในส่วนกาม มันก็เป็นกามโลกให้เรา โลกนี้มันมีรูปธรรมอันบริสุทธิ์ พอเราไปยึดถือเข้ามันก็เป็นรูปโลกให้เรา โลกนี้มันมีอรูปธรรมบริสุทธิ์เราไปยึดถือมันเข้ามันก็เป็นอรูปโลกให้เรา ฉะนั้นเมื่อเราอยู่ในโลกอย่างนี้เราอย่าไปยึดสิ่งเหล่านั้นเข้า มันก็จะเป็นโลกุตระให้เรา เราต้องกินอาหาร การกินอาหารคือการสัมผัสโลก โลกนี้ก็คือกามโลกอยู่แล้ว ถ้าจิตมันต่ำถึงกามโลกมันก็กินเพื่อความเอร็ดอร่อย และกินอาหารที่เนื่องกับเพศ คือมีเพศตรงกันข้ามมาเกี่ยวข้องกับอาหารที่กิน หรือจะมาเกี่ยวข้องกับเสียงที่ไพเราะ รูปที่สวยงามสัมผัสที่ยั่วยวนอะไรก็ตาม ถ้าจิตไปจับฉวยเอาส่วนนั้นเข้ามันก็มีฤทธิ์มีเดชมีพิษเป็นกามโลกอันมีพิษร้ายขึ้นมา แต่ถ้าจิตมันไม่ไปจับฉวยเอา ร่างกายมันก็ไม่ไปเกี่ยวข้องแตะต้อง โลกนี้มันก็เป็นโลกว่างให้เรา หรือเป็นโลกุตระให้เราได้ ฉะนั้นพระอรหันต์ทั้งหลายก็ยังอยู่ในโลกนี้ ที่เต็มไปด้วยอะไรเหมือนอย่างที่มันเป็นอยู่ แต่มันเป็นโลกุตระสำหรับท่านได้ เพราะท่านอยู่เหนือมันโดยประการทั้งปวง ทีนี้คนที่เป็นชั้นกามาวจร กามาวจรภูมิ มันติดอยู่ในส่วนที่เป็นกาม มีคุณค่าที่เป็นกาม โลกนี้มันก็เป็นกามโลกให้เขา ฤษี มุนี ที่บ้าหลังในเรื่องของรูปสุข ก็อาศัยโลกนี้เป็นที่ตั้งแห่งชีวิต ทำความเพียร ทำสมาธิ ทำอะไรก็ตาม ในโลกนี้มันก็มีส่วนเป็นอรูปโลกให้เขา ในเรื่องอรูปโลกนั้นมันก็อย่างเดียวกันอีกแหละ คือเขาจะต้องทำตนให้เข้าไปในรูปโลกให้ได้เสียก่อน แล้วจึงสลัดรูปโลกเหล่านั้นออกไปให้ปราศจากโลก มันจึงจะถึงอรูปโลก ก็เป็นอันว่าเขายังต้องอาศัยโลกแผ่นดินนี้เป็นที่ตั้งแห่งการกินอยู่นั่งนอนยืนเดินอาหารอะไรต่างๆ แล้วก็บำเพ็ญความเพียรด้วยจิตมันรู้สึกถึงขั้นอรูปโลก อรูปธรรม
นี่เราอยู่ในโลกนี้ซึ่งเป็นกลางที่สุด ขอให้ถือว่าโลกนี้เป็นกลางที่สุด เราจะทำมันให้เป็นกามโลกก็ได้ เราจะทำมันให้เป็นรูปโลกก็ได้ เราจะทำมันให้เป็นอรูปโลกก็ได้ มันเป็นกลางที่สุด อย่าไปโทษมันเลย เรามีความโง่ ความหลง อวิชชาอย่างไร เราก็ไปจับฉวยเอาส่วนนั้นที่หาได้จากโลกนี้ มันก็มีโลกชนิดนี้ให้เรา เราอยากจะได้นรกก็ได้ เราทำให้มันเกิดความหมายเป็นนรกขึ้นมาก็ได้ เราจะทำให้มันเป็นสวรรค์ให้เกิดความหมายเป็นสวรรค์ขึ้นมาก็ยังได้ นี่เป็นมนุษย์ผู้อาบเหงื่อต่างน้ำก็ได้ กระทั่งเป็นเทวดา เป็นพรหม เป็นอะไรก็ได้ โดยการเปลี่ยนแปลงทางจิตใจ การจัดการทำทางจิตใจ และเหตุปัจจัยภายนอก เข้าไปร่วมมือด้วย จิตใจมันก็ทำให้เป็นอย่างนั้นได้โดยง่าย
เดี๋ยวนี้โลกนี้เขาส่งเสริมปัจจัยในทางกามารมณ์กันทั่วไปหมด ไอ้ความเป็นกามโลกมันจึงเต็มไปหมด ในโลกปัจจุบันนี้ และทุกคนเขาค้นคว้าส่งเสริมประดิดประดอยเหตุปัจจัย วัตถุปัจจัย เพื่อความรู้สึกทางกามารมณ์คล้ายๆกับว่าทุกคนในโลกร่วมมือกันทำโลกนี้ให้เป็นกามโลกสุดเหวี่ยง ส่วนการที่จะทำให้เป็นรูปโลกและอรูปโลกนั้นไม่มีใครสนใจ แต่อย่าลืมว่าเรากำลังมองเห็นว่า ทุกข์ทนทั้ง ๓ โลก ไม่ว่าจะเป็นโลกไหนจะต้องมีความทุกข์ทนทรมานทั้ง ๓ โลก เราจะบอกให้คนสมัยนี้เข้าใจได้หรือไม่ว่ามันทุกข์ทนทั้ง ๓ โลก เขาจะได้ไม่หลงใหลกันนัก แต่สำหรับเราเมื่อมาตั้งหน้าตั้งตาศึกษา หาความจริง หาความจริงสูงสุดอยู่ มันก็มาถึงจุดนี้ จุดที่มองเห็นชัดว่า ถ้าเป็นโลกแล้วก็มันเป็นทุกข์ทั้งนั้น มีจิตใจอยู่เหนือโลกดีกว่า จะไม่ต้องเป็นทุกข์เลย ดังนั้นเมื่อคุณออกไปพบกันเข้ากับอารมณ์หรือปัจจัยเหล่านี้เช่น เรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรติ ๓ ตัวนี้ เรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรติ ไปพบกับมันเข้า ไปบริโภคกับมันเข้า แล้วก็ทำจิตใจให้อยู่เหนือไว้ มิฉะนั้นก็จะเป็นเรื่องของกามโลก รูปโลก อรูปโลกที่ต้องทุกข์ทน คือต้องจมอยู่ในโลก ต้องต่อสู้อยู่ในโลก มันก็เวียนว่ายอยู่ในน้ำ เหมือนกับว่ายน้ำอยู่อย่าให้จมน้ำตายอย่างนั้น จึงมีอุบายสำหรับปฏิบัติที่เรียกว่า พรหมจรรย์หรือการเจริญสติปัญญา ไตรสิกขา ศาสตรา ๓ อัน จะมาช่วยให้เราไม่พลัดลงไปในโลก หรือว่าขึ้นมาจากโลกได้ ก็อย่าลืมอย่างที่ว่า ไอ้โลกนี้ธรรมชาติ ตามธรรมดานี้ไม่เป็นอะไร แต่มันพร้อมที่จะเป็นกามโลก เป็นรูปโลก เป็นอรูปโลก ให้แก่เรา ถ้าเรามีสติเพียงพอที่จะไม่ให้มันเป็นโลกอะไรให้แก่เรา เราอยู่เหนือโลกอยู่เรื่อยไป คือว่างจากโลกอยู่เรื่อยไปแล้วเราจะทำอะไร
ที่นี้คนก็จะถามว่า เราจะทำอะไรก็ทำตามที่ต้องทำ ทำหน้าที่การงาน ก็ทำลงไปในโลกนี้ แต่เราไม่เป็นทาสของสิ่งเหล่านั้น ทำการงานเราก็ไม่เป็นทาสของการงาน ได้ผลเป็นเงินเป็นทองเป็นอะไรมา เราก็ไม่เป็นทาสของสิ่งเหล่านั้น จิตใจเราอยู่เหนือสิ่งเหล่านั้นเสมอ เพราะถ้าไปอยู่ภายใต้สิ่งเหล่านั้น เข้าเมื่อไร มันก็จะกลายเป็นกามโลก รูปโลก อรูปโลก ให้เราทันที ที่จะเก่งถึงขนาดนี้ได้หรือไม่ สมมุติว่าลาสิกขาบทออกไปเป็นฆราวาสเอาหละ มันก็เผชิญกันเข้ากับสิ่งที่จะปรุงให้เป็นโลกอย่างนั้น เป็นโลกอย่างนี้ ที่ล้วนแต่ทุกข์ทนทั้งนั้น เราจะเก่งพอที่จะดึงจิตใจไว้ให้อยู่เหนือไว้เสมอไป เราจะต้องมีเรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรติ แล้วมันก็ขยายออกไปถึงเรื่องทรัพย์สมบัติ บุตรภรรยาสามี เกียรติยศชื่อเสียงตำแหน่งหน้าที่อาชีพการงานสารพัดอย่าง มันขยายออกไปจากสิ่งเหล่านี้
เราจะเป็นทาสของสิ่งเหล่านั้นหรือว่าเราจะอยู่เหนือสิ่งเหล่านั้น ถ้าเราอยู่ใต้มันก็จะกลายเป็นโลกทั้ง ๓ ถ้าเราอยู่เหนือมันก็จะกลายเป็นโลกุตระอยู่ตลอดเวลา นี่ผมพูดอย่างนี้ เขาว่าบ้าทั้งนั้น พวกครูบาอาจารย์นักอภิธรรมทั้งหลายในกรุงเทพฯ เขาจะหาว่าที่พูดอย่างนี้เป็นเรื่องบ้า เป็นเรื่องว่าเอาเอง เป็นเรื่องผิดๆทั้งนั้น แต่ผมก็ยังพูดอยู่อย่างนี้ พูดอย่างอื่นไม่เป็น คือว่าระวังให้มีจิตที่เป็นอิสระ ให้อยู่เหนือโลกเหนือสิ่งต่างๆในโลก นี่ก็มีโลกุตระ อยู่ที่นี่ เดี๋ยวนี้เวลานี้ ส่วนที่มันจะเป็นโลกุตระอันถาวร เด็ดขาดเป็นพระอรหันต์หรือว่าเป็นเพียงชั่วครั้งชั่วคราว ล้มลุกคลุกคลานนั้นมันอีกปัญหาหนึ่ง ถึงแม้เป็นชั่วคราวไม่ได้เด็ดขาดเป็นพระอรหันต์ มันก็ยังดี ยังดีกว่าจมลงไปในโลกแล้วมีความทุกข์ ฉะนั้นระวังให้จิตอยู่เหนือโลกไว้เรื่อยไป แต่ไม่อวดอ้างว่าเป็นพระอรหันต์ ถ้าเป็นพระอรหันต์นะจิตอยู่เหนือโลกโดยเด็ดขาด เดี๋ยวนี้มันยังไม่เด็ดขาด มันต้องการต่อสู้เรียกว่าเป็นการประพฤติพรหมจรรย์ ยังอยู่ในระยะของการต่อสู้
ทำไมเราจะต้องต่อสู้ ถ้าไม่สู้มันเป็นทุกข์เต็มอัตราร้อยเปอร์เซ็นต์ ถ้าเราต่อสู้มันมีหวังที่ว่าจะไม่ต้องเป็นทุกข์เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ หรือบางทีเราก็ไม่ต้องเป็นทุกข์เลยก็ได้ คุณรู้จักทำจิตใจให้เป็นอิสระแล้วสิ่งเหล่านั้นมันไม่ทำให้คุณต้องเป็นทุกข์ได้ เรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรติ เรื่องทรัพย์สมบัติ บุตรภรรยาสามี เกียรติยศชื่อเสียง หน้าที่การงานอะไรต่างๆ มันไม่ทำให้คุณเป็นทุกข์ได้ก็แล้วกัน ถึงแม้ในบาลีมันก็มีเป็นหลักอยู่ว่า พวกฆราวาสเขาก็ทำได้ ไม่ใช่เฉพาะแต่ต้องเป็นพระหรือเป็นบรรพชิตโดยส่วนเดียว ในเรื่องเป็นบรรพชิตนั้นมันแปลกกันหน่อยที่ว่า มันทำง่ายและทำได้เร็วเท่านั้น ผมก็เคยพูดแล้วเรื่องนี้ว่ามาบวชทำไม เพื่อความเร็ว เพื่อความสะดวกในการทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน แต่เมื่อยังไม่ได้บวช มันก็ต้องควบคุมให้จิตใจจิตนี้มันอยู่ในแนวของพระนิพพาน ไม่พลัดลงไปเป็นธาตุของโลก อยู่เหนือสิ่งต่างๆที่เรียกว่าโลก ที่มันจะมาทำให้เราเป็นทุกข์ เราจะอยู่เหนืออยู่ตลอดเวลา อย่างนี้ก็เรียกว่าได้ผลคุ้มค่าแล้วในการที่มาเกี่ยวข้องกับพุทธศาสนา มาศึกษามาบวชมาเรียน มาอะไรก็ตาม ที่มาเกี่ยวข้องกับพุทธศาสนา มันได้ผลคุ้มค่า ตรงที่เราสามารถจะมีจิตใจที่จะอยู่เหนือโลก เหนือความทุกข์อย่างที่ว่านี่เอง
ฉะนั้นอย่ามัวเสียเวลาอยู่เลย สนใจในเรื่องนี้ แล้วศึกษาให้เข้าใจเรื่องที่ว่าทำอย่างไรจะให้จิตใจมันอยู่เหนืออารมณ์ อยู่เหนือสิ่งที่เข้ามาสัมผัส ทางตาก็ดี ทางหูก็ดี ทางจมูกก็ดี ทางลิ้นก็ดี ทางผิวหนังก็ดี ทางจิตเองก็ดี ทำอย่างไรจิตจึงจะอยู่เหนืออำนาจของสิ่งที่เข้ามาสัมผัส ที่มันจะทำให้เราโง่ลงไป หลงลงไปถึงกับจะสร้างโลกนั้น สร้างโลกนี้ สร้างโลกโน้นขึ้นมา สำหรับทนทุกข์ เผลอนิดเดียวมันก็สร้างโลกนรก อบายขึ้นมาทันที เมื่อใดร้อนใจเป็นทรมานก็เรียกว่านรกแล้ว ไม่ว่าจะเป็นพระเป็นเณรเป็นฆราวาสเป็นอะไรมีความร้อนใจเมื่อไรก็เรียกว่า คนนั้นมันได้สร้างโลกนรกขั้นมาแล้ว เป็นกามโลกด้วย แล้วก็เป็นอย่างนรกอย่างอบาย อบายภพ อบายภูมิ อบายโลกขึ้นมาแล้ว
มันก็เป็นเรื่องลำบากบ้าง เพราะมันเป็นเรื่องสูงสุด ไม่มีเรื่องอะไรจะสูงสุดกว่าเรื่องที่ทำจิตอยู่เหนือโลก ฉะนั้นมันก็ต้องลำบากบ้าง มันก็ต้องลงทุนด้วยความลำบาก ไม่ต้องลงทุนด้วยเงินด้วยทอง ด้วยอะไร แต่ต้องลงทุนด้วยความฝึกฝนยอมลำบาก ให้จิตมันถูกอบรมดีถึงที่สุด สามารถที่จะเผชิญอารมณ์ ทั้งหลายในโลกนี้แล้ว ไม่ตกไปเป็นทาสของอารมณ์ ไม่อยู่ใต้อารมณ์ แต่อยู่เหนืออารมณ์ ปัญหาก็หมดสำหรับมนุษย์ คือไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์ และได้พบพระพุทธศาสนา เพราะรู้จักทำจิตใจให้อยู่เหนือโลก เกี่ยวกับเรื่องศัพท์ เรื่องคำ นี้มันทำยุ่ง มันก็ต้องจำกันไว้ก่อน มันช่วยไม่ได้เหมือนกันที่จะให้เข้าใจ เรื่องศัพท์ เรื่องคำทั้งหลายทีเดียวหมดสิ้น มันก็จำไม่ได้แต่ว่าค่อยๆจำไว้จำไว้จำไว้ เมื่อพูดว่าอยู่เหนือโลกอย่างนี้มันก็คำเดียวกับว่าอยู่เหนืออารมณ์ เมื่อพูดว่าอยู่เหนืออารมณ์ มันก็คำเดียวกับพูดว่าอยู่เหนือโลก เมื่อพูดว่าอยู่เหนืออารมณ์มันก็หมายความว่าอยู่เหนืออำนาจของรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ และธรรมารมณ์ทั้งหลาย นั้นคือโลก รูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ และธรรมารมณ์ทั้งหลาย นั่นแหละคือโลก นั่นแหละคืออารมณ์ เมื่อพูดว่าอยู่เหนืออารมณ์ก็ว่าอยู่เหนืออำนาจของอารมณ์ก็คืออยู่เหนือโลก ไอ้หลักเบื้องต้นที่สุดที่คุณควรจะจำก็คือ ถ้อยคำเหล่านี้แหละ เช่นว่า อารมณ์นั่นก็คือโลก โลกก็คืออารมณ์ เพราะว่าการที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ จะไปสัมผัสอะไรที่ไหนมันก็สัมผัสที่โลก มันก็สัมผัสที่โลกมันไม่มีทางไปสัมผัสที่อื่น ทีนี้โลกในแง่ไหน โลกในแง่ที่สัมผัสด้วยตา โลกในแง่ที่สัมผัสด้วยหู โลกในแง่ที่สัมผัสด้วยจมูก ด้วยลิ้นด้วยผิวหนังและด้วยใจเอง โดยที่เหตุที่เรามันมีตาหูจมูกลิ้นการใจ ที่มีหน้าที่รับสัมผัสและรู้รส มันก็ช่วยไม่ได้ ในโลกมันก็เต็มไปด้วยสิ่งที่จะสัมผัสกับตาหูจมูกลิ้นกายใจ หรือเพราะว่าเรามีหูจมูกลิ้นกายใจมันจึงมีปัญหาเกิดขึ้นมา ในเมื่อไปสัมผัสกับคู่สัมผัสของตาหูจมูกลิ้นกายใจนี้มันดีแต่ว่าเรามีอายตนะเพียง ๖ นะ มีเพียงตาหูจมูกลิ้นกายใจ เพียง ๖ เท่านั้น ก็ยังแย่มาก มีปัญหามาก ยุ่งมากแย่มาก ถ้ามันเกิดมีอายตนะมากกว่า ๖ คงจะแย่กว่านี้อีก ไอ้เรื่องที่ต้องระมัดระวัง ต่อสู้มันก็มากไปกว่านี้อีก
เอาล่ะเป็นอันว่าตามหลักของพระธรรมนี้ ยอมถือว่ามันมี ๖ นี่เราพูดเผื่อไว้ ถ้ามันเผอิญมีอายตนะเป็น ๖ เป็น๑๐ แล้วคงจะแย่มาก อารมณ์ที่เข้ามาทำปัญหามันก็มาก เอาแต่เพียงว่ามี ๖ ก็เอาชนะมันให้ได้ มีสติควบคุมความรู้สึกที่เกิดขึ้น เพราะการสัมผัสทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เท่านั้นแหละ มันมีเท่านั้น จะอยู่เป็นฆราวาสก็ดี จะอยู่เป็นพระ เป็นบรรพชิตก็ดี มีสติปรับปรุงความรู้สึกที่เกิดขึ้น ในขณะที่สัมผัสทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ อย่าให้กลายเป็นเรื่องผิดพลาดขึ้นมา สร้างโลกนั้นโลกนี้ขึ้นมา แล้วก็เป็นทุกข์อยู่ในโลก
ควรจะสังเกตสักหน่อยหนึ่งว่า ภาษาธรรมนี้มันมีความหมายตามแบบของภาษาธรรม ชาวบ้านเข้าใจไม่ได้ เช่น ชาวบ้านเขาจะถือว่าเรามีโลก เราอยู่ในโลก เรามีโลก เราอยู่ในโลกนี้ตลอดเวลา แต่เดี๋ยวนี้ผมพูดว่าเรายังไม่มีโลก จนกว่าเราจะสร้างโลกอะไรขึ้นมา เป็นกามโลก รูปโลก อรูปโลก นี้มันพูดกันคนละภาษา ไอ้โลกที่เขาว่ามันมีอยู่นี่มันก็เหมือนกับไม่มี ถ้าจิตไม่ไปจับฉวยสร้างสรรค์ยึดถืออะไรขึ้นมามันก็เท่ากับไม่มี แล้วมันก็ไม่เป็นอะไรด้วย เดี๋ยวนี้อวิชชากิเลสตัณหาอะไรในภายในของเรา ไปสร้างไปจับฉวยมาสร้างขึ้นเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ด้วยความยึดถือนั้นเอง มันจึงมีโลกตามแบบที่เขากล่าวไว้ ในพระคัมภีร์หลายชื่อหลายโลก แต่ละโลกก็เป็นทุกข์ทั้งนั้น แล้วก็ไม่พ้นไปจากความหมายที่ว่า ขึ้นชื่อว่าโลกแล้วต้องแตกทั้งนั้น เพราะคำว่าโลกแปลว่าแตก แตกได้ แตกแน่ จะไปรักใคร่อาลัยอาวรณ์อะไรกับมัน มันเป็นสิ่งที่ต้องแตกและแตกแน่ นี่รูปโลก กามโลก อรูปโลก นี้เข้าใจว่ามันอย่างนี้และก็เห็นว่ามันต้องแตกแน่ ก็เลยไม่ไปยึดถือเอาโลกนั้น เราก็อยู่เหนือโลก ถ้าทำให้เด็ดขาดลงไป เด็ดขาดจริงๆ ไม่กลับหลังอีกก็เป็นพระอรหันต์ แต่เดี๋ยวนี้ไม่ต้องการให้อวดอ้าง ถึงขนาดนั้นขอร้องแต่ให้ทำไป ให้ดีที่สุด ไม่ให้ขาดระยะ จะเป็นพระอรหันต์หรือไม่เป็น ก็ช่างหัวมัน แต่ว่าขอให้ทำให้ดีที่สุดเถอะ ไอ้การที่มีจิตใจอยู่เหนือโลก ที่ไปอ้างใครเป็นพระอรหันต์นั่นแหละจะยิ่งไม่เป็น เพราะมันไปสร้างโลกแบบอื่น สร้างโลกมายาแบบอื่นขึ้นมาอีก หวังที่จะไม่เป็นอะไรไม่หวัง ถ้าใช้คำว่าหวังที่จะไม่เป็นอะไรนี่ฟังยาก ใช้คำว่าไม่หวังที่จะเป็นอะไรและก็ไม่ได้อะไร ไม่เสียอะไร ไม่เป็นทาสของอะไร จิตเป็นอิสระ เขาเรียกว่าจิตหลุดพ้น จิตได้ถึงซึ่งสภาพที่ไม่ปรุงแต่ง บทสวดที่สวดทุกว่า วิสังขาระคะตัง จิตตัง ตัณหานัง ขะยะมัชฌะคา ที่สวดอยู่ทุกๆวันนี้ จิตที่ถึงซึ่งวิสังขาร จิตถึงสภาพที่อะไรปรุงแต่งจิตไม่ได้ จิตนั้นก็เป็นอิสระอยู่เหนือโลก ตลอดไป
นี่เรื่องโลกทั้ง๓ มันหมายความอย่างนี้ กามโลก รูปโลก อรูปโลก และถ้าเป็นโลกแล้วต้องเป็นทุกข์ทุกโลก ฉะนั้นจิตอย่างสร้างโลกขึ้นมา ให้อยู่เหนือโลกอยู่เสมอไป ถ้ามันจะเป็นของมันก็ให้เป็นอยู่ข้างใต้หรือเป็นที่อื่น ให้เป็นกับคนอื่น อย่ามาเป็นกับเรา เราไม่มีโลกใน ๓ ความหมายนี้ และก็ยังมีอยู่ มีแต่อยู่เหนือโลก เราก็ไม่มีความทุกข์เลย ขอให้เห็นข้อเท็จจริงที่ว่า ไอ้ทุกโลกก็ต้องมันเป็นทุกข์ทั้งนั้น ทุกข์ทนทั้ง ๓ โลก ก็คือทุกข์ทนทุกๆโลกนั่นเอง เพราะโลกมันมีเพียง ๓ โดยการจัดนิยามจัดให้เป็นหมวดหมู่ มันมี ๓ โลก คุณทำให้ข้อความมันเนื่องกันมาเรื่อย ไม้อิง ๓ ขา ทุกอย่างอยู่ได้ด้วยไม้ ๓ ขานี้ ศาสตรา ๓ อัน ก็จะตัดปัญหาคือโจรฉกรรจ์ ๓ ก๊ก ต้องฆ่าให้ตาย มันอาศัยอยู่ในป่ารก ๓ ดง ต้องทำลายดงนี้เสียให้ได้ มิฉะนั้นมันจะเวียนวงอยู่ ๓ วน แล้วมันจะได้ทุกข์ทนทั้ง ๓ โลก ก็เป็นอันว่าเวลาหมดแล้วสำหรับการบรรยายนี้ ขอปิดประชุม