แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ณ บัดนี้อาตมาภาพจะได้วิสัชนาพระธรรมเทศนา เป็นเครื่องประดับสติปัญญา ส่งเสริมศรัทธาความเชื่อและวิริยะความพากเพียร ของท่านทั้งหลายผู้เป็นพุทธบริษัท ให้เจริญงอกงามก้าวหน้า ตามทางแห่งพระศาสนา ของสมเด็จพระบรมศาสดา อันเป็นที่พึ่งของเราทั้งหลาย กว่าจะยุติลงด้วยเวลา ธรรมเทศนาในวันนี้เป็นธรรมเทศนาพิเศษ ปรารภเหตุมาฆบูชา ดังที่ท่านทั้งหลายก็ทราบได้เป็นอย่างดีอยู่แล้ว ในที่นี้อยากจะให้ทราบเรื่องเกี่ยวกับเทศนาพอเป็นเค้า ๆ ดังนี้ก่อน การแสดงธรรมเทศนานั้น ในแบบหนึ่งแสดงกันไปในรูปของคำสั่งสอน เพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจในพระพุทธศาสนา ส่วนเทศนาอีกอย่างหนึ่งนั้น เป็นการเทศนาปรารภเหตุการณ์ ในอภิรักษ์ขิตสมัยอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น ในวันมาฆบูชานี้เป็นต้น เพื่อให้ท่านทั้งหลายมีความเข้าใจ และมีความระลึกนึกถึงเหตุการณ์อันสำคัญ ตลอดถึงพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้เป็นประธานเนื่องในเหตุการณ์อันนั้น เพื่อว่าเราจะได้มีความเข้าใจแล้วเตรียมตัวสำหรับกระทำสิ่งที่ควรกระทำให้ถูกต้องเป็นอย่างดี มีผลถึงที่สุดเท่าที่จะมีได้ เช่น การกระทำมาฆบูชานี้เป็นต้น แล้วก็มักจะมีธรรมเทศนาแสดงถึงอรรถธรรมะอย่างใดอย่างหนึ่ง ประกอบไปด้วยพร้อม ๆ กัน
สำหรับการแสดงธรรมอย่างแรกไม่เกี่ยวกับอภิรักษ์ขิตสมัยใด ๆ นั้น เป็นของมีประจำเป็นปกติ มีความมุ่งหมายให้เป็นโอกาสของการเรียนรู้ธรรม เพื่อประพฤติปฏิบัติธรรมนี้ก็เป็นส่วนสำคัญ อาตมาจะขอถือเอาโอกาสนี้ปรารภกับท่านทั้งหลายเกี่ยวกับส่วนนี้สักเล็กน้อยก่อน ตามที่สังเกตเห็นบางคนก็ไม่ค่อยสนใจที่จะศึกษาธรรมะ โดยไม่รู้สึกว่ามีความสำคัญหรือมีคุณค่าอย่างไร หรือว่ามีความจำเป็นสำหรับตนเองอย่างไร แล้วก็ไม่ค่อยจะสนใจ อย่างวันนี้ถ้าเป็นการแสดงธรรมเทศนาเฉย ๆ ก็ไม่มีใครมากันมากเหมือนอย่างนี้ นี่เพราะเหตุที่ปรารภมาฆบูชาเนื่องด้วยอภิรักษ์ขิตสมัยเกี่ยวกับพระพุทธเจ้าจึงมากันมากอย่างนี้ ความแตกต่างข้อนี้ควรจะนำมาพิจารณาดู
การฟังธรรมะหรือศึกษาธรรมะ แล้วนำไปคิดไปพิจารณาให้เข้าใจแจ่มแจ้ง คล่องแคล่ว แตกฉาน ไว้สำหรับต่อสู้กับข้าศึก คือ กิเลสตามแต่ที่จะเกิดขึ้นอย่างไร นี้เป็นความจำเป็นสักกี่มากน้อยขอให้ลองคิดดู อาตมาจะแถลงความรู้สึกที่มีอยู่เกี่ยวกับข้อนี้ให้ทราบกันบ้างว่า มีหลายคนต่อเดือน มาขอให้ช่วยแสดงธรรม ให้ช่วยอธิบาย ให้ช่วยแก้ไขความรู้สึกที่เป็นทุกข์ ที่รบกวนจิตใจ กำลังจะเป็นโรคเส้นประสาทอยู่แล้วก็มี เป็นโรคประสาทมางอมแงมแล้วก็มี จะมาขอร้องให้ช่วยแสดงธรรม หรืออธิบายธรรมะให้ขจัดไอ้โรคร้ายเหล่านี้มันก็เป็นเรื่องที่น่าหัว เพราะว่าเขาไม่ประสีประสาเอาเสียเลย เกี่ยวกับธรรมะสำหรับจะเป็นเครื่องป้องกันตัว คือเรื่องเกี่ยวกับกิเลสและความทุกข์นั้นมันเป็นเรื่องส่วนตัวบุคคล คือบุคคลนั้นจะต้องแก้ไข หรือดับทุกข์ของตนเอง เช่นเดียวกับว่าความทุกข์นั้นมันทุกข์ขึ้นมาเองแก่บุคคลนั้นเอง เมื่อจะดับทุกข์บุคคลนั้นก็ต้องดับเอง จะมาเกณฑ์ให้คนอื่นช่วยดับทุกข์นั้นมันไม่ถูกกับเรื่อง แม้แต่พระพุทธองค์ก็ยังตรัสว่า อกฺขาตาโร ตถาคตา ตถาคตเป็นแต่ผู้ชี้ทาง ท่านจะต้องเดินเอง นี่หมายความว่าจะช่วยได้ก็เพียงแต่บอกวิธีให้ประพฤติปฏิบัติ ให้รักษา ให้ป้องกัน เมื่อคน ๆ นั้นไม่รู้ ไม่มีความรู้ ไม่สนใจที่จะรู้ ในการที่จะรักษา หรือป้องกันแก้ไขไอ้โรคกิเลสของตน มันก็เป็นไปไม่ได้ที่จะให้โรคนั้นระงับไป เขาจะต้องพยายามสนใจเอง ฟังอยู่ตามโอกาสที่ควรจะฟัง แล้วก็เอาไปศึกษาใคร่ครวญ รวมทั้งประพฤติปฏิบัติอยู่ พอเกิดโรคร้าย เช่น กิเลสอย่างใดอย่างหนึ่งมันรบกวน ก็จะสามารถกำจัดไอ้โรคร้ายนั้นได้ทันแก่เวลา หรือเหมาะสมแก่เหตุการณ์ จึงได้รับประโยชน์เต็มที่จากพระธรรม
ถ้าจะเปรียบอุปมาให้เข้าใจง่ายหรือกันลืม ก็จะเปรียบเหมือนกับว่า ข้าศึกเปรียบเหมือนกิเลส หรือกิเลสนั้นเปรียบเหมือนกับข้าศึกโจรผู้ร้าย อะไรก็ได้ที่เป็นอันตราย เจ้าของบ้านที่มีทรัพย์สมบัติที่จะป้องกันชีวิต ร่างกาย ทรัพย์สมบัติให้ปลอดภัยจากโจร เขาจะต้องทำอย่างไรจึงจะสำเร็จประโยชน์แท้จริง โดยปกติทั่ว ๆ ไปเขาก็จะต้องมีอาวุธสำหรับต่อสู้หรือป้องกันโจร และที่จะใช้ประโยชน์ได้ดีเดี๋ยวนี้มองเห็นกันอยู่ว่า อาวุธเช่น ปืน เป็นต้น เขาจะต้องมีปืน ทีนี้เขาก็ไม่เคยคิดในเรื่องที่จะมีปืน นี่คงจะโง่ที่สุด คือไม่คิดจะหาปืนมาไว้ก่อนแต่ที่ขโมยจะมา ต่อขโมยมาแล้วจึงจะไปหาปืน หรือว่าจวนจะมาแล้วจะไปหาปืน อย่างนี้มันก็ไม่ทัน นี่คงจะเป็นคนโง่หมายเลขหนึ่ง ทีนี้ซื้อปืนมาแล้วก็ไม่ได้หัดการใช้ปืนนั้นให้คล่องแคล่ว ให้แม่นยำ พอโจรขโมยมาก็ใช้ปืนไม่ได้ ใช้ผิด ๆ ถูก ๆ ไม่สำเร็จประโยชน์ ก็คงเสียทรัพย์เสียชีวิตไปตามเหตุการณ์ นี่มันก็ยังเป็นคนโง่อยู่นั่นเอง มันเป็นคนโง่หมายเลขสองค่อยยังชั่วหน่อย ทีนี้ถ้าว่าคนหนึ่งเขาไปซื้อปืนมา ฝึกฝนการใช้ปืนนั้นให้แม่นยำ ให้คล่องแคล่ว เต็มตามที่จะทำได้อย่างไร เขาเตรียมพร้อมอยู่เสมอ ก็สามารถที่จะป้องกัน หรือกำจัดโจรผู้ร้ายได้สำเร็จประโยชน์ ไม่ต้องเป็นคนโง่คนที่หนึ่ง หรือคนที่สอง
ก็อย่างที่อาตมาบอกแล้วข้างต้นว่า คนโง่หมายเลขหนึ่งเป็นโรคเส้นประสาทงอมแงมมาแล้ว บอกให้มาช่วยที จะอธิบายธรรมะข้อไหนไหวล่ะ ที่จะให้มันฟังถูก ให้คนเป็นโรคประสาทฟังถูก และให้เอาไปใช้กำจัดกิเลสได้ มันมีอยู่อย่างนี้ เป็นคนโง่หมายเลขหนึ่งมาที่วัดนี้ปีหนึ่ง ๆ ก็หลายคน ทีนี้บางคนก็พอจะได้ยินได้ฟังธรรมะบ้าง แต่แล้วก็ไม่เอาไปศึกษาให้เข้าใจ จนสำเร็จประโยชน์พอที่จะป้องกัน หรือแก้ไขกิเลสของตนได้ ซื้อหนังสือไปไว้เป็นตู้ ๆ แต่ก็ไม่เคยอ่านก็มี เอาไว้อวดคนไว้เบ่งข่มคนอื่นว่าตัวมันมีหนังสือมาก นี่มันก็ไม่สำเร็จประโยชน์ ทีนี้ไม่ต้องมีหนังสือมาก มีหนังสือเล่มเดียว แต่ศึกษาเข้าใจอย่างถูกต้องคล่องแคล่ว แล้วฝึกฝนจิตใจอยู่เป็นประจำ คนอย่างนี้ก็ป้องกันตนได้จากข้าศึกคือกิเลส ไม่ต้องเดือดร้อนมาก ไม่ต้องเป็นทุกข์มาก เพราะเหตุฉะนี้แหละอาตมาจึงกล่าวว่า การแสดงธรรมะ การฟังธรรมะ การศึกษาและปฏิบัติธรรมะไว้เป็นการล่วงหน้า ก่อนแต่ที่จะมีปัญหาหรือกิเลสอะไรเกิดขึ้นให้เพียงพอนั้น เป็นการสำเร็จประโยชน์อย่างที่หนึ่ง จึงขอเตือนท่านทั้งหลายทุกคนว่า จงพยายามที่จะฟังธรรม หรือศึกษาพระธรรมตามโอกาสอย่าให้ขาดได้ ทำความเข้าใจให้แจ่มแจ้งไว้เสมอไป เหมือนกับว่าเราไปหาปืนมาไว้ มาฝึกฝนให้คล่องแคล่วชำนาญว่องไวในการใช้ แม่นยำ มันก็จะแก้ปัญหาที่เป็นความทุกข์อันเกิดมาจากกิเลสได้ นี่ก็เป็นการแสดงธรรมหรือฟังธรรมเรื่องหนึ่ง ประเภทหนึ่งในความมุ่งหมายอย่างนั้น
ทีนี้บัดนี้มีการแสดงธรรมอย่างที่กำลังแสดงอยู่นี้ นี่เป็นการที่แสดงโดยมุ่งหมายอย่างหนึ่ง คือเพิ่มเข้ามาในส่วนที่จะกระทำให้สำเร็จประโยชน์ ในการจะประกอบพิธีมาฆบูชาเป็นต้น การแสดงจึงแสดงไปในทางที่จะให้ทราบว่าพระพุทธเจ้าเป็นอย่างไร มีเหตุการณ์อะไรเกี่ยวกับพิธีมาฆบูชาของเรา แล้วอีกอย่างหนึ่งเราตั้งใจมาฟังวันนี้ก็เพื่ออุทิศแก่พระพุทธเจ้า ในฐานะที่เป็นวันสำคัญประจำปี แต่ละคราว ๆ ก็อุตส่าห์มา เพื่อประกอบพิธีอันนี้ ทำในใจถึงพระพุทธเจ้าเป็นพิเศษ อาตมาได้กล่าวว่า ทำในใจให้ถึงพระพุทธเจ้าเป็นพิเศษ ก็ขอให้ฟังให้ดี ขอให้มีการทำในใจถึงพระพุทธเจ้าเป็นพิเศษ ไอ้ฟังธรรมคราวอื่น ๆ จะไม่ทำในใจเป็นพิเศษก็ตามใจ แต่วันนี้โอกาสนี้ต้องทำในใจเป็นพิเศษถึงพระพุทธเจ้า คือถึงเหตุการณ์อันเกี่ยวกับพระพุทธเจ้า ซึ่งท่านได้กระทำในวันเพ็ญมาฆะ เช่นวันนี้ที่เรารู้จักกันดี เรียกว่าทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์ ในท่ามกลางสังฆสันนิบาต ที่ประกอบไปด้วยพระอรหันต์ล้วน ๆ พันกว่าองค์ นั่นมันจะมีอะไรบ้าง มีความหมายอย่างไรก็ควรจะรู้ ควรจะเข้าใจ เกิดปีติปราโมทย์อิ่มอกอิ่มใจแล้วก็จะประกอบพิธีมาฆบูชา เป็นเสมือนหนึ่งแสดงความร่าเริงยินดีเป็นการสมโภช เป็นการฉลอง เป็นการอะไรก็แล้วแต่จะเรียก ขอแต่ให้เป็นการกระทำชนิดที่จะน้อมนำจิตใจไปในพระคุณของพระองค์ หรือว่าย้อมจิตใจด้วยศรัทธาปสาทะความเลื่อมใสในพระองค์ หรือในพระธรรมก็แล้วแต่จะเรียก
อาตมาใช้คำว่า ย้อมจิตใจ บางคนจะฉงนว่าไอ้การย้อมนี่เป็นเรื่องของกิเลส เขาต้องการให้ซักออก ไม่ต้องการให้ย้อม เดี๋ยวนี้อาตมาหมายความว่าสำหรับบุถุชนคนที่ยังมีจิตใจเป็นบุถุชน มันก็ควรจะย้อมด้วยของใหม่ คือ ศรัทธาปสาทะ ความเลื่อมใสในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ดังที่กล่าวแล้ว เพื่อว่าไอ้การย้อมด้วยกิเลสนั่นแหละมันจะได้คลายลง จะได้ถอยกำลังลง เราจะย้อมจิตด้วยศรัทธาปสาทะ ด้วยธรรมะอยู่เสมอยิ่ง ๆ ขึ้นไป กิเลสที่ย้อมจิตก็จะไม่มีโอกาสย้อม หรือว่าจะต้องหนีไป จะต้องถอยหนีไป นี่การย้อมใจมีอยู่สองความหมาย ย้อมด้วยพระธรรม ก็มีประโยชน์ ย้อมด้วยกิเลส ก็ประกอบด้วยโทษ ขอให้ถือเป็นหลักว่า ถ้ามีการศึกษาธรรมะเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง เป็นที่พออกพอใจ มีปีติปราโมทย์ครั้งหนึ่งแล้ว นั่นแหละเป็นการย้อมใจอยู่แล้วโดยอัตโนมัติ ก็ควรจะทราบไว้ว่าจะมีประโยชน์ คือจะมีความเชื่อ ความเลื่อมใส หนักแน่นในพระธรรมเพียงพอที่จะห้ามกันกิเลส จะห้ามกันความประมาท ความเผอเรอเลินเล่อได้
สรุปความในข้อนี้ว่า ถ้าเรามาทำในใจถึงพระพุทธองค์อยู่เป็นครั้งคราว ให้แจ่มแจ้งอยู่ในพระพุทธคุณนั้น ๆ ก็จะเป็นการย้อมใจในแบบนี้ ทีนี้ก็ขอให้ท่านทั้งหลายใคร่ครวญดูว่ามันมีอะไรบ้างเกี่ยวกับเรา เดี๋ยวนี้เรากำลังประชุมกันอยู่ที่นี่ ท่านทั้งหลายจำนวนไม่น้อยก็มาแต่ที่ไกล ด้วยความเหนื่อยยากลำบากและหมดเปลือง แล้วทำไมจะต้องมานั่งกันอยู่ที่นี่บนภูเขา มีลักษณะเป็นป่า ๆ อย่างนี้ มันจะได้ประโยชน์อะไรคุ้มค่ามา นี่ก็เป็นสิ่งที่อาตมาอยากจะพูด การมานั่งในที่อย่างนี้มันเป็นการง่ายที่จะทำจิตใจถึงพระพุทธเจ้า ถ้าเราจะทำในบ้านในเมืองที่อัดแอไปด้วยสิ่งแวดล้อมอย่างบ้าน อย่างเมือง อย่างเรือน อย่างนี้มันก็ยาก เพราะว่าธรรมชาติมันคนละแบบ เหมือนกับว่าอยู่กันคนละโลก ฉะนั้นมาเปลี่ยนโลกกันเสีย สักสองถึงสามชั่วโมงก็ยังดี มาเปลี่ยนอยู่ในโลกอื่นเสียสักวัน สองวัน สามวัน ห้าวัน เจ็ดวันแล้วแต่จะได้นี้ก็ยังดี คือว่าไปอยู่ในโลกที่มันคล้าย ๆ กับโลกที่พระพุทธเจ้าท่านประทับอยู่ในสมัยนู้น
อยากจะย้ำถึงข้อที่ว่า พระพุทธองค์ตรัสรู้ในป่า ไม่ได้ตรัสรู้ที่บ้านเรือน หรือบนวิมาน หรือว่าแม้แต่ในวัดวาอาราม ตรัสรู้ในป่า ในที่เปลี่ยวพระองค์เดียว ให้มากไปกว่านั้นอีกก็อยากให้นึกถึงข้อที่ว่า พระพุทธเจ้านั้น ท่านประสูติกลางดิน ตรัสรู้ก็กลางดิน นิพพานก็กลางดิน สอนสาวกทั้งหลายก็กลางดิน กุฏิที่ท่านอยู่อาศัยมันก็พื้นดิน ฉะนั้นการที่ท่านมานั่งอยู่กลางดินอย่างนี้ มันคงจะง่ายในการที่จะทำความรู้สึกถึงพระพุทธเจ้า ผู้ที่เราอาจจะกล่าวได้ว่า เกิดกลางดิน ตายกลางดิน ตรัสรู้กลางดิน เป็นอยู่กลางดิน ฉะนั้นมานั่งกันกลางดินอย่างนี้เสียบ้าง มันจะเกิดความรู้สึกที่ผิดแปลกออกไปจากที่จะนั่งในบ้าน ในเรือน หรือบนวิมานที่ว่าปรารถนากันนัก ว่าทำบุญอะไรสักนิดหนึ่งก็ให้ได้วิมานกี่หลัง กี่หลังก็ไม่รู้ นั้นมันก็ยิ่งไกลไปจากดิน มันผิดกันจากการนั่งกลางดิน เดี๋ยวนี้เราก็มานั่งกลางดินกันเสียสักทีอย่างที่กำลังนั่งอยู่แล้วนี้ ทำในใจว่า พระพุทธองค์นั้นประสูติกลางดิน ตรัสรู้กลางดิน นิพพานกลางดิน สอนสาวกกลางดิน กุฏิก็พื้นดิน แล้วใจมันจะเป็นอย่างไร มันก็คงจะต่างกันมากจากเมื่อเราอยู่ที่บ้านที่เรือน หรืออยู่ที่กรุงเทพ หรืออยู่ที่ไหนก็สุดแท้ มันเหมือนกันไม่ได้ที่เราจะมานั่งกลางดินในป่าคล้าย ๆ กันกับที่พระพุทธเจ้าท่านได้ทรงใช้สอยแผ่นดินอันนั้นมาแล้ว
ทีนี้ก็อยากจะบอกสักนิดหนึ่งว่า บนยอดภูเขาพุทธทองที่เรากำลังนั่งอยู่ที่นี่เวลานี้ มันก็เป็นพื้นที่ที่ว่าไอ้คนแต่ก่อนเขาได้ทำไว้ ไม่ใช่ว่าอาตมาเพิ่งมาทำให้มันเป็นอย่างนี้ มันเพียงแต่ทำให้สะอาดเท่านั้นเอง ไอ้สิ่งเหล่านี้มันมีอยู่ อิฐเหล่านี้มีลักษณะแสดงว่าเป็นอิฐของพระเจดีย์สมัยศรีวิชัย ก้อนที่มันมีการปาด การสลักเป็นลวดลายอยู่ในเนื้ออิฐนั่นแหละมันแสดงว่าอย่างนั้น นี่เขาเพิ่งมาทำลายเสีย พวกโจรพวกขโมยอะไรเขามาทำลายพระเจดีย์นี้ลงราบเตียนอย่างนี้ แต่ถึงอย่างนั้นอิฐทุกก้อนนี้มันก็ยังบอกว่าสมัยศรีวิชัย ซึ่งเป็นของเก่าพันสองร้อยปีมาแล้วเป็นอย่างน้อย เมื่อพันสองร้อยปีมาแล้วเขาได้ใช้สถานที่ตรงนี้ ที่เรามานั่งอยู่นี่ อย่างเดียวกับที่เรากำลังใช้อยู่ในเวลานี้เป็นแน่นอน เพราะว่าบนยอดภูเขานี้เขาก็ได้สร้างไอ้สิ่งเหล่านี้เพื่อประโยชน์แก่การมาประชุมกัน ทำกิจทำพิธีทางศาสนาอย่างเดียวกัน ฉะนั้นควรจะรู้สึกพอใจสักนิดหนึ่งก็ยังดีว่าสถานที่นี้มันเคยมีความเก่าแก่ หรือจะเรียกว่าศักดิ์สิทธิ์บ้างก็ได้ เพราะว่าเขาเคยใช้มันมาตั้งพันกว่าปีมาแล้ว เราอุตส่าห์ทนลำบากมานั่งกันที่ตรงนี้อีก ก็คงจะมีผลดีทางจิตใจบ้าง แต่เอาเถอะเอาเป็นว่า เดี๋ยวนี้เราเหลียวไปทางไหนมันก็มีแต่ต้นไม้ บนศีรษะเราก็มีใบไม้ มีกิ่งไม้ เหมือนกับหลังคาโบสถ์ มีต้นไม้รอบ ๆ ตัวเราเหมือนกับฝาผนังโบสถ์ เราก็สมัครที่จะมีโบสถ์อย่างนี้กันไปก่อน โดยเฉพาะในวันนี้มีโบสถ์อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านเคยมี เรื่องนี้จะมาเถียงกันก็ไม่มีเวลา แต่อยากจะยืนยันว่า พระพุทธเจ้าท่านก็เคยมีโบสถ์อย่างนี้ เราก็ใช้โบสถ์อย่างนี้ เขาควรจะมีจิตใจถอยหลังไปสักพันกว่าปี ไประลึกนึกถึงเหตุการณ์ที่มีขึ้นจริง ๆ ในสมัยพระพุทธเจ้า
ถ้าอย่างว่าวันนี้เป็นวันมาฆบูชา และก็เป็นวันที่พระองค์ทรงประชุมสงฆ์ ประกาศความเป็นปึกแผ่นของคณะสงฆ์ ว่าคณะสงฆ์ได้ตั้งมั่นลงแล้วในโลกนี้อย่างมั่นคง มีพระอรหันต์อย่างน้อย ๑,๒๕๐ รูปขึ้นมาแล้วในโลกนี้ ท่านก็ประชุมกันในป่า ในที่อยู่ตามธรรมดาของนักบวชในครั้งพุทธกาล ที่พูดว่าตามธรรมดาของนักบวชในครั้งพุทธกาลนั้นขอให้ทุกคนเข้าใจเอาเองเถอะว่ามันอยู่นอกเมือง สถานที่สำหรับนักบวชนั้นไม่ว่าสำหรับนักบวชศาสนาไหน อยู่นอกเมืองทั้งนั้น คือเขามีกำแพงเมือง กลางคืนเขาปิดประตูไม่เข้าออก วัดวาอารามของนักบวชทุกชนิด ทุกนิกายก็อยู่นอกเมือง คืออยู่ในป่า ทั้งท่านก็ประชุมกันอย่างในป่าและก็กลางดิน หรือว่าใต้ต้นไม้ก็แล้วแต่ที่มันจะหาได้ตามปกติ เราก็ทำในใจอย่างนั้น เหมือนกับว่าเราได้เกิดในสมัยนั้น แล้วก็ไปเฝ้าแอบดูการกระทำของท่าน เมื่อพระพุทธองค์ประทับท่ามกลางสงฆ์ หรือว่าแสดงโอวาทปาติโมกข์ นี่คือใจความแห่งเรื่องราวเกี่ยวกับมาฆบูชา ว่าวันเพ็ญเช่นวันนี้ในเดือนนี้ แต่มันสองพันกว่าปีมาแล้ว พระพุทธองค์ทรงประชุมสงฆ์ และแสดงเรื่องราวที่เป็นหัวใจของพระศาสนาที่เราเรียกกันว่า โอวาทปาติโมกข์
ฉะนั้นขอให้เราตั้งใจทำพิธีบูชานี้ให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะว่าเราก็ได้เลือกเอาป่าอย่างนี้เป็นที่ประกอบพิธี เอาพื้นที่อย่างนี้สำหรับประกอบพิธี ไหน ๆ เลือกเอาอย่างนี้แล้วก็ทำให้ถึงที่สุดเสียเลย อย่ามัวคิดถึงรองเท้าอยู่เลย ไม่ต้องมีรองเท้า เพราะว่าพระพุทธองค์ไม่ทรงมีรองเท้า พระพุทธเจ้าไม่เคยทรงมีรองเท้า ไม่เคยทรงมีร่ม หรืออะไรทำนองนี้ มุ้งเมิ้งก็ไม่เคยมีไม่มีพูดถึง ฉะนั้นวันนี้ก็ลองไม่มีรองเท้า ไม่มีร่ม ไม่มีมุ้งกันดูบ้าง จะระลึกนึกถึงพระพุทธเจ้า แต่พิธีที่จะประกอบกระทำกันที่ตรงนี้เอาแต่เพียงว่าถอดรองเท้า แล้วก็จะได้ปวดเท้าบ้าง แล้วก็จะได้นึกได้ว่า พระพุทธเจ้าก็ทรงปวดเท้าเหมือนกัน เพราะว่าท่านไม่ได้ใช้รองเท้า นี่ถ้าว่าท่านก็เคยชิน ก็ไม่สู้ปวด ทีนี้เรามันยังโง่เกินไป เพราะเราไม่ชินเราก็ยังโง่ เราก็ไม่รู้ว่าปวดนั้นคืออะไร เราก็รู้ว่ามันปวดเท่านั้นเอง ฉะนั้นก็ขอให้ทนปวดก็แล้วกัน จะได้อุทิศพระพุทธเจ้า จะได้ระลึกถึงท่าน เอาความปวดนี่บูชาคุณ นี่ยกเป็นตัวอย่างเท่านั้น ไอ้ความยากลำบากใด ๆ ที่ท่านมาแล้วได้รับเพราะการมาที่นี่ ก็ขอให้เอาความยากลำบากเหล่านั้นบูชาคุณ เพื่อประกอบพิธีมาฆบูชาให้เป็นผลดีที่สุดเท่าที่เราจะทำกันได้ ตามที่อาตมาเห็นว่านี่แหละมันดีที่สุด แล้วมันก็ลำบากบ้าง แล้วใครไม่ชอบก็เลิกกัน ไม่ต้องมาอีกก็ได้ เข็ดแล้วก็เลิกกันไม่ต้องมา เพราะมันลำบาก มันจะเจ็บปวดบ้าง มันจะผิดอะไรกันหลาย ๆ อย่างแหละที่เขาทำกันตามแบบอื่น ถ้าแบบนี้ก็ต้องยอมปวดเท้าแล้วก็มานั่งอยู่ในสภาพอย่างนี้ ทำในใจระลึกนึกถึงแต่พระพุทธองค์ ซึ่งประทับอยู่ในที่สงบสงัด ส่วนมากที่สุดก็ประทับอยู่กลางดิน เพราะว่าประสูติกลางดิน ตรัสรู้กลางดิน นิพพานกลางดิน อย่างนี้เป็นต้น เอาละว่าเป็นการเตือน หรือเป็นการทำให้ระลึกนึกถึงไอ้หลาย ๆ สิ่ง เพื่อจะประกอบพิธีมาฆบูชาให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้
ทีนี้ก็มาถึงตอนที่จะแสดงธรรมอะไรบ้างสักเล็กน้อย ซึ่งเป็นเนื้อหาของธรรมะ แต่ก็เป็นธรรมะที่เกี่ยวเนื่องกันกับมาฆบูชา คือข้อความในเรื่องนี้ก็มีแสดงอยู่ว่า การประชุมสังฆสันนิบาตในวันเพ็ญมาฆะนั้นเป็นการประชุมของพระอรหันต์ล้วน ๆ ก็เลยอยากจะเอาเรื่องของพระอรหันต์ล้วน ๆ นี่แหละมาแสดง ในถ้อยคำหรือความหมายที่แปลกออกไป นับตั้งต้นแต่ว่าเราจะย้ำว่า วันนี้เป็นวันมาฆบูชา จัดไว้ว่าเป็นวันของพระสงฆ์ คือ วันวิสาขะบูชาเป็นวันพระพุทธเจ้า อาสาฬหบูชาเป็นวันพระธรรม มาฆบูชาเป็นวันพระสงฆ์ ที่เกี่ยวกับวันนี้พระสงฆ์ที่เป็นพระอรหันต์จำนวนทั้งหมดในเวลานั้นมาประชุมกันเป็น สังฆสันนิบาต เขาเรียกที่ประชุมสงฆ์ที่พระพุทธองค์ทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์
ทีนี้ก็อยากจะพูดถึงคำว่า พระอรหันต์ ให้ได้ยินได้ฟังละเอียดลออ หรือแจ่มแจ้งออกไป ผิดแปลกออกไปจากที่เคยฟังมาแล้ว ที่ว่าพระอรหันต์นั้นหมายถึงบุคคลชนิดไหน ที่เรารู้กันมาแล้วก็รู้ว่า ผู้ที่หมดกิเลส สิ้นอาสวะแล้วก็เรียกว่า พระอรหันต์ เดี๋ยวนี้การศึกษาค้นคว้ามันก็ทำให้พบไอ้ความหมายอื่นซึ่งแปลกออกไปว่านอกจากจะเรียกว่า พระอรหันต์แล้วก็ยังเรียกได้อีกคำหนึ่งว่า ตถาคต พอได้ยินคำว่าตถาคต ท่านทั้งหลายก็นึกถึงพระพุทธเจ้าอย่างเดียว นึกถึงพระพุทธเจ้าอย่างเดียวพระองค์เดียวว่าเป็น พระตถาคต เดี๋ยวนี้อาตมากำลังบอกว่า คำว่าตถาคตนั้นหมายถึงพระอรหันต์ด้วย ฉะนั้นการประชุมของพระอรหันต์ ๑,๒๕๐ รูป นั้นก็คือการประชุมของพระตถาคต ๑,๒๕๐ รูป จะเชื่อหรือไม่เชื่อ จะจริงหรือไม่จริงนั้นค่อยว่ากันทีหลัง ให้อาตมาว่าไปคนเดียวให้มันเสร็จเสียก่อน ว่าทำไมพระอรหันต์จึงมีนามว่าตถาคต ทั้งนี้ก็เพราะว่าคำว่าตถาคตนั้นมันแปลว่า ผู้ถึงซึ่ง ตถา ก็ได้ ก่อนนี้ชอบแปลกันแต่เพียงว่า ผู้ไปอย่างนั้น ผู้มาอย่างนั้น ผู้มาอย่างไร ไปอย่างนั้น เขาแปลกันอย่างนั้น มันก็ถูก ไม่ใช่ไม่ถูก ตัวหนังสือมันก็อำนวยให้แปลอย่างนั้นว่า มาอย่างไร ไปอย่างนั้น แม้อาตมาก็เคยแปลอย่างนั้น เคยอธิบายว่ามาเหมือนอย่างพระพุทธเจ้าทั้งหลาย เพราะฉะนั้นจึงเรียกว่าตถาคต แต่เดี๋ยวนี้อยากจะให้ทราบความหมายของคำว่าตถาคตที่แปลกออกไป จะหมายถึงพระอรหันต์ด้วยก็ได้ บางทีหรือบางอาจารย์ก็ให้คำว่าตถาคตนี้หมายถึงสัตว์ทั่วไปก็ได้ ไม่ว่าสัตว์ไหน แม้จะเป็นบุถุชนคนหนาด้วยกิเลสนี่ มันก็มาอย่างไร ไปอย่างนั้นทั้งนั้นแหละ มันมาอย่างบุถุชน ไปอย่างบุถุชนก็เรียกว่า ตถาคตได้เหมือนกัน ฉะนั้น คำว่า ตถาคต ในที่บางแห่งก็แปลว่า สัตว์ทั่ว ๆ ไปก็มี
นี่ข้อนี้จะสาธกด้วยบทบาลีที่เป็นชื่อของ อันตคาหิกทิฏฐิ ดังที่ได้ยกขึ้นไว้เป็นนิกเขปบทข้างต้นของธรรมเทศนาว่า โหติ ตถาคโต ปรมฺมรณา นี่บทหนึ่ง น โหติ ตถาคโต ปรมฺมรณา นี่ก็บทหนึ่ง น โหติ น น โหติ ตถาคโต ปรมฺมรณา นี่ก็อีกบทหนึ่ง รวมเป็น ๓ บท ใจความก็ว่าทั้ง ๓ บทนี้ถือเป็นมิจฉาทิฐิ บทแรกที่ว่า โหติ ตถาคโต ปรมฺมรณา แปลว่า ตถาคตย่อมมีภายหลังจากการตาย นี่อย่างหนึ่ง คือว่า ตถาคตตายแล้วเกิดอีกนั่นแหละ นี่ก็อย่างหนึ่ง ทีนี้อีกบทหนึ่งว่า ตถาคตไม่มีภายหลังจากการตาย คือหมายความว่า ตถาคตตายแล้วก็ไม่เกิดอีก อีกบทหนึ่งว่า น โหติ น น โหติ ตถาคโต ปรมฺมรณา ว่าตถาคตมีก็ไม่ใช่ ไม่มีก็ไม่ใช่ภายหลังจากการตาย ก็คือว่า ตายแล้วเกิดอีกก็ไม่ใช่ ไม่เกิดก็ไม่ใช่ นี้ก็บทหนึ่ง เป็น ๓ บท ทั้ง ๓ บทนี้บ้าพอ ๆ กัน ก็เรียกว่าเป็นมิจฉาทิฐิ แต่เรื่องใจความสำคัญมันอยู่ตรงที่คำว่า ตถาคโต ตถาคโต จะแปลว่าอย่างไรดี จะว่าตถาคตมีอีกหลังแต่การตาย ตถาคตไม่มีอีกหลังแต่การตาย ตถาคตมีอีกก็หามิได้ ไม่มีอีกก็หามิได้หลังแต่การตาย ตถาคตนี้คืออะไร
ถ้าเราศึกษาให้เพียงพอในทางโบราณคดี พอที่จะหยั่งทราบความคิด ความนึก ความรู้สึกของคนในประเทศอินเดียในสมัยนั้น อาตมาเชื่อว่าคำว่า ตถาคต ในที่นี้หมายถึง พระอรหันต์ คำว่า ตถาคโต แปลว่า ผู้ถึงแล้วซึ่งตถา การที่จะถึงตถาโดยแท้จริงนั้น มีแต่พระอรหันต์ทั้งนั้น ดังนั้นประชาชนจึงสงสัยขึ้นมาว่า พระอรหันต์ตายแล้วเกิดอีกหรือไม่ บางพวกก็ว่าเกิดอีก บางพวกก็ว่าไม่เกิดอีก บางพวกก็ว่าเกิดอีกก็หามิได้ ไม่เกิดอีกก็หามิได้ ประชาชนก็มีความคิดเห็นเป็น ๓ พวกอยู่อย่างนี้เกี่ยวกับพระอรหันต์หลังจากตายแล้ว สำหรับคนธรรมดา สัตว์สามัญทั่วไปไม่มีสิ่งที่ชวนให้สนใจ และโดยมากคนในประเทศอินเดียในยุคพุทธกาลนั้นเขาก็เชื่อกันอย่างมั่นคงว่าตายแล้วเกิดอีก สำหรับสัตว์ทั่ว ๆ ไป ถ้าอย่างนี้ก็ไม่มีปัญหาที่จะเอามาถือมาถามกันให้มันเป็นเรื่องสำคัญ สำคัญอยู่ที่ว่าพระอรหันต์นั้นที่ว่าดีเลิศที่สุดแล้ว ถึงซึ่งตถาแล้ว ตายแล้วจะเกิดอีกหรือไม่ หรือไม่เกิด หรือเกิดก็ไม่ใช่ หรือไม่เกิดก็ไม่ใช่ ฉะนั้นจึงเอามายึดถือกันเป็นหลัก แล้วแต่คนไหนเขาจะชอบยึดถืออย่างไร
พวกหนึ่งก็ถือว่า ตถาคต พระอรหันต์นี้ หลังจากการตายแล้วก็มีอีก คือมีอยู่ พวกหนึ่งว่าไม่มีอยู่ อีกพวกหนึ่งว่ามีอยู่ก็ไม่ใช่ ไม่มีอยู่ก็ไม่ใช่ เป็น ๓ พวกด้วยกัน ๓ พวกนี้ถือว่า ๓ พวกนี้ทางพุทธศาสนาถือว่าไม่ถูก เป็นมิจฉาทิฐิ เพราะว่าพระอรหันต์นั้นไม่ถึงความมีอยู่ แม้เดี๋ยวนี้ก็ไม่ถือว่าถึงความมีอยู่ ฉะนั้นตายแล้วก็ไม่พูดได้ว่าเป็นอะไร แม้จะพูดว่ามีอยู่ก็ไม่ใช่ ไม่มีอยู่ก็ไม่ใช่ ก็ไม่ถูก เพราะว่าคำพูดนั้นมันแสดงถึงความมีอยู่แห่งบุคคล ที่ว่าตายไปแล้วจะไปมีอยู่หรือไม่มีอยู่ ผู้ที่ถึงซึ่งตถานั้นก็คือ ถึงซึ่งความว่าง ไม่อาจจะบัญญัติว่า เป็นอยู่ หรือ มีอยู่ หรืออะไรอีกแล้ว ตั้งแต่ที่ได้บรรลุถึงตถา คือ ความเป็นเช่นนั้นอย่างเด็ดขาด คือ ความว่าง ขอให้เราทุกคนฟังข้อความนี้ซึ่งมันแปลก หรือเรียกว่ามันอธิบายแปลกออกไป จะเรียกว่าใหม่ก็ตามใจ แล้วเอาไปคิดนึกดูให้เข้าใจ แล้วก็อย่าให้เราต้องตกลงไปในมิจฉาทิฐินี้เลย คือ อย่าได้ต้องตกลงไปในมิจฉาทิฐิว่า พระอรหันต์ตายแล้วเกิดอีก หรืออย่าตกลงไปในมิจฉาทิฐิว่า พระอรหันต์ตายแล้วไม่เกิดอีก หรือว่ามิจฉาทิฐิว่า พระอรหันต์ตายแล้วเกิดอีกก็ไม่ใช่ ไม่เกิดอีกก็ไม่ใช่
ไอ้ข้อที่ ๓ นี้มันเกือบ ๆ จะถูกต้องอยู่แล้ว ฟังดูถ้าอย่างคนธรรมดาสามัญพูดนะ มันเกือบถูกต้องอยู่แล้วคือว่า ทั้งไม่ใช่เกิดอีก และไม่เกิดอีก แต่มันก็ยังผิดอยู่นั่นแหละ เพราะว่าผู้พูด พูดอย่างมีตัวตน ให้พระอรหันต์มีตัวตน พระอรหันต์ก็ยังมีตัวตนเหลืออยู่ สำหรับที่จะไม่เรียกว่าเกิดอีกหรือไม่เกิดอีก มันยังมีอยู่ ก็อย่างที่ นี่เรื่องของพระอรหันต์ต้องพูดกันอย่างนี้ พอพูดถึงตถา เป็นตถาคตแล้ว มันอยู่เหนือการบัญญัติหรือการพูดจาว่าจะมีอยู่หรือไม่มีอยู่ อย่าพูดว่ามีอยู่ อย่าพูดว่าไม่มีอยู่ ต้องการให้พ้นจากสมมติแห่งความเป็นบุคคล พ้นจากบัญญัติแห่งความเป็นบุคคล เข้าถึงตถานั้นคือ เข้าถึงไอ้ธรรมะสูงสุดที่เป็นอย่างนั้น มันก็ไม่มี ไม่มีตัวบุคคล ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล คำว่า ตถา เป็นชื่อของอริยสัจก็มี คือ ความจริงเรื่องทุกข์ เรื่องเหตุให้เกิดทุกข์ เรื่องความดับทุกข์ และทางให้ถึงความดับทุกข์ ทั้ง ๔ อย่างนี้เรียกว่า ตถา ตถาแต่ละอย่างก็มี ทีนี้เมื่อเข้าถึงตถาก็คือเข้าถึงอริยสัจทั้ง ๔ นี้ ก็หมายถึงว่าดับทุกข์สิ้นเชิงแล้ว
ทีนี้ในที่บางแห่งคำว่า ตถา หรือ ตถาตา นี้หมายถึง ปฏิจจสมุปบาท ที่เป็นกฎเกณฑ์แห่งการเกิดขึ้น และการดับลงแห่งความทุกข์ ถ้าใครเข้าถึงความจริงข้อนี้ ก็หมายความว่ารู้เรื่องนี้จนสามารถทำให้ไม่มีการเกิดขึ้นแห่งความทุกข์ ก็มีแต่ความดับทุกข์ กฎเรื่องปฏิจจสมุปบาทนี้ตายตัว ไม่เปลี่ยนแปลง สิ่งใดที่ตายตัวไม่เปลี่ยนแปลง สิ่งนั้นมันไม่มีอดีต ไม่มีปัจจุบัน ไม่มีอนาคต จะเรียกว่าสัจจะ หรือความจริงก็ได้ ถ้ามันเป็นสัจจะหรือเป็นความจริงแล้ว มันไม่มีอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต เพราะมันเหมือนกันไปเสียหมด มันไม่มีอดีต ปัจจุบัน อนาคต นี่คือสัจจะ หรือความจริง หรือจะเรียกว่ากฎก็ได้ แต่ในที่นี้เรียกว่า ตถา ตถาแปลว่า ความเป็นอย่างนั้น ความเป็นอย่างนั้น ความเป็นอย่างนั้น ไม่เป็นอย่างอื่น และไม่ผิดไปจากความเป็นอย่างนั้น มันเป็นอย่างนั้น ไม่เป็นอย่างอื่นโดยไม่มีจุดตั้งต้นและไม่มีจุดสุดท้าย แล้วไม่มีจุดปัจจุบันด้วย นี่เขาเรียกว่าความเป็นอย่างนั้น ถ้าใครเข้าถึงความเป็นอย่างนั้นแล้วคนนั้นเรียกว่าถึงซึ่ง ตถา ฉะนั้นตถาคตก็คือ ผู้เข้าถึงซึ่งตถาอย่างนี้ ดังนั้นจึงมีแต่พระอรหันต์พวกเดียว พระพุทธเจ้าท่านก็เป็นจอมพระอรหันต์ ดังนั้น ท่านก็เป็นจอมตถาคต พระอรหันต์ทั่วไปทุกองค์ก็เป็นตถาคต
ขอให้จำคำว่า ตถา ไว้ให้ดี ๆ ตถา แปลว่าความเป็นอย่างนั้น ความเป็นอย่างนั้นนิรันดร เป็นอนันตะ เป็นนิรันดร คือความเป็นอย่างนั้นมันเปลี่ยนไม่ได้ มันจึงเป็นนิรันดร มีอายุที่วัดไม่ได้ ว่ามันจะมีอายุสักเท่าไร มันอยู่เหนือความมีอายุเพราะมันวัดไม่ได้ แล้วมันเป็นอนันตะ มันไม่มีที่สุด ข้างหน้าก็ไม่มีที่สุด ข้างหลังก็ไม่มีที่สุด จนเราบอกไม่รู้ จนเราไม่อาจจะบอกได้ว่า มันตั้งต้นเมื่อไร และมันจะไปสุดลงที่ไหน นี่มันไม่มีที่สุดทั้งข้างต้นและข้างปลาย มันมีแต่อย่างนี้อย่างเดียวไม่เปลี่ยนแปลง ไม่เปลี่ยนแปลง เพราะมันไม่เปลี่ยนแปลง มันจึงไม่มีอดีต ปัจจุบัน และอนาคต อย่างนี้ก็เรียกว่า ตถา หรือ ตถาตา หรือ ตถตา ก็แล้วแต่จะเรียก ผู้ที่ถึง ตถา เรียกว่า ตถาคต ดังนั้นพระอรหันต์เท่านั้นที่จะเป็นผู้เข้าถึงซึ่ง ตถา หรือ ตถตา ฉะนั้นเราจึงบอกว่าวันนี้เป็นวันประชุมสงฆ์ชั้นตถาคต ๑,๒๕๐ องค์ มันก็แปลก แปลกจากที่เคยได้ยินได้ฟัง แล้วคนจำนวนมากก็ไม่เชื่อว่าที่พูดนี้มันมีเหตุผลหรือมันมีความถูกต้อง ไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวนี้เรานั่งอยู่ที่นี้เรามีเสรีภาพ เรามีอิสรภาพที่เราจะพูดออกไปตามที่เรามองเห็น อาตมาจึงเอามาพูดให้ได้ยินได้ฟัง แล้วเมื่อเอาสิ่งที่ไม่เคยได้ยินได้ฟัง แต่ว่าไม่ใช่พูดเพียงเพื่อให้ได้ยินสิ่งที่ไม่เคยได้ยินได้ฟัง ยังมุ่งหมายมากไปกว่านั้นคือให้ได้รับประโยชน์จากสิ่งที่เราไม่เคยได้ยินได้ฟังนี้ให้มากเป็นพิเศษดัวยเหมือนกัน
ถ้าเราจะโมเม หรือว่าขี้โกง ขี้ฉ้อขี้โกงว่าเราก็เป็นตถาคตเหมือนกัน ตถาคต แปลว่า ผู้มาอย่างไร ผู้ไปอย่างนั้น นั้นเป็นตถาของไอ้สัตว์ทั้งหลายทั่วไปเราก็เป็นอย่างนั้น ก็ได้ เราก็เป็นตถาคต ทุกคนก็เป็นตถาคต มีสิทธิ์ที่จะพูดว่าฉันก็เป็นตถาคตด้วยกันทุกคน แต่ว่ามันเป็นตถาคตอีกระดับหนึ่ง แต่เป็นจะเรียกว่าตถาคตเก๊ก็ได้ ตถาคตปลอม ตถาคตเทียมก็ได้ หรือว่าตถาคตที่ยังไม่ถึงขั้น ยังไม่ถึงความหมายก็ได้ มันเป็นตถาคตขี้ฉ้อ เกิดมาอย่างบุถุชน ก็เป็นบุถุชน มีกิเลส เป็นไปตามไอ้กิเลส ล้มลุกคลุกคลานหกคะเมนไปในกองกิเลส อันนี้ก็เรียกว่าตถาคตแบบนั้นได้เหมือนกัน มันเกิดมาเป็นอย่างนั้น มันก็เป็นอย่างนั้น มันเกิดมาอย่างนั้น มันก็เป็นอย่างนั้น นั่นมันตถาคตเก๊ มันไม่ถึงไอ้ตถาชนิดที่ว่าไม่เปลี่ยนแปลง ไม่มีอดีต อนาคต ปัจจุบัน คือ ความว่างไปจากตัวตน ความไม่มีความหมายแห่งตัวตน ความว่างถึงที่สุดที่เรียกว่า ว่างอย่างยิ่ง นั่นคือตถาจริง ถ้าใครเข้าถึงตถาจริง คนนั้นก็เป็นตถาคตจริง เดี๋ยวนี้ก็เป็นตถาคตของคนขี้ฉ้อว่าเอาเอง เกิดมาอย่างแมว เป็นอย่างแมว แมวก็เป็นตถาคตได้ สุนัข กา ไก่ หมู ควาย วัว ช้าง ม้า มันก็เป็นตถาคตตามแบบของมันได้ นี่ไม่ควรจะถือเอาความหมายนั้นว่า มาอย่างไรไปอย่างนั้น มาอย่างไรไปอย่างนั้น มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรนัก นอกจากว่าจะถือว่าเป็นโอกาส ถือว่าเป็นโอกาสสำหรับทำชั่วทำบาปแล้วก็ได้ เดี๋ยวนี้เราไม่มุ่งหมายอย่างนั้น ถ้าเป็นตถาคตก็แปลว่าผู้ถึงซึ่งตถา หรือสิ่งหนึ่งซึ่งมีความเป็นอย่างเดียว ไม่เปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นจนตลอดนิรันดร นั่นแหละคือตถาจริง ถ้าใครถึงสิ่งนั้นคนนั้นเรียกว่าตถาคต โดยเนื้อแท้ก็มีแต่พระอรหันต์ พระพุทธเจ้าเป็นจอมพระอรหันต์ ก็เป็นจอมตถาคต
เอ้า,ทีนี้ลองหลับตาทำความคิดในใจว่า พระพุทธเจ้าเป็นจอมตถาคตนั่งประทับอยู่ท่ามกลางแห่งตถาคตทั่วไปคือพระสาวก อย่างนี้ก็พอจะนึกได้ ว่าพระพุทธเจ้าเป็นจอมพระอรหันต์ และก็นั่งอยู่ในท่ามกลางพระอรหันต์ทั้งหลาย คนที่ศึกษามาอย่างฉาบฉวย อย่างผิวเผินก็คงจะคิดว่าถูก แล้วมันก็ถูกอย่างภาษาคน พูดภาษาคนล่ะก็ได้ ถูกอย่างภาษาคน ถ้าพูดอย่างภาษาธรรมแท้ ๆ แล้วมันก็ไม่ถูก มันจะไม่มีจอมตถา หรือจะไม่มีตถาลูกน้อง ตถาหัวหน้านั้นมันไม่มี ดังนั้นตถาจะมีแต่อย่างเดียวกันหมด ตถาที่พระพุทธเจ้าทรงบรรลุก็อย่างเดียวกับตถาที่พระอรหันต์ทั้งหลายบรรลุ ฉะนั้นถ้าเราพูดอย่างภาษาธรรมะแท้แล้วก็ไม่มีจอมพระอรหันต์ ไม่มีจอมตถา มันเป็นเพียงอย่างเดียวกัน เข้าถึงความเป็นอย่างเดียวกัน เหมือนกันหมด นี่มันจะเห็นได้ว่าไอ้เรื่องที่จะพูด หรือความหมายที่จะเข้าใจนี้มันมีอยู่หลายชั้นอย่างนี้แหละ นี่เรื่องนี้จะมีประโยชน์หรือไม่มีประโยชน์อาตมาก็ไม่รับรอง แต่สำหรับอาตมานะรู้สึกว่ามีประโยชน์ที่สุด และน่าสนใจที่สุด ที่ว่าเรามาประชุมกันที่นี่ในวันนี้ เพื่อเป็นที่ระลึกบูชาคุณของบุคคลผู้เข้าถึงซึ่งตถา คือตถาคตทั้งหลาย
อย่าลืมว่าตถาคตที่แท้จริงไม่มีนิมิต ไม่มีสัญลักษณ์ ไม่มีอะไรที่ให้ใครบัญญัติท่านว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ได้ มันว่างยิ่งกว่าว่าง เพราะฉะนั้นจึงพูดว่าเกิดอีกก็ไม่ได้ ไม่เกิดอีกก็ไม่ได้ เกิดอีกก็ไม่ใช่ ไม่เกิดอีกก็ไม่ใช่ ก็ไม่ได้ มันบ้าเหมือนกันหมด รู้จักบุคคลสูงสุดที่เข้าถึงความจริงสูงสุดกันไว้เสียบ้างอย่างนี้ ว่าท่านจะไม่พูดว่าเกิดอีก ท่านจะไม่พูดว่าไม่เกิดอีก ท่านจะไม่พูดว่าเกิดอีกก็ไม่ใช่ ไม่เกิดอีกก็ไม่ใช่ ท่านจะไม่พูดเลยทั้งสามอย่าง เพราะมันไม่มีตัวไม่มีตนสำหรับจะตาย มันไม่มีตัวไม่มีตนสำหรับจะเกิด หรือจะเกิดอีก จึงจะเรียกว่าเข้าถึงแล้วซึ่งตถา และเลยเป็นตัวเดียวกันทั้งหมด หมดทั้งอะไรก็ตอบยาก ไม่มีคำพูด เพราะจะพูดว่า หมดทั้งสากลจักรวาล เราก็ไม่แน่ใจว่ามันจะหมด หรือหมดจนไม่มีอะไรเหลือหรือไม่ แม้จะพูดว่าสัตว์ทั้งสากลจักรวาล คือทุก ๆ จักรวาลนั้นมันก็ยังไม่รู้ว่าจะหมดหรือไม่หมด เลยไม่พูดดีกว่า ก็เลยพูดว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่มีขนาดที่จะวัด วัดอย่างขนาดก็วัดไม่ได้ วัดอย่างเวลาก็วัดไม่ได้ นี่มันเป็นนิรันดรอย่างนี้ เราจะมานั่งโง่ ๆ ง่วง ๆ อยู่ที่นี่ บูชาคุณของผู้ถึงตถาได้อย่างไรกัน มันจะทำได้อย่างไรกัน ถ้าเราจะโง่ นั่งโง่ ๆ นั่งง่วง ๆ อยู่ แล้วจะมาบูชาคุณผู้ถึงซึ่งตถากันที่ตรงนี้มันจะถึงได้อย่างไรกัน ดังนั้นควรจะทำจิตใจให้มันแจ่มแจ้งสว่างบ้างให้พอสมควร คือพอที่จะรู้ว่าตถานั้นเป็นอย่างไร เข้าใจความหมายของคำว่าตถา และก็ยินดีปรีดาปราโมทย์ไปตามแบบของบุถุชนก็ได้ แล้วจะบูชาคุณของผู้ที่ลุถึงตถาได้นี้มันมีเหตุผล
เพราะฉะนั้นอาตมาจึงพูดมากไปหน่อย เพื่อเตรียมท่านทั้งหลาย จะว่าถูกหรือไม่ถูก เพื่อเตรียมท่านทั้งหลายให้เหมาะสำหรับที่จะบูชาคุณของผู้ที่ลุถึงตถา วันนี้พูดอย่างนี้ ปีนี้พูดอย่างนี้ มันคงจะผิดจากปีที่แล้วมา เพราะไม่อยากจะโง่ซ้ำรอยอยู่ที่นั่น อยากจะเลื่อนชั้นอยู่ทุก ๆ ปี ฉะนั้นวันนี้จึงพูดว่า เดี๋ยวนี้เราจะมานั่งที่นี่ ทำพิธีบูชาคุณของผู้ที่ลุถึงตถา ปีก่อน ๆ พูดอย่างอื่นนะ พูดว่าพระอรหันต์ หรือพูดอะไรก็ตามใจแหละ ไม่ได้พูดว่า ผู้ลุถึงตถา แต่ปีนี้จะพูดว่าเรามานั่งกันที่นี่ เสียสละทุกอย่างนี้เพื่อจะเป็นที่ระลึกและบูชาคุณแก่ผู้ที่ถึงตถา ถ้าอาตมาพูดว่า ผู้ หรือ บุคคล ผู้ถึงตถาแล้วขอให้รู้ว่าเป็นคำพูดสมมติอย่างชาวบ้านพูด ที่จริงมันไม่ใช่ผู้ ไม่ใช่บุคคล มันพ้นไปเสียที่จากการที่จะพูดว่า ผู้ หรือ บุคคล ผู้ที่เข้าถึงตถาแล้วมันหมดความเป็นผู้ เป็นคน เป็นบุคคล ฟังถูกหรือไม่ถูกก็แล้วแต่คนฟัง อาตมาพูดย้ำอีกทีหนึ่งก็ได้ว่าบุคคล หรือผู้ ที่ลุถึงตถา เข้าถึงตถา แล้วมันหมดความเป็นผู้ หมดความเป็นบุคคล หมดความเป็นคน หมดความเป็นสัตว์ หมดความเป็นอะไรที่ไม่พูดได้ว่าเป็นอะไร ฉะนั้นจึงไปบัญญัติท่านไม่ได้ว่าท่านเป็นอะไร จะไปบัญญัติว่า เกิดอีก ไม่เกิดอีก นี้มันโง่เอง ไอ้คนบัญญัติมันโง่เอง เราจะนึกได้ หรือนึกไม่ได้ หรือจะนึกได้บ้างก็ยังดีว่า เรามาประชุมกันที่นี่ในวันนี้ เพื่อจะกระทำพิธีสูงสุด สุดชีวิตจิตใจของเรา เพื่อเป็นที่ระลึกและเป็นที่บูชาคุณ เป็นที่รู้ ประกาศไอ้ความที่เรารู้สึกในพระคุณของท่าน เอ้า, ทีนี้ก็ขยักไว้ บางคนจะไม่เอา บางคนจะเอา ก็ว่าจะทำตามท่าน จะทำตามท่าน เพื่อจะไปเข้าสู่ตถาเช่นเดียวกับท่าน
ลองคิดดูต่อไปว่าเรามีทางที่จะปฏิบัติตามผู้ที่บรรลุถึงตถาอย่างไร เดี๋ยวนี้ก็มีคนพูดมากเกินไปแล้วว่า ไม่ไหวเหลือวิสัย เหลือประมาณ นี่เรื่องมรรคผล เรื่องนิพพานนี้มันไม่ใช่วิสัยของเรา เขาปฏิเสธ ปฏิเสธอย่างไม่มีข้อยกเว้น ถ้าปฏิเสธเสียอย่างนี้ก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร เดี๋ยวนี้อยากจะพูดว่า ให้นึกดูให้ดี ๆ ว่าเป็นคนทั้งทีนี้มันจะดีที่ตรงไหน เกิดมาเป็นคนทั้งทีมันจะไปมีจุดจบที่ตรงไหน มันจึงจะสมกับการเป็นมนุษย์ จะมี มันมีจุดจบอยู่ที่เรือกสวน ไร่นา บ้านเรือน บุตร ภรรยา สามี อยู่ที่ตรงนี้เท่านั้นหรือ นี่ก็เป็นตถาอย่างที่ แมว สุนัข อะไรมันก็เป็น สัตว์เดรัจฉานมันก็ถึงตถาแบบนั้น มันเป็นอย่างนั้น มันเป็นอย่างนั้น มันไม่ถึงตถาอย่างที่ว่าพระอรหันต์ถึง อย่างที่เรามาบูชาคุณของท่านอยู่ ธรรมชาติสร้างมนุษย์มาเพียงเท่านั้น คุณคิดว่าธรรมชาติสร้างมนุษย์มาเพียงเท่านั้น มาเพียงที่จะว่ามามีทรัพย์สมบัติ เกียรติยศ ชื่อเสียง อำนาจวาสนา บริโภคกามสุดเหวี่ยงแล้วมันจบกันที่นั่น ถ้าคิดอย่างนั้นก็ตามใจ แต่ดูให้ดีเถอะเราจะเห็นว่า ธรรมชาติไม่ได้สร้างมนุษย์มาให้มีความสามารถเพียงเท่านั้น ถ้าธรรมชาติสร้างให้มนุษย์มีความสามารถเพียงเท่านั้น ก็ไม่เกิดพระพุทธเจ้า ไม่เกิดพระอรหันต์ แล้วก็จะไม่ต้องมีคำว่า ผู้ถึงแล้วซึ่งตถา ถึงซึ่งความคงที่เป็นนิรันดร เราจะมาตีราคาเราว่ามันเป็นมนุษย์ครึ่งเดียวอย่างนั้นหรือ ที่มันเดินต่อไปไม่ได้ มันมาติดตันอยู่ที่นี่ มันไม่มีหรอกธรรมชาติไม่มีมนุษย์ครึ่งเดียว มีแต่มนุษย์ชนิดหนึ่งซึ่งมันไปได้ถึงที่สุดของความเป็นมนุษย์ ที่สุดนั้นก็คือถึงซึ่งตถา ฉะนั้นขอให้เชื่อว่า ไอ้การถึงซึ่งตถานั้นมีไว้สำหรับทุกคน แต่บางคนเขาไม่ชอบ เขาไม่สนใจ อาตมาจะบ้าคนเดียวไปก็ได้ คือจะรบเร้าให้ท่านสนใจ ให้ท่านทั้งหลายสนใจ อาตมาจะรบเร้าให้ท่านทั้งหลายสนใจ ท่านทั้งหลายไม่สนใจอาตมาก็บ้าไปคนเดียว นี่ก็ยอมเหมือนกัน และคงจะทำไปได้อีกหลายปีกว่าจะตาย จะรบเร้า รบเร้าให้สนใจเรื่องตถา จะรบเร้าให้สนใจการเข้าถึงซึ่งตถา
ก็อย่าลืมว่าเดี๋ยวนี้มานั่งประชุมกันอยู่ที่นี่เพื่อบูชาคุณของผู้ถึงตถา ระลึกถึงผู้ถึงตถา คือพระอรหันต์ทั้งหลาย แล้วพอชวนว่าเราจะพยายามทำอย่างนั้นบ้างก็สั่นหัวหมด ก็แปลว่าอาตมาผู้อะไรล่ะ เป็นกองเชียร์โง่ ๆ อยู่อย่างนี้ตลอดกาลไปเลย ไม่สมัครที่จะเป็นผู้เข้าถึงซึ่งตถา แล้วก็มานั่งโห่ร้องกองเชียร์ผู้ถึงตถา นี่เรียกว่าไม่สม ไม่สมกับที่ว่าได้เป็นมนุษย์และพบกับพระพุทธศาสนา ไม่สมกับที่ว่ามนุษย์นี่ธรรมชาติมันสร้างขึ้นมาสำหรับให้ไปให้ถึงที่สุดโน่น ถึงที่สุดของที่มนุษย์จะไปได้ นั่นแหละคือถึงซึ่งตถาจริง ไม่ใช่เก๊ ทำไมเราไม่ถึงซึ่งตถา เพราะว่าเราไม่สนใจ เราไม่รู้จัก เราไม่สนใจ ทำไมเราไม่สนใจเพราะว่าเราไม่รู้เรื่อง เราไม่รู้จัก เราไม่รู้ว่าจะถึงไปทำไม เหมือนกับวัวดื้อ มันจะอยู่ที่ในดินในโคลนที่วัวมันอยู่นี่ มันไม่อยากจะขึ้นไปอยู่บนบ้านบนเรือน ถ้าใครมาชวนไปอยู่บนบ้านบนเรือน มันก็ว่าบ้า เอ้า,เรื่องก็ยุติกันไว้เท่านี้คือว่าเถียงกันไปตามเรื่อง ถ้าใครอยากไปก็ไป แต่อาตมาก็ยังคงถามอยู่เรื่อยว่า มาทำมาฆบูชากันที่นี่มาทำกันทำไม ถ้าจะมาทำให้มันรู้เรื่องของผู้ถึงตถา มันก็ต้องพูดเรื่องนี้ และก็ต้องชักชวนกันว่าควรจะสนใจ ควรจะมีความตั้งใจว่าเราก็จะถึงซึ่งตถาในที่สุด ถ้าเล็งในส่วนผล มันก็คือพระนิพพานโดยสมมติ โดยภาษาคนว่าเป็นพระนิพพานมีความสุขอย่างยิ่ง ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ไม่อะไรอีกต่อไป นี่ก็เรียกว่านิพพานก็ได้ แต่ถ้าพูดภาษาวิชาการ ไม่ใช่โฆษณาขายของแล้วก็ต้องพูดว่าตถา คือตถา คือความเป็นอย่างนั้น ไม่ถึงความเป็นอย่างอื่นอีกต่อไป มีความเป็นอย่างนั้นนิรันดร นี่คือผู้ที่ถึงตถา นี่คือบุคคลที่เราเรียกกันโดยทั่ว ๆ ไปว่า พระอรหันต์ ถ้าถึงตถา จริงแล้วก็ไม่มีชั้นหัวหน้า หรือชั้นลูกน้อง มันไม่มี เพราะตถานั้นจะมีแต่อย่างเดียว มีอันเดียว มีสิ่งเดียว ถึงเข้าไปในนั้นแล้วก็หายไปอยู่ในนั้น ไม่มีชั้นหัวหน้า ไม่มีชั้นลูกน้อง ฉะนั้นพระอรหันต์ทั้งหลายก็มีอะไรก็ไม่ เรียกไม่ถูก เรียกว่ามีลักษณะ หรือมีสภาวะ หรือมีอะไรก็ตามเหมือนกันหมด อย่างเดียวกันหมด ฉะนั้นขอให้ถือว่ามันไม่ใช่เล่น ที่เราจะมาทำพิธีมาฆบูชาเป็นที่ระลึกบูชาคุณ ของบุคคลผู้ถึงซึ่งตถา คือพระอรหันต์นั่นเอง
เมื่อท่านทั้งหลายมองเห็นว่านี้ไม่ใช่เรื่องเล่น ไม่ใช่เรื่องเล็กแล้วขอให้ตั้งใจให้เต็มที่ ให้ชอบใจท่านที่เรียกว่า ผู้ถึงซึ่งตถา นี่ที่สุดที่เราจะชอบได้ มีความรัก มีความพอใจ มีความเลื่อมใส มีอะไรทุกอย่างให้มันสุดชีวิตจิตใจในบุคคลผู้ถึงซึ่งตถา ถ้าลงมีได้อย่างนี้ในชั้นแรกแล้ว มันจะค่อยดึงไปเอง มันจะลากไปเอง มันจะดึงไปเองโดยไม่รู้สึกตัว พูดอย่าง ขออภัยพูดภาษาหยาบคายก็ว่า เรารักใครเข้ามันก็ถูกดึงเข้าไปหาคนนั้นโดยไม่รู้สึกตัว แม้ไอ้เรื่องกามาอารมณ์ เดี๋ยวนี้มันสูงกว่านั้น มันยิ่งเหนือไปกว่ากามารมณ์ มันมีคุณค่ามากกว่านั้น มีความดึงดูดมากกว่านั้น ฉะนั้นขอให้ทำในใจ ให้เข้าใจในพระอรหันต์ทั้งหลาย จิตใจก็จะน้อมไปในความเป็นพระอรหันต์โดยไม่รู้สึกตัว ดังนั้นโอกาสหนึ่งมันก็จะก้าวหน้าไปตามทางของพระอรหันต์ เดี๋ยวนี้เราไม่เข้าใจเสียเลย ไม่เข้าใจและยังไม่สนใจที่จะเข้าใจ นี่ถ้าพูดไปมันก็ต้องด่ากันอีก ก็ไม่พูดแล้ว ไม่เข้าใจ มันไม่สนใจเพราะมันไม่สนใจ มันไม่เข้าใจมันจึงไม่สนใจ มันไม่สนใจเพราะไม่เข้าใจ มันติดกันอยู่ที่ตรงนี้ ฉะนั้นขอให้เปิด เปิดช่องอันนี้ เปิดประตูอันนี้ให้มันมีความสนใจ แล้วมันก็จะศึกษาแล้วก็จะเข้าใจ ให้รู้เรื่องว่าไอ้ความที่ว่ายเวียนวนเวียนอยู่อย่างนี้ ว่ายเวียนวนเวียนกลับไปกลับมาอย่างแปลก ๆ อยู่อย่างนี้มันเป็นกองทุกข์ เป็นความทุกข์ที่น่าทุเรศ ฉะนั้นขอให้ถึงซึ่งความเด็ดขาดลงไปไม่มีความว่ายเวียน วนเวียน เปลี่ยนแปลงอีกต่อไป นี่คือความถึงซึ่งตถา คือที่พระอรหันต์ท่านถึงแล้ว
ก็ขอให้ความเสียสละของท่านมาบำเพ็ญบุญกุศลมาฆบูชาในสถานที่นี้ในวันนี้ จงเป็นเครื่องดลบันดาล ให้มีความรู้ ความเข้าใจ ความพอใจในหนทางแห่งตถา คือ หนทางแห่งพระนิพพาน หรือหนทางแห่งพระตถาคต ก็แล้วแต่จะเรียก เรียกว่าก้าวหน้าไปตามหนทางนี้ ไปตามลำดับยิ่งขึ้นทุกที และยิ่งขึ้นทุกคนด้วย อาตมาขอสรุปธรรมเทศนานี้ว่า เรามาประชุมกันที่นี่โดยหวังว่าจะทำให้ดีที่สุด ให้ง่ายที่สุด เพื่อจะได้ดีที่สุดในการทำมาฆบูชา บูชาแก่บุคคลผู้ถึงซึ่งตถา ซึ่งไม่มีความเปลี่ยนแปลงอะไรเลยอีกตลอดนิรันดร เป็นสภาพที่ยิ่งกว่ารูป ยิ่งกว่านาม จนต้องเรียกว่า ไม่ใช่รูป ไม่ใช่นาม เป็น อสังขตะ ไม่มีคำจะเรียก ขอให้มุ่งหน้าไปที่นั่น แล้วก็เตรียมพร้อมสำหรับทำมาฆบูชา อย่างน้อยให้มีผลก้าวหน้าลึกซึ้งดีกว่าปีที่แล้วมา ธรรมเทศนาสมควรแก่เวลา เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้
เอ้า,ที่นั้นเป็นสัญลักษณ์ของพระพุทธเจ้า วันนี้ได้พูดถึงสิ่งที่เรียกว่าตถา ไม่มีมิติ ไม่มีความกว้าง ไม่มีความยาว ไม่มีความสูง ไม่มีขนาด ทั้งโดยขนาดและโดยเวลา ฉะนั้นขอให้ท่านทั้งหลายกระทำในใจ ให้ไม่มีขอบเขตอย่างนั้น ยืนขึ้นมา ไม่ทำสัญญาว่าเราผินหน้าไปทิศไหน ไม่มีทิศเหนือ ไม่มีทิศใต้ ไม่มีทิศตะวันออก ไม่มีทิศตะวันตก มีแต่ความว่างเป็นอันเดียวกันหมดตามความหมายของคำว่าตถา อย่างน้อยมีจิตใจถึงตถาเพียงเท่านี้ก็นับว่าดีมากอยู่แล้ว การกล่าวคำบูชาพระตถาคตนั้นก็จะมีความหมาย ฉะนั้นหลับตาเสียดีกว่า อย่าให้มีทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศตะวันออก ทิศตะวันตก ทิศข้างบน ทิศข้างล่างเลย มันจะกักขังจิตใจให้ไปติดไปตันไปโง่ไปเขลาอยู่ที่นั่น มันยังห่างไกลจากความเป็นตถานัก ก็มีจิตใจที่เปิดว่าง โล่ง ไม่มีขอบเขตตลอดสากลจักรวาลแล้ว พร้อมกันกล่าวคำบูชามาฆบูชาเทอญ
(นาทีที่ 1.23.24 สวดมนต์ )
เอ้า ทายก ทายิกาทั้งหลายจุดเทียนยืนขึ้น