แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
วันหาบคือวันเลี้ยงก่อนวันเข้าพรรษา บางทีก็เรียกว่าสลากภัต เมื่อก่อนเขาเคยทำกันมากเขาเรียกว่าสลากภัต ที่เราเรียกกันที่นี่ว่าหาบ ชาวบางกอกเขาเรียกสลากภัต จะเลี้ยงพระเป็นครั้งพิเศษตามแบบของการทำทาน ถึงว่าจะเลี้ยงเป็นพิเศษเท่าไหร่ก็เป็นเรื่องของการทำทานอยู่นั่นแหละ ขอให้ตั้งใจทำให้มันเป็นการทำทานที่ดีที่ถูกต้องอยู่ในจิตที่ว่า จะบำรุงให้ภิกษุสงฆ์ตั้งอยู่ได้ สำหรับจะได้สืบอายุพระศาสนา อุตส่าห์มาจากที่ไกลก็ตั้งใจให้ดีให้ถูกต้อง จะได้สำเร็จประโยชน์ในส่วนที่เรียกว่าหาบ
ทีนี้ส่วนที่เรียกว่าวันอาสาฬหบูชา ซึ่งจะได้เวียนเทียนตอนเย็นนี้มันอีกเรื่องหนึ่ง ขอให้เตรียมตัวสำหรับว่าทำอะไรวันนี้ ก็ให้เป็นการบูชาที่เรียกว่าอาสาฬหบูชา แม้ที่สุดแต่จะให้ทานนี้ก็ถือว่าให้ทานเป็นพิเศษเนื่องในวันอาสาฬหบูชา การให้ทานจะทำให้เป็นการบูชาก็ได้เหมือนกัน ให้มันเป็นอาสาฬหบูชาไปเสียด้วย เพราะว่าเรื่องสำคัญนี้เราอยู่ที่จะทำอาสาฬหบูชา ซึ่งมันสำคัญยิ่งกว่าการให้ทานตามธรรมดา หรือให้ทานเป็นพิเศษเสียอีก
อาสาฬหบูชานั้นบูชาแก่พระพุทธเจ้าโดยตรง เนื่องในวันที่ได้แสดงธรรมจักร คือประกาศพระศาสนาเป็นวันแรก เรายังทำอาสาฬหบูชาอยู่ ไอ้คนโง่ๆ มันว่าพระพุทธเจ้าตายแล้ว เผาแล้ว เหลือแต่กระดูก นี่คนโง่ๆ เขาว่าอย่างนั้น ไอ้คนที่ฉลาดนั้นมันมองเห็นว่าพระพุทธเจ้ายังอยู่ ยังอยู่กับเราอยู่บัดนี้ อยู่ในที่ทุกหนทุกแห่งไม่ว่าที่ไหนยังอยู่ ที่พูดอย่างนี้พระพุทธเจ้าท่านว่าเอง คือพระธรรม รวมเป็นธรรมะและวินัยเรียกว่าพระธรรมนี้ยังอยู่ เป็นศาสดาแห่งพวกเธอทั้งหลายในกาลที่ล่วงลับไปแล้วแห่งเรา ด้วยร่างกายนะ ฉะนั้นอย่าคิดว่าพระพุทธเจ้าสิ้นไปแล้ว หมดไปแล้ว พระพุทธเจ้ายังอยู่เหมือนกับเมื่อยังมีชีวิตอยู่ ให้เรามองเห็นข้อนี้แล้วก็จะได้ทำอาสาฬหบูชา
พระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหน ถ้าพูดอย่างคนโง่มันก็ว่าตายแล้วเผาแล้วเสร็จกันไปแล้ว ถ้าอยู่นะอยู่ที่อินเดียนั่น อยู่เมื่อ ๒๕๐๐ กว่าปีมาแล้ว ที่ว่าอยู่เดี๋ยวนี้ อยู่ที่นี่ อยู่เวลานี้ อยู่ในที่ทุกหนทุกแห่ง อยู่ที่ไหน อยู่ในหัวใจของคนที่ไม่โง่นะ คนที่ไม่โง่น่ะเป็นพุทธบริษัทที่แท้จริง ในหัวใจของพุทธบริษัทที่แท้จริงมีพระพุทธเจ้าอยู่ ถ้าถามว่าพระพุทธเจ้าที่แท้จริงที่ไม่รู้จักตายน่ะอยู่ที่ไหน อยู่ในหัวใจของคนที่นับถือพระพุทธเจ้าโดยแท้จริง มีธรรมะโดยแท้จริง ก็คือไม่เป็นคนโง่ เขาล้อคนโง่ไว้บทหนึ่งว่า ถ้าเห็นพระพุทธเจ้ามาเที่ยวเดินอยู่กลางถนน ช่วยกันฆ่าเสียให้ตาย พระพุทธเจ้าที่ไปเที่ยวเดินอยู่กลางถนนน่ะไม่ใช่พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าจริงๆ น่ะอยู่ในหัวใจของคน ธุระอะไรจะไปเที่ยวเดินอยู่กลางถนน นี่ขอให้เลื่อนชั้นกันเสียบ้าง ให้มาถึงขนาดที่ว่าพระพุทธเจ้าที่แท้จริงอยู่ในหัวใจของเรา ไม่ไปเที่ยวเดินอยู่กลางถนน นี่เขาล้อคนโง่ไว้ว่า ถ้าเห็นพระพุทธเจ้าเดินอยู่กลางถนน ช่วยกันฆ่าเสียให้ตาย เพราะมันไม่ใช่พระพุทธเจ้า ฟังให้ดีดีนะ
นี่มันก็เป็นเรื่องอาสาฬหบูชาเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งปี ประกาศพระศาสนาธรรมจักกัปปวัตนสูตร ถัดมาอีกหนึ่งปีจะยังโง่อยู่เหมือนเดิมหรือ ก็ยังโง่อยู่เหมือนเดิมเท่าเดิมหรือ ช่วยเลื่อนกันขึ้นมาบ้าง ให้มันฉลาดยิ่งขึ้นทุกๆ ปี คนไม่ค่อยจะสนใจเรื่องการศึกษาสติปัญญา มาแต่เรื่องจะทำบุญ กลับเสียก็มาก ถึงวันอาสาฬหบูชานี้กลับแต่เช้านี่ก็มาก เพราะไม่สนใจเรื่องการศึกษา สนใจแต่เรื่องธุระส่วนตัว ขอให้เข้าใจว่ามูลเหตุที่มันทำให้ไม่เลื่อนชั้นมันอยู่ที่ไม่สนใจในการศึกษา ขอให้สนใจในการศึกษา ให้จิตใจเลื่อนชั้น แล้วพระพุทธเจ้าจะมาอยู่ในหัวใจเราจะมากขึ้นๆๆ ถ้ารู้ธรรมะน้อยมีพระพุทธเจ้าน้อยๆ องค์น้อยๆ อยู่ในหัวใจของเรา พอรู้ธรรมะมากขึ้นจนหัวใจมันสะอาด สว่าง สงบ แล้วพระพุทธเจ้าก็มาอยู่ในหัวใจของเรามากขึ้นๆๆ เวลาไหนเราไม่โง่ เวลาไหนเราไม่มีความทุกข์ เวลานั้นเรามีพระพุทธเจ้าในหัวใจของเรา ทีนี้บางเวลามันบ้าไป มันโง่ไป มันเป็นทุกข์ไป มันกลัวนั่นกลัวนี่ กังวลนั่นกังวลนี่มีกิเลสเกิด ในเวลานั้นไม่มีพระพุทธเจ้า ไม่มีในหัวใจของเรา ฉะนั้นทุกคนช่วยกันระวังให้ดีๆ ตั้งใจไว้ให้ดีๆ มันอยู่ในลักษณะที่ว่า พระพุทธเจ้ามาอยู่ในหัวใจของเราจะเจริญมากขึ้นๆๆ อุตส่าห์อดกลั้น อุตส่าห์เสียสละ เรื่องที่ต้องโกรธก็อย่าไปโกรธมันโง่ มันไปโกรธแล้วก็ไปประชดคนนั้นคนนี้ ขยายความโกรธมันโง่ มันโง่ดักดาน คือมันกวาดพระพุทธเจ้าทิ้งหมดคนชนิดนี้
เรื่องที่จะโลภจะหลงก็เหมือนกัน ก็อย่าไปโลภมัน ทำให้จิตใจปกติ ไม่ต้องการอะไรมาก กว่าความจำเป็น ไม่ต้องการอะไรมากกว่าความจำเป็น ถึงจะสะสมก็สะสมเท่าที่จำเป็น เท่านี้ก็เรียกว่ามันไม่โลภ มันมีใจคอปกติ มีปัญญา พระพุทธเจ้าอยู่ในหัวใจของเรา เราไม่ทำอะไรผิดๆ โง่ๆ ไม่สะเพร่า ไม่มักง่าย ไม่ทำอะไรมักง่ายตามแบบคนโง่ คนโง่จะทำอะไรมักง่าย ชุ่ยๆ ทั้งนั้นเลย ไม่ได้มีความคิดที่ละเอียดประณีต ไม่มีสติปัญญา ไม่มีศิลปะของสติปัญญานี่เขาเรียกว่าคนโง่ ในหัวใจของคนโง่ไม่มีพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าจะอยู่ในหัวใจของคนโง่ไม่ได้ ไม่ต้องถามใคร พอพูดขึ้นก็เข้าใจได้ทันทีว่า พระพุทธเจ้าจะอยู่ในหัวใจของคนโง่ไม่ได้ เพราะพระพุทธเจ้าเป็นจอมของคนที่ฉลาด ฉลาดในเรื่องที่จะป้องกันไม่ให้ความทุกข์เกิด ความทุกข์ไม่เกิด จนมันไม่เกิด จนไม่มีความทุกข์อีกต่อไป
ถ้าเราจะฉลาดตามแบบพระพุทธเจ้า ต้องรู้จักป้องกันไม่ให้ความทุกข์เกิด และเมื่อความทุกข์เกิดก็ต้องฉลาดที่จะขจัดออกไปเสียทันที ไม่ให้อยู่นานเกินหนึ่งวินาที ก็รู้สึกว่านี่เป็นเรื่องกิเลสเป็นเรื่องความทุกข์แล้วสลัดออกไปทันที อย่าให้มันอยู่ในหัวใจของเราเกินหนึ่งวินาทีหรือเกินห้าวินาที ถ้าอยู่นานตั้งนาทีก็โง่กันแหละ มันโง่ไปนาทีหนึ่งแล้ว ถ้ามันอยู่ทั้งชั่วโมง ทั้งวันๆ มันก็โง่ทั้งชั่วโมงๆ ทั้งวันๆ คนชนิดนี้ไม่มีพระพุทธเจ้าในหัวใจ ก็เที่ยวดูพระพุทธเจ้าอยู่ตามกลางถนน ที่นั่นที่นี่ก็นอกตัวทั้งนั้น คนฉลาดหาพระพุทธเจ้าในตัวทั้งนั้น นี่มานั่งกันตั้งมากมายนี่ยังไม่รู้ว่าเฝ้าพระพุทธเจ้าที่ไหนก็ได้ มันจึงต้องพูด พูดทุกโอกาสที่ควรจะพูด
เพราะวันนี้เป็นวันอาสาฬหบูชา เป็นวันที่ระลึกแด่พระธรรม พระศาสนาที่พระองค์ได้ประกาศเป็นครั้งแรก พระธรรมที่พระพุทธเจ้าประกาศนั้นแหละ เป็นองค์พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าตรัสว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นเรา ผู้นั้นเห็นธรรม บางที่พูดไว้ว่า ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาทผู้นั้นเห็นธรรม ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นปฏิจจสมุปบาท นักธรรมที่มันไม่โง่เกินไปมันรู้นะ นักธรรมตรี โท เอก ที่มันไม่โง่เกินไปมันรู้ว่าเรื่องอริยสัจนั้นน่ะ คือเรื่องปฏิจจสมุปบาท เป็นนักธรรมเอกแล้วมันยังโง่อยู่ก็ได้ว่า ไอ้เรื่องอริยสัจมันคนละเรื่องกับ ปฏิจจสมุปบาท ถ้านักธรรมที่มันอุตส่าห์เรียนมาจริงๆ มันจะรู้ว่าไอ้เรื่องอริยสัจนั้นคือเรื่องปฏิจจสมุปบาท และการปฏิบัติธรรมข้อใดข้อหนึ่งเพื่อดับทุกข์ ก็มันเนื่องอยู่ในปฏิจจสมุปบาททั้งนั้น ฉะนั้นสิ่งแรกที่พระพุทธเจ้าได้นำมาสอนหลังจากตรัสรู้ก็คือ เรื่องปฏิจจสมุปบาท แต่เราไปเรียกเสียว่าเรื่องธรรมจักรบ้าง เรื่องอริยสัจ ๔ บ้าง ที่จริงก็เป็นเรื่องปฏิจจสมุปบาท ถ้าผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาทผู้นั้นเห็นธรรม ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นเราผู้นั้นเห็นธรรม ดังนั้นการเข้าใจเรื่องอริยสัจนั่นเองคือการเห็นธรรม หรือเห็น ปฏิจจสมุปบาท และเห็นพระพุทธเจ้า ถ้าได้ปฏิบัติให้มีในตัว ปฏิบัติเรื่องอริยสัจให้มีอยู่ในตัว คือดับทุกข์ได้ ดับตัณหาได้ ก็มีพระพุทธเจ้าอยู่ในใจของบุคคลนั้น เพราะฉะนั้นเสียสละเสียเถิดไอ้ความโลภอย่างโง่เขลา ความขี้โกรธอย่างโง่เขลา ความโง่อย่างหลงใหล สละเสียเถิด อย่ารัก อย่าเอาไว้ อย่าเก็บไว้ อย่าอวดดี อย่าเก็บไว้เลย มันจะได้มีจิตใจที่รู้อริยสัจ เห็นอริยสัจ
พระพุทธเจ้าได้ตรัสว่าเห็นอริยสัจ สัมมัปปัญญายะปัสสะติ เห็นด้วยปัญญาถึงอริยสัจทั้ง ๔ ไม่ใช่รู้แล้วท่องจำแล้วสวดมนต์ไม่ใช่ ต้องสัมมัปปัญญายะปัสสะติ คือเห็นด้วยปัญญาเขาเรียก ว่าเห็น ให้เป็นเรื่องของการดูแล้วเห็น อย่าเป็นเรื่องของการท่องจำหรือคิดๆๆๆ ยิ่งคิดก็ยิ่งไกล มันแตกแขนงไปตามเหตุผลไกลลิบ เรื่องเกี่ยวกับพระพุทธเจ้าไม่ใช่เรื่องคิด แต่เป็นเรื่องดูให้เห็น ดูลงไปให้เห็น ให้เห็นตัวทุกข์ ไม่ใช่ต้องคิดจนเห็นว่าไม่เป็นทุกข์ มันหลอกตัวเองได้ ถ้าคิดว่าไม่เป็นทุกข์มันหลอกตัวเองได้ เหมือนที่หลอกตัวเองอยู่มากๆ นี่ไปจำมาแล้วก็ว่าตามความจำบ้าง คิดเอาบ้าง ให้ยุติเอาด้วยความคิดบ้างไม่ใช่ ใช้ไม่ได้ ต้องเห็นเหมือนกับดูกับตาแล้วเห็น แต่ว่านี่ดูด้วยปัญญาแล้วเห็น
เรื่องปฏิบัติศาสนานี่เป็นเรื่องดูให้เห็น ไม่ใช่เป็นเรื่องคิด ฉันเมื่อแรกเรียนเมื่อแรกบวชแรกเรียน ก็เคยโง่ไปพักหนึ่งเหมือนกัน หลงในเรื่องคิดเรื่องพิจารณา เรื่องใช้เหตุผล ต่อมาไม่กี่ปีก็เริ่มมองเห็นว่า คำสอนของพระพุทธเจ้านั้นกลายเป็นเรื่องดู ดูจนเห็นดูให้เห็น จึงแนะนำเพื่อนว่าอย่าให้โง่นาน อย่าเสียเวลาโง่นานกันนักเลย รีบฉลาดต้องเป็นเรื่องดูให้เห็น มีอะไรให้ดูต้องดูถ้ามีให้ดู ไม่ใช่ว่าไปหลับตาคิดในสิ่งที่ไม่ได้มีให้เห็นให้ดู ดูสังขารร่างกายว่าอนิจจัง ดูลมหายใจว่าอนิจจัง ดูการปรุงแต่งในร่างกายว่าอนิจจัง ดูให้เห็นนะ ไม่ใช่ว่าคิดนะ อย่าไปคิดนะ ถ้าคิดแล้วมันออกนอกวงไม่ทันรู้ ดูให้เห็นว่าความสุขแค่สุข รู้สึกสุขมันอนิจจัง ความทุกข์มันอนิจจัง สังขารทั้งปวงมันอนิจจัง มันก็เบื่อหน่ายไม่ยึดถือในสังขาร ดูตลอดเวลาก็เรียกว่าอนุปัสสี อนุปัสสีตามดูอยู่ตลอดเวลาไม่ได้คิด ไม่ได้เกี่ยวกับคิด ไม่ว่าอย่างไหนก็ตามศึกษาที่มันดูด้วยการดูเรียกว่าเป็นการศึกษา หรือศึกษาด้วยการดู
เราไม่ใช้วิธีที่คำนวณอย่างลมๆ แล้งๆ เหมือนเรื่องปรัชญา เรื่องปรัชญานั้นไปลองเอาอุดมคติอันใดอันหนึ่งมาคิดหาเหตุผลสนับสนุน อย่างนี้มันเรื่องปรัชญาอย่าเอาเลย เอาเรื่องศาสนาเรื่องพระธรรมดีกว่า คือดู เห็น แล้วเบื่อหน่าย แล้วคลายกำหนัด แล้วเฉยได้ต่อสิ่งทั้งปวง แล้วไม่มีความทุกข์ ไม่มีอะไรที่เป็นตัวเกิด แก่ เจ็บ ตาย มันมีแต่ความเปลี่ยนแปลงของสังขาร ไม่ใช่เราเกิด ไม่ใช่เราแก่ ไม่ใช่เราเจ็บ ไม่ใช่เราตาย เพราะว่ามันไม่มีตัวเรา มันมีแต่กระแสแห่งความเปลี่ยนแปลงของสังขาร ถ้าจิตคือปัญญามันมองเห็นอันนี้แล้วก็ชื่อว่าเห็นธรรม เห็นความเปลี่ยน แปลงแล้วมันก็จะคลายกำหนัด คลายกำหนัดมันก็จะดับหรือว่าหลุดพ้น
ฉะนั้นให้รู้สึกว่าวันนี้เป็นวันที่พระพุทธเจ้าประกาศความหลุดพ้น ประกาศอนุตตรธรรม จักรอยู่ในรูปของอริยสัจ ๔ ซึ่งเนื้อแท้ก็เป็นปฏิจจสมุปบาท คือเหตุให้เกิดทุกข์ ทำให้ทุกข์เกิดขึ้น มาได้อย่างไร นี่เรียกอาการแห่งปฏิจจสมุปบาท เรียกว่าปฏิบัติศีล สมาธิ ปัญญา ปฏิบัติตามมรรคมีองค์ ๘ ประการนั้นน่ะ คือทางให้เกิดปฏิจจสมุปบาทฝ่ายดับทุกข์ คือได้เกิดวิชชาขึ้นมา มันก็จะดับสังขาร วิญญาณ นามรูปตามลำดับ ดับกระแสแห่งความทุกข์ ให้สร้างปัญญาขึ้นมา อย่างไรก็ดี ขอเชิญชวนว่าทุกคนในวันนี้เสียสละบ้าง อย่าเห็นแก่พักผ่อนหลับนอน ให้เห็นแก่การศึกษา ให้เข้าใจเป็นพิเศษปีละครั้ง อย่าให้มันซึมๆ มัวๆ สลัวๆ เหมือนกับวันธรรมดาเลย วันนี้ขอให้แจ่มแจ้งหน่อย เพราะว่าเป็นวันอาสาหฬบูชา ถ้าจิตใจไม่แจ่มแจ้งก็ไม่รู้จะเอาอะไรมาบูชาพระพุทธเจ้าในวันอาสาหฬบูชา ถ้าเราจะทำให้ได้สำเร็จประโยชน์ ต้องเอาความรู้อริยสัจในวันนี้เป็นเครื่องบูชาพระพุทธเจ้า ให้สมกับที่เป็นวันอาสาหฬบูชา บูชาด้วยดอกไม้ธูปเทียน ด้วยอามิสนี้ก็ดี บูชาด้วยการเวียนประทักษิณ คือบูชาด้วยกายก็ดี บูชาด้วยกล่าวคำบูชาด้วยวาจาก็ดี ยังไม่สำคัญ ยังไม่จริงเท่ากับบูชาด้วยจิตใจที่มันเห็นแจ้งในอริยสัจทั้ง ๔ คือเห็นความทุกข์ เห็นเหตุให้เกิดทุกข์ เห็นความดับทุกข์ เห็นทางให้ถึงความดับทุกข์ ขอให้จดจ่ออยู่แต่เรื่องอะไรคือความทุกข์ ความดับทุกข์ หรืออะไรเป็นความดับทุกข์ หัวใจเกลี้ยงหรือยัง ถ้าวันนี้หัวใจเกลี้ยงมีความสะอาด สว่าง สงบพอสมควร ดับทุกข์ได้นี่ก็คือว่า เครื่องบูชาสูงสุด เป็นปฏิบัติบูชาด้วยจิตใจในพระพุทธเจ้า สำเร็จประโยชน์ในการทำอาสาหฬบูชาด้วยกันทุกคน
ข้อความชนิดนี้เคยพูดทุกปีๆ เอามาพูดอีกกลัวว่าจะลืม แต่อาจจะมีบางคนไม่เคยฟังก็พูดให้ฟัง แต่คนที่เคยฟังแล้วกลัวว่าจะลืม เพราะฉะนั้นเอามาทำในใจให้ใหม่ ให้แจ่มแจ้ง ให้ชัดเจนขึ้นมา จึงจะเป็นการทำที่เรียกว่าอาสาหฬบูชาในวันนี้ ขอให้ผู้ที่มาจากที่ไกลๆ โดยเฉพาะนะสำเร็จประโยชน์อย่างยิ่งสมกับอุตส่าห์มาแต่ไกล คนอยู่ใกล้ๆ มันจะโง่เป็นเต่าคลานต้วมเตี้ยมตรงนี้ช่างหัวมันเถอะ แต่ว่าคนไกลๆ น่ะอย่าให้เสียค่ารถเปล่าแล้วให้เหนื่อยเปล่า อุตส่าห์ตั้งอกตั้งใจฟังให้ดีที่สุด ให้เข้าใจให้เพิ่มขึ้น เอาละพูดพอสมควรแล้วทีนี้ก็ได้เริ่มทำพิธีต่อไป
เอ้า, ประธาน สมมติประธานจุดเทียน
นาทีที่ 21.14-29.28 เป็นการสวดมนต์
ณ บัดนี้ จะได้วิสัชนาในพระธรรมเทศนา เพื่อเป็นเครื่องประดับสติปัญญา ส่งเสริมศรัทธาความเชื่อ และวิริยะความพากเพียรของท่านทั้งหลาย ผู้เป็นพุทธบริษัทให้เจริญงอกงามก้าวหน้าตามทางแห่งพระศาสนา ของสมเด็จพระบรมศาสดาอันเป็นที่พึ่งของเราทั้งหลาย กว่าจะยุติลงด้วยเวลา ธรรมเทศนาในวันนี้เป็นธรรมเทศนาพิเศษ ปรารภเหตุอาสาฬหบูชา ดังที่ท่านทั้ง หลายได้ทราบกันอยู่เป็นอย่างดีแล้ว ธรรมเทศนานี้เป็นเพียงธรรมเทศนาตักเตือนท่านทั้งหลาย ให้มีความเตรียมพร้อมที่จะทำอาสาฬหบูชาเท่านั้นเอง การที่บุคคลจะทำอะไรให้สำเร็จประโยชน์โดยเฉพาะในการบำเพ็ญบุญกุศลนั้น จะต้องรู้จักประโยชน์ รู้จักเรื่องราว รู้จักมูลเหตุของสิ่งนั้นๆ ให้เพียงพอ จึงจะทำให้เกิดความพอใจในการกระทำ รู้สึกเป็นสุขในการกระทำ ซึ่งกล่าวได้ว่าเป็นการทำให้การกระทำนั้นเต็มเปี่ยม
เดี๋ยวนี้เราก็จะได้กระทำอาสาฬหบูชา อาตมาจึงมีความประสงค์ที่จะกล่าวตักเตือนซึ่งกันและกัน ให้เข้าใจในความมุ่งหมายของการกระทำอาสาฬหบูชา และให้มีการเตรียมพร้อม เพื่อจะทำให้สำเร็จประโยชน์อย่างยิ่ง คำว่าอาสาฬหบูชาแปลว่า การบูชาที่กระทำในวันเพ็ญแห่งเดือนอาสาฬห ทำไมจะต้องทำในวันนี้ เพราะว่าทำเพื่อเป็นที่ระลึกแก่การที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ทรงแสดงธรรมจักกัปปวัตนสูตรในวันเช่นนี้ คือวันเพ็ญเดือนอาสาฬห เรามาระลึกนึกถึงข้อนี้อยู่ และชวนกันมาทำพิธีนี้ในสถานที่เช่นนี้ เพื่อให้เกิดความรู้สึกง่ายดายว่า ในครั้งพุทธกาลนั้นท่านกระทำกันอย่างไร การแสดงธรรมจักรนั้น พระองค์ทรงแสดงในอิสิปตนมฤคทายวัน คือป่าแห่งหนึ่งที่ได้ รับยกเว้นเป็นพิเศษ เป็นที่ให้อภัยแก่เนื้อ เนื้อกวางเป็นต้น ให้ปลอดภัยเป็นที่สงบสงัดตามธรรม ชาติ เป็นที่อยู่อาศัยแห่งภิกษุปัญจวัคคีย์ พระองค์ทรงเสด็จไปถึงที่นั้นแล้ว จึงได้ทรงแสดงธรรมจักกัปปวัตนสูตร
วันนี้ถือว่าเป็นวันแรกที่พระธรรมได้เปิดเผยขึ้นมาในโลกนี้ ธรรมเทศนานั้นจึงได้ชื่อว่าปฐมเทศนา คือการเทศนาครั้งแรกของพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นการประกาศให้โลกทราบว่า พระ องค์ทรงมีหลักเกณฑ์ในพระศาสนาของพระองค์นั้นอย่างไร แม้ว่าจะเป็นการเจาะจงเพื่อบุคคลห้าคนนั้น แต่ก็ได้ทรงประกาศหลักทั่วไปสำหรับมนุษย์ทุกคน ซึ่งเราเรียกกันสั้นๆ ว่า หลักอันเกี่ยว กับมัชฌิมาปฏิปทา พระสูตรที่ชื่อว่าธรรมจักกัปปวัตนสูตรนั้น เนื้อหาของเรื่องก็คือมัชฌิมา ปฏิปทา และอริยสัจทั้ง ๔ เริ่มต้นของพระสูตรนี้ได้ตรัสถึงมัชฌิมาปฏิปทา คือข้อปฏิบัติเป็นสายกลาง ไม่เอียงไปทางใดทางหนึ่ง และทรงย้ำว่าเรื่องนี้ เป็นเรื่องที่พระองค์ไม่เคยทรงได้ฟังมาแต่กาลก่อน เป็นการตรัสรู้เฉพาะของพระองค์เอง ทรงยืนยันในข้อนี้ก่อนแล้ว จึงได้ตรัสอริยสัจทั้ง ๔ ประการ ดังที่ท่านทั้งหลายก็ทราบอยู่เป็นอย่างดีแล้วว่า เรื่องความทุกข์ เรื่องเหตุให้เกิดความทุกข์ เรื่องการดับสนิทแห่งความทุกข์ และทางให้ถึงการดับสนิทแห่งความทุกข์นั้น ถ้าเข้าใจพระสูตรนี้ดีจะเห็นได้ว่า ได้ทรงแสดงมัชฌิมาปฏิปทาในฐานะเป็นตัวการปฏิบัติ เป็นตัวศาสนา และได้ทรงแสดงอริยสัจ ๔ ในฐานะเป็นหลักวิชาหรือเป็นหลักทฤษฎี ซึ่งถูกเอาไปกระทำให้เป็นสิ่งที่เรียกกันในบัดนี้ว่าปรัชญา การที่พูดว่าอะไรเป็นอะไรคาบเกี่ยวกันไปนั้น เป็นรูปแบบของปรัชญาอย่างน้อยก็เป็นตรรกวิทยา
เรื่องอริยสัจทั้ง ๔ เรื่องแรกก็ว่าความทุกข์นั้นคืออะไร เรื่องที่สองก็ความทุกข์นั้นมาจากอะไร เรื่องที่สามก็ความทุกข์นี้เพื่อความดับลงไปอย่างไร เพื่อความดับอย่างไร เรื่องที่สี่ก็วิธีที่จะทำให้ถึงความดับนั้น สรุปสั้นๆ ก็คือเรื่องอะไร เรื่องจากอะไร เพื่ออะไร เรื่องโดยวิธีใด ซึ่งอาตมาอยากจะให้ท่านทั้งหลายรับถือไว้ว่า เป็นหลักทางตรรกะในฝ่ายพุทธศาสนาเรา เมื่อจะรู้เรื่องอะไรดีก็ต้องรู้เรื่องทั้ง ๔ นี้ ได้พบหินสลักกวาง ๔ ตัวรวมกันเป็นหัวเดียว ที่ถ้ำอจันตาเลยเอาแบบอย่างมาทำขึ้นที่นี่ กลายเป็นแบบฉบับสำหรับที่โรงปั้นภาพ ได้ทำเป็นวัตถุที่ระลึกแจกคนที่มาเยี่ยมมาเที่ยวเป็นกวาง ๔ ตัวรวมกันเป็นหัวเดียว คืออะไร จากอะไร เพื่ออะไร โดยวิธีใดรวมกันเป็น ๔ คำถาม ผู้ใดรู้เรื่องใดครบทั้ง ๔ คำถาม ก็หมายความว่าผู้นั้นรู้เรื่องนั้นดี ในที่นี้ก็คือรู้เรื่องความทุกข์ดี ว่าความทุกข์คืออะไร ความทุกข์มาจากอะไร ความทุกข์เพื่ออะไร ความทุกข์โดยวิธีใด เป็นการทำให้ผู้สนใจเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง
ครั้นพอมาถึงการปฏิบัติให้สำเร็จประโยชน์ตามนั้น ก็ทรงแสดงมัชฌิมาปฏิปทา ทรงแสดงมัชฌิมาปฏิปทาที่ต้นตอนต้นของพระสูตร และแสดงอริยสัจทั้ง ๔ ถัดมา ตอนจบของอริยสัจก็เป็นการแสดงมัชฌิมาปฏิปทาอีกครั้งหนึ่ง ถ้าเขียนเป็นรูปร่างก็จะมีลักษณะเหมือนกับว่า มีมัชฌิมาปฏิปทาอยู่ข้างต้นและข้างปลาย เป็นการขนาบหัวขนาบท้าย ด้วยเรื่องที่สำคัญที่สุดนี้ คือเรื่องมัชฌิมาปฏิปทา ขอให้ท่านทั้งหลายได้สังเกตดูให้ดี จะได้เข้าใจว่ามัชฌิมาปฏิปทานั้นคืออย่างไร เท่าที่ได้ฟังมานี้ ท่านทั้งหลายพอจะจับใจความสำคัญได้ว่า หัวใจของพระปฐมเทศนานั้น คือเรื่องมัชฌิมาปฏิปทา ทีนี้เราจะได้พิจารณากันถึงความหมายของคำว่ามัชฌิมาปฏิปทาสืบต่อไปตามควร
พระพุทธศาสนามีหลักเป็นมัชฌิมาปฏิปทา มีเงื่อนไขหลายอย่างเช่นว่า จะไม่พูดอะไรโดดเดี่ยวลงไป จะพูดให้เป็นตามเหตุตามปัจจัย หรือตามสายของเหตุของปัจจัยที่มีประชุมแต่งไปอย่างนั้น หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งว่า ไม่พูดสุดโต่งโดยส่วนเดียว ซ้ายสุด ขวาสุด ไม่พูดว่าดี (นาทีที่ 38.49 -38.50 เสียงสะดุด) ไม่พูดว่าเองโดยตนเอง หรือไม่พูดว่าโดยผู้อื่นอย่างนี้เป็นต้น ท่านทั้งหลายเป็นพุทธบริษัท พึงสำเหนียกความข้อนี้ไว้ให้เป็นอย่างดี มิฉะนั้นจะทำอะไรลงไปอย่างผิดพลาด ไม่สมกับความเป็นพุทธบริษัทเลย ยกตัวอย่างให้เห็นง่ายที่กำลังเป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ก็คือ เรื่องตายแล้วเกิด ชอบพูดกันตายแล้วเกิด ก็ไปด่าคนพูดว่าตายแล้วสูญ ที่จริงคนพูดตายแล้วเกิดนั้นก็โง่เท่ากัน มันควรจะถูกด่าเท่ากัน เพราะว่าพุทธศาสนานั้นมิได้พูดว่าตายแล้วเกิดหรือตายแล้วสูญ แต่จะพูดว่ามันแล้วแต่เหตุปัจจัยของสถานการณ์นั้นๆ มันมีอยู่อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นอีกก็พูดถึงข้อที่ไม่มีคน ไม่มีคนเกิดและมีคนตาย แล้วจะไปพูดว่าตายแล้วเกิดหรือตายแล้วสูญได้อย่างไร ถ้าถูกถามว่าตายแล้วเกิดหรือตายแล้วสูญ ก็ตอบว่ามันมีแต่กระแสการปรุงแต่งของเหตุของปัจจัย ไม่มีใครเกิดไม่มีใครตาย ถ้าจะถูกคะยั้นคะยอว่าให้พูดลงไปว่า ตายแล้วเกิดหรือตายแล้วสูญ ก็จะไม่พูดว่าตายแล้วเกิดหรือตายแล้วสูญ แต่จะพูดว่าถ้าปัจจัยยังมีอยู่ มันก็ยังไม่ดับ ถ้าปัจจัยมันหมดแล้วมันก็ดับ จะพูดอย่างนี้ตามกฎเกณฑ์ของอิทัปปัจยตา ซึ่งเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา
เพราะฉะนั้นอย่าเที่ยวด่าใครเขาว่ามันเป็นคนมิจฉาทิฏฐิ พูดว่าตายแล้วสูญ ที่จริงคนที่พูดว่าตายแล้วเกิด มันก็เป็นมิจฉาทิฏฐิเท่ากันโดยประการทั้งปวง เพียงแต่มันเบี่ยงกันไปคนละทางเท่านั้น มันมิใช่มัชฌิมาปฏิปทา ถ้าให้เป็นมัชฌิมาปฏิปทา ก็ไม่มีการพูดว่าตายแล้วเกิด หรือตายแล้วสูญ แต่พูดว่ามันแล้วแต่เหตุแล้วแต่ปัจจัยที่จะให้เป็นไปอย่างไร และเหตุปัจจัยเป็นเพียงแต่กระแสแห่งการปรุงแต่งของธรรมชาติ ไม่ใช่คน ดังนั้นจึงไม่มีใครเกิดและไม่มีใครตาย เรื่องที่จะพูดว่าตายแล้วเกิด หรือตายแล้วสูญก็เป็นอันว่าเลิกพูดกันได้ ขอซ้ำอีกทีหนึ่งว่าท่านทั้งหลายอาจจะไม่เข้าใจความข้อนี้ คือถ้าถูกถามว่าตายแล้วเกิดหรือตายแล้วสูญ ก็บอกว่าไม่มีหน้าที่จะตอบว่าตายแล้วเกิดตายแล้วสูญ เพราะความจริงมีแต่เพียงว่า มีแต่กระแสแห่งเหตุปัจจัยที่ปรุงแต่ง ถ้าเหตุปัจจัยมีมันก็มีต่อไป ถ้าเหตุปัจจัยไม่มีมันก็ดับลง ก็ต้องพูดได้เพียงเท่านี้ พูดอย่างนี้เป็นพุทธบริษัท และรู้ว่านี่แหละคือหัวใจของพุทธศาสนา คือมัชฌิมาปฏิปทา
ความหมายอื่นๆ ก็ทำนองเดียวกัน ไม่ให้พูดว่าทุกข์นี้เป็นเอง หรือทุกข์นี้ใครทำให้ เพราะมันไม่มีคนนี้ หรือไม่มีคนอื่น มันมีแต่ว่ากระแสแห่งการปรุงแต่งของเหตุและปัจจัย เลยไม่ต้องพูดว่าทุกข์นี้มันเกิดเอง หรือทุกข์นี้ใครมาทำให้เกิด ที่ว่าพูดว่าคนนี้กับคนอื่นก็เหมือนกันอีกมันไม่มีคนแล้วจะไปพูดว่าคนนี้หรือคนอื่นได้อย่างไร พูดว่าคนนี้ก็ไม่ใช่มัชฌิมาปฏิปทา พูดว่าคนอื่นก็ไม่ใช่มัชฌิมาปฏิปทา ถ้าพูดเป็นมัชฌิมาปฏิปทาเพราะมันอยู่แต่ตรงกลาง คือว่าเหตุปัจจัยมันกำลังปรุงแต่งกันอยู่อย่างไร มันมีสิ่งนั้นเท่านั้นเอง อย่าได้ไปพูดว่าอันนี้หรืออันอื่น นี้เป็นความ หมายของคำว่ามัชฌิมาปฏิปทา ซึ่งลึกซึ้งยิ่งขึ้นไปอีกจนถึงขั้นที่เรียกเป็นปรมัตถ์ ไม่ต้องพูดถึงก็ได้ พูดถึงในบุคคลธรรมดาสามัญทั่วไปโลกนี้จะเกี่ยวข้องด้วย พูดอย่างนี้จะพูดว่ามัชฌิมาปฏิปทานั้นไม่่ใช่ความตึง ไม่ใช่ความหย่อน แต่เป็นความพอดีคือสิ่งที่เหตุปัจจัยกำลังเป็นไป กฎของมันนั้นเป็นความพอดีถูกต้อง ไปทำให้ตึงทางหนึ่งก็ไม่ใช่มัชฌิมาปฏิปทา ให้หย่อนไปทางหนึ่งก็ไม่ใช่มัชฌิมาปฏิปทา
ดังนั้นในธรรมจักกัปปวัตนสูตรนั้น พระองค์จึงทรงแสดงกามสุขัลลิกานุโยคว่าเป็นไปในทางหย่อน ทรงแสดงอัตตกิลมถานุโยคว่าเป็นไปในทางตึง กามสุขัลลิกานุโยคคือหมกจมอยู่ในกาม อัตตกิลมถานุโยคนั้นคือทำตนให้ลำบาก ด้วยคิดว่าความลำบากนั้นจะทำให้กิเลสสิ้นไป นี่ก็เป็นเรื่องตึง ในที่แห่งอื่นได้ตรัสกามสุขัลลิกานุโยคว่า อาคาฬหปฏิปทาก็มี คือมันเปียกแฉะ และเรียกอัตตกิลมถานุโยคว่า นิชฌามปฏิปทาคือมันไหม้เกรียม เปียกแฉะก็ใช้ไม่ได้ ไหม้เกรียมก็ใช้ไม่ได้ ต้องพอดี ต้องมีการปฏิบัติที่พอดีจึงจะเรียกว่ามัชฌิมาปฏิปทา ขอให้ท่านทั้งหลายเข้าใจไว้อย่างนี้
ทีนี้ก็จะได้ขอให้ท่านทั้งหลายตั้งข้อสังเกตดูให้ดีว่า เรื่องนี้มันสำคัญอะไรนักหนา ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้เอามาตรัสเป็นเรื่องสำคัญในสูตร สูตรแรกที่กล่าวแก่ผู้ฟัง หรือเรียกว่าเป็นการประกาศแก่โลกเป็นเรื่องแรก และทรงย้ำอยู่ตลอดไปทั่วไปทั้งพระไตรปิฎกในเรื่องมัชฌิมาปฏิปทา และถือเอาสิ่งนี้เป็นตัวพระศาสนา หรือเป็นหัวใจของพระศาสนา คือว่ามีแต่กระแสหรือเกลียวแห่งการปรุงแต่งของเหตุของปัจจัยเท่านั้น ไม่มีนั่น ไม่มีนี่ ไม่มีเอง ไม่มีอื่น ไม่มีตึง ไม่มีหย่อนอะไรไปทั้งหมด ข้อนี้ถ้าเราจะใช้สติปัญญาพิจารณาดู ก็พอจะเห็นความสำคัญของเรื่องนี้ได้ ว่าทำไมพระองค์จึงทรงยกขึ้นเป็นเรื่องสำคัญ ที่ทุกคนจะสังเกตเห็นได้ง่ายๆ ด้วยตน เองก็คือว่า มันตึงไปมันก็ไม่สำเร็จประโยชน์ หย่อนไปมันก็ไม่สำเร็จประโยชน์ต้องการที่พอดี ฉะนั้นพุทธศาสนาคือศาสนาแห่งความพอดี พูดแล้วมันก็น่าขัน ที่ฟังดูแล้วมันง่ายเกินไป แต่จริงมันไม่ง่ายในการทำให้พอดี การที่จะพอดีพูดได้ง่ายๆ แต่พอจะทำให้มันพอดีก็กลายเป็นของยาก เดี๋ยวนี้โลกกำลังบ้าจัด กำลังจะพินาศอยู่รอมร่อเพราะไม่รู้จักทำให้มันพอดี
อาตมาหมายความว่าในโลกนี้ กำลังมีการรบราฆ่าฟันกัน และมีผลสะท้อนออกไปมาก มายหลายแขนง จนเดือดร้อนไปทั่วทุกหัวระแหงนั้น ก็เพราะว่ามันไม่รู้จักทำให้พอดี ถ้าจะถามว่าโลกนี้เอียงไปทางไหนที่มีสติปัญญาอยู่บ้าง อยู่บ้างเท่านั้นแหละ จะตอบได้ทุกคนว่ามันเอียงไปทางกามสุขัลลิกานุโยค คนทั้งหลายทั้งโลกมันกำลังเอียงไปในทางกามสุขัลลิกานุโยค คือจะให้อิ่มเอิบกามารมณ์ทั้งนั้น ไม่มีใครเอียงทางอัตตกิลมถานุโยค คือทรมานตนให้ลำบาก กลับหลีกเลี่ยงเสียไกล ลำบากหน่อยก็ไม่เอาถ้าว่าเป็นอัตตกิลมถานุโยค แต่ทีกามสุขัลลิกานุโยคนั้นจมลงไปมิดตัวเลย จะเปียกจะแฉะจะเป็นโคลนเป็นเลนตม มันก็หมักจมลงไปหัวมิดเลย มันไม่เห็นว่าน่ารังเกียจน่าถอยหลัง จึงเป็นว่าโลกนี้มันกำลังเอียงไปในทางกามสุขัลลิกานุโยค ต่างคนต่างก็เมาในกาม ในกามคุณในกามารมณ์ แล้วมันก็เห็นแก่ตัว
ขอให้จำไว้ด้วยว่ากิเลสเพิ่งเกิดเมื่อคนมัวเมาในกามารมณ์ มัวเมาในรสอร่อยของเวทนา จึงจะได้เกิดตัณหาอุปาทานและเป็นทุกข์ ก่อนหน้าอุปาทานไม่เกิด เช่นเด็กอยู่ในท้อง ตัณหาอุปาทานไม่เกิด เด็กนั้นต้องคลอดออกมา เด็กนั้นต้องโตพอที่จะรู้สึกเอร็ดอร่อยของอารมณ์ จึงจะเกิดตัณหาคือความอยากด้วยความโง่ และเกิดอุปาทานความยึดมั่นถือมั่น โดยความเป็นตัวกูของกูอย่างนี้ นี่เป็นสิ่งที่จะต้องเข้าใจไว้ให้ดี ว่าถ้ามีความเอียงไปในทางกามารมณ์เมื่อไหร่ กิเลสจะเกิด ขึ้นเมื่อนั้น ซึ่งเป็นเหตุให้เห็นแก่สิ่งนั้น ซึ่งเรียกว่าเห็นแก่ตัว ทุกคนก็จะเห็นแก่ความสุขของตัว ที่จริงก็มิใช่ความสุขอะไร นอกจากเป็นความเอร็ดอร่อยทางอารมณ์เท่านั้น แต่เขาก็เรียกกันว่าความ สุข เพราะชาวโลกเขาเรียกกันอย่างนั้น มันเป็นภาษาของคนบ้า คนโง่ เป็นภาษาของคนธรรมดาที่ไม่รู้ธรรมะเสียเลย จึงได้เรียกรสอร่อยของกามารมณ์ว่าเป็นความสุข และหนังสือหนังหาตำรับ ตำราที่เขียนกันชั้นหลังๆ นี้ ก็ยอมรับความหมายอย่างนี้ว่า ความสุขทางกามารมณ์ ความสุขก็ตรง กันข้ามกับความสุขอันแท้จริงคือพระนิพพาน ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับกามารมณ์เลย ไม่เกี่ยวข้องกับเวทนา ไม่เกี่ยวข้องกับความยึดมั่นถือมั่นเลย
อาตมาชอบพูดให้จำง่ายๆ ลืมยากว่า สุก ก สะกด กับ สุข ข สะกด สุกกามารมณ์นั้นเป็นเรื่องตัว ก สะกด มันสุกเพราะร้อน เพราะเผาให้สุก เพราะจี่ให้สุก เพราะต้มให้สุกนั้น สุก ก สะกด ก็คือเรื่องของกามารมณ์ ส่วนความสุข ข สะกดนั้น เก็บไว้สำหรับเป็นความสุขเยือกเย็น ไม่เกี่ยวกับกามารมณ์ คือไม่เกี่ยวกับกิเลส ถ้าเกี่ยวกับกิเลสเป็นสุก ก สะกด ถ้าไม่เกี่ยวกับกิเลส เป็นสุข ข สะกดนี้เป็นความสุขที่แท้จริง ในชั้นนี้ขอให้สังเกตให้เห็นว่า ก สะกดนั้น มาจากกามารมณ์ ทีนี้เมื่อโลกนี่หลงใหลแต่ในเรื่องกามารมณ์แล้ว มันจะเป็นโลกที่เย็นไปได้อย่างไร
จะตะโกนจัดให้โลกนี้มีสันติภาพ มีความเย็นแต่ความจริงจัดไปในทางส่งเสริมกิเลส ส่งเสริมกามารมณ์บ้าง ส่งเสริมการยึดมั่นตัวกูของกูบ้าง โลกนี้มันร้อนเป็นไฟ และร้อนเป็นไฟยิ่งขึ้นทุกที ทำไมจึงพูดว่ายิ่งขึ้นทุกที นี่ก็เพราะว่า นาทีที่ 49.52 เสียงสะดุด กามารมณ์เขาประดิดประดอยให้มันยิ่งขึ้นทุกที ให้มันมีรสชาดที่มีความหมายเป็นพิเศษยิ่งขึ้นทุกที นี่มันก็ยิ่งขึ้นทุกทีในการมีรสชาด ทีนี้ตัวกูของกูไม่ยอมใคร ถือมึงถือกูนี้มากยิ่งขึ้นไปทุกทีด้วยเหมือนกัน โลกนี้จึงเป็นโลกที่ร้อนระอุยิ่งขึ้นทุกที ขอให้ท่านทั้งหลายสังเกตดูให้ดีว่า เรื่องคนไม่พอดีนั่นแหละกำลังทำโลกให้ฉิบหายอยู่ทุกวันๆ ถ้าโลกมีความพอดีคือมัชฌิมาปฏิปทาแล้ว ไม่บูชากามารมณ์กันเหมือนอย่างเดี๋ยวนี้แล้ว มันไม่เป็นอย่างนื้ เพราะว่ามันไม่มีกิเลสที่เป็นเหตุให้เห็นแก่ตัวจัด และไม่มีกิเลสชนิดที่หลงใหลกามารมณ์ มันก็ไม่แย่งชิงกามารมณ์ มันจึงไม่มีการรบราฆ่าฟันกัน
ท่านทั้งหลายสังเกตดูให้ดี แม้ที่สุดแต่ข่าวคราวทั้งหลายที่เราอ่านเอาได้จากหนังสือข่าว เห็นเรื่องลามกอนาจารทั้งหลายหนาแน่นยิ่งขึ้นทุกที ล้วนแต่มีมูลมาจากกามารมณ์ทั้งนั้น แต่คนทั่ว ไปก็ยังไม่มองมันในเรื่องกามารมณ์ ไปมองในเรื่องเศรษฐกิจเสีย แล้วเมื่อไหร่มันจะแก้ไขกันได้ เพราะมันหลับตามันไม่มองเห็นตัวเหตุอันแท้จริง ว่ามันมาจากกามารมณ์ ถ้ามองเห็นว่ามันมาจากกามารมณ์ มันก็เห็นได้ว่าเป็นการเอียงซ้ายไปแล้ว คือเรียกว่ากามสุขัลลิกานุโยค นี่ภาษาธรรมะเราเรียกว่าเอียงซ้าย ถ้าไปทางอัตตกิลมถานุโยคนี้เราเรียกว่าเอียงขวา เดี๋ยวนี้มันเอียงซ้ายไปในทางเปียกแฉะ ในโคลน ในเลน ในตม คือกามารมณ์นั้น จนเรียกว่ากามารมณ์ครองโลก คนในโลกทุกคนบูชากามารมณ์ จึงได้แข่งขันกันในการที่จะกอบโกยกามารมณ์
ปัญหานายทุนกับกรรมกรก็มาจากกามารมณ์ ปัญหาที่มันจะรบกันทั้งโลก ระหว่างซีกโลกกับซีกโลกมันก็มาจากปัญหานี้ คือปัญหาทางกามารมณ์ เพื่อจะได้สิ่งที่ยั่วยวนกามารมณ์ไว้ในยึดครองของตนให้มากที่สุด แต่เขาก็เรียกว่าปัจจัยอย่างอื่น หรือกลายเป็นเรียกว่าปัจจัยแห่งสันติ ภาพไปเสียก็มี มันเป็นเรื่องโกหกตัวเองยิ่งกว่าโกหก ในโลกนี้มันอยู่กันด้วยการโกหก แล้วมันจะพูดจากันรู้เรื่องได้อย่างไร มันก็ปรองดองกันไม่ได้ ในการที่จะหยุดเสียซึ่งการเอียงไปหากามสุขัลลิกานุโยค ไม่มีนักการเมืองหรือลัทธินิกายไหนมองเห็นโทษของกามารมณ์ แล้วชวนกันยับยั้งไอ้ความหลงใหลในกามารมณ์นั้นเสีย ในสหประชาชาติเขาพูดกันแต่เรื่องประโยชน์ของประเทศของเขา แต่ละประเทศๆ เขาไม่มาพูดกันเรื่องว่า เราจะลดกามารมณ์ของโลกลงเสีย เพื่อโลกจะได้เป็นอิสระจากกิเลสอย่างนี้มันไม่มี ดังนั้นโลกนี้มันจึงไม่เป็นไปเพื่อสันติภาพ ทุกคนพูดว่าจะจัดเพื่อสันติภาพแล้วมันก็ไม่จริง มันจัดเพื่อประโยชน์ของตัวเอง เพื่อจะให้ได้สิ่งที่ตัวต้องการ แล้วมันก็ไม่พ้นไปจากเรื่องของกามารมณ์ นี่แหละความสำคัญของคำว่าพอดี คือมัชฌิมาปฏิปทา ถ้าโลกนี้จะมีมัชฌิมาปฏิปทาคือความพอดีได้ ไม่ตกเป็นทาสของกามารมณ์แล้ว โลกนี้ก็จะเป็นไปในทางที่มีสันติสุข สันติภาพ
นี่เราไม่ต้องพูดถึงเรื่องอัตตกิลมถานุโยค เพราะว่าไม่มีใครชอบ ไม่มีใครดันทุรังไปใน ทางนั้น ไม่มีใครแข่งขันกันเพื่อจะทรมานตนให้ลำบากก็ไม่ต้องพูดถึง มาพูดถึงเรื่องที่โลกนี้กำลังลุ่มหลงมัวเมา คือเรื่องกามสุขัลลิกานุโยค ทีนี้อาตมาก็จะชี้ให้เห็นข้อปฏิบัติเกี่ยวกับกามสุขัลลิกานุโยคที่มันมีอยู่จริง ก็อยากจะเรียกว่ากามสุขัลลิกานุโยคเอียงซ้ายสุดนั้น มันเป็นส่วนเกิน มันไม่อยู่พอดีที่ตรงกลาง มันเกินไปในทางหย่อน มันหย่อนจนเกินคล้อยไปตามทางของกามารมณ์ ตามความรู้สึกของกามารมณ์ เราจึงได้ประดิดประดอยนั่นนี่ขึ้นทุกอย่างทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ ให้เป็นไปเพื่อกามารมณ์ เรื่องอาหารการกินก็ดี ให้มันเอร็ดอร่อยสุดเหวี่ยง เครื่องแต่งเนื้อแต่งตัวก็ดี ให้มันอร่อยแก่จิตใจสุดเหวี่ยง เรื่องที่อยู่อาศัยเครื่องไม้ใช้สอยในบ้านในเรือนก็ดี ให้มันอร่อยสุด เหวี่ยง แม้แต่เรื่องยาแก้โรคก็เหมือนกัน มันจะทำให้อร่อยสุดเหวี่ยงเหมือนกับอาหาร ของกินเล่นไปเสียแล้วก็มี นี้เรียกว่ามันหลงใหลในความอร่อยกันสุดเหวี่ยง ก็เรียกว่าเกิน เกินยิ่งกว่าเกิน มันเกินยิ่งกว่าเกิน จนไม่รู้จะเรียกว่าอะไรดี ปู่ย่าตายายของเราไม่เคยอยู่ด้วยส่วนเกินอย่างนี้ ปู่ย่าตายายของเราไม่ได้กินเกินเหมือนคนลูกหลานสมัยนี้ ปู่ย่าตายายของเราไม่เคยแต่งเนื้อแต่งตัวเกินเหมือนลูกหลานสมัยนี้ ปู่ยาตายายของเราไม่ได้อยู่บ้านเรือนและเครื่องใช้ไม้สอย ที่มันเกินมากมายเหมือนลูกหลานสมัยนี้ ปู่ย่าตายายของเราไม่ได้มียาที่กินอร่อยๆ เหมือนสมัยนี้ มีแต่ยาขมและเหม็น กลืนจะลงไปสักทีก็ทั้งยาก เพราะว่าเขาไม่มีอะไรเกิน เดี๋ยวนี้เรามันมีอะไรเกิน เกินกันทั้งโลก คนโง่ก็เอาตามอย่างคนมีปัญญา ที่จะหลอกลวงเอาประโยชน์ เขาประดิษฐ์สิ่งของเหล่านี้ขึ้น มาขาย ไอ้เราก็ก้มหัวลงซื้อหามาใช้ มาประดับประดาตกแต่ง กินทาสูบดม ไปตามเรื่องจนเต็มไปด้วยเรื่องเกิน
นี่พูดอย่างนี้เพื่อประโยชน์แก่อาสฬหบูชา ซึ่งเราจะบูชาพระธรรมเทศนาธรรมจักกัปป วัตนสูตรซึ่งไม่มีส่วนเกิน เดี๋ยวนี้เมื่ิอเราทุกคนมันอยู่ด้วยส่วนเกิน แล้วจะไปทำอาสหฬหบูชา มีอาการเหมือนกับลิงหลอกเจ้าได้อย่างไร อาตมาด่าทั้งหลายหรือไม่ ก็ลองพิจารณาดูว่าเมื่ออาสฬหบูชาเป็นที่ระลึกแก่ธรรมจักกัปปวัตนสูตร หรือมัชฌิมาปฏิปทาที่ไม่มีส่วนเกิน ทีนี้เราทุกคนเต็มไปด้วยส่วนเกินเอียงซ้ายทางกามารมณ์ แล้วว่าจะทำอาสฬหบูชากันนี้ มันเป็นเรื่องลิงหลอกเจ้าหรือหาไม่ ขอให้คิดดูให้ดีเถิด ถ้าอย่างไรวันอื่นคราวอื่นก็เว้นเสีย แต่วันนี้จะไม่เล่นตลกเล่นละครอย่างนี้ ทำจิตใจกันเสียใหม่ สารภาพความผิดกันเสียใหม่ อะไรที่เกินๆ นั้น ผิดไปแล้วขอสารภาพว่ามันเกินแล้ว ต่อไปนี้จะไม่ให้เกิน
เอ้า, ทีนี้อะไรมันเกินบ้างก็จะพูดอย่างๆ ไป เกินอย่างแรกก็เรื่องแต่งเนื้อแต่งตัว จะต้องใส่ผ้าอย่างนี้จนจะเป็นการประกวดแบบเสื้อกันเสียแล้ว คนหนึ่งมีเสื้อแบบนึ่งสีอย่างหนึ่ง คนหนึ่งก็อย่างหนึ่ง คล้ายกับว่ามานี่จะมาประกวดแบบเสื้อเสียแล้ว นี่เกินหรือไม่เกินลองคิดดู เราไม่หลง ใหลเรื่องสวยๆ งามๆ ของเสื้อแสงนี้ ไปใช้ผ้าธรรมดา สีธรรมดาซึ่งตกได้ ซึ่งมันทนทานสีเดียวกันหมด ไม่ต้องมาอวดแบบเสื้อกันอย่างนี้ นี่เรียกว่ามันไม่เกิน มันไม่เกินในส่วนเรื่องแต่งเนื้อแต่งตัว ขอฝากความอันนี้ไว้ว่าไปรีบแก้ไขความเกินในเรื่องเครื่องนุ่งห่ม เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าในศีลอุโบสถข้อที่ว่า นัจจะคีตะ วาทิตะ วิสูกทัสสนะ มาลา คันธะ วิเลปนะ ธารณมัณฑนะ วิภูสนะ นั่นเอง ถ้าคนถือศีลอุโบสถ จะแต่งเนื้อแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าที่สวยงามก็ไม่ได้ แล้วก็ต้องไม่เกินอย่างอื่นด้วย คือเกินด้วยรูปทาของหอม เกินด้วยเรื่องฟ้อนรำขับร้องประโคมประเล้าประโลมใจ ใจมันอยู่ดีๆ ทำให้มันบ้า มันอยู่สุขๆ ของมัน ก็ไปส่งเสริมให้เป็นจิตใจที่บ้า ลุกขึ้นเต้นรำหยองๆ แหยงๆ เหมือนกับลิงอย่างนี้ก็ยังทำได้ นี่เรียกว่าเป็นส่วนเกินในข้ออุโบสถศีลที่ว่า นัจจะคีตะ วาทิตะ วิสูกทัสสนะ
ขอโอกาสพูดสักหน่อยว่า เมื่อตะกี้นี้ไม่ได้รับศีลอุโบสถกันทุกคน ยังมีคนเห็นแก่ตัวไม่กล้ารับศีลอุโบสถ แม้ในวันที่เป็นวันบูชาพระพุทธเจ้าอย่างนี้ ก็ยังไม่เสียสละพอที่จะรับศีลอุโบสถ เพราะว่ามันแต่งตัวมาเกิน มันรับศีลอุโบสถไม่ลง เพราะเสื้อผ้ามันสวยงามหรือว่ามันทาน้ำหอมน้ำอะไรมาด้วย มันเลยรับศีลอุโบสถไม่ลง บางคนก็เห็นแก่ตัวกลัวด้วยความโง่เขลาว่า อดข้าวสักมื้อหนึ่งก็จะเป็นลม เรื่องนี้ไม่จริง อาตมาเคยอดทั้งวันๆ ไม่เคยเห็นเป็นลม ก็ยังสบายพูดได้มาก วันนี้ก็ฉันอาหารนิดเดียวจึงมาพูดมากอย่างนี้ ฉะนั้นอย่ากลัวว่ากินอาหารน้อยแล้วมันก็จะเป็นลม เอาละเรื่องแต่งเนื้อแต่งตัวมันเกินแล้ว ก็ขอให้สารภาพด้วยว่ามันเกิน ต่อไปก็อย่าให้มันเกินเลย ใช้เสื้อ ผ้าธรรมดา สีธรรมดาหนาๆ ทนๆ สีเดียวกันทั้งหมดก็ไม่เป็นไร ไม่ต้องมีลวดลายเป็นดอกเป็นดวง ซึ่งเขาจะต้องคิดค่าทำดอกทำดวงให้มันแพง ยิ่งเป็นถักปักร้อยด้วยแล้วก็ยิ่งแพงมากขึ้นไปอีก เราเอาความหลอกลวงนี้มาสวมใส่เข้าแก่ตัว ก็ได้เป็นเหยื่อของคนที่ออกแบบเสื้อ หรือออกแบบผ้าให้มันสวยแปลกๆ ไม่รู้จักสิ้นสุด ขอให้จำไว้อย่างหนึ่งว่า แต่งเนื้อแต่งตัวเสื้อผ้านี้อย่าให้มันเกินเลย จะได้เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า
ทีนี้เรื่องกิน คืออาหารก็อย่าให้มันเกินเลย เวลาที่ไม่ควรจะกินก็อย่ากินเลย บ่ายแล้ว เย็นแล้วอย่ากินเลย อย่าซื้อไปไว้กินข้างที่นอนเลย มันก็เป็นเรื่องเวลา ทีนี้ก็ว่ามันแพง ไอ้ของแพงนั้นมันเป็นเรื่องเกิน ไม่ต้องกินของแพง คนกินของแพงมันเป็นคนโง่ เดี๋ยวนี้เขาอวดโง่กันกินอาหารวันละมื้อ มื้อหนึ่งตั้งหมื่นบาทก็มี นั่นมันโง่เกินกว่าที่จะโง่จนไม่รู้ใช้คำว่าอะไรดี มันบรมโง่เกินกว่าบรมโง่ มันจึงกินอาหารมื้อหนึ่งตั้งหมื่นบาท นี่อย่าไปเอาอย่างเลย อาหารที่บำรุงร่าง กายได้พอดีๆ นั่นแหละ ควรที่จะศึกษาให้เข้าใจไว้ แล้วใช้แต่อย่างนั้นมันก็จะไม่มีความทุกข์ ของที่มันเกินนั้นทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บด้วย และทำให้เกิดกิเลสด้วย แปลว่าให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บทางกาย และทั้งทางจิต ไอ้ที่คนบูชากันนักแล้วเป็นของหลอกลวงที่สุดเป็นอันตรายร้ายกาจนั้น อาตมาเคยบอกหลายคนแล้ว หลายสิบคนแล้วว่าไอ้น้ำจิ้มถ้วยเล็กๆ นั่นแหละระวังให้ดี นั่นแหละอันตรายที่สุด น้ำส้ม น้ำปลา น้ำอะไรก็ไม่รู้เรียกไม่ถูก บางทีมีตั้งสิบกว่าอย่าง ไอ้น้ำจิ้มถ้วยเล็กๆ หลอกคนโง่ให้กินเกินจำเป็น ไม่มีน้ำจิ้มอย่างนั้นคนก็จะไม่กินส่วนเกินเพราะมันกินไม่ไหว อย่างเอาเนื้อย่างมากิน พออิ่มแล้วมันก็หยุด แต่ถ้าเอาน้ำจิ้มมาจิ้มเข้าอีก มันก็กินเกินกว่าที่จะหยุด น้ำจิ้มนานาชนิดมันทำให้กินเกินกว่าที่ควรจะกิน
ฉะนั้นต่อไปนี้ประกาศสงครามเป็นศัตรูกันกับน้ำจิ้มถ้วยเล็กๆ นั้นกันเสียที จะเป็นน้ำปลาก็ดี น้ำซีอิ้วก็ดี ถ้าอย่าใช้ได้เลยก็จะดีที่สุด จะเป็นลูกพระพุทธเจ้ามากยิ่งขึ้นไปอีก เพราะว่าไม่กินเกิน ทีนี้มันยังมีเกินอย่างอื่นอีกอย่างว่าน้ำอัดลม พิจารณาดูเองถ้ามันเกินก็หยุดเสียเถอะ มันทำให้เปลืองโดยไม่จำเป็น แล้วมันยังเป็นอันตรายโดยเฉพาะผู้ที่อ้วน กินน้ำอัดลมมีน้ำตาลมากแล้วมันก็อ้วน นี้มันไม่ให้ประโยชน์มันกลับให้โทษ แต่มันไม่ให้โทษมากเท่ากับทางจิตใจที่เราไปเป็นเหยื่อของความอร่อย เกิดความโลภ เกิดความหลงใหลในความเอร็ดอร่อย ทีนี้พอหลงแล้วมันก็หลงต่อไปอีก เช่นไปเอาเหล้ามากิน ใครที่กินเหล้าก็ไปนึกเสียใหม่ว่า ไอ้เหล้านี่มันเกินหรือไม่เกิน อยู่ดีๆ ทำให้มันบ้าเพราะกินเหล้าเข้าไปนี่มันเกินหรือไม่เกิน ถ้าเหล้ามันเกินก็เลิกกินเหล้าเสียเถอะ จะได้ไม่เกินมันจะได้กินเท่าที่ควรจะกิน อาหารธรรมดาไม่ต้องกินเหล้า เขาว่ากินเหล้าเพื่อ ให้กินข้าวอร่อยมันก็ยิ่งบ้ามากขึ้นไปอีก เพราะมันทำให้กินส่วนเกินด้วยเหมือนกัน
ทีนี้อยากจะให้ดูมาถึงบุหรี่ ว่าบุหรี่นี้เป็นส่วนเกินหรือไม่เกิน ถ้าเกินก็เลิกเถอะ ใครสูบบุหรี่อยู่ก็ไปคิดดูให้ดีว่าเรื่องมันเกินหรือไม่เกิน ไอ้เกินหรือไม่เกินนี้มันจะตั้งอัตราอย่างนี้ว่า ถ้าไม่กินแล้วตายจึงจะเรียกไม่เกิน ถ้าไม่กินแล้วอยู่ได้สบายดี ไม่เปลืองเงินเปลืองทองอย่างนี้เขาเรียกว่า ไปกินเข้ามันเกิน คนที่สูบบุหรี่จะเป็นยาเส้น ยามวนหรือยาชนิดไหนก็ตาม ไปพิจารณาดูเสียใหม่ถ้ามันเกินแล้วก็เลิก กินหมากก็เหมือนกัน ถ้าไม่กินแล้วไม่ตาย ควรจะเลิกได้เพราะว่ามันเกิน ถ้าทำลำบากมันทำให้สกปรกเสื้อผ้า เวลามันหลายๆ อย่างมารวมกันเข้าที่เรียกว่า ของกิน ของสูบ ของทาที่มันเป็นส่วนเกิน
ทีนี้ก็ดูถึงไอ้ส่วนที่สามคือบ้านเรือน เครื่องใช้ไม้สอย ที่อยู่ที่อาศัย โดยเฉพาะเครื่องเรือน ไปดูว่าอะไรมันเกิน ไปดูที่บ้านตัวเองว่ามีอะไรเกิน ถ้าเราเห็นอันนี้เกิน ไม่มีก็ได้ ไม่มีก็ไม่ตาย ไม่มีสบายกว่าหรือไปขายซะ ไม่ต้องเอาทิ้งก็ได้ เอาขายเสียยังมีของเกินในบ้านในเรือน บ้านเรือนบางบ้านรุงรังไปด้วยของเกินเหมือนกับเรือนของคนบ้า ไปดูสิว่าบ้านเรือนบางบ้านมันเต็มไปด้วยของเกิน คือไม่จำเป็นเต็มไปหมด เหมือนกับบ้านเรือนของคนบ้า นี่เครื่องเรือนอย่างนี้ก็อย่าเลย ก็ต้องดูฐานะของตัวบ้าง มันควรจะมีเครื่องเรือนชนิดนั้นหรือไม่ เดี๋ยวนี้ได้ยินว่าไปผ่อนส่งทีวีกันมาหลายคนแล้ว เงินมันไม่มีต้องใช้ระบบผ่อนส่ง แล้วมันก็เดือดร้อนทีหลัง ไอ้ทีวีนั้นมันเกินหรือไม่เกิน ถ้าเกินเอาไปคืนเสีย บางคนก็ไปผ่อนส่งตู้เย็นมา ผ่อนส่งนั่นนี่มา แล้วคนที่มีเงินมากก็ผ่อนมากขึ้น เป็นราคาแสน ราคาล้าน เขาเปลี่ยนรถยนต์ เขาเปลี่ยนบ้าน เขาเปลี่ยนอะไรต่างๆ ล้วนแต่ว่ามันเป็นเรื่องเกิน เป็นความโง่ ความหลง ผิดต่อหลักมัชฌิมาปฏิปทา ซึ่งเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา
ทีนี้เหลือไอ้เรื่องหยูกเรื่องยานี้ อาตมาจะไม่พูด แม้ว่ายามันจะกินอร่อยบ้าง สมัยนี้ก็ไม่เป็นไร เพราะว่าไม่มีใครชอบกินยา ไม่ต้องกลัวเกิน แต่ที่ว่ามันไม่ยาแล้วมาทำว่าาเป็นยา มันยังจะต้องคิดกันเสียใหม่ บางคนว่ากินเหล้าเป็นยา บางคนว่าสูบบุหรี่เป็นยา บางคนว่ากินหมากเป็นยา นี่ถ้าว่าไม่คดโกงต่อตัวเองแล้วก็ไปคิดดูเสียใหม่ ควรจะเลิกละไอ้สิ่งเหล่านี้เสีย มันจะได้มาอยู่ที่พอดี คือไม่เกิน
วันนี้เป็นวันอุโบสถ ควรจะรักษาอุโบสถ ศีลอุโบสถของพุทธเจ้านั้น คือศีลที่ทำให้ไม่เกิน ศีลห้ารู้จักกันแล้ว ศีลอุโบสถเพิ่มอีกสามเป็นแปด ศีลข้อที่หกนั้นไม่กินอาหารในเวลาวิกาล นี้ขอเรียกว่าไม่กินอาหารส่วนเกิน ดังได้กล่าวมาแล้วเมื่อกี้นี้ ศีลอุโบสถข้อเจ็ด นัจจะคีตะ วาทิตะ วิสูกทัสสนะ มาลา คันธะ วิเลปนะ ธารณมัณฑนะ วิภูสนะ นี้เรื่องเกิน ฟ้อนรำเป็นเรื่องเกิน เป็นอาการของคนบ้า คีตะขับร้อง ร้องเพลงเพื่อยั่วยุจิตใจให้มันลุ่มหลงไปในเรื่องของสิ่งยั่วๆ อย่างนั้น วาทิตะประโคมดนตรีดีดสีตีเป่า วิสูกะการละเล่นที่เป็นข้าศึกต่อความสงบ มาลาก็เปรียบดอกไม้ที่มาประดับประดา คันธะคือของหอม วิเลปนะเครื่องลูบทา เช่นสบู่หอม คันธะเช่นน้ำหอม มัณฑนะ วิภูสนะเครื่องประดับประดาตกแต่ง มันไม่จำเป็น ทั้งหมดนี้ผู้ถือศีลอุโบสถเขาเว้น เว้นนี่เว้นตามพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ในฐานะเป็นของที่ควรเว้น เว้นแล้วก็เป็นการอยู่อุโบสถ อยู่อุโบสถนั้นหมายความว่า ไปอยู่ในชีวิตที่สงบเย็นให้มันถูกต้อง ไม่ใช่ชีวิตที่บ้าๆ บอๆ ที่ไปหลงด้วยนัจจะคีตะ วาทิตะเหล่านั้น
ทีนี้ศีลข้อที่แปดห้ามอุจจาสยน มหาสยนา ที่นั่งที่นอนอันสูงใหญ่ หมายถึงเครื่องไม้ใช้สอยทุกชนิดในบ้านในเรื่อน เครื่องเรือนทุกชนิดที่เกินความจำเป็น เป็นไปเพื่อสวยงาม เป็นไปเพื่อส่งเสริมกิเลสตัณหาแล้วก็ต้องเว้น ทีนี้ศีลข้อที่สามของศีลห้าเปลี่ยนเป็นอพรัหม หมายความว่าในระยะเจ็ดวันนั้น ให้มันมีส่วนเกินของกามารมณ์เว้นเสีย เว้นการกระทำทางเพศ เว้นการกระทำของคนที่อยู่กันเป็นคู่เสียบางวัน ในเจ็ดวันเว้นเสียวันหนึ่ง สองวันบ้าง สามวันบ้าง ให้ถือว่ามันเป็นส่วนเกิน อย่าไปแตะต้องมันเลย นี่รวมกันแล้วเรียกว่าอุโบสถศีล
ฉะนั้นเมื่อจะบูชาพระพุทธเจ้าในวันนี้ ในวันอาสฬหบูชา ซึ่งทรงแสดงธรรมเรื่องมัชฌิมาปฏิปทา ไม่มีอะไรขาดไม่มีอะไรเกินนี้ ควรจะรักษาอุโบสถกันให้เต็มที่ ถ้าจะเป็นลมตายเพราะหิวข้าวก็ให้มันรู้ไปเสียที อย่าเอาเป็นเรื่องแก้ตัวแล้วก็ทำ ขอให้ลองทำ ให้รักษาอุโบสถศีลคืนหนึ่งวันหนึ่งในบัดนี้ เป็นการตามรอยพระอรหันต์ ตามบทของปัจจเวกขณ์อุโบสถว่าเป็นการตามรอยพระอรหันต์ พระพุทธเจ้าท่านเป็นจอมพระอรหันต์ พระอรหันต์ทั้งหลายก็ประพฤติอย่างเดียวกันกับพระพุทธเจ้า เดี๋ยวนี้เราก็จะประพฤติตามรอยพระพุทธเจ้า คือไม่เอาส่วนเกิน ถ้าหากการเอาส่วนเกินไม่เป็นเรื่องสำคัญแล้ว พระพุทธเจ้าก็จะไม่ตรัสเรื่องมัชฌิมาปฏิปทา และจะไม่ตรัสในเรื่องแรก สูตรแรกของการตรัสพระพุทธศาสนา จึงหวังว่าท่านทั้งหลายจะนำเรื่องนี้ไปคิด พิจารณาดูให้ดีว่าอะไรเกินแล้วเว้นเสีย อะไรเกินแล้วเว้นเสีย
เมื่อท่านเว้นส่วนเกินแล้ว จะมีอานิสงส์มากมายหลายประการ อานิสงส์ข้อที่หนึ่งเศรษฐกิจจะดี แต่นี่เราเสียเงินเพราะส่วนเกินนี้มาก ยิ่งคนกินเหล้าสูบบุหรี่ด้วยแล้ว ยิ่งเสียเงินมาก ยิ่งคนชอบเต้นรำ ชอบกามารมณ์ ชอบสถานเริงรมย์ต่างๆ แล้วมันเสียเงินมาก ข้าราชการผู้น้อยเงินเดือนไม่พอใช้ก็เพราะเหตุนี้ ข้าราชการชั้นผู้น้อยลองเว้นเพียงเหล้า เพียงบุหรี่ เพียงน้ำอัดลม เพียงไอ้ฟ้อนรำขับร้องเหล่านี้เสีย เงินเดือนจะพอใช้ขึ้นมาทันที ถึงจะไม่ใช่ข้าราชการก็เถอะ ถ้าเว้นส่วนเกินเสียแล้วเศรษฐกิจในบ้านนั้น ในครอบครัวนั้นก็จะดี ผัวเมียไม่ต้องทะเลาะกันบ่อยนักเพราะเศรษฐกิจไม่ดี นี้เรียกว่าดีในส่วนเศรษฐกิจเป็นข้อที่หนึ่ง
แล้วข้อที่สอง จะมีอนามัยทางร่างกายดีเพราะเราไม่กินส่วนเกิน ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บเพราะกินส่วนเกิน หมอก็บอกว่ามันมีโรคอยู่ประเภทหนึ่งจำนวนมากทีเดียว เป็นโรคมีไว้สำหรับคนที่มันกินดีอยู่ดี คนที่กินดีอยู่ดีนี่มันจะได้ของขวัญเป็นโรคอัมพาต เป็นโรคตาต้อกระจก เป็นโรคอีกหลายๆ อย่างหลายประการไปถามหมอดู เพราะว่ามันจะเป็นแก่คนที่มีการกินส่วนเกิน ที่เรียกว่าอยู่ดีกินดีเกินนั้นน่ะ เขามีไว้เป็นรางวัลด้วยโรคภัยไข้เจ็บประเภทนั้น ถ้าเราไม่กินส่วนเกินเราไม่ต้องเป็นโรคภัยไข้เจ็บประเภทนั้น เรียกว่ามีอนามัยทางกายดี อนามัยทางระบบประสาทจะดี อนามัยทางจิต ทางวิญญาณ ทางสติปัญญาก็จะดี นี่มีอนามัยดีทั้งทางกาย ทั้งทางจิต ทั้งทางวิญญาณ และในที่สุดจะมีเวลามาก ไอ้คนที่พูดว่ามีเวลาไม่พอนั้นมันไม่จริง เพราะมีเวลาเหลือสักนิดมันก็ไปตลาด ไปหาเรื่องของกินที่เป็นส่วนเกิน อยู่กรุงเทพฯ มันก็ขึ้นรถไปพัทยา ไปบางแสน ไปเป็นทาสของส่วนเกินจนเงินมันไม่พอใช้ วันเสาร์ วันอาทิตย์มันก็ยังไปไม่มีเวลาพักผ่อน ถ้ามันปฏิญญาไม่เอาส่วนเกินเสียเท่านั้น มันก็ไม่ต้องไปบางแสน ไม่ต้องไปพัทยา เวลามันก็เหลือเงินมันก็เหลือ ใจมันก็สบายดี
นี่สำคัญหรือไม่สำคัญเรื่องความพอดี ความไม่มีอะไรเกินนี่สำคัญหรือไม่สำคัญ ถ้าสำคัญแล้วก็จะได้ขอบพระคุณพระพุทธเจ้าให้มากขึ้นกว่าที่แล้วมา ว่าท่านได้ตรัสเรื่องสำคัญไว้ให้พวกเราว่า จงเป็นอยู่ให้พอดีที่ตรงกลางให้ถูกต้องอย่าให้ขาดอย่าให้เกิน เดี๋ยวนี้โลกกำลังเป็นโรคเกินเราอย่าไปบ้าตามเขา เราเป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้า ก็ขอให้พิจารณาถึงพระธรรมคำสอน ในส่วนมัชฌิมาปฏิปทานี้ให้มาก ท่านทั้งหลายบางคนอุตส่าห์มาจากที่ไกล เหนื่อยมาก เสียเงินมาก เสียเวลามากมาทำอาสฬหบูชาที่นี่ ท่านจะได้อะไรกลับไปอย่างคุ้มค่าที่มา อาตมาขอบอกว่าความรู้เรื่องส่วนเกินนี่แหละคุ้มค่า ขอให้ช่วยเอาความรู้เรื่องนี้ติดตัวไปพิจารณากันเสียใหม่ กลับไปถึงบ้านแล้วอย่าให้มีส่วนเกิน อย่าให้มีอะไรเกิน อะไรเกินก็ขยับขยายออกไปเสียอย่าให้มันเกิน มันจะไม่เดือดร้อนเพราะเรื่องส่วนเกิน แล้วมันมาอยู่ในความพอดี เป็นมัชฌิมาปฏิปทา สมตามกับที่อุทิศตนเป็นสาวกของสมเด็จพระบรมศาสดา เป็นอยู่ด้วยสติปัญญาหรือความถูกต้องทุกๆ ประการ
นี่แหละคือเรื่องที่อาตมาได้บอกแก่ท่านทั้งหลายในตอนต้นว่า เทศนานี้ไม่มีอะไรมาก กว่าที่จะเตรียมกายเตรียมใจ ให้เหมาะให้พร้อมให้สมที่จะมาอาสฬหบูชา ให้เรารู้คุณของพระศาสดาในเรื่องนี้ ทำใจให้เต็มอยู่ด้วยพระคุณข้อนี้ แล้วก็จะทำพิธีอาสฬหบูชา ก็จะสมกับที่ว่านับถือพระพุทธศาสนา
ขอสรุปความอีกทีหนึ่งว่า วันนี้เป็นวันอาสฬหบูชา ทำการบูชาเนื่องในวันอาสฬห ซึ่งเป็นวันที่พระองค์ได้ตรัสมัชฌิมาปฏิปทา คือความเป็นอยู่อย่างพอดีไม่ขาดไม่เกิน เดี๋ยวนี้เรามัน บูชาส่วนเกินมากเกินไปแล้ว ควรจะกลับกันเสียใหม่ที่นี่เดี๋ยวนี้ ก่อนแต่ทำพิธีอาสฬหบูชานี้ อะไรที่มันเป็นส่วนเกิน ที่อยู่ที่เนื้อที่ตัวของเราก็ดี ที่บ้านที่เรือนของเราก็ดี จะปรับปรุงกันเสียใหม่ จะจัดกันเสียใหม่ ไม่ให้กลายเป็นส่วนเกิน ไม่ให้เป็นเครื่องหลอนประสาทตัวเองว่า เราอยู่ด้วยความไม่ถูกต้อง เราอยู่ด้วยความหลอกลวงตัวเอง เราอยู่ด้วยความเชื่อผู้อื่น ซึ่งเขาดึงออกไปนอกทางของพระพุทธเจ้า เราจะกลับมาสู่ทางของพระพุทธเจ้า จะมาอยู่ในความพอดี ด้วยเรื่องนุ่งห่มดี ด้วยเรื่องกินอาหารก็ดี ด้วยเรื่องการบำรุงบำเรอร่างกายให้ถูกต้องก็ดี ด้วยเรื่องเครื่องใช้ไม้สอยบ้านเรือนก็ดี ทุกอย่างจะให้เป็นไปแต่ในทางที่พอดี ครอบครัวนั้นก็จะมีความสุข ประเทศนั้นก็จะมีความผาสุข ในโลกที่ถือความพอดีนี้เป็นหลักก็จะเป็นโลกสันติภาพ
ถ้าจะช่วยกันสร้างโลกนี้ให้มีสันติภาพ ก็จงยึดหลักความพอดีเถิด อาตมาอยากจะยืนยันว่า เพียงแต่ท่านทั้งหลายขจัดสิ่งทั้งปวงเป็นไปอย่างพอดีเท่านั้นแหละ จะได้บุญมากมายๆ กว่าทำบุญอะไรๆ รวมกันก็ได้ เพราะว่าทำตัวอย่างให้โลกนี้เห็น ว่าเราต้องอยู่กันอย่างนี้จะเป็นการสอนลัทธิแห่งความพอดี ให้แพร่หลายทั่วไปทั้งโลก แล้วโลกนี้ก็จะหมุนไปหาความพอดี แล้วปัญหาก็จะไม่มี เพราะว่ากิเลสทั้งหลายเกิดมาจากส่วนเกิน ช่วยฟังดูสักนิดหนึ่งว่ากิเลสโลภะก็ดี โทสะก็ดี โมหะก็ดี มันเกิดมาจากส่วนเกิน ถ้าใครไม่มีส่วนเกินแล้ว โลภะ โทสะ โมหะเกิดไม่ได้ เมื่อกิเลสเกิดไม่ได้เขาก็เป็นคนสบาย แล้วก็เป็นคนที่ใกล้พระนิพพานยิ่งขึ้นไปทุกที
ความโลภเกิดนั้นเกิดเมื่อมันอยากได้เกินที่ควรจะได้ มันอยากได้เกินกว่าที่ควรจะได้ เขาเรียกว่าความโลภ คือมันอยากด้วยความโง่ ถ้ามันมีสติปัญญามันก็ไม่อยากเกินพอดี เดี๋ยวนี้มันโง่มันเป็นอวิชชา มันก็อยากเกินพอดี ความโลภมันก็เกิดขึ้นเพราะส่วนเกินเป็นเหตุ นี่กิเลสกลุ่มที่หนึ่งคือความโลภ โลภะหรือราคะนี่มันเกิดเพราะส่วนเกิน
ทีนี้กิเลสกลุ่มที่สองคือโทสะ หรือโกรธะมันก็เกิด เพราะไม่ได้ส่วนเกินตามที่ตัวต้อง การจะให้ได้ ความโลภมันอยากได้อะไร พอมันไม่ได้มันก็โกรธ ความโกรธหรือโทสะมันก็มาจากความโลภ เพราะไม่ได้ตามที่มันโลภ โทสะก็มาจากส่วนเกิน คือไม่ได้ส่วนเกินตามที่ตัวต้องการแล้วมันก็เป็นโทสะ
ส่วนโมหะนั้นมันโง่อยู่ตลอดเวลา มันหลงอยู่ตลอดเวลา ไปบูชาส่วนเกินมันเป็นโมหะอยู่แล้ว สรุปความก็เห็นได้ชัดเจนว่า โลภะก็ดี โทสะก็ดี โมหะก็ดี เป็นมาจากส่วนเกินทั้งนั้น มีรากฐานเป็นส่วนเกิน ถ้าเราทำลายส่วนเกินเสียแล้วมันก็ไม่มีที่เกิด มันไม่มีรากฐานจะให้เกิดความโลภ ความโกรธ ความหลงเกิดไม่ได้ ขอให้ทุกคนสนใจข้อนี้ให้มาก บางคนพูดว่าอยากจะละกิเลสแต่ละไม่ได้ไม่รู้จะทำอย่างไร อาตมาขอยืนยันในที่นี้ว่า เพียงแต่หยุดเรื่องส่วนเกินเสียเท่านั้น ท่านจะละกิเลสได้ จะละความโลภ ความโกรธ ความหลงได้ตามควรกันทีเดียว แล้วก็จะละได้มากขึ้นไปตามลำดับ กิเลสเมื่อมันไม่ได้อาหารแล้วมันก็ผอมตายไปเอง อย่าเอาส่วนเกินไปปรน เปรอเลี้ยงกิเลสต่อไปอีกเลย นี่จะทำให้การละกิเลสมันง่ายเข้า เหตุนี้มันเป็นความผิดพลาดของเราเองกิเลสมันถึงได้เกิดขึ้น แล้วมันมากขึ้นมาสุมอยู่บนศีรษะของเรา มาขี่อยู่บนคอของเรา ไสหัวเราไปให้หาส่วนเกินอีกต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด
ฉะนั้นขอให้ทำตนให้เป็นอิสระ มาเป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้า ผู้ได้ประทานคำสอนเรื่องมัชฌิมาปฏิปทาไว้ในโลกนี้ อย่าให้คำสอนของพระองค์เป็นหมันเลย อาตมาขอร้องให้มองเห็นคุณของมัชฌิมาปฏิปทา แล้วรู้สึกในพระคุณของสมเด็จพระศาสดา แล้วตั้งใจที่จะทำอาสฬหบูชา ซึ่งเราจะได้ดำเนินการต่อไปในบัดนี้ อาตมาขอยุติธรรมเทศนา ซึ่งเป็นเพียงการเตรียมจิตใจของท่านทั้งหลาย ให้เหมาะสมสำหรับจะทำพิธีอาสฬหบูชาในวันนี้ไว้แต่เพียงเท่านี้ก่อน เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้