แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
มีความต้องการเฉพาะไหมว่าให้พูดเรื่องอะไร? มีไหม? ที่พึ่งมาใหม่กันนะมีไหม? พูดตามสะดวกของผมนะ
การบรรยายในวันนี้ผมคิดว่าคงจะตรงกับความประสงค์ของท่านที่เป็นราชภัฏทั้งหลายที่จะลาสิกขา ก็ได้ทราบว่าเป็นอย่างนั้น ฉะนั้นจึงพูดในลักษณะเป็นคำบรรยายสำหรับผู้จะลาสิกขา พูดตรง ๆ อย่างนี้การพูดกับคณะราชภัฎครั้งสุดท้ายก็ไม่มีอะไรดีกว่าจะพูดเรื่องการลาสิกขา ผมจะพูดด้วยความรู้สึกอย่างกับว่าเป็นเรื่องของผมเลยก็ได้ เพื่อให้มันชัดเจนหน่อย ไม่ต้องอาศัยนั่น อาศัยนี่อยู่ คล้ายว่าถ้าผมเป็นฆราวาสครองเรือนอย่างฆราวาสนี่จะทำอย่างไร อย่างนั้นดูจะชัดเจนกว่า ตรงไปตรงมากว่า อยากจะปรารถกับท่านทั้งหลายที่ลาสิกขาบทกลับออกไปเป็นฆราวาสตามเดิม ว่าเราควรจะมีหลักปฏิบัติกันอย่างไร ความเป็นฆราวาสที่แล้วมาแต่หลัง ยึดถือว่าลบ ลบเป็น ลบกระดานไป ลบตัวเลขตั้งต้นศูนย์กันใหม่แล้วก็คิดกันใหม่ดีกว่ามันง่ายดี คือ อยากจะให้ใช้ขนบธรรมเนียมประเพณีโบราณเป็นหลัก อย่าพึ่งเข้าใจว่าเป็นเรื่องครึคระ พอรู้สึกว่าโบราณแล้วก็มักจะปัดไปเป็นเรื่องครึคระ มันก็เลยจะไม่ค่อยได้อะไรที่ดี ๆ ที่คนโบราณเขาได้ตั้งขึ้นไว้ นั่นละถือเป็นหลักปฏิบัติกันมา ผมสังเกตแล้วพบว่า คนโบราณนี้ไม่ใช่เล่น เก่งกว่าเรามาก มีมากมายหลายอย่างที่เขาพูดไว้ หรือตั้งขึ้นไว้สำหรับให้เราเป็นคนโง่ ให้เรากลายเป็นคนโง่ ก็คือเข้าใจของเขาไม่ได้ ถือเอาประโยชน์อันนั้นไม่ได้ เราก็ไม่ได้รับประโยชน์เต็มตามที่ควรจะได้รับ ทั้งที่คนโบราณเขาเคยได้รับ พูดอย่างสรุปกันสักหน่อยไม่ต้องอะไรกันมาก เพราะว่าสมัยปู่ย่าตายายนั้นเขาอยู่กันด้วยความสงบ จะเป็นเรื่องสังคมทั่วไปก็สงบ จะเป็นเรื่องภายในครอบครัวมันก็สงบ จะเป็นเรื่องส่วนบุคคลแต่ละคนมันก็ยังเป็นคนสงบ แล้วอะไร ๆ ที่มันจะช่วยให้สงบได้ แล้วก็ตั้งขึ้นไว้เป็นรูปแบบสำหรับถือปฏิบัติ เป็นขนบธรรมเนียมประเพณีไปเลย ต่อมาเมื่อความเจริญแผนใหม่ ความก้าวหน้าไปตามแบบใหม่นี้มันเข้ามา เขาไม่ได้มุ่งหมายความสงบ เขามุ่งหมายความสนุกสนานเอร็ดอร่อย ไม่ให้ความสำคัญแก่ความสงบ แล้วมันก็เปลี่ยน เปลี่ยน เปลี่ยน เปลี่ยนมาจนมาถึงเรา เรามาเกิดกันในยุคนี้ ซึ่งร่องรอยของความสงบขนบธรรมเนียมประเพณีเพื่อความสงบมันสูญไปมากแล้ว นี่เราจึงไม่รู้จักความสงบเหล่านั้น กำลังคลานตามไอ้ความคิดของคนสมัยปัจจุบัน ซึ่งเป็นสมัยยุ่งเป็นวิกฤตกาลไม่รู้จบ พูดอย่างนี้มันคล้ายกับว่ามันทำให้เกิดข้อขัดแย้งกันระหว่างคนโบราณกับคนปัจจุบัน แล้วเราก็ไม่รู้จะเอาข้างไหนดี ขอให้คิดเสียว่าเอาข้างที่มันมีความสงบสุขกันดีกว่า ไม่เรียกว่าโบราณไม่เรียกว่าปัจจุบัน หรืออะไรกันนัก เอากันแต่ความสงบสุขกันดีกว่า การที่เข้ามาบวชกันนี้ จำนวนหนึ่งนี้ก็คงต้องการอะไรที่ดีกว่าไม่ได้บวช ถึงแม้จะบวชตามประเพณี มันก็ยังมีว่าต้องการจะได้อะไรที่ดีกว่าไม่ได้บวช ที่หมายถึงไอ้ระเบียบการบวชที่กลับสึกออกไปควรจะได้อะไรที่ดีกว่าผู้ที่ไม่ได้บวช เมื่อเอากันแต่เพียงอย่างนี้ ที่ผมว่าของเก่า ๆ อย่าไปดูถูกว่าครึนั่นนะ มันก็คือความนิยมเกี่ยวกับการบวช ที่คนสมัยปู่ย่าตายายเขาได้ยึดถือเป็นหลัก เกี่ยวกับเรื่องนี้ก็ขอให้ยึดถือคำสักคำหนึ่งก็แล้วกันคือคำว่า “บัณฑิต” แต่เราไม่ได้ยินคำนี้ที่เรียกกันอยู่ในคำพูดในปากของปู่ย่าตายาย ปู่ย่าตายายเขาเรียกมันว่าทิด ทิดคนบวชแล้วสึกกลับไปเขาเรียกว่า ทิด คนที่เป็นทิดเมื่อบวชแล้วนี้ ธรรมดาก็ได้รับการยกย่องนับถือ เป็นที่ไว้วางใจ ต่อมามันเลวเข้า เลยกลายเป็นคำที่ล้อกันเล่นว่า 'ทิดสึกใหม่' อะไรทำนองนี้ ผมก็เคยพูดไปหลายครั้งหลายหนแล้วว่า ไอ้ทิดนี่คือคำอะไรแน่ ก็เลยสันนิษฐานเอาเองว่าคงมาจากคำว่า “บัณฑิต” ในภาษาบาลี เพราะคำว่าบัณฑิตนั้น เมื่อออกเสียงอย่างคนไทยก็ออกเสียงว่า “บัน-ทิด ” ถ้าเราเรียนหนังสือเมื่อออกเสียงภาษาไทย เราออกเสียง 'ฑ (นางมณโฑ)' ว่าเป็น “ทิด” เป็น “บัน-ทิด” แล้วต่อมาคำว่า “บัน” หายไป เหลือแต่ “ทิด” อย่างนี้เลยเรียกว่า “ทิด” ที่มาจากบัณฑิต เดี๋ยวนี้ก็ชักจะไม่แน่ใจเสียแล้วว่าความคิดอันนี้มันถูกต้อง เพราะว่าเขาอาจจะถือเอาคำอีกคำหนึ่งคือคำว่า “ทิศ” โดยตรง มาเป็นชื่อทิศ ที่ว่า ทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศตะวันออก ทิศตะวันตก ทิศนั้นอาจจะมาเป็นคำว่า “ทิด” ของผู้ที่ได้บวชแล้ว โดยเขามุ่งหมายว่าคนที่บวชแล้วมันรู้จักทิศ ทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศตะวันออก ทิศตะวันตก ทิศข้างบน ทิศข้างล่าง แล้วบังเอิญพระพุทธภาษิตที่สอนคนที่เป็นฆราวาส เขาสอนเรื่องทิศเสียด้วย เรื่องทิศ ๖ ในสิงคาโลวาทสูตร มันสอนเรื่องทิศโดยตรง ผมชักคิดว่าไอ้คำว่า “ทิศ” นี้ควรจะถือเอาคำว่าทิศทั้ง ๖ นี่ดีกว่าเป็นชื่อของคนบวชแล้วสึก แล้วมันก็ไม่ขัดกัน เพราะว่า แม้เราจะใช้คำว่าบัณฑิตคือผู้รู้ ผู้มีปัญญาเอาตัวรอดได้ เรียกว่าบัณฑิต ไป ๆ มา ๆ มันก็คือคนที่รู้จักทิศนั่นเอง บัณฑิตก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าไอ้คนที่รู้จักทิศ นี่หมายถึงบัณฑิตสำหรับผู้ที่จะสึกออกไปจากเพศบรรพชิตไปอยู่ในเพศฆราวาส ในประเทศอินเดียก็นิยมใช้คำนี้มาแต่โบราณ ผู้ที่ออกไปจากอาศรมที่ได้อยู่ศึกษาอย่างบรรพชิตนานพอสมควรแล้วกลับออกไปเป็นฆราวาส เขาก็เรียกว่าบัณฑิตเหมือนกัน แต่ใจความสำคัญนี่มันก็ควรจะเป็นเรื่องรู้จักทิศนั่นแหละ เพราะบัณฑิตแปลว่ามีปัญฑา (ท่านอ่านว่า ปัน-ดา นาทีที่ ๑๔.๑๐) ปัณฑาคือปัญญา เครื่องเอาตัวรอดได้ มันก็รอบรู้ในสิ่งที่ควรจะรอบรู้ แล้วก็คือทุกเรื่องที่รอบตัวเรา นี่เรียกว่ามีปัญญาชนิดนั้น จึงมาแบ่งเป็นทิศ ๆ แต่ละทิศนี่ก็เพื่อให้เข้าใจง่าย ศึกษาง่าย เข้าใจง่าย ปฏิบัติง่ายให้มันชัดเจน งั้นขอพูดเรื่องทิศตามนัยยะแห่งพระพุทธภาษิตเป็นหลักแล้วก็ให้คำอธิบายตามความคิด ความเห็นส่วนตัว ตามที่เห็นควร และขอระบุลงไปเลยว่าที่ทำอะไรไม่ได้ ไม่สำเร็จกันเดี๋ยวนี้ ก็เพราะทำผิดต่อทิศทั้งหลายเหล่านี้ เป็นอันว่าจะพูดเรื่องทิศตามพระบาลี คือ ถ้าถือตามพระบาลี ก็มีพระพุทธภาษิตว่า กุลบุตรนั้นจะต้องรู้จักปิดกั้นทิศทั้ง ๖ ไม่ให้ภัยเกิดขึ้นได้จากทิศทั้ง ๖ จะใช้คำเหมือนกับ ปิด อุด กั้นป้องกันภัยไม่ให้เข้ามาสู่ตนจากทิศทั้ง ๖ ก็ขอให้จับหลักให้ได้ ทิศทั้ง ๖ นี่ก็เอาตามธรรมชาติเลย ทิศข้างหน้าก่อน แล้วก็ทิศข้างหลัง แล้วก็ทิศข้างซ้าย แล้วก็ทิศข้างขวา แล้วก็ทิศข้างบน แล้วก็ทิศข้างล่าง เราจะต้องทำให้ถูกต้องทั้ง ๖ ทิศทางนี้ไม่ให้เกิดอันตราย แต่ให้เกิดความสงบสุข ทิศข้างหน้าระบุเป็นบิดามารดา ทิศข้างหลังระบุเป็นบุตร ภรรยา ก็เข้ารูปอยู่ ทิศข้างซ้ายระบุเป็นเพื่อน ทิศข้างขวาระบุเป็นครูบาอาจารย์ ทิศข้างบนระบุเป็นสมณะคือพระ ทิศข้างล่างระบุเป็นคนใช้ ทาส กรรมกร พิจารณาดูแล้วก็เป็น เป็นคล้ายกับหลักเทคนิคอย่างหนึ่งที่น่าสนใจ คือ น่ารับนับถือ น่ารับ น่ารับใช้ ผู้ที่รู้ทิศรู้จักทิศ ปฏิบัติถูกต่อทุกทิศ ก็เรียกว่าเป็นบัณฑิต ก็เป็นอันว่ารู้จักปฏิบัติไม่ผิดต่อบิดา มารดา บุตร ภรรยา เพื่อนฝูง มิตรสหาย ครูบาอาจารย์ พระเจ้า พระสงฆ์ และคนที่ต่ำกว่า เป็นคนใช้ เป็นทาส กรรมกรอะไรต่าง ๆ เราทำตัวเหมือนกับอยู่จุดศูนย์กลาง รอบตัวเป็นหกทิศทาง นั่นมันมีหน้าที่ มันมีปัญหาที่จะต้องกระทำให้ถูกต้อง รายละเอียดก็ไปดูได้จากหนังสือแบบเรียนต่าง ๆ นี่ผมจะพูดกันถึงเรื่องความมุ่งหมาย
ทิศเบื้องหน้า คือ บิดามารดา เดี๋ยวนี้รู้สึกว่าคนเกือบจะไม่รู้จักบิดามารดากันเสียแล้ว เหมือนกับว่าไม่มีบิดามารดา เด็ก ๆ ไม่ได้รับการอบรมสั่งสอนให้เห็นความสำคัญและความศักดิ์สิทธิ์สูงสุดของบิดามารดา เราจึงมีจิตใจประหลาดออกไปกว่าที่เขานับถือบิดามารดาในฐานะเป็นบุคคลศักดิ์สิทธ์ เช่นคำว่าเป็นพรหมของบุตร คือเป็นผู้สร้าง ผู้ให้กำเนิดบุตรแล้วก็เป็นบุพพาจารย์ของบุตร อาจารย์คนแรกสอนสิ่งที่จะต้องสอนเป็นครั้งแรก เป็นอาหุไนยบุคคลของบุตร คือบุคคลที่จะทำให้ได้บุญ บิดามารดาจะเป็นเหตุให้บุตรนั้นได้บุญ เรียกว่าอาหุไนยบุคคล เพียงสามคำนี้ก็พอแล้ว ยังมีอีกมาก เป็นพรหมในบ้านเรือน เป็นอาจารย์คนแรก เป็นบุญญเขตต์ เป็นนาบุญของลูก เดี๋ยวนี้เราได้ทำกันอย่างนี้หรือเปล่า เราไม่ได้เคารพบิดามารดาอย่างผู้ให้ชีวิต เราเอาเรื่องของเราเป็นที่ตั้งให้บิดามารดาเป็นผู้เอาอกเอาใจเรา ไม่ได้นับถือบิดามารดาอย่างพระเป็นเจ้า หรือเป็นพระพรหม ข้อนี้มันทำให้มีจิตใจผิดกันมากกับบุคคลที่นับถือบิดามารดาอย่างเป็นพรหมเป็นพระเจ้า จนชื่อว่าเป็นอาจารย์คนแรกนี่มันมีความหมายออกจะตลบตะแลงอยู่ ตัวเราไม่ต้องการความรู้ชนิดนั้น ไม่ให้ความสำคัญแก่ความรู้ชนิดนั้น แต่ที่จริงนั้นมันมีความสำคัญมาก ถ้าบิดามารดาให้คำสั่งสอนถูกต้องมาตั้งแต่อ้อนแต่ออกแล้วคนเราก็จะดีกว่านี้มาก เดี๋ยวนี้ก็จะโทษบิดามารดาก็ไม่ได้เหมือนกัน ท่านก็ไม่รู้อะไรมากเพราะว่าขนบธรรมเนียมมันเปลี่ยนแปลงหรืออะไรก็สุดแท้ แต่ถ้าบิดามารดารู้ เป็นผู้ที่ได้บวชแล้ว เป็นบัณฑิตแล้ว ก็มาเป็นบิดามารดา นี้ก็สามารถให้การศึกษาระยะแรกนี้ ให้บุตรมันเป็นบุตรที่ดีที่สุดได้ ควบคุมให้บุตรเป็นผู้มีความหมายตรงตามคำ ๆ นี้ คือให้มีคุณธรรม ให้มีศีลธรรมให้มีความสว่างไสวในทางวิญญาณมาตั้งแต่เล็ก ๆ ทีเดียว ถ้าท่านได้ทำอย่างนี้ก็เป็นบูรพาจารย์ประเสริฐสูงสุดศักดิ์สิทธ์ทีเดียว เราก็ควรจะนึกถึงไว้ ถ้าว่าเราจะไปเป็นผู้เป็นบิดามารดาขึ้นมาอีกขอให้สนใจในข้อนี้ เพราะเดี๋ยวนี้บิดามารดาที่แล้วมาไม่ได้ทำถึงอย่างนี้ก็เป็นอันว่าแล้วกันไป แต่ถ้าเราจะเป็นบิดามารดาขึ้นมาเองบ้าง ก็ขอให้ทำตัวให้เป็นบูรพาจารย์ที่ดี ให้เด็กทารกมีทิศทางที่สว่างไสวแจ่มแจ้ง จะไปกันอย่างไร เดี๋ยวนี้มันไม่มองเห็นมันมีแต่ ไอ้พ่อแม่ก็ไม่รู้จะให้ลูกมันรู้อย่างไร พ่อแม่ก็ไม่รู้เกิดมาทำไม จะให้ลูกมันรู้เกิดมาทำไมนี้มันก็ยาก อย่างให้บิดามารดาควรจะรู้กันอย่างถูกต้องเสียก่อนว่ามนุษย์นี้มันเป็นกันทำไม ให้มันเกิดมาทำไม ให้แสงสว่างแก่เขาตั้งแต่อ้อนแต่ออกมาทีเดียว นี่คือหน้าที่ของบิดามารดา ส่วนข้อที่ว่าเป็นอาหุไนยบุคคลของลูกนั้น ก็คือเมื่อลูกหวังจะได้บุญแล้วก็ไม่ต้องไปทำที่ไหน ขอให้ทำกับบิดามารดาก่อน ให้เราพยายามแสวงหาบุญจากบิดามารดา ให้ถึงที่สุดเสียก่อน อุทิศทุกอย่างทุกประการที่จะให้บิดามารดาได้รับความพอใจ สบายใจ หรือความสุขที่เรียกว่าบุญเกิดขึ้นแก่ลูกอย่างสูงสุด แล้วมันก็สะดวกจะเหมือนกับมีพระอรหันต์อยู่ในบ้านในเรือนจะทำบุญเมื่อไรก็ได้ นี่ควรจะมีหลักกันอย่างนี้สำหรับบิดามารดา เป็นบุคคลศักดิ์สิทธิ์เป็นบุคคลสูงสุดสำหรับเราโดยเฉพาะ คนอื่นเขาก็คงไม่รู้ไม่ชี้กับเรา เพราะเขาไม่ใช่ลูกของพ่อแม่ของเรา ไอ้เราเป็นลูกของพ่อแม่ของเรา ท่านต้องเป็นบุคคลศักดิ์สิทธิ์ที่สูงสุด ฉะนั้นเราต้องเสียสละอะไรได้ทุกอย่างเพื่อความเป็นอย่างนี้ แม้ว่าบางทีจะทำให้เราลำบากบ้างหรือให้เราขาดประโยชน์ไปบ้าง ให้เราไม่ร่ำรวยบ้างก็ตามใจ ผู้ที่เป็นบัณฑิตที่แท้จริง รู้จักทิศนี้แท้จริง จะยอมเสียสละ ผมพูดได้เลยว่าตลอดเวลาพบแต่บุคคลที่ตีราคาบิดามารดาน้อยมาก หรือไม่รู้ไม่ชี้เอาเสียเลย หลับหูหลับตา อาตมาขอให้ความคิดเห็นบางสิ่งบางอย่าง ซักไปซักมากลายเป็นบุคคลที่เรียกได้ว่าไม่มีบิดามารดา เป็นมิจฉาทิฏฐิในพระพุทธศาสนา คือเขาไม่มีบิดามารดาในลักษณะที่เป็นพรหม เป็นบุพพาจารย์ เป็นอาหุไนยบุคคลนั้นเอง ยิ่งเดี๋ยวนี้แล้วก็ยิ่งเป็นไปได้ เพราะเขาชอบไป ชอบความสุขความเจริญอย่างแบบใหม่ แบบวัตถุเสียแล้ว เข้าใจว่ามีมาก คือยอมสลัดบิดามารดา เอากับเขาสิ, ไอ้เราต้องแนะนำว่าชีวิตเราสละก็ได้เพื่อประโยชน์แก่บิดามารดา แต่เขานั้นยินดีที่จะสลัดบิดามารดา เพื่อเอาอะไรตามใจของตน นี่ทิศที่หนึ่งเป็นอย่างนี้ มีจุดตั้งต้นแต่ว่าท่านให้ชีวิตเรามา อย่าไปคิดอย่างอื่นสิ อย่าไปคิดอย่างศีลธรรม อันธพาลของพวกอันธพาล บิดามารดาไม่มีคุณแก่บุตร บุตรนี้เป็นผลิตผลเกิดมาจากความสนุกสนานของบิดามารดา เขาไม่ได้มีเจตนาให้เราเกิดมาหรือรักเราทำนองนั้น ก็คงมีพวกที่เขาถือกันอย่างนั้น จะถืออย่างนั้นก็ได้แต่คงวินาศเอง ผิดหรือถูกไม่รู้ แต่ว่าคนนั้นจะวินาศเอง ต้องวินาศเองเป็นแน่นอน จะถือนี้อย่างที่ว่านี้ผิดหรือถูกเราก็ไม่รู้ แต่ว่าจะมีความเจริญเป็นแน่นอน นี่คือทิศที่หนึ่ง เบื้องหน้าอยู่ข้างหน้า ให้ทำในใจไว้เสมอเหมือนกับอยู่ตรงหน้า ไอ้คนเรามันก็จะมองเห็นอะไรอยู่ตรงหน้าอยู่ตลอดเวลาหรือก่อนสิ่งใด ให้มองเห็นบิดามามารดาก่อนสิ่งใดเป็นทิศเบื้องหน้า
ทีนี้บุตร ภรรยาเป็นทิศเบื้องหลัง เพราะมาทีหลัง พูดง่าย ๆ มาทีหลัง แต่ก็ต้องเป็นทิศที่มีความสำคัญเท่ากัน ถ้าเราทำผิดมันก็เกิดปัญหาขึ้น เกิดความเสียหายขึ้น เกิดความยุ่งยากลำบากขึ้น ฉะนั้นเราจะต้องทำให้มันถูกต้องที่สุด ตั้งแต่ก่อนที่จะมีบุตร ภรรยา ถ้าพูดสำหรับผู้ที่ยังไม่เคยมีบุตรภรรยา จะมีบุตรภรรยาต่อไปข้างหน้าแล้วจะขอบอกอย่างนี้คือ ขอตรงนี้ให้มันถูกต้อง มันเลือกให้มันมีความถูกต้อง คนโบราณที่เขาพูดไว้ให้คนรุ่นเราเป็นคนโง่ คือเขาจะพูดว่า ให้ได้เมียที่เป็นหญิงนะลูกนะ นี่ประสบมาแล้วกับผมเอง ผมเด็ก ๆ นี่คนแก่ ๆ เขาให้พรอย่างนี้ ให้ได้เมียที่เป็นหญิงนะลูกนะ ไอ้เรามันโง่เองเราคิดว่าคนแก่นี้บ้าหรือดี จะได้เมียที่เป็นชายอย่างไงได้ เขาทำเราโง่อย่างนี้ ทีหลังจึงค่อยรู้ว่าที่เขาพูดอย่างนั้นมันหมายความว่าอย่างไร เขาเรียกคนที่ออกไปมีภรรยามีอะไรนี่ ลองดูสิ ถ้าเขาไม่เป็นผู้หญิงที่ถูกต้องแล้วก็คือศัตรูตัวร้ายกาจ ที่คนแก่ ๆ เขาพูดว่าให้ได้เมียที่เป็นหญิง คือมีความถูกต้องในความเป็นผู้หญิงทุกอย่างทุกประการ แล้วก็ไปอ่านดูในหน้าที่ของภรรยาที่ดีในนวโกวาทได้ว่ามันจะต้องเป็นอย่างไร ในสูตรทั้งหลายก็มี ภรรยาอย่างแม่ ภรรยาอย่างพี่ ภรรยาอย่างเพื่อน ภรรยาอย่างทาส ภรรยาอย่างอะไรอีกหลายอย่าง ในที่สุดมันก็มีอยู่อย่างละที่ถูกต้องตามความหมายความเป็นผู้หญิง คือเป็นภรรยา ให้ระวังให้ดีให้เลือกได้ภรรยาที่เป็นผู้หญิง มันไม่ใช่โดยเพศว่าเป็นเพศหญิง แต่มันมีความหมายคำว่าผู้หญิง เป็นสตรี เป็นแม่บ้านแม่เรือนที่ดี ตรงตามความหมายของผู้หญิง ที่มีมาสำหรับเป็นอะไรกับบุรุษ คนโบราณเขาถือว่ามันเป็นคู่ชีวิต ที่ต้องไปด้วยกัน เพื่อแบ่งเบาภาระทั้งหลายให้มันง่ายเข้าครึ่งหนึ่ง เพราะว่าสองคนต้องช่วยกันทำ ที่ถ้าเขาไม่มีวัตถุประสงค์ตรงกันเขาก็ไม่ช่วยทำ เขาก็จะเป็นอุปสรรคศัตรู ทำความยุ่งยากลำบากให้เสียอีก มันก็เท่าไปหาอุปสรรคมา ถ้าเมียเขาไม่เป็นหญิง มันก็เป็นอย่างนี้ ถ้าว่าเขามันมีความถูกต้อง ในความเป็นคู่ชีวิต ฝ่ายหนึ่งเขาก็ เรื่องก็ไปด้วยกันได้ จะทำอะไรมันก็เป็นเรื่องสนับสนุนกัน แต่ผมยังคิดเลยไปกว่านั้นว่ามันควรจะเป็นเพื่อนเดินทางไปนิพพานด้วยกัน คือมันต้องช่วยกันดับทุกข์ดับร้อนในหัวอกหัวใจแต่ละวัน ๆ ของกันและกันได้ พระนิพพานนั้นแปลว่าเย็น เมื่อกิเลสความร้อนไม่เกิด มันก็เย็น เราต้องเป็นเพื่อนปรึกษาหารือที่จะทำให้เกิดความเย็นแก่ชีวิตจิตใจอยู่ทุกวัน ๆ เรียกว่าเป็นเพื่อนเดินทางไปนิพพานด้วยกัน ไม่ใช่เพียงว่าเป็นคู่บริโภคกามารมณ์ หรืออย่างดีที่สุดก็สืบพันธุ์มีลูกมีหลานออกมา ถ้าอย่างนี้มันไม่ดีกี่มากน้อยละ ถ้ามันเป็นคู่ชีวิตขนาดที่ว่าทำให้เกิดความเย็นแก่ชีวิตจิตใจได้ทุกวัน ๆ ไปกว่าจะตายนั่นก็ดี หรือถ้าจะถือเพื่อว่าการสืบพันธุ์และก็ว่าเพื่อให้ลูกมันเดินทางก้าวหน้าในทางธรรม บรรลุนิพพานได้ ถ้าพ่อแม่ของมันไม่ถึงได้ในชาตินี้ ให้มันทิ้งลูกไว้ให้เดินต่อไปให้บรรลุนิพพานได้ในชั้นลูก ในชั้นหลาน ในชั้นเหลน ชั้นอะไร คิดอย่างนี้ดีกว่า มันก็จะมีค่ามากขึ้น บุตรภรรยาก็เลยกลายเป็นกลุ่มของบุคคลที่มุ่งหมายจะก้าวหน้า เดินไปตามทางของนิพพาน คือการปฏิบัติธรรม ถึงต้องมีการปฏิบัติธรรมในครอบครัวนั้น และก็ช่วยกันส่งเสริมซึ่งกันและกันให้มีการปฏิบัติธรรมยิ่งขึ้นไป ยิ่งขึ้นไป มีธรรมะสูงยิ่งขึ้นไปในครอบครัวนั้น ก็มันเย็นเป็นนิพพานน้อย ๆ อยู่เรื่อย ๆ ไปจนกว่าจะถึงที่สุด ถ้าว่าในครอบครัวไหนพูดจากันรู้เรื่องอนิจจา ทุกขัง อนัตตา สุญญตา ไอ้เหล่านี้แล้วครอบครัวนั้นจะเย็น ถ้ามันพูดกันไม่รู้เรื่องในเรื่องเหล่านี้แล้ว ครอบครัวนั้นจะต้องร้อน ร้อนมันก็มีนรก การที่มีบุตรภรรยาที่พูดกันรู้เรื่องนั้นนะประเสริฐที่สุด ฉะนั้นเราจะปิดกั้นอย่าให้ความทุกข์อันตรายอะไรเกิดขึ้นมาจากทิศเบื้องหลัง เช่นเดียวกับทิศเบื้องหน้า ถ้าเราทำผิดมันก็คือเกิดเสนียดอัปรีย์จัญไรจากทิศเบื้องหน้า คือการปฏิบัติผิดกับบิดามารดา ที่นี้ถ้าทำผิดทางทิศเบื้องหลัง ก็จะเกิดความทุกข์ทน ทรมานเหมือนกับตกนรกมาจากทิศเบื้องหลัง ให้ปิด ให้กั้น ให้อุด อย่าให้มีรูรั่วคือความผิดพลาดเกี่ยวกับทิศเหล่านี้ นี้ควรจะมองดูทิศเบื้องหลังในลักษณะอย่างนี้ คือมองกันตั้งแต่คุณค่าที่น้อยที่สุดจนไปถึงคุณค่าสูงสุด คือเพื่อนเดินทางไปนิพพานด้วยกัน หรือเป็นผู้จะรับมรดกสืบต่อการเดินทางไปนิพพานของมนุษย์ อย่าให้มนุษย์สูญเสียสิ่งประเสริฐอันนี้ คือให้มนุษย์เกิดมาแล้วมีการเดินทางไปนิพพานอยู่เป็นประจำ เป็นงานประจำ แล้วก็ช่วยกัน ถ้าหากว่ามันไม่สำเร็จก็ทิ้งหน้าที่ไว้ให้ลูก ให้หลาน ให้เหลน เดินต่อไป นี่เราเป็นมนุษย์ช่วยให้มนุษย์มันมีความสูงสุดอย่างนี้
ทิศเบื้องซ้ายหรือเพื่อน คำว่าเพื่อนมันมีความหมายมากเหมือนกัน สูงเหมือนกัน แต่เราเข้าไปไม่ค่อยถึง มันจึงเป็นเพื่อนกิน เพื่อนเล่น เพื่อนสนุกสนาน เพื่อนอันธพาลกันเสียมากกว่า ไม่กินเหล้าไม่คบแล้ว ไม่สูบบุหรี่ไม่คบแล้ว เพื่อนอย่างนี้มันมีความหมายอย่างนั้น มันไม่ได้เป็นเครื่องช่วยให้เป็นไปในทางสูง ที่จริงเพื่อนนี้เป็นความหมายมาก เป็นความสำเร็จของทั้งหมด มันมีนิทานชาดกที่ผมจำไม่รู้จักลืม อ่านมาตั้งแต่ก่อนบวชด้วยซ้ำไป เรื่องลูกเศรษฐีสี่คนมันออกไปเที่ยวริมเมือง มีนายพรานบรรทุกเนื้อมาจากป่าเต็มเกวียน ไอ้สี่คนนี้มันก็จะทดลองความสามารถของตน ไปขอเนื้อ ว่าใครจะได้ดีกว่าใคร ไอ้คนที่หนึ่งมันว่า “เฮ้ย, ไอ้พรานให้เนื้อกูบ้าง” นายพรานก็ให้พังผืด เพราะว่าไอ้คำพูดมันเหมือนกับพังผืด นายพรานเขาก็เฉือนไอ้พังผืดให้มา ไอ้คนที่สองมันว่า “พี่พรานขอเนื้อบ้าง” ถ้อยคำมันล่ำสันดี เขาให้เนื้อล่ำสันมา ไอ้คนที่สามว่า “พ่อพรานขอเนื้อบ้าง” มันได้ก้อนหัวใจมา คนที่สี่มันว่า “เพื่อนขอเนื้อบ้าง” มันให้มาหมดทั้งเกวียนเลย หมายความว่าไอ้คำว่าเพื่อนมีความหมายมากอย่างนี้ พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่ากัลยาณมิตรเป็นทั้งหมดของความสำเร็จ ในเมื่อพระอานนท์ทูลว่าข้าพระองค์รู้สึกว่ากัลยาณมิตรเป็นครึ่งหนึ่งของความสำเร็จ พระพุทธเจ้าตรัสว่า (นาที 0.39.34 ฟังไม่ชัด) มันเป็นทั้งหมดของความสำเร็จ ฉะนั้นเพื่อนต้องสูงมาก มันต้องมีค่ามาก คือ ทำอะไรได้มาก ถึงกับเป็นทั้งหมดของความสำเร็จ แต่เดี๋ยวนี้เราไม่ได้มีเพื่อนถึงขนาดนี้ คือเพื่อนถึงขนาดนี้ไม่รู้ว่าจะไปหาที่ไหน แต่นี้บอกให้รู้ว่าคำว่าเพื่อนมีความหมายถึงขนาดที่ช่วยให้เราเกิดความสำเร็จทั้งหมดได้ ที่นี้เราควรจะรู้ความหมายของคำว่าเพื่อน แล้วมีเพื่อนกันในลักษณะอย่างนี้ อย่าเป็นเพื่อนอย่างที่เขาพูดกันโดยมาก มีปัญหาเขาทิ้งเหล้าไม่ได้ เขาจะไม่มีเพื่อน เขาเลิกสูบบุหรี่ไม่ได้ เขาจะไม่มีเพื่อน บางคนเขาว่าเขาจะต้องสังคมกับคนที่กินเหล้าหรือสูบบุหรี่ ถ้าเขาไม่กินเหล้าไม่สูบบุหรี่ เขาสังคมไม่ได้อย่างนี้ มันให้ความหมายน้อยไป หรือให้คุณค่าน้อยไป ถ้าเป็นเพื่อนกันจริงมันก็ต้องช่วยกันลากถูลู่ถูกังไปหาไอ้จุดสูงสุดนะ มันจึงจะเป็นเพื่อนที่แท้จริง เมื่อเพื่อนมันโง่ มันเลว ไอ้เพื่อนที่แท้จริงมันจะดึง จะลาก จะถู จะฝืนขัดขืนดึงไปหาความถูกต้องให้จนได้ เพราะฉะนั้นท่านจึงตรัสว่าเพื่อนคือทั้งหมดของความสำเร็จ เราจึงชวนกันทำตนให้เป็นเพื่อนที่แท้จริง ถูกต้องตามความหมายของคำ ๆ นี้ หรือตามหลักแห่งพระศาสนา ให้มีเพื่อนชนิดนี้มากขึ้น ที่เกี่ยวกับสังคม ประโยชน์ทางวัตถุมันก็มี มีรายละเอียดไป หาอ่านจากหนังสือนวโกวาท แต่เดี๋ยวนี้ที่ไม่มีหนังสือนวโกวาทนั้นก็คือว่าเพื่อนคือผู้ที่จะช่วยให้เกิดความสำเร็จทั้งหมด คำว่าเพื่อนมันก็หมายความว่า มันเป็นแก่กันและกันทั้งสองฝ่าย ไม่อย่างนั้นมันจะไม่สำเร็จประโยชน์อะไร คำว่าสหายนี่ก็แปลว่าไปด้วยกัน ตัวหนังสือแปลว่าไปด้วยกัน คำว่า “มิตร” แปลว่าผู้ที่เราต้องนับถือ ต้องรับรู้ ต้องเคารพนับถือ ต้องมีเมตตา ความหมายของมันเป็นไปแต่ในทางขาดไม่ได้ ถ้าขาดมันมีความยุ่งยากลำบาก ตรงที่ว่าไอ้เรื่องนี้มันใหญ่ เกินกว่าที่เราจะอยู่คนเดียวในโลกได้ หรือว่ามองในทางกลับกัน คือถ้าเราเข้ากันกับคนทั้งหลายไม่ได้ เราก็อยู่ไม่ได้ในโลกนี้ ก็จะมีหลักสำหรับคนจะพึงปฏิบัติต่อกัน เรียกว่า “มิตรธรรม” ธรรมะสำหรับมิตรนี้ขึ้นมาเป็นหลัก ก็ต้องปฏิบัติต่อกันอย่างนี้ มันก็เกิดมิตรชนิดที่ทำให้อยู่ร่วมโลกกันได้ แล้วก็ทำหน้าที่อันสูงสุด อันกว้างขวางใหญ่หลวงของมนุษย์ให้สำเร็จโดยง่าย แล้วก็คอยเพ่งจ้องบุคคลชนิดนั้น บุคคลที่จะเกิดผลชนิดนั้นและเกี่ยวข้องกัน เรียกว่าเป็นผู้ที่มีมิตรถูกต้อง จัดไว้เป็นทิศเบื้องซ้าย จะต้องระวังให้ดีอย่าให้เกิดความผิดพลาดรูรั่วในทิศเบื้องซ้าย มิฉะนั้นอันตรายก็จะเกิดขึ้นมาจากไอ้ที่เรียกว่ามิตรนั่นเอง อย่าขี้ขลาดเพียงแต่ว่าเขาว่ากันว่าต้องอย่างนั้นต้องอย่างนี้ ทำแบบที่ไม่มีศีลธรรม เราพยายามเลือกเฟ้นที่มันมีศีลธรรม แต่ก็ไม่ไปขัดคอขัดขวาง ทำตนเป็นอุปสรรคศตรูกับเป็นอันธพาลเหล่านั้น ก็สามารถที่จะแสวงหามิตรที่ดีได้
ทีนี้, ไอ้ที่ว่า, ทิศเบื้องขวา ทางขวามือ คือครูบาอาจารย์ พ่อแม่ บิดามารดา จะกลับมาเป็นจุดตั้งต้นของครูบาอาจารย์อีกทีหนึ่ง อาจารย์คนแรกแล้วก็ขยายออกไปจนถึงครูบาอาจารย์เป็นลำดับ ๆ ไป จนสิ้นสุดของความเป็นครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์นี้แตกต่างจากสมณะ เอาจัดไว้เป็นทิศเบื้องบนเบื้องสูง คือ พระ หรือ สมณะ พระเจ้า พระสงฆ์ เช่น ครูบาอาจารย์นี้เป็นผู้ที่ให้ความรู้ประเภทที่เราจะเรียกรวม ๆ กันว่าศิลปศาสตร์ ความรู้หนังสือหนังหาวิชาชีพทั้งหลายเป็นศิลปะศาสตร์ ครูบาอาจารย์พวกนี้ให้ ส่วนพระเจ้า พระสงฆ์นั้นให้ความรู้ด้านธรรมศาสตร์ ด้านวิญญาณ ด้านจิตด้านวิญญาณนั่นมันคนละเรื่องกัน เราจะต้องมีครูบาอาจารย์เรื่องที่อยู่ในโลกนี้ เรียกว่าศิลปศาสตร์นับตั้งแต่หนังสือหนังหาเรื่อยไปจนถึงวิชาชีพ เรียกว่ามีครูบาอาจารย์ที่ดี นี่เกือบจะไม่ต้องพูดแล้ว เพราะผ่านกันมามากแล้ว แต่รู้สึกว่ายังไม่ถูกต้อง คือไม่เคารพ ไม่ให้เกียรติสูงสุด ในฐานะเป็นบุคคลสูงสุด หรือเป็นครูปูชนียบุคคล ถึงกับมีจิตใจหยาบคาย ไม่เคารพนับถือ ก็เป็นคนกระด้าง คนเสียโดยมากสมัยนี้เรียกว่าไม่มีครูบาอาจารย์ ไม่เหมือนสมัยก่อนเขาเคารพครูบาอาจารย์กันอย่างยิ่ง มันก็มีจิตใจอ่อนโยน ไม่กระด้าง คนเดี๋ยวนี้ไม่เคารพครูบาอาจารย์ มีจิตใจกระด้าง ไปดูกันเสียใหม่ดี ๆ
ทีนี้ก็ไปถึงทิศเบื้องบนกันเสียทีว่า พระเจ้า พระสงฆ์ สมณะ พราหมณ์ พูดให้ชัดก็เป็นเรื่องของศาสนา จะช่วยให้เกิดความถูกต้องในทางจิต ทางวิญญาณ เรื่องที่จะเหนือโลก ครูบาอาจารย์ธรรมดานี้ ยังไงอย่างไรมันก็เป็นเรื่องในโลกอยู่ในโลก ต่อสู้อยู่ในโลก จะให้มันดีที่สุด ที่นี้ครู สมณะ พราหมณ์นั้นเป็นเรื่องเหนือโลกให้ความรู้อีกอันหนึ่งต่างหาก มาสำหรับจะแก้ปัญหาในโลก การอยู่ในโลกนั้น ถึงอย่างไรก็ต้องเป็นทุกข์เพราะโลก แม้อย่างดีที่สุดก็ต้องมีความทุกข์เกี่ยวกับโลกนั้นเอง แล้วก็ต้องมีความรู้ชนิดเหนือโลกมาแก้ความทุกข์ในโลก ความรู้ เรื่องโลกุตระเหนือโลกนั้นก็มีไว้เป็นคู่กันกับความรู้อย่างโลก ๆ หรือในโลก ความรู้อย่างโลก ๆ ก็ให้เงินทอง ชื่อเสียง ทรัพย์สมบัติ เกียรติยศ อำนาจ วาสนา แล้วก็ไม่พ้นไปจากที่มีความทุกข์ความเดือดร้อน ต้องมีความรู้ชนิดเหนือโลกมาช่วยแก้ไอ้ปัญหานี้อีกทีหนึ่ง อย่าถือเสียว่าเรื่องโลกุตตระนั้นไว้คราวอื่น ไว้เรื่องอื่น ที่แท้จริงมันมีไว้สำหรับจะแก้ปัญหาในโลกนั่นเอง
โลกมันคือทุกข์ โลกุตตระมันก็จะขจัดความทุกข์ที่มันจะต้องมีอยู่ในโลก และจึงมีสมณะ พรามหณ์ คือ พระเจ้า พระสงฆ์อีกทิศหนึ่ง ถ้าเกี่ยวข้องกับทิศนี้ให้ดีก็จะมีความรู้ ที่กำจัดความทุกข์ในโลกได้ จำเป็นหรือไม่จำเป็น ถ้ามีความทุกข์แล้วมันก็ต้องมีไอ้สิ่งที่ดับทุกข์ ฉะนั้นความทุกข์ในโลกต้องดับด้วยความรู้เรื่องเหนือโลกเป็นธรรมดา ทุกคนควรจะรู้เรื่องเหนือโลกคือเรื่องดับกิเลสได้ ดับทุกข์ได้ ไม่ต้องร้องไห้กันเหมือนกับที่ร้องไห้กันอยู่ทั่วไป ไม่ต้องเป็นโรคประสาท โรคจิต เหมือนกับที่เป็นกันอยู่ทั่วไป ไม่ต้องฆ่าตัวตายเหมือนกที่ฆ่าตัวตายกันอยู่ทั่วไป แม้เด็ก ๆ ก็ต้องมีความรู้เรื่องโลกุตระตามประสาเด็ก ขนาดที่ว่าสอบไล่ตกไม่ต้องร้องไห้ ทำใจปกติได้ เด็กเล็ก ๆ ยังต้องมีความรู้เรื่องโลกุตระอย่างนี้ แต่เดี๋ยวนี้เขาไม่สนใจกันร้องไห้ก็ร้องไป หรือว่าถ้าเด็กจะมีความรู้ก็หยุดร้องไห้ได้ เขาก็ไม่ถือว่าเป็นความรู้เรื่องโลกุตระอะไร ที่จริงไอ้นี้คือความรู้เรื่องโลกุตระ สำหรับจะขจัดความทุกข์ที่ต้องเกิดอยู่ในโลกเป็นธรรมดา โลกียะเกี่ยวกับโลกติ้งมีความทุกข์เป็นธรรมดา โลกุตระเหนือโลกจะดับความทุกข์ในโลกนี้เสียได้เราจึงต้องมี ฉะนั้นจึงต้องเกี่ยวข้องกับทิศเบื้องบน พระเจ้า พระสงฆ์ สมณ พราหมณ์ แล้วแต่จะเรียก สมณะนั้นหมายถึงผู้ที่สงบกิเลสได้ พราหมณ์นั่นก็เป็นเรื่องมีความหมายกำกวม ถ้าพราหมณ์บูชายัญนั้นก็ไม่ถูก แต่พระอรหันต์นั้นนะเรียกว่าพราหมณ์ในพระพุทธศาสนา พราหมณ์แปลว่าผู้หมดบาป ที่มีแต่พระอรหันต์เท่านั้นที่หมดบาป ระวังอย่าให้ทิศเบื้องบนเกิดรั่ว นี่คือทำผิด แล้วเราไม่ได้รับประโยชน์อะไรจากทิศเบื้องบน
ทิศเบื้องต่ำใต้ฝ่าเท้าก็ระวังให้ดี ถ้าทำผิดมันก็จะเกิดยุ่งยากขึ้นมาจากข้างล่าง คนที่เขาอยู่ต่ำกว่าเรา โดยอะไรก็ตาม โดยกำเนิด โดยคุณธรรม โดยอำนาจ โดยกำลังทรัพย์ กำลังสุดแท้แหละ เรียกว่าเขาอยู่ข้างล่างจากเรา ในฐานะเป็นลูกจ้างก็มีเป็นบ่าวเป็นทาสก็มี เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาก็มี ระวังให้ดี ๆ อย่าให้เกิดผิดพลาดกันขึ้นมา ที่จริงมันก็เหมือนกับแผ่นดินสำหรับเหยียบ ถ้าแผ่นดินนั้นมันเกิดผิดพลาดพังทลายขึ้นมา เราก็พลอยถล่มลงไปด้วย เราจะต้องดูแลให้ดี ให้มีหน้าที่ที่ปฏิบัติต่อกันอย่างถูกต้อง รายละเอียดเกี่ยวกับตามธรรมดาสามัญก็ หนังสือนวโกวาทมีแล้วสมบูรณ์ ทีนี้เราจะมองให้ไกลกว่านั้นก็เรียกว่าผู้ที่เราจะต้องช่วยเขาแหละ ถ้าเขาก็ดีกว่าเรา เราก็เคารพนับถือเขา ถ้าเสมอกับเรา เราก็ร่วมแรงร่วมใจกันเป็นเพื่อนกัน เขาต่ำกว่าเรา ต้องช่วยเขา แล้วก็จะเป็นผลดีแก่ผู้ช่วยทำให้เกิดความรัก ความผูกพัน ความอะไรต่าง ๆ เขาก็จะมีอาการเหมือนแผ่นดินให้เราเหยียบ หรือยิ่งไปกว่านั้นเขาก็จะเป็นผู้ช่วยผลักดันให้สูงขึ้นมา ฉะนั้นทิศเบื้องต่ำก็มีความสำคัญ ที่เราจะต้องจัดให้ถูกต้อง ให้มีอาการเหมือนกับว่าเขาผลักดันขึ้นมาจากข้างล่าง คนเราถ้ามันได้ครบทั้งสามอย่าง คือว่า ผู้ที่อยู่เหนือกว่าเราช่วยดึงหัวเราขึ้นไป พวกที่อยู่เสมอกันก็ช่วยแวดล้อมเราให้ปลอดภัย พวกที่อยู่ต่ำกว่าเราก็ช่วยดันเราขึ้นมา นี่เราจะเป็นอย่างไรคิดดู มันก็ถึงที่สุดของเรื่องได้โดยง่าย ฉะนั้นขอให้ทำให้ถูกต้องทั้งข้างบน ตรงกลาง และข้างล่าง เดี๋ยวนี้ก็มองกันรอบตัวเป็นทิศทั้งหก ใครทำถูกต้องในทิศทั้งหก เรียกว่าเป็นบัณฑิต การมาเรียนธรรมะในพุทธศาสนาซึ่งมีเรื่องเหล่านี้ครบถ้วนสำหรับไปเป็นบัณฑิต แล้วก็เรียกว่า “ทิด” ตามภาษาไทยโบราณ ๆ คือผู้รู้จักทิศทั้งหก และปฏิบัติถูกต้องต่อทิศทั้งหก เป็นผู้ป้องกันทิศทั้งหกไว้ด้วยดีไม่มีอันตราย ก็มีแต่ความเจริญที่จะเกิดมาจากทิศทั้งหก นี่ผมคิดว่าถ้าผมเป็นฆราวาสครองเรือนผมก็จะปฏิบัติอย่างนี้จนสุดความสามารถ เดี๋ยวนี้ก็มาพูดให้ฟังตามความรู้สึก เอาละเราจะต้องรอกันไว้เท่านี้ก่อน สำหรับวันนี้ ฝนก็มาเสียแล้ว พรุ่งนี้ค่อยพูดกันอีกครั้งดีกว่า ผมขอปิดประชุม กลับไปที่พักให้เสียก่อนฝนตก.