แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ณ บัดนี้จะได้วิปัสสนาพระธรรมเทศนาเพื่อเป็นเครื่องประดับสติปัญญา ส่งเสริมศรัทธาความเชื่อและวิริยะ ความพากเพียรของท่านทั้งหลายผู้เป็นพุทธบริษัท ให้เจริญงอกงามก้าวหน้าตามทางแห่งพระศาสนาของสมเด็จพระบรมศาสดา อันเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลายกว่าจะยุติลงด้วยเวลา ธรรมเทศนานี้เป็นธรรมเทศนาพิเศษ ปรารภเหตุการกระทำพิธีวิสาขบูชา ดังที่ท่านทั้งหลายก็ทราบกันได้เป็นอย่างดีแล้ว เรื่องที่จะวิสัชนาก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าการทำความเข้าใจกันในการที่จะกระทำพิธีวิสาขบูชานี้ให้มีผลมากเท่าที่สุด ที่สุดเท่าที่จะมากได้ การกระทำที่มีผลมากนั้นเป็นต้องเป็นการกระทำที่มีความรู้ ความเข้าใจในการกระทำนั้นเป็นอย่างดี จนเกิดปิติปราโมทย์เนื่องด้วยการกระทำนั้นเป็นอย่างสูงจึงจะเรียกว่า เป็นการกระทำที่มีผลมาก การกระทำพิธีวิสาขบูชาที่มากระทำกันในสถานที่นี้มีความมุ่งหมายเป็นพิเศษ และก็ไม่พ้นไปจากความมุ่งหมายที่จะให้มีผลดีให้เกิดความก้าวหน้าทางจิตใจตามทางแห่งพระศาสนาของสมเด็จพระบรมศาสดาอีกนั่นเอง การที่ต้องมาทำถึงในป่านี้ก็เพื่อจะอาศัยบรรยากาศอย่างธรรมชาติ เพื่อให้จิตใจน้อมระลึกนึกถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้โดยง่ายนี้อย่างหนึ่ง อีกอย่างหนึ่งก็เพื่อให้ธรรมชาตินี้ช่วยให้เข้าใจในพระธรรมคำสอนของพระองค์นี้ก็อย่างหนึ่ง เราได้ทราบกันมาเป็นที่แน่นอนแล้วว่าพระศาสดาทุกพระองค์ตรัสรู้ในป่า แม้พระศาสดาแห่งพุทธศาสนาก็ยังเป็นอย่างนั้น ที่มากไปกว่านั้นก็คือ ท่านประสูติกลางดิน ตรัสรู้กลางดิน นิพพานกลางดิน สอนสาวกกลางดิน จนกล่าวได้ว่า พระธรรม ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์นั้นเกิดขึ้นจากการแสดงกลางพื้นดิน กุฏิที่ประทับอาศัยของพระองค์ทุกหนทุกแห่งที่มีซากเหลือปรากฏอยู่ในบัดนี้ก็พื้นดิน เดี๋ยวนี้ท่านทั้งหลายได้มานั่งอยู่ ณ พื้นดิน ขอให้ทำใจระลึกนึกถึงพระพุทธองค์ในข้อที่ว่าทรงประสูติกลางดิน ตรัสรู้กลางดิน นิพพานกลางดิน เป็นต้น ข้อที่ว่าธรรมชาติจะช่วยให้เข้าใจธรรมะได้ง่ายนั้น ก็เพราะว่าธรรมะนั้นก็คือความจริงทั้งหลายอันเกี่ยวกับธรรมชาตินั่นเอง เป็นตัวธรรมชาตินั่นเองบ้าง เป็นกฎของธรรมชาติบ้าง เป็นหน้าที่ที่มนุษย์จะต้องปฏิบัติตามกฎของธรรมชาติบ้าง เป็นผลที่ได้รับมาจากการปฏิบัติหน้าที่นั้นบ้าง นี่เราเรียกว่าธรรมะซึ่งเป็นความจริงของธรรมชาติ เมื่อมานั่งอยู่ในท่ามกลางธรรมชาติมันก็ง่ายที่จะเข้าใจธรรมะซึ่งเป็นความจริงของธรรมชาติ ขอให้ท่านทั้งหลายตระเตรียมจิตใจของท่านให้อนุโลมโดยนัยยะดังที่กล่าวนี้ก็คงจะได้รับประโยชน์คุ้มค่าที่มีความยากลำบากหมดเปลืองมาประกอบพิธีวิสาขบูชาในสถานที่นี้ ถ้าจะได้รับความลำบากบ้าง สมมติว่าฝนจะตกลงมาก็ถือว่าเป็นการเข้าถึงธรรมชาติ จะได้รู้ความจริงของธรรมชาติว่ามันเป็นอย่างนี้เอง คนที่ไม่เข้าใจอย่างนี้ก็จะโกรธ ก็จะเกลียด ก็แช่งด่าฝนฟ้าเป็นต้นอยู่เป็นประจำ นี่ก็เรียกว่า ไม่เข้าใจถึงธรรมชาตินั้น แต่ถ้าเห็นว่ามันเป็นอย่างนี้เอง เป็นความรู้ที่เข้าใจธรรมชาติได้ แล้วถ้าจะนึกไปถึงว่านี่เป็นการสอบไล่ของธรรมชาติต่อพวกเรา มันจะมีธรรมะของพระพุทธองค์มากน้อยสักเท่าไหร่ก็จะยิ่งเป็นการดี ถ้าฝนตกลงมาใครมีใจคอปกติอยู่ได้ก็เรียกว่าสอบไล่ได้ ในส่วนธรรมะของพระพุทธองค์ในข้อที่ว่า สิ่งทั้งหลายทั้งปวงมันเป็นอย่างนี้เอง เช่นเป็นทุกข์ เช่นไม่เที่ยงเป็นทุกข์เป็นอนัตตา เป็นต้น ถ้าได้รับความลำบากอย่างอื่น ขอให้ระลึกนึกถึงพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นว่า ท่านทรงประสบความยากลำบากอีกนานาประการ ที่ท่านทรงไม่ใช้รองเท้า ท่านทรงไม่ใช้ร่ม ท่านไม่มีรถยนต์นั่ง อะไรๆ ก็ล้วนแต่เป็นไปตามธรรมชาติ เราก็ควรจะได้รับความรู้สึกเกี่ยวกับสิ่งนั้นๆ ให้เป็นอย่างดี ถ้าเดินเท้าเปล่ามีความรู้สึกปวดเจ็บอย่างไร ก็ขอให้นึกถึงว่าแม้พระพุทธองค์ซึ่งไม่มีซึ่งทรงไม่มีรองเท้าเลยก็ท่านมีความรู้สึกอย่างนั้น หรือว่าท่านจะลองนั่งกลางดินก็มีความรู้สึกอย่างนั้น ดังนั้นขอให้เตรียมจิตใจเพื่อเข้าใจสิ่งเหล่านี้ในลักษณะอย่างนี้ก็จะไม่เสียทีที่จะมาทนลำบากเพื่อทำวิสาขบูชาที่นี่ ที่มากไปกว่านั้นก็คือ อาตมาอยากจะให้ท่านทั้งหลายทุกคนมีความก้าวหน้ายิ่งๆ ขึ้นไปทุกๆ ปีในเรื่องเกี่ยวกับภาษาธรรม ภาษาที่ใช้พูดกันอยู่มีเป็น ๒ ภาษา ภาษาคนธรรมดาพูดรู้เข้าใจนี่เรียกว่า ภาษาคน ถ้าภาษาที่ต้องมีสติปัญญาจึงจะพูดหรือรู้หรือเข้าใจนี้ก็เรียกว่า ภาษาธรรม อย่างตรงนี้เราก็เรียกกันว่าโบสถ์ ก็โบสถ์นี้ก็มีต้นไม้เป็นผนังโบสถ์ มีใบไม้เป็นหลังคาโบสถ์ มันมีความหมายเป็นโบสถ์ในลักษณะอย่างนี้เรียกว่าเป็นภาษาธรรม ถ้าโบสถ์อย่างที่เห็นๆ กันอยู่ทั่วๆ ไปตามวัดวาอารามต่างๆ ก็เรียกว่า โบสถ์ในภาษาคน ผลที่เกิดจากการใช้ภาษาทั้งสองนี้ต่างกันอย่างไร ขอให้พิจารณาดูต่อไป ว่าอันไหนเป็นเครื่องช่วยให้เข้าถึงธรรมชาติได้มากกว่า อันไหนมีความลึกซึ้งกว่า เดี๋ยวนี้เรามาทำพิธีวิสาขบูชาอุทิศสมเด็จพระบรมศาสดา ซึ่งจะกล่าวโดยภาษาคนก็เป็นอย่างหนึ่ง ถ้าจะกล่าวโดยภาษาธรรมก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง ถ้ากล่าวโดยภาษาคนก็ต้องกล่าวไปในทำนองว่า พระพุทธองค์ปรินิพพานแล้วหรือพูดอย่างเด็กๆ ก็ว่าท่านตายแล้ว แต่ถ้าพูดอย่างภาษาธรรมมันตรงกันข้าม คือว่า พระพุทธองค์มิได้ปรินิพพาน ไม่ได้ตายยังอยู่ตลอดกาล ถ้าพูดโดยภาษาธรรมพระพุทธเจ้าก็เป็นบุคคลคนหนึ่งซึ่งเดินไปเดินมาอยู่ในประเทศอินเดียสมัยโน้นและก็ตายแล้ว แต่ถ้าพูดโดยภาษาธรรมพระพุทธเจ้าก็เป็นพระพุทธเจ้า และก็ไม่มีการตาย แล้วก็มาอยู่ในจิตใจมาอยู่ในดวงใจของพระพุทธบริษัทที่มีธรรมะสำหรับพุทธบริษัทอย่างเพียงพอ ท่านลองคิดดูว่า พระพุทธเจ้าที่ตายแล้ว ถ้าอยู่ก็อยู่ถึงประเทศอินเดียนี้อย่างหนึ่ง กับพระพุทธเจ้าที่เดี๋ยวนี้มาอยู่ในหัวใจของเรา ๒ อย่างนี้อย่างไหนจะดีกว่ากัน เรามาทำพิธีวิสาขบูชานี้ทำเพื่อพระพุทธเจ้าที่ตายแล้ว หรือว่าทำเพื่อพระพุทธเจ้าที่ยังอยู่และก็อยู่ในหัวใจของเรา และมาคิดว่าการที่เรามาทำพิธีวิสาขบูชาที่นี่ด้วยความลำบากนี้ควรจะได้รับประโยชน์อะไรให้มาก คือ จะทำพิธีวิสาขบูชาในลักษณะที่ว่าพระพุทธองค์ยังทรงอยู่และอยู่ในหัวใจของเรา ที่นี้ท่านทั้งหลายก็ได้ยินได้ฟังได้รับการสั่งสอนมาว่า วันนี้เป็นวันประสูติ วันนี้เป็นวันตรัสรู้ และเป็นวันปรินิพพานของพระพุทธเจ้า แล้วจะทำอย่างไรกัน พระพุทธเจ้าเกิดขึ้นมาอย่างบุคคลตรัสรู้แล้วก็นิพพานไปแล้ว จะอยู่เป็นที่พึ่งของคนทั้งหลายได้อย่างไร นี่ปัญหาในทางภาษาคนย่อมจะเกิดขึ้นอย่างนี้ ถ้าเป็นเรื่องในทางภาษาธรรมปัญหาอย่างนี้ไม่เกิด คือจะตอบได้ว่า พระพุทธเจ้าประสูติ ตรัสรู้ นิพพานนั้นหมายความว่า ชวนจิตดวงหนึ่งได้เกิดขึ้นนี้เป็นการประสูติ ชวนจิตนั้นเต็มไปด้วยความรู้ถึงที่สุดนี้เป็นการตรัสรู้ ชวนจิตนั้นทำลายกิเลสตัณหาอาสวักได้หมดจดสิ้นเชิงนี้เป็นการปรินิพพาน การประสูติก็ดี การตรัสรู้ก็ดี การปรินิพพานก็ดีเป็นลักษณะอาการแห่งจิตของบุคคลที่เรารู้จักกันว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่เป็นการกล่าวในอย่างภาษาธรรมจะได้ประโยชน์อะไร จะได้ผลวิเศษออกไปอย่างไรก็ลองคิดดู อย่างน้อยเราก็จะยังมีพระพุทธเจ้าที่ยังอยู่และก็ประทับอยู่ในจิตใจของเราด้วย และเราเองก็อาจจะมีความเป็นอย่างนั้นได้ด้วย คือว่า ถ้าเราซื่อตรงจงรักภักดีต่อพระพุทธเจ้า ประพฤติปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์ให้เป็นอย่างยิ่ง เราก็จะมีอาการอย่างเดียวกันคือ มีชวนจิตอันหนึ่งเกิดขึ้น และเป็นการรู้ในสิ่งที่ควรจะรู้และก็ทำให้อนุสัยอาสวักสิ้นไป เมื่อเป็นดังนี้แล้ว การประสูติ การตรัสรู้ การปรินิพพานอย่างของพระพุทธเจ้านั้นก็จะมีแก่เราจะมีขึ้นในจิตใจของเรา ขอให้ทำความรู้สึกความเข้าใจอย่างนี้ไว้และคอยจ้องหาโอกาสที่จะให้เป็นอย่างนั้นจริงๆ
เดี๋ยวนี้เราก็มาทำพิธีวิสาขบูชาเป็นเครื่องระลึกนึกถึงสมเด็จพระบรมศาสดาทั้งใน ๒ ความหมายคือทั้งในความหมายภาษาคนว่า ท่านประสูติ ตรัสรู้แล้วก็นิพพานไปแล้ว และความหมายที่ว่าแม้ว่าท่านจะประสูติ ตรัสรู้และปรินิพพานอย่างไรท่านก็ยังอยู่ในหัวใจในพุทธบริษัททุกคนอยู่นั่นเอง เราจะบอกลูกเด็กๆ ว่าอย่างไร ว่าพระพุทธเจ้าเสด็จเข้าสู่ปรินิพพานไปอยู่ในอมตะมหานครแล้ว เด็กๆ เขาจะคิดว่าอย่างไร ว่าเราจะพึ่งพระพุทธเจ้าได้อย่างไรไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน ก็ที่เราจะบอกเขาว่าพระพุทธเจ้าอยู่ในหัวใจของเรา เมื่อเรากระทำให้ถูกต้องทางกาย ทางวาจา ทางใจ ทางความคิดความเห็นแล้วพระพุทธเจ้าจะอยู่ในหัวใจของเรา ซึ่งจะเรียกได้อย่างหนึ่งว่า อมตะมหานครนั้นมันอยู่ในหัวใจของเรา ฉะนั้นเราจงค้นข้างในด้วยกันทุกๆ คนก็จะค้นพบสิ่งที่เรียกว่า อมตะมหานคร ถ้าพระพุทธเจ้าไปอยู่ที่อมตะมหานครก็พบได้ ยังพบได้และก็พบอยู่ในหัวใจของเรา และอาจทำให้จิตใจของเรามีการประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพานตามอย่างสมเด็จพระบรมศาสดาจารย์โดยนัยยะดังที่ว่ามา ขอให้ท่านทั้งหลายละทิ้งความหมายในภาษาคนเรื่องบ้านเรื่องเรือนเสียสักครู่หนึ่งเถิด ในโอกาสนี้ที่นี่และเดี๋ยวนี้เพื่อเตรียมจิตใจให้เหมาะให้สมที่จะเข้าใจภาษาคนในลักษณะที่พระพุทธเจ้ายังทรงอยู่โดยพระคุณ อยู่ในหัวใจเราและก็จะทำพิธีวิสาขบูชา การกระทำนั้นก็จะมีความหมายนำมาซึ่งความปิติและปราโมทย์สูงสุดถึงที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ นี่คือ การทำพิธีวิสาขบูชาในลักษณะที่เรียกกันว่า อภิเษก ให้สมกับที่ว่าอุตสาห์มาด้วยความยากลำบาก การประสูติ การตรัสรู้ การปรินิพพานของพระพุทธเจ้าไม่เป็นอุปสรรคที่จะทำให้เราเข้าถึงพระองค์ไม่ได้ ถ้าเราถือเอาความหมายถูกต้อง ไม่ใช่พระพุทธองค์ประสูติอยู่ที่อินเดียและเราก็เข้าถึงไม่ได้ ไม่ใช่ว่าการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าก็มีอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่งในประเทศอินเดียและเราก็เข้าถึงไม่ได้ และไม่ใช่การปรินิพพานของพระองค์นั้นเป็นการทำให้พระองค์ล่วงลับสิ้นสูญไปแล้วและเราก็เข้าถึงไม่ได้ เราจะต้องเข้าให้ถึงให้ได้โดยแท้จริง ให้มีการประสูติของพระพุทธองค์ขึ้นมาในจิตใจของเรา ให้มีการตรัสรู้ของพระพุทธองค์ขึ้นมาในจิตใจของเรา ให้มีการปรินิพพานของพระพุทธองค์ตั้งอยู่ในจิตใจของเรา นี้เรียกว่า ไม่มีอะไรเป็นเครื่องแบ่งแยกกีดกันพระพุทธองค์ออกไปจากการเข้าถึงของเรา เรายังมีการเข้าถึง การปรินิพพานของพระองค์นั้นไม่อาจจะแยกเราออกจากพระพุทธองค์ได้ การปรินิพพานของพระองค์เสียอีกจะเป็นการทำให้เราเข้าถึงพระพุทธองค์ยิ่งขึ้นถ้าท่านรู้ภาษาธรรม รู้ความหมายของภาษาธรรมก็จะรู้ว่า การปรินิพพานนั้นจะยิ่งทำให้มีโอกาสที่จะเข้าถึงพระพุทธองค์ได้ยิ่งขึ้น ดังนั้นขอให้ศึกษาหลักคำสอนของพระองค์ประพฤติปฏิบัติตามอยู่ เกิดการรู้อย่างเดียวกับพระองค์ มีความสิ้นไปแห่งกิเลสตัณหาดับเสียได้ที่ตัวตน ความรู้สึกประเภทตัวกูของกูนั้นโดยสิ้นเชิง นี่จะเรียกว่า มีพระพุทธเจ้าอยู่ในเรา และเราจะเอาอะไรจากพระพุทธเจ้าก็ได้ทั้งนั้น พูดแล้วมันก็จะเป็นเรื่องไม่น่าเชื่อว่า เราจะเอาอะไรจากพระพุทธเจ้าก็ได้ทั้งนั้น ถ้าเราสามารถทำให้พระพุทธเจ้ามามีอยู่ในจิตใจของเรา ก็จะขออะไรก็ได้ จะต้องการอะไรก็ได้ ให้คุ้มครองอย่างไรก็ได้ เรามีพระพุทธเจ้ามาอยู่ในหัวใจของเราดีกว่าเอารูปของท่านมาแขวนไว้ที่คอ ถ้าพูดกันอย่างภาษาคนก็เรียกว่า เอารูปของท่านมาแขวนไว้ที่คอ ถ้าพูดกันอย่างภาษาธรรมก็เอาพระองค์จริงมาใส่ไว้ในหัวใจ ขอให้ท่านทั้งหลายมีความรู้มีความเข้าใจในข้อนี้ และก็พยายามที่จะทำพิธีวิสาขบูชานี้ให้มีความหมายถึงที่สุดโดยภาษาธรรมโดยทุกๆ คนเถิด
การทำพิธีในเดือนพฤษภาคม คือ พิธีวิสาขบูชานี้ก็จะมีประโยชน์อย่างยิ่ง คุ้มค่าที่เรามาประชุมกันในสถานที่นี้ ซึ่งเสียสละมากมีความลำบากมาก เพื่อเข้าถึงสิ่งสูงสุดโดยจิตใจ เรียกว่า มันก็จะต้องมีกำไรยิ่งกว่าที่จะมีกำไร ธรรมเทศนานี้ในวันนี้จะมีเพียงเท่านี้ เพราะว่าฝนกำลังตั้งเค้ามาแล้ว แล้วก็ไม่ได้มีประโยชน์และไม่มีความมุ่งหมายมากไปกว่าว่า เพื่อเตรียมจิตใจของท่านทั้งหลายทุกคนให้เหมาะสมที่จะกระทำพิธีวิสาขบูชา จิตใจที่เตรียมดีแล้วย่อมทำพิธีวิสาขบูชามีผลมาก ดังนั้นจึงบอกกล่าวว่า จะทำการเตรียมจิตใจอย่างไรเพื่อทำพิธีวิสาขบูชามีผลมากสืบไป ธรรมเทศนาที่เป็นการเตรียมจิตใจเพื่อการทำพิธีวิสาขบูชาก็พอสมควรแก่เวลาแล้วอาตมาขอยุติไว้แต่เพียงนี้ แล้วเราก็จะเริ่มพิธีวิสาขบูชาต่อไปตามโอกาส
ขอให้พระสงฆ์ทั้งหลายทำจิตใจชนิดที่ว่างปราศจากสิ่งกักกันผูกพันใดๆ ทั้งสิ้น ไม่มีความสำคัญเป็นตัวกูของกู ไม่มีความสำคัญว่าเราอยู่ที่ไหนก็หลับตาเสีย ทำในใจว่า ไม่มีทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศตะวันออก ทิศตะวันตก ไม่มีประเทศอินเดีย ไม่มีประเทศไทย มีแต่ความว่างอันไม่มีขอบเขต มีจิตใจส่งไปในความหมายความว่างอย่างนี้แล้ว ก็เป็นจิตใจที่เข้าถึงพระพุทธองค์ ซึ่งประกอบอยู่ด้วยความว่างจากกิเลสตัณหาและตัวตนไม่มีอะไรที่จะผูกมัดจิตใจของพระองค์ หรือว่ากักกันจิตใจของพระองค์ไว้ในที่ใดที่หนึ่ง เราทำความเป็นอิสระอย่างนี้แล้วมีความเหมาะสมที่จะกล่าวคำบูชาสรรเสริญพระองค์ ก็นิมนต์หลับตาเสียอย่ามีทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศตะวันออก ทิศตะวันตก ข้างบนข้างล่างอะไร ขอให้เป็นความว่างที่ไม่มีขอบเขต