แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ในครั้งพระพุทธกาล ก็ๆ คล้ายๆ กันอย่างนี้แหละ ไอ้คนที่เขา เขาอยาก จะรู้จักความดับทุกข์ต่อไป จนถึงที่สุดก็มา มาหา มาๆ มาเฝ้าพระพุทธเจ้า คนที่เป็นอันธพาลหรือเป็น มันก็ไม่มาเหมือนกัน ทีนี้ที่ว่าพระพุทธเจ้าท่านมีความประสงค์เจาะจงไปโปรดคนบางคน ที่ว่าเป็นยักษ์ก็มี อาฬวกยักษ์ หรือเป็นพราหมณ์ขี้เหนียวขี้ตืดนั่นก็มี แต่คนเหล่านี้มันก็ไม่ใช่พวกอันธพาล อย่างที่ว่าเป็นอันธพาลโดยสันดาน อันธพาลไม่มีเหตุผล และก็น้อยที่สุด และก็มีน้อยที่สุดนะ คนที่มาฟังพระพุทธเจ้า ตั้งเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นมันก็คนที่อยากรู้ทั้งนั้นล่ะ เดี๋ยวนี้ปัญหามันก็มีอย่างนี้ มันก็ไม่ใช่กะเกณฑ์ให้เป็นหน้าที่ของพระสงฆ์ โดยยุติธรรมมันไม่เป็นอย่างนั้น แต่ถ้าตั้งใจจะช่วยกัน มันก็ได้นะ ถ้าพระสงฆ์องค์ไหนอยากจะช่วยประชาชน ช่วยโลก มันก็ๆควรจะได้นะ ก็ต้องคิดหาวิธีเอาเองซิ ถ้าใครอยากจะทำอย่างงั้น มีวิธียังไงจะให้คนที่เรียกว่าเป็นอันธพาล เป็นไอ้ อันตรายของสังคม
เมื่อผมยังเที่ยวเทศน์สั่งสอนแบบนี้ เหมือนกับพวกคุณนี้ ก็มีประสบความสำเร็จในบางแห่ง อยากจะเอ่ยชื่อเขา เพื่อสดุดีเขา แม้เขาตายแล้ว เขาชื่อ นายโพธิ์ ศรีวาลัย เป็นชาวหลังสวน ตอนนั้นเป็นนายอำเภอเกาะสมุย คนนี้มันเอาจริง อย่างที่เขาเรียกว่าบ้าบิ่นนะ แต่ก็ใช้อุบาย เรียกให้คน ให้มาฟังเทศน์ตั้งแต่อายุ ๑๗ ปี ถึง ๓๕ ปี ต้องมาทุกคน ผู้ใหญ่บ้านต้องคุมมาเป็นฝูงๆ คนแก่ไม่เอา เพราะว่าระบุว่า ๑๗ ปี ถึง ๓๕ ปี ผู้ใหญ่บ้านคุมมาเป็นหมู่ๆ และกำนันนำมาทั้งหมด เป็นแห่ง เป็นหมู่ เป็นไอ้ เป็นตำบล บางทีก็หลายหมู่บ้าน บางทีก็ทั้งตำบล เขาฉลาด จะอ้างพระราชบัญญัติอะไรไม่รู้อ่ะ ที่มันตกค้างอยู่ตั้งแต่สมัยราชาธิปไตยน่ะ เรียกประชุม แจ้งข้อราชการอะไรเขา ผมก็ไม่ค่อยได้ถามอ่ะ แต่แกบอกว่าไอ้นั่นมันทำได้ มันก็มาเต็มวัด ทุกแห่งที่ๆ ที่ไปอบรม ก็มาเต็มวัด อืม แล้วก็จัดให้อายุน้อยที่สุดนั่งหน้าที่สุด ตามที่จะจัดได้ อายุ ๑๗ ปีนี่มานั่งหน้าที่สุดเลย แล้วก็ค่อยๆอายุมาก ไกลออกไปๆ มีเด็กไอ้ๆวัยรุ่น ๑๗ ไอ้นี่หลายๆ มากๆ มากตามส่วน มากเต็มตามส่วนน่ะ แต่ที่ๆไม่ได้มาก็คงมีบ้าง บางคนมานั่งกัดฟัน กรอดๆๆ ด่าอยู่ในใจ แต่ไม่ ไม่มากนัก จำนวนก็ไม่มากนัก แต่เห็นได้ว่ามันด่าอยู่ในใจ ไอ้เด็กคนนี้ถูกจับมา ให้มาฟังและมานั่งอยู่ข้างหน้าด้วย และบางทีกัดฟันกรอดๆๆ นั่งอยู่ใกล้ๆผมอย่างนี้ เพราะว่าเขาให้มันมาใกล้ๆที่สุด แต่ที่มันปกติก็มีส่วนมาก ไปซะหมด นั่นน่ะเขาทำได้ และเขารักที่จะทำและก็ตั้งใจที่จะทำ ทุกแห่งแหละที่ๆไปแสดงธรรมที่เกาะสมุย แต่ที่อำเภออื่นที่เขาไม่ ไม่ได้ใช้วิธีอย่างนี้ เขาก็ยังขนออกมาได้ แต่ที่กาญจนดิษฐ์ก็มาแยะเหมือนกัน ต้องการแต่พวกหนุ่ม เมื่อเราก็เทศน์แบบอบรม แบบบรรยาย แบบอบรม ไม่ต้องตั้งนะโม ไอ้ที่นั่งกัดเขี้ยวอยู่ มันก็ยังนั่งกัดเขี้ยวอยู่ ดูจะไม่ยอมรับ ไม่ยอมรับเข้าไปเพราะมันอัดไว้ พลักดันให้เต็มที่ แต่ว่าได้ผลมากกับไอ้ๆจำนวนอื่น เราพูดถึงเรื่องนี้ เรื่องคล้ายๆที่พูดอยู่ตอนหลังๆ พูดด้วยน้ำเสียงที่เป็นมิตร แต่ถ้อยคำนั้นมันๆรุนแรง ว่าเกาะสมุยจะลอยก็เพราะพวกเธอนี่ เกาะสมุยจะจมทะเลก็เพราะพวกเธอ แล้วอธิบายให้ว่าเป็นยังไงๆ เกาะสมุยมันจะลอยไหมหมายความว่าอย่างไร จะจมหมายความว่าอย่างไร มันก็มีพูดเรื่องจับบิดามารดาใส่นรกเหล่านี้ด้วย สรุปแล้วก็มี มีเด็กที่ร้องไห้ ที่ผมเหลือบไปเห็น เป็นไปได้ก็ ๙ คน ๑๐ คน ไอ้นี่คงเสียใจมาก คงนึกได้หรือว่าอะไร มันร้องไห้ มันนั่งร้องไห้อยู่ ก็หลายร้อยคนนั้นก็ดูไม่ถึงกับสลดสังเวชอะไรนะ พวกกัดฟันก็ยังกัดฟันอยู่ ทีนี้มันจะทำไงได้ล่ะ มันก็ทีเดียวแล้วก็ไป ทีเดียวแล้วก็ไป ทีเดียวแล้วก็ไป ทีเดียวแล้วก็ไปอะที่อื่นอีก ทีเดียวที่อื่นอีก มันก็ได้ผลเพียงเท่านั้น นี่เพราะอย่างนั้นผมก็บอกว่า ถ้าเอาจริงมันยังมีทางทำได้ เดี๋ยวนี้มันเป็นประชาธิปไตยก็จริง แต่มันยังมีอะไรที่จะทำได้ ถ้าเขารักที่จะทำ ต่อมาเขาไปเป็นครูสอนอยู่ที่โรงเรียนในอำเภอที่กรุงเทพ และก็ไปตายแล้ว ไม่ทราบว่าลงโทษอย่างไรบ้าง แต่ว่ากำนันเขาเอามาจนได้ เท่าที่ เรียกว่าจะทั้งหมด ตอนนั้นมันยังมีอะไรพูดกันรู้เรื่องอยู่มาก กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน โดยเฉพาะที่นั่น ยังพูดรู้เรื่อง มีๆจิตใจที่เป็นธรรม
แต่เดี๋ยวนี้มันตั้ง ๒๐-๓๐ปีแล้ว ไม่รู้จะเป็นอย่างไรแล้ว จะทำได้หรือไม่ก็ยังไม่ทราบ ตอนนั้นรู้สึกว่าทำได้ มันก็ใช้วิธีพูดจาในเชิงชักจูงบ้าง ว่ามาดูอะไรแปลกๆบ้าง เป็นครั้งแรกที่เครื่องบันทึกเสียงเข้ามาในประเทศไทย เส้นลวดอุตส่าห์พาไปด้วย นี่ก็ทำให้คนสนใจก็แยะ มันไม่เคยเห็น เหมือนกับปาฏิหารย์ พูดเสร็จก็ เดี๋ยวก็ออกมาแล้ว ถ้าเขาทำกันได้อย่างนี้ มันก็คงจะมี มีคนดี แต่เดี๋ยวนี้มันเปลี่ยนมาก ไอ้เด็กๆเป็นนักเรียน เป็นนักศึกษา มหาวิทยาลัย มันไม่ยอม ไม่ยอมให้จูงจมูกอย่างนี้ ดังนั้นก็เลยถือว่ามันๆอยู่นอกวิสัยของเรา ครั้งพุทธกาลก็ไม่ได้ทำได้ ต้องเป็นเรื่องของฝ่ายบ้านเมือง ทีนี้ถ้ามามันก็มีปัญหาอื่นอีก คนที่จะไปพูดกับเขาให้เป็นประโยชน์นั่นก็สำคัญเหมือนกันนะ พระที่จะไปสอน คุณก็ลองสังเกตุดู ไปสอนมันได้ผลกี่มากน้อย แม้สอนคนที่มันอยากจะฟังอยู่แล้ว ก็ยังไม่ค่อยได้ผล และคนอย่างนั้นแล้วเราจะไปนั่นกะเขายังไง เดี๋ยวนี้พวกที่เกลียดๆธรรมมะขึ้นมาถึงคนแก่ ขึ้นมาถึงชั้นคนๆแก่ คนสูงอายุ ไม่ใช่เพียงแต่เด็กวัยรุ่นอันธพาลนะ สรุปความว่าไม่อยู่ในหัวของผมแล้ว ไอ้งานชนิดนี้ จะทำแต่งานที่ไอ้คนที่มันมีพื้นฐานที่จะฟัง คือคนที่ชอบอ่านหนังสือธรรมโฆษณ์นะ เปล่าเลย ไอ้เราทำได้แค่นี้ มันต้องตั้งไอ้ ตั้งพิธีอย่างกับปราบคอมมิวนิสต์อย่างงั้นแหละ ที่จะเอาคนทีนี่มาฟังเทศน์ แล้วคุณมองเห็นยังไง คุณมองเห็นว่าจะทำบ้างยังไง เอ้า, ตกลงว่าอันนี้มองไม่เห็น ยกเลิก เราก็บอกว่าเราก็จนปัญญาเหมือนกัน ก็ทำไปเถอะ ถ้าที่ว่าใครมันรับจะฟังก็เอาให้ได้ก่อนเถอะ ถ้ามันไม่ได้ฟังล่ะ มันจะไปเป็นอันธพาลซะ มันฟังยี่เกนะไม่ได้ฟังนิยายธรรมะ ไอ้เรื่องอย่างนั้นมีมากกว่า ลองไปติดตามดูว่ามันฟังยี่เก ฟังไอ้นิยาย ไอ้เพลงลูกทุ่ง ฟัง ฟังนิยายธรรมะไม่กี่คน ไอ้นิยายธรรมะหรือสไลด์ชวนหัว นี่คุณก็ลองไปตั้งข้อสังเกตดูบ้าง มันมีผลยังไง สไลด์ชวนหัวถ้าไปออกโทรทัศน์น่ากลัวจะมีคนปิด ปิด รีบไปปรับช่องอื่น ก็ลองดูเหมือนกับผมมัน ไม่มีความคิด ไม่มีเวลา ไม่มี เรี่ยวแรง ก็มันมีงานอื่นที่ผมเห็นว่ามันดีกว่านั้นที่จะทำ เดี๋ยวนี้เพียงแต่คิด หาเรื่องพูดวันเสาร์ให้พอดีกับเรี่ยวแรง มันสมองเจ็ดวันพูดได้เรื่องหนึ่ง เจ็ดวันพูดได้เรื่องหนึ่ง หมดกำลังกาย หมดกำลังสมอง หมดกำลังละ แล้วยังต้องปลดทุกข์ยากๆที่เขากำลังพิมพ์อยู่นี้ อยู่อีกสองสามเรื่อง ไม่ๆมีหัวคิดที่จะไปคิดอย่างงั้นแล้วล่ะ ถ้าคุณสนใจก็ลองดู เราจะพูดกับอันธพาลชั้นเทวดา คุณได้ยินรึเปล่า ฮะ อันธพาลเทวดา คุณไม่ได้ฟังล่ะซิ อันธพาลเทวดา เทวดาอันธพาล เรามุ่งจะโจมตี หรือจะเผชิญหน้ากับพวกเหล่านี้ ไอ้มนุษย์อันธพาลนี่ยังไม่ค่อยอยากจะไปยุ่ง มันก็ต้องมีๆแผนการณ์จะทำกับพวกนั้น โดยเฉพาะเดี๋ยวก็คงจะทำแหละ คงจะมีผลบ้างล่ะ มีผลบ้างแหละ ขอให้ทำเถอะ นี่เราจะพูดกับคนที่มีกิน มีกาม มีเกียรติแล้วแต่ยังเป็นอันธพาล นี่เรียกว่าอันธพาลเทวดา ส่วนพวกที่ยังไม่มีกิน มีกาม มีเกียรตินั้นพูดยาก มันยังพูดยากอีกเท่าตัว ความเป็นอันธพาลของมัน มันหลายชั้น ทีนี้คนที่เป็นพวกมีกิน มีกาม มีเกียรติ แต่เป็นอันธพาล เกลียดธรรมะ จะต้องพยายามสู้กันไปสักพัก นานเท่าไหร่ก็ไม่รับผิดชอบ แต่ว่าจะสู้กันสักพักนึง ผมก็ไม่ได้อยู่นิ่ง ทั้งวันทั้งคืนมันคิดอยู่แต่เรื่องที่จะพูด พอครบเจ็ดวันก็พอไปพูดครั้งหนึ่ง ฉะนั้นโรคภัยไข้เจ็บมันจึงไม่รู้จักหาย โดยเฉพาะโรคเรื่องสมองความดันโลหิตสูง นี่มันๆหายไม่ถูก เพราะมันทำงานตลอดวัน ตลอดสัปดาห์
มองเห็นว่าแม้พระพุทธเจ้าเองท่านก็ช่วยไอ้พวกอันธพาลเทวดานี้เป็นส่วนมาก ไอ้มนุษย์อันธพาลแท้ๆมันก็ไม่มีโอกาสพบ ไม่เคยได้ช่วย คุณไปอ่านดูในเรื่องราวในอรรถกถา ทั้งในพระไตรปิฏกจะพบ คนที่ฟังอนุปุพพิกถาเข้าใจ มันจึงจะควรฟังอริยสัจ ใช่ไหม หา ไหนคุณลองอธิบายสิทำไมมันถึงเป็นอย่างนั้น มันต้องพูดกันเดี๋ยวนั้นรู้เรื่อง เห็นโทษของวิมาน มันถึงจะละความยึดมั่นอันนั้นเสียแล้วเหมาะสมที่จะฟังเรื่องอริยสัจ นี่เป็นหลักที่เมื่อก่อนนี้เราไม่ค่อยสนใจ ไม่ค่อยสังเกต เดี๋ยวนี้มองเห็นชัดเลยว่าทำไมต้องเป็นอย่างนั้น ถ้าฟังเรื่องอนุปุพพิกถาไม่เข้าใจแล้วก็ ก็ฟังเรื่องอริยสัจอย่างเป่าปี่ไม่ได้ ฟังและขยันเป่าไปซิ เดี๋ยวนี้เราก็กำลังยังพยายามอยู่มากที่จะให้เขาฟัง เอ่อเรื่องชนิดอนุปุพพิกถาเข้าใจ ไอ้ความน่าเบื่อหน่ายของกามารมณ์ ของอะไร เรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรติ อย่าให้มันหลงกันนัก และพอจะเห็นโทษของสิ่งเหล่านี้ ก็เลี้ยวไปไม่สนใจอีกเรื่อง ดับ ดับกิเลส ดับปัญหา
เมื่อไหร่เขามีกระทรวงศีลธรรมตั้งขึ้นครอบๆ ครอบคลุมกระทรวงทั้งหลายทุกกระทรวง ดำเนินกิจการศีลธรรม โดยนายกรัฐมนตรีเองหรือโดยในหลวงนี้ จึงจะค่อยมีหวัง แต่พูดแล้วเขาก็หัว หัวเราะหรือโห่เลยว่าเราจะตั้งกระทรวงศีลธรรม เป็นกระทรวงใหญ่พิเศษ ควบคุมกระทรวงใหญ่ทุกกระทรวง แต่ว่ามันบ้า มันถึงทำไม่ได้ ใครจะไปรู้มันสักวันหนึ่งมันอาจจะเกิดความเห็นกันขึ้นมาว่าทำกันก็ได้ และให้อำนาจกันเต็มที่ ในการที่จะจัดสรรให้จัดคนมาอบรมศีลธรรม เพียงแต่ให้รักเพื่อนมนุษย์ก็ยังทำไม่ได้ แล้วเรื่องนี้เราเอาเก็บไว้ก่อน ทำกะพวกไอ้เทวดาอันธพาลไปก่อน เป็นนายทุนอยู่ก็มี เป็นนักธุรกิจ ก็มี เป็นนักการเมืองก็มี เป็นคฤหบดี ครูบาอาจารย์พระเจ้าพระสงฆ์ก็มี เทวดาอันธพาล อย่างที่พูดในวันแรก อย่างนี้เราเรียกว่าเทวดาอันธพาล แม้อยู่ในคราบของพระเจ้าพระสงฆ์ อยู่ด้วยความสบายเหมือนกับเทวดา ยังไม่รับผิดชอบเรื่องศีลธรรม เอ้า, ใครมีปัญหาอื่นอีก ปัญหานี้ยกเลิก
คุณฟังไม่ได้ศัพท์จับมากระเดียด ไม่ได้พูดอย่างนั้นเว้ย ไอ้ที่เรื่องที่เอามา เอามาอ้างนี้ก็ๆใช้คำไม่ถูกนี่ คำว่าสมณะที่ ๑ สมณะที่ ๒ สมณะที่ ๓ สมณะที่ ๔ มีแต่ในศาสนาธรรมะวินัยนี้เท่านั้นใช่ไหม นี่คุณเอามาพูดไม่ถูก แล้วเรื่องมันจะถูกกันได้ยังไง นั่นก็หมายถึงพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ ตามแบบนี้นะ และก็มีแต่ในพระธรรมวินัยนี้เท่านั้น มันขัดอะไรกันอ่ะ ตามแบบนี้ ไอ้ที่ผมว่าไอ้คนบางถิ่นบางยุคบางสมัยมันเหมาะในระดับศาสนาที่มีพระเจ้า อย่างศาสนาคริสต์ อิสลาม อย่างเดี๋ยวนี้ไปดูเหอะไอ้ถิ่นแอฟริกา ถิ่นอาหรับ ถิ่นปาเลสไตน์ที่พวกยิวเนี้ ก็ยังเหมาะที่นับถือศาสนาอย่างมีพระเจ้า ไม่เหมาะที่จะถือศาสนาพุทธ และในประเทศอินเดียที่เขาบูชาสติปัญญากันมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์นั้นน่ะมันก็ไม่เหมาะที่จะถือศาสนาอย่างอื่นนอกจากไอ้ศาสนาที่มันเหมาะกับอินเดีย และชาวอินเดีย แต่ถึงอย่างนั้น ชาวอินเดียบางคน บางพวก บางกลุ่ม มันก็ไม่เหมาะที่จะถือศาสนาพุทธ แต่เหมาะที่จะถือศาสนาพระเจ้า แต่ผมพูดอะไรรุนแรงกว่านั้นใช่ไหม หา ว่ายังไง แม้ว่าในๆพุทธบริษัทในประเทศไทยนี่แหละ มันบางคนมันไม่อาจจะถือ หรือไม่เหมาะ หรือไม่ๆๆไม่พร้อมที่จะถือศาสนาพุทธ มันยังเหมาะที่จะถือศาสนาคริสต์ อิสลาม คือถือพระเจ้า ที่เรียกตัวเองว่าเป็นพุทธบริษัทนี่ เป็นลูกหลานพุทธบริษัท เป็นพุทธบริษัทขึ้นทะเบียนแล้ว ยังไม่เหมาะที่จะนับถือศาสนาพุทธ เพราะจิตใจมันยังต่ำมาก ควรจะถือศาสนามีพระเจ้า เชื่ออะไรอย่างนั้นกันไปก่อน แต่ก็มันไม่ได้ทำหรือมันทำไม่ได้เพราะมันๆเป็นลูกชาวพุทธ แต่มันก็ต้องถือศาสนาพุทธ ทีนี้ในพวกที่ถือศาสนาคริสต์ เช่น พวกฝรั่งบางคนมันเหมาะแล้วที่จะถือศาสนาพุทธ ไม่เหมาะที่จะถือศาสนาคริสต์แล้ว มันก็ไม่ได้มาถือ มันก็น้อยมากที่มันจะได้มาถือ ดังนั้นเรายังพูดว่า ในหมู่ชนที่ถือศาสนาหนึ่งศาสนาใดอยู่นะไปดูให้ดี ไปดูให้ดีเป็นชั้นๆ ไม่เหมาะสมที่จะถือศาสนานั้นๆของตนเลยก็มี หรือเหมาะสมก็มี ครึ่งๆ กลางๆ ก็มี เดี๋ยวนี้มันยังเป็นอย่างนี้กันอยู่ทุกศาสนา ที่มันเป็นชาวพุทธแล้วไปงมงายด้วยไสยศาสตร์ด้วยอะไร มันก็ไม่เหมาะ และไม่เหมาะที่จะนับถือคริสต์ด้วยซ้ำไป มันยิ่งไม่เหมาะลงไปถึง ๒ ชั้น ๓ ชั้น ดังนั้นก็ต้องมีศาสนาอะไรให้แทนศาสนาพุทธหรือศาสนาอะไรก็ตามอีกแบบหนึ่ง ทรงเจ้าเข้าผี เครื่องรางของขลังอะไรกันไปตามเรื่อง
ขายเรื่องอะไร ถ้าเป็นธรรมก็ดี ก็ดีดิ ผมเห็นด้วย ถ้าทำได้อย่างนั้น แต่มันยังไม่ถึงพุทธมั้ง พูดเรื่องที่ยังไม่รู้ แน่ก็ยังพูดยาก แต่ก็คอยดู คอยดูผล ถ้ามันมีผลก็ใช้ได้ ไอ้เราไม่รู้นี่เรื่องเหล่านี้ จะให้พูดพูดไม่ได้ แต่มันจะไม่มาในเรื่องที่เรียกว่า มายึดหนังสือ ได้ข่าวมาว่าเขาไปสำนักอย่างนั้นก็เพื่อไปติดต่อกับคนที่ตายแล้ว ไม่ใช่เพื่อศึกษาธรรมะ อย่างนั้นก็ยิ่งหนักเข้าไปอีก แต่คงมีประโยชน์นะสำหรับคนชนิดนั้น ไอ้ถือศีล ถือธรรมะแล้วจะพ้นจากยักษ์ จากภูตผีปีศาจ อย่างนี้ดี คุณไปดูให้มันรู้แน่ซะก่อนสิ เราอย่าเพิ่งพูดแต่สิ่งที่เราไม่รู้แน่ว่ามันเป็นยังไง
ผมนั้นมองเห็นว่าเดี๋ยวนี้จะต้องมี มีให้หลายๆแบบ พุทธศาสนาก็มีให้หลายๆแบบ ศาสนาอื่นเขาก็ต้องมีให้หลายๆแบบ แต่ว่าไอ้แบบที่ถูกต้อง ที่เป็นหัวใจของเดิมนั้นอย่าให้มันหายไปซะ แบบอื่นจะดับ ดับความทุกข์ไม่ได้ จะทำให้โลกไม่มีสันติภาพไม่ได้ นอกจากแบบที่มันแท้จริง
ประชาชนหรือสังคมก็ ก็ยิ่งแปลกออกไป จะต้องแบ่งออกไปได้หลายพวกหลายชนิดซึ่งไกลกันมาก ซึ่งต่างกันมาก ต่างจนใช้ตำราเดียวกันไม่ได้ เพราะว่ามันมีเสรีภาพ มีประชาธิปไตยชนิดที่เรียกว่าทำอะไรทำจนเด็กไม่ต้องเคารพครูบาอาจารย์ บิดามารดาก็ได้ ผมพูดกับเขาไม่ค่อยได้เพราะว่าผมมันชอบแบบเผด็จการ ไม่ชอบประชาธิปไตย หรือประชาธิปไตยต้องเป็นประชาธิปไตยที่มอบหมายให้เผด็จการ เป็นว่าเราทำ ทำอย่างอื่นไม่เป็น ต้องเป็นแต่เพียงสอนธรรมะเดิมแท้ของพระพุทธเจ้าไปเรื่อยๆ จะแก้ปัญหาได้บ้าง ไม่ๆ ไม่เสียหลาย หวังพึ่งอนิจจัง ไม่มีหวังพึ่งความเป็นอนิจจังที่มันจะเปลี่ยนๆๆ ไปถูกเข้าอีกที คุณอะไรที่มานั่งวันนั้นตรงนี้แหละ อธิบดีประชาสงเคราะห์ แต่ว่าที่อเมริกาเดี๋ยวนี้พวกฮิปปี้หายไปเกือบหมดแล้ว กลับไปทำงานกันหมดแล้ว นี่คืออนิจจัง อนิจจัง เราหวังพึ่งอนิจจัง พวกฮิปปี้หายาก กลับไปทำงาน ทำอะไรพอใจในการงาน จะมีปัญหา ที่นี้ก็พวกดำ มันไม่เที่ยงน่ะ เวลามันพิสูจน์มันเองได้ ให้มันบ้าไปสักพักหนึ่ง มันก็หายบ้า คนโบราณเขาพูดไว้นะ หายบ้ามันหยุดเองแหละ ไม่หยุด มันๆไม่หยุด หายบ้ามันหยุดเอง พวกนิโกรดำน่ะกำลังจะเป็นอันตรายแก่ประเทศอเมริกา ก็ไม่ให้การศึกษามันให้ถูกต้อง มันก็ไปเป็นอันธพาลกันขึ้นมา นี่เราก็ได้แต่หวังความไม่เที่ยง อาจจะเปลี่ยนแปลง เปลี่ยนแปลงไปจนไปหารูปเดิมกระมัง เด็กๆกลับมาเชื่อฟังบิดามารดากันอีกที ปล่อยให้มันสุด สุดเหวี่ยงความบ้าของมัน มันไม่รู้ไปไหน ก็หันกลับ เขาคงตายก่อน ไม่ได้ เดี๋ยวนี้มันไม่มี ไม่มีการกระทำที่ทำให้มองเห็นไอ้ ความสำคัญของศีลธรรม และสิ่งที่มันจะกลบเกลื่อนไม่ให้รู้จักศีลธรรมมันมีมาก ท่วม ท่วมฟ้า ท่วมไปหมด แต่เราพูดได้เลยว่าหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ ไม่ ไม่ได้ช่วยแก่ แก่การมีศีลธรรม อย่างดีที่สุดก็ทำให้อาฆาตพยาบาท กุมพวก กุมแค้น เป็นฝั่งเป็นฝ่าย แล้วปลุกให้รักชาติ ฟื้นฟูความหลัง ให้เกิดรักชาติ นี้ก็ดูทำกันได้ ไม่ ไม่เลวทีเดียว แต่มันไม่เข้ามาสู่ ขอบเขตอันนี้ ขอบเขตที่ให้มีศีลธรรม มันไม่มี มันจะกลายเป็นเมาชาติ หลงชาติ ไปเสียมากกว่า หรือว่า มันสนุกแต่การศึกษาประวัติศาสตร์ไปเท่านั้นเอง ผมพยายามเปิดดูไอ้หนังสือเอกลักษณ์ไทยนะ ที่รัฐบาลเพิ่งจัดให้ออก ทุกเล่มๆไม่เห็นว่าหน้าไหนที่จะดึงมาสู่ความมีศีลธรรม มันเอกลักษณ์ไทยเป็นแท้ เป็นเรื่องประวัติศาสตร์ เป็นเรื่องอะไร ก็ทำไป นี่มันยังไม่มีหวังอย่างนี้ ถึงขนาดนี้ บางทีเขาจะพูดว่า เมื่อคนมันรู้จัก ชาติไทยแล้วจะกลับมีศีลธรรม ก็ตามใจ เรายังไม่มองเห็น ขุดเอาเรื่องเก่าๆ แปลกๆ ในแง่ประวัติศาสตร์ศิลปะ อะไรก็ตามมา มาพูดให้หมดเวลา เป็นเด็กๆก็ไม่มีเวลาที่จะทำอย่างอื่นก็ได้ นี่เราพูดถึงไอ้หนังสือของวงการที่มันมีอิทธิพล มีอำนาจมีอะไรต่างๆ แล้วมันก็ไม่ดึงศีลธรรมกลับมา ทีนี้หนังสือของทางศาสนามันก็มีตั้งหยิบมือหนึ่ง แล้วจะไปเทียบกับสิ่งเหล่านั้น แล้วมันก็ยังไม่ได้ทำให้ศีลธรรมกลับมา พูดแต่เรื่องให้เขารำคาญ อย่าไปออกชื่อเลยเดี๋ยวมันจะ เล่าสาย คุณไปดูเองเถอะ แล้วในหนังสือพิมพ์ ทุกๆฉบับมันยังไม่สามารถจะดึงศีลธรรมกลับมา เราก็ไม่ได้อวดดีว่าของเรามีหนังสืออย่างนั้น แต่เราก็พยายามอยู่ ก็เราพูดกันไม่รู้เรื่อง ก็เลยพยายามจะพูดกันแต่เพียงพวกที่ฟังรู้เรื่อง มันก็ต้องน้อยแหละ มันก็ต้องน้อย คนอ่านหนังสือของเราสักสองสามพันคน ในจำนวนสี่สิบล้านคน ก็คิดดูเถอะมันเท่าไหร่
เมื่อวาน เมื่อหัวค่ำ เมื่อคืนวาน ท่านกิตติวุฑโฒ ก็เอาคำว่าธรรมะสัจจะไปด่าใช่ไหม เพิ่งได้ยิน น่าหัวที่สุดเลย เป็นคำบ้า เป็นคำมิจฉาทิฐิ เป็นคำไม่มีในพระไตรปิฏก พอฟังแล้วขัน เมื่อคืนวานนี้เอง ก็ค่ำๆ เสียงก็จำได้ว่าเสียงกิตติวุฑโฒ ด่าคำว่าธรรมสัจจะ ของพวกนี้ พวกไหน ก็ไม่ได้ ดูไม่ได้ แต่ไม่ได้ออกชื่อผมน่ะ แต่ว่าคำนี้มันไปจากที่นี่ มีด่าพวกกระทรวงที่ออกหลักสูตรมา มีคำว่าธรรมสัจจะ ธรรมสัจจะกับสัจธรรม พวกไหนอ่ะ ข้อนี้คุณสมทรงมันทำลวกๆ จนเอาไปอธิบายผิด แล้วเราก็ไม่รู้จะทำยังไง เขาเอาไปอธิบายผิด แล้วเราก็ไม่รู้จะทำยังไงให้มันถูกได้ เราไม่ได้อธิบายคำว่าธรรมสัจจะในลักษณะอย่างนั้น แน่นอน ถ้าดูหลักสูตร ไอ้ประมวลที่ร่างขึ้นมา คุณจะไม่เข้าใจ เขาพูดผิดไปทั้งหมด ผิดไปผิดไปหมดแล้ว คือเรื่องมันนิดเดียว ถ้าเราพูดว่าสัจธรรมในฐานะที่เป็นสัจธรรม หรือธรรมชาตินี้มันกว้าง มันจนไม่รู้จะเอากันตรงไหนแน่ ทีนี้ถ้าเอาเฉพาะเท่าที่มนุษย์จะต้องทำ ต้องหันเจาะจงลงไปนี้เราอยากจะเรียกเสียใหม่ว่าธรรมสัจจะ ตัวอย่างเช่นเรื่องอริยสัจ ๔ ถ้าพูดเป็นสัจธรรมล่ะก็ไม่รู้จบ ไม่ได้ปฏิบัตินะ แล้วมันจะไกลออกไปเป็นรูปปรัชญา เป็นรูปที่จน ติดตามไปไม่ได้น่ะ มันเป็นอย่างนั้น มันเป็นสัจธรรมของธรรมชาติโดยประการทั้งปวง ที่นี้ก็ถ้าว่าเป็นธรรมสัจจะก็ให้เอามาเฉพาะที่จำเป็นแก่มนุษย์คนหนึ่งๆ เดี๋ยวนี้ เฉพาะคนก็ได้นะ แล้วอย่า อย่าไปสนใจที่เหลือ นอกนั้นอย่าไปสนใจ สนแต่ว่าไอ้ ไอ้ความทุกข์เกิดมาจากอุปทานหรือตัณหา ก็ระวังเมื่อตาเห็นรู้ เกิดจักษุวิญญาณ ๓ ประการเรียกว่าผัสสะ เมื่อมีผัสสะ อย่าให้เผลอสติ มันก็ไม่ ไม่เกิดเวทนาที่ทำหลงรัก หรือหลงเกลียด มันก็ไม่เกิดตัณหา มันก็ไม่เกิดทุกข์ มันมีเท่านี้ มันมีจุดเดียว จุดเล็กๆอย่างนี้ หรือเฉพาะเจาะจง อย่างนี้เราจะเรียกว่าธรรมสัจจะคือสัจจะของธรรมะ ตัวแท้ของธรรมะ ตัวจริงของธรรมะเฉพาะกรณีนี้ แล้วปฏิบัติเท่านี้แหละ ระวังว่าตาเห็นรูปเมื่อหูนี้ได้ฟังเสียงเป็นต้น อย่าไปพูดเรื่องอื่นให้มันมาก ไม่ต้องแจกรูปเหมือนกับที่เขาแจกกันจนในที่สุดมัน มันไม่หวาดไหวแหละ เรื่องอริยสัจนี้เขาแจกรูปออกไปเป็นทั้งหมดของพระไตรปิฏกก็ได้ ทีนี้เราไม่มี มีเรื่องระวังเมื่อ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจมากระทบอารมณ์แล้วระวังผัสสะให้ดีๆ อย่าเผลอตอนนั้น ตัณหาไม่เกิด มันก็ไม่มีความทุกข์ เหลือนิดเดียวอย่างนี้ ตรงจุดอย่างนี้ เข้มข้นอย่างนี้ เราจะให้ชื่อใหม่ว่าอะไรดี ทีนี้เรานึกไม่ออก โอ้ย, เรานึกไม่ออกว่าจะชื่ออะไรดี เราขอใช้ชื่อนี้ไปก่อน ชื่อว่ามันพอจะฟังรู้เรื่อง เรียกว่าธรรมสัจจะ ดังนั้นหลักธรรมะทุกหมวดทุกข้อที่มันเป็นสัจธรรม ไม่ๆๆ ไม่มีจุดจบ เอามาทำให้มันเป็นตัวไอ้ ธรรมสัจจะเล็กๆๆๆๆๆ เฉพาะคนเฉพาะเรื่อง เราสนใจจะพูดอย่างนี้ แต่เขาฟังออกอย่างนั้น มันก็ไม่รู้จะทำอย่างไร มันก็ควรจะถูกด่านะ ใครไปยุ่งเข้าละก็ เคืองไผ ก็คงจะเคืองอาจารย์สมทรง ไม่ใช่เคืองผม ก็ดีนี่ ก็ไปช่วยทำความเข้าใจให้ทันเวลา มันก็มากไปแล้ว มากไปอีกแล้ว มากไปแล้ว ไม่ๆๆ ไม่ตรงกับที่ผมต้องการ นี้ไอ้โทษของการที่ทำอะไรลวกๆ ไม่ทำให้มันถึงต้นถึงปลาย ไม่ทำให้อย่างระมัดระวัง ทำลวกๆ ทำภายในเดือนเดียวเอาออกมา วินาศหมด คอยดูเหอะ เรื่องนี้ฉิบหายแน่ ไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย ล้มละลายไปเลย หลักสูตรใหม่นี้ ไม่มีหวัง ไอ้ศีลธรรมจะกลับมาด้วยหลักสูตรแบบนี้ ให้มันรู้เรื่องให้ดีกันเสียก่อนสิ ถึงจะเอาไปพิมพ์หรือเอาไปออกวิทยุก็ตามใจ นี่ทำชนิดที่ลวกๆแล้วผิดๆแล้วก็เอาไปออกไปโฆษณา หืม มันก็ไม่กล้ามา ตัวเองก็ไม่กล้ามา เพราะตัวเองก็ไม่รู้จะพูดยังไง ไอ้เรื่องธรรมสัจจะ ไอ้เรื่องสัจจะธรรม ถือว่าเป็นความจริงทั้งหมดครอบจักรวาล จับชนิดที่เป็นธรรมสัจจะเฉพาะจุดๆ เฉพาะเรื่อง เฉพาะจุด ในบางกรณีต้องเฉพาะยุคสมัย สังคม ต้นฉบับเรื่องไอ้ธรรมสัจจะสงเคราะห์ก็ยังเป็นตัวหนังสือยุ่งๆ ส่งโรงพิมพ์ไม่ได้ มีคนรับพิมพ์แล้วด้วย ไอ้เรื่องนี้ มีคนรับพิมพ์ไปเลย แล้วต้นฉบับมันก็ยังส่งโรงพิมพ์ อะไรพิมพ์ไม่ได้ อ๋อ ไอ้ๆๆ สื่อสารมวลชนทั้งหลายถ้ามันช่วยกันทำเรื่องนี้ก็ดี เดี๋ยวก็ไปสื่อสารหาเงิน นับตั้งแต่โทรทัศน์มา วิทยุมา หนังสือพิมพ์มาอะไรก็ตาม มันไม่ได้ ไม่ได้ ไม่ได้มาแตะต้องเรื่องนี้ แต่เรามุ่งหมายไปในลักษณะที่ว่ามันเป็นเทคนิค เทคนิคเฉพาะ แล้วก็ประยุกต์ได้ ไอ้ธรรมะที่จะมาเป็นเทคนิคเฉพาะหรือประยุกต์ได้นี่มันจะเรียกว่าธรรมสัจจะ ไอ้วิชามันมาก ไอ้วิทยาศาสตร์มันมาก นับๆ กันไม่ไหว แต่วิทยาศาสตร์ที่จะทำให้ไปโลกพระจันทร์ได้นี้มันไม่กี่อัน แล้วมันก็เฉพาะน่ะ เฉพาะไอ้เรื่องที่มันจะทำให้ไปโลกพระจันทร์ได้ มันไม่ใช่ทั้งหมด เทคนิคเฉพาะที่แก้ปัญหาหลายๆด้านนี้แหละเรียกว่าธรรมสัจจะ ถึงเดี๋ยวนี้ที่ว่าเรียนนักธรรมไม่รู้ เรียนบาลีไม่รู้ เรียนพระพุทธศาสนาไม่รู้ มันก็เพราะขาดข้อนี้แหละ ไปจับตัวไอ้ธรรมสัจจะไม่ได้ เรียนอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง เป็นเปรียญ ๙ หรือว่าเปรียญ ๑๐๐ มันก็มันไม่รู้ว่าไอ้หัวใจพุทธศาสนาอยู่ที่ไหน จะพูดถึงเรื่องศีลธรรมมันก็มีธรรมสัจจะของมันโดยเฉพาะ เพราะมันมีเพียงเท่านั้น แล้วก็ทำเพียงเท่านั้น แล้วมันก็จะมีขึ้นมา ดีกว่าไปรู้จน รู้จนเวียนหัว จนไม่รู้จะรู้กันยังไง รู้จนปฏิบัติไม่ได้น่ะ คุณไปสังเกตดูเหอะ มันรู้จนปฏิบัติไม่ได้ มันเกินบ้าไปซะอีก ผมบอกกี่หนแล้วว่าถ้าเรียน เรียน ก ข ก กา ของพระพุทธศาสนา มันต้องตั้งต้นเรียนที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่มีใครสนใจเรียนกัน อะไรๆมันจะรวมอยู่ที่นี่ ไอ้ประโยคที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่านี่เป็นอาทิพรหมจรรย์นั้นน่ะ มันมีความหมายมากที่สุด สำคัญที่สุด แต่ไม่มีใครรู้สึกว่ามันสำคัญที่สุด อันนี้เป็นอาทิพรหมจรรย์ นี้เป็นเงื่อนต้น อาทิด้วย เบื้องต้นเงื่อนต้นของพรหมจรรย์ แล้วคุณว่าอะไร คุณว่าเรื่องอะไร นั่นน่ะมันพร่า มันพร่าจะเป็นสัจธรรมเป็นอะไร เป็นพร่าไป ก็มันไม่ใช่อยู่ในสูตร สูตรเรื่องพระพุทธเจ้าร้องเพลงเล่น แล้วตอนท้ายก็กำชับที่ส่วนนี้คืออาทิพรหมจรรย์ แกจงเรียนเอาไป แกจงไอ้คืน ควรจะเอามาสวดมนต์ สูตรๆนี้ควรจะเอามาทำสวดมนต์ ถึงแม้จะไม่สวดครบทั้งหกอายตนะ ก็สวดให้มันย่อลงมาจบทั้งสูตร แล้วไม่พบสูตรไหนที่พระพุทธเจ้าเอามร้องเพลงเล่นนอกจากสูตรนี้ จะมานั่ง มานั่งท่องอยู่องค์เดียว เหมือนกับว่าเรามัน ปากมันจะร้องเพลงเล่นอะไร ก็ว่าไป จักขุญจะ ปฏิจจะ รูเปจะ อุปปัชชะติ วิญญานัง อุปปัชชะติ จักขุวิญญานัง ติณนัง ธัมมานัง สังคะติ ผัสโส ผัสสะปัจจะยา เวทนา เวทนาปัจจะยา ตัณหา ตัณหาปัจจะยา อุปาทานัง อุปาทานปัจจะยา ภโว ภวปัจจะยา ชาติ ชาติ ปัจจะยา ชรา มรณัง โสกะ เทวะ ทุกขะ โทมนัส นี่เท่านี้เองแหละ แล้วก็ขึ้นไปหมวดหู จมูก ลิ้น กาย ตามลำดับ ไม่น่าเชื่อว่าพระพุทธเจ้าจะมานั่งท่องอย่างนี้เล่น เป็นพระพุทธเจ้าทั้งที มันก็ท่องอย่างนี้ไป พระภิกษุองค์หนึ่งยืนแอบฟังอยู่ข้างหลังน่ะ พระพุทธเจ้าท่านเหลียวมาเห็น ท่านก็ อ้าว, นี่มันมองเห็นนี่ ว่านี่แหละคืออาทิพรหมจรรย์ ปริยาปุณาหิ เธอจงรับเอาไป เธอจงเรียน เธอจงท่อง เธอ... ถ้าพุทธศาสนามันจะเจริญถึงที่สุดได้จริงน่ะ ไอ้คนต้องรู้เรื่องนี้ เรื่องนี้ดีที่สุด แม้แต่เด็กๆเล็กๆ เมื่อรู้เรื่องตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้วมันรู้เรื่องนี้ ตาเห็นรูปเกิดอะไรขึ้น แล้วมันเกิดอะไรขึ้น แล้วมันเกิดอะไรขึ้น มันเกิดความทุกข์ได้ในที่สุดอย่างไร ทีนี้เรามาสอนให้เขาเชื่อเรื่องพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อะไรมันมากเกินไป จนมันเวียนหัว จนมัน มันจำไม่ไหว ก็ไปดูเรื่องศีลธรรมที่เขาให้เด็กมันจด มันก็เป็นสัจธรรมเพ้อเจ้อนั่นแหละ ไม่เป็นธรรมสัจจะลงไปที่ตัวความทุกข์และดับทุกข์ เหมือนเราจะเรียนนักธรรมตรี โท เอกให้หมดนี้ มันก็คือ สัจจะ ตัง ครอบจักรวาล ไม่รู้จะเอาดีตรงไหนนั่นแหละ คุณดูซิเห็นไหมเล่า ดีทั้งนั้น ถูกทั้งนั้น จริงทั้งนั้น น่าอัศจรรย์ทั้งนั้น ก็ไม่รู้จะเอาตรงไหนมาแก้ปัญหา มันยังเหลือนิดเดียว เหลืออยู่นิดเดียว มีสติเมื่อผัสสะ โว้ย, มันมีเท่านี้ มันไม่มีอะไรมากไปกว่านี้แล้ว ไอ้ตัวธรรมสัจจะนี้นิดเดียว มีสติ สติ เมื่อๆ เมื่อมีผัสสะ มีสติ ก็มีผัสสะ ผัสสะนั้นก็เป็นผัสสะที่ประกอบไปด้วยสติและปัญญา ก็หมดปัญหา เดี๋ยวนี้มันเป็นผัสสะโง่ มันก็หลงรัก หลงโกรธ ไม่รักก็โกรธ มีสองอย่าง ทั้งเรื่องรูปก็ดี เรื่องเสียงก็ดี หัดมีสติเมื่อเกิดผัสสะ อย่า อย่าเสียเวลา อย่าบ้าอะไรให้มันมากนัก มีสติเมื่อผัสสะ ให้ฝึกอานาปานสติอย่างที่เราสอนกันอยู่นั่นแหละ นั่นแหละจะทำให้มีสติ เมื่อมีผัสสะ ต้องเรียกว่าสติ สติปัฏฐานดีกว่า สติโพชฌงค์ ก็ๆมันมีหัวใจคล้ายๆกันแหละ แต่ว่ามันกำลังทำหน้าที่อย่างหนึ่ง เรียกสติปัฏฐาน ๔ ก็ดี แต่ต้องมีในขณะแห่งผัสสะ ก็คุณไม่เรียนเรื่องสติให้มันทั่วถึง เรื่องสติมันก็กว้างน่ะ ความหมายมันกว้าง กระทั่งเป็นปัญญา ก็ยังเรียกว่าสตินะ ธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน หรือเป็นปัญญานั่นแหละ กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ก็เป็นไอ้สมาธินั่นแหละ พอมาเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน มันก็เริ่มแทรกปัญญาเข้ามา พอถึงจิตตานุปัสสนา นี้มันก็ยัง ยังแทรกปัญญาอยู่มาก เข้าๆมามาก พอมาถึงธรรมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน มันก็กลายเป็นปัญญาที่สมบูรณ์ มันขึ้นด้วยราคะ ด้วยอนิจจา หรือราคะ ด้วยนิโรธะ
ถ้ามันมีสติเมื่อผัสสะ มันก็เห็นอนิจจังก็ได้ เป็นพระอรหันต์เลยก็ได้ เดี๋ยวนี้ให้คนทั่วไปมีสติในขณะแห่งผัสสะ เมื่อตากับรูปถึงกันเข้าแล้วเกิดจักษุวิญญาณแล้ว สามอย่างนี้กำลังทำหน้าที่ร่วมกัน เรียกว่าผัสสะ ถ้ามีสติตอนนี้ก็รอดตัว ไม่มีสติตอนนี้ก็จะต้องเป็นทุกข์ ธรรมสัจจะมีเท่านี้ก็พอ มีสติเมื่อมีผัสสะ ดังนั้นคุณไปเรียนไอ้ข้อนี้กันเสียใหม่ ให้มาก ให้แตกฉาน ให้ชัดเจน มีสติเมื่อมีผัสสะ ไอ้เรื่องมี ไอ้เรื่องคำว่าผัสสะนั้น อย่าเอาอย่างที่เรียนในโรงเรียนนักธรรม มันถูกน้อยไป ว่าตากระทบรูปเรียกว่าผัสสะนี้มันไม่ถูก ไม่ถูกตามบาลี มันต้องเกิดจักษุวิญญาณก่อน แล้วสามประการนี้มาถึงกันเข้า มาทำอะไรด้วยกัน มันจึงจะเรียกว่าผัสสะ ที่ในโรงเรียนนักธรรมเขาสอนว่าตากระทบรูปเรียกว่าผัสสะ เอาหลักไหนมาก็ไม่รู้ แต่มันสอนกันอยู่แล้ว หูกระทบเสียงเรียกว่าผัสสะ หา นั่นนะที่ถูกมันต้องเป็นอย่างนั้น มันต้องมีอายตนะข้างใน และอายตนะข้างนอก พอถึงกันเข้าก็เกิดวิญญาณ แล้วทั้งสามอย่างนี้ทำงานร่วมกันจึงจะเรียกว่าผัสสะ คุณเรียนอย่างนั้นแหละ มันก็ถูกละ ถ้าอย่างนั้นก็ถูกละ ถ้าว่าอย่างนี้มันก็ถูกตามพระบาลีที่พระพุทธเจ้าตรัส อาศัยตาด้วย รูปทั้งหลายด้วย เกิดจักษุวิญญาณ จักขุญจะ นี้ซึ่งตาด้วย รูเปจะ ซึ่งรูปทั้งหลายด้วย ปฏิจจะ เพราะอาศัยกัน อุปปัชชะติ จักขุวิญญานัง แล้วเกิดจักษุวิญญาณ ติณนัง ธัมมานัง สังคะติ ผัสโส สังคะติ การมาถึงเข้าพร้อมกัน มารวมกัน ติณนัง ธัมมานัง สังคะติ สังคะติแห่งธรรมทั้งสามนี้ คือผัสสะ แล้วในขณะแห่งผัสสะไม่มีสติ มันก็เป็น เป็นประมาท ถ้าว่าในขณะแห่งผัสสะมีสติ มันก็เป็นอัปปมาท เมื่อมีสติในขณะแห่งผัสสะเรื่องมันก็หมดแหละ เรื่องมันจบ เรื่องชาวบ้านก็จบ เรื่องบรรลุมรรคผลนิพพานมันก็มีเท่านั้นแหละ ชาวบ้านมีสติในขณะแห่งผัสสะ ไอ้ชาวบ้านคนนั้นจะทำอะไรถูกหมด และไม่มีความทุกข์ด้วย มันจะมีสติในขณะผัสสะ เป็นเรื่องปฏิบัติธรรมะชั้นสูง มันก็ไม่เกิดกิเลสได้ ไม่มีโอกาสเกิดกิเลสได้ มันก็ไม่มีอนุสัย ไม่มีอาสวะ ก็เป็นพระอรหันต์
สติจึงเป็นเรื่องสำคัญในเรื่องทุกเรื่อง นี่เราก็ไม่ได้รู้เรื่องสติ ไม่ได้ๆ ไม่ ไม่ได้รู้สึกต่อสติ แล้วก็ปล่อยไปตาม ตามเรื่องของมัน เมื่อเห็นรูป เมื่อฟังเสียง เมื่อดมกลิ่นอะไรก็ตาม ปล่อยไปตามเรื่องอย่างนั้นแหละ ไม่เคยเฉลียวคำว่าสติ สวยก็รัก ไม่สวยก็เกลียด เราจะพูดเมื่อมีสติตัวเดียวก็พอโว้ย, อย่างนี้มันฟังไม่ออกหรอก มันฟังไม่ถูก มีสติตัวเดียวก็พอหรือรอดได้ มันฟังไม่ถูก ต้องพูดให้ชัดโพลงลงไปว่ามีสติเมื่อผัสสะโว้ย, อันนั้นน่ะมีเท่านั้นเอง ทุกเรื่องมันก็จะหมดปัญหา มันจะเกิดความโลภไม่ได้ มันจะเกิดบันดาลโทสะก็ไม่ได้ จะโง่ก็ไม่ได้ มีสติเมื่อผัสสะมันไม่ ไม่ง่ายโว้ย, แล้วจะเรียน เรียน หา อะไร อ้าว, แล้วกันนี่คุณก็ฟังกันไม่ถูก พูดเป็นวรรคเป็นเวร คุณก็ฟังไม่ถูก ก็เฉพาะเรื่องนี้มันก็เป็นธรรมสัจจะแห่งเรื่องนี้ เดี๋ยวนี้เราก็ต้องพูดถึงเรื่องอริยสัจน่ะ ถ้าจะปฏิบัติไม่ให้ความทุกข์เกิดขึ้น ก็มีสติเมื่อผัสสะก็แล้วกัน มันจะเป็นสัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปโป สัมมาวาจา สัมมาอะไร หมดไปเลยทุกอย่าง จำเป็นหมด หมดโดยอัตโนมัติ มีสติในขณะแห่งผัสสะนี้มันเหลือเกิน มันก็ครอบจักรวาลจริงเหมือนกันนะ เพราะมันเป็นธรรมสัจจะตัวเล็กๆตัวหนึ่ง ผมจะให้แปลว่าตัวจริงแห่งธรรมะ ธรรมสัจจะนี้จะให้แปลว่าตัวจริงแห่งธรรมะ สัจจะแปลว่าตัวจริง ธรรมะ ธรรมะ ธรรมสัจจะ ตัวจริงแห่งธรรมะ คุณก็มีตัวจริงแห่งธรรมะเฉพาะเรื่องนั้นๆ เป็นเรื่องๆไป ทีนี้เราไม่เอาเรื่องอื่น เราเอาแต่เรื่องที่จะไม่ๆไม่มีความทุกข์ ที่จะดับทุกข์ ไม่มีความทุกข์ เรื่องอื่นไม่เอา ไม่พูดถึงไอ้เรื่องรูป เรื่องนาม ไอ้เรื่องที่มันไปทางไหนก็ไม่รู้ แต่ในที่สุดมันก็เรื่องเดียวกันแหละในเรื่องทั้งหมด ถ้ามีสติเมื่อผัสสะมันก็มีศีล มีสมาธิ มีปัญญา นี่เขาให้เรียนฟรี หรือเรียนสิกขาบท แล้วก็ตั้งองค์แห่งศีล สิกขาบท แต่ละข้อๆจนจำไม่ไหว ผมจำไม่ได้หรอก สู้แม่ชีเขาไม่ได้ แม่ชีเขาจำได้หมด อาจารย์จำได้ ปาณามีองค์เท่าไหร่ อทินนามีองค์เท่าไหร่ กาเมมีองค์เท่าไหร่ หา จำไม่ได้ ผมก็เคยจำได้ เดี๋ยวนี้มันเลือนหมด แล้วมันลืมหมดแล้ว สัตว์มีชีวิตรู้อยู่ว่าสัตว์มีชีวิต มีเจตนาจะฆ่า พยายามลงไป แล้วก็สำเร็จ อย่างนี้ก็ ๕ องค์ มันก็เรียนรู้ นี่ปาณามีองค์ ๕ ก็ชักจะลืมเลือนแล้วไม่ยืนยัน แต่เคยจำได้ว่าอย่างนั้น ไปมัวท่องอยู่อย่างนี้มันก็ไม่มี ไม่มีศีลได้ มันจะช่วยให้มีศีลได้ยังไง มันไม่มีสติ มันไว้แก้ตัวต่างหาก ไว้แก้ตัว ฉันนี่จะขาดศีล ฉันนี่จะขาดศีล มันก็หาช่องสักนิดว่าโอ้, ไม่ครบ ๕ องค์โว้ย, ฉันยังไม่ขาดศีล ทำสัตว์ตายไปทั้งกองแล้ว ฉันก็ยังไม่ขาดศีล หาข้อแก้ตัวเหมือนกับทนายความอย่างนั้น ตรงนั้นยังไม่ครบโว้ย, เอ้า, เลยยังไม่ขาดศีล อย่างนี้มันก็หลอกตัวเองอยู่เรื่อยไป มันจะมีศีลยังไงได้ ทีนี้เมื่อเรามีสติเมื่อผัสสะ แล้วก็จะไม่เกิดกิเลสที่จะทำอะไรให้มันผิดศีล คือเท่าที่มันสังเกตุๆๆ และก็เอามา เอามาหา หลัก เอามาจับหลัก เอามาหาหลัก มาอยู่ในภพนี้ ภพสติ เป็นทั้งหมดของสิ่งที่มีประโยชน์ แล้วเวลาสำคัญที่สุด เกี่ยวกับสติก็คือเวลาที่มีผัสสะ เรื่องปฏิจจสมุปบาทเป็นหัวใจพระพุทธศาสนา เป็นอาทิพรหมจรรย์ มันก็สำเร็จด้วยสติ ถ้าไม่มีสติ ไม่มีทางปฏิบัติปฏิจจสมุปบาทได้ ยิ่งเรียนอย่างในโรงเรียน เรียนนักธรรมโทแล้วไม่มีทางที่จะมีปฏิจจสมุปบาทดับทุกข์ได้ เรียนกันจน จนนักเรียนก็ไม่รู้ จนครูก็สอนไม่ถูก เรื่องอดีต ไอ้ปัจจุบัน ผลอะไรของมัน แล้วก็ไม่มี ไม่มีการปฏิบัติ แล้วมันจะได้ผลอะไร จะดับทุกข์ยังไง เพราะเรื่องแท้ๆมันอยู่ที่ว่ามีสติเมื่อผัสสะ มันมีเท่านี้ ปฏิบัติก็ไม่เกิด คุณไปคิดดูให้ดี ถ้าเห็นด้วยแล้วก็ลอง ลองตั้งต้นเรียนธรรมะกันใหม่ เรียนธรรมะชั้นพิเศษ ต่อจากชั้นเอก เรียนนักธรรมตรี โท เอก มันได้อะไรแยะแล้ว ได้มาสำหรับจะเรียนใหม่ จะมาศึกษากันใหม่ มันก็ไม่มีเรื่องอะไรสำคัญเท่าเรื่องปฏิจจสมุปบาท เพราะมันคือเรื่องอริยสัจนั่นเอง มันไปอยู่ในสังยุตตนิกายนั่น พระพุทธเจ้าตรัสว่าฉันจะแสดงอริยสัจ ๔ แก่เธอ จงฟัง ว่าอย่างนี้แล้วก็ว่าไป พอถึงทุกขสมุทัย ก็ อวิชชา ปัจจะยา สังขารา ขึ้นมาเลย ทุกขนิโรธ ก็เหมือนกันแหละ (นาทีที่01:19:49 - 01:19:51 อวิชชายะ เตววะ อะเสสะวิราคะ(นิโรธา)) นี่ ส่วนเรื่องทุกข์ กับเรื่อง เออ ทุกขนิโรธคามินี เหมือนแสดงไอ้มรรคมีองค์ ๘ คือแสดงความทุกข์ ก็ถูกแล้วนี่ ว่าปฏิจจสมุปบาทมันแสดงอาการเกิดขึ้นแห่งทุกข์นี่ คุณไม่เห็นเหรอ ว่านั่นน่ะคือ คือทุกข์กับสมุทัย แล้วปฏิจจสมุปบาท ไอ้เที่ยว เที่ยวกลับนั่นมันก็ดับลงแห่งทุกข์ก็คือ ทุกข์กับนิโรธ สมเด็จวัดเทพ ท่านมาตั้งชื่อให้ใหม่ ท่านเรียกว่าอริยสัจใหญ่ แต่ที่เราพูดกันสั้นๆง่ายๆ ท่านเรียกว่า อริยสัจเล็ก ก็ ก็ดีนะ อริยสัจเล็กมันก็ยังสอนๆกันอยู่ ถ้าอริยสัจใหญ่ต้องเอาปฏิจจสมุปบาททั้งสองฝ่ายมา ทั้งสมุทยวารและนิโรธวาร มาสวมแทนนี่ ทั้งตัณหาและดับตัณหา มันแสดงการเกิดตัณหา เกิดทุกข์อย่างละเอียด ทั้งแสดงการดับทุกข์ดับตัณหาอย่างละเอียดนั่นเอง ฉะนั้น เรื่องปฏิจจสมุปบาทนั้นคือเรื่องอริยสัจ ๔ ฉันจะแสดงอริยสัจ ๔ แก่เธอ แล้วก็กล่าวเรื่องปฏิจจสมุปบาท เราอย่าไปถือว่าเป็นความผิดของใครเลย อย่าไปถือว่าหลักสูตรมันไม่สมบูรณ์ มันไม่อะไรๆ เปลี่ยนเสียใหม่ให้มันสมบูรณ์ก็แล้วกัน เพราะว่าหลักสูตรเท่าที่ทำมาได้เท่านี้ก็นับว่าวิเศษมาก เก่งมากแล้ว วิเศษมากแล้ว เพียงแต่มันไม่ มันไม่ ไม่ๆ ไม่สมบูรณ์ หรือมันไม่ตรงจุดในบางอย่าง เพราะว่าคนๆเดียวทำและเป็นคนริเริ่มด้วย ผมว่าเก่งมากนะ สมเด็จกรมพระยาต้องนับว่าท่านเก่งเหลือประมาณ เป็นคนๆเดียวทำและเป็นคนริเริ่มทำ ทำได้ขนาดนี้ก็นับว่านั่นมากแล้ว เพราะอาการที่มันยังมีอะไรบกพร่องหรือว่าไขว้เขวกันอยู่บ้าง ก็เป็นเรื่องที่ ที่เรานี่จะทำให้มันถูกเสีย ไม่อย่างนั้นก็ไม่ได้เรียนนักธรรม ก็ไม่มีพื้นฐาน ไม่มีไอ้รากฐาน ไม่มีเดิมพันที่จะเรียนอะไรให้รู้จริง เราก็มีหน้าที่ที่จะทำต่อให้มันสมบูรณ์ ให้มันชัดเจน ให้มันสมบูรณ์ ผมพูดฝากไปกับเจ้าคุณธรรมวโรดม ว่าให้ไปพิจารณาเสีย ไปตั้งไอ้หลักสูตรนักธรรมขั้นพิเศษคืออย่างนั้นๆ ท่านน่ะเห็นด้วย จะเอาไปปรึกษาในมหาเถรสมาคม แต่ผมว่ามันเจ๊งน่ะ เป็นไปไม่ได้หรอก เพราะว่ามันคล้ายจะไปทำลายหลักสูตรที่มันมีอยู่แล้ว ไม่รู้ แต่เป็น เป็นไอ้กรรมการมหาเถรสมาคม แม่กองธรรมหรือจะเป็นวัดส้มเกลี้ยง วัดราชผาติการาม สมเด็จมหาวีรวงค์ แต่เดี๋ยวนี้แกก็เป็นไอ้มหาเถรสมาคม กรรมการมหาเถรสมาคมองค์หนึ่ง ก็มีอำนาจมีสิทธิที่จะเสนอในที่ประชุม ให้จัดนักธรรมชั้นพิเศษ แล้วผมก็พูดแกมตลกว่า ก็เหมือนข้าราชการน่ะก็มีชั้นตรี ชั้นโท ชั้นเอก แล้วก็มีชั้นพิเศษสี่ขีด เรายังไม่มี เรายังไม่มี แกฟังเป็นเรื่องตลกไป เรียนภาษา เครื่องล่อก็คือเกียรติ ๙ ประโยคก็มีเกียรตนะ ใครพูดคุณก็ไปถามคนนั้นสิ นานแล้ว แล้วก็ไปถามคนนั้น หา อ้าว, คุณก็ไปถาม ถาม ไม่ต้องหรอกเพราะว่าคุณไม่เป็นเปรียญ หรือไม่มีหน้าที่แปลหนังสือ แล้วมันก็เป็นเรื่องของคนมีหน้าที่แปลหนังสือ จะแปลภาษาอังกฤษก็ดี แปลภาษาบาลีก็ดี ต้องใช้ปทานุกรม ๓ ฉบับ คุณสุชีพใช้ปทานุกรมเพียง ๑ หรือ ๒ ฉบับ เลยแปลไอ้หลักพระพุทธศาสนา ๑๒ ข้อของกฤษณธรรมเลยไม่รู้เรื่อง ไปอ่านดูเถอะไม่รู้เรื่อง แล้วยังหาว่าซ้ำกันเสียก็มี แล้วผมแปลให้ดู ลงหนังสือพิมพ์ของเรา แกก็เออว่านี่ มันผิด ไอ้นี่มันถูก แกบอกว่าใช้ปทานุกรม ๓ ฉบับ แกยังยอผมต่อหน้าไอ้เรื่องแปล ๑๒ ข้อ ว่าทำให้แกแปลลงไปในธรรมจักษุแล้วอ่านไม่รู้เรื่อง ก็ยังหาว่ามันซ้ำกันเสียอีก เดี๋ยวนี้ผมก็ลืมหมดแล้ว ไอ้ ๑๒ ข้อนั้นลืมหมดแล้ว ไม่สนใจ แต่ไปหาดูได้ในหนังสือพิมพ์พุทธศาสนาเล่มไหนก็ไม่รู้ หา ไม่รู้ อ่านรู้เรื่องล่ะและไม่ซ้ำกันสักข้อเดียว ก็พอจะถือเป็นหลักได้ ที่คุณสุชีพแปลลงไปในธรรมจักษุถวายพระสังฆราช หาว่ามันซ้ำกันเสียบ้าง มันไม่รู้เรื่อง มันไม่รู้ว่าอะไรบ้าง พระสังฆราชก็เลยไม่รับรอง ไม่รับรองไอ้หลัก ๑๒ ข้อ เขาทำให้ ที่เขาเอามาให้ช่วยรับรอง ประเทศอื่นเขารับรองกันนะ ประเทศไทยไม่รับรอง ไอ้หลัก ๑๒ ข้อ เขาทำให้ ประเทศจีน ประเทศอะไรก็รับรอง ประเทศญี่ปุ่นก็มี เอามาใช้เป็นหลักสากลได้ หัวใจพุทธศาสนามี ๑๒ ข้อ
แต่ผมก็ไม่เห็นด้วย มันไม่พอ มันไม่หมด เรียนเพียงอย่างนั้น มันไม่หมด นี่แกมันเรียนพระพุทธศาสนาอย่างปรัชญา อย่างวรรณคดี (นาทีที่ 01:28:46-01:28:48) เดี๋ยวนี้ยังอยู่เป็นตัวเอ้ในประเทศอังกฤษ ในทางพุทธศาสนายังอยู่ ยังไม่ได้ข่าวว่าตาย แล้วใครว่าสึกหมด นั่นแล้วใครหาว่าสึกหมด มันไม่ได้สึกหมด มันหลาย อยู่หลายองค์เหมือนกัน อย่างน้อยก็เหลือ ๔-๕ องค์ที่ทำงานได้ผลนะ มันจริง มันอยู่ได้ ที่ชื่อวิน ที่เป็นเจ้าคุณอะไรก็ไม่รู้ คนๆ ที่ๆ พุนพินกระมัง สุราษฎร์ พุนพิน วิน พบผมที่ไหนก็ยังยกมือไหว้ทุกที ชื่อวิน อยู่กับสมเด็จนี่ สมเด็จญาณตั้งแต่ ตั้งแต่เป็นเณร เดี๋ยวนี้อยู่อินโดนีเซีย หมายมั่นปั้นมือ จะแผ่พุทธศาสนาในอินโดนีเซีย และอย่างน้อยก็ไอ้คนที่มาวันก่อน คนที่มานี่แหละ แกก็ยังอยู่ในชุดนี้ แล้วใครว่าสึกหมด ว่าผือ มันจะควรพูดว่า สึกซะโดยมากเกือบหมด ก็เกือบหมดจะพอฟัง เดี๋ยวนี้เขาเก่งกว่าเราแล้วทั้งนั้นแหละ พวกนั้น เราสอนเขาก็ไม่ได้แล้ว ถ้าจะเรียนนักธรรมชั้นพิเศษกันจริงๆมันก็ไม่ต้องเรียน มีสติเมื่อผัสสะ ทีนี้ก็เป็นเรื่อง เรื่องเกี่ยวกับไม่ใช่ปฏิบัติอีกล่ะ เป็นเรื่องหลัก เป็นเรื่องหลัก ไอ้ปรัชญาอะไรไปนั่น แต่ที่ว่ามันถูกต้อง มันต้องไม่ขัดกับอนัตตา หรือสุญญตา อีกอย่างหนึ่ง หรือที่สอนกันอยู่ในโรงเรียน หรือว่าในหนังสือบางยุคบางสมัยก็ดี มันเป็นเรื่องยังขัด กันอยู่กับเรื่องสุญญตา เรื่องอนัตตา โดยเฉพาะอย่างยิ่งไอ้เรื่อง เรื่องบุพเพนิวาสานุสติญาณ เรื่องนี้ผมยังไม่พูด ถ้าพูดมันจะดังเหมือนฟ้าผ่า และมันก็จะแตกกระจาย และมันไม่รู้ว่าใครจะแตกกระจาย เราเองก็ไม่แน่ คุณไปอ่านดูเรื่องบุพเพนิวาสานุสติญาณ มันขัดกับหลักอนัตตา สุญญตา คือบุคคลนั้นเกิดไม่ค่อยดี หา นั่นสิมันๆ ไม่รู้นี่ มันไม่รู้ว่า นี่มันของปลอมหรือของจริง หรือว่าการแปลที่ถูกต้องมันคือยังไง ผมมองเห็นแล้วว่าถ้าตัดตอนต้นนั้นออกเสียที่ขัด ตอนปลายไม่ขัด ตอนต้นเป็นเรื่องออกมามันขัด ทีนี้ยังไม่พูด ถ้าพูดมันๆๆจะดังเหมือนกับว่า เราดีกว่าพระพุทธเจ้า หรือว่าเราไม่เชื่อพระพุทธ พระไตรปิฏก ก็ถ้าจำเป็นน่ะก็ต้องพูด เพราะมันมีอะไรๆอยู่ในพระไตรปิฏก หา อะไร นั่นนะมันๆมีอยู่ในพุทธภาษิตเสียด้วย แล้วมันอยู่ในวิชชา ๓ เสียด้วย วิชชา ๓ ทั้ง ๓ ข้อน่ะ ไอ้ข้อ ๑ มันๆๆ มันขัดหลักนี้อยู่ครึ่งข้อ ข้อ ๒ ก็เหมือนกัน ข้อ ๓ ไม่มีปัญหา มันก็เหมือนกับเรื่องอริยสัจ ๔ มันถึงขนาดที่ว่าต้องหยิบมาให้ดูว่า ไอ้บุพเพนิวาสานุสติญาณมันมีอย่างอื่นอธิบายไว้ โดยพระพุทธเจ้าสูตรนั้นๆๆ แล้วก็มาหักล้างสูตรนี้ให้ได้ แต่สูตรนี้มันมาก มันมากแห่งนัก ไอ้วิชชา ๓ แบบนี้มันมากแห่ง นั่นน่ะ กูว่าถ้าพูดมันจะดังเหมือนฟ้าผ่าล่ะ ไม่รู้มันจะผ่าเราหรือผ่าใคร แล้วพระเถรแห่งยุคปัจจุบันนี้ไม่กล้า ไม่กล้าแตะต้องพระไตรปิฏก ไม่กล้าวิพากษ์วิจารณ์อะไร ไอ้เรื่องปฏิจจสมุปบาทมันเสร็จไปสักเรื่องหนึ่งก่อน เพราะมันเป็นปัจจุบันธรรม.