แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ประสา ประสากวี คอลัมน์ประสากวี หนังสือพิมพ์สยามรัฐวันที่ 9 กรกฎาคม 2520 หน้า 4 พาดหัว “สมีในศาสนา” ผู้เขียน ศักดิ์สิทธิ์ วิบูลย์ศิลป์โสภณ "ห่มผ้าเหลืองเรืองรองดูผ่องใส เมินพระรัตนตรัยจิตใฝ่ต่ำ บ้าเครื่องรางหลงปลื้มลืมพระธรรม ปลุกเสกพระวันยังค่ำปลุกร่ำไป ทำเสน่ห์ยาแฝดยามแปดเปื้อน นั่งดูเดือนดาวเด่นเป็นโหรใหญ่ ฉันข้าวเย็นเป็นนิจผิดวินัย เห็นสาวๆเป็นไม่ได้ใคร่ชีกอ ฉลองวันเกิดใหญ่โตช่างโอ่อ่า กุฏิทาสีสะพรั่งดั่งเรือนหอ หลงพัดยศงามหรูนั่งชูคอ บ้าอำนาจบ้ายอวันต่อวัน นี่คือคนจัณฑาลที่หาญกล้า บังอาจเอาศาสนามาห้ำหั่น ขอเชิญชวนชาวประชาอย่าไหว้มัน เพราะสมีพวกนั้นคิดสั้นเอย"
ถึงจะด่ากันไปทำไมก็ไม่รู้ ก็ไม่มีใครฟัง ไอ้คนที่ถูกด่าก็ไม่รู้สึก ไอ้คนฟังก็ไม่ ไม่ค่อยจะฟัง ถึงพระเถระก็ไม่รู้จะทำอย่างไรถูก ปล่อยให้ไปตามเรื่อง วัฏฏะมันเวียนมาถึงยุคที่ทำอะไรกันไม่ได้ มันหลายๆอย่าง มันมาตรงกันเป็นจังหวะพอดีแหละ เรื่องบ้าน เรื่องเมือง เรื่องในประเทศ เรื่องนอกประเทศ เรื่องการศึกษา เรื่อง ทุกเรื่องมันเข้าๆ มันเข้า เร็วไปหมด ทำให้คนเปลี่ยนแปลงมากถึงขนาดนี้
ไอ้เรื่องฆ่าพ่อตัวเองตาย นี้ลงเมื่อ 2-3 วัน ผู้หญิงคนหนึ่ง ฆ่าพ่อตัวเองตาย พ่อฆ่าพ่อ พ่อฆ่าลูก มีทัั้งนั้นแหละ นี่พ่อมันปล้ำลูกสาว จะเอาลูกสาว ลูกสาวก็เลยฟันตาย มูลเหตุที่แท้จริงมัน มันอยู่ที่ว่าที่เรียกว่าไอ้ศีลธรรม ไอ้ข้อสำคัญคือขอให้บังคับตัวเองน่ะ ศีลธรรมสมัยก่อนมันบังคับตัวเอง มันอดกลั้นนะ เช่นอยากจะทำอะไรนี่บังคับ
ไว้ อดกลั้นไว้ อยากเรื่องเพศเรื่องกามารมณ์อะไร มันบังคับไว้ อดอดกลั้นไว้ มันยิ่งบังคับไว้ แล้วมันก็พออยู่ไปได้ คือมันไม่ มันไม่เลยเถิดไปได้
พอมาถึงสมัยนี้เกิดนิยมการไม่บังคับ ไม่บังคับจิตใจ ปล่อยตามอารมณ์ ให้ปล่อยตามสบายเหมือนกับพวกฝรั่งเขาแนะนำแบบนั้น ฉะนั้นเด็กไอ้พวกนี้ก็ไม่บังคับอารมณ์มาตั้งเล็กๆๆๆๆๆนะ มันไม่บังคับอารมณ์ เรื่องกามารมณ์โดยเฉพาะ แล้วมันก็รุนแรงขึ้น รุนแรงขึ้น รุนแรงขึ้นจนคิดดูสิ มันเหลือเกินนะ
นายอะไรที่ถูกเอาไปยิงตะ เอ่อ,ยิงเป้าน่ะ ที่ใช้ผ้าแขวนคอผู้หญิงลงมาใต้ต้นตาล ถึงดิ้นร้องให้ช่วยบีบคอให้ตาย แล้วข่มขืนคนตายนี่ คิดดูสิ มันทำถึงขนาดนี้ ธรรมดามันมันไม่ไม่ทำได้นะ ถ้าคนที่ว่าอารมณ์มันไม่สุดขีดสูงสุดมันทำไม่ได้ มันก็ยังทำนะ ทำในโคลน ทำไอ้คนตายอะไรนี่ ทำได้ เพราะว่าไอ้การไม่บังคับ ไม่บังคับจิตนี้มันขึ้นสูงสุด สูงสุดจนเลยสูง สมัยก่อนมันไม่มีได้ เพราะมันบังคับจิต บังคับจิต มันนิยมการบังคับจิตมาตั้งแต่เล็กๆแล้ว มันก็ไม่รุนแรงถึงขนาดนั้น พิจารณาดูหน้าตาของไอ้คนที่ ที่ถูกเอาไปยิงเป้านั่น มันไม่ใช่คนบ้านี่ มันไม่ใช่คนบ้าอย่างที่เรียกว่าบ้าเลอะเทอะบ้าอะไรไม่ใช่ มันคนไม่บ้า แต่ว่ามัน อารมณ์มันแรง ไม่มีการบังคับจิตเลย อารมณ์มันแรงสูงสุดขีด มันจึงทำแบบนั้นได้ ยิ่งกว่าคนบ้าไปเสียอีก ไอ้เรื่องที่ไม่บังคับอารมณ์ขอให้เข้าใจกันเสียบ้าง เช่น เด็กๆ ตั้งแต่เล็กๆนะ (ฟังไม่ถนัด ไม่แน่ใจ นาทีที่ 06:46) ถ้าสอนให้บังคับอารมณ์ไว้เรื่อยๆๆ มันก็ไม่ ไม่มาในแบบนี้ เป็น เป็นเณรบังคับอารมณ์ไม่ ไม่ไม่ยอมตามใจกิเลส โดยเฉพาะไอ้เรื่องราคะกามารมณ์บังคับไว้ด้วย แล้วมันก็เลยอยู่ต่ำๆ ต่ำๆ โตขึ้นไม่รุนแรงถึงขนาดนี้ เป็นพระแล้วก็ต้องยิ่งทำต่อไปอีก แล้วมันก็ไม่รุนแรงได้ถึงขนาดนี้ ไอ้คนประเภทนี้มันไม่เคยบังคับ ต้องการอะไรเอา ต้องการอะไรทำ ต้องการอะไรบ้าบอเลวทรามอะไร ทำๆๆๆ ถึงขึ้นมาอยู่ในระดับที่ว่าผิดปรกติมนุษย์
ฉะนั้นขอให้สังเกตไว้สักอย่างหนึ่ง เรื่องการไม่บังคับอารมณ์นี้แหละ กำลังอาละวาดในโลก ในโลกเวลานี้ พวกฝรั่งเป็น เป็นครูผู้นำเรื่องไม่บังคับอารมณ์ คนไทยมันก็ตาม คนไทยมันเลือดร้อนอยู่แล้ว มันเลือดร้อนกว่าฝรั่งอยู่แล้ว พอพอพอมันไม่บังคับมาพอดี เลยทำเก่ง เก่งกว่าครู แล้วมันเก่งกว่าฝรั่ง นี้เรื่องไม่บังคับอารมณ์ นี่พระเณรของเราก็ไม่ค่อยจะบังคับอารมณ์ บางองค์ยังไม่บังคับ ก็อยู่ให้ดีๆนะ ระวังเถอะ สุดๆไปมันก็ได้เรื่อง
เอ้า,ใครมีปัญหาอะไรบ้าง ว่ามาเลยอย่าให้เสียเวลา มารวมกันอยู่ที่นี่เพื่อจะศึกษา เพื่อจะได้ยินได้ฟังแล้วก็ แล้วก็เป็นโอกาส แล้วมันก็ต้องถาม ถามสิ จะได้พูดจากัน
ไหนล่ะ ไม่มี คุณมานะ คุณประจวบ พวกนี้ไม่มี พวกนี้ไม่มีปัญหาอะไรสักคนหรือ (ญาติโยมถาม) หือ,ไม่ได้ยิน ช่วยพูดให้ดังอีก อุดอู้ ช่วยพูดให้ดังอีกเถอะ คนเกลียดวัด มีปัญหาอะไร (ญาติโยมตอบ
คำว่าวัด แล้วตั้งวัด (ญาติโยมสนทนา) แล้วแต่เรื่อง เราไม่วินิจฉัยในทางนั้น ในทางภาษาแบบนั้น พูดเป็นเรื่องปัจจุบัน ก็เรียกว่าวัด วัดกันมา มาเรื่อยๆ มานานแล้วในภาษาไทย ภาษาอื่นก็มันเรียกอย่างอื่น ที่อินเดียเรียกว่ามัดก็มี มัด มัดหรือม้าด ไม่ต้องไปตีความอย่างอื่น ตีความอย่างที่มีอยู่อย่างนี้ล่ะวัด วัดวาอาราม ที่ถูกต้องเป็นอย่างไร เมื่อมันเปลี่ยนแปลงเสียแล้วมันเป็นอย่างไร เหตุใดคนจึงเกลียดวัด
สมัยก่อนไม่มีใครเกลียดวัด หรือกล้าเกลียดวัดกันกี่คนหรอก นอกจากคนโง่ คนบ้า คนอันธพาลเพียงไม่กี่คน พวกเศรษฐีชอบสร้างวัดนะเมื่อก่อน เวลานี้มันไม่เอาเลย นี่นักศึกษามีปัญญา มีเงิน มีเกียรติ มีอะไร เกลียดวัดมากขึ้นๆ เมื่อก่อนเขาก็ไม่ได้เกลียด เราไม่วินิจฉัยในทางภาษา เช่นคำว่าวัด จะมาจากคำว่าอะไรนี่ เราไม่วินิจฉัยกัน เราไม่จำเป็นจะต้องไปเสียเวลาไปวินิจฉัย เพราะมันรู้กันอยู่แล้ว ถ้าอยากจะรู้มันต้องไปถามนักเลงภาษา ผู้เชี่ยวชาญทางภาษาและโบราณคดีทางภาษา เช่น เจ้าคุณอนุมานราชธนก็ตายไปแล้ว เวลานี้ต่อไปข้างหน้าก็เข้าใจว่านายจำนง ทองประเสริฐ คงจะเป็นพระยาอนุมานขึ้นมาได้ในอนาคต รู้เรื่องภาษาดี ต้องไปถามคนแบบนั้น เขาจะรู้คำชนิดนี้ อันนี้เราไม่ได้พูดเรื่องภาษา พูดถึงเหตุการณ์ที่จะล่มจม คนเกลียดวัด เกลียดศาสนา เกลียดธรรมะ เกลียดวัดวาอาราม เกลียดเรื่องวัดวัดไปทั้งหมดแหละ
และเราจะพูดให้เขาไม่เกลียดวัด ให้เขาชอบธรรมะ ชอบศาสนา
ที่จะพูดก็คือ นิพพาน สำหรับคนเกลียดวัด มรรคมีองค์๘ สำหรับคนเกลียดวัด อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สำหรับคนเกลียดวัด จะว่าไปแบบนี้แหละ ทีละเรื่องๆ เรื่องที่เขาเกลียดแล้วก็ไม่ยอมรับ โง่เท่าไรก็จะพูด มันเป็นคำบรรยายที่แปลกประหลาด เป็นชุดธรรมะสำหรับคนเกลียดวัด ข้อนั้นๆๆๆให้มันหายเกลียดวัด ถ้ามันจะไม่มีประโยชน์อะไร มันก็คงจะเหลืออยู่เป็นหลักฐาน เป็นบันทึกว่ามันเคยมีคนรู้สึกชนิดนี้ คือผมคนหนึ่งแหละเคยรู้สึกชนิดนี้ จะได้บันทึกไว้เป็นหลักฐาน
พวกที่เข้ามาวัด มาดูหมอ มาทำน้ำมนต์อะไร มันไม่ใช่รักวัด ไม่รักวัด มันไม่ชอบวัด มันต้องการประโยชน์ตามความโง่ของมันนะ จะมาดูหมอ จะมารดน้ำมนต์ จะมาเอาเบอร์ จะมาต้มพระ อะไรแบบนี้ เข้าวัด ขยันเข้าวัดแต่ไม่ได้รักวัด จะมีมากขึ้นๆ คนที่เข้ามาเอาอะไรในวัดน่ะกลับไม่ได้รักวัด แล้วจะเกลียดอยู่เป็นธรรมดาแหละ เพราะว่าไอ้เรื่องของวัดที่แท้จริงมัน มันไม่ใช่แค่เรื่องมันมาเอา มาเอา เป็นเรื่องที่ตรงกันข้าม
เอ้า,ใครมีปัญหาอะไรอีก ถ้าให้ผมเดา ผมจะเดาว่ามันมาจากคำว่าอาวาส วาส วัดหรือวัด มันมาจากคำว่าอาวาส
(ญาติโยมถาม) อย่า อย่ามาพูดเลย คุณหมายถึงวัตรของคุณ วรมัยใช่ไหม นั่นมันวัดเดียว นอกเรื่อง อย่าพูดดีกว่า แกต้องการประโยชน์ ต้องการโฆษณา ต้องการให้คำอะไรของแก มีอยู่อีกอีกแห่งเมื่อก่อนนานแล้ว นี้หายไปแล้ว เขาเรียกว่า วัตรนารีวงศ์ นลิน กลึง วัตรนารีวงศ์ ที่เรียกว่าวัตระ วัตรนารีวงศ์ นลิน กลึง มาวัตรที่ 2 วัตรคุณวรมัยกัลยาณีอะไร
(คำถาม) อื่ม,นี่ไม่ใช่ ไม่ใช่เถรวาท ไม่มีในพระไตรปิฎก ในอรรถคาถาอะไรฝ่ายเถรวาท นี้ฝ่ายมหายาน ต้องไปซื้อหนังสือไอ้คัมภีร์อย่างมหายานมาอ่านนะ แล้วจะพบไอ้คำว่าตรีกาย สามกาย เรื่องมากแหละ กระผมก็เคยอ่านมาบ้างแล้ว อธิบายไม่เหมือนกัน ทางฝ่ายมหายานนั่นแหละอธิบายไม่เหมือนกัน บางเจ้าอธิบายไปแบบนี้ บางเจ้าอธิบายไปแบบนี้ ธรรมกาย สัมโภคกาย นิรมานกาย อธิบายไม่เหมือน แล้วในที่สุดก็ไม่สนใจ เพราะมัน มันไม่ มันไม่เกื้อกูลแก่การปฏิบัติ ดูอะไรให้ดีไปกว่าที่เรามีอยู่ ไอ้ธรรมกายยังพอหา หาพบในเถรวาทนะ แต่สัมโภคกาย นิรมานกายนี้ไม่มี ไม่เคยพบ
สัมโภคกายนั่นเขาว่าหมายถึงไอ้กายกายแบบนี้แหละ กายเนื้อ เนื้อหนัง ไอ้ธรรมกายหมายถึงธรรมะในจิตใจนะ นิรมานกายหมายถึงที่มัน กายที่่มันสับปลับ สับสน เปลี่ยนแปลงได้โน่นนี่นั่น ไม่แน่นอน คือธรรมกายหรือ หรือว่าพระพุทธเจ้าอาจจะมีร่างกายแบบไหนก็ได้
ไอ้พระพุทธรูปแบบที่เป็นทรงเครื่องเหมือนกับ เหมือนกับเจ้าแผ่นดิน เหมือนกับเทวดา นั้นแหละฝ่ายมหายาน แต่ฝ่ายเถรวาทชอบ บางแห่งไปเอามาทำ พระพุทธรูปทรงเครื่องกษัตริย์ ความจริงก็เป็นของมหายาน นี้น่าจะไปที่คำว่านิรมานกาย ในบางครั้งพระพุทธเจ้าก็จะมีรูปร่างอุปมาหรือว่าหน้าตาเหมือนกับกษัตริย์ มหากษัตริย์ วัดที่ผมไปอยู่ที่กรุงเทพ แล้วก็พระพุทธรูปในโบสถ์แบบนี้ ทำสวย วัดปทุมคงคา พระประธานในโบสถ์องค์ใหญ่องค์เดียวทรงเครื่องแบบกษัตริย์
เดี๋ยวนี้คนจะรังเกียจ ไม่มีใครสร้างแบบนั้นแล้ว เรียกว่าพระพุทธรูปทรงเครื่อง คงไม่มีใครสร้างแล้ว นั้นเขาสร้างไว้ก่อน ก็สวยดี เราเห็นได้ว่าไอ้ มีการนิยม มีความนิยมในระดับสูง เช่น พระแก้วมรกตของประเทศไทยนี่ ไอ้เครื่องทรงที่ว่าเขาทำเป็นเครื่องกษัตริย์ เครื่องอะไรอยู่ยุค ที่ฤดู ที่เรียกว่า ฤดู ฤดู นั่นแหละ มีฤดูอื่นๆนอกนั้นก็ยังมีลักษณะของกษัตริย์นั่นแหละ ฤดูร้อนไม่ค่อยมีอะไรกี่ชิ้นแล้วก็ยังทรงเครื่องแบบกษัตริย์อยู่
กายที่เปลี่ยนแปลงได้หลายๆอย่าง เช่น ไม่รู้ว่าอะไรกันแน่ ไม่ต้องสนใจก็ได้ ถ้าต้องการปฏิบัติธรรมไม่ต้องสนใจเรื่องตรีกาย ให้เป็นเรื่องของพระพุทธเจ้า ฝ่ายพระพุทธเจ้า ถ้าเราจะไปขืนตีความให้มาใช้ได้สำหรับเรา มันก็เป็นเรื่องแกล้งทำมากเกิน ไม่จำเป็น ถ้าว่าจะต้องการจะเป็นนักปราชญ์แตกฉานทางฝ่ายเถรวาท มหายานนะ ก็ต้องสนใจเรื่องนี้ ถึงพูด
ทางฝ่ายมหายานเขาก็ถือว่ามีประโยชน์ เขา เขา เขาเห็นว่ามีประโยชน์ เขาก็เลยถือหลักอันนี้ กายเนื้อ กายธรรม และกาย กายที่เปลี่ยนแปลงได้ไม่สิ้นสุด โบสถ์ของพวกมหายานก็ทำพระพุทธรูปไว้ทั้ง 3 องค์ ในที่ประธานก็ทำเหมือนๆกันไม่เห็นต่างอะไร 3กาย 3 องค์ อาจจะมีอะไรที่ต่างกันเล็กน้อย จะสังเกตยาก ผมไม่ได้สังเกตให้ดี แล้วไม่เห็นต่างอะไร
เอ้า,ใครมีปัญหาอะไรอีก
(คำถาม)
คนละอันนะ ที่ว่าเชื้อแห่งความเป็นพุทธะ ถ้าพูดให้ถูก นะเออ,ต้องพูดถึงไอ้โพธิ โพธิพื้นฐาน โพธิทั่วไป ถ้ามีจิต มันก็มีโพธิแหละ โพธิพื้นฐาน แต่นี้มันลดต่ำลงไปอีกเป็นทาส ทาสแห่งโพธิ แล้วลดต่ำลงไปอีกเป็น เป็นไอ้เรื่องกฎ กฎหรือสัจจะหรือกฎแห่งความเปลี่ยนแปลง ไม่ได้ใช้คำว่าพุทธภาวะ เดี๋ยวเข้าใจผิดกันตาย จะเอาแน่ไม่ได้ ไอ้การแปลคำ เอาแน่ไม่ได้ ต้องแปลว่าเชื้อแห่งโพธิ อีกทีหนึ่งนะ เชื้อแห่งโพธิ แล้วโพธินี่ก็ยังไม่ใช่โพธิตรัสรู้ โพธิธรรมดา รู้อะไรได้ เหมือนกับคำว่ามโน มโนอย่างธรรมดา ที่ผมพูดวันก่อนถึงเรื่องแม้ในกองขี้หมาน่ะหมายถึงกฎของธรรมชาติ กฎของธรรมชาติมีในที่ทุกหนทุกแห่งแม้ในกองขี้หมา เพราะว่ากฎของธรรมชาติคือพระเจ้า และก็พระเจ้าก็อยู่ในที่ทุกหนทุกแห่งแม้ในกองขี้หมา พวกที่ลอกเทปว่าหยาบคายนะ อย่าเอาเลยกองขี้หมา เอาเรื่องมูลสุนัข ไม่ค่อยหยาบคาย เรื่องนี้คุณอย่าเอาไปพูดสะเพร่าๆนะ ผิดแล้วเสียหาย
ถ้าเราจะพูดเป็นธรรมะเราพูดถึงกฎแห่งธรรมชาติ แล้วทำให้สิ่งทั้งหลายเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เปลี่ยนแปลงอะไรต่างๆนานา เรียกว่ากฎของธรรมชาติมีอำนาจเหมือนกับพระเจ้า แม้ในกองขี้หมาก็มี กองขี้หมาจึงเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปได้ แล้วเปลี่ยนแปลงไปตามกฎ
ถ้าจะอธิบายให้ดีกว่านั้น ให้ลึกกว่านั้น ละเอียดกว่านั้นมันก็ลำบาก นั่นคือเป็นสักว่าธรรมชาติเท่านั้นเอง ไม่มีความหมายเป็น กองขี้หมาขี้อะไร เป็นสักว่าธรรมชาติเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ตามธรรมชาติ ฉะนั้นกองขี้หมามันก็เหมือนกับดอกกุหลาบแหละ ดอกกุหลาบก็แบบนั้นแหละ กองขี้หมาก็แบบนั้น แต่อันหนึ่งมันออกกลิ่นมาชนิดนี้ อันหนึ่งมันออกกลิ่นมาชนิดนี้ แล้วมนุษย์ว่าเอาเอง อันนี้เหม็น อันนี้หอม อันนี้ขี้หมา ถ้าเข้าถึงธรรมะข้อนี้มันดี มันหลุดพ้น เที่ยวพูดแบบทับถมครูอื่นเดี๋ยวได้โกรธได้ชกได้วิวาทกันระหว่างศาสนาแหละ
การที่จะศึกษาให้เข้าใจชัดถึงขนาดที่ว่า กลิ่นก็สักแต่ว่ากลิ่นแบบนี้ลำบากแหละ มันลึกมากแหละ กลิ่นสักแต่ว่ากลิ่น จะกลิ่นซากศพก็ดี จะกลิ่นดอกไม้ จะหอมก็ดี น้ำหอมก็ดี กลิ่นสักแต่ว่ากลิ่น ครั้นเมื่อเป็นสักแต่ว่ากลิ่นก็เหมือนกันแหละ ไม่ว่าจะกลิ่นอะไร จมูกที่ได้รับนี่มัน มัน มัน มันมีความหมายหลายความหมาย จะกลิ่นหอม กลิ่นเหม็น เวลาไปที่ป่าช้าแล้วเหม็นอู้เหมือนกับคุณพิจารณาอย่างไรล่ะ คิดอย่างไรล่ะ ป่าช้าสมัยเก่าน่ะที่มันเหม็นอู้ไปหมด มันดีนะ มันเป็นที่สอบไล่ สอบไล่พระ สอบไล่เณร เณรก็ไปป่าช้าที่มันเหม็นอู้หมด มันคิดอย่างไร
สมัยก่อนเขาเปิดโลงไว้ในที่เรียกว่ากำบังตา ไม่มีใครเห็น แล้วนิมนต์พระเข้าไปชักบังสุกุลที่ตรงฝาโลงให้ทีละองค์ๆ ไอ้พระที่ไม่เป็นพระ ทำไม่ได้ มันก็กลัวบ้างอะไรบ้าง ต้องพระชั้นอาจารย์ อาจารย์วิปัสสนาที่เขานิมนต์ไปให้ชักบังสุกุลชนิดนั้น ชาวบ้านเขาก็รู้นั่นแหละ เขาก็ไม่นิมนต์พระเด็กๆ เณรๆหรอก เขานิมนต์อาจารย์ ชั้นอาจารย์วิปัสสนา แล้วก็ยังถือไม้เท้าที่เขาทั้งโกลนเป็นง่าม2ง่ามแบบนี้ติดมือไปด้วยนะ นั้นเขาไว้สำหรับพลิกศพดูนะ จริงไม่จริงไม่ทราบ ผมไม่เคยเห็นและไม่เคยทำ
เป็นอาจารย์วิปัสสนาสมัยนั้นนะอย่างน้อยจะต้อง ต้องสามารถมีจิตใจชนิดนี้ได้จริงนะ อาจารย์วิปัสสนาที่เรียกว่าพอจะเรียกได้ว่าอาจารย์วิปัสสนาที่แท้จริง ผมระบุเพียงองค์เดียว ให้เหลืออยู่สำหรับให้เราเห็น เมื่อเด็กๆคืออาจารย์เหม็น แกชื่ออาจารย์เหม็น แกก็สอนกรรมฐานมาจนจนจนดับนะ จนไม่มีใครเรียนกันนะ สอนกรรมฐานแบบโบราณ อาจารย์เหม็นนี่จะได้รับการนิมนต์ทุกศพนะ ให้เข้าไปดูศพ องค์อื่นๆก็มีบ้าง แต่ไม่ไม่จริง เพราะไม่เคยแสดงบทบาทหรือพิสูจน์แล้วสอนวิปัสสนา อาจารย์เหม็นนี่ผมผมทันเห็น ตอนผมเด็กๆหรือหรือรุ่นหนุ่มนี่ยังทัน แกตายตอนผมรุ่นๆเป็นวัยรุ่น แกเป็นอาจารย์คู่สวด คู่สวดส่งโยมชายของผม คุ้นเคยกันกับบ้านบ้านโยม อาจารย์วิปัสสนาในระดับนี้แหละ เขาถือกันว่าปล่อยวางได้มากแล้ว เรื่องเหม็นเรื่องหอม เรื่องอร่อยเรื่องอะไรแบบนี้ ไม่ ไม่สนใจ
อาจารย์ปลัดทุ่มแกก็เป็นอาจารย์ในระดับนั้นเหมือนกัน ก็ๆในพวกนั้นแต่จะไม่ถึงขนาดนั้น อาจารย์ปลัดทุ่มนั้นเป็นคู่สวด อาจารย์คู่สวดของผมนะ ก็เรียกว่าอาจารย์นั่นแหละ วิปัสสนาก็วิปัสสนาก็ใช่แต่ว่าเล็กๆน้อยๆ แกเป็นครู ดูหมอ
อาจารย์ปลัดทุ่มนั้น เอ่อ,ถ้าถ้วยแก ชามแกเอามาถ่ายแกงนะ เด็กล้าง ล้างให้สะอาดแล้วเอามาถ่ายแกงใส่ไว้สำหรับคืนถ้วยให้ชาวบ้านนั้นนะ ถ้าว่าที่ก้นถ้วยที่ว่าเอามาถ่าย ที่ล้างเสร็จแล้วมีน้ำติดอยู่สักหน่อยหนึ่ง แก แกต่อว่า ต่อว่าทำให้แกงมันเลวลงไปเลย ถ้าน้ำไปปนนิดทำให้แกงรสชาติมันเลวลงไป ผมได้ยินเองแหละ แกจะต่อว่า เคยได้ยินเรื่องที่แกกำชับไม่ให้ ไม่ให้ทำ ไม่ให้ชนิดน้ำเหลืออยู่ในถ้วยนิดหนึ่งถ่ายแกง คือแกงมันกร่อยเลว มันเลวลงไปนิด
ทีนี้ข้างอาจารย์เหม็นนั้น ไม่แบบนั้น ตรงกันข้ามเลย เอากะลา กะลาน่ะมา เอามาให้ มาให้ใส่ มาให้ถ่าย เสร็จแล้วก็เติมน้ำลงไปนะ เติมน้ำลงไปในแกง ตั้งสองแก้วสามแก้วอะไรแล้วเทลงไปเถอะ คือทำให้แกงมันไม่อร่อย คือไม่ให้แกงมันอร่อยเสีย แกก็ว่าแบบนี้ มุ่งหมาย แต่คงไม่ได้ทำตลอด เป็นกิจวัตรตลอดชีวิตอะไร แกจะทำบางครั้งบางคราว คงจะทำทุกๆคราวที่รู้สึกว่ามันอร่อย พอรู้สึกว่าแกงนี้อร่อยก็จัดการเอาน้ำใส่ลงไป แล้วก็ฉัน
คุณมานะเคยหรือ แกงอร่อยเอาน้ำเติม เคยหรือ เป็นลูกศิษย์อาจารย์ปลัดทุ่มแบบนี้ (เสียงญาติโยมสนทนาตอบ) เอ่อ,น้ำแกงต้มเอาน้ำอะไรต้มโกรธนะ ทำให้แกงมันเสียรส ลูกศิษย์อาจารย์ปลัดทุ่ม ถ้าลูกศิษย์อาจารย์เหม็นน่ะ เอาน้ำเติมไปพรวดๆเลย แล้วคนด้วย นี่แหละครูบาอาจารย์ของเราสมัยก่อน สมัยนี้มันจะหาดูยากแหละ ทำสักทีสองทีพอให้ชาวบ้านลือรึ ให้เขาเล่าลือว่าเก่ง ว่าเก่ง เป็นคนใช้ไม่ได้นะ
อาจารย์ปลัดทุ่มนั้นแกยังพิเศษ ตอนที่แกยังไม่ได้บวชนะ แกเป็นนักเล่นผี สะสมน้ำมันผี เล่นผี ไปขุดศพป่าช้ามาทำน้ำมันผี แกเคยเล่าให้ฟัง เมื่อก่อนบวช นี้แกไม่กลัวนะไอ้เรื่องผี แล้วแกก็จะนิมนต์ไปให้ชักบังสุกุลปากโลง ที่หนาว ที่เหม็นอะไร ไม่กลัวนะ แกไม่กลัวเลย จมูกแกไม่ค่อยดี ไม่ค่อยได้กลิ่น พระสมัยนี้ไม่ได้มีโอกาสที่จะทำแบบนั้น สมัยนี้เขาไม่ได้เปิดโลง เขาเผาทั้งโลง
(ญาติโยมสนทนา) คงนั้นล่ะ อาจารย์ปลัดทุ่ม ถึงอาจารย์เหม็นนี่ดูไม่มี ไม่มีเจดีย์ ถ้ามีก็มีแต่ในปรารภ(นาทีที่39:40) ที่วัดสมุหนิมิตร ที่เขาเรียกว่าวัดล่าง แต่ผมไม่รู้ข่าว กุฏิของแกเป็นกระท่อมมืด ทำด้วยใบจากทุกด้านแหละ แต่ว่าขัดแน่นดี เตี้ยด้านนี้แล้วมืด (นาทีที่ 40.00) ไม่มีหน้าต่างนอกจากไอ้ด้านนี้ที่มันเปิดฝาปิดลงไอ้นี่ได้ ไม่รู้อะไรอยู่ในนั้นนะ มืด อู้ไปหมดแหละ
ผมเคยเอาแกงไปถวาย เป็นอาจารย์วิปัสสนาที่มีชื่อเสียงองค์สุดท้ายที่ผมเคยเห็นแต่ไม่เคยเรียน อะไรเขาก็ต้องพูดถึงอาจารย์เหม็นเสมอแหละ ถ้าว่าเป็นเรื่องวิปัสสนา ถ้าเรื่องของขลัง เรื่องตะกรุดพิสมรไม่ค่อยจะมี ก็เพียงแต่ว่าเอามาตบขยำๆแล้วให้ เขาไม่ได้ทำเอาลาภ เอาค่า ค่าจ้างค่าอะไร หือ,
(ญาติโยมสนทนา) ถึงดูหมอก็ไม่มีมิ้ม ไม่มี ไม่ยอมรับสตางค์แหละ ใครเอาสตางค์ให้แกขว้างหัวเลยแหละ เรียกว่าดูหมอ แกดูให้ด้วยความเมตตากรุณาหรือว่า ถ้าว่าชอบ อยากจะให้ได้บ้าง ก็เช่นว่าให้พลู ให้พลูสักครึ่งขีด ให้หมากอ่อนสัก2-3ลูกน่ะได้ ถ้าถวายนั้นได้ หรือใบชา แต่ถ้าให้สตางค์นี้เกิดเรื่อง กลายเป็นดูถูก กลายเป็นอะไร
อาจารย์คู่สวดอีกองค์หนึ่งของผมเป็นครูอาจารย์ปลัดทุ่ม คืออาจารย์ครูศักดิ์ต่อมาเป็นพระครูคณานุกูล เป็นเจ้าคณะอำเภออยู่วัดหัวคู วัดที่ท่านยังบวชอยู่ขณะนี้ แกเสียที่นั่น (นาทีที่ 42.29) แกเป็นหมอยา หมอยามีชื่อเสียงอยู่นะ ช่วยคนไข้แล้วเขาไปติดมากนะ คอยบ้าง แขกมลายู แก แกไม่เลือกว่าแขกว่าไทย ช่วยเหลือหมด มาขอกันได้ ถ้ากลัวมาก เป็นเรื่องน่ากลัวมาก มาตาม มาบอกกลางคืนก็ไปกลางคืนนะ ไปเยี่ยม ไปดู ไปช่วยเหลือแก้ไข ดีกว่าเราแหละ เรามันเห็นแก่นอน ดึกๆดื่นๆ มันไม่อยากจะไปลำบากลำบนแบบนั้น
เวลามีการมีงาน มีธุระอะไร ก็ต้องวัด นี่แหละวัดหัวคู อาจารย์ครูศักดิ์ สะดวก คนมามาก คนช่วยมาก กระทั่งพวกมลายูก็มาช่วยด้วย เขามีคำล้อๆพูดไว้ พูดเหมือนกับพูดล้อกันนะ คนที่เขาไม่ ที่ว่า เขาปากแข็งไม่เห็นหรือชอบล้อ โอ้..ไปหาท่านที่วัดยางวัลย์ยอยาว ความที่เป็นหมอนั่นแหละ ต้มยาต้องเคยต้มรากวัลย์ยอ รากย่านาง ยาไข้ทุกหม้อเลยต้องมีรากวัลย์ยอ อาจารย์แกเป็นหมอต้มยา คนเขาล้อว่ารากวัลย์ยอ รากวัลย์ยอยาว คนมาเต็มวัดเลย (นาทีที่ 44.24)
แกก็มีอิทธิพล มีอำนาจในเรื่องพวกนี้ รับภาระในเรื่องพวกนี้เยอะ ก็ต้องเลี้ยงคนมากๆ ทำพิธีใหญ่โต เจ้านายเสด็จอะไรนี้ แกก็รับภาระไอ้เรื่องนี้ได้สบาย ในเมื่อวัดอื่นทำไม่ได้ แล้วเผอิญแกจะมีงานอะไรที่วัดงานใหญ่งานนานๆครั้งอะไรของแก (นาทีที่ 45:04) พวกแขกมลายูเอาปลาไปให้แกเป็นหน่วยๆแหละ(นาทีที่ 45:11) พวกคนมลายูจับปลา ชาวประมงจับปลา จับปลาในทะเลนั่นแหละ เอามาเผื่อ เอามาให้ ดูแกเป็นญาติขนาดนั้น มันก็ดีนะ
มันก็เปลี่ยนแปลงทำอย่างไรได้ ไอ้ศาสนามันเปลี่ยนแปลงทำอย่างไรได้ แต่แกไม่ได้เคยละโมบโลภลาภ ประโยชน์ส่วนตัวอะไร ไม่ได้ทำอะไรเพื่อประโยชน์ส่วนตัว ทำเพื่อส่วนรวมไปเสียทั้งหมด ส่วนตัวก็ไม่รู้จะเอาไปทำไมล่ะ
พูดเรื่องพุทธภาวะในกองขี้หมา มาออกเรื่องอาจารย์เหม็น อาจารย์ปลัดทุ่ม อาจารย์ครูศักดิ์ นั้นแหละ แล้วมันเฉี่ยวกันนั่นแหละ เรื่องเหม็น เรื่องหอม เราก็พยายามกันบ้างนะไอ้เรื่องเหม็นกับหอมอย่าให้มันไกลกันนัก อย่าถึงกับให้มันตรงกันข้ามจะเกิดเรื่องเพราะเหตุนี้ เหม็นก็สักว่ากลิ่น หอมก็สักว่ากลิ่น เหม็นก็สักว่าเวทนา หอมก็สักว่าเวทนา เวทนาก็ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาก็พอแล้ว
(สนทนากับญาติโยม) ใครมาจากไหน หา,มาจากไหน ไหนมาจากไหน ผมไม่เห็น ใครมีปัญหาอะไรอีก
อาจารย์สมัยก่อนไม่ใช่รู้อะไร เรื่องไอ้ธรรมวินัย เรื่องหนังสือหนังหา ไม่ใช่รู้ แต่พูดถึงความดีมีมาก มากกว่าไอ้คนสมัยนี้ที่รู้อะไรมาก ความดี ความจริง ความง่าย ความตรงไปตรงมา ไม่เห็นแก่ตัว ทำอะไรก็จะเป็นประโยชน์กลางๆ ส่วนรวมให้มาก เทวดาคงไหว้อาจารย์ชนิดนั้นเสียแหละ ไม่มาไหว้ตัวเราพวกที่รุ่งเรืองด้วยวิชาด้วยการศึกษา
แต่ว่าไม่ใช่ ไม่ใช่หมายความว่าไม่มีพระที่เลวนะ พระที่เลวที่ไหนๆก็มีเหมือนกันแหละ แต่ว่าส่วนมากนะส่วนมาก โดยเฉพาะในชั้นระดับครูบาอาจารย์นี้มันก็มีส่วนดีมาก
(สนทนากับญาติโยม) คุณมาจากไหนกัน ลืมแล้ว หืม, ไหนล่ะคุณมาจากไหนกันสามคน แล้วมาพักที่นี่หรือ ลืมไป พอพูดถึงนึกได้ ไปเที่ยวทั่ววัดแล้ว ไปดูทั่ววัดแล้ว
ที่เราเห็นได้ง่ายๆก็คือว่าวัดมันรอดมาได้ มาอยู่ถึง ถึงพวกเรานะ เพราะอาจารย์ชนิดนี้ทั้งนั้นนะ ไม่ได้รู้อะไรนะ ปล้ำทั้งเรี่ยวทั้งแรงเหน็ดเหนื่อยไปตามเรื่อง จนวัดอยู่ได้ อยู่มาถึงเรานั่นแหละ แล้วเรามันก็ทำดีเกินไปอีกแหละ สมัยก่อนถ้าหากจะทำอะไรให้มันใหญ่โต มันไม่ได้นะ มันทำด้วยแรง แล้วก็ไม่ได้ยุ่งเรื่องเงินเรื่องอะไรกันนัก ชาวบ้านว่างๆก็มาช่วยทำ ทำโบสถ์ ทำโรงธรรม ทำอะไรก็ตาม ไม่ได้จ้าง จึงทำไม่ไม่ค่อยจะใหญ่ ทำเล็กๆ แต่ว่าสำเร็จประโยชน์แบบนั้น ทำง่ายๆ มันไม่ได้เฟ้อนะ ไอ้เรื่องไอ้สถานที่ เรื่องเสนาสนะอะไร มัน มันเฟ้อไม่ได้ สมัยนี้ล่ะมันกำลังเฟ้อมากเกินจำเป็น
(คำถาม)
นี้ก็ คงไอ้คำนี้ก็คงจะเพิ่งเกิดในเมืองไทย แล้ว แล้วถ่ายมาจากคำว่านั่งหัตถบาส นั่งหัตถบาส ความหมายมันเปลี่ยนมา ควรนั่งให้มันเป็นครบคณะ แล้วน่าดู มันจะมีสวดได้ พูดได้เก่งอยู่สักองค์นะ นอกนั้นก็มานั่งปรก ให้มันครบ หรือจะปลุกเสกอะไรก็ได้ มาปลุกเสก ให้เก่งอยู่สักองค์ แล้วก็มานั่งปรก การนั่งปรก คือเข้าใจมา เข้าใจนะ เดานะว่า คำว่าปรก มาจากคำว่าคณปูรกะ คณปูรกะ(นาทีที่ 52:56) คือมานั่งให้ครบจำนวน เช่น ว่า 108 องค์แบบนี้ มันต้องการ 108 องค์ก็เอามาให้ครบ 108 องค์ หรือว่าต้องการ 5 องค์ 10 องค์อะไรก็ตามใจมานั่นแหละให้มันครบจำนวนที่ต้องการ
(คำถาม)
นี้ก็เหมือนกัน เอปกขถตา(นาทีที่ 52:23) มันก็ต้องเป็นคนที่ใช้ได้ไม่เสียหายนะที่มานั่งปรกได้ เอปกขถตา(นาทีที่ 53.33) หมายถึง สงฆ์ที่ไม่ ไม่มีโทษติดตัว ไม่มีอปริณายโกมานั่งหัตถบาส ไอ้นั่งปรกมันไม่ได้เกี่ยวกับวินัย ไม่ได้เกี่ยวกับไอ้แบบนั้นโดยเฉพาะ มานั่งให้ครบเรื่อง ให้มันขลัง ให้มันสำเร็จประโยชน์ในการทำพิธี เรียกว่านั่งปรก มาจากคณปูรกะ(นาทีที่ 53:59) แปลว่ามาช่วยให้จำนวนมันเต็ม
(คำถาม)
นี้เรียกว่าเข้าปริวาสแล้วกระมัง ไม่ใช่นั่งปรก เขาก็คงทำปริวาสไปช่วยนั่งให้มันเต็มคณะสงฆ์กระมัง ไม่ใช่ใช้กันอยู่เวลานี้ ที่เรียกว่านั่งปรกที่ว่านั่งให้มันเต็มจำนวน หรือว่าสวดด้วยก็ได้ ทำพิธีอะไรสักอย่างหนึ่ง น้อยคนมันไม่ดี มานั่งกันให้มากๆกันดีกว่า ถ้าผิดถูกแล้วจะได้ทักท้วงบ้าง เวลานี้ที่ปลุก ปลุกพระ ปลุกพุทธาภิเษกเรื่องนี้มันก็นั่งปรกอยู่มากนะ จำนวนนั่งปรก ปลุกพระ ไอ้องค์ไหนจะทำพิธีเสก พิธีอะไรโดยตรงมันจะสักองค์สององค์ เป็นยอดอาจารย์ นอกนั้นเป็นลูกน้อง เรียกว่านั่งปรก เหมือนเทศน์สังคายนามานั่งปรกให้ครบ 525 นี้แหละ แล้วก็เทศน์องค์เดียว สององค์ สามองค์ มหานาคสี่องค์นะ นั้นหัวหน้าปรก เรื่องพิธีรีตองทั้งนั้นแล้วแต่บัญญัติ ผมไม่ใช่สนใจ เขาบัญญัติไปตามความต้องการ ความโง่เขลา ความงมงายนั่นแหละ
(สนทนากับญาติโยม) คุณมีธุระอะไร มีธุระอะไรบ้าง มาฟังเฉยๆหรือ ไม่มีธุระอะไร ไหนมีอะไรไหม คุยกันสนุกๆตามเรื่องที่จะนึกได้ คุยกันเล่นวันอาทิตย์
(คำถาม)
อืม,เคยได้ยินเหมือนกัน แต่คุณเห็นเองได้ยินเองหรือ (ญาติโยมพูดต่อ) มีน้อยมากแหละ ที่มีบ้าๆบอๆเหลืออยู่สักคนสองคน มันพ้นสมัยแล้วที่จะพูดว่าพระพุทธเจ้าไม่มีตัวจริงในประวัติศาสตร์ ประมาณสัก 200 ปีแหละ 150 ปีถึง 200 ปีมาแล้ว ตอนนั้น พวกฝรั่งไม่ยอมเชื่อว่าพระพุทธ พระพุทธเจ้ามีในโลก ได้เกิดขึ้นในโลก เป็นมนุษย์ เป็นคน เพราะมันได้ มันมันได้ได้รับไอ้เรื่องคัมภีร์ คัมภีร์สูตรหรือว่าพระบาลีอะไรก็ตามแหละ มันก็อ่าน แล้วมันก็ชอบใจหรือมันว่าดีนะ แต่ไม่ยอมเชื่อว่าพระพุทธเจ้ามีในโลก ว่าพระพุทธเจ้าได้เกิดขึ้นจริง เป็นคนในประวัติศาสตร์ ไม่มี เป็นเรื่อง เอ่อ,ทำขึ้น แต่งขึ้น เขียนขึ้น ว่าคนเขาอยากจะให้ให้ให้ของนี้มันมีน้ำหนัก มีค่า จึงสมมติเรื่องพระพุทธเจ้าขึ้นมาว่าเป็นผู้พูด นี้จริง ฝรั่งมันเชื่อแบบนั้น แล้วเราเรา ไอ้เราที่ว่าพึ่งพึ่งฝรั่งก็พลอยเชื่อไปด้วย พลอยเชื่อไปไปจำนวนมากอยู่เหมือนกันแหละ แม้คนชั้นสูงคนอะไรก็พลอยเชื่อ แต่ว่าชาวบ้านไม่ยอมเชื่อหรอก ชาวบ้านมันไม่ยอมเชื่อ
นี้ต่อมา มัน มันพบไอ้หลักฐานซึ่งไอ้พวกฝรั่งนั้นอีกแหละ แต่มันประเภทนักโบราณคดี มันรู้เรื่องนั้น รู้เรื่องนี้ รู้เรื่องโน้นเข้า มันก็ขุดค้นพบ ยิ่งมากเรื่องมากราว
โดยเฉพาะที่มีประโยชน์ที่สุดก็คือไอ้หลักฐานที่เกี่ยวกับพระเจ้าอโศก ที่พระเจ้าอโศกมหาราชได้ทำไว้ ได้มีไว้ ได้แสดงไว้ อะไร มันพบกันหมดเลย แล้วมันไม่มีค้านกันเลย ตรงนั้น ตรงนี้ ตรงโน้นทั่วไปทั้งอินเดีย วิชาโบราณคดีไอ้ของพวกฝรั่งมันไม่อาจจะค้าน ได้ว่ามีคนจริง มนุษย์ในประวัติศาสตร์ ทีนี้ศิลาจารึกบางเสานะ เสาหินใหญ่เหมือนเหมือนกับลุมพินี บอกว่าเราได้มาที่นี้วันนี้เป็นที่ประสูติของพระพุทธองค์
ตัวอย่างที่เขาจำลองเอาไว้ที่ฝาผนังนั้นไม่เห็นเหรอ นั้นล่ะพระเจ้าอโศก ถึงพวกฝรั่งมันก็นับถือวิชา ไอ้หลักวิชา ให้ถูกต้องตามหลักวิชาทางโบราณคดี มันยิ่งค้นเท่าไรมันยิ่งพบ ยิ่งพบ พบพบพบ จนไม่อาจจะค้านอีกต่อไป ฝรั่งยอมแพ้หมดนะ ยอมแพ้ คือยอมรับรองว่าพระพุทธเจ้าเป็นบุคคลในประวัติศาสตร์ แล้วยังมีจารึกหรือหลักฐานของของคน ของคนอื่นๆอีกนะนอกจากพระเจ้าอโศก แต่ว่าลำพังพระเจ้าอโศกองค์เดียวมันก็พอเสียแล้ว พวกฝรั่งยอมรับ ไอ้คนไทยที่โง่โง่ที่ตามฝรั่งก็หันไปยอมรับ ยอมเปลี่ยน มันยังเหลือไอ้คนขี้เดาบางคน ไม่กี่คนหรอกที่พูดอยู่แบบนี้ อย่าไปสนใจดีกว่า
(คำถาม)
เขาสอนระดับมหาวิทยาลัย สอนนักศึกษา (ญาติโยมสนทนา) แล้วมันเอามาสอนทำไม ไอ้คนนั้น เอาเอาเอาธรรมะมาสอนทำไม หรือสอนประวัติศาสตร์
(ญาติโยมตอบ)
มันก็ว่า ว่าพระพุทธองค์เกิดเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมาได้อย่างไรหรือ
(ญาติโยมสนทนาตอบ) อ๋อ,ตีภาษาธรรมนะเหรอ ก็ได้แบบนั้นน่ะ (ญาติโยมสนทนา) ตีน่ะ ตีได้ แต่ว่าก็จะมาถึงกับเป็นหลักฐานว่าพระพุทธเจ้าไม่มีตัวจริง มันเป็นไปไม่ได้ ไอ้นั้นมันอีกเรื่องหนึ่งต้องแยกไปอีกเรื่องหนึ่งว่า ปาฏิหาริย์ต่างๆ ที่คนชั้นหลังแต่งขึ้น ประกอบเรื่องของพระพุทธเจ้ามันจริง เขาจะแต่งให้ขึ้นทีหลังจริง แต่เนื้อแท้ที่พระพุทธเจ้าท่านได้เกิดได้เกิดเป็นมนุษย์ แล้วที่พูดถึงคำสอนต่างๆที่เราเรียกกันว่าพระสูตรนะ พระสูตรพระวินัยนั้นจริง ส่วนเรื่องปาฏิหาริย์ต่างๆมาประกอบเข้าไปข้างหลังนี่มันจริงเหมือนกัน มันแต่งจริงชั้นหลังเหมือนกัน มันก็เป็นฝีไม้ลายมือของพระมหากษัตริย์บางองค์ที่อยากจะให้ประชาชนแน่นแฟ้นในพระพุทธเจ้าอีก ทำด้วยความหวังดี จึงมีเรื่องปาฏิหาริย์อะไรเกิดขึ้น เช่น ดาวดึงส์ก็ดี เรื่องอะไรก็ดี เขาได้ทำขึ้น คือว่าแปลความหมายเทียบให้เป็นรูปภาพขึ้นมา เพื่อต้องการจะจารึกเหตุการณ์อันนี้แต่ไม่มีหนังสือ มันไม่มีหนังสือ จะจารึกเหตุการณ์ว่าพระพุทธเจ้าโปรดได้ทั้งเทวดา ทั้งมุนษย์ ทั่วไม่ว่าคนชั้นสูงชั้นต่ำทุกคนๆ เขาใช้คำว่าเทวดาและมนุษย์
เพราะว่าพระพุทธเจ้าได้ตรัสถึงคำว่าเทวดาและมนุษย์อยู่แล้ว แล้ว เรา เรามาตีความว่าเทวดาพวกที่ไม่ต้องมีเหงื่อนะ มนุษย์คือพวกที่อาบเหงื่อ เดี๋ยวคุณจะเป็นปัญหา เหมือนกับคุณวิโรจน์ กำลังพูด วันนี้ คือมันมีคนอยู่จำนวนจำนวนใหญ่เหมือนกันในโลก แม้ในเมืองไทยนะ เป็นคนก็ไม่รู้จักความทุกข์เลยนี่ มันมีบุญ มันอุดมสมบูรณ์ไปหมด มีเงินใช้เหลือเฟือ จะไปเที่ยวไหน จะกิน จะเล่นอะไรก็ได้ มันไม่มีความทุกข์นี่ เจ็บไข้ก็ มันมันแก้ไขเยียวยาไปตามเรื่อง ถ้าว่าตายมันก็นึกว่าเป็นธรรมดาเสียแล้ว ถึงร้องไห้ก็ไม่ถือเป็นความทุกข์ ก็เป็นส่วนน้อยนิดเดียว ไอ้ที่มันสบายทั้งวัน ทั้งคืน ทั้งเดือน ทั้งปี ก็วิ่งไปวิ่งมาตัวโลก หาความสนุกสนานใส่ตัว มันทำได้ ลักษณะนี้มันเหมือนกับเทวดา มันไม่เหมือนกับคนที่มันต้องไถนาตากแดด อาบเหงื่อวันทั้งวันทั้งวัน มันผิดกันไกล จึงแบ่งระดับเป็นว่าเป็นเทวดาและมนุษย์ คล้ายๆกับคนชั้นต่ำและคนชั้นสูงนั่นเอง ในความหมายยิ่งกว่านั้น
เวลานี้มันก็ต้องมีหลายคนแหละ ไม่รู้จักกับความทุกข์ พวกนี้คือพวกที่ไม่ยอมรับศาสนาว่าจำเป็น ไม่จำเป็น ไม่จำเป็นเราไม่ต้องเรียนธรรมะธัมโม ศาสนาอะไรเราหาแต่เงินน่ะพอ เราทำให้ดีอย่าให้ผิดกฎหมายเราได้อยู่สบาย ตายก็ตาย แล้วก็ร้องไห้สักพัก เดี๋ยวก็เลิกกัน
ฉะนั้นเลิกได้แล้วแหละ เรื่องสอนว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้เป็นบุคคลในประวัติศาสตร์ เลิกสอนได้ แต่ว่าปาฏิหาริย์ต่างๆก็แต่งประกอบในชั้นหลัง จริง มีมาก แต่เราก็สอนถึงเรื่องพระพุทธเจ้าได้สอนอย่างไรสิ และปฏิบัติ แล้วผลเป็นอย่างไร ยกเลิกก็ได้ พระพุทธเจ้าจะมีจริง ไม่มีจริง ไม่สนใจแล้วทีนี้ แต่ว่าไอ้คำสอนที่แกได้สอนไว้ก็เอามาศึกษาดู ถ้าจะปฏิบัติแล้วมีผลดี มี ดับทุกข์ได้แล้วก็เอาแล้วนะ
ยิ่งเข้าใจพระพุทธเจ้าไปเสียอีก ทำไมพระพุทธเจ้าไม่ต้องการให้ใครมายึดถือพระองค์ เป็นเครื่องยึดมั่นถือมั่นและทำตาม เปิดให้กว้าง ปล่อยให้กว้างกันไป ใครว่าก็ได้ แต่ขอให้ไปคิดเอง ถ้าบอกจริงๆก็ทำตามก็ได้ประโยชน์พอ
(ญาติโยมสนทนา) มันบาปไอ้คนนั้นแหละ ไปทำให้นักศึกษาลังเล ถ้าเราจะต้องไปสอนทีหลัง เราก็ตอบแบบนี้ก็ได้ พระพุทธเจ้าจะมีจริงไม่มีจริงอย่าพูดกันดีกว่า พูดแต่ว่าสอนอย่างไร ทำตามดู ถ้าคุณทำตามดู ถ้าเห็นว่ามันมีเหตุผลก็ลองทำตามดูสิ จะสบายจริงหรือไม่ ว่าโลกมันจะสงบสุขจริงหรือไม่ มันไม่น่าจะมี เหลืออยู่จนเวลานี้ ครูบาอาจารย์ที่สอนแบบนั้น ไม่น่าจะมี
ไอ้เราก็ควรจะขอบใจพระเจ้าอโศกให้มาก นึกถึงพระเจ้าอโศก ให้มีวันที่ทำเป็นที่ระลึกถึงพระเจ้าอโศก ถ้าไม่มีสิ่งที่พระเจ้าอโศกได้ทำไว้ยังเป็นปัญหามากนะนี่ คือพวกฝรั่ง พวกนักปราชญ์ พวกนักโบราณคดีจะไม่ยอมเชื่อ ว่าพระพุทธเจ้าได้เป็นมนุษย์อยู่ในโลกคนหนึ่งจริง เป็น เป็นความดีอันนี้เป็นของพระเจ้าอโศกมหาราช ทำไว้แค่นั้น ทำไว้แค่นี้ ทำไว้แค่นี้
ยังมีเรื่องดีๆอีกมากที่เกี่ยวกับพระเจ้าอโศกนี้ ควรจะมีเรื่องพระเจ้าอโศกขึ้นมาให้เล่าเรียนกันให้ทั่ว โดยเฉพาะสำหรับปัจจุบัน ในยุคปัจจุบัน คนที่เล่าเรียนเรื่องพระเจ้าอโศกให้ดีๆ จะจะดีอีกหลายแง่หลายมุมต่างๆ ทั้งทางศาสนา ทั้งการเมืองการปกครอง การอะไรก็ดีแหละ พระเจ้าอโศกเป็นผู้เผด็จการโดยธรรม แกทำให้ศาสนารุ่งเรืองอยู่ เป็นหลักเป็นฐาน เป็นปึกเป็นแผ่น ตายแล้วมันก็ มันไม่สูญนะ มันไม่ได้จบ ไม่สูญ
ถ้าว่าถูก2-3 แห่ง 2-3แห่งก็ต้องปักต้องทำนะ(นาทีที่ 1:10:28) ทำให้ฝรั่งยอมเชื่อ มีการขุดค้นใต้ดินมันพบอะไรๆตรงกันหมด ไม่มีใครแกล้งทำได้ นั่นคือความจริง พบผอบจีนที่ใส่กระดูกจารึกรอบๆนั้น พูดถึงเรื่องโมคคัลลีบุตรอะไรต่ออะไรที่เคยทางศาสนา มันตรงกับเรื่องในคัมภีร์นะ
เข้าใจว่าคงหมดไปเอง ไอ้ครูบาอาจารย์ที่สอนชนิดนี้จะหมดไปเอง และนี้เรื่องที่เป็นหลักฐานวัตถุพยานทางโบราณคดี ทั้งหมดพิมพ์ขึ้นจำนวนมากมันหนาแน่นขึ้นมา พวกฝรั่งทำเอง พวกฝรั่งมันก็ยอมเชื่อ
ศาสนาอื่นน่ะไม่ค่อยมี ไอ้ซากโบราณคดี ทางโบราณคดี จารึกอะไรทางโบราณคดี ศาสนาคริสเตียนหรืออิส-สลามอะไรกลับไม่ค่อยมี มันจะไปมีก็แต่ในคัมภีร์ กับไอ้ตัววัตถุทางโบราณคดีไม่ค่อยมี จะมีก็เรื่องแค่นั้นแหละสมุดแหละ สมุดวาด อันนั้นก็เรื่องสมมติ (นาทีที่ 1:12:14)
เรื่องที่พูดว่าพระ พระพุทธเจ้าไม่ได้มีตัวจริงนี่ไม่ต้องกลัว ต่อไปมันจะลงรอยกัน จนรู้ว่ามีตัวจริง ไอ้เรื่องที่น่ากลัวคือคนไม่เห็นความทุกข์ หรือไม่ยอมรับสภาพว่าเป็นทุกข์ เขาจะแก้ได้ด้วยเงิน แก้ได้ด้วยอะไรตามแต่ หรือวัตถุนะ ไม่ต้องอาศัยธรรมะ ไอ้นี่แหละน่ากลัว ยังน่ากลัวกว่า
(คำถาม)
อะไรเรื่องนิทาน หา,เอ้า,ก็นี่มันบอกไปแล้วว่ามันไม่ใช่เรื่องของนิทาน มันมีหลักฐานทางโบราณคดีมากขึ้นๆ ไม่ ไม่มีทางเห็นเป็นเรื่องนิทาน ทีนี้บุคคลที่เขาได้รับฟังคำสอนเรื่องธรรมะ นี่มันมองเห็นว่ามันไม่จำเป็นนี่ เรามันไม่เป็นทุกข์ เรื่อง อริยสัจ๔ ไม่มีประโยชน์อะไรกับเราเลย กำลังมีอยู่มาก ไม่ยอมฟัง ปฏิเสธท่าเดียว ไม่ยอมพิจารณา มันกลายเป็นยกไว้ให้สำหรับคนจน คน คนทุกข์ทรมานไว้ปลอบใจตัวเอง เขาไม่ต้องการ เขามีเงินที่จะแก้ปัญหาได้ จึงตั้งหน้าตั้งตาหาเงินกันอยู่ท่าเดียว จึงแก้ปัญหาด้วยด้วยเงิน ด้วยอำนาจของเงิน
นี่เป็นเรื่องที่ว่าผมต้องคิด และรับเป็นเจ้าของเรื่อง เราต้องการจะเผยแพร่ธรรมะ อีกฝ่ายหนึ่งชวนว่าไม่มีประโยชน์ ไม่มีความจำเป็น ไม่ต้องธรรมะ มีคนกล้า มีมีคนพูดแล้ว ถึงไม่ไม่กล้าพูด มาถึงเราน่ะ มันก็มีคนกล้าพูดแล้ว ที่เราสอนนี่ มันไม่จำเป็นนี่ มนุษย์ไม่ได้มีปัญหาชนิดนั้น เรื่องสะอาด สว่าง สงบ มันไม่ศึกษา แล้วเขาไม่มีปัญหาอะไร ไม่มีความทุกข์อะไร เรื่องนิพพานไม่ต้องการ เขาพอใจตามที่มันเป็นอยู่แล้ว นี่คือข้อที่ลำบาก
(เสียงญาติโยมสนทนา) เขาพอใจแล้ว ก็ไม่รู้ เขาพอใจแล้ว นิพพานไม่มีช่วยข้าว แล้วมันก็จริงนะ คนที่มันหนุ่มๆอยู่ แบบนี้ ไม่จำเป็นแหละ ไม่มีอะไรที่จำเป็น ธรรมะไม่มี ไม่มีธรรมะไม่จำเป็น เพราะมันตั้งหลักได้แล้ว มีเงินมากแล้ว มีอะไรที่จะบัญชาหรือว่าบังคับอะไรได้ (เสียงญาติโยมสนทนา) อาจจะมากขึ้นก็ได้ ไอ้ระบบวัตถุนิยมที่เจริญรุ่งเรืองแล้วก็ตัดบทไปเลยว่าเรามี เราเราไม่มีปัญหา ทางจิตใจเลย
นี่แหละศาสนา พุทธศาสนาจะหมดก็หมดในรูปนี้ล่ะ ในแบบนี้ ศาสนาจะเกลี้ยงหมดไม่มีเหลือเลยในรูปแบบนี้ คือพุทธบริษัททั้งหลายทิ้งธรรมะ ไม่นิยม พระพุทธศาสนาก็จะหมดไป ไอ้ศาสนาพระศรี- อาริย์จะมาสวมสวม รอย เข้ากันหรือไม่ยังยังมีปัญหาอีก แต่เขาก็ว่าไว้ดีนะ ศาสนาพระศรีอาริย์จะสมบูรณ์รุ่งเรื่องทางวัตถุ แต่ละคนไม่มี ไม่มีความทุกข์ ไม่มีความร้อน ไม่มีกิเลส ไม่มีการเบียดเบียนกันแม้แต่สักว่าเท่าขี้เล็บนะ นี่อันนี้เป็นไปไม่ได้ เวลานี้ยิ่งรวยยิ่งเป็น ยิ่งเบียดเบียนกันรุนแรง มันฆ่ากันทีละแสนละล้านนะต่อไป แต่ถ้าศาสนาพระศรีอาริย์ก็มี ทำให้ไม่มีใครขาดแคลนเรื่องวัตถุ พูดสมัยใหม่เรียกว่าจัดสวัสดิการสังคมดีที่สุด ไม่มีใครขาดแคลนเรื่องวัตถุแม้แต่คนเดียว เขาไม่มีการเบียดเบียนเลย เวลานี้ยิ่งลัก ยิ่งขโมย ยิ่งเบียดเบียน ยิ่งเอาเปรียบ ยิ่งฆ่าเพื่อน มันน่าใจหาย ให้ลองดูจีนกับอเมริกันลองดูสิ มันจะฆ่ากัน
(สนทนากับญาติโยม) คุณพยอม คุณมานะมัวฉายสไลด์กันอยู่แบบนี้หรือ เดี๋ยวคนเหยียบเอานะ เขามากันแบบนี้เลยหรือ เขามากันแบบนี้เลย ฉายสไลด์ไม่ใช่ว่าจะหาได้หรือไม่
(คำถาม)
ก็ดีแหละ เอาแหละมีเหตุผลแหละ แต่มันจะเป็นส่วนที่เล็กลงทุกทีๆ สำหรับคนยากจน คนไม่รู้ คนยังไม่รู้ เดี๋ยวนี้คนรวยเขาไม่เอา ถือศาสนาเงินตะพึด แต่ผมว่าอย่างไรก็ดีมันไม่ใช่ศาสนาพระศรีอาริย์ ศาสนาวัตถุนิยมสมัย เอ่อ,เงินรุ่งเรืองนี้ ไม่ ไม่ใช่ศาสนาพระศรีอาริย์ เพราะมันยังฆ่า ยังฟัน ยังลัก ยังขโมย ยังเอาเปรียบกัน หนักขึ้นไปทุกที ศาสนาพระศรีอาริย์จะไม่มีไอ้วิกฤตการณ์แบบนี้แม้แต่นิดเดียว และทุกคนร่ำรวยกันสุขสบาย ต้องการอะไรไปเอาได้ที่สี่มุมเมือง ประเทศไหนจัดสำเร็จ สวัสดิการสังคมให้คนอยู่สบายแล้ว ไม่ ไม่มีการเบียดเบียน มันไม่สำเร็จ เมื่อก่อนตื่นเต้นที่ออสเตรเลียกันทีหนึ่งไม่ใช่หรือ แล้วทีนี้ก็สแกนดิเนเวียอีกทีหนึ่งอีก เลวทั้งนั้น ยิ่งหนักไปอีก
ยิ่งรวยแบบนี้มันยิ่งเห็นแก่ตัว รวยแบบไม่มีธรรมะ รวยล้วนๆไม่มีธรรมะนี่เห็นแก่ตัว ยิ่งครอบงำผู้อื่น เอาเปรียบผู้อื่น ต้องธรรมะด้วยแล้วรวยวัตถุด้วยนี่ก็ใช้ได้แหละ
แต่เราก็ท้าทายไว้ได้เลยเหมือนกันแหละว่านายทุนคนไหนร่ำรวย คนไหนอย่างไร แล้วมันจะไม่เกิดโทโส โมโห กับลูก กับเมีย กับคนใช้หรือว่ามันมีเข้ามาแล้วมันจะไม่เอาเปรียบคนอื่น มันจะไม่นอนระแวงภัยคงไม่มี นี่คือชีวิตที่ระแวงหวาดกลัว
(คำถาม)
นี้ก็เรื่องหนึ่งเหมือนกันนะ ผู้มีเงินกำลังมีปัญหา แต่ไอ้แบบนี้เราจะไม่ถือว่าจริงจังอะไร มัน มันระงับไปได้ ปัญหาก็จะอยู่ในครอบครัวนั่นแหละ บ้านไหน เรือนไหน เป็นเจ้าพระยา เป็นมหาเศรษฐี ลองไปคอยดูไปเถอะ จู้จี้จุกจิก ทะเลาะวิวาท ด่าทอ หงุดหงิด รำคาญ ฟุ้งซ่านอยู่ แล้วมันจะด้านเกินไปจนไม่ยอมรับสภาพนี้ว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่น่าปรารถนา สิ่งที่ สิ่งที่ว่าไม่ควรจะมี มันไม่ยอมรับ โมโหขึ้นมาก็ไปหากามารมณ์กลบเกลื่อน กลัวขึ้นมาไปหากามารมณ์กลบเกลื่อน อะไรก็แก้ด้วยกามารมณ์ คอยดูสิ สังคมจะไม่มีความสงบ เห็นแล้ว ไอ้สังคมไม่มีความสงบสุขไปตั้งแต่รากฐานคนจนนี้แหละสักวันหนึ่งมันก็เข้าไปถึงคนมั่งมีแหละ ทำให้อยู่กันไม่เป็นสุขนี่ เวลานี้มัน มันยังไม่มากพอ มากพอมันก็เข้าไปทำลายคนมั่งมี บ้านเมืองอยู่กันแบบไม่มีธรรมะ
ธรรมะต้องการให้อยู่กันอย่างพี่น้อง รักใคร่กัน อยู่ร่วมกันในโลกด้วยความรักและความเมตตา คนมีหรือ คนจนมันก็ไม่เป็นปัญหานะ ถ้ามันรักกันเหมือนพี่น้อง ระหว่างคนมีกับคนจนมันก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่นี้มันไม่อาจจะรัก
เหมือนอเมริกานี้ผม เท่าที่ทราบ เท่าที่รู้ มันจะมีปัญหาแต่ตัวดำ ต่อไปไอ้ตัวดำจะมันพลิกแผ่นดิน คนขาวมันไม่ได้ระวัง ที่เมืองจีนมันไม่มีนะ พวก พวกฝรั่งขาวมันไม่ให้การศึกษาแก่พวกดำในอเมริกา มันก็เป็นอันธพาลมากขึ้นๆๆ จนวันหนึ่งมันจะรุก พวกขาวก็จะไม่มีที่อยู่ ไอ้พวกขาวมัวแต่คุมกำเนิดอยู่ได้การแหละ ตัวดำมันไม่คุมเพราะฉะนั้นมันก็มากขึ้นพอจะไล่พวกขาว
ประเทศอเมริกาถ้าเราพูดเปรียบอย่างคนโบราณพูด มันต้องเรียกว่าประเทศอกแตก อกแตกเป็นสองซีก คือตัวดำกับตัวขาวมันไม่อาจจะรักกันได้นะในหนึ่งประเทศ แล้วมันก็ประเทศอกแตกเป็นสองซีก ไม่เท่าไหร่ความแตกมันจะอ้าออกไปเลย แล้วเมื่อก่อนมันก็เคยรังเกียจมันไม่ให้การศึกษาแก่ตัวดำ ทีนี้ตัวดำมันก็เป็นอันธพาลมากขึ้นๆ ทีหลังก็พูดกันไม่รู้เรื่อง ทำความเข้าใจกันไม่ได้ เวลานี้เมื่อมาคิดจะให้การศึกษาแก่ตัวดำมันจะสายเสียแล้ว
นายใหญ่ สมิตชาติ เขียนบทความลงสยามรัฐวันนี้ ดูถูกอเมริกา เป็นพวก พวก พวก พวกรักร่วมเพศน่ะจำนวนมาก แล้วให้ออกกฎหมายรับรองว่าเป็นการถูกต้อง ก็แสดงว่าในประเทศอเมริกามันก็มากเหลือเกิน พวกรักร่วมเพศเรียกเพราะ แต่ว่าพวกสกปรกลามก เอ้า,เราไม่รู้เลยว่าอเมริกามันก็สกปรกลามกถึงขนาดนี้เหมือนกัน เราไม่รู้มาก่อนเลย
(ญาติโยมสนทนา)
ไม่ใช่รับ ให้มา มารับกฎหมายรับรองเป็นการกระทำที่ถูกต้องทำได้ เปิดเผย ทำได้อย่างเป็นของธรรมดา เรื่องการบริการก็ดี อะไรก็ดี เมื่อสัก 15 ปีมาแล้ว มันมีเรื่องหนึ่งเหมือนกันคล้ายๆ คือว่าผู้หญิงที่ไม่ปรากฎสามี ตัวลูกจึงไม่ปรากฎบิดา ไอ้แม่มันชวนกัน ไปขอร้องให้รัฐบาลออกกฎหมายรับรองว่ามีสิทธิ มีอะไรที่ถูกต้อง มันมีมากในมหาวิทยาลัย ผู้หญิงที่มีครรภ์ในมหาวิทยาลัยไม่มีพ่อมันมากขึ้นมากขึ้น รวมถึงชาวบ้านด้วย มันชวนกันขอสิทธิให้ออกกฎหมายรับรอง นี่ก็ไม่ไหวเหมือนกัน รับรองเป็นความถูกต้อง การกระทำอันนั้นเป็นความถูกต้อง ทางศีลธรรมก็ดี ทางกฎหมายก็ดี มันมีกิเลสแล้วมันจะให้รับรองกิเลสนี่ คิดดูสิ มันน่า มันน่าเศร้า มันน่าขยะแขยง มันสร้างกิเลสมากขึ้นแล้วให้มารับรองกิเลส มาขอให้สังคมรับรองกิเลส
(ญาติโยมสนทนา) ก็ตามหลัง เดินตามหลัง ก็เลยละทิ้งศาสนาของตัว ไปตามหลังระบบ เนื้อหนัง วัตถุนิยม เด็กๆวิทยาลัยอะไรก็เรียกร้องขึ้นทุกวันๆ ให้นุ่งกางเกงยีนส์ก็ดี เรื่องสูบบุหรี่ก็ดีเรื่องอะไรต่างๆนี้แหละ เป็นเรื่องบ้าทั้งนั้น แล้วไม่เรียนหนังสือ แล้วใครมันจะเป็นผู้เสียหายล่ะ
ที่หนังสือพิมพ์ลงไอ้ไอ้ระบบรับน้องใหม่ ถึงขนาดให้แก้ผ้านะ แล้วเสพเมถุนอย่างร่วมเพศในที่เปิดเผยแล้วรับน้องใหม่ ไม่รู้จริงหรือไม่จริง แต่หนังสือพิมพ์ลงเมื่อ 2-3 วันนี้
(ญาติโยมสนทนา) เมืองไทยนี่แหละ ระบบรับน้องใหม่ของไอ้โรงเรียนไหนก็ไม่รู้นะ ให้แก้ผ้าแล้วเสพเมถุนอย่างร่วมเพศ ให้ให้ให้ให้ให้ให้น้องใหม่ยอม ไอ้ความเลวทรามไม่มีศีลธรรมของเด็กไทย ให้การศึกษากันมาอย่างไรจึงเกิดอาการอย่างนี้ขึ้น คือไม่อายบ้างล่ะ จัดการศึกษากันอย่างไร กระทรวงศึกษาธิการก็ดี รัฐบาลก็ดี จัดการศึกษาอย่างไรจึงมาเกิดสิ่งวันนี้ขึ้น เมื่อก่อนเคยทำทารุณทำอะไรที่เจ็บปวด เดี๋ยวนี่มันลามกอนาจารขึ้นทุกที
ถ้าถึงระระดับนี้แล้ว คนพวกนี้จะไม่ จะไม่ ไม่ ไม่รู้จักศีลธรรม ไม่ยอมรับศีลธรรม ไม่รับอะไรเลย ธรรมะทำไมอะไรอย่างนี้ จิตใจเลวทราม เป็นยักษ์ เป็นมาร เป็นสัตว์เดรัจฉาน ภูตผีปีศาจให้มันรวมกันเข้าไปหมด แต่ว่ามันยังเป็นส่วนน้อยอยู่นะ ถ้ามันมากขึ้นเมื่อไรแล้วก็ไม่ไหว ต้องหนี ถ้าว่าจัดการศึกษาที่ไม่ให้ดี ให้ไอ้สิ่งที่ไม่ดีหายไปก็ดี มีบุญมาก ถ้าจัดไม่สำเร็จมันลุกลามใหญ่โตขึ้น แล้วมันก็เรียกว่าเป็นโรงนรก
เวลานี้ก็มัน มันขึ้นมาถึงระดับร้ายกาจอยู่อย่างหนึ่ง ความไม่ปลอดภัย ความไม่ปลอดภัยของประชาชนในประเทศมากขึ้นมาเรื่อยๆ น่า น่ากลัวนะ แค่ว่ากลางถนนก็ดี บนรถเมล์ก็ดี บนรถไฟก็ดี หาความปลอดภัยไม่ได้ กระทั่งในบ้านของตัวจะหาความปลอดภัยไม่ได้
ยังไม่เห็นคุณของธรรมะ ไอ้นี่ไม่เห็นคุณของธรรมะ หวังพึ่งเงินไปเถอะ ไอ้เงินน่ะกำลังฆ่าเจ้าของ คิดดู เจ้าของกำลังจะหวังพึ่งเงิน พึ่งเงิน ถ้าถือเงิน ถือวัตถุเป็นสรณะ วัตถุสำเร็จได้ด้วยเงิน มันต้องเจ็บปวดขนาดหนัก ที่เรียกว่ามิคสัญญี ตายไปถึง 80 เปอร์เซนต์แล้วเหลือ 20 เปอร์เซนต์นึกได้ ตั้งต้นกันใหม่
(เสียงเงียบนาทีที่ 1:34:20 เริ่มนาทีที่ 1:35:11) เรื่องผัวข่มเหงเมียยี่สิบ 28 ล้านคนต่อวันในอเมริกา ผมไม่เชื่อ มันเขียนตัวเลขผิด 28 ล้านคนต่อวันนี้ไม่น่าเชื่อ แต่มันก็ลงมาถึงสองวันติดๆกันหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ผู้ชายตบตีภรรยา ข่มเหงจะด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง วันหนึ่ง 28 ล้านคน ไม่น่าเชื่อ ประเทศอเมริกามันก็คงไม่เกิน 300 ล้านคน นี้ 28 ล้านคนต่อวันมันมากเกิน มันคงเป็นประเทศที่เลวทรามที่สุดในโลกแหละ ถ้ามันจริงตามตัวเลขนั้น คงคัดกันมาผิดผิด เขียนผิด อะไรผิด พูดผิดนี่ การทำสถิติของไอ้ ไอ้คนนี้ผิด (เสียงหายนาทีที่ 1.36.15 จนจบนาทีที่ 1.36.22)