แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ในการพูดครั้งที่ ๔ นี้ ผมจะพูดโดยหัวข้อว่า อุบายวิธีสำหรับการบังคับความรู้สึก แล้วพูดถึงการบังคับความรู้สึก ประโยชน์ของการบังคับความรู้สึก เดี๋ยวนี้ก็จะพูดถึงอุบายวิธีสำหรับการบังคับความรู้สึกต่อกันไป
ขอให้จำไว้เป็นพิเศษอย่างหนึ่งเกี่ยวกับภาษา คือคำว่า อุบายวิธี โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือคำว่า อุบาย หรือ อุปาย ในภาษาบาลี คำว่า อุบาย ในภาษาศาสนานั้นก็หมายถึง การกระทำที่ฉลาด ในภาษาไทยธรรมดาๆ คำว่า อุบาย หมายถึงเรื่องหลอกลวงมากกว่า เช่น ใช้ว่า กลอุบาย หรือ อุบาย เป็นเรื่องเลวร้าย เป็นเรื่องหลอกลวง แต่ถ้าทางธรรมะหรือทางศาสนานี่ คำว่า อุบาย ที่ใช้อยู่ในภาษาบาลีก็ตาม ภาษาธรรมะก็ตาม มันหมายถึงวิธีกระทำให้สำเร็จประโยชน์หรือฉลาด ถ้าจะเทียบกับศัพท์สมัยใหม่เดี๋ยวนี้ก็เหมือนกับคำว่า เทคนิค หรืออะไรทำนองนั้น อุบายวิธีเป็นวิธีที่ฉลาดหรือวิธีที่ใช้อุบายสำหรับทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้สำเร็จตามความประสงค์ แม้แต่การกำจัดกิเลส การบรรลุ ให้บรรลุมรรคผลนิพพานนี้ก็เรียกว่าอุบายวิธีได้ด้วยกันทั้งนั้น
เดี๋ยวนี้เรามาพูดถึงอุบายวิธีสำหรับการบังคับความรู้สึก คำว่า อุบายวิธี มีความหมายกว้าง ดังนั้นมันจึงไม่ได้หมายความเฉพาะว่า วิธีบังคับลงไปตรงๆ มันย่อมกินความรวมไปถึงวิธีโดยอ้อม เช่น การป้องกันหรืออะไรล่วงหน้าด้วย รวมทั้งหมดนั่นจึงจะเรียกว่า อุบายวิธี การป้องกันนี้เป็นสิ่งที่ดีกว่าการแก้ไข ดังที่เราก็เคยได้ยินได้ฟังกันมามากแล้ว กันดีกว่าแก้ นั้นหมายความว่า อย่าให้มันเกิดเรื่อง มันก็ดีกว่าให้เกิดเรื่องแล้วจึงค่อยมาต่อสู้หรือแก้ไข มันอึกทึกครึกโครม มันโกลาหลวุ่นวาย มันเหนื่อยยากลำบากมาก ฉะนั้นคำว่า อุบายวิธีที่สมบูรณ์ มันก็ย่อมหมายถึง การป้องกัน การรู้เท่าทันล่วงหน้า ฉะนั้นถ้าเราต้องการการบังคับความรู้สึกที่สำเร็จประโยชน์ มันก็มีการรู้เท่าทันและป้องกันล่วงหน้านี่ก่อน แล้วจึงมาถึงการต่อสู้โดยตรง คือบังคับลงไปโดยตรง แล้วแถมท้ายก็ยังจะต้องมี รักษาไว้ รักษาความรู้สึกที่บังคับไว้ได้นี้ให้มันยังคงอยู่ต่อไป เดี๋ยวมันจะกลับย้อนหลังอีก เป็นการบังคับไม่ได้ คือเหมือนกับไม่บังคับเสียอีก จะเห็นได้ว่ามันต้องทำถูกต้องทั้งก่อนหน้านั้น และตรงกลาง และก็หลังจากนั้นอีก เราจึงเรียกว่าอุบายวิธี
ทีนี้เราจะพูดถึงเรื่องป้องกันล่วงหน้ากันก่อน หมายความว่าเราจะต้องรู้ตัวล่วงหน้าว่าเราจะเผชิญกับอะไร จะต้องปะทะกันกับอะไร และมองให้กว้างให้ลึกลงไปเป็นเรื่องใหญ่ๆ เช่นว่า เดี๋ยวนี้เรามันอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยสิ่งซึ่งยั่วความรู้สึก หรือกระตุ้นความรู้สึกที่เลวร้าย ไม่ใช่ความรู้สึกที่ดี เราไม่ได้อยู่ในโลกที่เขานิยมการบังคับความรู้สึก ไม่สร้างสิ่งที่ยั่วความรู้สึก เหมือนอย่างสมัยนี้ เดี๋ยวนี้เราก็เกิดอยู่ในสมัยนี้ ฉะนั้นเราก็เอาสมัยนี้เป็นเรื่องสำหรับมาพิจารณาดู เราจะต้องรู้สึกล่วงหน้าเท่าทันกันอย่างไร อยากจะพูดในข้อที่ว่า สมัยนี้เขาส่งเสริมสิ่งที่ยั่วความรู้สึกกันถึงขนาดไหนเสียก่อน พอเป็นเครื่องเปรียบเทียบ คุณก็สังเกตเห็นได้เองว่าทุกหนทุกแห่งมันเปลี่ยนแปลงไปในทางเลวร้าย ถ้าเกี่ยวกับศีลธรรม มันส่งเสริมความรู้สึกกิเลส เรื่องโลภะ โทสะ โมหะ ไปเสียทั้งนั้น แล้วก็เกิดความนิยมกันใหญ่หลวงเหมือนกับเรียกว่าเป็นบ้าเป็นหลัง แล้วคุณก็พอจะมองเห็นได้เองอีกส่วนหนึ่งว่า ความรู้สึกที่ส่งเสริมกันนักหรือยิ่งกว่าพวกอื่นก็คือ ความรู้สึกพวกกามารมณ์ เพราะว่ามนุษย์นี้มันมีมันสมอง มันมีความก้าวหน้าทางความคิดนึก รู้สึกประดิดประดอย ก็ใช้ส่งเสริมหรือประดิดประดอยเครื่องส่งเสริมความรู้สึกทางกามารมณ์กันเป็นส่วนใหญ่ นี่หมายถึงยุคปัจจุบัน ก่อนนี้ไม่เคยเป็นอย่างนี้ ถ้าถอยหลังไปเป็น ๑,๐๐๐-๒,๐๐๐ ปีแล้ว เขาถือว่าการส่งเสริมกามารมณ์หรือส่งเสริมวัตถุปัจจัยแก่กามารมณ์นั้นเป็นเรื่องบาป เขาจึงไม่ส่งเสริมเพราะเขากลัวบาป เป็นอย่างนี้เรื่อยๆ มา จนกระทั่งเมื่อเร็วๆ นี้ จะใช้คำว่าเมื่อวานนี้ก็ได้ คือประมาณสักไม่เกิน ๑๐๐ ปีมานี้ มันเปลี่ยนเป็นส่งเสริมเรื่องกามารมณ์ เรื่องยั่วยวนอย่างไม่มียางอาย บรรพบุรุษของเราชั้นปู่ตาหรือชั้นชวดขึ้นไปนั้น ไม่มี ไม่ประสบปัญหาอย่างนี้ ในวัฒนธรรมในขนบธรรมเนียมประเพณี ไม่มีการห้าม ไม่มีการป้องกันกันอย่างหนาแน่นไม่ให้ส่งเสริมกามารมณ์เหมือนอย่างเดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้นมันเพิ่งมีเมื่อโลกมันอุตริทิ้งศาสนาและบูชาความรู้สึกทางเนื้อหนังของตัวเอง ต้องพูดว่าพวกฝรั่งนั้น แม้ว่าจะไม่ใช่ด่าพวกฝรั่ง แต่ต้องพูดว่าพวกฝรั่งนี่ คือพวกที่มีสติปัญญา พวกที่มันจะก้าวหน้าในทางสติปัญญา ทางประดิดประดอย เขานำกันไปในทางส่งเสริมความรู้สึกของกามารมณ์ การแต่งตัว การกินการอยู่ การเล่นหัวอะไรต่างๆ มันก็ให้ส่งเสริมกามารมณ์ให้มากที่สุดที่จะมากได้และเห็นเป็นของดี ทางการแต่งเนื้อแต่งตัวก็เปลี่ยนหมด มันส่งเสริมกามารมณ์ และยังส่งเสริมด้วยหยูกด้วยยา ด้วยเครื่องประดิษฐ์อะไรต่างๆ อีก แล้วก็โฆษณากันให้เกร่อไปหมด ฉะนั้นเราจึงอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยสิ่งกระตุ้นความรู้สึกที่เลวร้ายคือกามารมณ์ ดูเครื่องแต่งตัวของคนสมัยนี้โดยเฉพาะผู้หญิง ทำไมต้องดูที่ผู้หญิงเพราะผู้หญิงเป็นเพศที่ถูกจับเชิดให้เป็นปัจจัยสำหรับความรู้สึกทางกามารมณ์ ผู้ชายไม่ถูกจับเชิดเพราะมันไม่เข้ารูป คือผู้หญิงถูกจับเชิดให้เป็นวัตถุส่งเสริมกามารมณ์ เขาจึงเปลี่ยนให้ผู้หญิงมีเครื่องนุ่งห่มที่ไม่ปกปิดอะไรกันนักแล้วเดี๋ยวนี้ ถ้าภายหลังไปสัก ๑๐๐-๒๐๐ ปีแล้ว เขาปกปิดกันมิดชิดมากสำหรับผู้หญิง ผู้ชายไม่ค่อยปกปิด แต่นี่กลับตรงกันข้าม คนไทยก็โง่ไปตามก้นพวกฝรั่ง ก็เลยเปลี่ยนไปตามนั้นโดยไม่รู้สึกตัว ถูกจับเชิดโดยไม่รู้สึกตัว เกินที่จะเรียกว่าหน้าด้าน หรือหน้าด้านเกินไปโดยไม่รู้สึกตัว ดูกางเกงที่ผู้หญิงนุ่งรัดรูปตรงอวัยวะเพศ แล้วกางเกงที่ผู้ชายนุ่ง มันยังมีแผ่นผ้าทาบยาวลงไป ไม่รัดรูปที่ตรงนั้น ทำไมมันทำให้รัดรูปที่ตรงนั้นแต่เฉพาะผู้หญิง ทั้งที่ผู้หญิงคนนั้นอาจจะสั่งช่างให้ตัดกางเกงให้เป็นอย่างอื่นก็ได้ ทำไมไม่สั่ง ทำไมสั่งให้มันรัดรูปยิ่งขึ้น คุณไปดูเองเถอะ มันสั่งหรือมันต้องการหรือมันนิยม มันเกินหน้าด้าน ทีนี้พวกผู้ชายก็ยังมีผ้ายาวลงไปไม่ให้รัดรูปที่ตรงนั้น ทำไมมันเป็นอย่างนี้ ทำไมมันจึงกอบโกยไอ้ความหน้าด้านไปให้ผู้หญิง ให้สุดเหวี่ยงอย่างนี้ มันก็ส่งเสริมความรู้สึกทางกามารมณ์โดยไม่รู้สึกตัวจนเกินไป จนอยู่ในระดับที่หลงใหลโดยไม่รู้สึกตัว ถ้าเอากางเกงอย่างนี้ไปใส่ให้ปู่ย่าตายายสมัยนั้นดู คงจะถูกไล่ ถูกแช่ง ถูกด่า อยู่ไม่ได้หรอก เดี๋ยวนี้มันก็อยู่กันได้ แล้วมันน้อมจิตไปในทางเดียวกันโดยไม่รู้สึกตัว วัฒนธรรมโบราณไปทางตะวันตกนั้น ผู้หญิงปิดตัวมิดชิดจนรุ่มร่าม และแถมปิดหน้าเสียด้วย อย่าว่าจะปิดตัวลงไปถึงข้อเท้า ยังแถมปิดหน้าเสียด้วย วัฒนธรรมของพวกยิวให้เด็กๆ ที่มีอายุพอสมควรแล้วรับพิธีที่เรียกกันว่า สุหนัด Circumcise นั้นแหละ คือขลิบปลาย ขลิบหนังปลายอวัยะเพศของผู้ชายเพื่อบรรเทาความรู้สึกทางกามารมณ์ ยังอ่านพบว่า ในพวกยิวนั้นยังกระทำแก่เด็กทารกหญิง กระทำการกรีดหรือผ่าตัดแก่ส่วนหนึ่งของอวัยะเพศที่เกิดความรู้สึกรุนแรงทางเพศเสียตั้งแต่เป็นทารก เพื่อว่ามันโตขึ้นมามันจะไม่เป็นทารกและไม่เป็นคนที่มีความรู้สึกรุนแรงในทางเพศ นี่มันป้องกันกันถึงขนาดนี้ มันเป็นการกระทำ เป็นวัฒนธรรมประเพณีอะไรต่ออะไร แต่เดี๋ยวนี้ก็จะไม่ทำแล้ว เพราะว่ามันเปลี่ยนหมดแล้ว มันเปลี่ยนไปตามภูตผีปีศาจแห่งวัตถุนิยมสมัยใหม่หมดแล้ว นี้เอามาเปรียบเทียบให้ฟังให้ดูว่า ก่อนนี้มนุษย์เกลียด รังเกียจ การส่งเสริมความรู้สึกทางเพศ เดี๋ยวนี้มนุษย์ชอบใจ บูชา ส่งเสริมความรู้สึกทางเพศอย่างที่กำลังว่านี้ แล้วบาปก็มาตกหนักแก่เพศหญิง ถูกเชิดโดยไม่รู้ตัว จนกลายเป็นเกินกว่าที่จะเรียกว่าหน้าด้าน แล้วก็ไม่รู้สึกตัว ทีนี้มันก็มาลำบากแก่พวกคุณที่เป็นผู้ชาย ลำบากในการที่จะสำรวมระวังหรือบังคับความรู้สึกทางเพศ ฉะนั้นจึงพูดว่ามันลำบากล่ะสมัยนี้ที่จะบังคับความรู้สึกหรือป้องกันความรู้สึกเกี่ยวกับทางเพศ เพราะเขาเกิดนิยมกันเป็นการใหญ่ ส่งเสริมมันทางการแต่งตัว ทาง ทุกอย่างแหละไปดูเอาเองก็แล้วกัน พุทธสมาคมแห่งประเทศไทยกำลังขอร้องบริษัท ห้างร้านว่า อย่าพิมพ์ Calendar ปีใหม่ ขออย่าไปใช้ภาพเปลือยเลย อย่าได้ใช้ภาพเปลือยเหมือนที่แล้วๆ มาเลย ก็แปลว่า มันเริ่มเห็นกันขึ้นบ้างแล้ว
เอาละ เอาเป็นสรุปทีว่า เราเผอิญเกิดมาในยุคที่มนุษย์นิยมส่งเสริมความรู้สึกที่เลวร้าย แล้วเรามาพูดกันถึงเรื่องการบังคับความรู้สึก ใครมันบ้า ใครมันโง่ ถ้าเราดีเขาก็บ้า ถ้าเขาดีเราก็บ้า มันต้องคนละที มันเหมือนกันไม่ได้ ฉะนั้นคุณก็เลือกเอาเอง ใครจะเป็นคนบ้า ใครจะเป็นคนดี เดี๋ยวนี้เรายังอยู่ในผ้าเหลือง ยังเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าอย่างใกล้ชิด ในประเภทของภิกษุ แล้วจะอยู่ในโลกนี้อย่างไร จะออกไปสู่โลกฆราวาสด้วยความรู้สึกอย่างไร ถ้ากลับไปบูชาเรื่องเหล่านั้นเหมือนคนทั้งหลายก็ตามใจ ไม่มีเรื่องอะไรที่ต้องพูดกัน แต่ถ้าต้องการจะเป็นพุทธบริษัทที่ถูกต้องที่แท้จริงอยู่ มันก็ต้องพูดกันเหมือนที่กำลังจะพูด คือขอให้มีอุบายวิธีที่ครบถ้วนที่จะช่วยควบคุมความรู้สึก บังคับความรู้สึก ป้องกันความรู้สึก แล้วแต่ว่ามันจะต้องใช้ในรูปไหน ในกรณีไหน ในที่ไหน ในเวลาอะไร ไปเลือกเอาเอง ต้องย้ำอีกทีหนึ่งว่า ความรู้สึกมีทั้งประเภท ราคะ โทสะ โมหะ เดี๋ยวนี้ความรู้สึกประเภทราคะนี้มันรุนแรงมาก เพราะมันถูกส่งเสริมมาก ส่งเสริมกันทั้งโลก แล้วก็ยังใช้เป็นโอกาส เป็นเครื่องมือสำหรับทำความร่ำรวย พวกหนึ่งเขาหาความร่ำรวยกับสินค้าหรืออุปกรณ์หรืออะไรก็ตามที่ส่งเสริมกิเลส และผลของการส่งเสริมกิเลสนั้นก็คือการทำโลกนี้ให้วินาศ คือมันทำลายศีลธรรมให้หมดไปๆ แล้วโลกนี้ก็วินาศ นี่มันกำลังจะวินาศ ไม่ต้องใครแช่งหรอก การกระทำของตนเองที่ทำไปผิดๆ น่ะมันก็ให้ผล พูดอย่างสมมติอุปมาหน่อยก็ว่า พระเจ้าลงโทษ พระเจ้าคือกฎเกณฑ์ของธรรมะ เมื่อประพฤติผิดธรรมะ มันก็ต้องถูกลงโทษ มนุษย์ลงโทษตัวเอง หาความสงบสุขไม่ได้ยิ่งขึ้นทุกที อาชญากรรมทางเพศก้าวหน้ากว่าอาชญากรรมทางอื่น ก็ต้องรู้ว่าอาชญากรรมทางขโมยทรัพย์สมบัติทั้งหมดก็เพื่อเอาไปหล่อเลี้ยงความรู้สึกทางเพศเหมือนกัน มันเป็นบริวารของเรื่องทางเพศไปเสียหมด นี่โลกมนุษย์กำลังอยู่ในสภาพที่เรียกว่า ยิ่งกว่ามืดบอดเสียอีก หรือยิ่งกว่าโง่เขลาเสียอีก ยิ่งกว่าหน้าด้านเสียอีก ยิ่งกว่าอะไรเสียทุกอย่าง ฉะนั้นเป็นความลำบากสำหรับผู้ที่จะดำรงตนอยู่ในความถูกต้อง
ทีนี้เราจะยอมแพ้หรืออย่างไร เมื่อไม่ยอมแพ้ก็ว่ากันไป ไอ้พวกที่ยอมแพ้นี้ก็หมายความว่า มันไม่รู้ ไม่รู้จักตัวเองว่าเกิดมาทำไม เกิดมาเพียงเพื่อเอร็ดอร่อยทางเนื้อหนัง ก็ด้วยกระโจนลงไป ก็ไม่มีใครจะดึงไว้ได้ ตัวเองก็ไม่มีความรู้สึกที่จะดึงตัวเองไว้ บิดามารดาครูบาอาจารย์ก็ดึงไว้ไม่ได้ เอ้า,ก็ปล่อยไป ทีนี้ก็เหลือแต่พวกที่มีความรู้สึกในคุณค่าของความเป็นมนุษย์ ต้องการจะเป็นมนุษย์ให้มันถูกต้อง ให้มันได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้โดยแท้จริง โดยแท้จริงและก็โดยถูกต้องด้วย พวกที่มันไปหลงในเรื่องผิดๆ มันก็เห็นว่านั้นแหละดีที่สุดสำหรับมนุษย์ควรจะได้เหมือนกัน เขาก็รู้สึกอย่างนั้นเหมือนกัน แต่มันผิด มันไม่จริง ทีนี้สำหรับพวกที่จริง ก็ต้องเอาจริงกัน แล้วก็ศึกษา เอาความรู้สึกของจิตที่ปราศจากกิเลสมาเทียบเคียงกันดูกับความรู้สึกของจิตที่พ่ายแพ้แก่กิเลส แล้วตัดสินลงไปว่าอย่างไหนมันควรจะเป็นของเรา ข้อนี้ไม่ควรจะเป็นปัญหาแล้ว เพราะเราก็คงจะรู้สึกกันมาแล้วว่ามันเป็นอย่างไร ถ้าไม่อย่างนั้นคงจะ คงจะไม่มาบวชหรอก ทีนี้เป็นความรู้สึกแล้วว่าจะเอากันอย่างไร ปัญหามันก็เหลืออยู่แต่ว่า จะเอากันให้ได้อย่างไรตามความถูกต้องของมนุษย์ที่เป็นไปในทางของธรรมะ สำหรับการป้องกันอำนาจดึงดูดยั่วยวนของสิ่งต่างๆ ในโลกนี้ในปัจจุบันนี้ เป็นอันว่าคุณไปรู้เองแล้ว แล้วคุณก็ไม่ต้องการ มันก็ไม่มีปัญหา ผมก็ไม่พูดอะไรให้มากไปกว่าตัวอย่างที่ได้พูดไปแล้ว
ทีนี้ก็เหลือแต่ว่า ตรงกลางนี้จะบังคับความรู้สึกกันอย่างไร ถ้าพูดให้เป็นเรื่องของธรรมะจริงๆ มันก็กลายเป็นเรื่องที่สูง สูงอยู่ สูงอยู่มาก ขนาดที่เขาเรียกกันว่าชั้นปรมัตถ์ มันต้องถึงชั้นปรมัตถ์มันจึงจะบังคับความรู้สึกได้ ความรู้สึกของจิตนี่มันเกิดขึ้นต่อเมื่อมีการสัมผัส ก็เรียกว่า ผัสสะ เมื่อมีผัสสะจึงจะเกิดความรู้สึกประเภท เวทนา หรือว่า สัญญา หรืออะไรก็แล้วแต่ คู่สำหรับสัมผัสก็คือ ตากับรูป หูกับเสียง จมูกกับกลิ่น ลิ้นกับรส ผิวหนังกับสิ่งที่จะมาถูกผิวหนัง แล้วก็จิตใจกับความรู้สึกที่จะปรุงขึ้นมาในใจ ก็เรียกว่า ๖ คู่ของอายตนะนอกและใน คู่ไหนก็ตามกระทบกันแล้วก็จะมีสิ่งที่เรียกว่าสัมผัส ถ้าสัมผัสแล้วก็จะเกิดความรู้สึก พูดอย่างละเอียดก็ว่า ตา ยกตัวอย่างกรณีของตา มันได้อาศัยรูป เกิดจักษุวิญญาณ เห็นรูป ๓ ประการนี้ถึงกันเข้าเรียกว่าสัมผัส เพราะสัมผัสมันก็เกิดความรู้สึกที่เรียกว่า เวทนา ถูกใจหรือไม่ถูกใจ เป็นสุขหรือเป็นทุกข์ หรือว่ายังไม่รู้ว่าอย่างไรแน่ นี้คือความรู้สึกที่เกิดมาจากผัสสะ ทั้งหมดนี้เร็วมาก จะต้องพูดว่าเร็วอย่างน้อยก็เท่าสายฟ้าแลบ คือไม่ช้ากว่าสายฟ้าแลบ เพราะฉะนั้นมันจึงยากที่จะควบคุม ฉะนั้นการควบคุมจึงต้องมีความรู้ที่เพียงพอสำหรับป้องกันล่วงหน้า และสำหรับควบคุมในขณะนั้นเองด้วย เมื่อเราจะต้องเข้าไปสู่สถานที่ที่จะให้เกิดความรู้สึกเลวร้าย ก็ต้องรู้จักป้องกันล่วงหน้า ป้องกันถึงขนาดที่ว่า ไม่เข้าไป ไม่เข้าไปเลย สถานที่อย่างนั้นไม่เข้าไปเลย ก็ปลอดภัยไปชั้นหนึ่ง ทีนี้ถ้าต้องเข้าไปหรือว่าจำเป็นจะต้องเข้าไป มันก็ต้องมีความรู้สึกที่ฉลาดที่ทันกันเลย ทีนี้ในกรณีที่มันไม่ใช่ต้องเข้าไปละ มันเกิดขึ้นในเราที่นั่งอยู่ตรงไหนก็ได้ มันก็มีปัญหามาก ส่วนที่เราเว้นเสียได้โดยไม่เข้าไปนั้นก็มากอยู่แล้วนะ ก็มากอยู่แล้ว ก็ช่วยได้มากอยู่แล้ว ทีนี้ส่วนที่เราเว้นไม่ได้ ที่ต้องเผชิญกัน นี้มันก็มีมากเหมือนกัน แล้วก็ไม่รู้เมื่อไรด้วย มันก็จะมีอีกวิธีหนึ่ง คือมีการควบคุมไว้ดี ควบคุมตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ให้มันมีสติสัมปชัญญะที่จะดู ที่จะฟัง ที่จะดม ที่จะลิ้มอะไรก็ตาม ให้มันมีสติสัมปชัญญะ ก็บอกแล้วว่ามันเร็วอย่างน้อยเท่าสายฟ้าแลบ ฉะนั้นเมื่อไรมีผัสสะ ตรงนั้นต้องมีสติทันควัน ธรรมะนี้มันก็แปลก ก็เร็วเท่าสายฟ้าแลบได้เหมือนกัน ถ้าฝึกให้ดี ถ้าฝึกได้ดี มันก็จะมีความรวดเร็วเหมือนกับสายฟ้าแลบเหมือนกัน สติมาทันในขณะแห่งผัสสะ มันก็ควบคุมผัสสะนั้นได้ ผัสสะนั้นจะไม่ก่อให้เกิดความรู้สึกที่เลวร้าย แต่มันเต็มอยู่ด้วยสติสัมปชัญญะ มันก็มีความรู้ว่านี้คืออะไร นี้จะต้องทำอย่างไรหรือไม่ต้องทำอะไร มันก็ถูกไปหมด เมื่อตาเห็นรูป อย่างเห็นรูปเพศตรงกันข้าม ถ้าสติมาทันในขณะแห่งการเห็น คือผัสสะแห่งการเห็น สติสัมปชัญญะมันก็รู้เองว่านี้อะไร นี้จะต้องทำอย่างไรหรือไม่ต้องทำอย่างไร มันก็ทำถูกหมด นั้นแหละควบคุมความรู้สึกอย่างดีเลิศ ชั้นเลิศ คือควบคุมที่ผัสสะที่มันจะเกิดเวทนา ถ้าเกิดเวทนาเป็นความรู้สึกมาแล้ว ก็ควบคุมเวทนานั้นต่อไปอีกก็ได้ สุขเวทนาจะต้องทำอย่างไร ทุกขเวทนาต้องทำอย่างไร อทุกขมสุขเวทนาต้องทำอย่างไร ตามธรรมดามันก็มีอำนาจน้อย แต่ถ้ามันเกี่ยวกับเรื่องทางเพศ แล้วมันก็มีอำนาจมาก ควบคุมยาก โดยเฉพาะสำหรับคนหนุ่มคนสาว มันก็ยืดยาวเรื่องนี้ แม้คนแก่คนเฒ่ามันก็ยังมีกรณีพิเศษ ฉะนั้นเมื่อไปจนถึงขั้นเวทนาก็ต้องควบคุมอำนาจของเวทนา ถ้าฝึกไว้ดี เคยทำสมาธิวิปัสสนาได้สำเร็จ มันก็จะใช้ความรู้ที่เคยฝึกฝนนั้นแหละมาใช้ควบคุม ให้มันจริงเหมือนอย่างที่ว่าเอาสักที ว่าเวทนาสักว่าเวทนา ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตนเราเขา เวทนาเป็นสักแต่ว่าผลของผัสสะ เป็นเรื่องมายา เกิดขึ้นจากการกระทบของอายตนะ เป็นไปตามธรรมชาติ ทีนี้คนโง่มันไปรู้สึกว่าเป็นของประเสริฐสุด เป็นสวรรค์วิมานอะไรของมันไป ถ้าคนที่มีสติปัญญาอบรมมาแล้ว มันก็สักว่าเวทนา เป็นเหมือนกับเครื่องจักรทางวิญญาณที่มีอยู่ในร่างกายทุกๆ ร่างกาย สัมผัสแล้วกำหนัดนั้นเป็นเครื่องจับในกาย เมื่ออารมณ์พบอินทรีย์แล้ว ทำงานไปตามหลักตามเกณฑ์ของธรรมชาติ แต่ไอ้คนโง่ทั้งหลาย มันว่านี้แก้ว เป็นแก้ว เป็นของประเสริฐ เป็นรัตนะ แล้วมันก็ลุ่มหลงในกาม
นี้สติปัญญาสำหรับจะควบคุมความรู้สึกในระดับของเวทนา มันเก่งรองลงมา ถ้าเก่งจริงมันควบคุมได้ในขณะแห่งผัสสะ แต่มันเร็วโดยสายฟ้าแลบ มันเร็วเหมือนสายฟ้าแลบ มันมักจะพลาด ควบคุมไม่ทัน แล้วก็มาควบคุมกันในขณะแห่งเวทนา เวทนามันก็ยังควบคุมได้ยาก เพราะอวิชชามันครอบงำมาเสียแล้วตั้งแต่ขณะแห่งผัสสะ เป็นผัสสะโง่ แล้วก็มาเป็นเวทนาโง่ แล้วจิตมันทำงานทีเดียว อย่างเดียวเท่านั้นแหละ ถ้าโง่ก็โง่ ถ้าฉลาดก็ฉลาด แล้วมันโง่อยู่นี่ กว่ามันจะฉลาดก็บอบช้ำไปแล้ว ฉะนั้นสติสัมปชัญญะต้องฝึกไว้อย่างดีมาก เหมือนกับฝึกอานาปานสติภาวนาทั้ง ๑๖ ขั้นไว้อย่างช่ำชองเชี่ยวชาญที่สุด มันจึงจะมาทัน มาต่อสู้กันในขณะแห่งเวทนา ให้รู้ว่าเวทนาเป็นสักว่าเวทนาอย่างนั้นอย่างนี้จริง ฉะนั้นความรู้สึกหลงใหลในทางเพศทางกามารมณ์มันก็ระงับไป สติปัญญาก็บอกให้ทำว่า สติปัญญาก็สั่งไปว่า ทำอย่างไรก็ทำไป อย่าไปยุ่งกับมันให้เสียเวลา ความจริงก็กลายเป็นการศึกษาไป ไอ้ความโง่ ความผิดพลาดนี้ก็กลายเป็นการศึกษาสำหรับจะไม่โง่อีก มันก็ได้เหมือนกัน นี่เรียกว่าบังคับความรู้สึกในขณะที่มันเกิดความรู้สึก
คุณฟังดู แล้วคิดดูเถอะ มันเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ มันเป็นการต่อสู้ที่เอาชนะได้แสนยาก เพราะฉะนั้นท่านผู้รู้จึงได้กล่าวว่า สงครามในจิตนี่มันยากกว่าสงครามข้างนอกที่รบกันตั้งล้านตั้งแสน ใช้ระเบิดปรมาณูอะไรก็ตาม มันก็ไม่ยาก มันไม่ยากเท่าสงครามในจิตแวบเดียวหรือของคนเพียงคนเดียว นี่มันยากที่จะเอาชนะได้ ฉะนั้นคนจะเอาชนะได้จึงเป็นพระอรหันต์ ก็นับว่าสมกันแล้ว เป็นมนุษย์สูงสุด ประเสริฐที่สุด เดี๋ยวนี้คุณก็บวชชั่วไม่กี่เดือนนี้ ก็ไม่ปรากฏว่าสามารถฝึกอานาปานสติภาวนาได้อย่างเต็มขนาดหรือเป็นที่พอใจ ผมก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร มันก็ออกไปตามที่มี ตามที่มีอะไรติดมือไปบ้างเล็กๆ น้อยๆ เป็นความรู้ที่จะต้องไปฝึกฝนกันต่อไป บังคับความรู้สึกโดยวิธีที่กล่าวมาแล้วนั้น มีสติสัมปชัญญะ ไม่เข้าไปหาอารมณ์ที่ยั่วความรู้สึก ในกรณีที่มันได้กระทบกันเข้าแล้ว ก็มีสติสัมปชัญญะในขณะแห่งการกระทบ ถ้าพลาดในขณะแห่งการกระทบ ก็มารู้สึกในขณะแห่งเวทนา ถ้ายังพลาดอีก ก็เลื่อนไปเป็นลำดับๆ ไป แล้วแต่ว่าเวทนานั้นมันให้เกิดอะไร ตามปกติเวทนาก็ให้เกิดตัณหา ความอยากเพราะอวิชชา จำไว้ เคยบอกไม่รู้กี่สิบครั้งแล้วว่า ถ้าเรียกว่า ตัณหา ต้องหมายถึงความอยากที่มาจากอวิชชา ความอยากธรรมดาก็ไม่เรียกว่าตัณหาหรอก อย่าพูดผิดๆ เพ้อๆ เหมือนกับที่เขาพูดกัน ความทะยานอยากเรียกว่าตัณหานี่ยังผิดอยู่ ถ้ามันทะยานอยากด้วยสติปัญญา ไม่ใช่ตัณหาหรอก ถึงแม้ว่ามันอยากอย่างเนือยๆ ไม่ทะเยอทะยาน แต่ถ้ามันอยากด้วยอวิชชาแล้วนั่นคือตัณหา มันจะคลานงุ่มง่ามต้วมเตี้ยมอย่างไรก็ตาม ไม่ได้ทะเยอทะยานอะไร แต่มันอยากด้วยอวิชชาแล้วนั่นแหละคือตัณหา เขามักจะสอนกันว่าความอยากแล้วเป็นตัณหาหมด ทะยานอยากแล้วก็ยิ่งเป็นตัณหาใหญ่ ไม่ ไม่ถูก ผมว่าไม่ถูกนะ คนอื่นตามใจ ต้องเป็นความอยากเพราะอำนาจของอวิชชาคือความโง่ เวทนามันโง่แล้วมันก็ปรุงให้เกิดความอยากที่โง่คือตัณหา ตัณหาในกามมันก็แบบหนึ่ง ทีนี้ตัณหาในความเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ก็แบบหนึ่ง ตัณหาในความไม่ให้เป็นอย่างนั้นไม่ให้เป็นอย่างนี้ก็อีกแบบหนึ่ง มันมีอยู่ ๓ แบบเท่านั้นแหละตัณหาของคนในโลก ในเรื่องของกาม ก็อยากได้หรืออยากเอาด้วยความโง่ นี่ ภวตัณหา คืออยากเป็นอย่างนั้นอยากเป็นอย่างนี้ด้วยความโง่ทั้งนั้น วิภวตัณหา ก็อยากไม่ให้เป็นอย่างนั้น อยากไม่ให้เป็นอย่างนี้ แม้แต่อยากตาย ก็ด้วยความโง่
ไปดูรูปช้างกินน้ำ ๓ สระ ช้างตัวหนึ่งกินน้ำ ๓ สระ ในตึก ฝาผนังโรงหนัง จำติดตาไปบ้างว่า ช้างตัวหนึ่งกินน้ำ ๓ สระ ไอ้คนนี่มันมี ๓ อย่างเท่านั้นที่มันอยาก หิว กระหาย เอ้า, กำลังอยากอยู่ อยากอยู่ด้วยตัณหาอย่างใดอย่างหนึ่งนี่ จะควบคุมมันได้อย่างไร ตอนนี้ไม่ค่อยเร็วเหมือนสายฟ้าแลบแล้วแหละ เพราะมันบอบช้ำมาแล้ว ทีนี้มันลึกลงไปแล้วมันก็ไม่ได้เร็วเหมือนสายฟ้าแลบแล้ว ก็พอจะมีโอกาส มีเวลาใช้สติปัญญาหยุดกระแสแห่งตัณหา หรือเปลี่ยนกระแสแห่งความอยากเสียใหม่ ให้มันเป็นความอยากด้วยปัญญา ด้วยวิชชา ก็เรียกว่าบังคับความรู้สึกได้เหมือนกัน คือมันเป็นทุกข์แต่น้อย เป็นทุกข์แต่ทางจิตใจในระดับแรกและหยุดไปได้ หายไปได้ ทีนี้ถ้าบังคับไม่ได้ มาถึงกับตัณหา บังคับไม่ได้ ตัณหาก็เต็มตัว ก็มีอุปาทานตัวกูของกู อย่างนั้นอย่างนี้ มันก็ร้อนเป็นไฟ เต็มอัตราของมัน แต่มันก็ยิ่งช้าลงนะ ช้าลงๆ การต่อสู้ในชั้นนี้มันช้าลงๆ ก็มีโอกาสที่จะแก้ไขได้อีกแหละ ดับความรู้สึกที่เป็นอุปาทานได้ แต่ไม่เก่งนัก ไม่เป็นนักเลง ถ้าเป็นนักเลงจริงๆ อย่างน้อยก็ต้องระงับความรู้สึกได้ในขั้นของตัณหา หยุดกระแสตัณหาได้ ทีนี้ถ้ามันเป็นชั้นเลิศนะ เป็นชั้นแชมเปี้ยนกันนะ ก็หยุดได้ในขณะแห่งผัสสะ
ทั้งหมดนี้เราพูดถึงความรู้สึกที่เลวร้าย ที่ให้โทษ ที่ต้องหยุด ความรู้สึกที่ถูกต้อง ที่เป็นกุศล ที่เป็นประโยชน์นั้น มันก็ยังต้องบังคับกันอีกส่วนหนึ่ง ไอ้ฝ่ายเลวร้าย ฝ่ายกิเลสนี้ก็บังคับกันอย่างที่ว่านี้ แต่ถ้าฝ่ายดี ฝ่ายที่มีประโยชน์ มันยังต้องบังคับกันอีกอย่างหนึ่ง อีกแบบหนึ่ง คือมันไม่ค่อยจะเกิด ต้องบังคับให้มันเกิด หรือว่ามันเกิดขึ้นมาแล้ว ก็จะต้องบังคับอยู่นั่นเอง ให้มันถูกต้อง ให้มันพอดี บางทีมันอยากดี แต่ด้วยความโง่มันก็ใช้ไม่ได้ แม้คิดว่า ดี ถูก แต่มันด้วยความโง่ มันก็ใช้ไม่ได้ คือมันกลายเป็นผิดได้ หรือบางทีมันจะมากเกินไป เฟ้อ อย่างนี้ ต้องลดลงให้พอดี อย่าให้มันมากเกินไป อย่าให้เป็นความรู้สึกที่มันรุนแรง ความอยากดีถ้ารุนแรงก็บ้าได้ มันก็เป็นทุกข์ได้ ฆ่าตัวตายได้ เพราะยึดมั่นในความดีแท้ๆ มันยังทำให้ฆ่าตัวตายก็ได้ ก็ต้องบังคับเหมือนกัน ฉะนั้นขึ้นชื่อว่าความรู้สึกแล้วก็จะต้องควบคุมให้เป็นไปอย่างถูกต้องหรือพอดี เป็นมัชฌิมาปฏิปทา ความรู้สึกฝ่ายเลว ฝ่ายร้าย ฝ่ายชั่วนั้น ก็เรียกว่าทำลายกันแหลก ไม่ให้มีเหลือ ให้ทันแก่เวลาด้วย ทีนี้ฝ่ายดีแท้ๆ ก็ยังต้องควบคุม ให้มันเป็นดี ที่ดีจริงหรือถูกต้อง แล้วยังต้องพอดีอีก และไม่ต้องมารบกวนอยู่ในความรู้สึก ไม่อย่างนั้นคนนั้นแหละมันจะนอนไม่หลับเพราะความดี และการรู้สึกที่ยึดมั่นในความดีมันจะทำให้นอนไม่หลับ แล้วมันจะเป็นโรคประสาท แล้วมันจะเป็นบ้าได้เหมือนกัน บางคราวเราหวังดี เราอะไรมากเกินไป นอนไม่หลับเพราะความดีกลายเป็นให้โทษ เป็นโรคภัยไข้เจ็บทางร่างกายก็ได้และทางโรคจิตก็ได้ นี้เรียกว่าบังคับความรู้สึก ควบคุมความรู้สึกในทางฝ่ายดีให้เป็นไปอย่างถูกต้อง ไอ้ที่ว่า ดี ดี นั้นบางทีมันก็อาศัยตัณหา อาศัยอวิชชามากเกินไป อยากดีด้วยความโง่นี้ก็เรียกว่าตัณหา ไอ้ที่ว่าดีๆ นี้บางทีมันก็มาจากอวิชชา มาจากตัณหาที่มาจากอวิชชา ก็เป็นโทษน่ะ เช่น ทำให้นอนไม่หลับ
ฉะนั้นขึ้นชื่อว่าความอยากแล้วมันก็ต้องควบคุม แม้แต่อยากดีโดยถูกต้องนี่ ถ้าไม่ควบคุมมันบ้านะ เช่น ถ้าคุณอยากจะดี มันไม่ทันใจคุณ มันไม่ดีได้เร็วทันใจคุณ คุณก็เป็นทุกข์ทรมานอยู่ตลอดเวลา ก็ต้องควบคุมอย่าให้มันรู้สึกขึ้นมา แล้วก็ทำหน้าที่ไป, ทำหน้าที่ไป โดยไม่มีความรู้สึกอยากชนิดที่เผาลน อย่าไปพูดเหมือนคนสมัยนี้พูดว่า ชีวิตนี้อยู่ด้วยความหวัง ถ้าใครเคยคิดอย่างนั้นหรือถืออย่างนั้นก็รีบทิ้งไปเถอะ มันเป็นหลักเกณฑ์ที่ผิด ชีวิตที่แท้จริงมันอยู่ด้วยสติปัญญา ไม่ต้องอยู่ด้วยความหวัง เราต้องการอะไรก็คิดเสียให้มันออก ให้มันถูกต้องแน่นอนว่าจะเอาอย่างไร แล้วก็มีสติปัญญาสำหรับทำต่อไป อย่าไปอยาก อย่าไปหวัง มันจะทรมานจิตใจ อย่างนี้เรียกว่ามีชีวิตอยู่ด้วยสติปัญญา สติปัญญาทีแรก รู้ว่าจะทำอะไรกันแน่โว้ยเรานี่ แล้วสติปัญญาทีหลัง ก็ควบคุมมันเรื่อยไป ทำไป อย่าอยู่ด้วยความหวัง ซึ่งมันเป็นกิเลสตัณหาที่มาจากอวิชชา มันจะหิว เหมือนคอแห้งอยากน้ำอยู่เสมอ ไม่เท่าไรมันต้องมีอันตรายแหละ จะต้องทำอะไรผิด มันต้องเป็นโรคจิต จะต้องทำอะไรอย่างที่ป้ำๆ เป๋อๆ ไม่มีสติสัมปชัญญะ ถ้าจะพูดตัดบทกันเสียง่ายๆ ก็จะพูดว่า อย่าหวังเลยจะดีกว่า ถ้าใครชอบหวัง ผมจะแนะว่าอย่าหวังเลยจะดีกว่า มีสติปัญญาทำไปตามสติปัญญา อย่าหวัง ถ้าหวังแล้วมันจะบ้า เพราะว่าถ้าหวังแล้วมันมีผิดหวัง ไอ้เรื่องผิดหวังนี้คุณเคยรู้รสแล้วใช่ไหม ว่ากี่มากน้อย ผิดหวังในอะไรก็ตามใจ โดยเฉพาะผิดหวังในเรื่องเพศแล้วมันก็คงจะกัดเอามากทีเดียว ฉะนั้นอย่าไปหวัง มันก็ไม่มีผิดหวังอะไร ตลอดชีวิตไม่มีผิดหวัง ผมจะอวดว่าผมนี่ ที่ผมอยู่นี้ไม่มีความหวัง แต่ไม่ใช่ผมจะอวดว่าผมเป็นพระอรหันต์นะ คุณอย่าฟังผิดๆ แล้วจะเที่ยวเหมาว่าผมอวดตัวเอง คือผมกลัวความหวัง ไม่กล้าอยู่ด้วยความหวัง เพราะหวังแล้วมันผิดหวังทันทีที่เราหวัง พอเราหวัง มันก็ไม่ได้อย่างหวัง มันก็คือผิดหวังตั้งแต่เริ่มหวัง ฉะนั้นอย่าหวังสิ แล้วก็ทำไปตามที่สติปัญญามันบอก ฉะนั้นอย่าหวังว่าคนนั้นจะเป็นอย่างนั้นคนนี้จะเป็นอย่างนี้ สิ่งนั้นจะเป็นอย่างนั้นสิ่งนี้จะเป็นอย่างนี้ อย่าไปหวัง มันโง่ มันบ้า เพราะไปหวังแล้วมันก็คือผิดหวัง ถ้าอยากให้ชีวิตนี้ไม่มีการผิดหวัง ก็อย่าไปหวังสิ มีแต่สติปัญญาว่าเราจะต้องทำอะไรก็ทำไป แล้วมีผลเกิดขึ้นก็ไม่ได้หลงรักหลงบูชาอะไร เพราะมันเป็นเรื่องอิทัปปัจจยตา เป็นไปตามกฎธรรมดาของสังขาร ไม่อยากมีความทุกข์ก็อย่าไปหวัง ถ้าหวังจะผิดหวังแล้วจะมีความทุกข์ คุณอยากจะเป็นอะไรก็ได้ อยากจะก้าวหน้าเท่าไรก็ได้ ก็คิดไปด้วยสติปัญญา แล้วก็ทำไปโดยไม่ต้องหวัง ถ้าหวังแล้วมันก็เริ่มผิดหวัง แล้วมันจะผิดหวังชนิดที่ทรมานจิตใจ เผลอเข้ามันจะเป็นบ้า ถึงใช้คำว่า อยาก ก็เหมือนกันแหละ อย่าไปอยากมันเลย เมื่อคิดออกแล้วจะทำอะไร ก็ทำไป อย่าไปอยากมันเข้า อยากให้เป็นอย่างนั้นอยากให้เป็นอย่างนี้ อยากให้สำเร็จเร็วๆ อย่าไปอยากเลย มันตกนรก มันตกนรกทันที ฉะนั้นมีแต่สติปัญญาหรือสติสัมปัญญะก็ได้ แล้วแต่จะเรียก ทำไปตามที่มองเห็นว่าดีแล้ว ถูกต้องแล้ว แล้วก็มีความสุขเพราะได้ทำสิ่งที่ถูกต้องแล้ว มันก็มีความสุข นี่มันเป็นเคล็ดที่จะช่วยให้ไม่หวัง
เป็นสุขอย่างนี้ มันมีความสุข มันเป็นความสุขที่ละเอียดประณีต ถ้ามีความสุขชนิดนี้ได้จริง มันระงับความสุขประเภทบ้าๆ หรือประเภทกามารมณ์ได้จริงได้เหมือนกัน ถ้ามันมาติดความสุขชนิดนี้แล้ว มันก็จะไม่ไปหลงความสุขประเภทกามารมณ์หรือที่เรียกกันว่าความสุขทางเพศ มันก็เลยหมดปัญหาไปได้ แต่ถ้ามันไม่เข้าถึงความสุขจากการทำสิ่งที่ดีที่ถูกต้องนี้แล้ว มันก็ต้องส่ายหาความสุขหรือความเอร็ดอร่อยอย่างใดอย่างหนึ่ง ในที่สุดมันก็ไปหาความรู้สึกทางเพศ เป็นความสุขทางเพศ ยกตัวอย่างง่ายๆ คุณบวชแล้วประพฤติพรหมจรรย์ ประสบความสำเร็จ ความพอใจ แล้วเป็นสุขอยู่ได้ด้วยการประพฤติพรหมจรรย์ ถ้าทำได้เต็มที่ ความสุขนั้นจะครอบงำอำนาจความต้องการทางเพศ หรือว่ามันมีรส รสประเสริฐสูงสุดจับใจยิ่งกว่าความสุขในทางเพศ มันต้องเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นเราจึงไม่มีปัญหาเรื่องเพศเรื่องอะไรกัน มีสติสัมปชัญญะ ประพฤติหรือกระทำสิ่งนี้ให้ดีที่สุดจนเกิดปีติพอใจในการกระทำของตน เขาเรียกว่า ธรรมะปีติ ปีติเพราะธรรม ธรรมะนะ ปีติเพราะได้ประพฤติธรรม ปีติเพราะรู้สึกว่าประพฤติธรรมสำเร็จ นี่เรียกว่าธรรมะปีติ หรือปีติว่าเรากำลังตั้งอยู่ในธรรม นี้ก็ธรรมะปีติ ก็ให้เกิดความสุขอยู่ในธรรมะปีติ มีอำนาจครอบงำความรู้สึกทางเพศหรือความสุขทางเพศอะไรต่างๆ จนถึงกับว่าไม่มารบกวน ฉะนั้นปัญหาก็หมดไป ถ้าเข้าใจข้อนี้ก็จะมองเห็นว่า นี้เป็นอุบายที่จะบังคับความรู้สึกที่เลวร้าย ที่เลวทราม ที่ทำให้มนุษย์มีความทุกข์เสียได้ มามีจิตใจที่เป็นอิสระ เป็นอิสระ คือรอด
ในตอนนี้ก็พูดได้ว่า จะต้องบังคับมาตามลำดับในขณะแห่งผัสสะก็ดี ในขณะแห่งเวทนาก็ดี ในขณะแห่งตัณหาก็ดี ในขณะแห่งอุปทานก็ดี จนกระทั่งว่าอย่ามีชีวิตอยู่ด้วยตัณหาหรืออุปาทาน และอย่าอยู่ด้วยความหวัง อย่าโง่เขลาด้วยอำนาจอวิชชาหรือตัณหานั้น เอาละถ้าสมมติว่าจะไปมีเหย้าเรือนมีครอบครัวอะไร ก็มีสติสัมปชัญญะที่จะไม่หลงใหลในความรู้สึกที่เกิดขึ้นจากการสัมผัสทางไหนก็ตาม นี่หมายถึงฆราวาสครองเรือน ถ้ามันยังทำให้ดีกว่านั้นไม่ได้ ก็เอาอย่างนั้นไปก่อนก็ได้ แต่ถ้าสามารถจะทำให้ดีกว่านั้นได้หรือมันชนะมากกว่านั้น ก็ทำอย่างที่ว่า เป็นฆราวาสไม่ครองเรือนก็ได้ ฟังแล้ว ฟังดูแล้วก็น่าหัวนะ เขามีแต่ฆราวาสครองเรือน เราเป็นฆราวาสไม่ครองเรือนดูบ้าง คือทำแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ และยินดีพอใจในการได้ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ มีความสุขจนลืมเรื่องทางเพศ อย่างนี้เรียกฆราวาสที่ไม่ครองเรือน แล้วก็อยู่ที่บ้าน ก็ทำอะไรเหมือนกับที่เขาทำกันอยู่เพื่อประโยชน์แก่มหาชน แต่มันคงจะยาก เพราะมันไปอยู่ในท่ามกลางสิ่งยั่วยวน ไปอยู่ในท่ามกลางอุปสรรค มันทำยาก มันจึงสู้ชีวิตแบบบรรพชิตไม่ได้ สรุปว่า ดำรงชีวิตอย่างบรรพชิตนี้มันควบคุมความรู้สึกได้ง่าย แต่อยู่อย่างฆราวาสมันควบคุมยาก และมันมักจะพ่ายแพ้ทั้งนั้นเลย ไม่ควบคุมได้ และก็เรียกว่าตายไปเลย ตายในเลน ในตม ในหนอง ใน เพราะมันยากที่จะทำได้ ก็มีหวังว่าในชั้นแรกๆ มันผิดพลาดไป ชั้นต่อมาก็ให้มันถูกต้อง ชนะกันในบั้นปลายแห่งชีวิตก็ยังได้ นี่ผมก็ได้พูดถึงการบังคับความรู้สึกในขณะแห่งปัจจุบัน เสร็จไปอีกอย่างแล้ว
ทีนี้เวลาเหลืออีกนิดหนึ่ง จะพูดเรื่องควบคุมความรู้สึกในตอนท้าย ในระยะหลังมาอีก คือรักษาระดับแห่งชัยชนะที่ชนะแล้ว ให้มันยังคงอยู่ หมายความว่าเมื่อควบคุมได้ ชนะได้ ก็ยังกลับพลัดตกลงไปที่นั่นอีก นี่ก็รักษาสิ่งที่ทำได้แล้วไว้ ให้ยังคงอยู่ แล้วมันก็จะก้าวหน้ายิ่งๆ ขึ้นไป ถ้ารักษาได้แล้วแพ้อีก, รักษาได้แล้วแพ้อีก ควบคุมแล้วแพ้อีก, ควบคุมแล้วแพ้อีก มันก็อยู่ที่นั่น เพราะฉะนั้นเราจะต้องรักษาไว้ให้ได้ แล้วทีนี้ก็จะเลื่อนชั้นสูงขึ้นไป คือมันเก่งขึ้นทุกที นี่พูดกันอย่างนี้จนไม่มีปัญหา ถ้าขืนทำได้อย่างนี้ ไม่เท่าไรมันก็หมดเรื่องที่จะต้องควบคุมแล้ว ก็เป็นพระอรหันต์ได้เหมือนกัน มันหมดข้าศึก หมดกิเลส หมดศัตรู นี้เรื่องไม่ยืดยาวอะไร ชนะแล้วรักษาไว้ให้ได้ เพราะว่าแรกๆ ที่ชนะนี้มันกลับแพ้ได้เพราะกิเลสมันเก่ง อย่าอวดดีกับกิเลส มันเป็นสิ่งที่เอาชนะได้แสนยาก เอ้า, เป็นอันว่าควบคุมความรู้สึกก่อนแต่จะเผชิญหน้ากับอารมณ์นี้เป็นขั้นหนึ่ง แล้วควบคุมความรู้สึกเมื่อกำลังเผชิญกันกับอารมณ์ และควบคุมความรู้สึกหลังจากที่เราชนะอารมณ์ได้ครั้งหนึ่ง นี่เรียก อุบายวิธีสำหรับการควบคุมความรู้สึกโดยตรง เป็นตัวเทคนิคโดยตรง ทีนี้นอกนั้นก็เป็นอุปกรณ์ทั้งนั้น ก็อุตส่าห์ทำความดี ทำบุญทำกุศล ไหว้พระสวดมนต์อะไรไปตามเรื่อง นั้นมันเป็นอุปกรณ์ให้ทุกสิ่งๆ มันเป็นไปในทางที่ง่ายเข้าๆ แต่ตัวจริงของพรหมจรรย์นี้มันอยู่ตรงที่ชนะความรู้สึกให้ได้ หวังว่าพวกคุณจะได้เอาไปคิดดู ให้เข้าใจแจ่มแจ้งและใช้ให้เป็นประโยชน์เถอะ ไม่มีอะไรดีกว่านี้แล้ว ไม่มีความรู้อะไรจะดีไปกว่านี้ในการเป็นมนุษย์ ที่จะได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ คือชนะ, ชนะ, ชนะ, ชนะ ตลอดไปจนถึงที่สุด ไม่เคยแพ้ ถ้าแพ้ก็รีบทำให้ชนะเสีย เอาละพอกันทีเวลาหมดแล้ว