แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
อย่างนี้ก็เรียกว่า ตถาตาเหมือนกัน ตถตาเป็นอย่างนั้นเอง ตถาตาเป็นอย่างนั้นเอง เป็นความรู้ที่ลึกซึ้ง เป็นญาณทัศนะที่ลึกซึ้ง มองเห็นตถาตาว่าเป็นอย่างนั้นเอง และก็ไม่โง่ไปยินดีที่มันหลอกให้ยินดี ไม่โง่ไปยินร้ายที่มันจะหลอกให้ยินร้าย คงเป็นปกติอยู่ได้ด้วยอำนาจของตถาตา ตถาตา นี่เอารากมันมาหนึ่งชั่ง
สิ่งที่สี่คือใบ ไม่มีตัวกูของกู ไม่มีอะไรที่ควรจะไปโง่หลงยึดถือว่าเป็นตัวกูหรือเป็นของกู แม้แต่สิ่งที่เรียกว่าจิต ที่มันรู้คิด รู้นึก รู้สึก รู้อะไรได้ รู้ แม้แต่สัมผัสนิพพานได้ จิตนั้นก็มิใช่ตัวกู มิใช่ของกู อาศัยพระบาลีที่ว่า เนตัง มะ มะ นั่นไม่ใช่ของเรา เนโสหะมัสมิ นั่นมิใช่เป็นเรา ในบทสวดหลายๆแห่ง โดยเฉพาะข้ออนัตตลักขณสูตร นั่นมิใช่เรา นั่นมิใช่ตัวตนของเรา นั่นมิใช่เป็นเรา นี่เรียกว่า ต้นไม่มีตัวกูของกู เอาแต่ใบมา มีสติปัญญาสัมปชัญญะควบคุมความรู้สึกไว้ได้ไม่ให้เผลอเกิดอุปาทานว่าตัวกูของกูในสิ่งใด นี่ใบ ไม่มีตัวกูของกูนี่ก็เอามาหนึ่งชั่ง
ทีนี้สิ่งที่ห้า ดอกไม้น่าเอาไม่น่าเป็น เพราะว่าไม่มีอะไรที่ไปยึดถือเข้าแล้วจะไม่มีโทษ พระพุทธเจ้าได้ตรัสว่า สิ่งใดเข้าไปยึดถือเอาแล้วจะไม่มีโทษนั้นไม่มี นี่เรียกว่าไม่น่าเอาไม่น่าเป็น เพราะไปเอาเข้าแล้วมันมีแต่โทษทั้งนั้น ไม่มีอะไรที่ไปเอาเข้าแล้วจะไม่มีโทษ นี่เอาดอกของมันมาก็หนักหนึ่งชั่ง
สิ่งที่หกลูกตายก่อนตาย อย่าให้ทันร่างกายนี้ตายเลย แต่ให้ตัวกูมันตายเสียก่อนให้หมดสิ้น ไอ้ตัวกูตัวกูตัวตนนี้ให้มันตายให้หมดสิ้น โดยที่ร่างกายนี้ยังมิทันตาย ก็มีจิตใจที่สะอาดบริสุทธิ์ ผ่องใส หลุดพ้น ก็ไม่มีความทุกข์เลย ตายก่อนตายมิใช่กลายไปเป็นผี แต่ไปเป็นสิ่งที่ไม่สูญหาย คือไม่เปลี่ยนแปลง เป็นนิพพาน ไอ้ตายก่อนตายนี่มันไม่ได้ตายไปเป็นผีอย่างเหมือนกับเข้าโลง ไอ้ตัวกูตายไปก็เหลือแต่สุญญตา เหลือแต่ความว่าง และก็เป็นนิพพาน ต้นไม้ต้นนี้ก็เอาลูกของมันมา ก็หนักหนึ่งชั่ง ในหกอย่างนี่อย่างละชั่ง อย่างละชั่ง รวมเป็นหกอย่างหกชั่ง
นี่สิ่งสุดท้ายเรียกว่าเมล็ดดับไม่เหลือ ที่เอาเข้ายาทั้งหลาย คือหกชั่งนั่นน่ะ มีความรู้ ไม่ยึด ไม่หมายมั่นอะไร จิตมันก็น้อมไปเพื่อดับไม่เหลือ อย่างพระบาลีที่มีว่า เมื่อมองเห็นโลกทั้งปวงโดยความเป็นอนัตตาแล้ว จิตจะน้อมไปเพื่อความเลื่อมใสในอายตนะ คือพระนิพพาน ในที่นี้เรียกพระนิพพานว่าอายตนะ คือสิ่งที่จิตสัมผัสได้ เมื่อเห็นไม่มีตัวตนไม่มีของตนในสิ่งทั้งปวงแล้ว จิตมันก็ไม่รู้จะไปทางไหน มันก็น้อมเพื่อนิพพาน นิพพานในที่นี้แปลว่าดับไม่เหลือ ดับไม่มีเชื้อเหลือ ดับแห่งความร้อนไม่มีเชื้อเหลือ ไอ้ร้อนนี่เป็นร้อนกิเลสก็มี ก็ดับร้อนกิเลสนั้นไม่มีเชื้อเหลือ ไอ้ร้อนนี่เป็นความทุกข์ก็มี ก็ดับความร้อนที่เป็นทุกข์นั้น ไม่มีเชื้อเหลือก็คือไม่มีกิเลสเหลือ ความของมันอย่างเดียวกัน ดับร้อนไม่ให้มีเหลือ ก็ต้องดับตัวกูของกูเสียก่อนตาย เรื่องความดับไม่เหลือนี่ได้อธิบายแล้ว ได้พิมพ์แจกแล้วมาก ได้ยินว่าเอาไปแปลเป็นภาษาต่างประเทศไม่น้อยกว่าสี่ห้าภาษา แม้แต่ภาษามาลายูในอินโดนีเชียนี้ก็ยังมีเรื่องดับไม่เหลือ เล่มเล็กๆของเรา เรื่องดับไม่เหลือนี้มีประโยชน์ที่สุด เพราะมันเป็นไวพจน์ธรรมแทนชื่อของพระนิพพานนั่นเอง ทีนี้ว่าไอ้เมล็ดดับไม่เหลือนี่ เอาเข้ายาทั้งหลายคือหกชั่งรวมกันแล้วเป็นสิบสองชั่ง แล้วก็ทำตามวิธีที่ได้กล่าวมาแล้วนั้น ที่ว่าเสกด้วย สัพเพ ธัมมา นาลัง อะภินิเวสายะ นี้ก็ควรจะเข้าใจ เหมือนที่เคยอธิบายมาแล้วหลายครั้งหลายหน ว่าพระพุทธองค์ได้ตรัสไว้เองว่า การศึกษาทั้งหมด การปฏิบัติทั้งหมด มันสรุปรวมอยู่ในประโยคสั้นๆว่า สัพเพ ธัมมา นาลัง อะภินิเวสายะ ธรรมทั้งหลายทั้งปวงอันใครๆไม่ควรยึดมั่นถือมั่นว่าตัวตน ว่าของตน เป็นที่สรุปรวมปริยัติทั้งพระไตรปิฏก ว่าพระไตรปิฏกนี่สรุปความแล้วก็สอนเรื่องไม่มีอะไรที่ควรยึดมั่นถือมั่น นี้เรียกว่าพระปริยัติทั้งหมด มีหัวใจว่าสิ่งทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ทีนี้การปฏิบัติศีลสมาธิปัญญา ปฏิบัติอะไรก็แล้วแต่จะเรียกน่ะ มันก็สรุปรวมลงไปที่ว่า ปฏิบัติเพื่อไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใด นี้ถ้าปฏิบัติได้ผล ปฏิบัติสำเร็จแล้ว ผลมันก็เกิดขึ้นมาเป็นความไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใด ก็เลยเรียกว่า วิมุติ หลุดพ้น นี่ว่าพระศาสนาพระพุทธวจนะ หรือพรหมจรรย์ หรือผลทั้งหมดแห่งพรหมจรรย์ มันก็สรุปรวมลงได้ในคำสั้นๆว่า สัพเพ ธัมมา นาลัง อะภินิเวสายะ จึงมีเหตุผลอย่างยิ่ง มีความสมควรเหมาะสมอย่างยิ่งที่จะเอามาเป็นคาถาเสกยา เหมือนที่เขามีการเสกกันทั่วๆไป เขาเสกกันว่าอะไร ด้วยความมุ่งหมายอย่างไรก็ไม่ทราบตามใจเขา แต่เรานี้มันเสกเพื่อให้มันหมดความยึดมั่นถือมั่น และก็เอายอดหรือหัวใจของพระพุทธวจนะของการปฏิบัติพรหมจรรย์ทั้งหมดทั้งสิ้นมา เป็นคาถาเสกยา
ท่านว่าร้อยแปดภาคนี่ เพราะว่าเลขนี้มันศักดิ์สิทธิ์ มันคงหมายถึงว่า มันไม่มากเกินไปและมันไม่น้อยเกินไป ถ้ามันน้อยเกินไปมันก็ไม่ทันจะมีผล มันมากเกินไปมันก็เฟ้อ มันก็เพ้อเจ้อ ไอ้จำนวนร้อยแปดนี้มันก็ศักดิ์สิทธิ์ดี ไอ้คนที่เขาเชื่อถือทำนองนี้ เขาว่าคุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เอามารวมๆกันแล้วได้ร้อยแปดอย่างนี้ก็มี แต่ที่จริงไปยืมของพวกศาสนาอื่น ศาสนาพราหมณ์มา เดี๋ยวนี้เราจะไม่ถือว่านั่นนี่เขาเราอะไร ถือเอาแต่เพียงว่าการประพฤติพระธรรม ปฏิบัติธรรมนี่ ให้มันมีระยะยาวนานพอเหมาะพอสม ระยะมันสั้นมันน้อยเกินไปจะไปเร่งรัดอย่างไรมันก็ไม่ได้ หรือจะยาวเกินไปก็เสียเวลาเปล่าๆมันทำให้เนิ่นช้าอืดอาด ไม่จริงไม่จัง ถ้าเป็นระยะที่พอดีมันก็มีเหตุผลที่จะสำเร็จทันเวลาที่มันจะไม่ตายเสียก่อน
ที่ว่าต้มสามเอาหนึ่งนี่ มันมีความเข้มข้นพอ คือต้องทำให้มันเข้มข้น อย่าให้มันจางๆใสๆ การปฏิบัตินี้ต้องเข้มข้น ต้องฝึกความสามารถที่จะปฏิบัติได้ ไอ้สามเอาหนึ่ง สามแล้วรวมกันเหลือหนึ่งหรือรวมกันเป็นหนึ่งนี่เป็นคำพูดที่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ สามอย่าง แต่เนื้อแท้นั้นเป็นอย่างเดียวกัน รวมกันแล้วเป็นสิ่งเดียว มันเข้มข้นกี่มากน้อย ลองคิดดู ของสิ่งเดียวใช้ประโยชน์ได้ทั้งสามอย่าง ของสามอย่างนั้นเอามารวมกันเป็นของสิ่งเดียว ก็เรียกว่าต้มสามเอาหนึ่ง คือไปยืมคำพูดเรื่องโลกๆนั้นมาใช้นะ แต่มีความหมายในภาษาธรรม ให้กินวันละสามครั้งนี่ มันมีความหมาย ว่าให้มันติดต่อกันไม่เปิดโอกาสให้โรคมันลุกลามหรือมีโอกาสตั้งตัวได้ กินของเข้มข้นไม่ต้องกินมาก เช่นพรหมจรรย์นี้มันมีความเข้มข้น มันมีอานุภาพมาก จับหัวใจให้ได้ แล้วก็กินเหมือนกับจิบกินสักนิดหนึ่งมันก็ยังพอ ยังเพียงพอ แล้วก็ให้ใช้ความพยายามไปตามลำดับ เพราะว่าเรามันมีอะไรที่ต่างกัน คนแต่ละคนแต่ละคนแต่ละคนนั้นมีอะไรที่ต่างกัน ที่ท่านเรียกว่ามีอินทรีย์ต่างกัน เพราะฉะนั้นแม้จะปฏิบัติธรรมะข้อเดียวกัน มันก็ไม่บรรลุมรรคผลพร้อมกันได้ เพราะว่าบางคนมันมีอินทรีย์หย่อน บางคนมันมีอินทรีย์แก่กล้า แม้แต่การปฏิบัติสติปัฏฐานก็ยังมีว่า เจ็ดปีก็มี เจ็ดเดือนก็มี เจ็ดวันก็มี กระทั่งวันเดียวก็มี กระทั่งเช้า ชั่วเช้าชั่วเย็นก็มี มันต่างกันตามอินทรีย์ ตามอุปนิสัย การสะสมคุณธรรมที่เป็นความดี ฉะนั้นอย่าหวังว่าจะเอาวันนี้จะเอาพรุ่งนี้ สำหรับบางคนนั้นหวังไม่ได้ คล้ายอดกลั้นอดทน กินยานี้เรื่อยๆไป หนึ่งวัน เจ็ดวัน หนึ่งเดือน หนึ่งปี กินมันไปตามที่มันจะให้ผลได้เมื่อไหร่ มันมีระยะที่จะต้องให้ผลได้ เจ็ดปีก็ยังมีที่จะบรรลุมรรคผลอะไรได้สักอย่างหนึ่ง แต่ถ้าคนมันมีอุปนิสัยมาก มันก็ปฏิบัติเช้าชั่วเย็น เย็นชั่วเช้าอย่างนี้ ในที่สุดก็จะมาถึงข้อที่ว่า อย่าโทษตัวเองว่าเป็นคนที่จะไม่หายจากโรค เรานี้มีโชคดี ได้เกิดมาเป็นมนุษย์และพบพระพุทธศาสนา อย่าหมดกำลังใจ อย่าทิ้งตัวเอง อย่ามอบตัวเองให้แก่ความโง่ จงยึดมั่นสติปัญญาไว้เสมอไป สำหรับไอ้คำที่ว่าเครื่องยาทั้งหมดนี้ ถ้ายังไม่พ้นบุญ ไม่อยู่เหนือบุญ หาไม่พบ นี่อธิบายมาแล้ว
เป็นอันว่าได้บอกตำรายาประเสริฐสุดของพระพุทธเจ้าแก่ท่านทั้งหลายโดยชัดเจนเพียงพอแล้ว สิ้นเวลาร่วมสองชั่วโมง ก็เป็นอันว่าอาตมาได้พยายามเต็มความสามารถแล้ว จะได้หรือไม่ได้ก็ฝากไว้เป็นหน้าที่ของท่านทั้งหลายบ้าง ขอให้ขวนขวายในหน้าที่ของตน ให้สุดความสามารถด้วยกันจงทุกๆคน นี่คือธรรมเทศนาโดยหัวข้อว่า มหาการุณิโก สตถา สพพโลกติกิจฉโก พระศาสดาของข้าพเจ้านั้น เป็นผู้ประกอบไปด้วยมหากรุณา เป็นนายแพทย์ผู้เยียวยาโรคของสัตว์โลกทั้งปวง ทุกอย่างมันมีเหตุผล มันมีหลักฐาน มันมีอะไรๆประกอบกันอยู่อย่างชัดแจ้ง เราพยายามเป็นคนไข้ที่อาจจะรักษาตัวเองให้หายได้จากโรคนี้ในเวลาอันควร วันวิสาขบูชาเวียนมาเป็นครั้งๆๆๆปีละครั้ง ก็มาทดสอบดูว่า เดี๋ยวนี้โรคมันเบาบางลงอย่างไรบ้าง เป็นโอกาสที่เราจะทบทวน ใคร่ครวญ จะเป็นการกระทำที่ดีที่สุด ในการที่จะมาทบทวนใคร่ครวญในเรื่องของความดับไม่เหลือ ทบทวนการดับตัวกูของกูว่าเราได้กระทำไป มันมีความก้าวหน้าอย่างไร มันหยุดอยู่หรือมันถอยหลัง ถ้าหยุดอยู่หรือถอยหลังนี่มันควรจะถือว่าใช้ไม่ได้ ใช้ไม่ได้โดยเท่าๆกันนะ มันต้องก้าวหน้า ที่มองเห็นชัดอยู่ว่าความรู้สึกประเภทตัวกูของกูนั้นได้เบาบางลงไป บังคับความโลภความโกรธความหลง ไม่ให้มันเกิดขึ้นมาได้ บังคับได้จริงจังยิ่งขึ้นทุกที เท่านี้ย่อมขูดเกลาสันดาน คือทำลายอนุสัยให้มันร่อยหลอไป ราคานุสัยก็ร่อยหลอไป ปฏิฆานุสัยพวกความโกรธความประทุษร้ายก็ร่อยหลอไป อวิชชานุสัย พวกความโง่โมหะก็ร่อยหลอไป กระทั่งมานานุสัย มานะสำคัญว่าตัวกูของกูนี่ก็ร่อยหลอไป เรียกเต็มที่ก็เรียกว่าอหังการ นมังการ มานานุสัยนี่ได้ร่อยหลอไป มองเห็นอยู่ชัดเจนว่าได้ร่อยหลอไป เรามีความโลภหรือความกำหนัดน้อยลง หรือว่ายากที่จะมีความโลภหรือความกำหนัด เรามีความโกรธความประทุษร้าย ความจองเวรพยาบาท หงุดหงิดนี้น้อยลงๆ หรือว่ายากที่จะเกิดได้ แล้วเราก็ยากที่จะเผลอ อวิชชานุสัยนี้มันน้อยลง ก็ยากที่จะเผลอ แต่จะรู้ทันท่วงที ทันเวลา รู้ดี รู้พอที่จะป้องกันการเกิดแห่งกิเลส หรือป้องกันการที่จะเกิดแห่งสายของปฏิจจสมุปบาทฝ่ายที่ให้เกิดทุกข์
แต่ที่สำคัญที่สุดที่เป็นที่มุ่งหมายของยาขนานนี้ก็คือมานะ มีมานะว่าตัวกูว่าของกูนี้น้อยลง ไม่เปรียบเทียบว่าดีกว่า เลวกว่า หรือเสมอกัน อย่ายกหูชูหางเข้าไปเปรียบเทียบกับคนนั้นคนนี้ว่าดีกว่าเรา เสมอกันกับเรา หรือเลวกว่าเราเหมือนที่เคยๆมาแต่ก่อน ซึ่งเป็นเหตุให้ทะเลาะวิวาทกัน แม้ในหมู่อุบาสก อุบาสิกา ภิกษุสามเณรมันก็ยังมีอันนี้ มีสิ่งนี้ เป็นเหตุให้ทะเลาะวิวาทกัน เมื่อมองเห็นว่ามันทุเลาเบาบางอยู่ก็ควรจะมีปิติปราโมทย์ในทางธรรม ปิติปราโมทย์อันประกอบไปด้วยธรรมนี้จะช่วยได้มาก จิตแจ่มใสเพราะปราโมทย์นั้น และก็เห็นสิ่งทั้งหลายทั้งปวงตามที่เป็นจริง ด้วยยถาภูตะสัมมัปปัญญาได้โดยง่าย และต่อจากนั้นมันก็จะเป็นไปในตัวมันเอง สิ่งที่จะเกิดนิพพิทา วิราคะ วิมุติไปตามเรื่องของธรรมชาติ
เป็นอันว่าปีหนึ่งก็มาชำระสะสางเรื่องสิ่งที่สำคัญที่สุดอันนี้กันเสียทีนึง เพราะว่าการตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณนั้นคือการฆ่าตัวกูของกูให้สิ้นสุดลงไป ดังที่พระพุทธเจ้าได้ทรงกระทำมาแล้วในวันตรัสรู้นั้น ครั้นเมื่อวันนั้นมาถึงเข้าอีกเช่นวันนี้ เราก็พูดกันถึงเรื่องนี้ คิดกันถึงเรื่องนี้ ศึกษาหารือกันถึงเรื่องนี้ เพื่อจะได้มีการประพฤติปฏิบัติกระทำเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้ก้าวหน้า เพราะฉะนั้นจึงหวังว่าท่านทั้งหลายคงจะสนใจเป็นพิเศษ เพราะมันเป็นเรื่องที่ยิ่งกว่าเรื่องเป็นเรื่องตายตามธรรมดา เรื่องเป็นเรื่องตายที่จะนำเอาไปใส่โลงไปเผาไปฝังนั้นเป็นเรื่องเล็ก เป็นเรื่องขี้ผง แต่เรื่องเป็นเรื่องตายทางจิตทางวิญญาณนี่สำคัญกว่า อย่าให้ชีวิตนี้มันอยู่ด้วยความทนทรมานเหมือนอาการที่เป็นบ้าของธรรมชาติ แต่ให้มันเป็นไปในลักษณะที่เป็นความสงบ สงบระงับของธรรมชาติอีกเหมือนกัน อาตมาจะขอพูดตรงๆว่ามีบางคนสนใจเรื่องนี้น้อยไป แม้มาในสถานที่นี้อย่างในวันนี้ก็ยังสนใจเรื่องนี้น้อยเกินไป บางคนก็ไปนอนเสีย บางคนก็รีบกลับไปเสียโดยไม่สนใจที่ว่าจะฟังจะศึกษาเรื่องนี้ อยู่ด้วยความอดกลั้นอดทน เป็นชาคริยานุโยค เป็นเนสัชชิกธุดงค์ เป็นอะไรก็ตาม ที่มันจะช่วยเหลือซึ่งกันและกันให้เกิดการก้าวหน้าในทางแห่งพระพุทธศาสนา เหมือนอย่างที่ได้พูดแล้วพูดเล่าพูดแล้วพูดอีกว่า เพื่อความเจริญก้าวหน้าในทางแห่งพระพุทธศาสนาของสมเด็จพระบรมศาสดาอันเป็นที่พึ่งของเราทั้งหลาย ฉะนั้นจึงหวังว่าท่านจะเข้าใจข้อนี้ดียิ่งขึ้น และก็จะทำให้เกิดความก้าวหน้าในทางแห่งพระศาสนาได้จริง
บัดนี้ก็เป็นเวลาอันสมควรแล้ว คือ ๐๕.๐๐ น.ของวันใหม่แล้ว เป็นธรรมเทศนาที่สมควรแก่เวลา อาตมาของยุติธรรมเทศนา เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้