แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
(นะโม ๓ จบ) ธัมโม โลเก อนุตตะโร ติ ธัมโมสักกัจจังโสตัพโพ ติ
ณ บัดนี้ อาตมาจะได้วิสัชนาพระธรรมเทศนา เป็นเครื่องประดับสติปัญญา ส่งเสริมศรัทธาความเชื่อและวิริยะความพากเพียร ของท่านทั้งหลายผู้เป็นพุทธบริษัทให้เจริญงอกงาม ก้าวหน้ายิ่งๆ ขึ้นไป ในทางแห่งพระพุทธศาสนาของสมเด็จพระบรมศาสดาอันเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลาย กว่าจะยุติลงด้วยเวลา
ธรรมเทศนานี้เป็นธรรมเทศนาเนื่องในอาสาฬหบูชา เรียกได้ว่าต่อจากธรรมเทศนาที่แสดงแล้วเมื่อตอนเย็น อยากจะซ้อมความเข้าใจกับท่านทั้งหลายเกี่ยวกับการประกอบพิธีอาสาฬหบูชาเป็นต้น นี้อีกสักครั้งหนึ่ง ประโยชน์ของการกระทำพิธีเช่นนี้มีอยู่ในส่วนลึก ถ้าไม่สังเกตให้ดีก็จะไม่เห็น หรือว่าถ้าทำไม่เป็นมันก็ไม่ได้ ดูเท่าไรๆ มันก็ไม่เห็น เพราะนั้นต้องทำให้เป็น คือทำพิธีเหล่านี้ให้เป็น แล้วก็ดูให้เป็นก็จะเห็น เดี๋ยวนี้เรามากระทำพิธีนี้ในสถานที่อย่างนี้ อย่างที่ท่านทั้งหลายส่วนมากก็นั่งอยู่กลางดิน ซึ่งถือว่าเป็นที่นั่งที่นอน เป็นที่ประทับของพระพุทธเจ้า เพราะท่านประสูติกลางดิน ตรัสรู้กลางดิน นิพพานกลางดิน สอนกลางดินอยู่ เป็นที่รู้จัก เมื่อนั่งลงไปกลางดินก็ควรจะได้รู้สึกอะไรให้มากไปกว่าที่จะนั่งบนอาสนะ ไม่ต้องพูดถึงบนวิมาน เพียงแต่ว่านั่งบนเสื่อบนสาด บางทีก็มีนี่ มันก็ผิดกันเสียแล้วกับที่จะนั่งลงไปกลางดิน คนที่ไม่เห็นประโยชน์อันนี้ก็พยายามจะนั่งบนก้อนหินบ้าง บนเสื่อบนสาดบ้าง อย่างนี้เรียกว่าคิดไม่เป็นหรือดูไม่เป็นหรือมองไม่เห็น ขอให้กระทำในลักษณะที่ว่าเป็นหรือเห็น ก็จะได้ใกล้ชิดกันกับพระพุทธเจ้ามากยิ่งขึ้นไป การทำพิธีวิสาขบูชาก็ดี อาสาฬหบูชาก็ดี มาฆบูชาก็ดี ที่นี่เรานิยมทำกันในลักษณะอย่างนี้ เรียกว่าทำอย่างวัดป่า พระเถื่อน การทำอย่างนี้ก็ได้มุ่งหมายจะให้เกิดความรู้สึกลึกไปกว่าธรรมดานั่นเอง
ขอให้ท่านสนใจทำให้ดีที่สุด เพื่อให้เกิดความรู้สึกหรือแสงสว่างมากที่สุด และจะต้องขอกล่าวเป็นพิเศษว่าให้คุ้มกันกับที่มาแต่ที่ไกล มาจากจังหวัดตากก็มี มาจากสงขลาก็มี ปัตตานีก็มี คือมันไกลอยู่ ถ้ามาแล้วไม่ได้อะไรคุ้มกัน ก็เรียกว่า อะไรดีละ จะเรียกว่าไม่สมกับที่เป็นพุทธบริษัทมากกว่า ก็มีคำกล่าวอยู่ว่า สาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าย่อมรุ่งเรืองอยู่ด้วยปัญญา ท่านกล่าวไว้อย่างนี้ เป็นภาษาบาลีเตือนสติว่า อะติโรจะติ ปัญญายะ สัมมาสัมพุทธะ สาวะโก สาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ย่อมรุ่งเรืองอยู่ด้วยปัญญา ถ้าท่านผู้ใดไม่มีความรุ่งเรืองของปัญญาก็ดูจะไม่มีทางที่จะเรียกตัวเองว่าเป็นสาวก คำว่าพุทธ เออ, คำว่า พุทธะ แปลว่าผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน นี่เป็นเรื่องของปัญญาทั้งนั้น รู้ก็เป็นปัญญา ตื่นจากหลับคือกิเลสก็เป็นปัญญา เบิกบานนี่ก็เพราะว่าปัญญามันเบิกบาน รวมความแล้วก็เรียกว่ามันเป็นอยู่ด้วยปัญญา รุ่งเรืองอยู่ด้วยปัญญา ขอให้เรามีปัญญาสมชื่อของพุทธบริษัท แล้วสิ่งต่างๆ ก็จะเป็นไปด้วยดี ดังท่านกล่าวว่า ไอ้คำกล่าวอื่นนั้นมันเป็นไปตามอำนาจของปัญญาหรือสัมมาทิฎฐิ
ทีนี้เมื่อเราพยายามอย่างยิ่งที่จะทำ อาสาฬหบูชา เป็นต้น กันในลักษณะอย่างนี้ ย่อมจะเกิดความรู้สึกมากกว่าอย่างอื่น หรืออย่างน้อยก็แปลกกันออกไป แต่อาตมาอยากจะยืนยันว่า ความแปลกนั้นนะมันเป็นไปในทางลึกกว่าหรือดีกว่า ขอให้ทำในใจให้แยบคาย ถึงการที่พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมในวันนี้ อย่างไรในลักษณะอย่างไร จนมีผลเกิดขึ้นมาว่า ธรรมะได้ปรากฏขึ้นมาในโลกในลักษณะที่สูงสุด ธัมโม โลเก อะนุตตะโร ธรรมะเป็นสิ่งสูงสุดคือ ไม่มีอะไรยิ่งไปกว่าในโลกนี้ถ้าท่านมองไม่เห็นว่ามันสูงสุดหรือยิ่งกว่าอย่างไร ก็คงจะไม่มีประโยชน์อะไร ขอให้ช่วยกันคิด ช่วยกันพิจารณาให้ดี ถ้าเราเข้าใจ หรือถึงกับได้รับได้สัมผัสในธรรมะนั้น ก็จะเกิดความรู้สึกหลายอย่างหลายประการ เนื่องด้วยพระองค์ เช่น ศรัทธาในพระพุทธเจ้าก็จะเพิ่มขึ้นยิ่งกว่าแต่ก่อน ไอ้ศรัทธานี้มันเป็นเรื่องเบื้องต้นสำหรับคนที่ยังไม่รู้อะไร ก็ต้องอาศัยศรัทธา เชื่อในบุคคลที่ควรเชื่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือ การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าไปก่อน เมื่อได้ศึกษาและปฏิบัติแล้วก็เกิดความเห็นจริงยิ่งขึ้น ไอ้ศรัทธานั้นก็จะถูกต้อง มันมากขึ้น คือจะเป็นไปในทางที่ประกอบอยู่ด้วยปัญญามากขึ้น จนกระทั่งว่าไม่ต้องใช้ศรัทธาเลยก็ได้ ถ้าเรารู้จักพระพุทธเจ้าถึงขนาดที่ว่าสัมผัสธรรมะของพระองค์ เรื่องก็กลายเป็นเรื่องลืมธรรมะ สัมผัสธรรมะ รู้ธรรมะ ไปไม่จำเป็นจะต้องอยู่ในลักษณะของศรัทธาในเบื้องต้น เพราะนั้นเรื่องของพระอริยบุคคล ชั้นสูงสุดคือพระอรหันต์ ท่านจึงไม่ได้พูดกันถึงศรัทธา แต่พูดถึงปัญญา เดี๋ยวนี้เรายังไม่ถึงขั้นนั้น เรียกว่าเป็นผู้ที่ตั้งต้นเราก็อาศัยศรัทธา
ในโอกาสเช่นนี้ต้องพิจารณาให้ดีที่สุดจนเกิดศรัทธามากกว่าแต่ก่อน เมื่อปีกลายมีศรัทธาในพระพุทธเจ้าเท่าไร ปีนี้ควรจะมากกว่านั้น คือแก่กล้า เป็นรูปของปัญญามากขึ้น นี้ก็เป็นความรู้สึกอันหนึ่งที่จะเกิดขึ้นในโอกาสเช่นนี้ ความรู้สึกอันอื่น เช่น ความกตัญญูกตเวทีก็จะต้องมีเพิ่มขึ้น เพราะว่าเราได้รับประโยชน์จากพระธรรมคำสอนของพระองค์ คือพระองค์เป็นผู้ทรงชี้ทางดับทุกข์ให้เราดับทุกข์ได้ เราจึงควรจะสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณนั้น อย่างนี้ก็เรียกว่ากตัญญู และพยายามกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งออกมาให้ปรากฏว่าเรารู้ ก็คือสนองพระคุณท่าน
ถ้าเสียสละมากขึ้นเพราะความรู้สึกมันได้เกิดขึ้นมากกว่าที่แล้วมา จึงได้เสียสละหลายๆ อย่าง อดทนได้ แม้ว่าจะต้องนั่งกันอยู่ที่นี่จนสว่าง สำหรับคนที่สบายดีไม่เจ็บไข้ หรือว่าจะมีความรู้สึกในลักษณะของปีติและปราโมทย์มากขึ้น ก็ไม่ต้องรู้จักง่วงนอน ง่วงนอนเป็นเรื่องของโมหะหรือความโง่ ถ้าง่วงนอนแล้วก็คิดดูเถิด มันมีความโง่ตัวใหญ่ทีเดียวรวมอยู่ในนั้น คือโมหะมันทำหน้าที่ มันก็ง่วงนอน ถ้าปัญญามันทำหน้าที่ หูตามันก็แจ่มใส มันง่วงนอนไม่ได้ กำลังจิตมันก็มีมากทำให้ง่วงนอนไม่ได้ อย่างนี้เรียกว่าเรามีความรู้สึกหลายอย่างหลายประการ เกิดขึ้น มากขึ้นในการทำอาสาฬหบูชา อย่างที่ทำในวันนี้ นี้เรียกว่าเกิดความรู้สึก
ทีนี้ข้อต่อไปอยากจะพูดว่าเกิด สัมมัปปัญญา บางคนอาจจะงงว่า สัมมัปปัญญา อะไรกัน สัมมัป แปลว่า โดยชอบหรือถูกต้อง สัมมัปปัญญา แปลว่า ปัญญาที่ถูกต้อง ปัญญาที่ชอบ ชอบธรรม ปัญญาของคนทั่วไปไม่จัดเป็นสัมมัปปัญญา เพราะเป็นปัญญาที่เกิดมาจากกิเลส เป็นปัญญาที่ทำเพื่อตัวเอง เห็นแก่ตัว แล้วก็มีปัญญา อย่างว่า รู้จักทำมาหากิน เฉลียวฉลาดอย่างนี้ยังไม่ถึงกับจัดว่าเป็นสัมมัปปัญญา มันเป็นปัญญาธรรมดา ถ้าฉลาดก็เห็นแก่ตัวมากเกินไป เขาเรียกชื่ออันใหม่อีกอันหนึ่งโดยภาษาบาลีเหมือนกัน นั้นเรียกว่า เฉโก เฉโกในภาษาไทยนี้เป็นคำหยาบคายหรือว่าด่าทีเดียว แต่ในภาษาบาลีคำว่า เฉโก ไม่ถึงอย่างนั้น เป็นแต่เพียงฉลาดทั่วๆ ไปอย่างโลกๆ ยังไม่อาจจะเข้าใจเรื่องพระนิพพาน แต่ถ้าเป็นปัญญาที่สูงไปกว่านั้นถึงขนาดที่เรียกว่าสัมมัปปัญญาในที่นี่แล้ว เป็นปัญญาที่เห็นธรรมโดยเฉพาะ สัมมัปปัญญายะ ทัฏฐัพพัง สัจจะทั้งหลายเป็นสิ่งที่บุคคลจะพึงเห็นได้ด้วยสัมมัปปัญญา ขอให้เข้าใจว่าเราควรจะเกิดปัญญาอย่างนี้เพิ่มขึ้นๆ ทุกคราวที่ประกอบพิธีอาสาฬหบูชา เป็นต้น มีปัญญาอย่างนี้แล้วก็จะเห็นแจ้งในธรรมทั้งหลายยิ่งขึ้นๆ กว่าจะเพียงพอ
ความมุ่งหมายสำคัญของปัญญานั้นอยู่ที่ว่า เมื่อรู้จักสิ่งทั้งหลายทั้งปวงตามที่เป็นจริงแล้วก็จะเฉยได้ต่อสิ่งทั้งปวง ท่านต้องฟังให้ดีว่าคำว่า เฉยได้ นี่มันมีความหมายอยู่ ๒ ชนิด เฉยอย่างโง่เขลาไม่รู้อะไรมันก็เฉยได้ เฉยเพราะรู้แจ้งถึงที่สุดนี่มันก็เฉยได้ แต่มันคนละอย่าง ถ้ารู้จักโลกนี้ตามที่เป็นจริงแล้วมันก็เฉยต่อโลกนี้ได้ ไม่ยินดีไม่ยินร้าย ไม่หลงรักในสิ่งที่มันยั่วให้รัก ไม่หลงเกลียดในสิ่งที่มันยั่วให้เกลียด เท่านี้ก็เรียกว่าเฉยได้แล้ว แต่มันมีรายละเอียดปลีกย่อยมากออกไป กลัวไม่กลัว ไม่โศกเศร้าไม่อะไรต่างๆ เรียกว่าเฉยได้ เพราะปัญญาเห็นชอบตามที่เป็นจริงในสิ่งนั้นๆ ที่มันแวดล้อมเราอยู่ตลอดเวลา
การอยู่ในโลกนี้มันก็ต้องมีสิ่งแวดล้อมโดยโลกนั่นเอง เราหลีกไม่ได้ แต่เมื่อต้องเผชิญกันกับสิ่งเหล่านั้นแล้วเราจะทำอย่างไร ปัญหามันมีอยู่ว่าทำอย่างไรจึงจะไม่เกิดความทุกข์ ความทุกข์ขึ้นมา คือไม่ทำผิดถ้าเกิดความทุกข์ขึ้นมา ถ้ารู้ถึงขนาดนี้แล้วก็พอจะเรียกว่าสัมมัปปัญญา รู้ต่อไปจนถึงความทุกข์ไม่อาจจะเกิดขึ้นโดยเด็ดขาด ก็เป็นถึงขั้นสุดท้าย ขอให้พยายามที่จะทำพิธีอาสาหบูชา เป็นต้น ให้เกิดสัมมัปปัญญาเพิ่มขึ้นด้วย
ทีนี้สิ่งต่อไปซึ่งต้องมุ่งหมายจะกล่าวในวันนี้เป็นพิเศษก็คือ การเสียสละและการอุทิศเพื่อจะทำอะไรกันสักอย่างหนึ่ง อาตมารู้สึกว่าสิ่งที่เป็นปัญหาเฉพาะหน้า เป็นปัญหาร้ายๆ กาจ เป็นปัญหาเลวร้ายที่สุดของมนุษย์ในโลกนี้ก็คือ ความที่ศีลธรรมมันเสื่อมไปๆ หายไปๆ ความเสื่อมทางศีลธรรมได้มีมากขึ้นในหมู่ชนชั้นปกครอง และในหมู่ชนชั้นที่ถูกปกครอง เขาก็พูดกันและคงจะไม่มีใครค้านว่าสถาบันต่างๆ ที่เคยเป็นที่พึ่งนี้ มันก็มีความตกต่ำในทางศีลธรรม พูดตรงๆ ก็ว่าจะเป็นสถาบันครูบาอาจารย์ รวมทั้งพระเจ้าพระสงฆ์ด้วยก็ได้มันเสื่อมลงไปทางศีลธรรม ก็ไม่ต้องพูดถึงสถาบันของชนชั้นปกครอง เป็นตำรวจ เป็นผู้พิพากษา เป็นอะไรต่างๆ ก็อยู่ในลักษณะที่เรียกว่า น่าหวาดเสียว น่าเศร้า ตัวศีลธรรมมันตกต่ำไป แม้สถาบันสถิตยุติธรรมระหว่างชาติ ในโลก ระหว่างชาตินี่ยังถูกด่า ถูกนำมาวิพากษ์วิจารณ์อยู่บ่อยๆ หาความเป็นธรรมไม่ได้ ในประเทศแต่ละประเทศ ก็กำลังเป็นอย่างนี้มากขึ้น แล้วผลที่ออกมาให้เห็นก็คือว่าอาชญากรรมมีมากขึ้น เพราะความไม่มีศีลธรรมทำให้ทุกคนประกอบอาชญากรรม และผู้ที่มีหน้าที่กำจัดความเลวร้ายเหล่านี้ก็ไม่มีศีลธรรมเข้ามาด้วย ก็เป็นโอกาส เป็นช่องทางส่งเสริมให้มีอาชญากรรมมากขึ้น
เดี๋ยวนี้ก็จะเป็นที่ยอมรับกันแล้วว่ามีอาชญากรรมมากขึ้น แม้ในประเทศไทยเรา ไม่แพ้ประเทศอื่น ซึ่งว่ามีอาชญากรรมมาก
สรุปความว่า ศีลธรรมกำลังเสื่อมไปจากมนุษย์ แล้วมนุษย์ก็ไม่มีศีลธรรมยิ่งขึ้น ถ้าเป็นไปในลักษณะอย่างนี้ ก็จะต้องวินาศ อาตมาจะพูดมากเกินไป พูดข้างเดียว พูดหยาบคาย พูดอะไรก็แล้วแต่ใครจะจัด ยอมรับทั้งนั้น แต่ก็จะพูดว่าโลกนี้มีหวังที่จะวินาศคือจะต้องวินาศ หรือมิฉะนั้นก็ศีลธรรมกลับมา มันมีอยู่ ๒ อย่าง ถ้าศีลธรรมไม่กลับมามันจะวินาศ ถ้ามันไม่วินาศก็มีศีลธรรมกลับมา สิ่งที่ควรจะนึกกันยิ่งกว่าสิ่งใดในบัดนี้ก็คือ การกลับมาแห่งศีลธรรม เพราะนั้นเมื่อเราได้ประกอบกรรมใดๆ เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า ทำให้เกิดความรู้สึกศรัทธา เป็นต้น เกิดปัญญา เกิดการเสียสละและการอุทิศแล้ว ก็ขอให้ใช้สิ่งเหล่านี้เพื่อการกลับมาแห่งศีลธรรม ฉะนั้นจึงฝากท่านทั้งหลายทุกคน ติดใจ ติดไปในใจของตนๆ กลับไปบ้านด้วย ว่าการกลับมาแห่งศีลธรรม คำว่าการกลับมาแห่งศีลธรรมนี่คือ ทางรอดของมนุษย์แห่งยุคปัจจุบันนี้ ถ้าจะทำบุญก็จะต้องทำบุญในลักษณะที่ให้ศีลธรรมกลับมา ทำบุญอย่างอื่นอย่าทำเลย มันเฟ้อแล้ว จะสร้างนั่นสร้างนี่ใน ลักษณะที่ศีลธรรมไม่กลับมานั้นก็อย่าทำเลย จะกระทำพิธีอะไรก็ตามก็ต้องเพื่อศีลธรรมกลับมา
เป็นอันว่า เป็นที่ยุติกันชั้นหนึ่งก่อนว่า เราต้องการการกลับมาแห่งศีลธรรมยิ่งกว่าสิ่งใดๆ ในโลกนี้ ในยุคปัจจุบันนี้ ขอให้ท่านทั้งหลายพิจารณาดูให้ดี ให้มีความถูกต้องและเป็นธรรมในข้อที่ว่า อาชญากรรมทั้งหลายมาจากความไม่มีศีลธรรม แต่เดี๋ยวนี้นักปกครองทั้งหลายเขาไปเห็นกันเสียว่า อาชญากรรมทั้งหลายมาจากการเสื่อมทรามทางเศรษฐกิจ แล้วมาบอกว่าไม่มี ไม่มีความจริง หรือว่าจริงน้อยเกินไป ไม่ควรจะถือว่าเป็นปัญหา เพราะคนที่ประกอบอาชญากรรมอันเลวร้ายอย่างที่ปรากฏตามหน้าหนังสือพิมพ์ต่างๆ นั้นไม่ได้มีปัญหาทางเศรษฐกิจ แต่มันมีปัญหาทางกิเลสๆ กิเลสมันหนาขึ้นๆๆ มันจึงทำอาชญากรรมอย่างที่เรียกว่าสุดเหวี่ยงจนไม่รู้จะเรียกกันว่าอย่างไรดี ขอร้องให้ท่านทั้งหลายได้พิจารณาในข้อนี้ให้มากเป็นพิเศษ เพราะอาชญากรรมทั้งหลายมาจากความไม่มีศีลธรรม ไม่ใช่มาจากปัญหาเศรษฐกิจ เป็นต้น เพราะว่าคนที่รวยจนไม่รู้จะรวยอย่างไรแล้วก็ยังประกอบอาชญากรรมลึกซึ้งอย่างกับคนอื่นตามไม่ทัน ให้ยุติกันเสียทีหนึ่งว่า อาชญากรรมนั้นมาจากความไม่มีศีลธรรม
ทีนี้ก็มาถึงปัญหาที่ว่าจะทำให้ศีลธรรมกลับมาอย่างไร การที่ศีลธรรมสูญหายไปทีละนิดๆ นั่นเป็นเวลา ๒๐ ปี ๓๐ ปีมาแล้ว ไม่ใช่เพิ่งเป็นเมื่อวานนี้ แต่มันยังไม่แสดงอะไรให้เห็น เพิ่งแสดงอะไรให้เห็นใน ๕ ปีมานี้ หรือกระทั่งปีปัจจุบันนี้ มันแสดงจนถึงขนาดอันตรายแล้ว ฉะนั้นการที่จะกลับมาของศีลธรรมมันก็ต้องใช้เวลาบ้าง เพราะนั้นอย่าไปท้อใจที่ว่าจะต้องใช้เวลาเท่าๆ กัน เมื่อศีลธรรมหายไปใช้เวลา ๒๐ ปี การกลับมาก็ควรจะใช้เวลาเท่านั้น แต่ถ้ามีสติปัญญามากก็ควรจะทำให้กลับมาได้เร็วกว่านั้น การที่จะปราบอาชญากรด้วยการลงโทษทัณฑ์ต่างๆ นาๆ นั้นมันก็จำเป็นเหมือนกัน มันต้องทำไปพลาง แต่จะเอาผลเด็ดขาดไม่ได้ มันเหมือนกับว่าจับปูใส่กระด้ง นี่เราจะบีบบังคับด้วยการลงอาชญาให้คนหยุดประกอบอาชญากรรมนี่มันมีลักษณะเหมือนกับว่าจับปูใส่กระด้ง จะต้องทำไป ปลุกปล้ำไป จับไป แต่ส่วนใหญ่ส่วนสำคัญนั้นรีบทำให้ศีลธรรมกลับมา ทำควบคู่กันไปก็ได้
ที่หน้าที่ของเราคนธรรมดาอย่างนี้ก็มีอยู่ทางเดียวคือ จะทำให้ศีลธรรมกลับมา การให้ศีลธรรมกลับมานั้นมันเกี่ยวกับการอบรมบ่มนิสัยจนฝังลงไปในสายโลหิต เหมือนกับที่บรรพบุรุษของเราได้มีแล้วแต่กาลก่อน ก็มีการกลัวบาปและรักบุญอยู่ในสายเลือด ไม่กล้าทำบาปทำกรรมแม้ว่าใครจะไม่เห็น ขอให้สังเกตดูเถอะ ยังพอจะมองเห็นได้ สำหรับคนยุคที่ยังมีศีลธรรมดีอยู่ก็คือบรรพบุรุษของเรา เพราะไม่โลภมาก ไม่ได้ปรารถนาส่วนเกินจนไม่รู้จะเกินกันอย่างไรเหมือนคนสมัยนี้ ต้องการเกินจนไม่พอ มันก็รักษาศีลธรรมไว้ไม่ได้ มันควรจะมีความพอเหมาะพอดีในการแสวงหา การมี การได้ การบริโภค ก็เรียกว่ามีความถูกต้องในทางอย่างนี้ ก็มี ก็เป็นตัวศีลธรรมอันหนึ่ง
ทีนี้เราจะทำให้คนชั้นนี้กลับไปมีศีลธรรมได้อย่างไร ก็จะต้องตั้งต้นกันขึ้นมาตั้งแต่ลูกเด็กๆ ให้เขาเกิดนิสัยอย่างนี้ ไม่ใช่เขียนจดไว้ในสมุดในฐานะเป็นวิชาความรู้อย่างหนึ่งอยู่ในสมุด แต่ต้องเป็นการประพฤติปฏิบัติอยู่ที่กาย วาจา ใจ เกิดเป็นนิสัยฝังแน่วลงไปในสันดานจนกว่าจะเติบโต ก็เลยมีรากฐานของศีลธรรมที่มั่นคง ช่วงเวลาอันเล็กน้อยนี้ อาตมาอยากจะระบุถึงสิ่งที่เป็นรากฐาน เป็นมูลฐาน เป็นสมุฏฐาน แล้วแต่จะเรียกอะไรฐาน ว่าเป็นฐานรากของศีลธรรม สำหรับจะได้อบรมตนเองและอบรมลูกตา ลูกเด็กๆ ตาดำๆ ให้เขามีรากฐานของศีลธรรมอยู่ในจิตใจ
ข้อแรกที่เป็นรากฐานของศีลธรรมยิ่งกว่าข้อไหนและมีอยู่ทั่วไปในทุกศาสนานั้น คือข้อที่ถือว่า สัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น สำนวนพูดอย่างนี้มันเป็นสำนวนพุทธบริษัท พวกที่ถือศาสนาอื่นหรือภาษาอื่นก็มีถ้อยคำอย่างอื่น แต่แล้วใจความมันตรงกัน ด้วยถือว่าทุกคนนี่มันเป็นคนๆ เดียวกัน จะเรียกว่าเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกันก็ได้ แล้วเป็นพี่น้องกันก็ได้ เป็นลูกพ่อเดียวแม่เดียวกันก็ได้ พวกที่เขานับถือพระเจ้าเขาถือว่ามนุษย์ทุกคนนี่พระเจ้าสร้างขึ้นมาก็เลยเป็นพี่น้องท้องเดียวกันหมด คำพูดอย่างนี้ต้องตีความให้ได้ใจความว่า ต้องการให้ยอมรับว่า ทุกคนเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตาย พูดอย่างสามัญธรรมดาที่สุดก็เหมือนอย่างที่พูดว่า เราอยู่คนเดียวในโลกไม่ได้ เพราะฉะนั้นเราจะต้องบำเพ็ญประโยชน์ผู้อื่น แต่แล้วประโยคที่พูดว่า เราจะบำเพ็ญประโยชน์ผู้อื่นนั้นมัน มันมีแต่ตัวหนังสือ หรือมีแต่คำพูดที่พูดพล่อยอยู่ตามริมฝีปาก มันไม่มีการกระทำที่แท้จริง มันก็เลยไม่มีศีลธรรม เดี๋ยวนี้จึงหัดให้ลูกเล็กๆ ของเรารู้จักรากฐานของศีลธรรม ว่าทุกคนเป็นเพื่อนทุกข์ เกิดแก่เจ็บตายของเรา หรือว่าเราอยู่คนเดียวในโลกไม่ได้ อย่างนี้ก็ได้ เพราะนั้นเราจึงรักเขา เราต้องช่วยเหลือเขา แล้วทุกคนก็จะช่วยเหลือกัน ต้องให้กระทำเป็นบทเรียนสำหรับกระทำ ไม่ใช่เป็นบทเรียนสำหรับท่อง เมื่อวันนี้มีสตางค์มา ๕๐ สตางค์ มาโรงเรียนอนุบาล ก็ควรจะให้เพื่อนที่ไม่มีเลยสัก ๕ สตางค์ อย่างนี้เป็นต้น ถ้าทำอย่างนั้นไม่ได้ก็ทำอย่างอื่น แต่ว่าให้มันเป็นการเอื้อเฟื้อเจือจานในฐานะที่เป็นเพื่อน ในที่สุดก็จะมีความรักความสามัคคี ยิ่งเติบโตขึ้นมาก็จะมีความรักความสามัคคี ไม่ตีกัน ไม่ด่ากัน ไม่ทะเลาะวิวาทกัน อะไรหลายๆ อย่างเพราะว่ามันมีความรู้สึกว่าเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตาย หวังว่าท่านทั้งหลายคงจะไปนึกได้เองว่าจะประดิษฐ์บทเรียนขึ้นมาอย่างไรให้ลูกเด็กๆ ของเรามีนิสัยเมตตากรุณา เพราะนั้นการที่ให้เขาถือศีลนี่เสียบ้างนี่ก็เป็นการดี ไม่จำเป็นอะไรแล้วก็อย่าไปทำสัตว์ตัวเล็กๆ ให้ตาย แม้แต่ว่ายุง ถ้าไม่ตบได้ก็ดี ดีกว่าที่ว่าจะต้องตบ เขาจะได้สร้างนิสัยที่เมตตากรุณาขึ้นมา เสียสละขึ้นมา ถ้าทนไม่ได้ก็ต้องหลีกเลี่ยงอย่างอื่น อยากให้มันตัด มันก็ยังมีทางที่จะทำ เดี๋ยวนี้มันไม่อย่างนั้น มันมีความรู้สึกที่เห็นแก่ตัวมากเกินไป ไม่เห็นแก่ชีวิตของผู้อื่น เป็นอันว่านี้เป็นรากฐานอันแรกของการที่จะมีศีลธรรม
ข้อที่ ๒ ทุกคนจะต้องรู้จักบังคับตัว การบังคับตัวนี้จะเรียกให้ชัดลงไปก็คือ บังคับความรู้สึก บังคับจิต บังคับสิ่งที่เรียกว่าตัวตน อย่างยึดถืออะไรเป็นตัวตนก็บังคับสิ่งนั้นแหละ อย่าให้มันทำไปตามอำนาจของกิเลส ถ้าพูดให้ละเอียดลงไปอีกก็ว่า บังคับกิเลส แต่เดี๋ยวนี้เราจะใช้คำสั้นๆ ว่า ให้มีการบังคับตน เป็นธรรมะโบราณ เป็นธรรมะเก่าแก่ ซึ่งพวกฝรั่งชอบบูชายกย่องกันนัก แต่เดี๋ยวนี้พวกฝรั่งก็กวาดทิ้งหมดแล้ว มาสอนให้คนชั้นหลัง ในหลักการศึกษานี่ จะไม่ให้บังคับตนเอาเสียเลยก็ทำไป เขาให้หาทางออกที่ไม่ต้องบังคับตน แล้วมันได้เมื่อไรก็ไปลองคิดดู เราจะไม่วิพากษ์วิจารณ์ผู้อื่นแล้ว ป่วยการ แต่จะตั้งหน้าตั้งตาอบรมลูกเด็กๆ เล็กๆ ตาดำๆ นี่ให้รู้จักบังคับตนยิ่งขึ้นๆ ไอ้ที่จะโกรธนั้นนะอย่าโกรธเลย หรือโกรธแต่น้อยที่สุด ที่จะไปรักไปหลงไป ก็อย่าไปรักไปหลงเลย หรือว่ารักแต่น้อยที่สุด บังคับความรู้สึกไม่ให้เกิดความตื่นเต้นในทางความยินดียินร้าย ในที่สุดก็จะบังคับจิตได้ ไม่ตามใจกิเลส ไม่ต้องไปดูหนังไปดูละคร ไม่ต้องไปทำอะไรชนิดที่ไม่ควรจะทำ
สรุปความว่าการบังคับตนนี่เป็นรากฐานสำคัญที่จะป้องกันอาชญากรรม อาชญากรรม อาชญากรรมเลวร้าย เช่นการข่มขืนแล้วฆ่า เป็นต้นนี้ มีมูลมาจากคนๆ นั้นไม่เคยบังคับตนเองมาเลยตั้งแต่อ้อนแต่ออก มีแต่ส่งเสริมกิเลสของตนทุกคราวไป มันจึงระบือขึ้นไปถึงขนาดที่ว่าจะทำอย่างนั้นได้โดยไม่รู้สึกว่านี้เลวหรือชั่ว ในคนที่ไม่เคยบังคับตัวมาเลยตั้งแต่อ้อนแต่ออกจะต้องเป็นอย่างนี้ ที่เรียกว่าเป็นผู้ร้ายมาแต่กำเนิดหรือเป็นผู้ร้ายโดยสันดานนั้น เราจะไม่ต้องพูดถึงเมื่ออยู่ในท้องหรือว่าก่อนแต่มาเกิดชาตินี้ก็ได้ คือพูดว่าพอเกิดมาแล้วเท่านั้นนะ มันไม่มีการบังคับตัวเลย ยิ่งแรงขึ้นๆ ตั้งแต่เป็นเด็กทารกมาจนเป็นวัยรุ่นจนเป็นคนหนุ่มเต็มที่ จึงมีการกระทำที่เป็นอาชญากรรมเกินประมาณ เพราะนั้นขอให้ยึดเอาข้อนี้เป็นหลักสำหรับการอบรมตนเองและลูกหลานให้มีศีลธรรม
ทีนี้ข้อที่ ๓ ก็จะเป็นข้อสุดท้าย สำหรับจะพูดในวันนี้ก็คือ อบรมให้ลูกเด็กๆ เขารู้สึกเป็นสุข สบายใจ เมื่อรู้สึกว่าตนได้ทำดี ถ้าเราสังเกตดูให้ดีเราก็จะเห็นว่า อันนี้มันก็เป็นสิ่งที่มีอยู่แล้วในจิตใจของสัตว์ เมื่อมันรู้สึกว่ามันได้ทำดี มันก็จะมีอาการร่าเริงและเป็นสุข แม้แต่สัตว์เดรัจฉาน ทีนี้เราเอามนุษย์กันดีกว่า เด็กตัวเล็กๆ เมื่อได้ทำอะไรดีซึ่งเชื่อว่าจะถูกใจพ่อแม่ แล้วก็มีความพอใจ อยากจะให้พ่อให้แม่ ให้ครูบาอาจารย์เห็นและรับรู้ เขามีความสุขเพราะรู้สึกว่าเขาได้ทำดี มีนิสัยอย่างนี้มาตั้งแต่เล็ก แต่เดี๋ยวนี้บิดามาราดาโง่ มาลบรอยนั้นเสียหมด เพราะว่าบิดามารดาโง่เหล่านี้ก็ไปหลงเรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรติ เรื่องอะไรต่างๆ เป็นเรื่องดีมีความสุขไปในทางโน้น ไม่มาถือหลักว่า ไอ้ความสุขนะอยู่ที่รู้สึกว่าเราได้กระทำความดีหรือประพฤติธรรม มีปีติในธรรม ไม่ต้องกินข้าวเป็นวันๆ ก็ยังได้ อย่างว่าพระพุทธเจ้าทรงพอพระทัยในการตรัสรู้ของพระองค์ มีปีติปราโมทย์เสวยวิมุตติสุขตามที่กล่าวไว้ในพระบาลีว่า ไม่ต้องฉันอาหารถึง ๗ สัปดาห์อย่างนี้ ตัวเลขนี้ไม่ถือเป็นประมาณก็ได้ เอาแต่ใจความว่า ถ้าเราได้ทำอะไรที่เชื่อว่าดี ประเสริฐ แล้วมันก็มีความอิ่มใจชนิดที่ไม่ต้องกินอาหารก็ได้ เราควรจะถือหลักอย่างนี้ โดยเฉพาะสอนลูกเด็กๆ ให้เขาถือหลักอย่างนี้ ให้ทำอะไรเป็นที่พอใจตัวเอง ชอบตัวเอง นับถือตัวเอง เคารพตัวเอง ยกมือไหว้ตัวเองได้แล้วก็อยู่เป็นสุข แม้ที่สุดแต่ว่าเขาจะทำสวนครัวสำเร็จ หรือทำการบ้านสำเร็จ ทำหน้าที่ประจำวันสำเร็จ และก็พอใจและเป็นสุข ไม่ต้องไปดูหนัง ไม่ต้องไปดูละคร ไม่ต้องไปตามที่เขาเห่อๆ กันไป ตามที่บิดา มารดาโง่มันส่งเสริมลูกให้ไป บิดามารดาที่เป็นชาวพุทธจะต้องรู้จักอบรมให้ลูกเล็กๆ พอใจและมีความสุขอยู่ในการประพฤติธรรมหรือประพฤติความดี แม้ที่สุดจะปลูกต้นไม้สำเร็จ ปลูกดอกไม้ต้นเล็กๆ สำเร็จมันก็ควรจะพอใจดีใจจนเนื้อเต้น ไม่ต้องไปทำอบายมุขที่ตลาด ที่สถานที่อบายมุข แต่ก่อนก็อยู่กันอย่างนี้ เขาจึงมีศีลธรรม ทีนี้พอปีศาจอบายมุขครอบงำโลกมากขึ้นๆ คืออะไรบ้างท่านทั้งหลายก็รู้อยู่แล้ว คนก็ไม่มีจิตใจที่จะพอใจและเป็นสุขอยู่ได้ด้วยการประพฤติธรรม
เมื่ออาตมาเด็กๆ เล็กๆ นี่ สังเกตเห็นว่าหลายคนพอใจอย่างยิ่งที่ได้ไปขนทรายจากบ่อทรายมาก่อพระเจดีย์ทรายกลางวัด สนุกสนานทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ สนุกกันอยู่อย่างนี้ได้ ไม่ต้องไปสถานเริงรมย์ เดี๋ยวนี้ไม่มีใครทำอย่างนี้ได้ ใครทำก็จะถูกหาว่าคนบ้า ไม่รู้จักไปหาความฉิบหายที่สถานเริงรมย์ มันเปลี่ยนอย่างนี้ มันเปลี่ยนมากเท่าไรก็ ก็ลองคิดดูเถอะ ก่อนนี้เขาสบาย อะไรอยู่ได้บนบ้านบนเรือนในวัดในวา ไม่ต้องไปตามสถานที่อบายมุข เดี๋ยวนี้ก็เพ่งจ้องกันไปแต่สถานที่อบายมุข แล้วก็ไม่รู้จักทำให้เกิดความพอใจปีติปราโมทย์ในการทำความดี ไม่เคารพความดี ไม่เคารพตัวเอง นี่เป็นข้อสุดท้ายใน ๓ ข้อ
ข้อที่ ๑ ว่า ให้ลูกเด็กๆ ของเรามีความรู้สึกว่าทุกคนเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตาย เบียดเบียนใครไม่ได้ ข้อที่ ๒ ขอให้บังคับความรู้สึก มันจะรักจะโกรธจะเกลียดจะกลัวอะไรขึ้นมา บังคับไว้ให้ได้ ก็ไม่มีปัญหาที่จะต้องเป็นทุกข์หรือทำความชั่วความเลว
ข้อที่ ๓ ให้เขาพอใจบูชาความดี พอเห็นว่าตัวเองมีความดีก็พอใจตัวเอง ยกมือไหว้ตัวเองก็ไม่เป็นไร มันอยู่แต่กับความดีอย่างนี้แล้วศีลธรรมก็จะกลับมา ไปคิดดูเถอะ ศีลธรรมทั้งหลายจะกลับมา
ศีลธรรมนี้จำแนกออกไปได้มากมายหลายสิบข้อ หลายร้อยข้อ แต่เพียงรากฐาน ๓ ประการนี้ก็พอแล้วสำหรับศีลธรรมทั้งหลายจะกลับมา ถ้ามีมากกว่า ๓ ข้อนี้ก็ยิ่งดี แต่เดี๋ยวนี้อาตมายืนยันว่า ๓ ข้อนี้มันก็พอ ขอฝากพ่อแม่พี่น้องทั้งหลายนี้จำไปด้วย ว่าสอนให้ลูกเด็กๆ เขารู้จักความเป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตาย สอนให้ลูกเด็กๆ เขารู้จักบังคับความรู้สึกให้อยู่ในอำนาจ และสอนให้เขายินดีพอใจในการทำดี ประพฤติดี ไม่ต้องไปหาแหล่งอบายมุข
เมื่อประกอบพิธีอาสาฬหบูชา เป็นต้น โดยความรู้สึกต่อพระพุทธเจ้าหลายๆ อย่าง กระทั่งพร้อมที่จะอุทิศหรือเสียสละแล้ว ก็ขอให้อุทิศและเสียสละเพื่อการกลับมาแห่งศีลธรรมเถิด จะเป็นประโยชน์แก่โลกในปัจจุบันนี้อย่างมหาศาล เป็นการทำบุญชนิดที่ไม่มีบุญไหนจะเหนือกว่าอีกแล้ว ขอให้ภาวนาไว้ด้วยว่าศีลธรรมกลับมา ให้ศีลธรรมกลับมา เพราะนั้นการกลับมาแห่งศีลธรรมคือวัตถุที่ประสงค์ของเรา
เท่าที่กล่าวมานี้ก็เป็นการสมควรแล้ว อาตมาก็ไม่ค่อยสบาย พูดมากกว่านี้ก็จะเกินไป แต่เพียงเท่านี้ก็ถือว่ามากแล้ว ในการที่ท่านทั้งหลายได้มาประกอบพิธีอาสาฬหบูชาที่นี่ มีความรู้สึกอย่างไรในการที่จะสนองพระคุณของพระศาสดาแล้ว ก็ขอให้พยายามเพื่อศีลธรรมกลับมาเถิด จะได้ชื่อว่าได้ทำสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะทำ ขอให้ความหวังอันนี้เป็นที่เข้าใจแก่กันและกัน ในระหว่างกันและกัน และไปช่วยกันและกันทำ ให้สมตามความปรารถนาที่จะแก้ปัญหาอันเลวร้ายของโลกปัจจุบันอย่างที่เห็นปรากฏอยู่
ธรรมเทศนาสมควรแก่เวลา เอวัง ก็มี ด้วยประการละฉะนี้