แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
อบรมคณะวิปัสสนาจารย์ที่หินโค้ง เวลา ๙.๓๐ น. วันที่ ๒๔ โดยหัวข้อว่า คุณค่าของวิปัสสนาที่มีต่อมนุษย์ในยุคปัจจุบัน
คณะท่านพระวิปัสสนาจารย์ทั้งหลาย ผมขอแสดงความยินดีในการมาของท่านทั้งหลายสู่สถานที่นี้และขออนุโมทนาในการกระทำของท่านทั้งหลาย ที่กำลังกระทำอยู่ในธุระอันเนื่องเกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่า “วิปัสสนา” และผมขอต้อนรับด้วยธรรมปฏิสันถาร เพื่อสนองเจตนาของท่านทั้งหลาย ซึ่งมีท่านผู้เป็นประธานแสดงความจำนง ด้วยการกล่าวธรรมิกถาเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ซึ่งผมเห็นว่าไม่จำเป็นที่จะต้องพูดถึงวิชาการ ในตัวหลักเทคนิคของการปฏิบัติ แต่เห็นว่าจำเป็นที่ควรจะบรรยายความรู้ ประกอบการกระทำให้สำเร็จประโยชน์แก่สังคมยิ่งๆ ขึ้นไป
ดังนั้น ในวันนี้กระผมจะบรรยายโดยหัวข้อว่า “คุณค่าของวิปัสสนาสำหรับมนุษย์แห่งยุคปัจจุบัน” ขอได้โปรดฟังให้สำเร็จประโยชน์ และนำไปประพฤติกระทำให้สำเร็จประโยชน์ในกิจกรรมนั้นๆ อีกทีหนึ่ง
คุณค่าของวิปัสสนาสำหรับมนุษย์แห่งยุคปัจจุบัน มีปัญหาเกิดขึ้นว่า คนแห่งยุคปัจจุบันไม่รู้จักและไม่สนใจ เพราะไม่รู้จักสิ่งที่เรียกว่า วิปัสสนา แล้วก็ยังหาว่าเป็นเรื่องเก่าแก่ครึคระ โบรงโบราณ นี่ที่ชอบเรียกกันว่า เต่าล้านปี ก็เลยไม่สนใจ ไม่สนใจก็ไม่ได้รับประโยชน์ นอกจากจะไม่ได้รับประโยชน์แล้ว ก็ยังมีโทษ โทษที่ไม่สนใจน่ะ คอยฟังให้ดีว่ามันจะมีอย่างไร ถ้าสิ่งที่เรียกว่าวิปัสสนา ไม่เป็นไปในหมู่มนุษย์แล้วมนุษย์จะได้รับโทษอะไรบ้าง เราควรจะรู้ เราควรจะช่วยหรือเรียกว่าแก้ไขก็ได้
มนุษย์มีระบบการเป็นอยู่ เพื่อความเป็นมนุษย์ที่ถูกต้องและสมบูรณ์ ถ้าระบบการเป็นอยู่นั้น มันไม่ถูกต้อง ไม่สมบูรณ์ ผลมันก็ไม่ถูกต้อง ไม่สมบูรณ์ หมายความว่าความเป็นมนุษย์นั้น ไม่ให้ผลเป็นที่น่าพอใจหรือว่ามันให้น้อยเกินไป ไม่น่าจะพอใจ สิ่งที่เรียกว่า “วิปัสสนา” นั้น เรามาเรียกกันทีหลัง คำนี้พระพุทธเจ้าไม่ได้ใช้ ไม่ได้ตรัสใช้เป็นประจำ มีบ้างนิดหน่อย เป็นหนทางของการเข้าถึงวิมุตติ คือ สมโถ จ วิปสฺสนา จ หรือจะมีที่ใช้น้อยครั้งสักสองสามแห่ง ในพระไตรปิฎกจะใช้คำอื่นแทน
และคำที่สำคัญอย่างยิ่งที่เราควรจะเอามาท่องไว้ในใจเสมอ ก็คือคำที่ตรัสไว้ในโอวาทปาฏิโมกข์ อนูปวาโท อนูปฆาโต ปาติโมกฺเข จ สํวโร. มตฺตญฺญุตา จ ภตฺตสฺมึ, ปนฺตญฺจ สยนาสนํ อธิจิตฺเต จ อาโยโค เอตํ พุทฺธาน สาสนํ.
คำนี้ อธิจิตฺเต จ อาโยโค เป็นคำที่ต้องสนใจ เอตํ พุทฺธาน สาสนํ. พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงสั่งสอนโลกโดยระบบการครองชีวิต อนูปวาโท อย่าพูดร้าย อนูปฆาโต อย่ากระทำร้าย ปาติโมกฺเข จ สํวโร. สำรวมด้วยดีในระเบียบวินัย มตฺตญฺญุตา จ ภตฺตสฺมึ กินอยู่แต่พอดี ปนฺตญฺจ สยนาสนํ อยู่ในที่นอนที่นั่งอันสงบสงัด อธิจิตฺเต จ อาโยโค ประกอบความเพียรในการทำจิตให้มันยิ่งขึ้นไปด้วยคุณสมบัติ เอตํ พุทฺธาน สาสนํ. นี้เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย นี่หมายความว่า ถ้าจะให้มันครบบริบูรณ์ในการที่มนุษย์จะมีความเป็นอยู่อย่างผาสุกแล้ว มันต้องครบดังที่กล่าวนี้ แล้วมันต้องจบต้องสุดลงที่ อธิจิตฺเต จ อาโยโค การประกอบความเพียรในการทำจิตให้ยิ่ง ยิ่งคือสูงสุดที่จิตมันจะยิ่งได้อย่างไร
หลักอันนี้ มันก็เป็นหลักที่ใช้มาแล้วแต่ครั้งพุทธกาล ตามพระพุทธบัญญัติ หรือตามพระธรรมเทศนาที่ทรงแสดงไว้ ทีนี้ปัญหามันก็มีว่าเดี๋ยวนี้ คนได้กระทำจิตให้ยิ่งกันหรือเปล่า ดูเหมือนว่าคนไม่ได้สนใจเรื่องจิตเลย แล้วจะไปทำจิตให้ยิ่งนี้มันก็เป็นไปไม่ได้ เพราะไม่สนใจในเรื่องของจิตเลย เพราะมันเห็นยาก เรื่องที่เห็นอยู่ง่ายๆ คนสมัยนี้ก็ไม่ยอมเห็น และไม่สนใจ
เช่นว่า อนูปวาโท อนูปฆาโต อย่ากล่าวร้าย อย่าทำร้ายแก่กันและกัน คนสมัยนี้ก็ไม่สนใจ มีแต่การว่าร้ายแก่กัน ป้องไปทั้งโลก ดูเหมือนว่าวิทยุกระจายเสียงที่เขาสร้างขึ้นมาในโลกนี้เพื่อด่ากันทั้งนั้นแหละ นี่มันเป็นการว่าร้ายอย่างมหาศาล
อนูปฆาโต อย่ากระทำร้ายกันนี่ กระทำกันอยู่ทุกวัน ไม่โดยเปิดเผย ก็โดยเร้นลับ บนดิน ใต้ดิน เบียดเบียนกันอยู่ทุกวัน แล้วก็เกิดความยุ่งยาก ลำบากทนทุกข์ทรมานเห็นๆ อยู่ คนก็ยังไม่สนใจที่จะละเสีย
ปาติโมกฺเข จ สํวโร. สำรวมในระเบียบวินัยนี่ ระเบียบวินัยทุกชนิดตั้งแต่ กฎ กฎหมาย กฎระหว่างประเทศ แม้กระทั่งกฎศาสนา เขาเรียกว่าระเบียบวินัย ไม่มีใครสำรวม ระวัง เพราะว่าเขาต้องการประโยชน์ กูได้ประโยชน์ก็แล้วกัน วินัยไม่ต้องรู้ ธรรมะไม่ต้องรู้ ดีชั่วบุญบาปไม่ต้องรู้ กูได้ประโยชน์ก็แล้วกัน นี่คนสมัยนี้เขาเป็นอย่างนี้
มตฺตญฺญุตา จ ภตฺตสฺมึ บริโภคโดยประมาณ คือกิน อยู่ บริโภคทุกอย่าง แต่พอดี คนสมัยนี้มันยิ่งกว่า ตะกละ มันยิ่งกินให้ดี ให้แพง ให้ไม่มีขอบเขต เขาว่ากันว่า อาหารบางชนิดคิดราคาแล้ว คำหนึ่งตั้งพันบาทก็มี คนมันบ้ากันไปถึงไหนนี่ ที่มันจะกินอาหารคำละพันบาท มันก็ไม่มีความหมายแต่คำว่า กินอยู่แต่พอดีเอาเสียเลย มันก็ต้องการเงินมากเพื่อจะมาซื้ออาหารคำละพันบาท หมื่นบาท นั่นเป็นการประพฤติกระทำของพวกนายทุน ซึ่งกำลังพยายามจะครองโลก แล้วพวกชนกรรมาชีพมันก็ไม่ยอม มันก็ต่อต้าน ไม่ให้เอาเปรียบ แต่ว่าที่จริงแล้ว มันก็เหมือนกันแหละ ไอ้พวกชนกรรมาชีพ ถ้ามันมีเงินเมื่อไหร่ มันก็กินอาหารคำละพันบาท หมื่นบาทเหมือนกันแหละ แต่เดี๋ยวนี้มันไม่มี มันก็ได้แต่เที่ยวต่อต้านอยู่ มันไม่มีพวกเศรษฐี
ผมอยากจะขอถวายความรู้แก่ท่านพระวิปัสสนาจารย์ทั้งหลาย ด้วยคำว่าเศรษฐี เดี๋ยวจะไปเข้าใจผิดว่าได้แค่คนร่ำรวย แล้วก็เรียกว่าเศรษฐี อย่าเข้าใจว่าคนร่ำรวยนี้มันเป็นเศรษฐี ถ้าอย่างนั้นแล้วพวกนายทุนก็เป็นเศรษฐีไปหมด พวกนายทุนไม่ได้เป็นเศรษฐีเพราะว่ามันเห็นแก่เงินเป็นใหญ่ คำว่าเศรษฐีนี่ ก็หมายถึง ประเสริฐที่สุด เศรษฐ แปลว่าประเสริฐที่สุด เศรษฐี แปลว่ามีความประเสริฐที่สุด มีความประเสริฐที่สุดอย่างไร ก็ดูปฏิปทาที่เศรษฐีทั้งหลายเขาถือเป็นหลักตามความหมายของคำๆ นี้
คือ เศรษฐีนั้นจะต้องระดมกำลัง ข้าทาสบริวาร อะไรก็ตาม ผลิตผลก็ได้ผลมาก ก็กินแต่น้อยที่สุด บางทีจะไม่ถึงขนาดพอดีด้วยซ้ำไป คือกินเท่าที่จำเป็น แล้วมันก็เหลือมาก พอเหลือมากก็เอาไปช่วยสังคม ไม่เอามาซื้ออาหารคำละพันบาท หมื่นบาท ไปเที่ยวอาบอบนวด หรืออะไรอย่างที่เขาทำกันเดี๋ยวนี้ ผลิตมาก กินแต่น้อย เหลือเอาไปช่วยสังคม สังคมก็คือมนุษย์เหล่าอื่น เขาช่วยตรงๆ ด้วยการตั้งโรงทาน ชื่อว่าเศรษฐีต้องมีโรงทาน ถ้าไม่มีโรงทาน ไม่ชื่อว่าเศรษฐี
ฉะนั้น เศรษฐีบางคนก็มีโรงทานหลายโรง แล้วก็เก็บหอมรอมริบทรัพย์อีกส่วนหนึ่งไปฝังไว้เพราะว่ามันไม่มีธนาคารในสมัยพุทธกาล ก็ไปฝังดินไว้ เพื่อจะได้ขุดขึ้นมาใช้ช่วยเหลือ เผื่อเหลือ เผื่อขาด เมื่อมันเกิดอันตรายขึ้น อย่าให้โรงทานล้มไป เศรษฐีจึงมีโรงทานและฝังทรัพย์สำรองไว้ เพื่อหล่อเลี้ยงโรงทานอย่าให้ขาดได้ ภิกษุก็เคยเข้าไปรับอาหารในโรงทาน คนยากจนเข็ญใจก็รับอาหารในโรงทาน นี่เรียกว่าเศรษฐีช่วยสังคมโดยตรงด้วยโรงทาน แล้วเศรษฐียังช่วยผู้อื่นโดยอ้อมด้วยการสร้างวัด
เศรษฐีเป็นผู้สร้างวัดมาแล้วตั้งแต่ครั้งพุทธกาล เช่น อนาถบิณฑิกเศรษฐี เป็นต้น วัดนั้นสร้างขึ้นด้วยเศรษฐี ก็มีพระอยู่อาศัย และทำหน้าที่สืบศาสนา สอนธรรมะให้คนในโลกมีความสุข โดยอาศัยการสร้างวัด ก็ชื่อว่าเศรษฐีก็ได้ช่วยคนทั้งโลก ระบบเศรษฐีสร้างวัดนี้มีมาถึงกระทั่งประเทศไทยเรา ยุคต้นสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ วัดทั้งหลายเกิดขึ้นเพราะเศรษฐีทั้งนั้น และเพิ่งมาโอนเป็นวัดหลวง เป็นวัดราชาสร้างตอนหลังๆ ก็มีวัดที่เศรษฐีสร้างก่อน ร้างมิร้างแหล่ อะไรอยู่ทั่วๆไป ไม่ร้างก็มี แล้วก็การสร้างวัดนี้ก็นึกจะเป็นแฟชั่นมาสำหรับพวกเศรษฐีเลยทีเดียว เพื่อช่วยสังคม ดูว่าประเสริฐหรือไม่ประเสริฐ หามาก ทำมาก ได้มาก แล้วกินแต่น้อย แล้วเหลือเอาไปช่วยสังคม ใครมันทำบ้าง ถ้าทำจะ จะประเสริฐกี่มากน้อย จะประเสริฐน้อยหรือประเสริฐมาก ช่วยคิดดู พอจะมองเห็นได้ว่ามันประเสริฐที่สุดเท่าที่มนุษย์มันจะทำได้แล้ว หามาก กินแต่น้อย เหลือไปช่วยสังคม นี่คือเศรษฐี
ทีนี้พวกนายทุนแห่งโลกสมัยนี้เขาไม่ทำอย่างนั้นน่ะ เขาทำอย่างอื่น เขาจะหาให้มาก เพิ่มกำลังทุนให้มาก แล้วก็จะบีบคั้นเศรษฐกิจให้เขารวยมากๆ ยิ่งขึ้นไป ประโยชน์ที่ได้ไม่เอามาใช้ช่วยสังคม จะอ้างว่าทำให้มีการงานทำนี่ อันนี้เป็นเรื่องโดยอ้อมไม่ใช่เจตนา เขาต้องการความร่ำรวยของเขาเอง นี่ เศรษฐีไม่ใช่นายทุน นายทุนไม่ใช่เศรษฐี
ทีมนุษย์ที่เป็นเศรษฐีมีมาแต่ครั้งพุทธกาล และอาจจะมีมาเรื่อยๆ จนกระทั่ง เดี๋ยวนี้มันค่อยๆ หายไป และนายทุนมันก็เกิดขึ้นแทน และก็ได้ต่อสู้กับพวกที่ยากจน โลกไม่มีความสงบสุขไปทั่วทุกหัวระแหงในปัจจุบันนี้ ก็เพราะมันมีลัทธิอย่างนี้เกิดขึ้น คือไม่มีลัทธิที่ถือว่ากินอยู่แต่พอดี กินอยู่แต่พอดี เหลือไปช่วยสังคม
ตามหลักที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า มตฺตญฺญุตา จ ภตฺตสฺมึ บริโภคด้วยความรู้ประมาณ มันก็เหลือมากแล้วก็ไปช่วยสังคม ก็ไม่เกิดวิกฤตการณ์อย่างที่มันกำลังเกิดอยู่ในโลกเวลานี้ ฉะนั้นขอให้สนใจว่าทุกข้อ โลกมันละเลยหมด โลกจึงเปลี่ยนเป็นโลกวิกฤตการณ์ ไม่มีสันติภาพ
ปนฺตญฺจ สยนาสนํ ข้อต่อไปคือชอบความนั่งนอนอยู่ในที่สงัด เดี๋ยวนี้มันชอบอาบ อบ นวด มันไปที่สถานเริงรมย์ กามารมณ์ ไม่ชอบนั่งนอนอยู่ในที่อันสงัด ผลมันก็เกิดขึ้นมาตรงกันข้าม แต่ละคนชอบการบำรุงบำเรอทำนองนั้น มันก็ไม่พอ มันก็ต้องแย่งกัน เงินไม่มีมันก็ต้องคดโกงมา ข้าราชการเงินเดือนไม่พอใช้ก็เพราะเหตุนี้ เมื่อเงินไม่พอใช้ เขาก็โกงกัน แล้วมันก็เป็นเรื่องที่ยุ่งยากลำบากที่สุด แต่ขอให้ลองคิดดู
ฉะนั้น เราจะระลึกนึกถึงคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ทุกข้อนี่มันจะทำให้อยู่ด้วยความผาสุก ตั้งแต่ว่าไม่พูดร้าย ไม่ทำร้าย สำรวมในระเบียบวินัย บริโภคแต่พอดี อยู่ในที่นอนอันสงัด ที่นั่งที่นอนอันสงัดหรือว่าอยู่ในความสงบสงัด ไม่ ไม่ ไม่เต็มไปด้วยของฟุ่มเฟือย เหมือนบ้านเรือนแห่งยุคปัจจุบัน ซึ่งเต็มไปด้วยของฟุ่มเฟือย กินอยู่อย่างฟุ่มเฟือย ไปหล่อเลี้ยงกิเลสของตนให้แรงขึ้นๆ ในการที่จะเห็นแก่ตัว มนุษย์ก็เต็มไปด้วยมนุษย์เห็นแก่ตัวในโลกนี้ มันสงบสุขไม่ได้
ทีนี้มาถึงข้อสุดท้ายที่ว่า อธิจิตฺเต จ อาโยโค ประกอบการเพียรในการทำจิตให้ยิ่ง นี่คือข้อที่ผมตั้งใจจะพูดในวันนี้ โดยหัวข้อว่า วิปัสสนามีคุณค่าสำหรับมนุษย์แห่งยุคปัจจุบัน หรือคุณค่าของวิปัสสนาสำหรับมนุษย์แห่งยุคปัจจุบัน มนุษย์แห่งยุคปัจจุบันต้องได้รับคุณค่าจากวิปัสสนา เพื่อโลกจะอยู่กันผาสุก เขาจะมีสิ่งนี้ได้ ก็ดูจะต้องพวกเราช่วยเขา คือพระวิปัสสนาจารย์ทั้งหลายจะต้องช่วยเป็นภาระ เป็นหน้าที่ รื้อฟื้นขึ้นมาใหม่ ทำให้มันมีขึ้นมาในโลกนี้ ให้โลกนี้มันมีสิ่งที่เรียกว่า อธิจิตฺ คือ จิตที่สูง จิตที่ยิ่ง คำว่า วิปัสสนาไม่มีความหมายอย่างอื่น มีความหมายว่า ทำให้จิตมันสูง ให้จิตมันยิ่ง ด้วยการเห็นสิ่งทั้งหลายทั้งปวงตามที่เป็นจริง
ขอให้ย้อนระลึกไปถึงเหตุการณ์ในตอนต้นๆ ในตอนแรกๆ โดยศึกษาประวัติ ผลของการกระทำทางจิตว่ามันได้เกิดขึ้นในโลกนี้อย่างไร มนุษย์ในยุคดึกดำบรรพ์โน้น ทีแรกก็ไม่รู้จักทำมาหากิน กินอาหารที่เกิดอยู่ตามธรรมชาติ ในป่า ในดง มันก็ยากที่จะมารู้เรื่องจิต คือต่อมามนุษย์รู้จักเพาะปลูก เลี้ยงสัตว์ ตั้งบ้านตั้งเรือน ก็มีที่อยู่อาศัย มีการกินอาหาร การผลิตอาหารที่แปลกออกไป มันก็เกิดคนที่เห็นแก่ตัว คือขโมยของผู้อื่น จนมนุษย์ทั้งหลายทนไม่ไหวต้องจัดระบบการปกครอง สมมติคนดีที่สุดให้เป็นผู้ปกครอง มีอำนาจ สิทธิขาดทุกอย่าง คนนั้นก็จัดการปกครอง จนมนุษย์มีระบบการปกครองแล้วก็เป็นสุขทางศีลธรรม เป็นที่พอใจ ก็ร้องออกมาว่า ราชาๆ คำนี้แปลว่า พอใจๆ พอใจโว้ย คำว่าราชาได้เกิดขึ้นในโลก มีความหมายว่าพอใจโว้ย
แต่นี่มันเป็นเรื่องวัตถุ เป็นเรื่องทางศีลธรรม ทางวัตถุ ไม่เท่าไหร่มันก็รู้สึกว่า แม้จะกินอยู่กันเป็นปกติอย่างนี้แล้ว ก็ถูกบีบคั้นด้วยกิเลสในภายใน เช่น ความโลภ ความโกรธ ความหลง ซึ่งมีอยู่เป็นธรรมดา หรือว่าปัญหาที่มันจะเกิดมา จากการต้องเกิด ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย ต้องวิบัติ พลัดพราก ต้องหลายๆอย่าง ที่ว่ามันเป็นความทุกข์ ซึ่งสรุปความว่า ไม่รวยแล้ว มีกินมีใช้แล้ว สมบูรณ์ด้วยวัตถุปัจจัยแล้ว ก็ยังมีปัญหาอย่างนี้อยู่ในใจ ความโลภ ความโกรธ ความหลง ความเกลียด ความกลัว ความวิตกกังวล อาลัยอาวรณ์ มนุษย์จะเริ่มรู้จักโรคประสาทแล้ว ก่อนนี้ไม่รู้เพราะมัวแต่ทำมาหากินเหมือนกับสัตว์ทั่วๆไป
แต่เมื่อมนุษย์ได้ตั้งหลักฐาน มีกิน มีใช้ขึ้นมาแล้ว ก็มีกิเลสโผล่ออกมา แสดงบทบาทเกิดความโลภ ความโกรธ ความหลง ความทรมานใจด้วยกิเลสเหล่านี้ เริ่มรู้จักเป็นโรคประสาทกันแล้วตอนนี้ ดังนั้นจึงมีมนุษย์บางคนหรือไม่ใช่ทุกคนไม่ยอมรับสภาพอย่างนี้ ก็หนีไปอยู่ในป่าในที่สงัด ไปนั่งคิด นั่งค้น จนพบวิธีที่จะควบคุมจิตไม่ให้โลภ ไม่ให้โกรธ ไม่ให้หลงมากเหมือนเดิม ให้มันน้อย แล้วมันก็ไม่ต้องวิตกกังวลอะไรมาก จิตสงบนิ่ง เป็นสุขอยู่ได้ เป็นของพบใหม่คือจิตที่ดีกว่าเดิม อย่างคำกลอนในบทเรียนสอนเด็กสมัยโบราณ แสดงคุณค่าของเรื่องนี้ได้ดี เข้าฌาน นานนับเดือน ไม่เขยื้อน เคลื่อนกายา จำศีล กินวาตา เป็นผาสุกทุกคืนวัน นั่งกินลมอยู่ได้เป็นเดือนๆ ไม่ได้กระดุกกระดิก คือพวกนิโรธสมาบัติ มันอยู่ได้โดยไม่ต้องกินอาหาร ไม่ต้องเขยื้อนได้เป็นวันๆ หรือเป็นครึ่งเดือน เป็นเดือน เขาพบสิ่งเหล่านี้มาแล้ว เขาถือว่าเป็นเรื่องสูงสุดของมนุษย์ที่จะมีความสุข
ฤๅษีมุนีเหล่านี้ เขาพบแล้ว ทำได้แล้ว เขาก็สอนประชาชนที่สนใจ ทีนี้ประชาชนก็รู้จักทำจิตให้สงบอย่างนี้บ้าง เป็นวัฒนธรรมที่เลื่อนขึ้นไปขั้นหนึ่งคือทางจิต แล้วก็โดยความสงบสุข นี่กิจการเริ่มต้นของวิปัสสนาแต่ยังไม่สมบูรณ์ เพราะเป็นเพียงในขั้นของสมาธิ ของฌาน ของสมาบัติ แต่ก็จะถือเอาว่าไอ้ที่เขามองเห็นอย่างนี้ เห็นว่าอย่างนี้ดีกว่าที่จะจมอยู่ที่บ้านนั้น ก็ควรจะเป็นวิปัสสนาได้เหมือนกัน เขามองเห็นว่าไอ้ความสุขอันนี้ดีกว่าความสุขที่มันมีอยู่ก่อน ความเห็นอันนี้ควรจะจัดว่าเป็นวิปัสสนาได้เหมือนกัน แม้ยังไม่เห็นชัดเรื่อง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จนทำลายกิเลส หมดสิ้นบรรลุมรรคผลนิพพาน ก็ตามที แต่ว่ามันเริ่มมีแสงสว่างที่เรียกว่าวิปัสสนาเกิดขึ้นแล้วในหมู่มนุษย์
ดังนั้น มนุษย์จึงมีความรู้เพิ่มขึ้นอีกอย่างหนึ่ง ที่ว่าความสุขทางจิต นิยมบูชา แสวงหาความสุขทางจิต แล้วบูชาบุคคลผู้ทำได้อย่างนั้น จัดบุคคลประเภทนั้นเป็นปูชนียบุคคล บำรุงเลี้ยงดูปูชนียบุคคลไม่ให้ยาก ไม่ให้ลำบาก ให้อยู่โดยสะดวก การถวายทานแก่บุคคลเช่นนั้นเป็นบุญ ก็เกิดทักขิไณยบุคคล เป็นผู้นำฝ่ายจิต ฝ่ายวิญญาณขึ้นมา แล้วไม่ได้หยุดอยู่เพียงเท่านั้น แต่ความรู้อันนี้ขยายตัวเรื่อยไปๆ สมาธิก็สูงขึ้นไปจนเปลี่ยนรูปเป็นวิปัสสนา ก็คือเห็นแจ้งด้วยสมาธินั้นว่าสังขารทั้งปวง ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ไม่ควรยึดถือสิ่งใดโดยความเป็นตัวตนของตน ส่วนนี้มันเป็นความรู้ มันไม่ใช่สมาธิหยุดสงบนิ่ง แต่มันเป็นความรู้แจ้งออกมา นี่เป็นตัววิปัสสนา ได้เกิดขึ้นแล้วโดยอาจารย์ยุคหลังเรื่อยๆ มา
จนกระทั่งเกิดพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นพระบรมศาสดาของเราทั้งหลาย ข้อนี้มิได้หมายความว่า ก่อนหน้านี้ไม่มีใครมีสมาธิหรือวิปัสสนา เขาก็มีของเขาเหมือนกันแต่ไม่ถึงระดับสูงสุด ไม่ดับทุกข์ทั้งปวง ไม่กำจัดกิเลสทั้งปวง แต่เขาก็ได้ค้นสูงขึ้นมาตามลำดับในทางจิตใจ เรียกได้ว่า อธิจิตฺเต จ อาโยโค ด้วยเหมือนกัน แต่ไม่ถึงระดับสูงสุด มีความเพียรให้จิตยิ่ง ทำจิตให้ยิ่ง อบรมจิตให้ยิ่ง ยิ่ง ยิ่ง ยิ่งกันมาตามลำดับ แล้วก็ประกวดประขันกันตามลัทธินั้นๆ แล้วก็มีคนรับนับถือ เพิ่มขึ้นๆ แล้วก็เปลี่ยนไปตามที่มันสูงขึ้นๆ สูงจนกระทั่งพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นมา สอนสมาธิ วิปัสสนา กำจัดทุกข์ได้จริง ถึงบรรลุมรรคผลนิพพาน มนุษย์เหล่านั้นพอใจว่าเราได้รับสิ่งสูงสุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ ฉะนั้น ประชาชนทั่วไปก็สนใจในการที่จะประพฤติปฎิบัติวิปัสสนา คือเป็นบุคคลที่เห็นแจ้งโลกนี้แล้วก็หลุดพ้นไปจากโลกนี้ได้ ก็ส่งเสริมบำรุงรักษาท่านเหล่านี้ไว้ให้มีอยู่ในโลกนี้สั่งสอนสืบๆ กันไป มันก็มีอยู่ไม่สูญหายไป ระบบวิธีนี้ก็มาเรื่อยๆ มาจนถึงยุคปัจจุบันนี้
ทีนี้ก็มาถึงปัญหา โลกยุคปัจจุบันนี้เขาเก่งมากในทางค้นคว้า ในทางผลิต ในทางกิน ใช้ บริโภคฝ่ายวัตถุ ไอ้วิชาเทคโนโลยีทั้งหลายนี้เป็นไปฝ่ายวัตถุเท่านั้น ไม่เป็นไปฝ่ายจิต ดังนั้น จึงผลิตวัตถุออกมา เอร็ดอร่อย สวยงาม หอมหวนยวนใจอย่างยิ่งๆๆๆ ขึ้นทุกที เพราะมันผลิตด้วยเครื่องจักรนั่น มันจึงผลิตได้มาก และมันก็ผลิตได้ชนิดที่ดี ในทางที่จะยั่วยวน ฉะนั้น ความเจริญแห่งยุคปัจจุบันนี้ ก็หลงไปตก ตกไปเป็นทาสของวัตถุกันหมด ยิ่งเจริญ ยิ่งตกไปเป็นทาสของวัตถุ ยิ่งตกไปเป็นทาสของวัตถุก็ยิ่งเห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัวมันก็มี โลภะ โทสะ โมหะกล้า ดังนั้นจึงฆ่าฟันกันได้อย่างที่เรียกว่าเลือดเย็น
เช่นว่า เดี๋ยวนี้เขามีอาวุธที่จะฆ่ากันทีเดียวตั้งล้าน ตั้งสิบล้านน่ะ อาวุธบางชนิดใช้ไปทีเดียวทำให้คนตายได้ตั้งล้านคน หรือสิบล้านคน เขาก็สร้างกันไว้ เตรียมกันไว้ เพื่อจะทำลายล้างกัน เขาคำนวณกันว่าอาวุธที่สร้างไว้แล้วนี้ เก็บไว้แล้วนี้มีมากพอ ถ้าว่ามันเกิดอะไรขึ้นมาทำให้ยั้งไว้ไม่อยู่ ต่างคนต่างใช้อาวุธนี้พร้อมกัน แล้วก็ ก็ ก็คิดกันว่าโลกนี้จะไม่มีเหลือ โลกนี้จะไม่มีเหลือ เพราะอาวุธนั้นได้สร้างไว้แล้วมากพอที่จะทำให้โลกนี้จะไม่มีเหลือ มนุษย์ก็ไม่มีเหลือ ทรัพย์สมบัติที่เป็นวัฒนธรรม เป็นไอ้ความคิดสติปัญญา ก็ไม่มีเหลือ กระทั่งไอ้ตัวโลกแผ่นดินนี้ก็จะเหลือน้อยลงไป มนุษย์ก็ไม่มีเหลือ วัฒนธรรม วัตถุอะไรต่างๆ ก็ไม่มีเหลือ เพราะความเห็นแก่ตัว นี่เรียกว่ายุควัตถุ สุดเหวี่ยงไปทางวัตถุ เดี๋ยวนี้มันๆๆ กลัว มันยังกลัวกันอยู่บ้าง ไม่มีใครกล้าใช้ไอ้อาวุธนี้ออกไป ถ้าเผอิญวันหนึ่งคืนหนึ่ง มันมีอะไรที่ทำให้เข้าใจผิด มันบังคับไว้ไม่ได้ มันใช้ออกไป แล้วก็ใช้ด้วยกันหมด แล้วโลกนี้ก็จะเป็นอย่างว่า ก็คือวินาศของโลก อย่างที่เรียกว่าจะไม่มีอะไรเหลือ ต้องตั้งต้นกันใหม่
นี่ปัญหาปัจจุบันอยู่อย่างนี้ ความเอร็ดอร่อยทางวัตถุกำลังดึงคนไปหาวัตถุ หันหลังให้พระเจ้า หันหลังให้ศาสนา หันหลังให้ธรรมะ หันหลังให้วิธีการทางจิตใจ เดี๋ยวนี้ทั้งโลก แม้แต่ประเทศไทยที่ว่าเมืองพุทธ มันก็ยังหันหลังให้เรื่องทางจิตใจ ไม่รู้จักสนใจเรื่องทางจิตใจ ที่จะเอามาประพฤติกระทำให้ชีวิตนี้มันเยือกเย็น ที่มันมีอยู่บ้างนี่ก็จะเป็นเพียงพิธีรีตรอง ทำวิปัสสนาอย่างเป็นพิธีรีตอง แปลกดีหรือว่าโก้ดี หรือว่ากำลังได้รับความยกย่องดี ก็ทำกัน ผลอันแท้จริงยังไม่เกิดขึ้นตามนั้น ตามความมุ่งหมาย นี่คือปัญหาที่กำลังคาราคาซังอยู่ในบัดนี้
จึงหวังว่า พวกเราพระวิปัสสนาจารย์ทั้งหลายจะได้เหลือบดูปัญหานี้ แล้วเอาไปคิดดูว่าทำอย่างไรนะ ที่มนุษย์นี้จะ จะคลายความหลงใหลในทางวัตถุ ซึ่งจะทำลายโลกอยู่รอมร่อแล้ว จะมาสนใจเรื่องทางจิตใจที่จะทำให้ทุกคนอยู่อย่างสงบสุข สันติสุข โดยไม่ต้องฆ่าฟันกันแม้แต่คนเดียว หรือว่าจะมองเห็นลึกลงไปถึงกับว่า ไอ้ความสุขทางจิตใจนี้ไม่ต้องลงทุนด้วยเงิน ไม่ต้องลงทุนด้วยวัตถุ ไม่มีวัตถุไม่มีเงินจะมาซื้อความสุขทางจิตใจได้ แต่กระทำได้ด้วยการประพฤติกระทำด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้วยใจ ที่เรียกว่าทำจิตให้ยิ่งขึ้น ทำจิตให้ยิ่งแล้วก็จะได้รับความสุขสูงสุดชนิดที่ไม่ต้องเสียเงิน ขอให้ถือเป็นหลักไว้ตามพระพุทธภาษิตที่ว่านิพพานนี้ให้เปล่า มุธา นิพพุติง ภุญชะมานา การบริโภคนิพพานอยู่โดยไม่ต้องใช้เงิน โดยไม่ต้องเสียเงิน ถ้าทุกคนมีความสุขแท้จริง แสวงหาความสุขอันนี้กันอยู่ มันก็ไม่ต้องใช้เงิน ปัญหาเรื่องเศรษฐกิจมันก็ไม่มี มันมีน้อยจนไม่เป็นปัญหา
เดี๋ยวนี้คนมัน ทุกคนต้องการพร้อมๆ กัน ความสุขทางเนื้อทางหนังซึ่งต้องใช้เงินมาก และมันขยายให้ใช้มากขึ้นไปได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ทว่าเดี๋ยวนี้อาหารชั้นดีคำละพัน ต่อไปมันจะคำละหมื่นละแสน เพราะมันขยายออกไปด้วยความโง่ แล้วความโง่นี้มันมีขีดจำกัดสุดเมื่อไหร่น่ะ มันไม่สุด ไอ้ความโง่มันไม่สูงสุด มันไม่ถึงที่สุดได้ ความโง่ขยายตัวออกไป ไอ้ปัญหามันก็ขยายตัวออกไป ความไม่พอมันก็ขยายตัวออกไป เรื่องทางวัตถุมันเป็นอย่างนั้น ในที่สุดมันก็วินาศอย่างที่กล่าวมาแล้ว
ฉะนั้น ถ้าหากว่าเขามีความรู้ความเข้าใจถูกต้องในเรื่องของจิตใจ มันก็หยุด หยุดบ้า หยุดเปลือง หยุดยุ่ง หยุดลำบากยุ่งยาก อยู่ด้วยความสงบสุข ยุ่งยากแต่น้อยที่สุด เราไม่ต้องมีอะไรมากเหมือนเดี๋ยวนี้น่ะซึ่งเป็นเรื่องส่งเสริมให้ ให้บ้าหนักขึ้น ให้เห็นแก่ตัวมากขึ้น ให้โลกนี้มันยุ่งมากขึ้น เพราะว่าโลกนี้เจริญนะ เจริญด้วยสิ่งที่เห็นว่าดีที่สุดนะ เจริญที่สุดน่ะ ฉลาดที่สุด เก่งที่สุดนี่ แล้วไปดูน่ะมันช่วยอะไรได้ นอกจากให้ยุ่งมากขึ้น
กิจกรรมเรื่องอวกาศ เรื่องไปนอกโลก เมื่อเร็วๆ นี้ก็มีเรื่องหนึ่งไปแล้วกลับมาได้โดยสะดวกเนี่ย ก็ เรียกว่าก้าวหน้ามาก แล้วมันช่วยให้โลกมีความสุขขึ้นได้อย่างไร นอกจากให้ระแวงกันมากยิ่งขึ้น และเขาก็เสียเงินมากมายพอที่จะสร้างโรงพยาบาลให้เต็มทั่วทั้งโลกก็ยังจะได้ เงินที่เสียไปเรื่องอวกาศทั้งหมด มาสร้างโรงเรียน สร้างโรงพยาบาลให้เต็มทั้งโลกก็ได้ด้วยเงินจำนวนนั้น แต่เขาไม่ทำ เขาเอาไปค้นคว้าเรื่องอวกาศ ก้าวหน้าเรื่องอวกาศนี่ ลงทุนชนิดที่ไม่มีผลดีอะไรเลย ลงทุนเพื่อเป็นผลร้าย นี่เรียกว่าความก้าวหน้าของมนุษย์กำลังวิ่ง วิ่งด้วยความบ้า ทำไมต้องใช้ “วิ่งด้วยความบ้า” เพราะว่ามันไม่รู้ว่าจะไปไหน มันแล้วแต่ความบ้าจะพาไป นี่มันก็ไม่รู้ว่าจะไปไหน
นิทานชวนหัวเรื่องหนึ่งพวกญี่ปุ่นเขาเล่าว่า ไอ้คนๆ หนึ่ง มันก็ขี่ม้ามาผ่านเข้าไปในย่านตลาด แล้วม้านี่มันชะโงกไปกินขนมของเขาที่ขาย ขาย วางขายอยู่ในถาด เจ้าของขนมก็เอาไม้ตีม้า ไอ้ม้ามันก็วิ่งหนี เจ้าของก็ตีเรื่อย ไอ้ม้าตัวนี้มันก็คงจะเป็นม้าที่ยังเปรียวยังเถื่อนอยู่ มันวิ่งเหลือประมาณ ทีนี้ไอ้คนนั่งๆ อยู่บนหลังม้าก็ติดม้าไปด้วย เพื่อนเขาก็ถามว่าจะไปไหน จะไปไหน ก็บอกว่าไม่รู้โว้ยถามม้าเถิด ไม่รู้โว้ยถามม้าเถิด
นี่ คุณลองคำนวณดูว่าไอ้โลกปัจจุบันมันอยู่ในสภาพอย่างนี้ มันจะไปไหนก็ไม่รู้ ไอ้เทคโนโลยีทั้งหลายจะพาไปไหนก็ไม่รู้ แต่ว่ามันก็ยังส่งเสริมเทคโนโลยีอยู่เรื่อยไป จะไปไหนก็ไม่รู้ นี่แหละความบ้า เที่ยวไปไหนก็ไม่รู้ แต่ก็ทำมันยิ่งขึ้นไป ยิ่งขึ้นไป ถามคอมพิวเตอร์ก็บอกไม่ถูกว่าจะไปไหน เพราะคอมพิวเตอร์มันก็โง่เท่ากับคนสร้างคอมพิวเตอร์นั่นแหละ ฉะนั้น อย่าไปหวังพึ่งคอมพิวเตอร์อะไรกันให้มันมากนัก มาดูกันเสียใหม่ว่าไอ้ที่มันจะหยุด ไม่ยุ่ง ไม่ลำบาก ไม่วินาศน่ะ มันอยู่ที่ไหน เดี๋ยวก็จะพบว่าอยู่ที่รู้จักจับจิตใจไว้ให้ถูกต้อง
ใช้คำของพระพุทธเจ้าก็ต้องใช้คำว่า การตั้งจิตไว้อย่างถูกต้องเป็นวิปัสสนา เป็นสมถะ แล้วแต่จะเรียก จะเรียกโดยภาษาธรรมชาติก็ต้องเรียกว่า ตั้งจิตไว้อย่างถูกต้อง แล้วเราก็ไม่ต้องเป็นอย่างนั้น เราก็ไม่ต้องโง่ในเรื่องกิน เรื่องอร่อย เรื่องทางหู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้วก็ไม่ต้องทำไปโดยที่ไม่รู้ว่าจะไปไหน พวกเหล่านี้เขาไม่ได้รู้ว่าทำไปเพื่อความหยุด หรือความสงบหรอก เพราะเขาต้องการให้มันมากกว่าเดิมเรื่อยไป มันไม่มีคำว่าหยุด หรือพอ หรือสงบ ถ้าจะต้องการหยุด หรือพอ หรือสงบ ต้องหันมาทำที่จิตใจ
ไอ้เรื่องทางวัตถุ มันก้าวหน้าอย่างไม่รู้จักหยุดจักพอไม่รู้จักสงบ เรื่องจิตใจนี่ เราทำให้หยุดให้สงบได้ ให้วัตถุอยู่ใต้จิตใจ ให้จิตใจควบคุมวัตถุได้ อย่าให้ไอ้วัตถุนี่มาลากเอาจิตใจไป เหมือนกับนายคนนั้นบังคับม้าไม่ได้ ม้ามันก็พาไปโดยที่ไม่รู้ว่าจะไปไหน
เดี๋ยวนี้ ไอ้วัตถุที่ก้าวหน้าเหมือนกับม้าที่ถูกตีให้ตื่น จิตมนุษย์ควบคุมไม่ได้ มันก็แล้วแต่ความบ้านั้นจะพาไป คือเพิ่มความเห็นแก่ตัวยิ่งขึ้น เพิ่มความเห็นแก่ตัวยิ่งขึ้นตามความก้าวหน้าทางวัตถุ มันกลายเป็นว่าที่มีๆ อยู่นี่ เพื่อยุ่งทั้งนั้นแหละ กิจการคมนาคมเจริญดีมาก รถไฟ เรือบินนี่ มันก็เป็นเรื่องยุ่งทั้งนั้นแหละ ไม่มีก็ได้ ไม่มียังจะสงบกว่า การประดิษฐ์ต่างๆ ที่ว่าดี สบาย อร่อยนี่ โดยเฉพาะเรื่องผลิตผลไฟฟ้า นิยมใช้กันจนเป็นทาสขี้ข้าของไฟฟ้าไปหมดแล้ว ถ้ามันเกิดขาดแคลนขึ้นเมื่อไหร่ มันก็อาจจะเป็นบ้าตายกันหมด
นี่ มันถลำเข้าไปในสิ่งที่เป็นอันตราย เพราะจิตใจมันหลง มันโง่ มันบ้า มันไปตามอำนาจของความบ้า มันก็ไม่รู้จะเอาไปไหนนอกจากอร่อยมากขึ้น ไม่มีที่สิ้นสุด ก็ต้องหากำลัง หาอำนาจมากขึ้น มันก็ต้องแข่งขันกันมากขึ้น แล้วมันก็ต้องได้ฆ่าฟันกันมากขึ้น โลกนี้ไม่มีสันติสุข จนกว่าจะเข้าใจเสียใหม่ว่า โอ้, เราไม่จำเป็นจะต้องกินอย่างนั้น นอนอย่างนั้น ขับกล่อมอย่างนี้ ไม่ต้องเหมือนอย่างที่มีอยู่เดี๋ยวนี้ มีดนตรีได้ทั้งวันทั้งคืน เพราะอาศัยวิทยุ อาศัยโทรทัศน์ ก็ส่งเสริมกิเลสกันทั้งวันทั้งคืน มีเครื่องบำรุงบำเรอ ก็เอาสนุกสนาน เอร็ดอร่อยเกินกว่าธรรมชาติได้ทั้งวันทั้งคืน คุณเปิดวิทยุดูน่ะ มีเพลงตลอด ๒๔ ชั่วโมงนะ ถ้าไม่มีเรื่องอื่นแล้วก็ยังมีเพลงเหลืออยู่ อื่นๆ หยุดส่งหมดแล้ว ก็ยังมีเพลงเหลืออยู่ ลองเปิดวิทยุตอนตีสองตีสามดูมันยังมีเพลงเหลืออยู่ คนบ้าไหนไม่รู้มันนั่งทนฟังอยู่ได้ เพราะมันไม่รู้จักอิ่มจักพอในเรื่องส่งเสริมให้สนุกสนาน เอร็ดอร่อยทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ นี่มันขาดความรู้ที่ถูกต้อง ขาดสัมมาทิฏฐิ เพราะมันไม่มีวิปัสสนา
ถ้ามันมีวิปัสสนาทำไปตั้งแต่ต้น จิตสงบเป็นสมาธิ จิตเป็นสมาธิแล้วมองเห็นอะไรตามที่เป็นจริงหมด นี่เป็นวิปัสสนา เห็นอะไรอยู่อย่างนี้ก็ได้ อยู่อย่างนี้ดีกว่า อยู่อย่างนี้ง่ายกว่า อยู่อย่างนี้สงบกว่า อยู่อย่างนี้เปลืองน้อยกว่า มันก็เห็น และกิเลสมันควบคุมได้ ก็ไม่ต้องการมากตามอำนาจกิเลส
มีสติปัญญาถูกต้อง รู้ว่าเราควรกินอย่างไร กินเท่าไร กินเมื่อไร กินโดยวิธีใด นี่มันก็ทำแล้วดี มันก็ไม่ต้องเปลือง นี่ผลของวิปัสสนา แม้แต่มนุษย์แห่งยุคปัจจุบันนี้ มนุษย์เหล่านั้นควรจะหยุดโง่กันเสียที อย่าเห็นว่าเรื่องวิปัสสนาเป็นเรื่องเต่าล้านปี ไม่มีประโยชน์อะไรกับเรา ที่จริงมันยิ่งจำเป็นมากขึ้น
โดยหลักที่ว่าถ้ายิ่งก้าวหน้าทางวัตถุเท่าไร ยิ่งจำเป็นจะต้องมีความรู้ทางธรรมะ มาควบคุมให้พอกัน ก้าวหน้าทางวัตถุเท่าไร ต้องมีสิ่งๆ หนึ่งมาควบคุมมันให้พอกันกับที่มันก้าวหน้า นั่นก็คือธรรมะหรือศีลธรรมนั่นเอง แต่มันจะเป็นไปโดยไม่มีวิปัสสนาไม่ได้
วิปัสสนา แปลว่า ความเห็นอย่างถูกต้องตามที่เป็นจริง วิ แปลว่า แจ่มแจ้ง ปัสสนา แปลว่า เห็น วิปัสสนา แปลว่า เห็นอย่างแจ่มแจ้ง พระวิปัสสนาจารย์ทั้งหลายรู้ไว้ด้วยนะ ว่าวิปัสสนานี้แปลว่าดูแล้วเห็นนะ ไม่ใช่คิด ไม่ใช่คำนวณ ไม่ใช่ใช้เห็นผลทางตรรก ทางนัยะ ทางปรัชญานะ ถ้าไปเป็นเรื่องทางตรรก ทางปรัชญาแล้วจะไม่เป็นวิปัสสนา นี่จะเป็นเรื่องไปตามเหตุผลของการคิดคำนวณของมนุษย์ ซึ่งมันผิดได้ เพราะว่าเหตุผลมันผิดได้ การวิธีคำนวณก็ผิดได้
แต่เราไม่อาศัยการคำนวณอย่างนั้น เราอาศัยดูด้วยตา เห็นด้วยตา อย่างนี้มันผิดไม่ได้ อย่าสมมติฐานขึ้นมาคำนวณตามแบบปรัชญานั้นมันผิดได้ แล้วมันก็เชื่อผิดได้ ทำผิดได้ ดังนั้นทำจิตให้ดี ให้เป็นอิสระเสียก่อน จิตดี จิตเกลี้ยง จิตเต็มไปด้วยปัญญา นี่เหมือนกับมีดวงตาซึ่งพร้อมที่จะดู แล้วก็ดูนะ ไม่ต้องคิด อย่าไปช่วยคิดกับมันนะ ที่ว่าสังขารทั้งปวงไม่เที่ยงนี่ อย่าไปคิด ไม่ใช่ต้องคิด ดูให้เห็น เห็นว่ามันไม่เที่ยง ถ้าไปคิด ไปใช้เหตุผลนี่มันเรียกว่าหลับตา เป็นการหลับตาอีกครั้งหนึ่งน่ะ มันไม่ใช่ลืมตาอย่างวิปัสสนา
นี่เราสอนกันแต่ว่าให้คิด ให้ใช้เหตุผลว่าอย่างนั้นนะ อย่างนั้นนะๆ แล้วก็สรุปว่าเพราะฉะนั้นสังขารจึงไม่เที่ยง อย่างนี้ไม่ใช่วิปัสสนา เป็นการสอนนักธรรมในโรงเรียนนักธรรม ไม่ใช่วิปัสสนา ถ้าวิปัสสนาต้องทำจิตเป็นสมาธิ แล้วก็ดูเข้าไปจริงๆ ที่สังขาร ดูที่ดิน น้ำ ลม ไฟ ดูที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ดูที่ทุกอย่างที่มันมีอยู่จริง แล้วก็จะเห็น อ้าว, มันก็เปลี่ยนไปโว้ย เปลี่ยนไปโว้ย ไม่ต้องคิดไม่ต้องคำนวณ ไม่ต้องสรุปให้ว่าไม่เที่ยง มันเห็นความไม่เที่ยงอยู่แท้ๆ
เรื่องความทุกข์ก็เหมือนกัน ต้องเห็นทุกข์ลงไปตรงๆ อย่างนี้ ไม่ใช่คำนวณว่า อ้อ, สรุปว่า เพราะฉะนั้นมันเป็นทุกข์โว้ย นั่นไม่ใช่วิปัสสนา เพราะว่ามันไม่ได้เห็นด้วยใจ มันพาไปด้วยความคิด วิธีคิด วิธีสอนให้คิด เป็นวิปัสสนาในโรงเรียนนักธรรม นั่นมันคนละแบบ ยิ่งเรื่องอนัตตาแล้ว ก็ยิ่งลำบากมาก ต้องมีสมาธิถึงที่สุด คือมีดวงตาดีที่สุด อบรมถึงที่สุด จึงจะมองเห็นอนัตตา ซึ่งมองเห็นได้ยาก
ขอให้จำไว้ให้ดีว่า วิปัสสนา แปลว่า เห็นอย่างแจ่มแจ้ง ไม่ใช่คิด ไม่ใช่เข้าใจ หรือว่าไม่ใช่คำนวณ ไม่ใช่อะไรอย่าง อย่างแจ่มแจ้ง มันแจ่มแจ้งไม่ได้ ถ้าคิด ถ้าคำนวณ มันไม่ได้เห็นนี่ มันก็แจ่มแจ้งไม่ได้ ถ้าแจ่มแจ้ง ก็แจ่มแจ้งอีกแบบหนึ่ง จนพอใจแล้ว สรุปผลว่ามันต้องเป็นอย่างนั้น ก็เป็นวิปัสสนาในโรงเรียนนักธรรมอีกนั่นแหละ ฉะนั้น เราจะต้องเอาวิปัสสนาที่เรียนในโรงเรียนนักธรรมมา มาในป่านี่ ใช้แทนตรงๆนี้น่ะ มาทำไปตามนั้นให้เกิดสมาธิ คือจิตที่อิสระ แล้วจิตนั้นจะดูสังขารทั้งปวง ธรรมทั้งปวงตามที่เป็นจริง มันก็เห็นโดยไม่ต้องคำนวณ เห็นจริงว่ามันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา และจิตก็ไม่ไปหลง ไม่ไปบ้าในของสวย ของงาม ของหอม ของไพเราะ ของเอร็ดอร่อย คือวัตถุต่างๆ ที่เป็นที่ตั้งแห่งกิเลส คนก็หยุดโง่ หยุดหลง ไม่เป็นทาสของวัตถุอีกต่อไป โลกนี้มันก็จะหยุดบ้า คือจะไม่วิ่งไปเหมือนกับม้าบ้าตัวนั้น ถ้ามันควบคุมได้มันก็หยุดอยู่ได้ ไอ้โลกนี้มันก็เปลี่ยนแหละ คือโลกนี้มันก็เปลี่ยนมาสู่วิถีทางแห่งความสงบสุข ซึ่ง ซึ่งไม่ต้อง ไม่ต้องเป็นบ้าเป็นหลังในการที่จะฆ่ากัน ในการที่จะเอาเปรียบกัน แข่งขันแย่งชิงกัน ทั้งโดยส่วนตัวและส่วนรวม นี่อันธพาลทั้งหลายเต็มบ้าน เต็มเมือง เต็มโลกนี่ เพราะมันไม่มองเห็นข้อนี้ มัน มันหลงบูชาความเอร็ดอร่อยทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ซึ่งนั้นมันไม่ใช่ความสงบสุข แต่มันอร่อย มันบูชาความอร่อย มันจึงทำอย่างนั้น
ประเทศที่นำโลกเจริญที่สุดเวลานี้นี่ เขาโฆษณามาเมื่อเร็วๆ นี้ว่า มีการฆ่ากันตายวันละ ๖๒ คนโดยเฉลี่ย อาชญากรรมขนาดฆ่ากันตายมีวันละ ๖๒ ราย ข่มขืนสตรีมี ๗ นาทีต่อครั้ง ต่อคน เอาไปคิดดู นี่เจริญในวัตถุ แล้วผลออกมาคือฆ่ากันตายวันละ ๖๒ คน ข่มขืนสตรี ๗ นาทีต่อคน แล้วจะไปไหนกันล่ะ มันก็เหมือนกับม้าตัวนั้น มันวิ่งไปนี่ เขาหวด เขาตี ด้วยความกลัวมันก็วิ่งไป ไม่รู้ไปไหน คนก็ไปอยู่ที่นั่นอย่างที่ว่า ทำอย่างไรมันจะหยุด มันจะรู้วิธี วิถีทางไป ว่าไปที่ไหนมันจะหยุด มันจะสงบ จะมาพึ่งการศึกษาในโลกเดี๋ยวนี้ไม่ได้แล้ว
การศึกษาในโลก มันเป็นการศึกษาแบบหมาหางด้วนไปหมดแล้ว มันสอนแต่หนังสือ มันสอนแต่เทคโนโลยีทางอาชีพ เรียกว่าการศึกษาเดี๋ยวนี้สอนกันแต่หนังสือกับอาชีพ ไม่สอนไอ้ศีลธรรม ไม่สอนศาสนา ไม่สอนส่วนที่ว่าจะเป็นมนุษย์กันอย่างไรจึงจะสงบสุขนี้ไม่สอน ก่อนนี้ยังมีสอน เดี๋ยวนี้ไม่สอน จึงเรียกว่าการศึกษาหมาหางด้วน สอนเพียงหนังสือกับวิชาชีพ ไม่สอนว่าเป็นมนุษย์กันอย่างไร
ก่อนนี้พวกฝรั่งก็สอน สอนมาก เอาศาสนามาสอนรวมอยู่ในการศึกษาสามัญนี่ การศึกษาสามัญนี้มีศาสนารวมอยู่ด้วย เดี๋ยวนี้เขาไม่เอา เขาแยกออกไป เขาว่าเป็นเรื่องส่วนบุคคล ใครอยากรู้ไปหาเอาเอง ไม่ต้องมาอยู่ในหลักสูตรของกระทรวงศึกษา เขาก็ถืออย่างนี้ บางรัฐในประเทศอเมริกา บางรัฐมีกฎหมายถ้าเอาศาสนามาสอนในโรงเรียน ถือว่าครูคนนั้นทำผิดกฎหมายให้มีลงโทษด้วย นี่มันไปไกลถึงอย่างนี้
ฉะนั้น จะหวังพึ่งการศึกษาของโลกนั้นเป็นไปไม่ได้ แล้ว เรามาช่วยกันโดยวิธีของธรรมชาติ มนุษย์เจ็บปวดเข้าแล้วก็จะหันไปหาวิธีแก้ไข แล้วพระวิปัสสนาจารย์ทั้งหลายก็ช่วยเขาให้ได้รับแสงสว่าง มันเป็นหน้าที่ที่ลึก ที่สูง ที่ยากอยู่มาก ว่าจริงๆ จะทำคนให้มีแสงสว่างถูกต้องอย่างนี้ แต่แล้วมันไม่มีทางอื่นจริงๆ มันมีอยู่ทางนี้ แล้วมันก็ไม่มีใครที่จะรับภาระอันนี้ ดังนั้นโดยธรรมชาติ ที่มันจะเป็นไปได้ มันก็ตกเป็นภาระหน้าที่ของพระวิปัสสนาจารย์นั่นเอง
จะเป็นใครที่ไหนมาก็ตามใจ พระวิปัสสนาจารย์น่ะมีหน้าที่ต้องเห็นแจ้งในสิ่งทั้งปวง แล้วสอนชักนำคนทั้งหลายทั้งปวง ให้เห็นแจ้งในสิ่งทั้งปวงด้วย ให้โลกนี้มันเป็นผู้เห็นแจ้งต่อสิ่งทั้งปวง เขาก็ทำถูกต่อโลกนี้ ต่อชีวิตนี้ ไม่ทำไปในทางผิด ให้มันยุ่งยากมากขึ้นทุกที ทำกันไปแต่ในทางถูก คือมันสงบ เย็น เยือกเย็น ยิ่งขึ้นทุกที
ฉะนั้น จะ จะ จะสรุปความว่าผู้จะทำให้โลกหยุดร้อน ให้โลกเลิกร้อนมา มาเป็นโลกเย็นนี้ก็มีแต่วิปัสสนา มีแต่กิจกรรมวิปัสสนา คือทำสมาธิควบคุมจิตให้ได้ ให้จิตนี้พร้อมที่จะดู และจิตนี้ก็ดู แล้วก็เห็น เห็นก็เป็นวิปัสสนา
เห็นตามที่เป็นจริงแล้วก็ไม่ทำผิด ทำให้ถูกในทางที่มันจะสงบเย็น จึงเห็นว่าไอ้โลกที่มันจะหยุดร้อน จะหมุนไปทางเย็นนั้น มีแต่วิธีการของวิปัสสนาเท่านั้น นี้จะดีกี่มากน้อย จะเป็นสิ่งประเสริฐที่สุดกี่มากน้อยเป็นของใหญ่หลวงกี่มากน้อย ก็คิดดูเอง แต่พระพุทธเจ้าท่านทรงมองเห็นอย่างนี้ ทรงบัญญัติวินัย ทรงแสดงธรรมไว้เป็นของช่วยโลก โลกมีวินัย มีธรรมะ ประพฤติปฏิบัติถึงที่สุดแล้ว ก็สมบูรณ์ไปด้วยวิปัสสนา กิจกรรมที่เรียกว่าวิปัสสนา ที่ทำให้คนเห็นโลกถูกต้องตามที่เป็นจริง แล้วก็เดินถูกทางของความสงบสุข ไปสู่พระนิพพาน ซึ่งแปลว่าเย็น ถ้าไม่อย่างนั้นแล้ว มันจะวนเวียนอยู่ในวัฏสงสาร ซึ่งเขาว่ามันร้อน
วิปัสสนาเห็นแจ้งแล้วทำให้เดินถูกทาง จากร้อนไปหาเย็น เรียกว่า อธิจิตฺเต จ อาโยโค ทำจิตให้ยิ่ง จิตนี้ ก่อนนี้ไม่ยิ่ง เดี๋ยวนี้มายิ่งๆๆ ขึ้นไปด้วยการกระทำ ที่ถูกต้องที่เรามารวมเรียกกันเดี๋ยวนี้ว่า วิปัสสนา หรือกิจกรรมวิปัสสนา พอใครมามองเห็น เขาก็ต้องบูชา ต้องสรรเสริญ ต้องเห็นด้วย ต้องอนุโมทนา ต้องส่งเสริม เพราะมันเป็นของจริง ดีจริง จะทำให้ดับทุกข์ได้จริง แม้ในยุคปัจจุบันนี้ ซึ่งโลกกำลังเจริญก้าวหน้าด้วยวัตถุจนเป็นบ้าเป็นหลังไปแล้ว
นี่ก็คือข้อความที่ผมขอถวายเป็นความรู้แก่ท่านพระวิปัสสนาจารย์ทั้งหลาย ซึ่งอุตส่าห์มาจนถึงที่นี่ ก็ขอท่านทั้งหลายจงได้มองเห็นข้อนี้ แล้วไปช่วยกันประพฤติกระทำให้มันสำเร็จประโยชน์ตามนั้น คือให้กิจกรรมวิปัสสนายังคงเป็นประโยชน์แก่มนุษย์แห่งยุคปัจจุบัน ซึ่งมันกำลังจะวินาศอยู่รอมร่อแล้ว เราก็ทำดีที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ ก็แปลว่าเราได้ทำสิ่งดีที่สุด ที่มนุษย์ควรจะทำได้เพื่อประโยชน์แก่มนุษย์ ไม่ส่งเสริมให้เขาจมลงไปในความวินาศ แต่จะต่อต้าน ต่อสู้ ดึงกลับมาสู่ความถูกต้อง ความเจริญ ความรุ่งเรือง ความอยู่เย็นเป็นสุข สมตามความหมายของคำว่า นิพพาน
นิพพาน แปลว่า เย็น เย็นอก เย็นใจ เย็นทุกอย่าง เพราะว่ามันไม่มีกิเลสเหลืออยู่ ไม่มีความโง่เหลืออยู่ ก็ไม่ทำสิ่งที่ร้อน ขอได้โปรดช่วยนำไปคิดนึก ปรึกษาหารือซึ่งกันและกันดูในหมู่เราเอง ว่าจะทำอย่างไรจึงจะให้กิจกรรมวิปัสสนานี้ เผยแผ่กว้างขวางออกไปๆ จนเพียงพอแก่การที่จะคุ้มครองประเทศชาติ หรือมนุษย์ทั้งโลก นั่นแหละ การกระทำที่ดีที่สุดที่มนุษย์จะทำได้ และการสนองพระคุณของพระพุทธเจ้าอย่างยิ่ง อย่างที่สุด อย่างที่ตรงตามพระพุทธประสงค์ อย่างที่เราจะทำได้ คือเป็นประโยชน์สุขทั้งแก่ เป็นประโยชน์สุขแก่มหาชน ทั้งแก่เทวดาและมนุษย์ คือทั้งแก่คนรวยและคนจน
นี่ ผมขอถวายความคิดเห็นแก่ท่านวิปัสสนาจารย์ทั้งหลายในวันนี้ เป็นเบื้องต้นด้วยหลักเกณฑ์ที่ควรจะทราบ ที่เราจะต้องประพฤติกระทำแก่สังคม ที่เกี่ยวเนื่องกันอยู่กับกิจกรรมวิปัสสนาที่เป็นหน้าที่ของเรา ผมบอกแล้วว่าไม่ได้พูดเรื่องหลักวิชาที่เป็นตัววิปัสสนาโดยตรง เพราะถือว่าทราบกันอยู่ดีแล้ว จึงมาพูดในส่วนที่มันจะใช้ไอ้กิจกรรมวิปัสสนานี้ ให้สำเร็จประโยชน์แก่มนุษย์ในโลกให้มากที่สุด และตรงตามพระพุทธประสงค์ที่สุดเท่านั้นเอง
ก็ขอยุติการบรรยายในวันนี้ไว้เพียงเท่านี้ ขอแสดงความหวังว่าท่านทั้งหลายจะเอาไปใช้ให้สำเร็จประโยชน์ได้ไม่มากก็น้อย ขอยุติการบรรยาย