แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ณ บัดนี้ จะได้วิสัชนา (วิสัชชนา) พระธรรมเทศนาเป็นเครื่องประดับสติปัญญา ส่งเสริมศรัทธาความเชื่อ และวิริยะความพากเพียรของท่านทั้งหลายผู้เป็นพุทธบริษัท ให้เจริญงอกงามก้าวหน้าตามทางแห่งพระศาสนาของสมเด็จพระบรมศาสดา อันเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลาย กว่าจะยุติลงด้วยเวลา ธรรมเทศนานี้เป็นธรรมเทศนาพิเศษ ปรารภเหตุคือการบำเพ็ญกุศลวิสาขบูชา การแสดงนั้น จึงมุ่งหมายที่จะขยายใจความของวิสาขบูชาและสิ่งอื่นๆ ที่เนื่องกันอยู่กับวิสาขบูชา โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือการประสูติ ตรัสรู้และปรินิพพาน
ธรรมเทศนาอนุวัฒน์แก่กาลสมัยเช่นนี้มีมาทุกปี บัดนี้ก็มาถึงกับอีก เป็นธรรมเทศนาที่เนื่องด้วยเหตุการณ์อันสำคัญ ๓ ประการนั้น คือ การประสูติ ตรัสรู้และปรินิพพานดังที่กล่าวแล้ว
ในเหตุการณ์ทั้ง ๓ นี้ มีใจความสำคัญอยู่ที่ การตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ถ้าการประสูติแห่งพระองค์ไม่ได้ประสูติเพื่อการตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว การประสูตินั้นก็ไม่มีความหมาย และคำว่าปรินิพพานนั้นมีขึ้นมาได้ก็ เพราะการตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณนั่นเอง ดังนั้นขอสังเกตดูให้ดีว่าใน ๓ อย่างนั้นมีความสำคัญอย่างที่ ๒ ที่อยู่ตรงกลาง คือการตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณนั่นเอง นี้, เป็นการชี้ให้เห็นความสำคัญแก่การตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ในเมื่อกล่าวกันตามโวหารธรรมดาสามัญ แต่ถ้าจะกล่าวกันในลักษณะพิเศษโดยโวหารพิเศษแล้วก็อาจจะกล่าวได้เลยว่าทั้ง ๓ อย่างนั้นเป็นอันเดียวกัน คือการประสูติถือว่าเป็นการอุบัติขึ้นแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ต้องมีในขณะที่ตรัสรู้นั่นเอง คือมีความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเต็มที่ที่ตรงนั้น นี้ว่าการเกิดแห่งพระพุทธเจ้าก็มีที่ตรงนั้น เมื่อในการตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณทำให้กิเลสสิ้นไป ทำการตรัสรู้ให้ปรากฏขึ้นนั้น มันก็เป็นการปรินิพพานของกิเลส เพราะว่าพระพุทธองค์ตรัสรู้ถึงที่สุดทำให้กิเลสสิ้นไปโดยไม่มีส่วนเหลือ ข้อที่กิเลสสิ้นไปไม่มีส่วนเหลือ มีเวทนาอันเย็นสนิทไม่เร่าร้อนอีกต่อไปนี้ โดยพระบาลีก็เรียกว่า “อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ” คือการนิพพานอันไม่มีส่วนเหลือและดับเย็นสนิทถึงที่สุด
ถ้ามองกันดู, ถ้ามองดูกันโดยนัยนี้ทั้ง ๓ สิ่งนี้ก็กลายเป็นสิ่งเดียวกัน และก็มีความสำคัญ มีความหมายสำคัญก็อยู่ที่การตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ดังนั้นจะมองกันในแง่ไหน คือในลักษณะที่ตื้นหรือลึกก็ตามใจ ความสำคัญก็อยู่ที่การตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ซึ่งเป็นสิ่งที่มีประโยชน์แก่โลกหรือสัตว์ทั้งปวง สำหรับพระองค์เองนั้นก็ไม่...ไม่มีความสำคัญอะไร เพราะว่าพระองค์มีพระประสงค์ที่จะช่วยโลกมากกว่า ถ้าไม่ประสงค์จะช่วยโลกก็ไม่ต้องขวนขวายจนถึงกับเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้บรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ คือ ขวนขวายเพียงให้กิเลสสิ้นไปอย่างพระอรหันต์ทั้งหลายก็พอแล้ว
ความเป็นพระพุทธเจ้าจึงมีความหมายสำคัญอยู่ที่ การที่จะช่วยสัตว์โลกทั้งหลายให้พ้นทุกข์ นี้พวกเรา, คือสัตว์โลกได้รับประโยชน์จากข้อนี้โดยตรง จึงได้ระลึกนึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ และได้ชักชวนกันมากระทำพิธีวิสาขบูชา อาตมาก็ได้พยายามอย่างสุดความสามารถ ที่จะให้ท่านทั้งหลายได้รับประโยชน์เนื่องจากการประกอบพิธีวิสาขบูชานี้ ประโยชน์ที่กล่าวนั้นก็มีอยู่หลายอย่างต่างๆ กัน ส่วนใหญ่ก็มักจะมุ่งหมายประโยชน์ในการรู้ การเข้าใจ เห็นแจ้งในธรรมนั้นยิ่งๆ ขึ้นไปแล้วก็เกี่ยวกับพระพุทธองค์ด้วย
โดยเฉพาะในวันนี้มุ่งหมายจะให้เข้าใจคำว่า “อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ” ถ้ากล่าวอย่างธรรมดาสามัญก็พูดได้ว่า จะบอกให้ทราบว่าอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณนั้นเป็นอย่างไร และความเป็นอย่างนั้นมันเกี่ยวข้องมาถึงพวกเราทั้งหลายเหล่านี้หรือหาไม่ ถ้าเกี่ยวข้องจะเกี่ยวกันอย่างไร ขอให้ตั้งใจฟังสักหน่อย บางทีจะรู้สึกขึ้นมาได้เองว่าพวกเราก็มีหน้าที่อย่างเดียวกัน คือพยายามที่จะทำให้เกิดโพธิญาณ หรืออะไรทำนองนั้นตามสมควรแก่ฐานะของตน สิ่งที่ท่านทั้งหลายจะพึงสังเกตก็คือ คำสำคัญคำหนึ่งได้แก่คำว่า โพธิ พระพุทธเจ้าได้ตรัสถึงการตรัสรู้ของพระองค์โดยบทพระบาลีว่า “อะนุตตะรัง สัมมาสัมโพธิง อะภิสัมพุทโธ”
คำว่า “อนุตตระสัมมาสัมโพธิ” นี่แหละเป็นคำสำคัญที่เราจะต้องวินิจฉัยกันดูให้เป็นที่เข้าใจ ทำไมพระองค์จะต้องตรัสถึงพระองค์เองว่า “อะนุตตะระ สัมมาสัมโพธิง อะภิสัมพุทโธ ปัจจัญญาสิง” เป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งสัมโพธิโดยชอบอันไม่มีอะไรอื่นยิ่งกว่า ทำไมไม่ตรัสแต่เพียงว่า โพธิ เฉยๆ คือตรัสแต่เพียงว่ารู้พร้อมเฉพาะซึ่ง โพธิ นี่ใจความสำคัญอยู่ที่ตรงนี้ เพราะว่า โพธิ เฉยๆ นั้น ไม่ใช่สิ่งที่สูงสุด เป็นสิ่งที่ธรรมดาสามัญที่สุดซึ่งสัตว์ทั้งหลายก็มีอยู่โดยธรรมชาติหรือโดยสัญชาติ เมื่อพูดอย่างนี้บางคนจะรู้สึกสะดุ้ง หรือแปลกประหลาดถึงกับว่า ทำไมจึงพูดในลักษณะที่มันเหมือนกับว่าดูถูกดูหมิ่นอย่างนี้ แต่ที่จริงนั้นไม่ได้เป็นการพูดดูถูกดูหมิ่นสิ่งที่เรียกว่า โพธิ
อยากจะบอกให้ทราบว่า โพธิ เฉยๆ นั่นมันเป็นเหมือนกับว่า ธาตุ ธา-ตุ อย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น มโนธาตุวิญญาณธาตุ เป็นต้น “โพธิ” ที่เป็นเพียงธาตุมีอยู่ตามธรรมชาติเป็นสัญชาตญาณของสัตว์ทั่วๆ ไป มันจึงยังไม่มีความสำคัญอะไร แต่ โพธิ นี้ต้องถูกกระทำให้กลายเป็น “สัมโพธิ” ขึ้นมาเสียก่อน และยิ่งไปกว่านั้นอีกจะต้องถูกกระทำให้เป็น “สัมมาสัมโพธิ” ขึ้นไปอีกชั้นหนึ่ง และยิ่งไปกว่านั้นอีกก็จะต้องถูกกระทำให้เป็น “อะนุตตะระสัมมาสัมโพธิ” ขึ้นมาอีกชั้นหนึ่งจึงจะถึงขั้นสุดท้าย เพียงแต่เป็น โพธิ เฉยๆ นี้ยังใช้ไม่ได้ ยังไว้ใจไม่ได้ เพราะเป็นแต่เพียงธาตุรู้เท่านั้นเอง เช่น มโนธาตุ วิญญาณธาตุ เป็นแต่เพียงธาตุรู้ ไม่รับประกันได้ว่าจะรู้ถูกเสมอไป คือมันรวมทั้งรู้ถูกและรู้ผิดและก็เรียกว่าธาตุรู้ ผู้ที่เคยศึกษาและเข้าใจคำว่า มโนธาตุมาแต่ก่อนแล้ว ย่อมเข้าใจได้ คือคำว่ามโนธาตุนี่มันเป็นเพียงธาตุรู้ มันรู้ผิดก็เรียกว่ามโนธาตุ จะรู้ถูกก็เรียกว่ามโนธาตุ มันเป็นธาตุสำหรับทำหน้าที่รู้อย่างนี้คือ โพธิ ตามธรรมดา หรือวิญญาณธาตุก็มีหน้าที่ที่จะรู้เท่าที่จำเป็นจะใช้ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และเลยไปถึงใจ เมื่อไปถึงใจนี้ก็จะพัฒนากันต่อไป จึงให้รู้สิ่งที่เป็นตัวธรรมะ
ดังนั้น สิ่งที่จะต้องพูดกันให้ชัดเจนก็คือสิ่งที่เรียกว่า” โพธิ” เป็นสักว่าธาตุตามธรรมชาติมีหน้าที่รู้ รู้ผิดก็ได้ รู้ถูกก็ได้ เราจึงต้องทำการปรับปรุงหรือพัฒนาหรือทำให้เจริญเต็มที่ ให้มันกลายเป็น “สัมโพธิ” ก่อนแล้วเป็น “สัมมาสัมโพธิ” ขึ้นมา เป็น “อะนุตตะระสัมมาสัมโพธิ” ขึ้นมาตามอย่างพระพุทธเจ้า แต่เราคงทำไม่ได้ถึงขนาดนั้นและเพราะว่ามันไม่จำเป็นที่จะต้องทำถึงขนาดนั้นเดี๋ยวก็จะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไป ก็เอาแต่เพียงว่าเป็น สัมโพธิ ก็พอแล้ว คนทั่วๆ ไปทุกคนทำภาวนาคือทำให้เจริญยิ่งขึ้นซึ่ง โพธิ นั้นจนกลายเป็น สัมโพธิ
ในวันนี้เป็นวันที่เป็นที่ระลึกแก่การบรรลุ “อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ” ที่จริงที่คำว่า ญาณ นี่เติมเข้ามา ในบาลีไม่มี เป็นการบรรลุ “อะนุตตะระสัมมาสัมโพธิ” ก็แล้วกัน ทีนี้ เราจึงเอาคำว่า โพธิ หรือเรื่อง โพธิ นี่มาพูดให้เป็นที่เข้าใจแจ่มแจ้ง แล้วจะเลยลงมาถึงประโยชน์อันสูงสุด คือให้ท่านทั้งหลายรู้จักสิ่งที่เรียกว่า โพธิ แล้วก็พัฒนาให้ โพธิ นั้นเจริญยิ่งๆ ขึ้นไปจนเป็น สัมโพธิ ก็จะพอแล้วสำหรับเรา หรือมันจะขึ้นไปถึง สัมมาสัมโพธิ ก็ไม่เสียหายอะไร มีแต่จะยิ่งดีขึ้นไป
เอาล่ะ เป็นอันว่าจะอธิบายกันถึงคำว่า โพธิ เพียงคำเดียวก่อน ว่าสิ่งนี้มีอยู่ตามธรรมชาติในสิ่งที่มีชีวิต ถ้าว่ากันให้ถูกแล้วก็จะต้องเรียกมันว่า “เชื้อแห่งความรู้” หรือ “เชื้อแห่งความเป็นพุทธะ” นี่เรียกว่า โพธิ สิ่งที่มีชีวิตทั้งหลายจะต้องมี โพธิ ในระดับนี้ทั้งนั้นนะ ฟังดูให้ดีๆ ว่าในระดับนี้เท่านั้นและทั้งนั้น คือระดับที่เป็นสัญชาตญาณคือรู้อะไรได้ รู้ที่ควรจำเป็นจะต้องรู้ สิ่งที่มีชีวิตจะต้องมีธาตุแห่ง โพธิ ประกอบกันอยู่กับชีวิตนั้น มิฉะนั้นมันจะไม่มีความรู้ในการที่จะเอาตัวรอด แม้ที่สุดแต่สัตว์เดรัจฉานก็มี เชื้อแห่งพุทธะ หรือ โพธิ นี้ในระดับของสัตว์เดรัจฉาน นั้น ความรู้จึงเกิดขึ้นแก่สัตว์เดรัจฉานในลักษณะที่มันจะเอาตัวรอดได้ ให้รอดชีวิตมาได้โดยที่มันไม่ต้องตาย แม้ความรู้นี้เป็นไปได้ในระดับของสัญชาตญาณคือเป็นไปได้เอง เป็นไปได้โดยง่าย แล้วถ่ายทอดกันมาจากบิดามารดาได้ เพราะฉะนั้นเราจึงเห็นสัตว์เดรัจฉานทั้งหลายมันก็มีความรู้เท่าที่มันควรจะรู้ มันจะกินอาหารอย่างไร เมื่อเจ็บไข้ขึ้นมาจะต้องทำอย่างไร กระทั่งรู้สืบพันธุ์ กระทั่งรู้เลี้ยงลูก กระทั่งรู้ไปจนกว่ามันจะตายตามที่มันควรจะรู้ นี่เรียกว่า โพธิแห่งในระดับสัญชาตญาณ เป็นธาตุชนิดหนึ่งซึ่งจะต้องมีและจะประกอบกันอยู่กับสิ่งที่เรียกว่ามีชีวิต แต่ว่าเพียงระดับนี้มันยังเอาตัวรอดจากกิเลสไม่ได้ ยังจะเอาตัวรอดได้ก็เพียงว่าไม่ต้องตาย เพียงแต่ว่าไม่ต้องตาย เป็นการรอดแต่ทางกาย นี้ สัตว์เดรัจฉานต้องการแต่เพียงรอดทางกายก็พอแล้ว ส่วนมนุษย์นั้นรอดกันแต่ทางกายไม่ได้ มันไม่เป็นมนุษย์ มันต้องรอดจากความชั่ว รอดจากความทุกข์ที่สูงขึ้นมาจนถึงระดับของมนุษย์ ฉะนั้นมนุษย์จึงมีหน้าที่ที่จะต้องพัฒนาให้ โพธิธาตุ นี้ให้มันสูงขึ้นไปจนสมควรแก่ความเป็นมนุษย์ และสมควรแก่ความเป็นมนุษย์ในระดับสุดท้ายตอนยอดสุดของความเป็นมนุษย์คือความเป็นพระอรหันต์ เราจะต้องเอา โพธิ นั้นมาพัฒนาๆ ให้มันเป็น โพธิ ที่เป็น สัมมา ให้จนได้ เพราะความรู้ที่เป็นไปเพื่อเอาตัวรอดได้นั้นเป็นบาปเป็นอกุศลก็มี ทว่าโดยแท้จริงแล้วตัวธรรมชาติแท้ๆ ไม่มีกุศล ไม่มีอกุศล มนุษย์บัญญัติไอ้ส่วนที่น่าพอใจว่า “กุศล” ส่วนที่ไม่น่าพอใจว่า “อกุศล” ในหมู่มนุษย์จึงจำเป็นที่จะต้องมีส่วนที่เป็นกุศลตามที่มนุษย์เข้าใจและพอใจ ฉะนั้นจึงต้องกีดกันไอ้ความรู้ประเภทอกุศลนั้นออกไป ให้เหลือแต่ส่วนที่มนุษย์เรียกกันว่ากุศล จะยกตัวอย่างสุนัขสักตัวหนึ่ง มันมีธาตุแห่ง โพธิ ติดมาโดยกำเนิดในสันดานของมัน มันก็รู้เมื่อมันหิว มันก็ต้องดิ้นรนจะหากินให้ได้ การหากินให้ได้บนความถูกต้องของ โพธิ แล้ว จะขโมยหรือว่าจะไม่ขโมยก็สุดแท้ ถ้าว่า ถ้าสุนัขได้อาหารมากินมันก็เป็นสิ่งที่เพียงพอแล้วสำหรับ โพธิ ในระดับนั้น นี่ขึ้นมาถึงคนจะทำอย่างไร มี โพธิ เพียงแต่จะไปขโมยมากินอันนี้มันไม่ได้ มันอยู่ในสังคมนี้ไม่ได้ มันต้องมี โพธิ ที่จะหามากินโดยที่ไม่ต้องขโมย จึงเกิดแยกออกจากกันเป็นสองฝ่าย คือฝ่ายที่เป็นกุศลหรือเป็นอกุศล ที่เรียกว่าธรรมะหรืออธรรมก็ได้ เราจึงระวังความรู้ของเราคือ โพธิ นั้นให้เจริญมาโดยถูกทางในระดับของกุศลเรื่อยๆ ไปจนกว่าจะถึงระดับสูงสุดพ้นเหนือกุศลนั้นไปอีกทีหนึ่งซึ่งจะเป็นโลกุตตระ นี้ โพธิ ที่เป็นอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณก็ขึ้นมาถึงนี้ เดี๋ยวนี้เอากันที่ว่าจะต้องต่อสู้กันอย่างไร เราจะต้องต่อสู้กับจิต จะควบคุมจิตอย่างไรจึงจะให้ โพธิ นั้นเจริญยิ่งๆ ขึ้นไปจนกว่าจะถึงที่สุด
ถ้าจะกล่าวกันอย่างลัดๆ สั้นๆ โดยเร็วก็จะเรียงลำดับให้ฟัง ขอให้ตั้งใจฟังเป็นพิเศษสักหน่อย เพราะว่ามันเข้าใจไม่ง่ายนัก เริ่มต้นตั้งแต่ โพธิ ตามธรรมชาติ ตามสัญชาติของสิ่งที่มีชีวิต มันก็รู้เพียงว่าเอาชีวิตรอด ไม่รู้เรื่องดี เรื่องชั่ว เรื่องบุญ เรื่องบาป เรื่องอกุศล มันรู้แต่เพียงเอาชีวิตรอด มันก็รู้ยิ่งขึ้นไปสำหรับจะเอาชีวิตรอดอย่างไร จึงมารู้ถูกว่าไอ้อกุศลนั้นไม่ไหว อย่างสุนัขตัวหนึ่งถ้าไปขโมยเขากิน เขาตีเอา แล้วมันก็ค่อยรู้ขึ้นมาเองว่าขโมยนี้ไม่ดี สู้ขอกินหรือไปทำดีให้เขาให้กินดีกว่าไปขโมย นี่ โพธิ สำหรับเอาชีวิตรอด มันจึงเจริญขึ้นมาและต่อมามันก็มีผลคือได้กินโดยที่ไม่ต้องขโมย มันก็เลยเป็น โพธิ ที่สูงขึ้นมาสำหรับสุนัขตัวนั้น เมื่อมี โพธิ ในการที่จะกินให้ดี เสวยผลนั้นให้ดี นี่มันจะหมดเรื่องของสุนัขแล้ว มันจะต้องสูงขึ้นไปเป็นเรื่องของคนเช่นว่าไม่หลงใหลในการเสวยผล ชั้นแรกก็เดินมาเหมือนกัน แต่มาแยกทางเดินกันว่าไม่หลงใหลในการเสวยผล กระทั่ง โพธิ นั้นพัฒนาสูงขึ้นไปจนถึงกับรู้เรื่อง “ไม่มีตัว ไม่มีตน” กระทั่งรู้ว่ามันมีว่างจากตัวตน และก็รู้ว่างว่าเป็นอย่างไร และก็มีชีวิตอยู่ด้วยความว่างเช่นที่เรียกกันว่า “สุญญตาวิหาร” เป็นต้น มันก็จบกัน
ทีนี้ จะพูดถึงคนดีกว่า ไม่เอาคนมาต่อท้ายให้สุนัข ที่ว่าคนเกิดมามี โพธิ ติดมาแต่ในสัญชาตญาณมันก็รู้จักเอาชีวิตรอด อย่างน้อยมันก็รู้จักดูดนมแม่ ใครสอนให้มัน เอ้า,มันเกิดมาพอเวลาอันสมควรไม่กี่ชั่วโมงมันก็รู้จักดูดนมแม่เหมือนกับลูกสุนัขเหมือนกัน แล้วรู้จักทำอะไรมากมายอีกหลายอย่างเพื่อให้ชีวิตรอด ในชั้นแรก มันก็ทำผิดๆ ไม่เหมาะ ไม่สม ไม่สมควร แม่เขาก็ช่วยสอนให้ดัดแปลงให้ในเรื่องดูดนมก็ดี กินข้าวก็ดี อะไรก็ดี โพธิ มันก็เจริญๆ ขึ้นคือสูงขึ้นมากขึ้น จนรู้จักทำให้มันถูกต้องสำหรับที่จะมีความรอดและอยู่กันผาสุก ก็รู้จักเสวยผลแห่งความดียิ่งๆ ขึ้นไปนี่ มันก็โตขึ้นมาเรื่อยๆ จนเป็นหนุ่มเป็นสาวเป็นผู้ใหญ่แล้ว มันก็ยิ่งรู้มากขึ้นมาเรื่อยว่ามีผลอย่างไร เสวยผลอย่างไร แต่ถ้าไม่หยุดเพียงเท่านั้น ไอ้ความรู้เพียงเท่านั้นมันก็เลยไปถึงกับว่ารู้ธรรมะ เรื่อง “อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา” เรื่อง “ปัญญาวิมุตติ-เจโตวิมุตติ” ปัญญาวิมุตติ เป็นต้น เกี่ยวกับจิตใจของเขา เขาจึงมีความรู้ขนาดที่จะไม่หลงใหลในสิ่งต่างๆ กระทั่งรู้ว่ามันไม่มีตัวตนในสิ่งใด ที่จะไม่มีอะไรสิ่งใดที่มีความหมายที่ควรจะยึดถือว่าเป็นตัวตนหรือเป็นของตน โพธิ นั้นก็พัฒนาสูงกันไปตามลำดับจนกระทั่งรู้ความว่าง นี้ อยู่ด้วยความว่าง ไม่มีการยึดมั่นถือมั่นอะไร นี่คือแนวสายที่ โพธิ จะเจริญ จะเป็นไปในลักษณะที่เรียกว่าพัฒนา พัฒนาจาก “โพธิ” เฉยๆ มาเป็น สัมโพธิ พัฒนาจาก “สัมโพธิ” มาเป็น “สัมมาสัมโพธิ” ถ้ายังพัฒนาต่อไปอีกมันก็จะต้องเป็น “อะนุตตะระสัมมาสัมโพธิ” จาก โพธิ ล้วนๆ นี้ไปเป็น “อะนุตตะระสัมมาสัมโพธิ”
พระพุทธเจ้าประสบความสำเร็จด้วยพระองค์เองเป็นคนแรกในการพัฒนา โพธิ จนเป็น อะนุตตะระสัมมาสัมโพธิ ตลอดเวลาเหล่านั้นก็เรียกพระองค์เองว่า “โพธิสัตว์”
“โพธิสัตว์” ตามภาษาบาลีก็ต้องแปลว่า สัตว์เพื่อโพธิ หรือว่าสัตว์โดยโพธิ หรือว่าสัตว์ที่กำลังพัฒนาโพธิ นี้เป็นส่วนสำคัญ เป็นความหมายที่สำคัญ ขอให้แปล โพธิสัตว์ ว่าให้แปลคำว่า โพธิสัตว์ ว่าสัตว์ที่กำลังพัฒนา โพธิ จึงจะถูกตรงตามหลักพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทเรา ฝ่ายมหายานเขาให้ความหมายแก่คำว่า โพธิสัตว์ เป็นอย่างอื่นซึ่งน่าฟังเหมือนกัน และมีประโยชน์เหมือนกัน แต่ว่าเราไม่ใช่ มหายาน นะเราจึงพูดไปตามเถรวาทตามพระคัมภีร์ของฝ่ายเถรวาท ก็มองเห็นได้ว่า โพธิสัตว์ นี้มีคำแปลที่ถูกต้องว่า “สัตว์ที่กำลังพัฒนา โพธิ จนกว่าจะเป็น สัมมาสัมโพธิ เป็น อะนุตตะระสัมมาสัมโพธิ”
อาตมาจึงบอกให้ทุกคนภาคภูมิใจว่าเราทุกคน ทุกคนสักว่าคลอดมาแล้ว มีชีวิตรอดอยู่แล้ว เป็น โพธิสัตว์ ด้วยกันทุกคน คนที่มันยึดมั่นในความรู้ของมันเอง ติดตำรามาแต่อ้อนแต่ออก มันจะไม่ยอมเชื่อที่อาตมาได้พูดว่าทุกคนเป็น โพธิสัตว์ อยู่แล้ว แต่มันโง่ไปเองไม่เห็นว่าตนเองเป็น โพธิสัตว์ อยู่แล้ว มันก็ไม่กล้ามีความคิดหรือว่าแผนการชนิดที่จะพัฒนา โพธิ ของตนให้ขึ้นไปในระดับสูงจนเป็น สัมมาสัมโพธิ ไม่รู้จักความที่ตนเป็น โพธิสัตว์ พยายามเพื่อจะให้ โพธิ นั้นสมบูรณ์ ขอให้ฟังดูให้ดีคิดดูให้ดีว่านี่เป็นเรื่องหลอกกันเล่นมีเหตุผลหรือไม่ ถ้าเป็นเรื่องมีเหตุผลมันก็ไม่ใช่หลอกกันเล่น
ถ้าจะเชื่อพระคัมภีร์ก็ยิ่งง่ายขึ้นไปอีกซึ่งมีอยู่ว่า พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นนก เป็นปลา เป็นสุนัข เป็นงู เป็นอะไรก็มี พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นสัตว์เดรัจฉาน เมื่อสัตว์เดรัจฉานเป็น โพธิสัตว์ ได้แล้วทำไมคนจะเป็นโพธิสัตว์ไม่ได้ เมื่อสัตว์เดรัจฉานก็พัฒนา โพธิ ของมันได้ ฉะนั้นคนก็ต้องพัฒนา โพธิ ของตนได้ งั้นก็ถือเสียว่าทุกคนนั้นเป็นโพธิสัตว์ กำลังพัฒนา โพธิ ของตน ถ้าจะเชื่อคำเก่าๆ ว่าต้องพัฒนากันเป็นหลายหมื่นชาติ แสนชาติ อสงไขยชาติ ก็นับชาติทางจิตใจนี่ จิตใจยึดมั่นถือมั่นเป็นตัวกูครั้งหนึ่งก็นับชาติหนึ่งก็แล้วกัน วันหนึ่งก็เกิดกันหลายสิบชาติ เดือนหนึ่งปีหนึ่งก็หลายร้อย หลายพัน หลายหมื่น หลายแสนชาติ หลายปีกว่าจะตายมันก็หลายแสนชาติ หลายโกฏิชาติ ถ้ามีเวลาพอที่จะพัฒนาๆๆ ให้ โพธิ นี้ถึงระดับที่เรียกว่าเอาตัวรอดได้ทางจิตใจก่อนแต่ที่ร่างกายมันจะเน่าเข้าโลงไป การกระทำอย่างนี้จะไม่ให้เรียกว่า โพธิสัตว์ หรืออย่างไรสติปัญญาเท่าที่อาตมามีศึกษาค้นคว้ามาหลายสิบปี มันมองเห็นอย่างนี้ มันก็ช่วยไม่ได้ ที่จะไม่เอามาบอกท่านทั้งหลายว่าทุกคนเป็น โพธิสัตว์ อยู่ในระดับใดระดับหนึ่ง อย่ามัวโง่ไปเลยมันจะเสียสิ่งที่มีค่า สิ่งที่มีค่านี้จะไม่มีประโยชน์อะไร สำหรับคนที่มัวโง่ว่าตนเองไม่ใช่โพธิสัตว์ ขอให้เป็นโพธิสัตว์โง่ก็ยังดีกว่าที่ไม่เป็นเสียเลย พัฒนา โพธิ ไปอย่างช้าๆๆๆ เหมือนโพธิสัตว์โง่นี้ก็ยังดีกว่าที่ไม่เป็นเสียเลย มันมีหวังที่จะสมบูรณ์ได้สักวันหนึ่ง ฉะนั้นขอให้ทุกคนถือเป็นหลักในเบื้องต้นก่อนว่า ไอ้ โพธิ นี้เป็นธาตุตามธรรมชาติและมีอยู่ในสิ่งที่มีชีวิต แล้วสิ่งที่มีชีวิตนั้นจะต้องพัฒนา โพธิ นี้ให้เจริญขึ้นไปตามลำดับ นับตั้งแต่ระดับสูงกว่าสัตว์เดรัจฉานและมาเป็นมนุษย์หรือเป็นมนุษย์ที่มี โพธิ เบิกบานเจริญรุ่งเรืองยิ่งๆ ขึ้นไปโดยนัย ที่กล่าวมาแล้ว มันจะเป็นผลดี มันจะมีประโยชน์ตรงที่ว่ามันจะทำให้เร็วเข้าในการที่จะมีจิตหรือ โพธิจิต พัฒนาได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว
อาตมายังข้องใจในข้อนี้อยู่ว่า ท่านทั้งหลายจะไม่เข้าใจข้อความที่กล่าวนี้ จึงขอกล่าวย้ำ กล่าวซ้ำหรือซ้ำๆ ซากๆ ว่าให้พยายามเข้าใจว่า โพธิ นี้มันพัฒนาได้อย่างนี้ และเราก็มี โพธิ เหมือนกับเมล็ดพืชแห่งพุทธะที่จะต้องพัฒนากันเรื่อยๆ ไป ขอย้ำใหม่อีกครั้งหนึ่งว่า โพธิ นี้แปลว่า ธาตุแห่งความรู้มีในสิ่งที่มีชีวิต ความรู้นี้มันเป็นไปตามธรรมชาติ ไม่ได้มีเจตนาจะดี จะชั่ว จะผิด จะถูก แต่แล้วมันก็เป็นไปในลักษณะนั้น สำหรับคนจะมาบัญญัติกันทีหลังว่า นี่ อย่างนี้เรียกว่าดี อย่างนี้เรียกว่าชั่ว อย่างนี้เรียกว่าผิด อย่างนี้เรียกว่าถูก
จะยกตัวอย่าง โพธิ ที่จะขึ้นมาตามลำดับ และยังไม่ควรจะถูกบัญญัติลงไปอย่างใดอย่างหนึ่งโดยส่วนเดียว เด็กคนหนึ่งเขาทำแก้วแตก เด็กตัวเล็กๆ นะ เล็กมากนะมันทำแก้วแตก ก็เฉพาะเด็กคนนั้น โพธิ ของเขาก็หาหนทางที่จะช่วยตัวเองให้รอด ไม่ให้ถูกผู้ใหญ่ดุก็เลยไม่ให้ใครรู้ไม่ให้ใครเห็น เอาแก้วที่แตกนี้ไปซ่อนเสียให้มิดเพื่อให้เรื่องมันจบกันไป ไอ้คนโตๆ ผู้ใหญ่คนโตๆ แล้วก็จะมองเห็นทันทีว่าไอ้นี้มันทำชั่วควรจะลงโทษ จับได้ก็ลงโทษ แต่หารู้ไม่ว่าไอ้เด็กนั้นมันยังเด็กนัก โพธิ ของมันยังไม่เจริญ มันไม่รู้ดีรู้ชั่ว มันรู้แต่ว่าทำอย่างไรเราจะไม่ถูกลงโทษมันจึงทำอย่างนั้น ก็ถ้าเขาทำดีที่สุดแล้วสำหรับ โพธิ ในระดับแรกระดับเด็กอมมือนั้นก็ต้องทำ(ไม่)ให้ตนเองถูกลงโทษจึงเอาแก้วไปซ่อนเสียอย่าให้ใครรู้เรื่อง แต่ถ้าผู้ใหญ่นี้รู้เรื่อง รู้จักความผิด ถูก ชั่ว ดี ดีแล้วทำอย่างนั้นมันจึงไม่ได้ มันจะถูกประณามว่าทำบาปทำชั่วเป็นคนคดโกง ถ้าเด็กๆ อมมือมันทำ มันก็กลายเป็นเรื่องของ โพธิ ล้วนๆ ตามสัญชาตญาณว่าทำอย่างนั้นจะรอดได้จากการถูกดุถูกว่า
เด็กคนหนึ่งเขาทำผิด ได้ไปเที่ยวเสียจนค่ำมืด แล้วผู้ใหญ่ก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เป็นห่วงว่ามันจะเป็นอันตรายที่ไหนก็ไม่รู้ ทีนี้ เด็กคนนี้ก็รู้สึกตัวว่าทำผิดแล้ว จะทำอย่างไรที่จะเอาตัวรอดได้ มันก็แอบมาซ่อนอยู่ข้างบันไดนั่นเอง มาไม่ให้เห็นแล้วก็มาซ่อนอยู่ข้างบันได พอผู้ใหญ่เขาจับได้ก็บอกว่า “ฉันอยู่ที่นี่ ไม่ได้ไปเที่ยวที่ไหน” นี่คือโกหกชัดๆ เห็นมั้ย แต่มันโกหกไปตามอำนาจของ โพธิ คือความรู้หรือปัญญาในระดับนั้นที่จะเอาตัวรอดได้ แต่แล้วก็ไม่วายถูกตี เพราะว่า โพธิ เพียงเท่านี้มันช่วยไม่ได้ มันทำให้ผู้ใหญ่ลำบากปวดหัวก็เลยถูกตี โพธิ เพียงเท่านี้มันช่วยไม่ได้ มันต้องถูกตี แต่ลองคิดดูเถิดว่า ไอ้เด็กคนนี้กับเด็กที่มันโง่ขนาดที่ไม่รู้จักคิดนึกเสียเลยนั้นอันไหนมันจะสูงกว่ากัน ถ้าเด็กคนหนึ่งมันโง่ไม่รู้จักทำอะไรที่เป็นการปลดเรื่องความผิดนี้ได้ก็ต้องถือว่าเขาเป็นคนโง่ สู้เด็กที่ฉลาด ฉลาดโกงนี้ไม่ได้ แต่ต่อมาถ้าเด็กคนนี้มันฉลาดโกงเรื่อยไปๆ นี้มันจะถึงเข้าสักวันหนึ่งซึ่งจะทำไม่ได้ มันจะต้องเปลี่ยน จะต้องเปลี่ยนเป็นไม่โกง ไปใช้ โพธิ ในรูปอื่นที่ไม่โกง ไม่โกหก ไม่ตลบตะแลงกันอย่างนี้
สรุปความว่า ไอ้โพธิ ในชั้นต้นๆ นั้นมันไม่มีความรู้เรื่องดี เรื่องชั่ว รู้แต่ว่าจะถูกเฆี่ยนหรือไม่ถูกเฆี่ยน ถ้าทำอย่างไรจะไม่ถูกเฆี่ยนก็ทำอย่างนั้นไว้ทีก่อน นี่, เรียกว่ารู้จักเอาตัวรอดในระดับแรกตามสัญชาตญาณของ โพธิ อย่าเพิ่งประณามว่าเขาเป็นผู้ร้ายโดยกำเนิด ก็ช่วยกันอบรมเด็กๆ เหล่านี้ให้มีความเข้าใจถูกต้อง ที่ว่าทำจานแตกแล้วไม่ต้องรีบเอาไปซ่อน หรือว่าทำอะไรผิดอย่างนี้แล้วก็ต้องไม่ซ่อน ซ่อนเงื่อนซ่อนรอยให้ผู้ใหญ่ปวดหัวมากขึ้น แล้วก็จะถูกตีมากขึ้น เมื่อได้รับการอบรมหลายๆ หนเข้าหรือผ่านมาด้วยความรู้สึกของตนเองมากเข้า มันก็จะเปลี่ยนไปในทางที่ดีกว่า เช่นว่าทำจานแตกแล้วก็สารภาพ วิ่งพามาให้ดูว่ามันแตกอย่างนี้อย่างนี้ๆ ถูกตีก็เอา หรือว่าทำให้เขาลำบากเดือดร้อนแล้วก็สารภาพ เขาก็สงสารเขาก็ไม่ตีมาก เมื่อได้ความรู้มาอย่างนี้ก็หมายความว่า โพธิ มันเลื่อนชั้น โพธิ นั้นก็เป็นประโยชน์ที่จะเป็นไปในทางดี ตัวอย่างเพียงเท่านี้ก็คงจะพอทำให้ท่านทั้งหลายมองๆ ออกเห็นได้ ว่าในสิ่งที่เรียกว่า โพธิ นั้นมันเป็นแต่เพียงความรู้ เป็นสัญชาตญาณแห่งความรู้ ไม่รู้ว่าดี ว่าชั่ว ว่าผิด ว่าถูก เพราะมันยังไม่รู้ รู้แต่ว่าเอาตัวรอดได้แล้วก็เป็นดี นี่, สัญชาตญาณแห่ง โพธิ มันเป็นอย่างนี้
จะเป็นชั้นสัตว์เดรัจฉานเช่นสุนัขก็ดี เป็นสัตว์มนุษย์เช่นยังเด็กเล็กๆ อยู่ก็ดี ถ้าสูงขึ้นมาเป็นคนวัยหนุ่มรุ่นสาวหรือผู้ใหญ่ก็ดีมันจะต้องเปลี่ยนไป จากระดับที่มันไม่รู้ว่าอะไรชั่ว อะไรดี เอาแต่จะได้หรือเอาแต่จะรอด เช่นหิวก็เอาแต่จะให้ได้กิน ถ้าทำผิดก็กลัวเขาจะตี มันก็ต้องหาช่องทางที่จะไม่ให้ถูกตี เราจึงเห็นว่าเด็กบางคนฉลาด ใช้คำว่าฉลาดก่อน ฉลาดในการที่จะดื้อ ฉลาดในการที่จะเถียง พอเป็นหนักเข้ามันก็กลายเป็นไม่ฉลาดแล้ว เมื่อเล็กๆ ก็ดูคล้ายกับว่ามันฉลาดดี พอโตขึ้นขืนทำอย่างนั้นมันก็กลายเป็นคนอัปรีย์เป็นคนเลว ไอ้ความฉลาดก็ยกเลิกไป โตเป็นพระเป็นเณรแล้วก็มีโวหารฉลาด ที่จะประชดประชันบิดามารดา ครูบาอาจารย์ นี้ก็คือความฉลาดนะขอให้สังเกตดูให้ดี มันหล่อเลี้ยงไอ้ปมเขื่องของเขาไว้ได้ด้วยสัญชาตญาณอันนี้ก็เลยเป็นฉลาดที่ เฉโก ไม่ใช่เป็น ปัญญา แต่ถ้าเขาฉลาดไปในทางที่เรียกว่าไม่...ไม่เป็นอย่างนี้มันก็เป็นปัญญา แต่อย่าลืมว่าไอ้ฉลาดทั้ง ๒ ชนิดนี้มันตั้งต้นมาจาก โพธิ ที่ยังเป็นธรรมชาติและเป็นกลาง
โพธิ คือธาตุรู้ พอรู้แล้วก็รู้มากขึ้นก็เป็นความฉลาด จะฉลาดในกุศลหรือฉลาดในอกุศล โดยธรรมชาตินั้นไม่มีที่เป็นกุศลเป็นอกุศล แต่มนุษย์นี้มันจึงบัญญัติให้ว่าอย่างนี้เรียกว่ากุศล อย่างนี้เรียกว่าอกุศล และก็ชักจูงกันแต่ในทางที่จะให้ฉลาดฝ่ายกุศล อย่าไปฉลาดในฝ่ายอกุศลเลย เมื่อเด็กๆ เขาเชื่อ-เขาก็เปลี่ยน เมื่อเขาไม่เชื่อ เขาก็ไปเป็นอันธพาลหากินอย่างโจร อย่างผู้ร้าย อย่างอันธพาล อย่างโหดร้ายไปเลย เขาก็มีปัญญาที่เรียกว่า เฉโก ก็เป็น โพธิ ที่มีน้ำหนักมากเหมือนกัน แต่มันเป็นไปในฝ่าย เฉโก คือฝ่ายไม่ยอมรับไอ้เรื่องบัญญัติว่า ดี-ชั่ว บุญ-บาป กุศล-อกุศล ฯลฯ ก็แปลว่า โพธิ ของคนนั้นมันพัฒนาผิด แล้วมันก็ผิดไปเรื่อยๆ มันจะกลับตัวได้หรือไม่ก็ยังไม่แน่ แต่ว่าเดี๋ยวนี้มันกำลังผิด ผิดไปเรื่อยๆ
ขอให้ระวังคำว่า โพธิ มันเป็นกิเลสก็ได้ มันเป็นปัญญาก็ได้ “โพธิเฉโก” มันก็เป็นกิเลส “โพธิปัญญาแท้” มันก็เป็นปัญญาแท้ คือมันเป็นกุศลก็ได้ เป็นอกุศลก็ได้ ใน โพธิ นั่นแหละมีกิเลส ถ้ามันเป็นเพียง โพธิ ตามสัญชาตญาณ ยังไม่ได้รับการพัฒนาอะไร รู้สึกด้วยลำพังตัวเองว่ารอดก็แล้วกัน แต่ความรอดนั้นมีความหมายไม่ถูกต้อง มาพัฒนากันใหม่ให้มีความหมายที่ถูกต้อง เป็นรอดจากกิเลส รอดจากสังสารวัฏฏ์ เป็นพระนิพพานนั้นมันจึงจะถูกต้อง เมื่อๆ สิ่งที่เรียกว่า โพธิ นั้น มันมีเชื้อมาสำหรับรู้อย่างเดียว ผิดก็ได้ ถูกก็ได้ เราก็ต้องพัฒนาคือแยกเอาส่วนผิดหรือกิเลสนั้นออกไป คงไว้แต่ส่วนถูกหรือปัญญาให้มันมากยิ่งขึ้นทุกทีก็ได้แต่ส่วนที่เป็นประโยชน์ เป็นบุญ เป็นกุศล ส่วนที่เป็นกิเลสนั้นเททิ้งไป
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ความรู้สึกก็เกิดขึ้นกับอาตมาในลักษณะที่มีอุปมาที่แจ่มแจ้งขึ้นมาในใจ หลายๆ คนก็เคยเห็นแต่จะสังเกตหรือไม่ อาตมาก็เคยเห็นแต่ก็สังเกต มีพืชชนิดหนึ่งเขาเรียกกันว่า บุกไม้เท้า มีอยู่ตามริมทะเลแต่เดี๋ยวนี้จะหายหมดแล้วก็ได้ เพราะว่ามีแต่คนเอามาใช้ประโยชน์แล้วไม่มีใครปลูกเพิ่มเติม ไอ้บุกไม้เท้านี่เขาไปเอาหัวมา ในหัวนั้นนั่นแหละ มันมีทั้งส่วนที่เป็นพิษและส่วนที่เป็นประโยชน์ที่สุดคือเป็นแป้งชั้นดีที่สุดไม่มีแป้งไหนดีเท่า ทีนี้ เอาหัวมาทำอย่างไรที่จะแยกส่วนที่เป็นพิษออกไป และแยกเอาส่วนที่ดีที่สุดออกมา มันต้องเอาหัวบุกนี้มาฝนให้แหลก ให้ละเอียดที่สุด ให้ละลายน้ำได้ แล้วก็รินน้ำทิ้งไปๆ แต่กรองตะกอนอันละเอียดไว้ด้วยผ้าที่มันหนา ไอ้น้ำมันก็ละลายพิษร้ายสีแดงนั้นน่ะทิ้งไปๆ จนกระทั่งเหลือแต่แป้งสีขาวนิ่มนวลละเอียดมีประโยชน์ที่สุดเรียกกันว่า แป้งไม้เท้า มีขายมาจากเมืองจีนแพงมาก ที่จริงบ้านเราก็มี ไอ้หัวบุกนี้ถ้ากินเข้าไปดิบๆ มันก็มีส่วนที่เป็นพิษแล้วก็กัดปากให้เป็นแผลได้ทันที กินมากจะเป็นบิดและตายได้ แต่ถ้าแยกส่วนนั้นออกไปเสีย มันก็เหลือแต่แป้งที่มีราคาแพงมาก ขอให้ลองคิดดูว่า ในหัวบุกนั้นมันมีทั้งส่วนที่เป็นกุศลและอกุศล เราต้องแยกไอ้ที่เป็นอกุศลออกเสียด้วยวิธีเหมือนกับว่าไอ้หัวบุกนี้มันแยกกันอย่างนี้
ก็ขอพูดแทรกหน่อยพิเศษว่าจากการค้นคว้าหลายสิบปีนี้พบเพิ่มมากๆ ว่า ไอ้สูกรมัททวะ ที่พระพุทธเจ้าฉันที่บ้านนายจุนทะแล้วก็นิพพานนั้น การค้นคว้าหลังสุดพบว่าเป็นหัวใต้ดินชนิดนี้ หัวบุกนี่เอง มีรูปเรื่องที่เข้าๆ เรื่องกันดีคือฉันแล้วเป็นบิด พระพุทธเจ้าฉันแล้วก็เป็นบิด แล้วก็ได้สิ้นพระชนม์ไปด้วยโรคบิด หัวบุกทุกชนิดมันมีเชื้อที่กินเข้าไปแล้วทำลายลำไส้ ให้เลือดออกมาจากลำไส้ เดี๋ยวนี้ก็ยังมีเรียกอยู่ในอินเดีย ว่าสูกรกันดะ (นาทีที่ 50:23) นี้ เอาตัวอย่างของหัวบุกมาพูดว่าในนั้นมียางที่เป็นพิษทำลายลำไส้ให้พังได้ แต่ว่าในนั้นก็มีแป้งที่ดีที่มีค่ามากที่สุด โดยเอามาแยกออกเสียแล้วก็จะได้ หรือจะดูกันง่าย ๆ ที่หัวกลอยก็ได้ ลองเอาหัวกลอยมากินเข้าไปตรงๆ มันจะเกิดอะไรขึ้น แต่ถ้าเอาหัวกลอยมากระทำให้น้ำมันช่วยละลายชะล้างไอ้ส่วนที่เป็นพิษออกไปเหลือแต่ส่วนที่เป็นแป้งกินได้ หัวกลอยมันก็กินได้ มันต้องทำให้ดีๆ ให้ยางที่เป็นพิษนั้นหลุดออกไปจากชิ้นบางๆ ของหัวกลอยนั่นเราก็จะได้ส่วนที่เป็นกุศลคือใช้เป็นประโยชน์ได้
ทีนี้ ใน โพธิ นั้นก็เหมือนกัน มันเหมือนกับหัวบุกที่ยังเป็นหัวอยู่ ต้องแยกส่วนที่เป็นกิเลสออกไปเรื่อยๆ ส่วนที่ปัญญามันก็จะเหลือขึ้นมาเรื่อยเหลืออยู่เรื่อย แม้ชั้นแรกมันจะเป็น ปัญญาเฉโก ก็ยังดี ดีกว่าโง่ แต่แล้ว ปัญญาเฉโก ก็ถูกทำให้ละลายไปๆ จนเหลือแต่ที่เป็นปัญญาแท้ นี่ รีบแยกกิเลสออกจาก โพธิ และ โพธิ นั้นก็จะพัฒนาตัวเองกลายเป็น สัมโพธิ เป็น สัมมาสัมโพธิ ขึ้น แต่ถ้าไม่แยกออกยังเป็น โพธิ เท่าเดิมแล้วมันก็เป็นเหมือนกับหัวบุกที่ยังมีพิษรวมอยู่ด้วยกับแป้ง ระวังให้ดีมันจะเป็นอันตราย นี่ โพธิ เฉยๆ นั่นแหละอมเข้าไว้ทั้งส่วนที่เป็นอันตรายและส่วนที่เป็นประโยชน์ รีบแยกกิเลสออกไปเสียจากไอ้ โพธิ ที่เป็น โพธิพืช ธรรมชาติตามสัญชาตญาณ นี่ เราทุกคนมันมี โพธิพืชสัญชาตญาณ กันมาแล้ว แล้วจะแยกอย่างไรให้ส่วนที่เป็นไอ้พิษน่ะ ส่วนที่มันจะเป็นพิษซึ่งก็เป็นธรรมชาติเหมือนกันน่ะให้ค่อยน้อยลงไปๆ จนเหลือไอ้ส่วนที่เป็นประโยชน์อยู่มากขึ้นๆ อยู่ในจิตใจของบุคคลนั้น ใครทำอย่างนี้ก็เรียกคนนั้นว่ากำลังพัฒนา โพธิ และก็เรียกว่าทุกคนกำลังเป็น โพธิสัตว์ เพราะว่าเขากำลังพัฒนา โพธิ
ถ้าจะดูกันอีกหน่อยหนึ่ง ก็จะดูว่าเมื่อหัวบุกนี้ยังเริ่มตั้งต้นเป็นหัวเล็กๆ เป็นน้ำใสๆ อยู่ในนั้นเท่านั้น ไม่ถึงขนาดที่จะเป็นพิษได้แล้วก็ไม่ขนาดไม่ถึงขนาดที่จะมีแป้งเลย เมื่อหัวบุกยังอ่อนอยู่เล็กๆ เป็นน้ำใสๆ อยู่ในนั้น ที่เป็นพิษก็ยังไม่มี ที่เป็นแป้งก็ยังไม่มี แต่แล้วมันก็ค่อยเจริญงอกงามเป็นคู่กันขึ้นมาทั้งส่วนที่เป็นพิษและส่วนที่เป็นแป้งที่มีประโยชน์ นี่ ในจิตใจของคนที่มีเชื้อ โพธิ ตามธรรมชาติมามันก็ยังไม่เป็น เอ่อ ส่วนไหนที่จะเรียกว่ากุศลหรืออกุศลคือไปบัญญัติมันไม่ได้ มันยังไม่มีไอ้ลักษณะหรือเนื้อหาอะไรที่จะทำให้บัญญัติลงไปได้ แต่แล้วไม่เท่าไรมันก็โตขึ้นมา ก็เลยมีอยู่ทั้งที่เป็นไอ้ยาพิษ - ที่เป็นอาหารที่เป็นประโยชน์ได้ นี้ คืออุปมาที่ว่าเราจะแยกไอ้ส่วนที่เป็นกิเลสออกไปเสียจาก โพธิ ให้ โพธิ นั้นเป็น สัมโพธิ หรือเป็นปัญญา ขอให้ท่านทั้งหลายสนใจในข้อนี้เถิดมันจะมีประโยชน์ในการที่จะลุถึง สัมโพธิ ได้เร็วเข้า
ก็จะขอยกตัวอย่างด้วยเรื่องหัวบุกต่อไปอีก ว่าหัวบุกมันแก่แล้วมันมีทั้งยางที่เป็นพิษและส่วนที่เป็นแป้งที่มีค่ามาก เราก็เห็นได้ว่ามันมีเป็นคู่ตรงกันข้ามอยู่ในนั้น เป็นฝ่ายกุศลกับฝ่ายอกุศลเป็นคู่ๆ กันมา แล้วถ้าปล่อยให้มันพัฒนาเคียงคู่กันมามันก็จะรุนแรงทั้ง ๒ ฝ่าย เช่นฝ่ายหนึ่งมันเป็นกิเลส ฝ่ายหนึ่งมันเป็นสุทธิ, อืม ฝ่ายหนึ่งมันเป็นกิเลสคือเป็นของเศร้าหมองสกปรก ฝ่ายหนึ่งมันก็เป็นสุทธิคือฉลาด, ฝ่ายหนึ่งเป็นเฉโก (ปัญญาคดโกง) ฝ่ายหนึ่งก็เป็นปัญญาแท้ (ปัญญาซื่อตรง), ฝ่ายหนึ่งก็เป็นมิจฉาทิฏฐิขึ้นมา ฝ่ายหนึ่งก็เป็นสัมมาทิฏฐิขึ้นมา, ฝ่ายหนึ่งเป็นอวิชชาขึ้นมา ฝ่ายหนึ่งมันก็มาเป็นวิชชาขึ้นมา นี้สังเกตดูให้ดีจะเข้าใจได้ว่ามันจะมีคู่แข่งเป็นคู่แข่งกันขึ้นมาอย่างนี้ ไม่ใช่เกิดกันคนละที มันจะมีคู่กันมาอย่างนี้ในตัวมันเอง นั้น ญาณ กับ อันญาณ(นาทีที่ 56:38) คือความรู้กับความไม่รู้มันจะแข่งกันขึ้นมา กระทั่งว่าอันหนึ่งมาเป็น “สังสารวัฏ” อันหนึ่งมาเป็น ”นิพพาน”
จิตของมนุษย์จะประกอบอยู่ด้วยลักษณะที่จะแยกเป็นคู่ๆ ได้อย่างนี้ เหมือนกับหัวบุกที่เมื่อแก่เต็มที่แล้วมียาพิษแรงมากอยู่ส่วนหนึ่ง มีแป้งที่มีค่าสูงสุดอยู่ส่วนหนึ่ง ทำผิดเป็นกิเลส ก็เป็นสังสารวัฏเสวยความทุกข์อยู่ เมื่อทำถูกก็เป็นความบริสุทธิ์ ความรู้ ไม่ต้องเป็นทุกข์ เป็นนิพพานในระดับหนึ่งยังไม่สมบูรณ์ แปลว่าเมื่อมันมีกิเลสมันก็เป็นสังสารวัฏเหมือนกับมันมียางอันเป็นพิษอยู่ เมื่อกิเลสนั้นไม่แสดงออกมาส่วนหนึ่งมันก็เป็นนิพพานคือว่างจากความทุกข์ ฉะนั้นเวลาที่เราว่างจากความทุกข์ซึ่งมีอยู่มากนั้นน่ะมันมีความหมายแห่งคำว่า “นิพพาน” เมื่อให้มันเกิดกิเลสกลัดกลุ้มเหมือนกับไฟเข้าไปเผาอยู่ในอกน่ะ เมื่อนั้นมันเป็น “สังสารวัฏ” เป็นนรก นี้ก็เป็นหลักอันหนึ่งที่จะต้องสนใจเป็นพิเศษ ถ้าผิดแล้วก็จะขาดทุนมาก คือหลักที่ว่าเรามี “นิพพาน” เป็นพื้นฐาน หรือมี “สังสารวัฏ” เป็นพื้นฐาน จะพูดให้ง่ายอีกทีหนึ่งก็ว่าเรามีความว่างจากความทุกข์เป็นพื้นฐาน หรือมีความทุกข์เป็นพื้นฐาน ใน ๒๔ ชั่วโมง จิตของเราประกอบอยู่ด้วยกิเลสกี่ชั่วโมง ไม่ประกอบอยู่ด้วยกิเลสกี่ชั่วโมง ถ้าอันไหนมีมากควรถืออันนั้นเป็นพื้นฐาน กิเลส ตัณหา อุปาทาน มันเกิดขึ้นวันละกี่ชั่วโมง แล้วมันยังว่างอยู่คือยังไม่เกิดนั้นมันกี่ชั่วโมง ถ้าคิดดูก็จะเห็นได้ว่าเวลาที่ว่างที่ไม่เกิดกิเลสมันมีมากกว่า กิเลสเกิดเป็นคราวๆ นั้นน้อยกว่า อย่างนี้เราเรียกว่ามี “ความไม่มีกิเลส” เป็นพื้นฐาน อย่างพระบาลีว่า “จิตนี้ประภัสสร” พึ่งเศร้าหมองเมื่อกิเลสเข้ามาเป็นครั้งคราว อย่างนี้มันได้เปรียบที่ไม่ต้องมีความทุกข์มาก แล้วเราก็ไม่มีความทุกข์มาก เราก็ไม่เป็นโรคประสาท เราก็ไม่เป็นบ้าตาย ถ้ามีกิเลสอยู่เป็นพื้นฐานจริงแล้วมันก็เป็นโรคประสาทแล้วเป็นบ้าตายกันหมดแล้วไม่ได้มานั่งอยู่ที่นี่ ด้วยเหตุที่กิเลสเพิ่งเกิดเป็นคราวๆ หรือเป็นส่วนน้อย ส่วนที่เวลาที่กิเลสไม่เกิดนั้นมันมีมากแล้วจึงได้สบายอยู่บ้างหรือว่าสบายอยู่มาก โดยเฉพาะเวลาเราหลับมันก็ไม่ได้เกิดกิเลสก็เป็นส่วนที่พักผ่อนหรือสบายอยู่มาก ทีนี้ เวลาที่ตื่นๆ ไม่หลับนี้มันก็มีเวลาที่กิเลสไม่ได้เกิดนั่นแหละมันมากกว่า เช่นเดี๋ยวนี้ใครจะเกิดกิเลสได้ นอกจากคนที่มันอิจฉาใครอยู่สักคนหนึ่ง หรือว่าอิจฉาอาตมาที่กำลังเทศน์อยู่นี้ก็ได้ ถ้าคนนั้นมันก็เกิดกิเลสได้ แต่คงจะไม่มีมั้งเพราะว่าจิตในเวลานี้เชื่อว่าของทุกคนนี้มันไม่มีกิเลส นี้เป็นตัวอย่างที่ว่ามันมีพื้นฐานของความไม่มีกิเลส มีพื้นฐานของความไม่มีทุกข์ ทุกข์พึ่งมามันก็เลยได้เปรียบ เราก็จัดให้ โพธิ นี้มันเดินถูกทาง ให้มีส่วนที่มันถูกต้องน่ะ มันมากกว่าได้โดยไม่ยาก ให้เกิดที่ผิดนั้นมันมีอยู่น้อยเกิดได้ยากแล้วค่อยๆ ร่อยหรอไป เพราะเรารู้จักแยกไอ้ยางที่เป็นพิษออกมาเสียจากหัวบุกนั้นแล้วก็เหลือแต่แป้งที่มันมีประโยชน์
มาถึงตอนนี้ก็จะพูดเรื่องที่เป็นหลักสำคัญอีกเรื่องหนึ่ง คือเรื่อง “กิเลส” กับเรื่อง “อนุสัย” ถ้าเข้าใจเรื่องนี้แล้ว ก็จะสามารถแยกไอ้ยาพิษออกมาจากแป้งได้ กิเลส นั้นมันเกิดเมื่อมีอวิชชา คือเมื่อ โพธิ มันเดินไปผิดเป็นความรู้ผิด แล้วจึงเกิดความโลภบ้าง ความโกรธบ้าง ความหลงบ้าง ไอ้เรื่องของ ”ความโลภ” เรื่องของ “ความโกรธ” และเรื่องของ “ความหลง” นั้นมันไม่ใช่ไม่รู้อะไร มันรู้อะไรมากเหมือนกันแต่มันเป็นเรื่องรู้ผิด แต่ถ้าเอาระดับสัญชาตญาณมาเป็นหลักแล้ว มันก็ไม่มีผิดไม่มีถูกหรอก มันรู้ไปตามเหตุปัจจัยที่มันปรุงแต่งอย่างไรมันก็ต้องรู้อย่างนั้น แต่แล้วมันรู้เพื่อเอาตัวให้รอดเท่านั้นแหละ ก็ถือว่ามันก็ถูกของมันอยู่ตามสัญชาตญาณ แต่ด้วยเหตุที่มันทำความทุกข์ให้แก่เราหรือแก่เพื่อนมนุษย์ จึงถูกประณามถูกบัญญัติว่าอันนี้ใช้ไม่ได้ อันนี้เป็นบาป อันนี้เป็นอกุศล ต้องเอาออกไป
เอ้า ทีนี้มันก็ได้เกิดขึ้นแล้วนะ ความโลภก็ดี ความโกรธก็ดี โมหะ (ความหลง) ก็ดี มันก็ได้เกิดขึ้นแล้ว โพธิ เดินไปผิด เกิดขึ้นทีหนึ่งก็สร้างสมความเคยชินชนิดนั้นไว้ทีหนึ่งเรียกว่า อนุสัย ถ้าเกิด “โลภะ”หรือ “ราคะ”ขึ้นมามันก็สะสมไอ้ “ราคานุสัย” ไว้ทีหนึ่ง ถ้าเกิดโทสะหรือโกรธะขึ้นมา มันก็สะสม “ปฏิฆานุสัย” สักทีหนึ่ง ถ้าเกิดโมหะขึ้นมามันก็สะสม “อวิชชานุสัย” ไว้ทีหนึ่ง นั้น ยิ่งเกิดกิเลสมากๆ ครั้งเท่าไรอนุสัยนั้นก็จะถูกสะสมไว้มากหรือเข้มข้นขึ้น คือจะเกิดกิเลสนั้นง่ายขึ้นๆ เร็วขึ้น แรงขึ้น มากขึ้น นี่ คือส่วนที่เรียกว่า อนุสัย มันเป็น โพธิ ที่เดินไปผิด มันก็สะสมไว้ในส่วนอนุสัยที่เป็นบาป เป็นอกุศลไปตามเรื่อง
ทีนี้ ถ้าว่าเราได้ศึกษา ได้ยิน ได้ฟังคำของพระอริยเจ้า ถูกน้อมนำไปตามคำสอนของพระอริยเจ้า ก็ทำให้เกิดความโลภหรือความโกรธหรือความหลงนี้ได้โดยยาก พอจะเกิดความโลภสักทีหนึ่ง ก็มีสติยับยั้งไว้ได้สักทีหนึ่ง เป็นการทำให้ความโลภไม่เกิดขึ้น ไม่อาจจะเกิดขึ้นได้โดยการบังคับของเราด้วยสติปัญญา นี้ เรียกว่า โพธิ มันเดินมาถูกทาง มันทำให้กิเลสเกิดขึ้นไม่ได้ เพราะฉะนั้นอนุสัยมันก็ไม่ก่อขึ้นในฝ่ายชั่ว มันก็สร้างอุปนิสัยในฝ่ายดี ฝ่ายที่จะไม่เกิดความโลภ อุปนิสัยฝ่ายความโลภมันก็ถูกทำให้ถอยกำลัง
ฟังดูให้ดี ให้เข้าใจสักหน่อยว่าถ้าไม่เกิดความโลภ ควบคุมไว้ได้ด้วยสตินี้ ราคานุสัยก็จะถอยกำลัง แล้วฝ่ายบุญฝ่ายกุศลเป็นอุปนิสัยฝ่ายดีก็จะเพิ่มขึ้น นี่ มันเป็นฝ่ายที่ โพธิ เดินถูกทาง มันจะเป็นแป้งที่กินได้ ส่วนฝ่ายที่มันเป็นยาพิษเป็นยางที่เป็นพิษนั้น มันจะถอยกำลัง แต่ถ้ามันไม่เป็นอย่างนี้นะ คือว่าสมมติว่าคนบางคนในบางกรณีเขาโกรธได้ทุกที เขาโลภได้ทุกที เขาหลงได้ทุกที ไม่มีอะไรไปนั่นเขาได้ นี้ มันก็จะมากขึ้นในส่วนอนุสัยทั้งหลาย คือส่วนที่เป็นพิษนั้น มันจะมากขึ้นจนเป็นอันตราย ส่วนที่เป็นแป้งมันมีประโยชน์นั้นมันก็จะน้อยลง จึงว่าแล้วแต่ว่าไอ้ปัจจัยแวดล้อมมันเป็นอย่างไร จะให้ โพธิ เดินไปถูกทางหรือเดินผิดทาง ถ้ามันมีแต่เรื่องให้ โพธิ เดินถูกทางมันก็เป็นบุญเป็นกุศล ส่วนที่จะเป็นประโยชน์เหมือนกับแป้งนั้นมันก็จะแน่นหนาขึ้น ส่วนที่จะเป็นไอ้ยาพิษคือเป็นยางอันเป็นพิษนั้นมันก็จะลดน้อยลงไป นี่ เรียกว่าแยกกิเลสออกไปเสียจาก โพธิ ฉะนั้น, โพธิ นั้นก็จะเหลืออยู่ในรูปของปัญญาหรือว่าจะเป็น สัมโพธิ มากขึ้นไปคือ มันพัฒนาตัวเองมันเลื่อนขึ้นไปอยู่ในระดับ สัมโพธิ ได้ โพธิ นั้นก็เปลี่ยนเป็นปัญญา ไม่ได้เปลี่ยนเป็นกิเลส ถ้ามันเป็นบาปเป็นกรรมของเด็กบางคนของคนบางคน ไอ้ โพธิ นั้นมันจะเปลี่ยนเป็นกิเลสมากขึ้น มันจะฉลาดในทางที่จะมีกิเลสหรือมีกิเลสอย่างฉลาด แล้วมันก็จะได้ไปเป็นมหาโจร
ขอให้เรารู้ว่า โพธิ เป็นสิ่งที่จะต้องรู้จัก โพธิ เป็นสิ่งที่เราจะต้องพัฒนาโดยแยกส่วนที่เป็นพิษร้ายออกไปอย่าให้เกิดกิเลส อย่าให้ก่อเชื้อแห่งกิเลสหรืออนุสัย เราเกิดมาจากท้องของแม่ มันก็เกือบจะไม่มีอะไร โพธิ ยังใส ยังกลางๆ เหมือนกับหัวบุกทีแรกตั้งต้นมีแต่น้ำใสๆ ยังไม่เป็นยางที่มีพิษ ยังไม่มียางที่เป็นพิษ ยังไม่มีแป้งที่เรียกว่ามีประโยชน์ เราคลอดมาจากท้องแม่ โพธิ มันก็ยังเป็นกลางมากอย่างนี้ แต่ว่านับตั้งแต่วันนั้นมาแหละมันก็จะเพิ่มอะไร ลดอะไร ถ้าเกิดในครอบครัวที่อบรมไม่ดี มันก็จะต้องมีไอ้การเพิ่มอนุสัยคือฝ่ายเลวร้ายน่ะมากขึ้นๆ “ราคานุสัย ปฏิฆานุสัย อวิชชานุสัย” เพิ่มขึ้น เพียงเป็นเด็กวัยรุ่นนะเนี่ยมันก็จะร้ายกาจ ความโลภก็ร้ายกาจ ความโกรธก็ร้ายกาจ ความกำหนัดก็ร้ายกาจ อะไรมันก็ร้ายกาจ นั้น ถ้ามันโตไปถึงเป็นหนุ่มเป็นสาวแล้วมันก็มากกว่านั้นอีก แล้วจะแก้มันอย่างไร เพราะมันมาพอกพูนมาด้วยสิ่งที่เลวร้ายมากเกินไปนี้ นี่ก็เป็นบาปของมัน ที่มันมี โพธิ ในลักษณะที่หมักหมมอยู่ด้วยกิเลส
ทีนี้ เด็กอีกคนหนึ่งมันตรงกันข้าม มันเกิดมาในตระกูลที่ดี สิ่งแวดล้อมดี มันก็สร้างไอ้การสะสมแต่ในฝ่ายๆ ที่ดี ฝ่ายที่ถูกต้อง ฝ่ายที่ตรงกันข้ามกับความโลภ ฝ่ายที่ตรงกันข้ามกับความโกรธ และฝ่ายที่ตรงกันข้ามกับความหลง อย่างนี้ก็เรียกว่าเด็กนั้นมันมีบุญ มันก็จะเป็นไปในทางที่ถูกต้องหรือเป็น สัมมา หรือเป็นอะไรได้โดยง่าย ฉะนั้น โพธิ ของเขามันก็จะพัฒนาตัวเองได้ดีกว่า เร็วกว่า กิเลสเกิดยาก ปัญญาเกิดง่าย โพธิ ของเขาก็เป็น “สัมโพธิ” หรือเป็น “สัมมาสัมโพธิ” ได้โดยสะดวกและง่ายดาย ทีนี้ มันจะเป็นไปในทางไหนมันก็แล้วแต่เหตุกับปัจจัย ว่าเกิดมาในครอบครัวอย่างไร มีการแวดล้อมอย่างไร อย่างหนึ่งก็ตรงกันข้ามจากอีกอย่างหนึ่ง คืออย่างหนึ่งก็จะทำให้ โพธิ หนาไปด้วยกิเลสจนหมดความเป็น โพธิ หมดความหมาย ไอ้อย่างหนึ่งก็จะทำให้ โพธิ เป็นปัญญามากขึ้นจนเป็น สัมโพธิ เป็น อภิสัมโพธิ
ขอให้เข้าใจในเรื่องนี้ไว้ในลักษณะที่มันเป็นเค้าเงื่อนเค้าโครง หรือว่าเป็นรากฐานของมนุษย์ที่จะพัฒนาไปอย่างไร พระพุทธเจ้าท่านทรงพัฒนาของท่านสำเร็จ หรือท่านประสบความสำเร็จในการเป็น โพธิสัตว์ ในเวลาอันสั้น นั้นท่านจึงๆ บรรลุ “อะนุตตะระสัมมาสัมโพธิ” ในวันที่ตรัสรู้นี้ คือวันที่เราเอามาประชุมกันที่นี่ทำพิธีระลึกนึกถึงท่าน บูชาท่านเพราะท่านลุถึงขั้น อะนุตตะระสัมมาสัมโพธิ เราเอาแต่เพียง “สัมโพธิ” ก็พอแล้วมั้งเพราะมันเอาตัวรอดได้แล้วนี่ แต่ถ้ายังเป็น โพธิ เฉยๆ อยู่ ไม่ไหวแล้ว มันยังมีกิเลสยังมียางที่เป็นพิษรวมอยู่ในนั้นมาก รีบแยกกิเลสออกจาก โพธิ แล้วมันจะค่อยๆ เป็น โพธิ สมชื่อ เป็น สัมโพธิ เป็น อภิสัมโพธิ ได้ในที่สุด
นี่คือเรื่องที่อาตมาเอามาพูดกับท่านทั้งหลายเนื่องในวันสำคัญที่สุดคือวันประสูติ ตรัสรู้และนิพพาน และสำคัญรวบยอดก็ตรงที่ว่าวันนี้เป็นวันที่พระองค์ทรงบรรลุ อะนุตตะระสัมมาสัมโพธิ “อะนุตตะระ สัมมาสัมโพธิง อะภิสัมพุทโธ ปัจจัญญาสิง” อย่างที่สวดธัมจักรอยู่เมื่อตะกี้นี้มันก็มี
ขอให้เป็นนิมิตที่ดี ให้เกิดความรู้สึกที่ดีในวันนี้คือวันวิสาขบูชา ให้เรารู้จักสิ่งที่เรียกว่า โพธิ แล้วเราพัฒนา โพธิ ให้เป็นไปในทางที่ถูกต้อง แยกยางที่เป็นพิษออกเรื่อยไป แล้ว โพธิ นั้นก็จะเปลี่ยนรูปไปในทางที่เป็น สัมโพธิ หรือ อภิสัมโพธิ ได้ตามความประสงค์ มีธรรมภาษิตหรือพุทธภาษิตว่า สจิตฺตปริยายกุสลา ภเวยฺยุํ. บุคคลพึงเป็นผู้ฉลาดในปริยายแห่งจิตของตนเถิด บุคคลพึงเป็นผู้ฉลาดในกระบวนจิตของตนเถิด อย่างนี้ก็จะฟังง่าย
ปริยายะ ที่ว่ารูปแบบไอ้กระสวน อะไรต่างๆ นี่ สจิตฺต จิตของตน “สจิตฺตปริยายกุสลา” – จงเป็นผู้ฉลาดในกระบวนจิตของตนเถิด นี่ คือคำที่ควรจะเอามาพูดกันนึกกันในวันนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงเป็นผู้ฉลาดในกระบวนจิตของตนเถิด” กระบวนอันไหนก็ได้ขณะที่มันจะยุ่งยากซับซ้อนยิ่งไปกว่าไอ้เรื่องของ โพธิ อย่างที่ว่ามาแล้ว โพธิ โดยสัญชาตญาณเป็นความรู้เท่านั้น รู้ผิดก็ได้ รู้ถูกก็ได้ แล้วพัฒนาให้มันเป็นแต่ในทางรู้ถูกอย่างเดียว คือว่าผิดก็ไม่มี มิจฉาทิฏฐิก็ไม่มี กิเลสก็ไม่มี มันก็มีแต่สัมมาทิฏฐิ มีปัญญา เดินไปในทางของ อภิสัมโพธิ ก็รู้สิ่งที่ควรจะรู้คือดับทุกข์ได้ บุคคลนั้นก็ไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วพบพระพุทธศาสนา อันนี้เป็นคำที่ต้องระวังและเชื่อว่าท่านทั้งหลายก็ระวังอยู่เป็นอย่างยิ่งแล้ว อย่าให้เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วพบพระพุทธศาสนา มี โพธิ ที่ไม่พัฒนา มันก็เป็นอันธพาลยิ่งขึ้นๆ ฉลาดยิ่งขึ้นในการที่จะทำผิด ไม่ใช่มันโง่นะ คนที่ทำผิดน่ะแต่มันฉลาดพอกันแหละกับคนที่ทำถูก แต่ว่าความฉลาดมันเดินกันคนละแบบ อย่างคนที่เขาจะทำเลวทำชั่วเป็นมหาโจรเป็นอะไรเขาก็ต้องฉลาดแต่มันเป็นฉลาดเฉโก จะดูน้ำหนักของความฉลาดแล้วมันก็เท่าๆ กันกับคนที่เขาจะเป็นคนดีเป็นบัณฑิตดำเนินไปในทางของพระนิพพาน
สรุปเสียทีหนึ่งว่าไอ้ โพธิ นี้มันเป็นกลาง มันเป็นสักว่ารู้เป็นเพียงธาตุเหมือนมโนธาตุ วิญญาณธาตุ ผิดก็ได้ ถูกก็ได้ นี้พัฒนาไปแต่ในทางที่ถูก แล้วถ้าท่านทั้งหลายยอมรับว่าทุกคนเป็น โพธิสัตว์ แล้วมันง่ายเหลือประมาณในการที่ โพธิ ของตนๆ เขาจะเดินไปแต่ในทางที่ถูกต้อง นี่ คือสิ่งที่อาตมาเห็นว่าควรเอามาพูดกันในวันนี้ ซึ่งเป็นวันที่เรียกกันว่าวันตรัสรู้ อะนุตตะระสัมมาสัมโพธิ ของพระพุทธองค์ ด้วยอำนาจความเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธองค์ ท่านทั้งหลายจึงได้ทนลำบากหมดเปลืองอะไรมากันถึงที่นี่ มานั่งกันอยู่ในสภาพอย่างนี้เพราะความเลื่อมใสในพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ผู้ลุถึง อะนุตตะระสัมมาสัมโพธิ
ทีนี้ มาถึงพวกเราที่เป็นลูกศิษย์ของพระองค์กลับไม่รู้จักสิ่งที่เรียกว่า โพธิ นี้มันโง่สักเท่าไร และถ้ามันไม่รู้จักพัฒนา โพธิ ให้เป็น โพธิ ที่จริงยิ่งขึ้นไป เป็น สัมโพธิ เป็น อภิสัมโพธิ แล้ว มันก็เสียทีที่เป็นสาวกของพระพุทธองค์ซึ่งทรงพัฒนา โพธิ ประสบความสำเร็จในขั้น อะนุตตะระสัมมาสัมโพธิ ทีเดียว
หวังว่าท่านทั้งหลายคงจะเข้าใจคำว่า โพธิ แล้วรู้จักพัฒนา โพธิ ให้เหมือนกับว่าทุกคนเป็น พระโพธิสัตว์ ผู้พัฒนาโพธิ อยู่ มันก็ไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วพบพระพุทธศาสนาเป็นแน่นอน คือไม่เสียทีที่ว่าเป็นสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อาตมาก็มีข้อความอย่างนี้สำหรับจะพูดในวันนี้ เรียกว่าเรื่องพัฒนา โพธิ ธรรมเทศนานี้ก็จะชื่อว่า โพธิอภิวัฒนากถา เรื่องอภิวัฒนาต่อสิ่งที่เรียกว่า โพธิ เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดหรือมีค่าที่สุดกว่าเรื่องใดๆ สำหรับพุทธบริษัทเรา พุทธบริษัทเราน่ะฟังดูให้ดี พุทธบริษัทเราหมายความว่าอะไร บริษัทแห่งพุทธะ เป็นพุทธะ- พระโพธิ พัฒนาถูกต้อง ถ้า โพธิ พัฒนาไม่ถูกต้องก็ไม่เป็นพุทธะ แล้วก็ไปเป็นสิ่งที่ตรงกันข้าม แล้วเราก็จะเสียใจ ถ้าขืนรีรอชักช้าอยู่มันก็ตายเสียก่อนที่จะทำอะไร โพธิ ให้เป็นพุทธะ หรือให้เป็น สัมโพธิ เป็น อภิสัมโพธิ ได้
เอาละ, เป็นอันว่าธรรมเทศนาในตอนนี้มีเรื่องว่าอย่างนี้เพียงเรื่องเดียวว่าพัฒนา โพธิ กันไปให้เป็น สัมโพธิ แล้วการทำวิสาขบูชาก็เป็นการก้าวหน้าทุกปี-ทุกปีเพราะเหตุนี้ ขอยุติธรรมเทศนาตอนนี้ไว้เพียงแค่นี้ก่อน
ธรรมเทศนาสมควรแก่เวลา, เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้.