แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
นี่ก็เป็นระดับที่ ๒ ได้ ทีนี้ระดับที่ ๓ ลดลงไปอีก เป็นคนมีสติปัญญาน้อยไม่คิดอะไรมาก ตั้งหน้าตั้งตา ประพฤติเพื่อความหลุด ความรอด ความพ้นของตัวเอง ด้วยบริสุทธิ์ใจ หวังความรอดจากความทุกข์เป็นเบื้องหน้า อันนี้ ก็ยังดี คือมันเป็นการสืบอายุพระศาสนาอยู่ในตัวนั่นแหละ เพราะยังมีผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอยู่ พระศาสนาก็ยังมีอยู่ ดังนั้น การกระทำของบุคคลนั้นเป็นการสืบอายุพระศาสนาไปในตัว สามพวกนี้กระทำด้วยการปฏิบัติทั้งนั้น ทีนี้ ถ้าว่ามันไม่ได้ถึงนั้น มันต่ำลงมาจากนั้น มันก็กลายเป็นเรื่องของปริยัติ ไม่เกี่ยวกับปฏิบัติ ก็เป็นพวกที่ถัดลงไปอีก เป็นพวกที่ ๔ สืบอายุพระศาสนาในทางปริยัติล้วนๆ ก็ต้องระมัดระวังว่า อย่าให้ที่พูดที่สอนไปนั้นมันผิด เราควรจะขอบใจครูบาอาจารย์ทางปริยัติล้วนๆ ไม่มีการปฏิบัติ ในข้อที่ครูบาอาจารย์บางคนเหล่านั้นระมัดระวังที่สุด ทำให้ดีที่สุด ไม่เห็นแก่ลาภสักการะ ไม่ต้องการความดีความเด่นอะไรที่ไหน ท่านต้องการจะสืบอายุพระศาสนาในส่วนของปริยัตินี่ก็ยังมี แล้วก็ทำด้วยความเสียสละไปจนตายนี่ จน อ้า, จนดับสังขารไป สืบอายุพระปริยัติเท่านั้น ด้วยเจตนาที่บริสุทธิ์ และเสียสละสูงสุด จนกระทั่งตายไปก็มี อย่างนี้ก็ยังหายาก ยิ่งหายากยิ่งขึ้นทุกที เพราะสมัยปัจจุบันนี้ เขาเกี่ยวข้องกับปริยัติ เพื่อลาภ และสักการะทั้งนั้น หาไม่ค่อยพบเหมือนคนในสมัยก่อน ยุคก่อน เป็นผู้สืบอายุพระศาสนาในส่วนปริยัติอย่างบริสุทธิ์ นี่ก็ยังทำได้ โลกนี้ก็ยังต้องการ พวกฝรั่งเขามาศึกษาพุทธศาสนาเพื่อความรู้อย่างปริยัติที่ถูกต้อง ในฐานะเป็นวิชาความรู้ก็ยังมี แล้วเขาทำได้ดี น่าเลื่อมใสด้วยเหมือนกัน ก็ต้องการอุทิศชีวิตเหมือนกัน ที่จะทำหนังสือทางพระศาสนาให้ถูกต้อง ใช้ให้เป็นประโยชน์ได้และมากพอนี่ ก็ต้องการความเสียสละ ชนิดอุทิศชีวิตทั้งชีวิตด้วยเหมือนกัน มันจึงจะทำได้ ไม่ใช่มาทำพอเป็นสะพาน หรือเป็นเรือจ้าง เรียกข้ามฟากไปหาประโยชน์ ไปหาลาภสักการะเหมือนที่ทำกันอยู่ทั่วๆ ไป นั้นมันก็มีประโยชน์ที่รองลงไป ก็ไม่ ไม่ติเตียนก็ได้ มันเป็นธรรมดาเกินไป เท่านั้นเอง ทีนี้ยังเหลืออยู่ อยู่อันสุดท้ายก็ว่า แม้ในความเจริญ อ้า, ทางวัตถุ ก็ยังได้ ครูบาอาจารย์ของเราแต่กาลก่อน ทำอะไรไม่ได้มาก บวชอยู่เพียงรักษาวัดอย่าให้วัดมันร้างนี่ก็ยังมี เพราะอย่างน้อยวัดมันก็ยังไม่ร้าง ยังมีโบสถ์ วิหาร ยังพอมีอยู่ มีปัจจัยสี่ที่จะเลี้ยงดูกันไปได้ สืบพระศาสนาในรูปแบบของวัตถุนี้เอาไว้ ดังนั้น ท่านก็ขยันที่จะบำรุงรักษา โบสถ์ วิหาร พระเจดีย์ วัดวาให้อยู่ในสภาพที่น่าดู บางทีก็มุ่งหมายว่า ไอ้คนที่เขาทำหน้าที่ศึกษาและปฏิบัตินั้นนะจะได้รับประโยชน์ อย่างนี้ก็น่าเห็นใจ ขอให้ท่านทุกคนนี่สังเกตดูว่า ยังมีคนบางคนเขายังอุตส่าห์ รับภาระหน้าที่เกี่ยวกับวัตถุ หรือว่าทางไอ้ธุรการนี่ เพื่อให้วัดอยู่ได้ มีกินมีใช้ แล้วพระเณรอีกพวกหนึ่งก็สามารถจะศึกษาเล่าเรียน อีกพวกหนึ่งก็จะสามารถประพฤติ ปฏิบัติ สมถวิปัสสนา อ้า, พระกรรมฐานต่อไป ถ้าไม่มีคนเสียสละชีวิต แม้เพื่อความตั้งอยู่ได้ในทางวัตถุนี้ มันก็ตั้งอยู่ไม่ได้เหมือนกัน ดังนั้น อย่าดูถูก อย่าดูหมิ่นเขาเลย ที่เขาจะเอาภาระหน้าที่ในการบูรณะ ปฏิสังขรณ์ ในลักษณะที่ถูกที่ควรที่พอดี ที่จะเป็นเครื่องรองรับการศึกษาและการปฏิบัติ ถ้ามันเฟ้อหรือมากไปมันก็ใช้ไม่ได้ แล้วก็มักจะทำเพื่อเกียรติยศ ชื่อเสียงของตัวเสียเป็นส่วนใหญ่ เราไม่จัดไว้ในพวกนี้ นี่พวกที่จะอุทิศชีวิตเพื่อพระศาสนา ยังมีการทำได้หลายอย่าง หลายทาง อย่างน้อยก็ ๕ ระดับ อย่างที่ว่ามานี้ แต่แล้วเรื่องที่น่าเอามาคิดมานึก หรือมาล้อเล่น ก็คือ ยังไม่เห็นว่าได้ทำกันจริงๆ ถึงขนาดนั้น ยังทำเพื่อลาภสักการะเสียเป็นส่วนใหญ่ นี่พระศาสนาจึงยังตกหนักอยู่ในสภาพที่ไม่เป็นที่พึ่งแก่สัตว์โลกได้ ก็ช่วยกันนึกดูบ้าง จะช่วยกันได้อย่างไร ก็จะช่วยกันในส่วนนั้น เรามามีความรู้สึก ว่าเหมือนกับทำสหกรณ์กัน อาตมารู้สึกแน่ใจเห็นด้วยอย่างยิ่งที่ว่า เดี๋ยวนี้ โลกในสภาพอย่างนี้ ที่มีมนุษย์เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วอย่างนี้ ระบบสหกรณ์นี่ยิ่งจำเป็นมาก พุทธบริษัทเรามาทำสหกรณ์กัน พวกที่ช่วยเหลือทางวัตถุก็ช่วยเหลือทางวัตถุ พวกที่ช่วยเหลือทางปริยัติ สามารถทางปริยัติ ก็จัดในส่วนปริยัติ พวกที่สามารถปฏิบัติก็ทำดีที่สุดในส่วนของการปฏิบัติ พวกที่สามารถในการเผยแผ่ออกไป ก็ทำให้ดีในด้านการเผยแผ่ออกไป แล้วรวมกันเป็นสหกรณ์เดียวกัน เพราะว่ามันแยกทำไม่ได้ ถ้าแยกทำเป็นอย่างเดียวโดดแล้วมันยากที่จะทำได้ ดังนั้น ก็เลยรวมกันเป็นสหกรณ์ ไอ้บริจาค ไอ้การบริจาคที่ท่านทั้งหลายบริจาคออกไปนั้นนะ ไปแยกแยะดูให้ดี บางทีมันไปบำรุงในส่วนที่เป็นวัตถุสิ่งของ บางทีก็ไปบำรุงในส่วนที่เป็น บางทีก็ไปบำรุงในส่วนการศึกษา บางทีก็ไปบำรุงในส่วนการปฏิบัติ บางทีก็ไปบำรุงในส่วนการเผยแผ่ แล้วแต่ว่ามันจะมองเห็นความเหมาะสมอย่างไรในที่นั้นๆ เป็นอันว่า การอุทิศชีวิตเพื่อพระศาสนานั้น ทำกันได้ทุกคน แม้แต่อุบาสก อุบาสิกา ที่ยากจนและไม่มีสติปัญญาอะไร ก็ยังทำได้ ในรูปแบบหนึ่งๆ แล้วก็ขอเปิดเผยความในใจที่รู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่า พระศาสนาอยู่ได้ทุกวันนี้ ก็อยู่ได้ด้วยความเสียสละของคนยากจน ที่ไม่ค่อยมีสติปัญญาอะไรอยู่ส่วนหนึ่งด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในชนบท บ้านนอกห่างไกลออกไปจากความเจริญ คนที่ไม่ค่อยรู้อะไร ยากจนเข็ญใจเหล่านี้ มีส่วนที่ช่วยสืบอายุพระศาสนาอยู่ส่วนหนึ่งเหมือนกัน จนแสนที่จะจน ก็ยังใส่บาตรได้ทุกวัน ยังบริจาคสิ่งของได้ทุกวัน จนวัดตั้งอยู่ได้ในถิ่นนั้นๆ ในลักษณะที่ว่ามันต่างกันไกลลิบกับ ในเมืองหลวง นี่ขอให้ยอมรับรู้ในข้อนี้ไว้ด้วย อาตมาก็ขอแสดงตัวว่า ยอมรับรู้ในข้อนี้อยู่ตลอดเวลา ญาติโยมทั้งหลายจะได้มีความเข้าใจถูกต้อง ในระหว่างกันและกันเกี่ยวกับเรื่องนี้ และยังมีเรื่องที่จะต้องทำความเข้าใจกันอีกมาก เวลามันก็ไม่พอ ดังนั้น ขอชี้แต่ใจความสำคัญ แล้วก็พูดกันไปตามลำดับของหัวข้อที่คิดว่าจะต้องพูด
ทีนี้หัวข้อที่จะพูดต่อไป เอ่อ, มันก็เป็นเรื่องที่เราจะนึกถึงลูกเด็กๆ ของเรา เพราะว่าคนแก่เหล่านี้ชีวิตเหลืออยู่น้อย เราจะต้องอบรมลูกหลานเล็กๆ ของเรา ให้รู้จักรับช่วง คือทำให้ลูกเด็กๆ ของเรา ให้มีศีลธรรม ให้มีความรู้เรื่องศีลธรรม เดี๋ยวนี้ก็เป็นที่น่ายินดีว่า รัฐบาลก็ดี หรือประชาชนก็ดี เริ่มสนใจในสิ่งที่เรียกว่าศีลธรรมกันขึ้นบ้างแล้ว แม้จะมีคนบางพวกที่เขาไม่สนใจ เขาปฏิเสธว่ามันทำไม่ได้ ก็ตามใจเขา แต่เรานี่ยังมองเห็นว่า เราจะต้องทำให้ลูกเด็กๆ ของเรา กลับมามีศีลธรรม แต่ว่าต้องทำด้วยวิธีที่ฉลาด ให้มันทันกับเวลาด้วย และให้มันฉลาด อ้า, ถึงกับจะต่อสู้กันกับความเจริญแผนใหม่ ที่เราเรียกกันว่า วัฒนธรรมวัตถุนิยมบ้าบออย่างภูตผีปีศาจ ที่จะมาดึงจูงไอ้ลูกเด็กๆ ของเรา ให้ไปเป็นทาสของมัน คือเป็นทาสวัตถุนิยม พ่อแม่นี่ช่วยกันเถิด ป้องกันลูกหลานไว้ อย่าให้ตกเป็นทาสของไอ้ความเจริญแผนใหม่ ที่เรียกว่าวัตถุนิยม เรามักจะเห็นพ่อแม่ที่ไม่มีความรู้เท่าทันไอ้ลูกๆ ที่เขาไปเป็นทาสของวัตถุนิยม พ่อแม่ก็ส่งเงินส่งทองไปให้ศึกษาเล่าเรียน ว่ามันจะได้ดิบได้ดี ไม่รู้ว่าเขากำลังเป็นทาสของวัตถุนิยม ถ้าเขาได้ดี เขาก็ได้ดีในลักษณะที่เป็นทาสของวัตถุนิยม แล้วเขาก็จะไม่รู้จักคุณของพ่อแม่ เสร็จแล้วเขาก็เตลิดเปิดเปิงไปไหนก็ไม่รู้ พ่อแม่อยู่ข้างหลังจะเป็นอย่างไร ก็ไม่ค่อยสนใจกันนี่ นี่แบบของวัตถุนิยมมันจะเป็นอย่างนี้ ถึงอย่างไรก็ดี เอ่อ, เราก็ต้องช่วยลูกช่วยหลานของเราให้ได้ศึกษาเล่าเรียนให้ฉลาด แต่มีความจำเป็นอยู่อย่างหนึ่ง คือให้มีศีลธรรมด้วย จะอยู่ด้วยกันที่นี่ หรือจะส่งไปศึกษาเล่าเรียนที่อื่น หรือจะไปประกอบการงานที่อื่น ก็ยังจะต้องมีความผูกพันไว้ในข้อที่ว่า ให้เขายังมีศีลธรรมด้วย ลูกชายลูกสาวที่ไปเรียนอยู่ที่กรุงเทพฯ เมืองนอกเมืองนาอะไรก็ตาม อย่าทอดทิ้งเขาในส่วนนี้ พยายามให้เขามีโอกาสที่จะสำนึกถึงสิ่งที่เรียกว่าศีลธรรม แม้จะไปอยู่ที่เมืองนอก ก็ยังมีทางที่ทำได้ให้เขายังคงรับรู้เรื่องศีลธรรม อาตมาเคยได้รับจดหมายบ้าง อะไรบ้างของไอ้เด็กๆ หรือคนหนุ่มคนสาวบางคนเท่านั้น ที่มันไปอยู่ที่เมืองนอก ส่งมาด้วยความต้องการศีล อ้า, ความรู้ทางศีลธรรม ก็ช่วยเหลือกันอยู่บ่อยๆ ก็แปลว่าลูกเด็กๆ ที่มันยังดีมากนั้นก็ยังมีอยู่ พ่อแม่ก็ควรจะ สนใจในเรื่องนี้เป็นพิเศษ แล้วก็ตั้งรากฐานไปเสียตั้งแต่ทีแรกนี้ให้ดี คือจะทำกับลูกเด็กๆ ลูกเด็กๆ นี้ ให้ดีให้ถูกเสียก่อน แล้วโตขึ้นมันก็จะไม่ผิด ถ้าเราปล่อยปละละเลยในระยะที่เขาเป็นเด็กมากๆ นี้ เขาก็จะเดินไปในทางผิด แล้วก็ยากที่จะทำให้เขามีศีลธรรม คือระบบของศีลธรรมมันกว้างใหญ่ ถ้าเราไม่รู้จักประมวลมา ให้มันเป็นเรื่องที่อยู่ในลักษณะที่จะทำคราวเดียวได้มากๆ นี่ไม่ได้ แล้วมันก็ไม่ได้เหมือนกัน แล้วก็มีหลักศีลธรรมสำหรับเด็ก ที่เด็กสามารถจะเข้าใจได้ ชนิดที่เด็กจำเป็นจะต้องมี มันไม่มากเรื่องมากราวอะไรนัก เอากันสัก ๔ - ๕ เรื่องก็ได้ เรื่องแรกที่สุดก็เหมือนกับที่อาตมาเคย พูดแล้วพูดอีก เราอบรมลูกเด็กๆ ของเรา ให้มีความรู้สึก พื้นฐานที่สุดทางศีลธรรม ว่าสัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ข้อนี้ระวัง ไอ้ลูกเด็กๆ สมัยนี้ เขาหัวเราะเยาะ ถ้ามันเป็นวัยรุ่น เป็นหนุ่มเป็นสาวเป็นวัยรุ่นแล้วมันยิ่งหัวเราะเยาะ อ่านประโยคนี้ที่ว่าสัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น เขาหัวเราะคุณพ่อ หัวเราะคุณแม่ หัวเราะคุณปู่ คุณตา คุณย่า คุณยาย ว่างมงายอยู่ด้วยประโยคนี้ เขาไม่ต้องการ เพราะว่าเขามันเตลิดไปเสียแล้ว ถ้าเราจับตัวไอ้ลูกเด็กๆ ตัวเล็กๆ ตาดำๆ ในชั้นอนุบาล ขนาดเรียนอนุบาลนี่ ให้เขาเข้าใจข้อนี้ อบรมเขาในข้อนี้ ถ้าโรงเรียนอนุบาลทุกแห่ง เขาอบรมกันในข้อนี้ จะเป็นโชคดีแก่มนุษย์อย่างยิ่ง เด็กตัวน้อยๆ รู้สึกว่าสัตว์ทั้งหลายเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น จนกระทั่งเขาตีผู้อื่นไม่ได้ เขาด่าผู้อื่นไม่ได้ เขาข่วนหน้าผู้อื่นไม่ได้ เพราะความรู้สึก มันรู้สึกไปในทำนองว่ามันเป็นเพื่อนกัน แล้วเขาก็จะแบ่งให้ทุกอย่างที่เขาจะแบ่งได้ แบ่งอาหารให้ แบ่งสตางค์ให้ แบ่งอะไรได้ เจียดออกมาเป็นส่วนที่จะแบ่งให้ผู้อื่นได้ ให้เขาประพฤติปฏิบัติต่อกันและกัน ทุกวันทุกวันในโรงเรียนอนุบาล ที่มีความหมายว่า ทุกคนเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกัน เดี๋ยวนี้ไม่มี สอนกันแต่ให้รู้หนังสือเร็วๆ ให้ร้องเพลงมากๆ ให้ฉลาดในการที่จะรู้หนังสือเร็วๆ แล้วก็ไม่ได้ควบคุมความรู้นั้นให้ถูกต้อง เขาก็มีความรู้แต่ที่จะเห็นแก่ตัว ไอ้เรื่องการแข่งขันกันนี่ ระวังให้ดี มันเป็นเรื่องเพิ่มความเห็นแก่ตัว มันมีหลายอย่างที่สร้างความรู้สึกที่ผิด ที่ให้คนเห็นแก่ตัว อยู่ในระบบการศึกษา แม้ในขั้นอนุบาลนั่นเอง ใครจะมีปัญญา ใครจะมีอำนาจ อ้า, มาพลิกการศึกษาเหล่านี้ให้มันถูกต้องเสียที คืออย่าให้ฉลาดเพื่อตัว แต่ให้ฉลาดเพื่อผู้อื่นด้วย ให้รู้ว่าทุกคนเป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น นี่มันมีรากฐานที่มั่นคง เป็นรากฐานที่มั่นคงสำหรับจะเป็นรากฐานของศีลธรรมประเภทอื่นๆ ศีลธรรม ในความหมายที่ว่า อ้า, สัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้นนี่ ถ้ายังมีอยู่ในจิตใจของมนุษย์แล้ว มนุษย์จะอยู่ในสภาพที่ไม่มีปัญหา เดี๋ยวนี้มันมีปัญหา ที่จะฆ่าจะแกงกันตลอดเวลา เช่น ปัญหาระหว่างนายทุนกับชนกรรมาชีพ มันจะฆ่าจะแกงกันอยู่ตลอดเวลา เพราะว่าโลกนี้มันได้ขาดความรู้สึกอันนี้ไปนานแล้ว มนุษย์ละทิ้งศาสนาทุกศาสนามากเกินไป จนไม่มีความรู้สึกว่าทุกคนเป็นเพื่อน เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น แม้ว่าทุกศาสนาก็สอนอย่างนี้ มันก็กลับมาใหม่ ช่วยกันปลูกเพาะไอ้ความรู้สึกอันนี้กันใหม่ ในหัวใจของลูกเด็กๆ ว่าสัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น อาตมาคิดว่า พ่อแม่ทำบุญที่บ้าน ไม่ต้องมาทำบุญที่วัดหรอก ทำบุญที่บ้านก็คืออบรมลูกหลานให้มันมีความรู้สึกอย่างนี้ ก็จะได้บุญมหาศาลยืดยาวไปในอนาคตกาลนานไกลข้างนาน ให้ลูกเด็กๆ ของเราทุกคนมันรู้สึกว่า สัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้นไว้เป็นพื้นฐานก่อน ทีนี้ศีลธรรมอื่นๆ มันก็จะมีมาเอง แม้ที่สุดแต่ว่า ที่จะไม่เป็นทาสของอายตนะ คือไม่เป็นทาสของกิเลส หรือของกามารมณ์ เพราะว่ามันไปมัวแต่เมตตา กรุณาสัตว์ทั้งหลาย เพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย อยู่อย่างนั้น มันก็จะมีความรู้สึกทางเพศ ทางกามารมณ์ที่พอดี ที่ไม่เฟ้อเหมือนคนสมัยนี้ ที่ไม่มองเห็นใครเป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตายเสียเลย มองเห็นแต่ตัวกู ของกู มึงก็มึง กูก็กู มันอยู่กันแต่อย่างนี้ ความรู้สึก อ้า, ผูกพันกัน เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันนี้ จะป้องกันกิเลสได้มาก จะสอนเรื่องให้ไม่เป็นทาสของอายตนะ ก็สอนได้ง่าย เพราะว่าเขารักเพื่อนมนุษย์ ไม่ได้รักกิเลส เป็นอันว่าศีลธรรมแขนงอื่นๆ มันมีได้ง่าย เพราะไอ้รากฐานอันนี้ ทีนี้ก็สอนให้สูงขึ้นมาตามลำดับ ถึงเรื่องของสติปัญญา ให้ลูกเด็กๆ เขาเข้าใจ เห็นชัดแจ้งว่า ทุกอย่างมันมีปฏิกิริยา เช่นเอาก้อนหินทุบโผงลงไปที่แผ่นดิน มันก็มีเสียงเกิดขึ้นคือ ปฏิกิริยา นี่เป็นทางวัตถุแท้ๆ ทีนี้ในทางจิตทางใจมันก็เหมือนกัน ไม่มีอะไรที่จะไม่มีปฏิกิริยาเกิดขึ้น เขาก็จะเข้าใจเรื่องกรรม และเรื่องวิบาก ว่าการกระทำที่เรียกว่ากรรมหรือกิริยาก็ตาม มันมีวิบาก ไอ้ลูกเด็กๆ ของเราก็จะเชื่อวิบาก เชื่อผลกรรม ถ้าอบรมกันมาตั้งแต่เล็กๆ อย่างนี้นะ แม้แต่เด็กอนุบาลก็รู้เรื่องว่า ทุกอย่างมันมีปฏิกิริยา เขาก็จะเป็นคนมีเหตุผล แล้วก็สามารถจะขยายไปเป็นเรื่องความถูกต้องเกี่ยวกับการกระทำทุกอย่าง เขาจะเชื่อเหตุปัจจัยภายใน ไม่หลงไปเชื่อผีสางเทวดา บ้าๆ บอๆ ภายนอก ไม่ต้องเชื่อถือโชคลางอย่างละเมอเพ้อฝัน เขาเชื่อปฏิกิริยาหรือวิบากแห่งการกระทำของเขาเองนี่ นี่มันเป็นราก รากฐานแห่งการพึ่งตัวเอง ไม่คิดที่จะขโมยใคร ลักใคร เอาเปรียบใคร เลยไปจนกระทั่งถึงว่า เขาจะไม่รู้สึกยินดี ยินร้าย จะไม่หัวเราะ ร้องไห้มากเกินไป คือไม่หัวเราะ ร้องไห้ ในความเปลี่ยนแปลงที่มันเกิดขึ้น เป็นความถูกใจบ้าง ไม่ถูกใจบ้าง เพราะเขารู้เรื่องปฏิกิริยาของสิ่งต่างๆ ดี อย่างนี้ ลูกเด็กๆ ของเราก็จะน่ารัก น่าเอ็นดู น่าเลื่อมใส มันมีความบริสุทธิ์ อ้า, ที่มันรักษาไว้ได้ ตั้งแต่ในท้องในครรภ์มาทีเดียว ถ้าพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ เขาช่วยให้ลูกเด็กๆ ของเรามีรากฐานแห่งศีลธรรมในข้อนี้ ว่าทุกอย่างมีปฏิกิริยา นี่ข้อถัดไปอีก จะเรียกว่าข้อที่ ๓ ก็ตามใจ ว่าทุกอย่างเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย เรื่องปฏิจจสมุปบาทนั้น ถ้าสอนเป็นสอนถูก แล้วเด็กๆ ก็จะเข้าใจ คือจะไม่เห็นของ จะไม่เห็นเป็นของแปลก ในเมื่ออะไรมันจะเกิดขึ้น จะเกิดความรู้สึกว่า อ้าว, มันอย่างนี้เอง ไอ้นั่นมันก็อย่างนี้เอง เป็นไปอย่างถูกต้อง ตามกฎแห่งเหตุและปัจจัย เขาจะมีสติปัญญาที่มีรากฐานมั่นคงคือ ถูกต้อง ไม่หลง ไม่งมงาย ไม่เชื่องมงาย ไม่อะไรต่างๆ เรียกว่าเป็นคนอยู่ในอำนาจ อ้า, ของเหตุผล นี่ก็เป็นระบบหนึ่ง ซึ่งพ่อแม่ และครูบาอาจารย์ รีบสอนเด็กๆ อบรมเด็กๆ ให้ประพฤติปฏิบัติอยู่อย่างถูกต้อง อ้า, ตามธรรมสัจจะที่ว่า ทุกอย่างมันต้องเป็นไปตามปัจจัย มันก็หัวเราะได้ในทุกกรณี ผิดพลาดก็หัวเราะได้ ถูกต้องก็หัวเราะได้ ด้วยความ ไม่ประมาท ไม่มานั่งร้องไห้อยู่เมื่อผิดหวัง หรือมาหัวเราะหลงระเริงอยู่เมื่อมันสมหวังนี่ มันเท่ากับทำให้เขาโง่ ดังนั้น เราอบรมเด็กๆ ให้โง่มาตั้งแต่แรกเกิดโดยไม่รู้สึกตัว ให้ชอบหัวเราะเมื่อสมหวัง หรือร้องไห้เมื่อผิดหวัง มันไม่ถูกทั้งนั้น จะไม่เป็นสติปัญญา อ้า, ในอนาคต ข้อถัดไป ซึ่งจะยากสักหน่อย ก็จะเรียกว่า อ้า, สัมมาทิฏฐิ ชนิดที่เป็นพื้นฐาน สัมมาทิฏฐินี้สำคัญ จะแก้ปัญหาต่างๆ ได้หมด แต่มันมีอยู่หลายระดับชั้น ชั้นสูงสุดมันก็มีเพื่อไปบรรลุมรรคผลนิพพาน แต่ชั้นที่จะอยู่กันอย่างผาสุกในโลกนี้ มันก็มีอีกระดับหนึ่งเรียกว่า สัมมาทิฏฐิ อ้า, ชั้นพื้นฐาน เพราะว่าเขาเป็นเด็ก เขามีสติปัญญาสูงสุดไม่ได้ ต้องมีสัมมาทิฏฐิหรือสติปัญญาพื้นฐาน ที่ประกอบกันอยู่กับศรัทธาหรือความเชื่อ นี่ก็หมายความว่าเราปลูกฝังความเชื่อที่ดีที่ถูกต้องที่เหมาะสมที่สุดสำหรับเด็กๆ ให้เขามี มาตั้งแต่เล็กๆ เรียกว่าสัมมาทิฏฐิพื้นฐาน อย่างนี้เคยมีมาตั้งแต่ก่อนพุทธกาลนั่น เพียงพุทธกาลนี่ มันก็สองพันกว่าปี ก่อนพุทธกาลนี่ เขาก็มีสัมมาทิฏฐิในระดับพื้นฐาน และต่อมาพุทธศาสนาก็ยอมรับข้อนี้ พระพุทธเจ้าก็ตรัสข้อนี้ ซึ่งเข้ารอยกันได้กับระบบที่มันมีอยู่ก่อนพุทธกาล เรียกว่าสัมมาทิฏฐิพื้นฐาน เคารพบิดา มารดา จริงจนยอมรับว่าบิดา มารดามี บิดา มารดามีความหมาย ครูบาอาจารย์มีความหมาย ในฐานะที่เป็นครูบาอาจารย์หรือผู้มีพระคุณ นรกก็มี สวรรค์ก็มี ในความหมายที่เขาจะเข้าใจได้อย่างไรก็ตามใจเขา แต่นรกมันมี สวรรค์มันมี คือผลแห่งความชั่วหรือผลแห่งความดีมันมี จึงเรียกว่าบุญมี บาปมี เด็กเขายอม ยอม ยอมเชื่อ ยอมรับและเห็นแจ้งประจักษ์ว่ามันมี บิดา มารดามี นรกสวรรค์มี บุญบาปมี แล้วที่มันสูงขึ้นไปจนยากลำบาก ที่อธิบายยาก เข้าใจยาก คือว่าโลกอื่นมี นี่อาตมาเชื่อว่า อุบาสก อุบาสิกาแก่ๆ ก็ได้ยินข้อนี้ แล้วสอนอย่างนี้ว่า โลกอื่นมันมี แต่ความหมายมันไม่ถูกต้อง เด็กๆ รับเอาไม่ไหว ที่ว่าโลกอื่นหลังจากตายแล้วนี่มี ให้เขาเชื่อไปก่อนก็ได้ อ้า, ก็ถูกเหมือนกัน ว่าโลกอื่นมี ไม่เสียหายอะไร แต่กลัวว่าเขาจะไม่เชื่อ ถ้าเขาเชื่อก็ดี ถ้าเราทำให้มันเป็นสถาบันที่ยอมรับยอมเชื่อกันเสียได้ก็ดี ว่าโลกอื่นมันมี นอกไปจากโลกนี้ แต่เดี๋ยวนี้อยากจะพูด อ้า, เสียใหม่ ให้มันมีใจความกว้างกว่าและถูกต้องกว่าว่า โลกอื่นมันมี หมายความว่าโลกอื่นที่แปลกออกไปจากนี้ ที่เรากำลังเป็นอยู่นี้มันมี คือตามธรรมดา เราเป็นอย่างไร เรารู้สึกอย่างไร เป็นสุข เป็นทุกข์อย่างไรนี่ มันก็เป็นโลกนี้ ที่เรารู้สึกอยู่ หรือเรามีอยู่ แต่โลกอื่นที่ดีกว่านี้มันมี ที่น่าพอใจน่าปรารถนายิ่งกว่านี้มันมี ให้เขายอมเชื่อเถิดว่ามันมี เราจะถึงได้ที่นี่เดี๋ยวนี้ก็ได้ โลกอื่นนั้น แล้วโลกอื่นที่เลวทรามร้ายกาจกว่านี้มันก็มี ที่เรียกกันว่า อบาย หรือทุกขติ มันก็เป็นโลกอื่น มันก็มี มันจะเดือดร้อนเหมือนกับนั่งอยู่ในกองไฟก็มี ให้ลูกเด็กๆ ตัวเล็กๆ นี่ เขามีโลกของเขาอยู่ในระดับหนึ่งก่อน เอาเป็นอย่างนี้ เป็นอย่างนี้ ทุกวัน ทุกวัน ทุกวันเป็นอย่างนี้ ได้อย่างนี้ ได้กิน ได้เล่นอย่างนี้ เหมือนที่ เขาได้มีอยู่ นี่พยายามให้เขาเข้าใจว่าดีกว่านี้มี และเอาได้ด้วย แล้วเลวกว่านี้ก็มี แล้วต้องการ ก็ได้ด้วย ได้เหมือนกัน ทำอย่างไรให้ลูกเด็กๆ มันเชื่ออย่างนี้ ว่าที่มันดีกว่าที่เราได้รับอยู่ทุกวันนี้มันก็มี แล้วเราก็เอาได้ด้วย สามารถที่จะทำได้ เอาได้ด้วย แล้วก็ควรจะเอาด้วย ส่วนที่เลวกว่านี้นั้นมันไม่ไหว ก็ไม่ต้องพูดกัน เดี๋ยวนี้คนแก่ๆ หัวหงอกแล้วมันก็ไม่เข้าใจเรื่องนี้ ขออภัยที่จะพูดกันสักครั้งหนึ่ง เรื่องปรโลกนี่ เดี๋ยวนี้เอามาพูดแต่ชื่อว่า คนแก่ๆ ก็ให้รู้เถิดว่า เรานั่งอยู่ที่นี่ เราอยู่ในโลกอื่นก็ได้ เรานั่งขัดสมาธิอยู่ที่นี่ เรามีจิตใจอยู่ในโลกอื่น ดีกว่านี้สบายกว่านี้ก็ได้ ชั่วเวลาที่เรามี หนึ่งชั่วโมง สองชั่วโมง นั่นนะคือ ปรโลกด้วยเหมือนกัน ไม่ต้องตาย ไม่ต้องเข้าโลง ก็ไปถึงปรโลกได้ อธิบายอย่างนี้เด็กเข้าใจได้ ว่าเรานั่งอยู่ที่นี่แต่จิตใจของเราเป็นอย่างอื่นได้ มีความสุขเป็นที่น่าพอใจที่สุด อย่างนี้พระพุทธเจ้าท่านเรียกว่าโลกอื่น ครูบาอาจารย์ของเราเรียกว่าโลกอื่น เรารู้จักไว้ เพื่อว่าเราจะทำได้ เราจะอยู่ในโลกอื่นได้ ทั้งที่ร่างกายของเรานั่งอยู่ที่นี่ ตรงนี้ อย่างนี้ก็ยังได้ มันอาศัยจิตใจกระทำ แต่ถ้าว่า มันยังทำไม่ได้ มันยังหยาบกว่า มันยังต่ำกว่านั้น ก็ทำด้วยการประพฤติกระทำ ให้เรามีฐานะที่เปลี่ยนแปลงจากความเป็นอย่างนี้ไปสู่ฐานะที่ดีกว่านี้ เช่น เราเกิดมายากจน กินข้าวกับเกลือ กินข้าวกับน้ำปลาทุกวัน แต่เราอาจจะสร้างโลกอื่นได้ในอนาคตอันใกล้ ที่ไม่ต้องกินข้าวกับเกลือ เรามีชื่อเสียงมีทรัพย์สมบัติมีอะไรได้ โลกอื่นที่จะต้องหวังไว้ อย่างแน่นอนในกาลข้างหน้า โลกอื่น จากที่เรากำลังเป็นอยู่นี้ เรามีหวัง เราเอาได้ เราทำเอาได้ นี่เรียกว่าโลกอื่นคือ คำว่าปรโลกนั่นเอง นี่คนแก่ๆ มักจะสอนเรื่องปรโลกต่อตายแล้วทั้งนั้น และก็ไม่มีใครได้รับประโยชน์ นี่ยังสอนผิดๆ สอนให้เอาไอ้กิเลสตัณหามาเป็นผลของโลกอื่นซะอีก ทีนี้ข้อสุดท้ายของสัมมาทิฏฐิพื้นฐานนี่ มีอยู่คำหนึ่งว่า ผู้ทำได้สำเร็จในเรื่องนี้มันมี นี่รู้ความฉลาด อ้า, ของบัณฑิต นักปราชญ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ท่านฉลาดรอบคอบกว่าคนสมัยนี้มาก เมื่อท่านได้แสดงอะไรต่างๆ ไปครบถ้วนแล้ว ท่านขมวดเป็นคำสุดท้ายว่า ผู้ที่ทำได้หรือประสบความสำเร็จอย่างนี้นั้นมันมี คือสมณพราหมณ์ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ดับทุกข์ทั้งปวงได้นั้น มันมี ความหมายนี่มีใจความสั้นๆ ว่า ให้ลูกเด็กๆ ควรจะเชื่อได้ มองเห็นได้ว่า สิ่งนี้ไม่เหลือวิสัย ไม่เหลือวิสัยของมนุษย์ และไม่เหลือวิสัยของเราเด็กๆ ด้วย เด็กๆ เขาก็แน่ใจ ตั้งใจ พยายามจะประพฤติปฏิบัติให้ตรงตามข้อที่ว่า เรื่องนี้ทำได้ สมณพราหมณ์ผู้ปฏิบัติได้นั้นมันมี ก็หมายความว่า ผู้ที่ประพฤติดีประพฤติชอบ ประสบความสำเร็จ ในเรื่องนี้มันมี เราก็จะได้หวังที่จะได้เห็น หวังที่จะได้ประพฤติตาม ด้วยความเชื่อมั่นว่า มันไม่เหลือวิสัยเลย อย่างนี้เรียกว่า สัมมาทิฏฐิพื้นฐาน แต่คนบางคนไปเรียกว่า ไอ้โลกียสัมมาทิฏฐิ สัมมาทิฏฐิสำหรับโลกีย์ โลกียะ โลกียวิสัย ก็ถูกเหมือนกัน ในข้อนี้เราอย่าไปตีราคาให้มันต่ำ เพราะว่าด้วย อ้า, สัมมาทิฏฐิชนิดนี้เป็นพื้นฐาน จะนำไปสู่สัมมาทิฏฐิชั้นสูงสุดได้ อย่าแยกกันให้มันตรงกันข้ามไปเสีย เป็นฝ่ายหนึ่งไปฝ่ายซ้าย ฝ่ายหนึ่งไปฝ่ายขวา มันมีแต่ว่าพื้นฐาน แล้วก็สูงขึ้นไป สูงขึ้นไป จนถึงสุดยอด นี่สัมมาทิฏฐิพื้นฐานเป็นอย่างนี้ ปลูกฝังกันในลูกเด็กๆ สำหรับต่อสู้กับอนาคตอันใกล้นี้ ที่จะสับสนวุ่นวายยุ่งเหยิงจนหาหลัก หาเกณฑ์อะไรมิได้ เรียกว่าสัมมาทิฏฐิพื้นฐาน ปลูกฝังลงไปตั้งแต่ชั้นอนุบาล ถ้าให้ดีกว่านั้น ก็ก่อนแต่ที่จะส่งโรงเรียนอนุบาลด้วยซ้ำไป พอพูดจากันได้ พูดจากันรู้เรื่อง แล้วก็รีบอบรมไอ้หลักเกณฑ์เหล่านี้ ตามที่จะทำได้อยู่ตลอดเวลา พ่อแม่ก็สอนลูก พี่มันก็สอนน้อง น้องมันก็สอนน้อง อ้า, ต่อลงไปอีก นี่วัฒนธรรมที่ประเสริฐสุดของพุทธบริษัท ที่เคยรอดตัวกันมาแล้ว ที่คนสมัยนี้โง่ ไม่รู้จัก แล้วก็จะไปหาไอ้เรื่องใหม่ ไอ้ระบบใหม่ ซึ่งมันละเมอเพ้อฝัน ข้อสุดท้าย ระบบสุดท้ายก็คือระบบการมีที่พึ่ง เรียกว่าระบบสรณะ หรือสรณาคม กันก็ได้ ให้ลูกเด็กเล็กๆ ตัวเล็กๆ ได้ยินได้ฟังคำว่าสรณะ หรือสรณาคม พูดเป็นไทยๆ ว่าที่พึ่ง เราจะอยู่โดยปราศจากที่พึ่งไม่ได้ นี่เขาพึ่งพ่อ พึ่งแม่ พึ่งอะไรมาตามลำดับ พึ่งครูบาอาจารย์มาตามลำดับ สูงขึ้นไปตามลำดับ หลายๆ อย่าง ก็พึ่งได้ไปตามลำดับ จนกระทั่งถึง อ้า, สิ่งที่เรียกว่าสรณาคม หรือพระรัตนตรัย คือพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ให้รู้จักพระพุทธเจ้า ว่าเป็นที่พึ่งได้อย่างไร พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่งได้อย่างไร ครั้งแรกก็ไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหน แล้วจะทำอย่างไรดี ให้ลูกเด็กๆ เขาจะเข้าใจได้อย่างไร นี่ก็เหมือนกับที่พูดมาแล้วข้างต้น ว่าทุกอย่างมันมีหลักเกณฑ์อย่างนั้น อย่างนี้ เอ่อ, มีบุคคลที่เขารู้ ว่าควรทำอะไร ควรทำอย่างไร แก้ปัญหาได้หมด แล้วตัวพ่อตัวแม่นี่ ได้รอดตัวมาได้ ด้วยความรู้ของพระพุทธเจ้า คือ บุคคลชนิดนั้น แล้วต่อไปลูกเล็กๆ นี่ ก็จะรอดตัวได้อย่างเดียวกัน นี่เอาพระพุทธเจ้าผ่านมาทางพ่อแม่ก่อน ให้ลูกเด็กๆ เขารู้ว่า ไอ้พ่อแม่ที่รอดตัวมาได้ก็ความรู้ของพระพุทธเจ้านะ ไอ้ตัวเล็กๆ นี่ จะต้องทำต่อไป พระพุทธเจ้าสอนให้ทำถูก คำสอนของท่านคือพระธรรม คนเราปฏิบัติได้คือ พระสงฆ์ พ่อแม่ก็เป็นพระสงฆ์ ต่อไปลูกเล็กๆ นี่ก็จะเป็นพระสงฆ์ นี่มันสอนพร้อมกันไปในตัว คือว่า พึ่งพระรัตนตรัยที่ตนสร้างขึ้นมาเอง มันไม่ขัดกับหลัก ที่กล่าวว่าทุกคนต้องพึ่งตัวเอง ทีนี้พึ่งตัวเองนะพึ่งอย่างไร ก็คือตัวเองนะ สร้างพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ขึ้นมาในตัวเอง แล้วมันก็พึ่งได้ ถ้าสอนไม่เป็นมันก็จะเกิดแยกเด็ดขาดกันออกไป จนเป็นพึ่งผู้อื่น อย่างนี้มันผิดหลักพระพุทธเจ้าสอนไว้ ว่าต้องพึ่งตัวเอง ท่านสอนให้พึ่งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็ต้องให้เห็นชัด ดังว่า นี่เราสร้างขึ้นมาด้วยการประพฤติปฏิบัติของเรา เราจึงพึ่งตัวเองได้ตามที่พระพุทธเจ้าสอน และการพึ่งตัวเองได้นั่นแหละคือพระธรรม พระสงฆ์นั้นเก่งที่สุดในการที่จะพึ่งตัวเองคือ ประพฤติปฏิบัติถูกต้องแล้ว มันเป็นที่พึ่งแก่ตัวเองได้ นี่อาตมายกตัวอย่างมาให้ฟังเพียง ๕ ข้อ ว่าระบบศีลธรรมที่จะปลูกฝังเข้าไปในลูกเด็กๆ ตาดำๆ ยังอมมืออยู่นี่ จะต้องทำกันอย่างไร ถ้าทำถูกแล้วจะเป็นอย่างไร มันจะวิเศษเหลือที่จะวิเศษแหละ แต่เราก็ยังไม่เข้าใจก็ได้ ยังไม่มองเห็นก็ได้ เพราะเราเองกำลังเป็นลูกเด็กๆ เสียเอง ยังไม่เข้าถึงสิ่งเหล่านี้ เหมือนกับลูกเด็กๆ ด้วยเหมือนกัน ขออภัยพูดอย่างนี้หน่อย ว่าคนที่อายุมากหัวหงอกแล้ว ก็ยังทำอย่างนี้ไม่ได้ ยังไม่รู้จักพระรัตนตรัย ยังไม่รู้จักไอ้สัมมาทิฏฐิพื้นฐาน ยังไม่รู้ว่าสิ่งต่างๆ ต้องเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ไม่รู้ว่าทุกอย่างมันมีปฏิกิริยาอย่างถูกต้อง สมตามไอ้การกระทำ การกระทำนั้นเสมอไป และคนแก่ๆ เหล่านี้ก็มักจะลืมเสียว่า สัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น เพราะมันยังด่าเขาอยู่ ยังไม่สงสารเขาเลย ถ้าเขาทำผิดก็จะด่าเขาตะพรึด ไม่ช่วยแก้ไขเขาด้วยความเมตตา กรุณา มันมีเลือดแห่งภูตผีปีศาจสิงอยู่ในใจ พร้อมจะด่าคนอื่น ไม่มีความรู้สึกว่าสัตว์ทั้งหลาย เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น จึงขอฝากไว้ ด้วยตัวอย่างที่ยกมาให้ดู ๕ อย่างด้วยกันนี้ว่า ไอ้ลูกเด็กๆ ตาดำๆ ต่ำกว่าชั้นอนุบาล ก็รีบอบรมสั่งสอนเขาเถิด ให้เขารู้สึกยอมรับด้วยใจจริงว่า ทุกคนเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย ทุกอย่างที่เรากระทำลงไป มันมีปฏิกิริยา เช่นเราวางเท้าลงไปดังๆ บนพื้น มันก็เป็นเสียงปังๆ ขึ้นมา นั่นมันเป็นปฏิกิริยา แล้วพ่อแม่เขาทนไม่ได้ เขาก็จะโขกตาตุ่มเอา นี่มันก็เป็นปฏิกิริยา นี่สอนกันจริงๆ อย่างนี้ดีกว่า ไม่ต้องอ้างพระคัมภีร์ อะไรที่ไหน ทุกอย่างมันมีเหตุมีปัจจัย เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ไม่มีอะไรที่เป็นตัวมันเอง คือเป็นตัวตนโดยเด็ดขาดในตัวมันเอง มีแต่กระแสแห่งความเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ให้เขารู้วิทยาศาสตร์อันลึกซึ้งของธรรมชาติ ไปเสียตั้งแต่ยังเล็กๆ ก็มีสติปัญญาอันถูกต้องและมั่นคง เขามีสัมมาทิฏฐิที่ต้องเชื่อในเบื้องต้นอย่างนี้ก่อน แล้วก็ค่อยเจริญงอกงามไปในทางที่ถูกต้อง จนกว่าจะสูงสุด ตลอดเวลาเขามีตัวเองเป็นพระพุทธ เป็นพระธรรม เป็นพระสงฆ์ แล้วก็ไม่ต้องอวดดี เพราะมีการกระทำถูกต้อง ปฏิบัติให้เกิดพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ขึ้นมา ในการประพฤติกระทำในชีวิตประจำวันของเรา พิจารณาดูเถิดว่า ไอ้ลูกเด็กๆ นี่มันจะวิเศษสักเท่าไร สักเท่าไร เป็นบุญ เป็นกุศลสักเท่าไร ที่ได้มีบิดา มารดา อย่างนี้ และบิดา มารดานั่นเอง ก็จะรู้สึกว่าเรานะมันมีบุญกุศลสักกี่มากน้อย ที่มีลูกมีหลานอย่างนี้ แม้ว่าเราจะต้องเหน็ดเหนื่อยสักหน่อย ที่จะต้องอบรมขึ้นมาด้วยตนเอง ข้อนี้อาตมาถือว่าเป็นเรื่องสำคัญที่สุดที่จะต้องเสียสละ อุทิศชีวิต อุทิศเวลา อุทิศเรี่ยวแรง ทำให้มันเกิดขึ้นมา
หัวข้อต่อไป จะพูดที่เวลามันเหลืออยู่นี่ ก็จะพูดเกี่ยวไปถึงไอ้สิ่งที่เรียกว่า ศาสนา สิ่งที่เรียกว่า ศาสนา ถูกเข้าใจผิด แล้วก็ถือไว้ทั้งที่มีความเข้าใจผิดคือ เป็นพิธีรีตองไป เพราะว่าลูกเด็กๆ ไม่ได้รับการอบรมมาอย่างถูกต้อง อย่างที่กล่าวมาแล้วนั่นเอง ดังนั้น เขาก็จึงรับเอาคำว่า ศาสนาไปอย่างละเมอเพ้อฝัน ไปอยู่ในรูปแบบของพิธีรีตอง ถ้าเด็กได้รับการอบรมในระบบศีลธรรม ๕ ประการ อย่างที่ว่ามาแล้ว มันก็จะไม่มีไอ้สิ่งที่เรียกว่า ศาสนา ในความหมายที่ลางเลือน หรือเพ้อฝัน เราเขียนให้เขาจำ อ้า, เรา เรา เราบอกให้เขาจด ให้เขาจำ ให้เขาเขียนไว้ ให้เขาท่องไว้ มันก็ยังไม่พ้นที่จะเป็นไอ้สิ่งละเมอเพ้อฝัน เราพูดว่า ศาสนา แล้วก็แปลให้เขาฟังว่า คำสั่งสอน แล้วก็ไม่ ไม่บอกว่าสั่งสอนอย่างไรด้วยซ้ำไป เขาก็มีศาสนาที่เป็นละเมอเพ้อฝัน เดี๋ยวนี้เราก็ไม่บอกเขาก็ได้ แต่เรากระทำกับเขาอย่างที่พูดมาแล้ว ๕ ประการ นั้นนะ คืออบรมลูกเล็กๆ ให้มันมีความรู้สึกว่าสัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย นั่นนะ เด็กมันมีศาสนาตั้งครึ่งตั้งค่อนแล้ว โดยไม่ได้ยินคำว่าศาสนาก็ได้ อบรมเขาให้รู้สึกว่าทุกอย่างมีปฏิกิริยา ทุกอย่างเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยนี่ มันมีศาสนาอันลึกซึ้งแล้ว ในตัวลูกเด็กๆ นั้น ให้เขามีสัมมาทิฏฐิพื้นฐานได้เท่าไร ก็ยิ่งมีศาสนามากขึ้น เขามีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ที่เขาสร้างขึ้นมาเองได้นั้น เขามีศาสนาถึงที่สุด นี้เราไม่ได้ทำ ไม่ได้อบรมอย่างนั้น เราก็ได้แต่พ่นน้ำลาย ว่าศาสนา ศาสนา กรอกหูลูกหลานจนกระทั่งบัดนี้ มันก็ไม่มีศาสนาขึ้นมาได้ พอไปถึงโรงเรียนก็เป็นอย่างนั้นอีก ไปเข้ามหาวิทยาลัยก็เป็นอย่างนั้นอีก ไปเรียนเมืองนอกเมืองนามาก็ไม่พ้นจากความเป็นอย่างนั้น ไอ้ลูกหลานเราก็ไม่มีศาสนา ไปคิดดูกันเสียใหม่ว่า มันกำลังไม่มีศาสนาในความหมายที่ถูกต้อง คือ การประพฤติปฏิบัติที่เอาตัวรอดได้ คำว่าศาสนาขอให้ระบุไปยังตัวการประพฤติปฏิบัติ ที่ทำให้เอาตัวรอดได้ ไม่ใช่คำพูดที่จดไว้เป็นพระคัมภีร์ และไม่ใช่ปรัชญาเพ้อฝันอย่างที่คนเดี๋ยวนี้เขาเข้าใจกัน เพราะเขาติดฝิ่นปรัชญา ไม่มีการประพฤติปฏิบัติ เป็นเรื่องความคิดฝันทั้งนั้น เราจะต้องทำให้เด็กของเรามีศาสนา ในวิธีการที่เป็นไปได้อย่างนี้ ไม่ต้องท่องจำก็ได้ ไม่ต้องให้ท่องบ่นในลักษณะที่มันศักดิ์สิทธิ์ก็ได้ เว้นไว้แต่ว่าเมื่อมันไม่มีทางออกอย่างอื่นแล้ว ให้เขาท่องบ่นไว้ในฐานะเป็นของศักดิ์สิทธิ์ก็ได้ ท่อง อิติปิโส เป็นศาสนาก็ได้เหมือนกันนะ มันยังดีกว่าไม่ ไม่ ไม่รู้จักท่องอะไรเสียเลย เดี๋ยวนี้มันยังมีอะไรดีกว่านั้น คือการอบรมลงไปในความรู้สึก ในจิตในใจจริงๆ อย่างที่กล่าวมาแล้ว นี่เรียกว่าจะต้องอบรมเด็กให้มีศาสนา ในลักษณะที่กล่าวมาแล้วนั้น เด็กๆ จะต้องกลับมีศาสนา คือ มีความรู้สึกอยู่ในใจว่า สัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น บรรพบุรุษเคยถืออย่างนี้อยู่ในสายเลือด เด็กๆ จะต้องมี เอ่อ, พระเจ้าที่ถูกต้อง คือ สิ่งสูงสุดที่เขาจะต้องเชื่อฟัง คือ เรื่องบาปบุญคุณโทษ แล้วเด็กๆ จะต้องมีหิริโอตัปปะเป็นผลสุดท้ายของการมีศาสนา คือ ละอายบาป เกลียดบาป กลัวบาป ถ้ายังทำให้เด็กๆ มีความรู้สึกอย่างนี้ไม่ได้ ก็เรียกว่าเรายัง พ่อแม่นี่เหลวไหล ล้มเหลว ในการที่จะทำเด็กให้มีศาสนา ถ้าเรามองเห็นว่าเด็กๆ ของเรามีหิริโอตัปปะ คือ ละอายบาป กลัวบาป เกลียดบาป แสดงให้เห็นอยู่แล้ว ก็รู้เถิดว่า เขามีศาสนาแล้ว แม้ยังไม่ได้ยินคำว่าศาสนาเลย อาตมาเคยอ่านพบ เอ่อ, ความคิดเห็นของ ของฝรั่งบางคน ที่เราถือกันว่าเป็นคนประเภทมีสติปัญญา เขาเขียนอย่างเห็นด้วยในข้อที่ว่า ถ้าเด็กๆ มีศาสนา มีพระเจ้าแล้ว จะเป็นการง่ายที่จะทำให้ อ้า, คนในโลกนี้มีความสุข เดี๋ยวนี้การศึกษามันเฟ้อจนเด็กไม่มีโอกาสที่จะมีศาสนา ครูบาอาจารย์ไม่มีเวลาที่จะอบรมให้มีศาสนา เพราะมีแต่การศึกษาเฟ้อ พูดแล้วมันก็เหมือนกับว่าดูถูกกัน ดูหมิ่นกัน ประณามกันว่า มันมีแต่การศึกษาเฟ้อ จัดการศึกษากันอย่างไร มีแต่การศึกษาเฟ้อ เฟ้อจนเด็กๆ ไม่มีศาสนา ไม่มีพระเจ้า เพราะว่าไอ้คนจัดนั่นแหละมันโง่เอง ว่าศาสนาไม่จำเป็น พระเจ้าไม่จำเป็น เด็กเลยไม่มีศาสนา ไม่มีพระเจ้า ถ้าเด็กมันมีความรู้สึกที่เป็นศาสนา มีพระเจ้า คือ สิ่งสูงสุดที่จะควบคุมมนุษย์ ก็เป็นการง่ายที่ ที่จะทำให้โลกนี้มันมีความสงบสุข ดังนั้น เราจะต้องสอนเด็กๆ อบรมเด็กๆ คือว่า ดูแลให้มีการประพฤติปฏิบัติอย่างถูกต้อง อย่างที่กล่าวมาแล้ว ๕ ประการ นั้น ทีนี้ วิธี อ้า, ที่จะสอนให้เข้าใจถึงเรื่องลึกซึ้ง นี่มันก็ยากลำบากมากอยู่ จะสอนทีเดียวก็ไม่ไหว ดังนั้น ก็ค่อยสอนไปโดยลักษณะ การเปรียบเทียบ จะยกตัวอย่างว่าจะสอนปรมัตถธรรมอันลึกซึ้ง ไม่ยึดมั่นถือมั่นอันสูงสุดให้แก่เด็กๆ นี้ จะสอนกันอย่างไร อาตมาจะยกตัวอย่างว่า มันก็จะสอนให้เขาสังเกตดูว่า ไอ้หัวเราะนี่เป็นอย่างไร ไอ้ร้องไห้นี่เป็นอย่างไร คือให้รู้จักเปรียบเทียบ ความดีใจกับความเสียใจนี่ ว่ามันเป็นอย่างไร มันต่างกันอย่างไร หรือมันเหมือนกันอย่างไร ให้หัวเราะทั้งวันมันก็ไม่เอา ให้ร้องไห้ทั้งวันมันก็ไม่เอาอยู่แล้ว แต่ให้หัวเราะทั้งวันมันก็ไม่เอา มันก็ทำไม่ได้ จึงให้เขาคิดดูว่า ไอ้การหัวเราะนี่มันดีที่ตรงไหน การดีใจมัน มัน มัน มันวิเศษที่ตรงไหน ถ้าเราอยู่กลางๆ ไม่ต้องรู้สึกดีใจ เสียใจ มันสบายกว่าหรือไม่ นี่ก็สอนถึงปรมัตถ์ชั้นสูงสุดที่คนแก่ๆ เขาก็ไม่ค่อยเข้าใจเพราะคนแก่ๆ เขาก็ชอบยินดีแล้วเผลอก็ยังชอบยินร้าย ยังโกรธง่าย ยังสงวนไว้ซึ่งสิทธิที่จะโกรธ จะด่าคน จะดื้อดึงครูบาอาจารย์ นี่ ยังเป็นอยู่อย่างนี้ สูงขึ้นไปก็ให้เปรียบเทียบ ไอ้การได้มากับการเสียไป ก็อย่าให้มันต่างกันนัก ได้มาก็ไม่ต้องดีใจ เสียไปก็ไม่ต้องร้องไห้ กระทั่งการแพ้และการชนะ ที่ครูที่โรงเรียนเขาสอนให้หลงใหลกันนัก ในเรื่องการกีฬา นั่นมันเป็นเรื่องบ้านะ ดูให้ดีๆ นะ ไปหลงเรื่องชนะกีฬา ลิงโลดอยู่ แล้วก็ร้องไห้ หรือเสียใจเมื่อแพ้กีฬา นี่ก็คล้ายๆ กับทำคนให้บ้า ไม่ทำคนให้อยู่ในระดับกลางๆ ที่จะเข้าใจสิ่งต่างๆ อย่างถูกต้อง นี่สอนให้ลูกเล็กๆ มันรู้จักเปรียบเทียบเท่าที่มันจะเปรียบเทียบได้ ในชั้นแรกก็อย่าให้ลึก หรือยากเกินไป แล้วก็ให้ลึก ลึก ลึกสูงขึ้นมา จนมันสมัครที่จะเลือกเอาว่า เราจะอยู่ในระหว่างกลาง ไม่ดีใจ ไม่เสียใจ ไม่หลงใหลในการชนะ อ้า, หรือยึดมั่นในการแพ้ การพ่ายแพ้ เด็กๆ อายุไม่กี่ปี ยังไม่ทันจะเป็นวัยรุ่นด้วยซ้ำไป อาจจะเข้าใจได้ นี่เรียกว่ารู้ปรมัตถธรรมชั้นสูงในพระพุทธศาสนา ในขั้นหัวใจกันทีเดียว จะได้ปลูกฝังรากฐานแห่งความไม่ยึดมั่นถือมั่น เป็นตัวกู ของกู ไว้ดีแล้ว ก็จะเจริญงอกงามในเวลาอันสั้น เขาก็จะมีจิตใจเป็นอิสระจากกิเลส มีจิตใจหลุดพ้นตามความมุ่งหมายของศาสนา ไม่ว่าศาสนาไหน ต้องการจะหลุดพ้นจากความทุกข์ที่เกิดมาจากไอ้ความรู้สึกเป็นตัวกูของกูด้วยกันทั้งนั้น นี่อาตมากำลังพูดอย่างนี้ มันจะมากไปแล้วหรืออย่างไร วันนี้ เราก็ว่าเป็นการล้ออายุกัน ที่อายุได้ประสบกับสิ่งเหล่านี้ ในลักษณะที่โง่บ้าง ฉลาดบ้าง เอามาล้อกันเล่น ไว้ไปคิดไปนึก แล้วก็สะสางให้มันถูก ยิ่งขึ้นไปกว่าเดิม ขอให้ท่านทั้งหลาย ฟังให้ดี เอาไปคิด ไปนึกพิจารณาดูให้ดี อาตมาเชื่อว่า มันคงจะมีประโยชน์ เพราะเราได้พูดกันในขอบเขตที่กว้างขวาง คนแก่ก็พูด คนหนุ่มก็พูด วัยรุ่นก็พูด เด็กๆ ก็พูด ประโยชน์แก่ตนเองก็พูด ประโยชน์แก่ผู้อื่นก็พูด ประโยชน์แก่ เอ่อ, สันติสุขของโลกทั้งโลกก็ได้พูด ก็พูดในลักษณะที่ว่า เราผิดพลาดมาแล้วอย่างไร ต่อไป อ้า, เราจะทำให้ถูกต้องกันอย่างไร นี่จะเรียกว่าไม่เสียทีที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ และพบพระพุทธศาสนา คือจะเข้าใจอะไรๆ ลึกเข้าไป ลึกเข้าไป ไม่ ไม่หยุดอยู่กับที่ จะรู้จักพระศาสนาลึกเข้าไปจนถึงที่สุด รู้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ลึก ลึก ลึก ไปตามลำดับ จนถึงที่สุด จนตัวเองนั่นแหละ เป็นพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เสียเอง อย่างนี้แหละ จะไม่ อ้า, ไม่เสียทีที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ และพบพระพุทธศาสนา นี่คือความผิดพลาดที่ได้กระทำกันมา ในชีวิตประจำวัน ในการเป็นอยู่ประจำวัน ในระดับของประชาชน ชาวบ้าน ชาวเมืองทั่วๆ ไป ในที่สุดนี่ก็เห็นว่า บัดนี้ ก็เป็นเวลาสมควรของการบรรยายในภาคบ่ายนี้ เหลือไอ้เรื่องที่ยากกว่านี้ อ้า, ไว้พูดกันในการบรรยายภาคค่ำ คือ เวลาสามทุ่ม ซึ่งเป็น อ้า, เวลาที่เยือกเย็น จะพูดเรื่องลึกซึ้งได้ ขอยุติ การบรรยายภาคบ่ายนี้ ไว้แต่เพียงเท่านี้