แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านสาธุชน ผู้สนใจในการบำเพ็ญบุญ ที่เรียกกันว่าล้ออายุ ทั้งหลาย อาตมาจะได้บรรยายเกี่ยวกับการล้ออายุ ต่อจากที่ได้บรรยายแล้วในตอนเช้าติดต่อกันไป ขอบอกให้ทราบว่า เพราะ อ้า, เว้นอาหาร ไม่ฉันในวันนี้ จึงได้มีความสามารถมาบรรยายต่ออีกครั้งละ ๓ ชั่วโมง สัก ๒ ครั้ง ถ้าฉันอาหารอย่างธรรมดาก็ต้องขอไปนอน ก็เวลานี้เป็นเวลาที่นอน เพราะเหตุที่ว่าเว้นอาหารเสียทั้งวัน วันนี้ ก็มีกำลังแห่งมันสมอง มาพูดกับท่านได้อีก ๓ ชั่วโมง ๒ หน บางท่านที่ให้ของขวัญอาตมา ด้วยการเว้นอาหารเสียในวันนี้ก็คงจะเป็นอย่างเดียวกัน ถ้ารับอาหารตามธรรมดา ก็คงจะง่วง งัวเงีย หรือไปนอนเสียแล้ว นี่ดูเถิดว่ามันน่าล้อ หรือไม่น่าล้อ วันนี้ก็มีพิเศษ บางท่านก็ให้ของขวัญเป็นศีลอุโบสถ ซึ่งดูเหมือนจะไม่เคยมี วันนี้ไม่ใช่วันอุโบสถ เกิดรักษาศีลอุโบสถ เพื่อให้เป็นของขวัญ คนบางคนไม่เข้าใจว่าไม่ใช่วันอุโบสถ ทำไมจะมารักษาศีลอุโบสถ ข้อนี้ทำได้ คือหลักในพระคัมภีร์นะ เขามีอยู่ว่า เป็นวันพิเศษก็แล้วกัน ไม่ใช่เฉพาะวัน ๘ ค่ำ ๑๕ ค่ำ ถ้าวันเป็นวันพิเศษ แล้วก็มีการสมาทานอุโบสถศีลได้ เดี๋ยวนี้บางท่านคงจะถือว่าเป็นวันพิเศษจึงสมาทานอุโบสถศีลกันเป็นส่วนมาก โดยส่วนตัวก็ขอขอบใจ ขอบคุณ ขอบพระคุณ แล้วท่านทั้งหลายก็คงจะได้รับประโยชน์ และอานิสงส์เพิ่มขึ้นไป เนื่องจากการสมาทานอุโบสถศีล ทีนี้ก็จะขอถือโอกาสพูดเรื่องอุโบสถศีลเสียเลย เพราะว่ารู้สึกว่ามีอะไรบางอย่าง ที่ท่านทั้งหลายคงจะยังไม่เข้าใจ และที่คนเป็นอันมากภายนอกก็ไม่เข้าใจ โดยเฉพาะพวกคน เอ่อ, ที่เขาว่า เขาได้รับการศึกษาดีมาจากเมืองนอกเมืองนา ก็จะไม่สนใจอุโบสถศีล ยิ่งกว่านั้น เขาจะจัดไว้มันใน อ้า, ไว้ในจำพวกที่เรียกกันอย่างแบบใหม่ สมัยใหม่ว่ามันเชยแหลก อุโบสถศีลนี่มันเชยแหลก อาตมาจะคิดว่าคนโง่เท่านั้น ที่จะเห็นว่าอุโบสถศีล นี่มันเชยแหลก สำหรับสมัยนี้ เพราะมองเห็นอยู่ว่าลำพังอุโบสถศีล เท่านั้นแหละ ก็ช่วยโลกได้ และโดยเฉพาะโลกแห่งยุคปัจจุบันนี้ ที่กำลังมีปัญหาหนัก มีวิกฤตการณ์หนัก มีอะไรหนักๆ ปัญหาเหล่านี้จะแก้ให้หายไปหมดได้ ด้วยสิ่งที่เรียกว่า อุโบสถศีล ขอให้ท่านทั้งหลาย เอ่อ, พยายามสังเกต พิจารณาดูให้ดีว่ามันจะเป็นไปได้หรือไม่ พวกที่บ้าปรัชญา ก็จงพิจารณาดูให้ดีว่าอุโบสถศีล นี่มันเป็นปรัชญา ของเศรษฐกิจที่จะแก้ปัญหาของโลกได้หรือไม่ พวกที่เป็นนักวิทยาศาสตร์ก็จงดูให้ดีว่าอุโบสถศีลนี่ มันจะเป็นวิทยาศาสตร์ แห่งเศรษฐกิจ ที่จะแก้ปัญหาของโลกนี้กันได้หรือไม่ เมื่อพูดถึง เอ่อ, เมื่อกล่าวถึงอุโบสถศีล ใครๆ ก็รู้อยู่แล้วว่า ประกอบไปด้วยองค์แปด คือ เป็นศีล ๘ ข้อ รวมกันเข้าแล้ว ก็เป็นอุโบสถศีล ศีล ๕ ข้อแรก มันก็ตรงกับศีลห้าที่รู้จักกันอยู่ทั่วๆ ไป ไอ้ ๓ ข้อหลังนี่ เติมเข้ามาให้เป็น ๘ เลยได้ศีล อ้า, มีองค์แปด คือ ศีล ๘ ข้อรวมกันเข้าเป็นศีลเดียว เรียกว่าอุโบสถศีล สมัยนี้ มีความเสื่อมทรามทางศีลธรรม เราก็พูดกันมาก ถึงการแก้ปัญหานี้ คือ จะทำให้ศีลธรรมกลับมา มีคนถามขึ้นด้วยความรู้สึก อะไรก็ตามใจเขาว่า ไอ้ศีลห้านั่นหรือ จะกลับมา เพื่อทำให้มนุษย์นี้มีศีลธรรม การที่เขาถามอย่างนี้ อ้า, การที่เขาถามอย่างนี้ ก็ย่อมแสดงอยู่แล้วว่า เขาไม่รู้จักสิ่งที่เรียกว่าศีลธรรม ขอให้สังเกตดูให้ดี ถ้าเขา อ้า, เข้าใจหรือรู้จักสิ่งที่เรียกว่าศีลธรรมก็จะไม่ถามอย่างนี้ เรามาพิจารณาดูกันถึงตัวศีลเหล่านี้ ให้รู้จักกันจริงๆ เสียก่อน ขออภัยที่จะกล่าวว่า ท่านอุบาสก อุบาสิกาทั้งหลาย ก็รู้จักศีลนี่น้อยเกินไป แม้ที่เรียกว่าศีลห้า ท่านรู้จักแต่ตัวหนังสือ หรือ ความหมายตามตัวหนังสือเกินไป ข้อนี้ไม่ตรงตามที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ ว่าจะต้องมีความรู้ความเข้าใจให้ถูกต้อง ทั้งโดยพยัญชนะ และโดยอรรถะ หรือถูกต้องทั้งโดยตัวหนังสือ และโดยความหมายที่แท้จริงตามตัวหนังสือนั้น สำหรับศีลห้าก็บอกกันแต่ว่า ไม่ฆ่าสัตว์เป็นข้อที่ ๑ ไม่ลักทรัพย์เป็นข้อที่ ๒ ไม่ทำชู้หรือผิดลูกผิดเมียเขาเป็นข้อที่ ๓ ไม่พูดเท็จเป็นข้อที่ ๔ ไม่ดื่มน้ำเมาเป็นข้อที่ ๕ นี้จะเรียกว่าตรงตามตัวหนังสือ ที่แท้ก็ไม่ตรงตามตัวหนังสือนัก แต่เมื่อถือกันเสียอย่างนี้แล้วก็เข้าใจกันเพียงเท่านั้น นั่นแหละคือเป็นความโง่ของพวกพุทธบริษัทชนิดนี้อยู่ในตัวเอง ขอให้พยายามทำความเข้าใจเสียใหม่ ข้อที่ ๖ ก็ว่าไม่กินข้าวตอนเย็น ข้อที่ ๗ ก็ไม่ อ้า, ประดับ ประดา ตกแต่ง ข้อที่ ๘ ก็ว่าไม่นอนบนฟูก ที่นอนสูงใหญ่ นี้ก็ยังเป็นความเข้าใจที่แคบ ขออภัยที่จะใช้คำว่ายังโง่อยู่นั่นเอง ถ้าจะโกรธเพราะว่าอย่างนี้ก็หยุดไว้ก่อน เดี๋ยวจะฟังไม่รู้เรื่อง ข้อที่ ๑ ขอให้ถือเอาใจความว่า จะไม่ประทุษร้ายร่างกาย และชีวิตของสัตว์อื่น คือ ไม่เบียดเบียน อ้า, อวัยวะ ร่างกาย หรือชีวิต ก็เป็นอันว่า จะทำการฆ่าอย่างที่กำลังฆ่ากันอยู่นี่ไม่ได้ โดยวิธีใดๆ ก็ตาม ที่ทำให้คนอื่นต้องตาย หรือต้องเจ็บ ศีลข้อที่ ๒ นั้น จะไม่ประทุษร้ายทรัพย์สมบัติของผู้อื่น ไม่ใช่เฉพาะการลักอย่างเดียว การทำอย่างใดๆ ถ้ามันเป็นการประทุษร้ายทรัพย์สมบัติของผู้อื่นแล้ว กี่สิบอย่าง กี่ร้อยอย่าง ก็สุดแท้ ก็เรียกว่าผิดศีลข้อนี้ ศีลข้อที่ ๓ ถ้าเป็นอย่างศีลห้า ก็ต้องเอาความตามตัวหนังสือนั้นว่า ไม่ประทุษร้ายของรักของผู้อื่น ข้อนี้ อ้า, ไม่ได้หมายเฉพาะเรื่องสามี ภรรยา ที่เรียกกันว่าเป็นชู้ ของรักใดๆ ของผู้อื่น ก็ต้องไม่ประทุษร้ายให้เขาเจ็บใจ ไม่ได้หมายถึงไปลักเอามา เพียงแต่ประทุษร้ายให้เขาเจ็บช้ำน้ำใจ ก็ผิดศีลข้อนี้ อย่างเด็กๆ นี่ ก็ต้องถือศีลข้อนี้ เด็กๆ อย่าไปแตะต้องของรักของเด็กอีกคนหนึ่งซึ่งเขาจะเสียใจ เขาไม่ชอบ ถือความหมายอย่างนี้เรื่อยขึ้นไป จนถึงเรื่อง บุตร ภรรยา สามี ก็ไม่ล่วงเกินน้ำใจของผู้อื่น เกี่ยวกับของรัก ถ้าถือ ถืออย่างอุโบสถศีล เรียกว่า อพรหมจริยา ก็เรียกว่าการประพฤติที่ไม่น่าดู ไม่งดงาม เกี่ยวกับเรื่องเพศ เกี่ยวกับสิ่งที่เป็นที่รัก อ้า, ที่พอใจในทางเพศก็ต้องเว้นหมด หลายอย่าง หลายประการ เป็นอย่างเล็กๆ น้อยๆ หรืออย่างมาก หรืออย่างถึงที่สุด ก็ต้องเว้นด้วยกันทั้งนั้น คือเว้นกิจกรรมที่เป็นการกระทำระหว่างเพศทุกระดับ ทีนี้ข้อที่ ๕ ก็ต้องไม่ประทุษร้าย อ้า, ทีนี้ข้อที่ ๔ โดยทั่วไป ก็คือ มุสาวาทนี่ ไม่ประทุษร้ายความเป็นธรรม ความถูกต้อง ความยุติธรรมของผู้ใด ด้วยวาจา หรือด้วยสัญลักษณ์ใดๆ ที่ใช้แทนวาจาได้ ทำไม้ทำมือ ทำกิริยาอาการ บุ้ยใบ้ หรืออะไร ก็ได้เหมือนกัน มันเป็นวาจาชนิดหนึ่งด้วยเหมือนกัน ไม่ประทุษร้าย อ้า, ความถูกต้อง หรือความเป็นธรรมของผู้อื่นด้วยวาจา ก็กินความหมด ไม่เหลือไว้ให้สำหรับแก้ตัว นี้ข้อที่ ๕ สุรา นี่ ไม่ประทุษร้าย สติสมปฤดี ของตนเอง ที่มันระบุอยู่ในตัวศีลว่า สุราเมรยมชฺช นะ ก็เป็นตัวอย่างเป็นการดื่มน้ำ อ้า, สุราและเมรัย เป็นต้น ตัวศีลมันอยู่ที่ ปมาทัฏฐานะ สิ่งซึ่งเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท ความประมาทนั่นแหละ คือเสียสติสมปฤดี สิ่งใดทำให้เกิดการเสียสติสมปฤดี สิ่งนั้นต้องเว้นหมด ขอให้เว้นทุกอย่างที่ทำให้ อ้า, สติสมปฤดีตามปกตินั้นเสียไป แล้วคนก็ทำอะไรๆ ที่ไม่ควรจะทำได้ ศีลห้า อ้า, ข้อที่ ๕ จะต้องถือกันอย่างนี้ ดังนั้น ความหลงใหลใดๆ ก็ตาม ที่มันทำให้เสียสติสมปฤดี แล้วก็ต้องเว้น ทั้ง ๕ ข้อนี้ ถ้าทำแล้ว โลกนี้จะเป็นอย่างไร ไม่มีการประทุษร้าย อ้า, ชีวิต ร่างกาย ทรัพย์สมบัติ และของรัก หรือความเป็นธรรม หรือสติสมปฤดีของตัวเองเลย แล้วโลกนี้จะเป็นอย่างไร โลกปัจจุบันนี้ ถ้าถือศีลห้าอย่างถูกต้องตามความมุ่งหมายแล้วจะเป็นอย่างไร ทีนี้เหลืออีก ๓ ข้อ ที่ผนวกเข้ามาเป็นศีลอุโบสถ วิกาลโภชนา นั้นนะ อย่าหลับตาถือเพียงว่าไม่กินอาหารเย็น อ้า, ขอให้ใช้ความหมาย หรือจำกัดความหมายลงไปว่า จะเว้นอาหารส่วนเกินทุกชนิดนะ เย็นไม่เย็นก็ไม่รู้ เว้นอาหารส่วนเกินเสียก็แล้วกัน ที่คนสมัยนี้กินกันเป็นบ้าเป็นหลัง ร้านอาหารเปิดได้ ๒๔ ชั่วโมง เพราะคนโง่เหล่านี้ ไปเว้นอาหารส่วนเกินเสีย ก็เป็นศีลข้อที่ ๖ ข้อที่ ๗ นัจจคีตวา กระทั่ง มาลาคันธ ให้เว้นการประดับประดาตกแต่ง หรือสิ่ง อ้า, ประเล้าประโลมใจที่เป็นส่วนเกินเสีย การประดับประดาตกแต่งที่เป็นส่วนเกินให้เว้นเสีย ดังนั้น จึงมีว่าให้แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าที่ธรรมดาสามัญที่สุด การประดับที่จำเป็นก็ทำได้ ส่วนเกินมันก็ไม่ต้อง เช่นจะใส่เพชร ใส่ทอง เอาความมั่งมีมาอวดกัน อย่างนี้มันเป็นความโง่ ในส่วนเกินอื่นๆ เช่นการฟ้อนรำ ขับร้อง ดีด สี ตี เป่า นั้น มันเป็นการประเล้าประโลมใจส่วนเกิน ให้เว้นเสีย นี่ส่วนเกินของการประดับตกแต่ง ประเล้าประโลมใจนี่ให้เว้นเสีย ก็ไม่มีไอ้เรื่องชนิดนี้ตลอดวันตลอดคืนเหมือนที่ส่งอยู่ทางวิทยุทั่วไปทั้งโลกในเวลานี้ ซึ่งมันเป็นส่วนเกิน เราก็เว้นเสีย ข้อที่ ๘ เว้นเครื่องใช้สอย ที่นั่งที่นอนชนิดที่เป็นส่วนเกินเสีย เช่นว่า เรา เรานั่งเสื่อ อ้า, อย่างที่นั่งอยู่นี้มันเป็นธรรมดาสามัญ ก็ต้องใช้ฟูกเบาะอะไรที่มันหนาขึ้นมานี่ ก็เรียกว่ามันเป็นส่วนเกิน เว้นส่วนเกินที่เกี่ยวกับที่นั่งที่นอน เครื่องใช้ไม้สอยต่างๆ เสีย ขอให้เลยไปถึงเครื่องใช้ไม้สอยทุกอย่าง ถ้ามันเป็นส่วนเกินแล้วก็ไม่ควรจะมี ศีลที่พ่วงเข้ามาอีก ๓ ข้อสุดท้าย คือ อ้า, ต่อจากศีลห้านี่ เรียกว่าเป็นส่วนเกินทั้งนั้น เว้นส่วนเกินเกี่ยวกับอาหารเสีย โลกนี้จะเป็นอย่างไร ส่วนเกินเกี่ยวกับ การแต่งตัว เครื่องนุ่มห่ม เครื่องประดับ เกี่ยวกับเนื้อกับตัว หรือเครื่องประเล้าประโลมใจชนิดที่เป็นที่ตั้งแห่งกิเลสนั้นเสีย ไปหาเครื่องประเล้าประโลมใจที่ไม่เป็นที่ตั้งแห่งกิเลส คือ ธรรมะ หรือว่า การแสดงด้วยวัตถุสิ่งของ รูปภาพอะไรก็ตาม ที่ประเล้าประโลมใจได้แล้วเป็นไปเพื่อธรรมะเสีย ข้อสุดท้าย เว้นส่วนเกินที่เกี่ยวกับที่นั่งที่นอนเสีย แล้วโลกนี้จะเป็นอย่างไร นี่เสียเวลา อ้า, เสียเงิน เสียอะไรมากมายเกี่ยวกับส่วนเกิน ไปดูที่นั่ง เก้าอี้ที่นั่ง ที่ อะไรที่เขาเรียกว่าชั้นดีของ แม้แต่เพียงห้องรับแขกนี่มันก็กี่มากน้อย และที่อยู่จริงใช้จริง อะไร มันอีกกี่มากน้อย ไม่รู้ว่ามันมีส่วนเกินกันที่ตรงไหน รวมกันทั้งโลกแล้วมันก็เสียอะไรไปสักเท่าไร ขอให้ท่องไว้สักอย่างหนึ่งว่า ส่วนเกินแล้วก็ทิ้งเสีย เรื่องอาหารการกินก็ดี เรื่องนุ่งห่มก็ดี เรื่องเครื่องใช้ไม้สอยก็ดี แล้วโลกนี้ก็จะดีขึ้น หรือหมดปัญหาไปในทางเศรษฐกิจ อย่าให้คนในโลกนี้มันมัวบ้า เรื่องส่วนเกิน เกี่ยวกับอาหาร เครื่องประดับ นุ่งห่มใช้สอยเลย แล้วทำไมมันทำไม่ได้ เพราะว่ากิเลส อ้า, มันเป็นเจ้าเรือน มันยึดครองจิตใจคนเหล่านี้ไว้ก่อน คนโบราณเขาเข้าใจเรื่องนี้ ก็บัญญัติไว้ดี แต่ดีชนิดที่ทำให้คนสมัยนี้โง่ นี่ขอให้ช่วยจำไว้ด้วย ว่าคนโบราณ บรรพบุรุษดึกดำบรรพ์นั้นได้ทำอะไรไว้มากอย่าง ชนิดที่ทำให้คนสมัยนี้กลายเป็นคนโง่ คือไม่เข้าใจ แล้วก็ประนามเขา แล้วก็ทำไปในทางผิดๆ ทำให้เกิดปัญหาหรือความทุกข์ขึ้นมากับตัวเอง นี่คือสิ่งที่คนแต่ก่อนเขาทำไว้ สำหรับให้คนเดี๋ยวนี้มันโง่ ข้อนี้รวมทั้งไอ้ ๓ ข้อที่ว่านี้ ส่วนเกินเรื่องอาหาร ส่วนเกินเรื่องเครื่องนุ่งห่ม ส่วนเกินเรื่องเครื่องใช้ไม้สอย เอาไปรวมกันเข้ากับ ๕ ข้อ ข้างต้น ก็เป็นอุโบสถศีล ดังนั้น ก็จะแก้ปัญหาของโลก ในโลกนี้ได้ ที่เราไม่ใช้ส่วนเกิน มันก็ทำให้ลดความต้องการ มันก็จะลดการขโมย การฆ่า แล้วก็ไม่ส่งเสริมความรู้สึกทางกามารมณ์ ต้องการน้อยหรือไม่ต้องการเสียเลย แล้วก็จะพูดเท็จกันไปทำไม เรื่องน้ำเมานั้น ก็มันเป็นส่วนเกินยิ่งกว่าเกิน แต่มันก็แปลกออกไปตรงที่ว่า มันทำให้เป็นคนบ้า ท่านทั้งหลายลองคิดดูทีว่า ไอ้คำสอนทั้ง ๘ ข้อ นี้มันเชยแหลกหรือเปล่า หรือว่ามันทันสมัยจนกระทั่งวันนี้ที่จะช่วยโลกนี้ให้รอดได้ นี่ นี่คือสิ่งที่เราจะช่วยกันคิดดู ในวงภายในเรา พวกพุทธบริษัทจงเข้าใจสิ่งที่เรียกว่า อุโบสถศีลนี้ให้ถูกต้อง แล้วจะได้แสดงให้แก่คนเหล่าอื่นที่เป็นภายนอก ได้เข้าใจด้วย เขาก็จะเข้าใจถูกต้อง แล้วก็ชอบ จะชอบใจบทบัญญัติทางศีลธรรมในพระพุทธศาสนา นี่ข้อที่จะต้องล้อ หรือเอามาล้อมันเป็นอย่างไร ข้อแรกก็คือพุทธบริษัทของเรามันก็เชยแหลกตรงที่ไม่รู้ความหมายของอุโบสถศีลอย่างถูกต้อง และลูกหลานที่ยังไม่รู้อะไรนัก ยังเป็นเด็กๆ ก็พลอยเข้าใจผิดหลงตามไปด้วย ไม่ต้องพูดถึงคนทั้งโลกทั่วๆ ไป ที่เขาหลงใหลในเรื่องเนื้อหนัง ใช้คำว่าเนื้อหนังเมื่อไร ก็ขอให้เข้าใจว่า หมายถึงความสุข สนุกสนาน เอร็ดอร่อยทางอายตนะ ที่ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นไปเพื่อกามารมณ์เป็นส่วนใหญ่ เมื่อเป็นไปเพื่อกามารมณ์แล้ว มันก็ต้องเป็นไปเพื่อโทสะ คือโทสะจะเกิดขึ้นทันทีในเมื่อไม่ได้ตามความต้องการในทางกามารมณ์ เรื่องมันจึงมีมาก ขยายตัวออกไปเป็นไอ้ความโกรธ หรือเป็นความหลง ออกไปจาก ไอ้สิ่งที่เรียกว่า ความโลภ หรือความกำหนัดนั่นเอง อาตมาจึงเอา จึงยกออกมาเป็นข้อ สำหรับจะล้อเกี่ยวกับพุทธบริษัท ว่าล่วงมากี่ปี กี่พันปี ถ้าพูดถึงอายุพระพุทธศาสนาก็ต้องสองพันห้าร้อยยี่สิบปี แล้วเดี๋ยวนี้มันกำลังเป็นอย่างไร สิ่งเหล่านี้ยังมีผลตรงตามความมุ่งหมายเดิมหรือไม่ หรือถูกเอามาจัดไว้ในฐานะเป็นสิ่งที่เชยแหลก นี่ขอพูดคำโสกโดก ตามแบบสมัยนี้กับเขาบ้าง เพราะว่ามันฟังง่ายดี นี้เกี่ยวกับเรื่องอุโบสถศีล ก็รู้สึกขอบคุณท่านทั้งหลายที่สมาทานอุโบสถศีล จัดวันนี้ให้เป็นวันพิเศษ จนถึงกับมีการสมาทานอุโบสถศีล พูดอย่างชาวบ้านก็ว่าให้เกียรติแก่อาตมา อาตมาก็ให้เกียรติกลับไปก็ยังโง่อยู่ ยังถือพุทธ เอ่อ, อุโบสถศีลไม่เต็มตามความหมายก็ได้
อ้าว, ทีนี้เรื่องถัดไปอีก ขอบอกว่าที่นี้อึดอัดสำหรับอาตมา พูดไม่ค่อยออก สู้ที่ตรงโน้นไม่ได้ ทีนี้เรื่องต่อไปที่จะพูดก็คือ เอ่อ, บุญ รู้จักบุญกันหรือเปล่า ที่มันคู่กันกับบาป นี่จะพูดถึงเรื่องบุญก่อน เรื่องบุญ เรื่องบาปนี้ พูดกันมานานเท่าไรแล้ว แล้วมันเข้าใจถูกต้องตรงตามความเป็นจริงกันหรือเปล่า ก็ทุก ทุกๆ คนก็ยังต้องการบุญ และก็ว่าจะไม่เอาบาป บุญ ถ้าบุญจริงมันก็คือ โชคดีที่ได้รับสิ่งที่ตรงกับความต้องการ หรือใช้เป็นประโยชน์ได้ ขอให้สนใจคำว่าใช้เป็นประโยชน์ได้ และตรงกับความประสงค์ ได้มาอย่างนั้นจึงจะเรียกว่าบุญ ถ้าผิดจากนี้ก็เรียกว่าบาป นี้เพื่อจะพูดกันให้ฟังง่าย รู้เรื่องง่าย และมีประโยชน์สำหรับคนสมัยวิทยาศาสตร์นี้ ให้เขาชอบบุญให้จนได้ ไอ้บุญชนิดที่เราบ้าและเมากันนั้นนะ เขาเกลียดนะ ไอ้บุญที่เราบ้า เราเมา เราหลงกันนัก เขาเกลียดนะ คนสมัยใหม่นี่เขาเกลียดนะ จะไปโทษเขาก็ไม่ได้เพราะว่าเราไม่มีบุญชนิดที่แท้ ที่จริง คือสิ่งที่มีประโยชน์ และตรงตามความประสงค์ที่มนุษย์ควรจะมี สมัยนี้ สิ่งใดที่มันมีประโยชน์ตรงกับความประสงค์ที่จะเป็นอยู่ด้วยความสงบสุขในชีวิตนี้ ก็จะเรียกว่า บุญ อาตมา อ้า, รู้สึกว่าตัวเองมีบุญ จะเรียกว่าอวดก็ตามใจ จะเรียกว่าอวดดีเลยไปก็ได้ อาตมาเป็นคนมีบุญ จะยกตัวอย่างให้ฟังสักข้อหนึ่ง คือมีกระดาษม้วนๆ ในห้องน้ำใช้ แล้วก็ไม่เคยขาดมือ แล้วก็ไม่เคยซื้อด้วย คือมันมีมากจนไม่ต้องซื้อ ท่านทั้งหลายคงจะคิดว่าไอ้นี่มันเรื่องเกิน เรื่องเฟ้อ เรื่องเหลือเฟือ ก็บอกว่าอาตมาเป็นโรคชนิดหนึ่งซึ่งต้องใช้กระดาษชนิดนี้เป็นประจำทุกวัน รู้สึกว่ามีบุญที่ทำไมกระดาษนี้มันไม่เคยขาดมือ จึงพอใจกระดาษแม้แต่ม้วนหนึ่ง ถ้าใครเอาสวรรค์วิมานมาแลก ไม่แลกเป็นเด็ดขาดเลย แล้ววิมานนั้น ไม่รู้ว่าจะเอาไปทำอะไร ไม่รู้ว่าจะเอาไปทำอะไรนี่ ขืนเข้าไปเกี่ยวข้องกับวิมานนั้นนะตายแน่ ไม่ได้มานั่งพูดให้ท่านทั้งหลายฟังอยู่ที่นี่ มันมีบุญนะ เพราะมันมีกระดาษม้วนใช้ แล้วมันไม่ต้องมีวิมานมาให้ ซึ่งไปเกี่ยวข้องกันแล้วก็จะตายแน่ ดังนี้ เรียกว่ามีบุญ ช่วยทำความเข้าใจกับคำว่าบุญ ในความหมายนี้ด้วย ว่าเราจะต้องมีบุญที่ได้ประสบสิ่งที่เป็นประโยชน์โดยตรง โดยแท้จริง จะอยู่ในรูปของอะไรก็ได้ มันมีอีกมากมายแหละ จะมีลูกหลานที่ดี จะมีเพื่อนฝูงที่ดี มีบ้านเรือนที่ดี อะไรที่ดีก็ได้ แต่ต้องเป็นชนิดที่ไม่ใช่ว่าเอามาให้แล้วจะเป็นบ้า หรือตายเลย เหมือนกับวิมาน ลองไปคิดดูเถิด เอาวิมานมาให้ แล้วมีไอ้ใครอยู่ในวิมานนั้น ตั้งพัน ตั้งหมื่นแล้ว ไปเกี่ยวข้องเข้ามันก็ตายแน่ จะเรียก ว่าบุญได้อย่างไร นี่เมื่อถามว่า บุญคืออะไร มันก็ต้องมองกันดูให้ดีๆ จำเป็นที่ต้องมี มีแล้วตรงกับความประสงค์ ทำให้อยู่เป็นสุข สะดวกสบายได้ นั่นแหละคือคำว่าบุญ เดี๋ยวนี้ เราก็พูดกันถึงเรื่องบุญ แล้วก็สะสมบุญ บุญชนิดไหนก็ไม่รู้ล้วนแต่เพิ่มบาป บุญที่ท่านต้องการปรารถนา รวบรวมสะสมกัน อ้า, ไว้นั้น มันกลายเป็นเรื่องเพิ่มบาป คือ เป็นบุญที่เพิ่มบาปให้มันมากขึ้น เอามาไว้สำหรับรัก สำหรับหวงแหน สำหรับหลงใหล สำหรับเป็นบ้าไปเลย จนทำให้เขาด่าว่า ไอ้บ้าบุญ ดังนั้น มันจะเป็นบุญอย่างไร ที่ว่าเพิ่มบาปนั้นมันก็คือหลงใหล เกิดความโลภ ความโกรธ ความหลงได้ เพราะสิ่งที่เรียกว่า บุญชนิดนั้น ส่วนบุญที่แท้จริงมันไม่เป็นอย่างนั้น มันจะช่วยลดบาป ความหมายดั้งเดิมของ คำว่า บุญ แต่ก่อนมาโน้น เขาแปลว่าสิ่งที่ชำระบาป เครื่องล้างบาปเรียกว่าบุญ ดังนั้น บุญต้องล้างบาป ถ้าบุญของใครมันเพิ่มบาปละก็ ระวังให้ดี มันไม่ใช่บุญแล้ว มันผิดแล้ว หรือมันปลอมแล้ว มีบุญทำให้หลงใหล เอ่อ, กลายเป็นทาสของอายตนะ คือรสอร่อยทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย เอ่อ, ทางใจนั้นนะ ก็เรียกว่าเป็นอายตนะที่คนหลงใหล และเป็นทาสของสิ่งเหล่านี้ แล้วก็ยังเรียกกันว่าบุญ แล้วบุญชนิดนี้จะทำคนเราให้เป็นอย่างไร ปกติ หรือไม่ปกติ เอามาสำหรับหลง เอามาสำหรับเป็นทาส จะทำจิตใจเป็นอย่างไร ลำพังตัวผู้นั้นนะ คนเดียวมันก็ไม่ไหวซะแล้ว มันเป็นคนหลงแล้ว เรียกว่าเป็นทาส อ้า, ของอายตนะ คำนี้อาตมาก็ได้เคยพูด และอธิบายมาแล้ว หลายครั้ง หรือหลายสิบครั้ง แต่ไม่มีใครกี่คนที่จะสนใจ จะเข้าใจ หรือจะรับไว้สำหรับเป็นหลัก ถือปฏิบัติตัว อย่าเป็นทาสอายตนะเลย คืออย่าเป็นทาสตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เพราะลุ่มหลงใน รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธัมมารมณ์ เลย แต่ทีนี้มันก็น่าเศร้าตรงที่ว่า เขาทำบุญเพื่อให้ได้ อ้า, สิ่งซึ่งเป็นที่ตั้งแห่งความหลงใหลมา สำหรับเอามาหลงใหลกันอีก โลกจะวินาศเพราะบุญชนิดนี้ เป็นคำพูดที่หยาบคาย รุนแรงไปบ้างหรือเปล่า ที่อาตมาจะพูด และพูดอยู่แล้วว่า โลกนี่กำลังจะวินาศเพราะบุญชนิดนี้ ขอให้คิดดูว่า จริงหรือไม่จริง ถ้าจะไม่ให้โลกต้องวินาศเพราะบุญชนิดนี้ เราต้องมีบุญชนิดอื่น คือบุญที่มันถูกต้อง ที่ทำให้โลกสะอาด ให้ใจสะอาด ให้วา เอ่อ, วาจาสะอาด ให้กายสะอาด สะอาดออกมา จากภายในถึงภายนอก เป็นอยู่ด้วยความถูกต้องมีวัตถุปัจจัย เครื่องใช้ไม้สอย ชนิดที่พอดี พอตรงกับความประสงค์ ตามธรรมชาติของร่างกายนี้ แล้วก็อยู่เป็นผาสุก เราไม่ชอบ เราชอบให้มันงดงามหรูหรา ให้กระตุ้นทางอายตนะ จนได้เป็นทาสของอายตนะ นี่เรื่องบุญที่จะเอามาพูด พูดไปในลักษณะที่จะล้อ แต่แล้วมันก็เกินไปเสียอีก มันจะกลายเป็นอะไรไป ก็ไปนึกเอาเอง ดังนั้น ถ้าใครยังมี เอ่อ, ความเคารพนับถือตัว ตัวเอง ก็ไปคิดดู ไปจัดการเรื่องบุญนี่เสียให้ถูกต้อง สำหรับอาตมานั้น อ้า, กระดาษม้วนเดียว ก็เป็นบุญ วิมานทั้งหลังเป็นบาป คนอื่น ตามใจ
ทีนี้ เรื่องต่อไปที่จะพูด ก็คือ บาป พูดเรื่องบุญแล้วก็พูดเรื่องบาปกันเสียที ก็จะพูดให้เป็นที่รู้เรื่องแก่คนสมัยนี้ มีประโยชน์แก่คนสมัยนี้ ถ้ามันพูดแปลกออกไปบ้าง เอ่อ, จากที่เคยเข้าใจกันอยู่ก็ต้องขออภัย จะจำกัดความหมายของคำว่าบาปลงไปว่า มันได้แก่ โชคร้าย ซึ่งทำให้เกิด อ้า, ปัญหายุ่งยาก และความทุกข์ขึ้นมา ในพวกเด็กๆ เล็กๆ เขาไม่รู้จักคำว่าบาป ไม่รู้จักความหมายของคำว่าบาป เขาไม่กลัวบาป แต่เขาก็ได้กลัวสิ่งๆ เดียวกันนั้นแหละ แต่มีชื่อเรียกอย่างอื่น อย่าง อ้า, อย่างยิ่ง คือคำว่า ซวย ไอ้เด็กรุ่นๆ เอาหนังสติ๊กมายิงไก่ป่าที่กำลังขันเอื้อยๆ อยู่เดี๋ยวนี้ ก็เรียกตัวมาพูดจากัน ให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง ได้ความว่า บาปไม่กลัว แต่พออาตมาบอกว่าซวย เขากลัว เขาจะเลิกยิงไก่ป่าในวัดนี่เพราะเขากลัวซวย ไม่ใช่กลัวบาป บาปผมไม่กลัว เขาว่าอย่างนั้น นี่ดูเถิดว่าไอ้ความหมายนี่มันสำคัญมาก เขาเข้าใจความหมายของคำว่าบาป ซึ่งที่แท้มันยิ่งกว่าซวย แต่เขาเข้าใจไม่ได้พอพูดว่าซวย เขาเข้าใจได้ และยินดีที่จะหลีกห่างจากสิ่งที่เรียกว่า ซวย พูดกับเด็กสมัยนี้ก็ต้องพูดว่าซวย เป็นต้น หรือว่าโชคร้ายก็ได้ พูดคำว่าบาปเขาไม่เข้าใจ ไม่เหมือนกับเด็กสมัยอาตมา เมื่อยังเป็นเด็กๆ นี่กลัวบาปมากกว่ากลัวซวย หรือซวยก็ไม่มีความหมาย เพราะก็ไม่รู้ว่าอะไรเหมือนกัน แต่บาปนี่กลัว บาปคือว่าโชคร้าย หรือซวยทั้งแก่ตนเอง และทั้งแก่สังคม บาปของคนๆ เดียว สามารถทำลายโลกทั้งโลกได้ น่ากลัวหรือไม่น่ากลัว ลองคิดดูเถิดว่า ไอ้บาปของคนๆ เดียวนะ สามารถทำลายโลกทั้งโลกก็ได้ ไปคิดดู คนทำผิดคนเดียวแต่เขาเป็นคนมีอำนาจ หรือมีไอ้อะไรที่มันเกี่ยวข้อง เนื่องกันไปทั้งโลก ความผิดของคนชนิดนี้ จะทำให้โลกวินาศได้ เช่นไอ้คนที่มันตั้งลัทธิอะไรผิดๆ ขึ้นมาในโลก แล้วคนก็นิยมถือตามกันตั้งค่อนโลก จนทำโลกให้วินาศลงไปเพราะเหตุนั้น ก็อยากจะระบุว่าไอ้บาปของคนๆ เดียวทำลายโลกได้อย่างไม่น่าเชื่อ อ้าว, ทีนี้ก็ดูกันต่อไปว่า ไอ้บาปนี่มันมาจากอะไร เดี๋ยวก็จะพบกันกับสิ่งที่เรียกว่าบุญ ว่าบุญมันมาจากอะไร บาปนี่มันมาจากความเป็นทาสของอายตนะ เมื่อสักครู่นี้พูดแล้วนี่ เป็นทาสของอายตนะ บาปมาจากความเป็นทาสของอายตนะ เด็กเข้ามายิงไก่ เขาเอาไปแกงเพราะว่าอร่อย หรือบางทีก็เอาไปขาย แล้วก็ได้สตางค์นี่ นี่ตัวอย่างที่ว่าเป็นทาส อ้า, ของอายตนะ จะเอาไก่ไปแกงกินให้อร่อย แล้วก็ทำบาป นั่นมันเป็นเรื่องของเด็กคนนั้น แต่เป็นเรื่องของทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่ หรือที่มีอยู่ทั้งบ้านทั้งเมือง ทั้งโลกนะ เขาเป็นทาสของอายตนะอะไรกัน อยากจะได้รูปที่สวย ได้เสียงที่ไพเราะ ได้กลิ่นที่หอม ได้รสที่อร่อย ได้สัมผัสผิวหนังที่แสนจะนิ่มนวล หรือจะได้ความรู้สึกประเล้า ประโลมใจอย่างยิ่งนั้นนะ อย่างนี้ก็เป็นทาสของอายตนะ ความคิดที่จะได้สิ่งเหล่านี้ เอ่อ, ก็จะต้องจัดเป็นบาปเสียแล้ว ยังไม่ทันทำอะไรเลย เป็นบาปทางมโนกรรมด้วยอำนาจของอวิชชา หรือโมหะ แต่มันทนอยู่ไม่ได้ เอ่อ, แล้วก็ทำกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งออกไป ทางกายกรรม วจีกรรม เพื่อให้ได้สิ่งที่จะมาเป็นเหยื่อของอายตนะ นี่เรียกว่าเป็นทาสของอายตนะ แล้วก็ทำบาป ดังนั้น ถ้าเราบังคับได้ไม่เป็นทาสของอายตนะแล้ว มันก็เป็นบุญ ดังนั้น บุญจะต้องมาช่วยล้างบาป ก็หมายความว่า ความที่เป็นนาย เป็นอิสระ เหนืออายตนะนั่นแหละ จะมาช่วยล้างบาป คือความเป็นทาสของอายตนะ บาปกับบุญมันคู่กันอยู่อย่างนี้ มันตรงกันข้าม มันอยู่ด้วยกันไม่ได้ ถ้าเอามาใส่ไว้พร้อมๆ กัน มันก็จะต้องต่อสู้กัน จนกว่าจะพ่ายแพ้ไปข้างหนึ่ง แล้วก็ทำไปตามนั้น ถ้าบุญชนะก็ทำบุญ ถ้าบาปชนะก็ทำบาป แล้วแต่ว่าจะพ่ายแพ้แก่อายตนะ หรือว่าจะชนะอายตนะนั่นเอง บาปมาจากความเป็นทาสของอายตนะ บุญก็มาจากความเป็นนายของอายตนะ เมื่อท่านทั้งหลายทำบุญ บุญอะไรก็ตามขอให้นึกถึงข้อนี้ ให้มันเป็นการล้างบาป ให้มันเป็นนายเหนืออายตนะไว้เสมอไป ทีนี้จะดูกันต่อไปว่า ที่ว่า เอ่อ, เป็นบาป และเป็นทาสของอายตนะแล้วนั้น มันจะทำอะไรต่อไปอีก มันจะประพฤติตามกิเลสนั้นๆ เป็นเรื่องเศร้าหมองไปหมดทั้งกาย วาจา ใจ นั้นอีกทางหนึ่ง ซึ่งก็ว่า ซึ่งก็เห็นได้ว่าเป็นโทษ เป็นอันตรายอย่างมหาศาล ทีนี้ อ้า, มันมีไอ้ทางอื่นอีก ที่ว่าเมื่อเป็นทาสของอายตนะแล้ว มันก็ไม่เป็นทาสของพระพุทธเจ้า ของพระธรรม หรือของพระสงฆ์ได้อีกต่อไป ทายก ทายิกาทั้งหลายปฏิญญาความเป็นทาสของพระพุทธเจ้า ความเป็นทาสของพระธรรม ความเป็นทาสของพระสงฆ์ อยู่ทุกคราวที่ทำวัตรเย็น เป็นต้น พอเป็นทาสอายตนะแล้ว ไม่มีทาง ต่อให้เป็นพระ เป็นเณร ก็ไม่มีทาง ที่เป็นทาสของอายตนะแล้ว จะเป็นทาสของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ด้วยนั้น มันไม่ได้ ให้เป็นพระสักร้อยพรรษา มันก็เป็นไม่ได้ ถ้าเป็นทาสของอายตนะแล้ว ไม่มีทางที่จะเป็นทาสของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ได้นี่ มันก็เกิดความเปลี่ยนแปลงอันใหญ่หลวง จะไม่เชื่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ หรือว่าถ้าพวกมีพระเจ้า ก็จะไม่เชื่อพระเจ้า จะดื้อดึงต่อพระเจ้า จะหัวเราะเยาะพระเจ้า ไม่มีพระเจ้าอีกต่อไปนี่ พวกนั้นเขาถือพระเจ้า เขาก็สลัดพระเจ้าทิ้งเสีย ไอ้เราถือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็สลัดพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ทิ้งเสีย เพราะเหตุที่ว่าเป็นทาสของอายตนะ นั่นนะคือ ต้นตอของบาป หรือเป็นตัวบาปอยู่ด้วยในตัวเสร็จ เพราะเขาเป็นทาสของอายตนะ เขาเป็นทาสของกิเลส ก็เห็นแก่กิเลส ซึ่งเราจะเรียกได้ว่าเห็นแก่ตัว ที่พูดว่าเห็นแก่ตัวนั้นอย่าเข้าใจให้มันผิดไป คือเห็น อ้า, คือเห็นแก่กิเลส ไอ้เห็นแก่ตัวนั้นมันยังกำกวม ตัวดีก็มี ตัวชั่วก็มี ตัวผิดก็มี ตัวถูกก็มี ถ้าเห็นแก่ตัวที่ดี ที่ถูก มันก็รอดตัวไปได้ แต่เดี๋ยวนี้ความเห็นแก่ตัวในภาษาที่เราใช้พูดกันอยู่นี้ เป็นเรื่องผิดทั้งนั้น คือเห็นแก่กิเลสนั่นเอง เป็นทาสของกิเลส เพราะเป็นทาสของอายตนะ มันก็เลยขยายตัวออกไปเรื่อย จากความเป็นทาสของกิเลส มาเป็นความไม่เคารพนับถือพระเจ้าไม่นับถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มอบตัวให้แก่กิเลสแล้ว ก็เห็นแก่กิเลส ก็ขยายตัวออกไปเป็นบาป อกุศล ที่แรงร้ายชนิดอื่นๆ ต่อไป เช่น ความริษยา ซึ่งทำโลกให้ฉิบหาย ขอให้ท่านทำความเข้าใจ อ้า, ในข้อนี้ ให้ดีเป็นพิเศษว่า บาป เอ่อ, ของมนุษย์ในโลกนี้ ตั้งต้นเป็นบาปโดยสมบูรณ์ คือการฆ่าขึ้นมาเมื่อไร เรื่องราวในพระคัมภีร์ของคริสเตียนเขียนไว้ดี คือตั้งต้นด้วยความริษยา ที่พระเจ้าสร้างมนุษย์คู่แรกขึ้นมาแล้ว เขากินผลไม้ที่ทำให้เขารู้จักดีชั่วแล้ว เขาก็มีลูกออกมา แล้วลูกนั้นก็มีหลาน ตัวลูกคนนั้นมันมีลูกสองคน แล้วคนหนึ่งพ่อมันรักมาก ไอ้คน เอ่อ, คนน้องพ่อมันรักมาก แล้วมันก็ไม่รักคนพี่ อ้า, คนพี่มันโกรธ ก็หลอกเอาน้องไปฆ่าทิ้งเสียในป่า นี่มันไม่มีอะไรแท้ๆ มันไม่มีเรื่องอะไรแท้ๆ มันมีเรื่องเพียงว่า พ่อมันรักน้องมาก ที่พี่มันเกิดความคิดอันนี้ขึ้นมา ก็หลอกเอาน้องไปฆ่าเสียในป่า การฆ่าเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในโลกในลักษณะอย่างนี้ ตามคัมภีร์ของคริสตัง นั่นมันตัวหนังสือสำหรับลูกเด็กๆ ถ้าผู้ใหญ่ก็ให้รู้ว่าไอ้การฆ่าคนอื่นนี่มันไม่เคยมีมาแต่กาลก่อน แล้วมันเพิ่งมีเมื่อมีความริษยาเกิดขึ้น เมื่อใดความริษยาเกิดขึ้น การฆ่าในทำนองนี้ก็มี แม้ว่าไม่เคยมีมาแต่กาลก่อน การที่เขาอิจฉาน้องก็คือเป็นทาสของอายตนะทางใจ ทางมโน แล้วก็มี อ้า, การที่ไม่เชื่อฟังพระเจ้า ไม่เชื่อฟังบทบัญญัติใดๆ ก็ฆ่าน้องก็ฆ่าได้ สัตว์เดรัจฉานทำไม่เป็น ไม่มีสัตว์เดรัจฉานตัวไหนอิจฉาน้อง ก็ฆ่าน้องเสีย นี่พูดตามแบบของอาตมาที่ถูกด่าอยู่ตลอดปี เพราะชอบยกว่าไอ้สัตว์เดรัจฉานนี่มันดีกว่าคน มันก็มีดีกว่าคนจริงๆ ในบางแง่บางมุม ไอ้บาปที่คนทำกันอยู่เป็นวรรคเป็นเวรนะ นี่สัตว์เดรัจฉานทำไม่เป็น ไปแยกดูเถิด บาปชนิดไหนบ้างที่คนทำแล้วสัตว์เดรัจฉานทำเป็นไหม เพราะว่าสัตว์เดรัจฉานมันไม่ได้ต้องการอะไร สติปัญญายังไม่เจริญ คิดนึกไม่เป็น อิจฉาก็ไม่เป็น หรือเป็นก็มันนิดหน่อยเกินไป ไอ้คนนี่มันก้าวหน้าเกินไป เพราะสติปัญญามันเจริญ หรือก้าวหน้ามากเกินไป ดูให้ดีว่าการที่สติปัญญาเจริญ แล้วควบคุมไว้ไม่ได้นี่มันเป็นคุณหรือเป็นโทษ ให้ถือไว้ให้ เอ่อ, เป็นหลักตายตัวว่า สติปัญญาที่ควบคุมไว้ไม่ได้นั่นนะเป็นโทษยิ่งกว่าไม่มีสติปัญญาเสียอีก คนโง่ยังทำอะไรอย่างนี้ไม่ได้ เพราะเขาคิดไม่เป็น ไอ้คนฉลาดมันคิดเป็นมันก็ทำ เอาละเป็นอันว่าตัวอย่างก็พอแล้ว เมื่อบาปมันออกมาแล้ว มันก็มาอยู่ในรูปอย่างนี้ ก็ทำความชั่ว ทำความเลว ชนิดที่สัตว์เดรัจฉานมันทำไม่เป็น ดังนั้น บาปของสัตว์มันนิดเดียว หรือเกือบจะไม่เรียกว่าบาป แต่บาปของคนนี้มันมากเหลือเกิน แล้วมันไม่หยุดมันขยายตัวเรื่อยจนโลกทั้งโลกนี้หาความสงบสุขไม่ได้ ตั้งข้อสังเกตไว้เถิดว่า มันมีความทุกข์ยากเดือดร้อนไม่น่าดูที่ไหน ก็มีบาปที่นั่น ในโลกนี้นับวันแต่จะเจริญด้วยบาป จนเราไม่รู้จะไปอยู่ที่ไหนกันแล้ว พูดไว้อย่างนี้ดีกว่า นี้คือสิ่งที่เรียกว่าบาป ตรงกันข้ามกับสิ่งที่เรียกว่าบุญ บุญเป็นเครื่องล้างบาป แต่เดี๋ยวนี้บาปมันไม่ยอมให้ล้าง เพราะบาปมันได้ลุกลามไปอย่างถูกต้องตามธรรมชาติของมัน แต่ส่วนบุญนี่ไปทำกันเสียผิดๆ จนกลายเป็นเครื่องส่งเสริมบาป ทำบุญเพื่อเป็นทาสของอายตนะแล้วมันก็ส่งเสริมบาป กลายเป็นทำบุญเพื่อช่วยให้บาปมันมากขึ้นในโลกนี้ อ้าว, ทีนี้ก็มาพิจารณาดูกันให้ถึงที่สุด ถึงข้อเท็จจริงที่จะแก้ปัญหานี้ได้ จะเรียกว่ามองในแง่ดีก็ได้ ตามใจ ที่จะตั้งคำถามขึ้นมาว่า ไอ้บาปนี่มันเพื่ออะไร เท่าที่รู้อยู่ คงจะรู้ว่าเพื่อให้มีความทุกข์ ถ้ารู้เพียงเท่านั้น ไม่พอ ขอให้รู้ต่อไปอีกสักขั้นหนึ่งว่า ไอ้บาปนี่มันมีมาเพื่อให้เราเอาชนะมันให้ได้ เพราะว่าเราเป็นมนุษย์ เรามีสติปัญญาอย่างมนุษย์ ไอ้บาปนี่มีไว้สำหรับให้เราทำลายมันเสียให้ได้ เมื่อเรามีความเป็นมนุษย์น้อย หรือสติปัญญาน้อย มันก็มีบาปน้อย เมื่อมีสติปัญญามาก ควบคุมไม่ได้ มันก็มีบาปมาก ดังนั้น บาปนี่มีไว้เพื่อให้เรารู้จักมัน เอาชนะมันเสียให้ได้ แล้วเรื่องมันก็จะจบกัน คือไม่มีบาปอีกต่อไป พูดในแง่ดีก็ต้องพูดว่า ไอ้บาปนี่มันมีไว้สอนมนุษย์ฉลาด มนุษย์โง่ด้วยสติปัญญาที่ควบคุมไว้ไม่ได้ ทีนี้บาปก็มาช่วยสอนให้มนุษย์ฉลาดคือ ให้รู้จักมีสติปัญญาที่ถูกต้อง ตามความมุ่งหมายของสิ่งที่เรียกว่าสติปัญญา ดังนั้น บาปเกิดขึ้นมันก็กัดเอา มันก็เผาเอา มันก็แทงเอา มันก็ทำอันตรายเอา เป็นการสอนมนุษย์ให้รู้จักว่าบาปนี้ เป็นอย่างไร มนุษย์ก็จะได้ความเข้าใจที่ถูกต้อง สติปัญญามันจะไม่เฟ้อ แต่เดี๋ยวนี้ก็ยังหวังไม่ได้ แม้ว่าโลกนี้กำลังประกอบไปด้วยความทุกข์ยากลำบาก มีวิกฤตการณ์ มนุษย์ก็ยังไม่สำนึก จึงถือว่าบาปยังสอนไม่พอ คงจะสักวันหนึ่งที่บาปมันจะสอนมนุษย์ได้พอ แล้วมนุษย์ก็จะเปลี่ยนความคิดความเห็น ไม่ปล่อยให้ตน เอ่อ, เป็นเหยื่อของบาปอีกต่อไป ถ้าจะดูให้ดีกว่านั้นอีกสำหรับคนที่มีปัญญา อ้า, กว่าธรรมดา ก็ควรจะเห็นว่า ไอ้บาปนี่มันเป็นเครื่องสอบไล่มนุษย์ ให้ถือว่าความยากลำบาก อุปสรรค อันตรายทั้งหลายนี้ เป็นเครื่องสอบไล่มนุษย์ ถ้ามนุษย์สอบได้ ผ่านไปได้ก็ดีกว่าเดิม นี้บาปเข้ามาสอบไล่มนุษย์ ถ้ามนุษย์เอาชนะได้ ผ่านไปได้ มนุษย์ก็ดีกว่าเดิม จนกว่าจะหมดบาป จะได้เป็นพระอรหันต์เพราะว่าอยู่เหนือบาป หรือหมดบาป ถ้ามองกันอย่างนี้ก็ต้องถือว่า บาปนี่มันมาให้บุญ มันมาให้บุญ เมื่อมันได้ประสบกันกับบาปเพียงพอแล้ว มันก็คิดไปในทางที่ตรงกันข้าม คนก็เปลี่ยนเป็นทำให้ถูกต้อง แล้วก็ได้บุญ ก่อนหน้านี้มันยังโง่ แล้วมันไม่ยอมเปลี่ยน คือไม่ เอ่อ, ไม่ยอมเชื่อ คำสั่งสอนที่เขามีไว้ให้แล้ว ว่าอย่าไปทำเข้านั้นมันบาป แล้วก็ไปทำเข้า แล้วก็บาป แล้วก็มีความทุกข์ ถึงที่สุดเข้าก็ยอมเปลี่ยน นี่เรียกว่า เป็นความกรุณาปราณีของสิ่งที่เรียกว่าบาป แก้ไขมนุษย์ให้มันดีขึ้น ผู้ใดทำความเข้าใจกับสิ่งที่เรียกว่าบาปในลักษณะอย่างนี้แล้ว ไม่เท่าไร บาปมันก็จะหมดไป ทีนี้ถ้าจะถามว่ามันจะทำได้โดยวิธีใด ก็กลับไปหาไอ้เรื่องเดิม คือไม่เป็นทาสของอายตนะ ศึกษาเรื่องอายตนะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี่ให้ดีๆ ให้รู้จักตามที่เป็นจริงว่า มันเป็นสิ่งที่เอาเราลงเป็นทาสอยู่บ่อยๆ แล้วก็ไม่รู้สึกตัว ศึกษาให้รู้จักไอ้อายตนะทั้ง ๖ นี้ให้ดีๆ คำว่าดีในที่นี้ คือถึงขนาดที่จะไม่หลงไปเป็นทาสของมัน เรื่องอายตนะ ๖ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี่คือ เรื่องแรก เรื่องตั้งต้น ที่จะศึกษาพระพุทธศาสนาให้รู้จริง ใครเคยคิดอย่างนี้บ้าง อาตมาก็เคยโง่เขลามาเป็นสิบๆ ปี เพราะว่าเขาสอนว่าไอ้เรื่องตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี่มันเป็นเรื่องชั้นสูงสุด ชั้นปรมัตถ์ ชั้นอภิธรรมอะไรก็ไม่รู้ไว้เรียนกันตอนหลังๆ พูดอย่างนี้มันโง่มาก เรื่อง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ คือ ก ขอ ก กา ที่ต้องเรียนก่อนอื่นทั้งหมด ในการศึกษาพระพุทธศาสนา อะไรๆ มันตั้งต้นที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทั้งนั้น จึงเป็นเรื่องอย่างนั้นอย่างนี้ขึ้นมา เป็นทุกข์ขึ้นมา ชนะมันได้ก็เป็นเรื่องของนิพพาน ถ้าไม่รู้แจ้งไปตั้งแต่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้ว เป็นเรื่องเดาทั้งนั้น เป็นเรื่องคาดคะเน เรื่องเดา เรื่องว่าตามๆ กันไป เป็นศรัทธาอย่างงมงาย ขออภัยที่ว่าจะต้องขอพูดว่า โดยมากนี่เขาพูดกันว่าให้ตั้งต้น เอ่อ, เรื่องตั้งต้นพระพุทธศาสนาด้วยเรื่อง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างนี้มันก็ถูก แต่แล้วก็เป็นพิธีรีตรองเสียโดยมาก ไม่รู้ว่าพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คืออะไร แล้วทำไมกัน ไอ้เรื่องที่ถูกต้อง มันต้องรู้จักตัวความทุกข์ แล้วหวังไอ้ที่พึ่งที่จะดับทุกข์ มันจึงจะเหลียวหาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ถ้าเราไม่มีความทุกข์ ก็ไม่รู้ว่าจะเอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไปทำไม เราต้องรู้จักความทุกข์ ถ้าเราไม่รู้จักตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เราไม่อาจจะรู้จักความทุกข์ได้ ว่าความทุกข์นี้มันเกิดมาจากอะไร มันเกิดมาจากการทำผิดเกี่ยวกับตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เมื่อสัมผัสกันเข้ากับรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธัมมารมณ์ นี่คือ ก ขอ ก กา อ้า, ที่จะสอนลูกเด็กๆ ของเราให้รู้ไว้เสียตั้งแต่ชั้นอนุบาล ว่าตาเห็นรูป รู้แจ้งทางตาแล้วระวังให้ดี ตอนนี้ถ้าโง่แล้วก็จะวินาศ ถ้าฉลาดแล้วก็จะเอาตัวรอดได้ ถ้าโง่มันก็เกิดความอยากความต้องการชนิดที่จะเป็นทุกข์ทั้งนั้นแหละ ถ้าไม่โง่มันก็เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง แล้วก็ทำไปอย่างถูกต้อง ก็ไม่เกิดความทุกข์ ใครเคยคิดอย่างนี้กันบ้าง ว่าสิ่งแรกที่จะสอนธรรมะ หรือศาสนาให้แก่ลูกเด็กๆ นั้นนะ คือสอนให้เขารู้จักตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ให้เห็นชัดเจนโดยไม่ต้องเชื่อคนอื่น ว่ามันเกิดความคิดขึ้นมาอย่างนี้ อย่างนี้ แล้วเป็นทุกข์ไปทางหนึ่ง แต่ถ้ามันเกิดความคิดในทางตรงกันข้ามอย่างนี้ อย่างนี้ แล้วก็ไม่เกิดความทุกข์ ก็ได้ความรู้ความเฉลียวฉลาด เกี่ยวกับตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นั้นต่อไป ทีนี้เขาก็จะรู้เรื่องความทุกข์ รู้จักเรื่องป้องกันไม่ให้เกิดความทุกข์ แล้วถามว่านี้สติปัญญาของใคร บอกว่าของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ของฉัน นี่คือถูกต้องอย่างยิ่ง ธรรมเนียมโบราณที่อาตมาเคยประสบมาตั้งแต่เด็กเล็กๆ นี่ เขาไหว้คนแก่ แล้วคนแก่จะพูดว่าไหว้พระนะลูกนะ ไหว้พระนะลูกนะ อย่างนี้เสมอไป คนแก่นั้นเขาเป็นคนซื่อตรง เขาไม่โกงพระพุทธเจ้า สติปัญญานี้มันของพระพุทธเจ้าไม่ใช่ของคนแก่ คนแก่เขาไม่กล้าคดโกง หรือยักยอกอะไรๆ ของพระพุทธเจ้ามาเป็นของตัว พอใครไหว้เขา เขาก็ไหว้ เขาก็ว่าไหว้พระนะลูกนะ ทั้งนั้นแหละ หรือเขาจะหมายความว่าในตัวเขานั้นมีพระ อยู่บ้าง คือมีความรู้อะไรเหมือนพระพุทธเจ้าบ้าง ละกิเลส ละความทุกข์ได้เหมือนพระพุทธเจ้าบ้างอยู่ในตัวเขา คือเขามี อ้า, ส่วนที่มันดี หรือเป็นบุญบ้าง เพราะเขารู้เรื่องบาป แล้วก็ละมันเสีย ทีนี้ เด็กๆ เขาได้ฟังอย่างนั้นเขาก็จะพอใจพระพุทธเจ้า พอใจพระธรรม คือการกระทำได้อย่างนี้ไม่มีความทุกข์ แล้วพอใจพระสงฆ์ คือผู้ที่ทำได้อย่างนี้ รวมทั้งตัวเขาเองด้วย เขาก็จะจัดตัวเขาเองไว้ในฐานะเป็นผู้ประพฤติดี ปฏิบัติดี ทำความชั่วไม่ได้ สอนกันเพียงเท่านี้ เด็กๆ ก็ปลอดภัยในเรื่องของศีลธรรม นอกนั้นเป็นเรื่องฝอยทั้งนั้น ใช้คำหยาบๆ ก็เป็นเรื่องขี้ผงทั้งนั้น เรื่องรู้ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ให้ดีนี่ เป็นเรื่องที่ หัวใจ แก่นแท้ หรือสำคัญที่สุด เพราะบาปมันตั้งต้นที่นี่ แล้วมันจะกลายเป็นบุญไปได้ก็เพราะว่าจัดการให้มันถูกต้องกันที่ตรงนี้ อยู่ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจนั่นเอง แล้วจะสงวนไว้ไปบอกเขาต่อแก่เฒ่าโน่น จะมีประโยชน์อะไร เขาก็ทำบาปมากเกินไป จมอยู่ในบาปมากเกินไป นี่เพราะความโง่ของคนที่เป็นพ่อแม่ หรือครูบาอาจารย์ ที่ไม่ลงมือสั่งสอนเขาให้มีความเข้าใจถูกต้องในเรื่องนี้ไปเสียตั้งแต่แรก นี่คือเรื่องบาป ตั้งแต่ต้นจนปลาย เป็นคู่กันมากับเรื่องบุญที่มันฟัดกันไป มันเหวี่ยงกันมาในลักษณะที่ตรงกันข้าม จึงหวังว่าท่านทั้งหลายจะได้รู้จักสิ่งที่เรียกว่า บุญ หรือสิ่งที่เรียกว่า บาป นี่ ให้ชัดเจนยิ่งขึ้นกว่าที่แล้วๆ มา กว่าที่แล้วๆ มา อย่าได้หยุดเลย คือขอให้เลื่อนชั้น ขอให้เลื่อนชั้น อย่าได้หยุดอยู่เพียงเท่านั้นเลย บาปก็ต้องรู้จักให้ดีขึ้น ให้ละมันได้มากขึ้น บุญก็ต้องรู้จักให้มันดีขึ้น แล้วก็มีมันให้ถูกให้ตรง อย่าให้เข้าใจผิดในเรื่องบุญ สำหรับอาตมานี้ แน่นอน เอาวิมานหลังหนึ่งมาแลกกระดาษม้วนหนึ่งก็ไม่เอา นี่คนอื่นจะเห็นอย่างไร ก็สุดแท้
เรื่องต่อไป อ้า, ก็จะพูดถึงคำว่าอาชีพปูชนียบุคคล มันคงจะแปลกหูบ้าง แต่ถ้าได้ยินบ่อยเข้ามันก็จะไม่แปลกหู อาชีพปูชนียบุคคล แปลกหูไหม ปูชนียบุคคล เอ่อ, แปลว่า บุคคลที่ควรบูชา บุคคลที่ใครๆ ควรจะบูชา ใครมีอะไรที่ควรบูชา คนนั้นเป็นปูชนียบุคคล นับตั้งแต่พระพุทธเจ้าลงมา จนถึงคนธรรมดาสามัญ ถ้าเขามีอะไรดีบ้าง ที่ควรบูชาก็เรียกว่าปูชนียบุคคลได้ เราจะระบุไปยังบิดา มารดา เป็นปูชนียบุคคล ครูบาอาจารย์เป็นปูชนียบุคคล นี่เป็นพวกแรก แล้วต่อไปจากนั้นก็คือ พวกที่เขาเสียสละความสุขของเขาเพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่น อาชีพครูบาอาจารย์นี่ มันต้องเป็นให้ถูกต้อง มันต้องเสียสละมาก ให้สำเร็จประโยชน์แก่คนที่เป็นศิษย์ หรือว่าอาชีพตุลาการ ต้องเสียสละประโยชน์ ความสุข สนุกสนาน เอร็ดอร่อยทางเนื้อทางหนัง รักษาความเป็นธรรมไว้ให้ได้ ดังนั้น อาชีพนั้นก็เป็นอาชีพปูชนียบุคคล อย่างนี้ เป็นต้น ยุคใหม่ สมัยใหม่นี้ได้ยินตุลาการใหม่ๆ บางคนเขาว่า อ้า, เขาต้องกินสินบน เพราะเขาลงทุนไปมาก เขาจะกินสินบน เขาจะเอาเงินนี่ไปใช้หนี้ ที่เขามาเรียนจนได้เป็นตุลาการ อย่างนี้ก็มี นี่หมายความว่าอาชีพตุลาการแท้ๆ นั้น มันเป็นอาชีพปูชนียบุคคล ทำหน้าที่เสียสละเพื่อผู้อื่นควรจะบูชา คิดว่าเกิดการสละความหมายอันนี้ออกไป ยิ่งขึ้นทุกที ครูบาอาจารย์ที่เสียสละเพื่อมนุษย์ มีแสงสว่างทางวิญญาณ ก็กลายเป็นลูกจ้างสอนหนังสือไปเสีย อาชีพ ปูชนียบุคคลนี่ มันก็เลยไม่มีใครรู้จัก โลกก็เลยไม่มีอาชีพปูชนียบุคคล คือไม่มีปูชนียบุคคลนั่นแหละ เมื่อไม่มีอา เมื่อไม่มีปูชนียบุคคล ก็ไม่มีอาชีพปูชนียบุคคล อย่างพระพุทธเจ้าเป็นปูชนียบุคคล ก็เรียกว่าท่านมีอาชีพอย่างปูชนียบุคคล คือ ทักษิณาทาน หรือวัตถุทานที่โลกเขาบูชา พระอรหันต์ทั้งหลายก็เป็นอย่างนั้น เป็นปูชนียบุคคล อยู่ด้วยวัตถุที่บุคคลเขาบูชา นี้เป็นชั้นสุดยอด ทีนี้ครูบาอาจารย์ทำหน้าที่สูงสุด ที่บุคคลบูชา ไม่มาหวังที่จะรวย อ้า, จะร่ำรวยด้วยอาชีพที่เป็นครูบาอาจารย์ เพราะเขามีหน้าที่ที่ทำคนให้มีแสงสว่างทางวิญญาณ เขาเป็น ปูชนียบุคคล ดังนั้น เครื่องที่ เครื่องบูชาที่ประชาชนให้ เช่นเงินเดือน เป็นต้น มันก็เป็นเครื่องบูชา ครูบาอาจารย์ที่แท้จริง จึงเป็นผู้มีอาชีพของปูชนียบุคคล ผู้พิพากษาตุลาการก็เหมือนกัน ถ้าทำหน้าที่ถูกต้องตามความหมายก็เป็นปูชนียบุคคล มีอาชีพอย่างปูชนียบุคคล อาตมาเคยยกตัวอย่างลงมาถึงกับว่า แม้เป็นตำรวจ ถ้าเสียสละทำหน้าที่ตำรวจ ไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย ไม่เห็นแก่ความยากลำบาก อุตส่าห์อดตาหลับขับตานอนให้ผู้อื่นเขาปลอดภัย นี้ก็พอจะจัดสงเคราะห์ไว้ในพวกปูชนียบุคคล ที่มันต่ำๆ ลงมา ที่มันรองลงมา จนกระทั่งว่าใครก็ตามที่มันมีหน้าที่การงานที่ทำให้ผู้อื่นได้รับประโยชน์ ได้รับความสุข เพราะการเสียสละของตนแล้ว คนนั้นก็เป็นปูชนียบุคคล ถ้าพูดถึงสมัยนี้ เราจะพูดได้เลยว่าไอ้นักการเมืองที่บริสุทธิ์จริงๆ นะ มันเป็น ปูชนียบุคคล แต่เดี๋ยวนี้มันมีแต่นักการเมืองสกปรก เช่นเดียวกับครูบาอาจารย์ ที่เป็นครูบาอาจารย์แท้จริงมันหายไป มันมีลูกจ้างสอนหนังสือเข้ามาแทน นักการเมืองสมัยนี้ มันก็มีแต่ที่จะหาอะไร ที่เป็นประโยชน์แก่ตน หรือพรรคพวกของตน เกียรติยศชื่อเสียงของตน ไม่มีความเป็นปูชนียบุคคล ทั้งที่เรื่องการเมืองอันแท้จริงนั้นมันเป็นเรื่องของศีลธรรม คือทำหน้าที่เพื่อให้โลกนี้มันดี ให้บ้านเมืองมันดีให้เพื่อนมนุษย์ได้รับประโยชน์ เรื่องการเมืองเป็นเรื่องศีลธรรม นักการเมืองบริสุทธิ์ก็เป็นผู้มีศีล มีธรรม เป็นปูชนียบุคคล อยู่ด้วยอาชีพที่เขาบูชา ก็เรียกว่าอาชีพปูชนียบุคคล มองดูไปแล้ว เดี๋ยวนี้มันกำลังไม่มีบุคคลที่มีอาชีพอย่างนี้ เรียกว่าโลกนี้ไม่มีอาชีพปูชนียบุคคล เด็กๆ กำลังไม่รู้จัก พวกลูกเด็กๆ ในรุ่นหลังนี่ เขาไม่รู้จักอาชีพปูชนียบุคคล และเขาไม่รู้จัก ปูชนียบุคคล แม้ที่เป็นพ่อเป็นแม่ของเขาเอง จะโทษใครนักก็ไม่ได้ มันเป็นขนบธรรมเนียมประเพณี หรือวัฒนธรรมที่มันเปลี่ยนแปลงไป ไม่ทำให้ลูกเล็กๆ เกิดความรู้สึกว่าพ่อแม่เป็นปูชนียบุคคล แล้วพ่อแม่บางคนมันก็เหลวไหลโง่เง่า ไม่ทำให้ลูกรู้ความจริงว่าที่แท้นั้นพ่อแม่หรือครูบาอาจารย์นั้น เป็นปูชนียบุคคล ดังนั้น คำว่าปูชนียบุคคล ก็หายไป หายไป หายไป จนเดี๋ยวนี้เกือบจะหมดสิ้น มันเริ่มหายไปตั้งหลายสิบปีแล้วที่อาตมาสังเกตดู คำๆ นี้ ความหมายของคำๆ นี้ มันค่อยๆ หายไป ค่อยๆ เลือนไป จนเดี๋ยวนี้ เกือบจะหายสนิทแล้ว คำว่าปูชนียบุคคล จนต้องใช้สำนวนพูดว่า หาทำยาหยอดตาก็ไม่ค่อยจะได้ ยาหยอดตานี่เขาต้องการนิดเดียวเท่านั้นแหละ ถ้าหาทำยาหยอดตาก็ไม่ได้แล้ว ก็หมายความว่า มันน้อย เอ่อ, มันน้อยเหลือเกิน มันน้อยเต็มทีแล้ว แม้แต่เสียงที่พูดว่าปูชนียบุคคลนี้ก็ไม่ค่อยได้ยิน แล้วจะไปเอาตัวจริง อ้า, ตัวปูชนียบุคคลจริงมาจากไหน อ้าว, ทีนี้ก็เลื่อนขึ้นไปชั้นหนึ่ง เดี๋ยวนี้ลูกเด็กๆ หรือคน อ้า, หนุ่มๆ ที่ได้รับการศึกษาอย่างเดี๋ยวนี้ กำลังขยะแขยงคำว่าปูชนียบุคคล เขาชอบนักกวา เอ่อ, การเมืองที่แกว่นกล้า ที่อาบเลือด ที่หลั่งเลือดนี้มากกว่า เด็กๆ ที่ได้รับการศึกษาอย่างสมัยปัจจุบันนี้จะขยะแขยง หรือว่าเชยแหลก รู้สึกจะเชยแหลกก็ได้ สำหรับคำว่าอาชีพปูชนียบุคคล ยิ่งโลกเดี๋ยวนี้มันเฟ้อไปด้วยประชาธิปไตย ก็เกิดประชาธิปไตยโง่เขลา อ้า, บางแขนง เห็นปูชนียบุคคลเป็นศักดินา เห็นอาชีพปูชนียบุคคลนี่เป็นอาชีพศักดินา ที่เขาต้องการจะโค่นล้มให้สิ้นซาก ไม่ให้เหลืออยู่ในโลกนี้ สำหรับคำว่าศักดินา เขาเห็นปูชนียบุคคลนี่เป็นศักดินา เห็นอาชีพปูชนียบุคคลเป็นอาชีพศักดินา ไป ไปมองหาดูเถิดจะพบไอ้ตัวคนที่กำลังมีความคิดอย่างนี้ นี่จึงว่าโลกนี้มันกำลังว่างไม่มีปูชนียบุคคล หรืออาชีพปูชนียบุคคล เขาก็เลยเห็นว่า เป็นความคิดบ้าๆ บอๆ สำหรับคำว่าปูชนียบุคคล เขาจะดึงออกมาให้มันเสมอกันหมด อยู่ที่แผ่นดินนี่ เรียบราบเสมอกันหมด ไม่ต้องมีบิดามารดา ครูบาอาจารย์ พระเจ้า พระสงฆ์อะไรไม่มี มันจะเป็นศักดินาไปทั้งนั้น โลกก็เลยไม่มีปูชนียบุคคล ไม่มีอาชีพปูชนียบุคคล กระทั่งบรรพชิตก็ไม่ใช่ปูชนียบุคคล เพราะเป็นศักดินากะเขาด้วยเหมือนกัน หมด ที่นึกแล้ว ไอ้ ไอ้ความหมายที่นึกแล้ว น่าล้อ ก็คือว่า อยากจะตายไปเสียจากโลกนี้ที่มันไม่มีปูชนียบุคคล โลกนี้ที่ไม่มีอาชีพปูชนียบุคคลนี่ มันไม่น่าอยู่เลย มันมุ่งหมายที่จะสร้างไอ้สิ่งบ้าบิ่น บ้าบอ อะไรกันก็ไม่รู้ แล้วก็เอามายกย่องบูชากันเสียเป็นส่วนใหญ่ ไม่ยอมรับ เอ่อ, หลักการ หรือวัฒนธรรมโบราณ ที่เขามีปูชนียบุคคล ซึ่งจะต้องมีอะไรเป็นพิเศษ ทุกอย่าง ทุกทาง ซึ่งเคยมีผลดีมาแล้วในประวัติศาสตร์ แม้กระทั่งสัตว์เดรัจฉาน สัตว์เดรัจฉานมันก็ต้องอยู่อย่างมีที่เคารพ หรือเชื่อฟัง ตัวที่เป็นหัวหน้าฝูง เป็นจ่าฝูงอะไรนี่ มันก็ตั้งอยู่ในฐานะพิเศษจนตัวอื่นๆ ยอมรับ ไอ้คนป่าเขาก็ทำกันมาอย่างนี้ คนที่ละจากความเป็นคนป่า เขาก็ทำกันมาอย่างนี้ จนกระทั่งสมัยเร็วๆ นี้ เขาก็ยังทำกันอยู่อย่างนี้ คือให้มีคนมันมีสติปัญญาที่จะเป็นผู้แนะนำชักจูงให้ทุกคนไม่เป็นทาสของอายตนะ ไม่เป็นทาสของกิเลส ทีนี้มันเผลอไปเมื่อไรก็ไม่รู้ ไม่มีใครทันรู้ เผลอนิดเดียวมันเกิดเป็นทาสของกิเลส เป็นทาสของอายตนะ ก็ลุกขึ้นมาพร้อมๆ กันนะ ตัดทิ้งไอ้ความเป็นบุคคลพิเศษ หรือปูชนียบุคคลเสีย ต้องการความเสมอภาคตามแบบของเขา นี่ปูชนียบุคคลเลยไม่ต้องมีอยู่ในโลกนี้ ในเวลานี้ จริงหรือไม่จริง ก็ขอให้ไปคิดดู ทีนี้เราพุทธบริษัทยังไม่อยากจะละทิ้งความหมายอันนี้ ยังจะมีปูชนียบุคคล มีอาชีพปูชนียบุคคล อย่างน้อยที่สุดก็มีพระพุทธเจ้า มีพระสงฆ์ มีพระอริยสาวก เป็นปูชนียบุคคล ทำอะไรเพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่นทั้งนั้นเพราะประโยชน์ตนมันเสร็จไปแล้ว มันสิ้นไปแล้ว ก็ชักจูงให้มีคนเสียสละทำหน้าที่ชนิดที่เรียกว่าเสียสละทั้งเนื้อทั้งตัว เพื่อให้คนอื่นประสบความเป็นสุข รับ อ้า, รับประโยชน์ตอบแทน เพียงข้าวปลาอาหาร เพียงประทังชีวิตอยู่ได้ นี่แบบของ อริ เอ่อ, ปูชนียบุคคลจะต้องเป็นอย่างนี้ บรรพชิตทั้งหลายจึงเป็นอยู่อย่างง่าย เหมือนกับอย่างว่ากินอาหารของคนขอทาน อยู่อย่าง อ้า, คนขอทาน แต่ทำหน้าที่การงานอย่างพระอริยเจ้า ซึ่งมันเป็นของคู่กัน นี้พูด นี้ก็อยากจะเอาไปคิดดู ถ้าอย่างไรๆ ก็ช่วยทำตนให้เป็นปูชนียบุคคล เสียสละเพื่อผู้อื่น เสียสละด้วยความรู้สึกที่แท้จริง เพื่อช่วยให้โลกนี้มันอยู่ในความถูกต้อง กระทั่งมีความเป็นสุข สงบสุข ผาสุก มีสันติสุขหรือสันติภาพ ขอให้หวังกันไว้อย่างนั้น ให้ปูชนียบุคคลยังมีอยู่ และให้เราก็เป็นส่วนของปูชนียบุคคลด้วย
ทีนี้ หัวข้อต่อไปที่อยากจะพูดเนื่องกันไปก็คือว่า เป็นปูชนียบุคคลไม่ได้ ก็เพราะว่ามันไปเป็นทาสของกิเลส นี้มัน มันควรจะมองเห็นกันแล้ว แล้วมันควรจะเป็นไอ้สิ่งที่มองเห็นได้ง่ายที่สุด เป็นปูชนียบุคคลเป็นทาสของกิเลสไม่ได้ ถ้าเป็นก็หมดนะ หมดความเป็นปูชนียบุคคล คือไปทำผิด ทำชั่ว ทำเลวด้วย ตามอำนาจของกิเลส ดังนั้น จงนึกถึงการไม่เป็นทาสของกิเลส การไม่รับใช้กิเลส แต่รับใช้ธรรมะ รับใช้ความถูกต้อง เดี๋ยวนี้ เรามันไปหลงที่จะรับใช้กิเลสโดยสมัครใจ ดังนั้น ขออภัยนะ ถ้าพูดอะไรตรงๆ ไปบ้าง เพราะเรานี่มันสมัครจะรับใช้กิเลสถึงสองเท่า คือเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว กลายเป็นสองเท่า ข้อนี้ก็คือ ความโง่เขลาของเราเอง เราไปผูกพันกันเข้าให้เกิดเป็นสองเท่า ได้แก่การแต่งงาน หรือการสมรสของบุคคลธรรมดาสามัญที่รู้เรื่องนี้ไม่เพียงพอ ตกเป็นทาสของกิเลส เห็นแก่ความรู้สึกเอร็ดอร่อย เป็นสุขทางเนื้อทางหนัง เขาจึงมีการสมรส หรือแต่งงาน คือ คนหนุ่มคนสาวสมัยนี้หวังอยู่อย่างเดียวที่จะแต่งงาน จะแต่งงานให้ได้ ไม่ต้องรอ ไม่ต้องสังเกต ศึกษาว่าถูกผิดอย่างไร มันจะแต่งงานให้ได้ ถ้าพ่อแม่มันไม่ยอมให้แต่งงาน มันไม่มีทางอื่นจริงๆ แล้ว มันจะฆ่าพ่อ ฆ่าแม่มันทันที คนหนุ่มคนสาวสมัยนี้ เพราะมันรู้จักแต่เรื่องจะแต่งงาน ดีแต่ว่าเขาปล่อยไป ยังไม่มีความเข้าใจถูกต้องว่าไอ้สิ่งนี้มันคืออะไร ถ้าแต่งงานเพื่อประโยชน์แก่ความเป็นทาสของอายตนะเอร็ดอร่อยทางวัตถุ ทางเนื้อทางหนัง ไม่ได้เข้าใจว่าไอ้แต่งงานนี่เพื่อจะช่วยกันทำอะไรให้ดีกว่าที่คนเดียวจะทำได้ มันต้องอบรมตนเองให้ถึงขีดนั้น ที่จะแต่งงานแล้วจะช่วยกันทำสองคน ให้ชีวิตนี้มันถูกต้อง มันดี มันเร็ว ในส่วนตัวก่อน แล้วส่วนสังคม ส่วนโลก มันก็จะดีขึ้นด้วย อย่างนี้มันเป็นการแต่งงานที่มีอุดมคติ ประกอบไปด้วยธรรม ทีนี้ไม่เป็นอย่างนั้น ไม่ได้รับการอบรมสั่งสอนอย่างนี้ เอาตามความรู้สึกของตัวเอง คนหนุ่มคนสาวสมัยนี้เอาตามความรู้สึกของตัวเอง ไม่มีความเคารพในสิ่งที่เรียกว่าธรรมะ หรือศาสนา แต่งเนื้อแต่งตัวไม่น่าดู มีกิริยาท่าทางไม่น่าดู แม้มาเดินอยู่ในสวนโมกข์นี้ เห็นอยู่ทุกวัน รู้สึกว่าในใจของคนเหล่านี้ ไม่มีอะไร นอกจากความมุ่งที่จะเป็นทาสของอายตนะ คือ เนื้อหนัง คนอย่างนี้มันก็แต่งงานเพื่อกิเลส แน่นอน มันไม่ได้แต่งงานเพื่ออย่างอื่น มันแต่งงานเพื่อกิเลสแน่นอน นี่จะทำลายค่าของมนุษย์ให้หมดไปจากความเป็นปูชนียบุคคล ทีนี้มันมีธรรมะสัจจะอันหนึ่ง ซึ่งพิเศษมาก คือ เมื่อก่อนนี้เขารับใช้กิเลสของเขาเพียงคนเดียว พอแต่งงานแล้วเขาก็ต้องรับใช้กิเลสเพิ่มขึ้นเป็นสองคน คือ กิเลสของสามี หรือกิเลสของภรรยาของเขาด้วย เมื่อก่อนนี้เขาเป็นทาสกิเลสของเขาเพียงคนเดียว พอเขาแต่งงานแล้ว เขาก็ต้องเป็นทาสของกิเลสของอีกคนหนึ่งด้วยนะ ไปคิดดูให้ดี นี่ไอ้การแต่งงานด้วยกิเลสมันเป็นอย่างนี้ นี้ต้องรับใช้กิเลสของคนสองคน ถ้ามันเป็นอย่างเลว คือของคนที่มีการศึกษาอย่างเลว มันก็รับใช้กิเลสของอีกฝ่ายหนึ่งไม่ได้ นั่นมันก็ตกนรกทั้งเป็นกันทั้งคู่ มันก็ต้องกัดกัน แล้วมันก็ต้องหย่ากัน เพราะมันไม่สามารถจะรับใช้กิเลสสองตัว ที่เพิ่มขึ้นมาอีกตัวหนึ่ง ดังนั้น เราให้การศึกษาแก่ลูกเด็กๆ ของเราไม่พอ เขากำลังเป็นอย่างนี้ ไม่มีความเป็นมนุษย์ที่มีมนุษยธรรม ก็เลยไม่ต้องพูดถึงปูชนียบุคคล ก็พูดถึงได้แต่ว่า มันเป็นไอ้ ตกอยู่ใต้อำนาจของกิเลสตัณหา เป็นทาสของอายตนะ ก็เลยมีความเปลี่ยนแปลงใหญ่หลวงในสังคมมนุษย์นี้ ขอให้สังเกตดูข้อนี้ ว่ามันเป็นปัญหาที่ซ่อนอยู่ลึกอย่างไร ถ้าคนไม่รู้จักตัวเองว่าเกิดมาทำไม อะไรผิดอะไรถูก กิเลสเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ แล้วก็บูชากิเลสนั้น เป็นความถูกต้อง คนหนุ่มคนสาวสมัยนี้ก็บูชาความรู้สึกทางเพศ ทางกามารมณ์ เป็นสิ่งสูงสุดเหนือกว่าสิ่งใด ก็มีการทำผิด คือมีการแต่งงานที่ใช้ไม่ได้นี่มากขึ้น แล้วก็เลยไปถึงมีอาชญากรรมเกี่ยวกับเรื่องเพศนี่ มันมากขึ้น เพราะว่ามีความเป็นทาสของอายตนะเพิ่มมากขึ้นหลายเท่า พูดถึงความจริงข้อนี้ เอ่อ, ก็รู้สึกกระดากที่จะพูด ก็ไปคิดเอาเองบ้างก็แล้วกันว่าเป็นทาสกิเลสของตัวเองไปแต่งงานเข้าแล้ว ก็ต้องสมัครเป็นทาสของกิเลสของคู่ครองนั้นอีกด้วย ถ้าโชคมันดี มันมีลูกมีหลานออกมา มันก็ต้องเป็นทาสของลูก ของหลาน ของเหลนต่อไปอีก ไม่มีที่สิ้นสุด เกิดมาทั้งทีมันเต็มไปด้วยความเป็นทาส ทำไมไม่คิดจะเปลื้องทาส ปล่อยทาสชนิดนี้กันบ้าง พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้อย่างละเอียด ถูกต้องเพียงพอในเรื่องนี้ เกี่ยวกับเรื่องนี้ ขอให้ไปศึกษากันดู ว่าเกิดมาทำไม ถ้าต้องการ ถ้าจะต้องแต่งงานมีคู่ครองนั้น จะต้องทำให้ถูกต้องอย่างไร ด้วยวัตถุประสงค์อย่างไร อย่าให้มันเป็นทาส ทุก ทุก ทุกอย่างเลย แล้วการแต่งงานนั่นแหละ จะเป็นปัจจัยให้รู้จักสิ่งทั้งปวงตามที่เป็นจริง จะเป็นการสมรสที่ช่วยให้รู้จักพระนิพพาน หรือให้ถึงพระนิพพานได้เร็วขึ้น มันต่างกันน่าใจหาย การสมรสแบบคนโง่มันก็จะจมลงไปในนรก การสมรสแบบผู้มีสติปัญญาของปูชนียบุคคลนั้น จะทำให้ถึงพระนิพพานได้โดยง่ายขึ้นเพราะการสมรสนั่นเอง ดังนั้น การสมรสนั่นมันก็เป็น ไอ้ บทเรียนอันใหญ่หลวงของคน ถ้าเขาทำถูกต้องมันก็รู้จักอะไรดี รู้จักชีวิตดี รู้จักโลกดี รู้จักความสุข ความทุกข์ดี รู้จักไอ้เรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรติดี รู้จักหมดทุกอย่างว่ามันคืออะไร เขาก็เข้าใจพระนิพพานได้ง่ายขึ้น นี่คือข้อที่ว่า อ้า, เรากำลังทำผิดอยู่โดยไม่รู้สึกตัว แล้วก็ไม่อยากจะรู้สึก แล้วก็ปล่อยให้มันเป็นไปอย่างนั้น อย่างที่น่าล้อเลียนที่สุดเลย จึงเอามาล้อเลียนกันในวันนี้ ปูชนียบุคคลหมดไปแล้ว เพราะความไม่รู้จักอายตนะ คือ ตา หู หมูก ลิ้น กาย ใจ ทำผิดในเรื่องนี้เป็นทาสของกิเลส อะไรๆ มันก็เป็นไปในทางเพิ่มความทุกข์ทั้งนั้น พอมีความถูกต้องในเรื่องนี้ อะไรๆ มันก็จะเปลี่ยนไป คือ มันจะขยับขยายไปในทางที่จะเอาชนะความทุกข์ได้ เดี๋ยวนี้เราก็กำลังทำผิดอยู่ในเรื่องนี้เป็นส่วนใหญ่ พูดอีกทีหนึ่งก็ว่ามันไปหลงเรื่องเนื้อหนัง แล้วก็ตั้งมั่นขึ้นมาเป็นป้อมค่ายอันมั่นคง เป็นลัทธิทางเศรษฐกิจ ทางการเมืองที่พวกของตัวจะได้รับประโยชน์มากที่สุด เกิดมีการเมือง อ้า, ชนิดสกปรกขึ้นมาในโลก เป็น เป็นกลุ่ม เป็นกลุ่ม เป็นกลุ่มไป สำหรับจะแสวงหาประโยชน์ของตน ทุกกลุ่มนั้นล้วนแต่ไม่รู้เรื่องความจริงของธรรมชาติ คืออย่าไปตกเป็นทาสของอายตนะเข้า มันจะวินาศกันทั้งโลกนั่นเอง เดี๋ยวนี้ก็พูดถึงสันติภาพ นักการเมืองทุกกลุ่มพูดถึงสันติภาพ แล้วโฆษณาอวดอ้าง ประกวดประชันกันว่านี่คือ สันติภาพที่ถูกต้อง นี่คือทางแห่งสันติภาพที่ถูกต้อง แล้วก็ไม่เคยเห็นว่า ไอ้พวกไหนที่มันรู้จักสันติภาพอันแท้จริง คือความไม่เป็นทาสของอายตนะ เดี๋ยวนี้เขาเรียนกันมากมีสติปัญญามาก นึกดูถึงส่วนนี้แล้ว ก็รู้สึกสะดุ้งเหมือนกันว่า เขาเรียนกันมาก เขามีสติปัญญามาก แล้วทำไมเขาไม่ใช้มันให้เป็นไปเพื่อสันติภาพ มีสิ่งที่น่าหัวอยู่เรื่องหนึ่ง อยากจะแนะให้สังเกตว่า ไอ้สมาคมของผู้มีสติปัญญา มีการศึกษาสูง เจริญสูง ก้าวหน้านั้นนะ เขากลับปัดเสีย ปฏิเสธเสียว่า เราไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง ผู้มีปัญญาในระดับสูงของมนุษย์ มีสมาคมของผู้มีสติปัญญาเป็นบัณฑิต นักปราชญ์นี่ เขาก็จะปัด จะปฏิเสธเสียว่า อ้า, จะไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง ขอระบุเรื่องจริงสักเรื่องหนึ่ง ก็ขออภัยนะว่าอย่า เป็นเรื่อง เอ่อ, เสียหายอะไร อาตมาเคยชักชวนสมาชิกของสยามสมาคมว่า แสดงปาฐกถาอบรมเรื่องศีลธรรมกันบ้างเป็นอย่างไร เขาบอกว่ามันจะไปเกี่ยวข้องกับการเมือง สมาคมนี้ไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง เลยงงกันไปหมด ว่าสันติภาพอยู่ที่ไหน อยู่ที่ศีลธรรม ถ้าไปเกี่ยวข้องกับศีลธรรมมันกลายเป็นเรื่องการเมือง นี่เพราะว่าเราตีความของคำว่าสันติภาพนี่ต่างกัน สันติภาพของนักการเมืองจอมปลอมก็เป็นสันติภาพคดโกง ไว้ บังหน้า ไว้อวดอ้าง สันติภาพแท้จริง ไม่รู้ แล้วพวก พวกที่มีสติปัญญาไม่กล้าไปเกี่ยวข้องกับสันติภาพ เพราะเขากลัวว่า สมาคมของเขาจะเป็นสมาคมการเมืองไป น่าหัวจนไม่รู้จะหัวกันอย่างไร ผู้มีปัญญาไม่กล้าเกี่ยวข้องกับสันติภาพ เพราะกลัวว่าจะเป็นเรื่องการเมืองไป นี่ในกรุงเทพก็มีอยู่อย่างนี้ ที่ประเทศอื่นๆ ทั่วไปทั้งโลก มันก็มีอยู่อย่างนี้ ที่ว่าผู้มีปัญญาไม่กล้าแตะต้องสันติภาพ เพราะกลัวว่าจะกลายเป็นนักการเมืองไป สมาคมของเขาจะกลายเป็นสมาคมนักการเมืองไป อย่างพุทธสมาคมที่ไหนก็ตาม ไม่กล้าแตะต้องเรื่องสันติภาพ กลัวว่าจะเป็นสมาคมการเมืองไป จะถูกหาว่าเป็นสมาคมนักการเมืองไป มันมีเสียอย่างนี้ แล้วเมื่อไหร่สันติภาพมันจะมี เพราะว่าได้ปล่อยสันติภาพไว้ให้เป็นปัญหาของคนที่ไม่สุจริตใจทั้งนั้น ไม่มีศีลธรรม ไม่มีประโยชน์ที่บริสุทธิ์เป็นที่มุ่งหมาย นี่สันติภาพ ไม่เกี่ยวกับการเมือง น่าหัว น่าหัวจนไม่รู้จะหัวอย่างไร แล้วไม่รู้ว่าจะเอามาล้อกันอย่างไรว่าสันติภาพที่ไม่เกี่ยวกับการเมือง แล้วก็ยังยึดมั่นถือมั่นในลักษณะนี้กันอยู่พวกหนึ่งทีเดียว แล้วเป็นพวกที่มีสติปัญญาสูงสุดของมนุษย์เสียด้วย น่าเสียดายสติปัญญาเหล่านั้น ทีนี้มองกลับอีกด้านหนึ่ง ถึงคนที่ว่าเขาก็มีสติปัญญาเป็นเยาวชนผู้มีการศึกษาแห่งยุคนี้ เขาก็มีสติปัญญาของเขาที่จะไม่ต้องเชื่อพ่อ แม่ ครู บิดา มารดา ครูบาอาจารย์ เขามีกิเลสของเขาเป็นสติปัญญาของเขา หรือมีสติปัญญาของเขาในรูปแบบแห่งกิเลสของเขา อ้างตัวเองเป็นนักศึกษา มีการทำอะไรอย่างที่อวดอ้างว่าเป็นนักศึกษา แต่โดยเนื้อแท้แล้วไม่มีหิริโอตัปปะเลย ไม่มีเมตตากรุณาเลย ไม่มีความรู้สึกว่าสัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันเลย พร้อมจะฆ่าผู้อื่น หรือพวกอื่น เพื่อประโยชน์ของตน เขาเหล่านั้นบูชา อ้า, วัตถุ คือวัตถุนิยม ขอให้เข้าใจไว้ด้วยว่าเมื่ออาตมาพูดถึงวัตถุนิยม แล้วก็แยกคัดเอามา เฉพาะที่ว่ามันหลงในรสอร่อยของวัตถุ เรื่องความสุข ทางเนื้อทางหนัง คำว่าวัตถุนิยมมีความหมายอย่างอื่นอีกมาก มันยังไม่เป็นปัญหา จะไม่เอามาพูด เป็นลัทธิที่จะเถียงกันว่า ไอ้วัตถุหรือจิต อะไรเป็นไปตามอำนาจของวัตถุ นั้นมันก็เป็นวัตถุนิยมอีกพวกหนึ่ง จิตไม่มีตัวตนเอาเป็นหลักไม่ได้ เอาหลักฐานกันที่วัตถุที่ปรากฏอยู่นี่ก็เป็นวัตถุนิยมพวกหนึ่ง เพียงเท่านั้นไม่ ยังไม่เป็นอันตราย เดี๋ยวนี้มาบูชารสอร่อยของวัตถุเป็นพระเจ้า เป็นสิ่งสูงสุด เป็นศาสนาของเขา นี่คือวัตถุนิยมที่เป็นอันตราย คนหนุ่มคนสาวมาแสดงกิริยาอาการเลวทรามเหมือนสัตว์เดรัจฉานในสวนโมกข์นี้ก็มี แถวข้างๆ สระน้ำนะ เขามาแสดงอาการตามความพอใจของเขา ไม่มียางอาย แสดงความรู้สึกของเขาโดยไม่มียางอาย ได้ยินว่าแม้ในรถไฟในอะไรเขาก็แสดงกันอย่างนี้ อาตมาโง่เอง เพิ่งมาเห็นว่านี่มันทำมาทำไม ทำมา ทำในสวนโมกข์อย่างนี้ ที่จริงเขาทำกันแล้ว แม้ในรถไฟทั้งขบวนที่กำลังแล่นอยู่นั่นนะ คนหนุ่มคนสาวเหล่านี้เขาก็ได้มีอากัปกิริยาอย่างนั้น ถึงระดับเหมือนกับสัตว์เดรัจฉานที่ไม่มียางอาย แล้วเขาก็ไม่รู้สึกว่ามัน มัน มันน่าละอาย ดังนั้น เขาก็ไม่รู้สึกว่าเขาเหมือนกับสัตว์เดรัจฉาน นี่การศึกษาที่มัน อ้า, ส่งเสริมวัตถุนิยมถึงขนาดนี้ จนไม่มีความละอาย พระเณรจะเดินไปมา เขาก็นั่งทำอะไรของเขาอยู่ได้โดยไม่ต้องละอาย แล้วแกล้งประชดให้เห็นเสียด้วยนี่ เพื่อเขาจะได้ให้พระเณรเหล่านี้หนีไปเสียเร็วๆ แล้วเขาก็จะแสดงอาการอย่างนั้น ยังได้ความว่ามันเป็นนักศึกษาในระดับมหาวิทยาลัยก็มีที่มันทำอย่างนี้ ทำให้พวกเราที่นี่รู้สึกเบื่อระอา ที่จะต้อนรับนักศึกษาแห่งยุคปัจจุบันยิ่งขึ้นทุกทีแล้ว นี่กิเลสของวัยรุ่น เอ่อ, บางพวกสมัยนี้ขึ้นมาถึงระดับสัตว์เดรัจฉานแล้ว เพราะเหตุที่ยอมเป็นทาสของอายตนะเท่านั้น แล้วเขาจะทำอย่างไร เขาจัดตัวเองไว้ว่าเป็นผู้ที่จะจัดโลกให้มีสันติ เป็นพวกที่จะจัดโลกให้มีสันติ ขึ้นอยู่กับไอ้การเมืองแขนงนั้น แขนงนี้ จะจัดโลกให้มีสันติ จนจิตใจของเขาวินาศไม่มีอะไรเหลือ เป็นบ่าว เป็นทาสของกิเลส ขอให้ท่านทั้งหลายได้รับทราบไว้ด้วย บิดา มารดา ปู่ ย่า ตา ยาย ทั้งหลาย รู้ไว้ด้วยว่า ลูกหลานของเรากำลังเป็นอย่างนี้แล้ว กำลังจะเป็นอย่างนี้ต่อไปอีกมากขึ้น ช่วยกันหน่อย ทุกคนช่วยกันระมัดระวังลูกหลานของตน ของตน เพื่อเห็นแก่โลก เพื่อเห็นแก่ทุกคน ช่วยกันสืบพระธรรม สืบพระศาสนาไว้ เป็นเครื่องคุ้มครองคนทุกคนในโลกนี้ ให้อยู่ในทำนองคลองธรรม เมื่อตอนเช้านี้ก็พูดแล้วว่ามันกำลังเปลี่ยนไป มันกำลังหมุนไปสู่ความวินาศ แต่เราก็ไม่ดูดายเราจะช่วยดึงกลับตามสติปัญญาที่จะทำให้ปลอดภัยได้ จะดึงกลับมาได้ด้วย มันขึ้นอยู่กับการอุทิศชีวิต เพื่อการนี้โดยเฉพาะ อยากจะขอศึกษาก็ได้ ถามดูจะมากเกินไป ใช้คำว่าศึกษาพอจะพูดได้ เราจะยอมเสียสละชีวิตที่เหลืออยู่นี้ เพื่อประโยชน์แห่งการกลับมา อ้า, ของศีลธรรมหรือไม่
เดี๋ยวนี้อาตมากำลังพูดกับท่านทั้งหลายที่นั่งอยู่ที่นี่ แต่ขอให้ถือว่าพูดกับคนทุกคนที่เป็นคนไทย หรือเป็นพุทธบริษัท ว่าชีวิตของเราที่เหลืออยู่ต่อไปนี้ จะใช้เพื่อประโยชน์แก่โลก แก่ศาสนา แก่สังคมจะได้ไหม หรือว่า จะยังสงวนไว้เพื่อประโยชน์แก่ตัวเราอยู่นั่นเอง เดี๋ยวนี้ ศาสนาก็อยู่ในลักษณะที่เรียกว่าแย่มาก ขออภัยใช้คำโสกโดกอีกแล้ว ว่ามันแย่มาก ถ้าไม่มีการอุทิศกันจริงๆ มันจะแก้ไขไอ้ความแย่มากนี้ไม่ได้ มนุษย์นี่มันอยู่ในลักษณะที่เรียกว่าแย่มาก ถ้าไม่มีใครเสียสละอุทิศ ขนาดอุทิศชีวิตแล้ว มันก็แก้ความแย่มากนี้ไม่ได้ จะเรียกว่าโลกก็ดี จะเรียกว่ามนุษย์ก็ดี จะเรียกว่าธรรมะก็ดี ศาสนาก็ดี มันอยู่ในลักษณะที่ต้องการความเสียสละของเราที่จะช่วยกันทำให้กลับมามีประโยชน์แก่มนุษย์ อาตมาอาจจะชักชวน เอ่อ, เกินขอบขีดไปแล้วก็ได้ แต่ยังเชื่อว่ามันยังถูกต้องอยู่ เพราะถ้าเราจะช่วยกันอุทิศชีวิตเพื่อประโยชน์แก่พระศาสนา ให้พระศาสนากลับมาเป็นที่พึ่งของมนุษย์ มันก็ยังมีทางที่จะทำได้ ยังมีโอกาสที่จะทำได้ ว่าแต่จะสมัครกัน หรือไม่เท่านั้น ถ้าทุกคนยินดีจะเสียสละไอ้ชีวิตที่เหลืออยู่ในอนาคตนี่ เพื่อประโยชน์แก่พระศาสนาหรือแก่คนทั้งโลก เราก็ยังมีทางที่จะทำได้ เพราะมันทำได้หลายระดับ คือหลายชั้น เรามีสติปัญญาสามารถน้อย ก็ทำในชั้นที่มันน้อย หรือมันต่ำหน่อย ผู้ที่มีสติปัญญามาก ก็ควรจะทำได้มาก แต่ว่าอย่าตีราคาตนเองให้มันถูก หรือให้มันน้อยไปเสีย พยายามตีราคาตัวเองให้มันแพงสักหน่อย ให้สามารถทำอะไรได้มาก อย่าถือเป็นคนธรรมดาปล่อยให้วันมันล่วงไปตามธรรมดา อาตมาพูดว่า การอุทิศชีวิตเพื่อประโยชน์แก่พระศาสนาทำได้หลายวิธีเพราะหลายระดับนั่น มันก็เหมือนกับ มันก็ได้กับเรื่องที่พูดกันมาแล้ว พูดกันมาอีก อันดับหนึ่ง การพยายามให้ตนเองมันรู้ แล้วก็เผยแผ่ไปเท่าที่ตนเองรู้ ในชั้นแรกนี้ต้องพยายามให้ตนเองเข้าถึงด้วยความรู้อย่างถูกต้อง อย่างแท้จริงก่อน แล้วก็เผยแผ่เท่าที่ตนรู้ อย่างนี้ไม่ใช่อวดดี คนที่ว่าเผยแผ่สั่งสอนเกินกว่าที่ตนเองรู้นั่นละอวดดี แล้วจะลำบากทีหลัง เราทำให้เราเองรู้จริง ถูกต้องให้มากๆ เข้าไว้ แล้วก็เผยแผ่ตามที่รู้ ไม่ต้องทั้งหมดก็ได้ คือ ขยักไว้บ้างเป็นเครื่องรับประกันว่าจะไม่เกินกว่าที่ตนรู้ ทีนี้พยายามศึกษาพระพุทธศาสนา หรือพระธรรมอะไรก็แล้วแต่จะเรียก อย่างที่ได้พูดกันมาแล้วตั้งค่อนวันนี้ ว่ามันมีอยู่อย่างไร ให้เข้าใจ ให้แจ่มแจ้ง ให้ทำได้ ให้ทำให้ได้ แล้วก็เผยแผ่ไปตามที่ตนทำได้ หรือตนรู้ อย่าไปพูดเหมือนกับคนบางคนพูดว่า มันไม่ใช่ธุระของเรา คิดดูให้ดีว่าชีวิตที่เหลืออยู่นี้ จะใช้มันมีประโยชน์มากได้อย่างไร ก็ใช้ให้มันเป็นประโยชน์ให้มากที่สุดเถิด นั่นแหละ จะเรียกว่า มันเป็นการได้ที่ดี ที่ได้เกิดมาทั้งที มันได้ทำประโยชน์ สุดที่มันจะทำได้ ตามความหมายของคำว่าชีวิตนี่มันมีอะไร มันมีดีที่ตรงไหน มีคุณค่าที่ตรงไหน นี้เป็นข้อแรกให้ถือเป็นหลักไว้ว่า พยายามให้รู้ด้วยตนเองก่อน แล้วก็ทำให้ผู้อื่นรู้ตามที่เรารู้ นี้ถ้ารองลงมาไม่ถึงขนาดนั้น ก็พยายามปฏิบัติให้ถูกต้อง ให้ผู้อื่นดู ให้เป็นตัวอย่าง เราจะไม่พูดอะไรสักคำหนึ่งก็ได้ แต่พยายามประพฤติ ปฏิบัติให้ถูกต้อง ไม่ให้มีช่องโหว่ที่จะผิดพลาดหรือถูกตำหนิติเตียน ปฏิบัติให้ดูอยู่โดยไม่ต้องมีเจตนาอะไร นอกจากว่าจะปฏิบัติให้ดีที่สุด แล้วมันก็เป็นตัวอย่างอยู่ในตัวมันเอง เพราะว่าเราอยู่ในโลกนี้ย่อมมีคนเห็น จะหลบหนีไปที่ไหนก็ไม่ได้ มันก็มีคนเห็น ข้อนี้อย่าไปนึกมัน นึกแต่ว่าจะทำให้ดีที่สุด ให้เป็นรูปที่แสดงอยู่อย่างดีที่สุด อย่างถูกต้องที่สุด คนเขาก็เอาอย่างเอง อย่าไปเที่ยวด่าเขาว่าทำไม่ถูก ทำไม่ดี แล้วตัวเองก็ไม่เห็นมีอะไรดีที่ตรงไหนมากไปกว่าคนเหล่านั้น มีแต่ไปด่าคนอื่น เลิกเสียดีกว่า ทำให้ดีที่สุดที่ตัวจะทำได้ แล้วไม่ต้องพูดอะไร คนก็เลื่อมใส ก็ทำตาม ที่ไม่ให้คิดไปในทำนองที่ว่าเราจะทำให้เป็นตัวอย่างนี่ กลัวว่ามันจะอวดดีโดยไม่ทันรู้ ดังนั้น คิดแต่เพียงว่าจะทำให้ดีที่สุด แสดงให้เห็นอยู่