แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
วันนี้เป็นวันแรกสำหรับผมที่จะพูดกับพระลาบวชชั่วพรรษาเดียว ตลอดเวลาที่แล้วมาไม่ได้พูดเพราะว่าไม่ค่อยสบาย เดี๋ยวนี้ก็จวนจะออกพรรษาแล้ว ก็คิดว่าจะพูดบ้างตามที่จะสามารถ แต่เมื่อเห็นอยู่แล้วว่า ตลอดเวลาท่านทั้งหลายก็ได้ฟังการบรรยายจากเทปบันทึกเสียง ซึ่งได้พูดกับพระบวชพรรษาเดียว หรือราชภัฏลาบวชเช่นเดียวกัน นั่นขอให้เข้าใจว่ามันเป็นหลักทั่วไปที่จะต้องพูดอย่างนั้น แล้วปีนี้จะพูดอีก มันก็พูดคล้ายๆ กันนั้น ฉะนั้นอย่าเขลา เข้าใจผิดไปว่ามันจะต้องฟังแต่จากปากเสมอไป แม้จะเป็นเทปบันทึกเสียงก็ยังดีกว่าที่จะอ่านจากตัวหนังสือ ฉะนั้นถ้าว่าได้สนใจฟังจริงๆ ก็นับว่าเป็นการบรรยายที่มากพออยู่เหมือนกัน ที่ฟังจากเทปมาแล้ว ต้ังแต่วันแรกเข้าพรรษาจนถึงวันสุดท้ายนี้
ทีนี้มันวันสุดท้ายอย่างนี้ ก็เห็นว่าจะพูดเป็นการสรุปความให้เข้าใจง่าย จำง่าย และเอาไปใช้ให้สำเร็จประโยชน์หลังจากที่ลาสิกขาออกไปเป็นฆราวาสต่อไปตามเดิม นี่หมายความว่าจะพูดสำหรับผู้ที่จะลาสิกขาออกไป เพื่อให้ได้รับประโยชน์มากที่สุดเกี่ยวกับการบวช ถึงอย่างไรก็คิดว่าจะต้องให้ทบทวนคำว่า บวช กันนั่นแหละอีกสักครั้งหนึ่ง ถ้าเข้าใจแล้วก็จะเอาไปใช้ให้เป็นประโยชน์ได้
สำหรับคำว่า บวช บวชนี่ โดยเฉพาะในยุคนี้สมัยนี้ ก็จะมีความหมายใหญ่ๆ มีความหมายที่สำคัญอยู่สัก ๒ อย่าง พวกคนหนุ่มบวชเข้ามาเพื่อเป็นโอกาสศึกษาและฝึกฝนตนเองให้เหมาะสำหรับจะไปเป็นฆราวาสที่ดีนี้อย่างหนึ่ง อีกอย่างหนึ่งก็สำหรับคนแก่ที่ต้องการจะหาความสงบสุขในบั้นปลายแห่งชีวิต นี่ยังไม่เกี่ยวกับผู้บวชพรรษาเดียว แต่ก็ควรจะรู้ไว้ว่าการบวชนั้น แรกเริ่มเดิมทีก็มีสำหรับผู้ที่ครองเรือนแล้ว เบื่อแล้ว หรือมันซ้ำซากเกินไป ก็หลีกออกไปหาวิธีการดำรงชีวิตชนิดที่ดีกว่า สูงกว่า เขาจึงเรียกว่า บวช จึงเป็นเรื่องของคนสูงอายุไปอยู่ในที่สงบสงัด ศึกษาและปฏิบัติกันไปตามที่จะทำได้ มันก็คือตามธรรมเนียมที่เขาเคยทำกันมาแล้วอย่างไร แล้วขยายให้สูงขึ้นไป โดยมากมันก็รวมความอยู่ที่ หยุดหรือว่างไป คนหนุ่มก็มีเรื่องเกี่ยวกับกามารมณ์เป็นเบื้องหน้า ฉะนั้นจึงเรียกว่าเป็นพวก กามาวจร หรือตั้งอยู่ในกามาวจรภูมิ จิตใจมันยังรัวอยู่ด้วยเรื่องของกามารมณ์ ก็ต้องมีความรู้ที่เพียงพอ ที่จะทำอย่างไรจึงจะไม่มีโทษเกิดขึ้นจากเรื่องของกามารมณ์ และก็เป็นอยู่ด้วยความผาสุกตามแบบของคนบริโภคกาม นี่มันก็เสร็จไปตอนหนึ่ง
ทีนี้ต่อมามันก็คลายในเรื่องกามารมณ์มาอยู่ที่ทรัพย์สมบัติ บ้านเรือน ลูกหลาน ก็อยากจะเรียกว่าพวก รูปาวจร ตั้งอยู่ในรูปาวจรภูมิ ไม่ค่อยเกี่ยวกับกามารมณ์ แต่เกี่ยวกับสิ่งที่มันเป็นวัตถุธรรม ทีนี้หนักเข้ามาอีก มันก็ มันก็เอือมระอา มันก็เลื่อนไปหาไอ้สิ่งที่ไม่ใช่วัตถุ มันเป็นเรื่องทำดี และเรื่องชื่อเสียง เป็นเรื่องเกียรติยศ เป็นเรื่องอะไรไปในทางนั้นที่มันสูงขึ้นไป ไม่ ไม่เป็นวัตถุ ไม่เป็นรูปธรรม เราจึงเรียกไอ้พวกนี้ว่า อรูปาวจร ซึ่งมันหมกมุ่นอยู่ในเรื่องที่เป็นอรูป ไม่ใช่รูป เรียกว่าตั้งอยู่ในอรูปาวจรภูมิ ทีนี้ถ้าว่าคนนั้นมันฉลาด ไม่โง่เกินไป ไม่บ้า ไม่หลงเกินไป มันยังจะเลื่อนได้อีกทีหนึ่ง คือเลื่อนไปหาไอ้ระดับของความว่าง ความหยุด ความเย็น ไม่เกี่ยวกับอะไรหมด ซึ่งจะเรียกว่า โลกุตตรภูมิ จะออกไปค้นหาเอาเองหรือจะทำอย่างไรก็สุดแท้ แต่ว่ามันน้อยคนนักที่มันจะออกไปได้ถึงโลกุตตรภูมิ และส่วนใหญ่มันก็ติดอยู่แค่กามาวจรภูมิ จนกระทั่งเน่าเข้าโลงไปก็มีเป็นส่วนมาก คุณไปดู ไปค้นเถอะ ที่มันไม่เบื่อหน่ายในกามจนมันแก่เฒ่าเข้าโลงไป มันก็มี ก็น้อยเหมือนกันที่มันจะเลื่อนขึ้นไปหารูปาวจรภูมิ หรืออรูปาวจรภูมิ
ทีนี้เอาละ สมมติว่ามันเลื่อนขึ้นไปได้ถึงชั้นอรูปา เอ้อ, ชั้นรูปาวจรภูมิ หลงใหลแต่วัตถุ ไม่หลงใหลกาม มันก็มักจะติดตันในทรัพย์สมบัติ ในอะไรทำนองนั้นแหละอยู่จนตาย เน่าเข้าโลงอีก ไม่เลื่อนขึ้นไปได้อีกถึงอรูปาวจรภูมิ คือเรื่องชื่อเสียง เรื่องบุญกุศล เรื่องอะไร มันไม่เลื่อนขึ้นไปได้ น้อยคนที่จะเลื่อนขึ้นไปได้ถึงกับว่า ไปหาไอ้เรื่องที่เป็นนามธรรม แม้ที่สุดแต่เรื่องบุญกุศลซึ่งเป็นที่ตั้งแห่งความยึดถือ ทีนี้มันไม่มีปัญญาที่จะเลื่อนขึ้นไปอีกชั้นหนึ่งหรอก ไม่เอาอะไรหมดน่ะในบรรดาสิ่งปรุงแต่งเหล่านี้ เป็นเรื่องว่าง เป็นเรื่องหลุดพ้นไป นี่คนแก่ๆ ไม่เคยหลุดออกไปจากระดับกามาวจรภูมิก็มี ทีนี้คนแก่บางคนบังเอิญโชคมันดี มันออกไปได้ถึงชั้นรูปาวจรภูมิ อรูปาวจรภูมิ ไปอยู่ในแบบของบรรพชิตก็มี มันเป็นรูปาวจรภูมิ หรือ อรูปาวจรภูมิ ที่สูงขึ้นไปอีก ถ้าโชคมันดี มันไม่เป็นคนที่ว่ากิเลสหนาเกินไป หรือรู้จักเบื่อ ออกไปหาความว่างโดยประการทั้งปวง นี่เขามีกันมาอย่างนี้ตั้งแต่ก่อนพุทธกาลด้วยซ้ำไป เรื่องจัดคนเป็น กามาวจรภูมิ หลงใหลอยู่ในกาม รูปาวจรภูมิ หลงใหลอยู่ในรูปธรรมอันบริสุทธิ์ อรูปาวจรภูมิ หลงใหลอยู่ในอรูปธรรมอันบริสุทธิ์ นี่เป็นเรื่องวนเวียนอยู่ในวัฏฏะ ถ้าออกไปจากนี้อีกชั้นหนึ่งก็เป็นชั้นโลกุตตร ไม่ ไม่ชอบสิ่งปรุงแต่งทั้งหลาย ต้องการจะไปหาความว่าง ความสงบ ซึ่งเป็นระดับสุดท้ายที่สติปัญญาของมนุษย์มันจะถึงได้ เขาจึงบวชเพื่อความสะดวก บวชมันสะดวกในการประพฤติปฏิบัติธรรม ไม่ว่าระดับไหน มีคำกลอนผุดขึ้นมาในใจของผมบาทหนึ่งที่่ว่า คนตัวเปล่า มันเดินได้เร็วกว่าแบกบ้าน ตัวเปล่ามันเดินเร็วกว่าแบกบ้าน ไอ้คนหนึ่งมันแบกบ้าน แล้วมันจะเดินเร็วได้อย่างไร ทีนี้ไอ้พวกตัวเปล่า มันเดินเร็วกว่าแบกบ้าน คุณก็จำไว้ง่ายๆ ว่า ไอ้ตัวเปล่ามันเดินเร็วกว่าแบกบ้าน นั่นแหละคืออานิสงส์ของการบวชทั่วๆ ไป
ทีนี้พวกคุณที่ต้องการจะกลับสึกออกไปอีกนี้ มันก็เห็นได้ชัดแหละว่ามันอยู่ในระดับไหน ตัวเองจะต้องอยู่ในระดับไหน ถ้ากลับออกไปเป็นฆราวาสแล้วจะทำอะไร ก็รู้กันอยู่ ฉะนั้นเราจึงต้องจัดไอ้พวกเราชนิดนี้ไว้ในพวกแรก คือบวชเพื่อจะศึกษา ฝึกฝนอะไรสักอย่าง สำหรับที่จะออกไปครองเรือนให้ดีที่สุด ไม่ต้องพูดถึงพวกที่จะแสวงหาความสุขจากการบวชจนตลอดชีวิต พวกนั้นเก็บไว้ เรายังไม่นึกถึง ทีนี้ก็มานึกถึงพวกที่จะต้องลาสิกขา สึกออกไปเป็นฆราวาสนี่จะได้อะไรบ้าง พวกที่บวช ๓ เดือน เป็นราชภัฏบ้าง ไม่เป็นบ้าง ว่านี่จะได้อะไรที่คุ้มกับที่มาบวช แล้วออกไปด้วยความพอใจ นี่คือเรื่องที่ผมตั้งใจจะพูดในวันแรกนี้ ว่าพวกที่จะกลับสึกออกไปนั้นจะได้อะไรคุ้มกัน
เมื่อพูดถึงคำว่า บวช จะเป็นระดับไหน ประเภทไหนก็ตามเถอะ มันมีความหมายอยู่ตรงที่ บังคับจิต บังคับกิเลสทั้งนั้น ไอ้หนุ่มๆ บวชก็บังคับกิเลสหยาบๆ คนแก่บวชก็บวชเพื่อจะมีความสุขในขั้นปลาย ก็บังคับกิเลสชั้นละเอียดจนแทบจะมองไม่เห็น ที่นี้ในประเทศไทยเราก็มีประเพณีให้คนหนุ่มบวชที่เรียกว่า บวช ๓ เดือนนี้ นั่นมีแต่ประเพณีที่ว่าบวช ๓ เดือน แล้วมันไม่มีชัดเจนลงไปว่าทำอะไรกันบ้าง ฉะนั้นคุณก็ต้องดูเอาเองว่าจะทำอะไรกันบ้าง
สำหรับที่นี่ ผมก็มีความมุ่งหมายแน่นอนว่า มันจะต้องเป็นอยู่ด้วยการบังคับจิต หรือบังคับความรู้สึก หรือบังคับตน มันมีเท่านั้นแหละ ไอ้เรื่องบวชมันมีเท่านั้น บังคับจิต บังคับความรู้สึก บังคับตน บังคับกิเลส บังคับอะไร แล้วแต่จะเรียก เรียกชื่อได้หลายอย่างแทนกันได้ แต่มันต้องบังคับความรู้สึก บังคับความรู้สึกมันมีความหมายกว้าง แต่ถ้าแยกประเภทกันแล้วมันก็มีสักอย่าง เอ้อ, สัก ๒-๓ อย่างเท่านั้นเอง บังคับความรู้สึกที่เลว ที่ผิด ที่เป็นโทษ อย่าให้มันเกิดขึ้น ควบคุมไว้ บังคับไว้อย่าให้มันเกิดขึ้น แล้วบังคับความรู้สึกที่ดีที่มีประโยชน์นั้นน่ะ ให้มันมีอยู่ ให้มันเกิดขึ้น หรือว่าให้มันพอดี เดี๋ยวนี้มันก็มีความผิดพลาดในเรื่องบังคับความรู้สึกที่ดีอยู่เหมือนกัน คือมันไม่ทำให้พอดีได้ หรือมันไม่ทันเวลาบ้าง อะไรบ้าง ถ้าเราประสบความสำเร็จในการบังคับความรู้สึก เราก็จะเปลี่ยนเป็นคนละคน ดังนั้นขอให้สังเกตตัวเองดูให้ดีว่า ถ้าได้บังคับความรู้สึกจริง โดยถูกต้องจริงตลอดเวลาที่บวชอยู่นี้ กลับไปจะเป็นอย่างไร กลับออกไปนี่จะเป็นอย่างไร จะผิดจากเก่าก่อนหรือไม่ ช่วยจำไอ้ข้อนี้ให้ดี ถ้ามันไม่ผิดกันละก็ป่วยการ บวชเสียผ้าเหลือง เสียเวลา เสียอะไรต่ออะไรต่างๆ นานา ต้องไปจับให้ได้ว่า เรากลับไปนี่ มันต้องมีอะไรผิดไปจากทีแรก คือมีอะไรที่ดีกว่า สูงกว่า มีประโยชน์กว่า มันจึงจะได้ นี่ ทีนี้ใครจะได้หรือไม่ได้ คนนั้นก็รู้ของตนเอง