แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
ณ บัดนี้ จะได้วิสัชนาพระธรรมเทศนา เพื่อเป็นเครื่องประดับสติปัญญา ส่งเสริมศรัทธาความเชื่อและวิริยะ ความพากเพียร ของท่านทั้งหลายผู้เป็นพุทธบริษัท ให้เจริญงอกงามก้าวหน้า ตามทางแห่งพระศาสนาของสมเด็จพระบรมศาสดาอันเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลาย กว่าจะยุติลงด้วยเวลา ธรรมเทศนาอันนี้เป็นธรรมเทศนาพิเศษ ปรารภเหตุการณ์ที่เราทั้งหลายได้มาประชุมกันในสถานที่นี้ เพื่อประกอบพิธีวิสาข- บูชา และธรรมเทศนานี้ประสงค์เพียงเพื่อให้ท่านทั้งหลาย ได้เตรียมใจหรือเตรียมกายสำหรับประกอบพิธี วิสาขบูชาให้มีผลเต็มที่ ตามที่จะทำให้ได้มากที่สุดอย่างไรเท่านั้น มิได้ตั้งใจจะแสดงธรรมะโดยตรง แต่เป็นการแสดงธรรมะในลักษณะที่ให้เกิดกำลังใจ ในการประกอบพิธีนี้ให้ดีที่สุด ขอให้ท่านทั้งหลายทำในใจให้ดี ให้แยบคายให้ตรงตามที่อาตมาจะได้พยายามชักจูง
ปีนี้เป็นปี พุทธศักราช ๒๕๒๐ หมายความว่าถ้านับกันแต่ปีที่ปรินิพพานมา ก็เป็นอันว่าล่วงมาได้ ๒๕๒๐ พรรษาหรือปี แต่ถ้านับมาตั้งแต่ปีที่ตรัสรู้จนถึงปีนี้ก็จะได้ถึง ๒๕๖๕ ปี แต่ถ้าจะนับมาตั้งแต่ปีที่พระองค์ประสูติมาจนถึงปีนี้จะได้ถึง ๒๖๐๐ ปีพอดี จึงถือว่าเป็นปีที่ ๒๖ ร้อย หรือ ๒๖ ศตวรรษพอดี นับตั้งแต่ปีที่ได้ประสูติ เราจะถือว่า ๒๖๐๐ นี้เป็นจำนวนตัวเลขพิเศษ คือลงรูปลงเท้าเป็น ๒๖๐๐ จึงหวังว่าจะประกอบพิธีวิสาขบูชาเฉพาะปีนี้ให้เป็นพิเศษบ้าง ตามที่เราจะทำได้ อย่างไร ขอให้ท่านทั้งหลายกระทำในใจให้เป็นพิเศษ เกี่ยวกับปี ๒๕๐๐ เอ่อ ๒๖๐๐ แต่การประสูตินั้นด้วย การกระทำในใจก็ขอให้พิเศษ การกระทำทางวาจาก็ขอให้เป็นพิเศษ ทีนี้การกระทำทางกายก็เป็นพิเศษ หรือดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ อาตมาก็ขอร้องให้ท่านทั้งหลายระลึกนึกถึงกันตามลำดับ เช่นระลึกถึงวันนี้ ในวันนี้ ก็เป็นวันที่ถือกันว่าเป็นวันประสูติ ตรัสรู้และปรินิพพาน มีความพิเศษอยู่ที่กิจกรรมของพระองค์ หรือว่าที่เนื่องด้วยพระองค์ ๓ ประการนี้ ทำในใจในข้อที่เวลาล่วงมานานถึงเท่านี้ ที่เป็นประโยชน์แก่มนุษย์ทั้งหลาย นับได้ตั้งพันปี พันปี และก็อีกครึ่งพันปี ได้ทำให้มนุษย์ในโลกนี้ดีขึ้นอย่างไรบ้าง สมมุติเอาเป็นว่าถ้าพระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงอุบัติขึ้นในโลก ไม่ได้ตรัสรู้ แล้วโลกนี้จะเป็นอย่างไร จะมีใครตรัสรู้อย่างที่พระองค์ตรัสรู้ และสอนอย่างที่พระองค์ทรงสอนหรือหาไม่ นี่ล้วนแต่เป็นปัญหา และถ้ามีคนทำตนเป็นพระศาสดาและก็สอนกันอย่างอื่น เราก็คงจะไม่ได้มาร่วมประชุมกันที่นี่ในลักษณะอย่างนี้ ขอให้ทำในใจข้อนี้ดูให้ดีๆ แม้แต่การมาพบกันที่นี่ในวันนี้ ก็มันยังเนื่องกันกับการตรัสรู้หรือการบังเกิดขึ้นของพระองค์ ถ้าสมมุติว่าไม่มีพุทธศาสนา มีแต่ศาสนาพราหมณ์ เราก็คงจะได้ไปนั่งไหว้ศิวลึงค์กันอยู่โดยทั่วๆไป เหมือนที่เขาทำกันอยู่ในศาสนาพราหมณ์อย่างนี้เป็นต้น เดี๋ยวนี้ได้มาทำในใจ ทำกิริยาวาจากันอย่างนี้เพื่อบูชาอะไร ซึ่งท่านทั้งหลายก็จะได้พิจารณาดูกันต่อไป อาตมาเตือนเพียงว่า เราจะระลึกนึกถึงพระพุทธองค์เป็นพิเศษ ที่ได้ตรัสรู้ และก็ได้ทรงประทานสิ่งที่ตรัสรู้นั้น ให้แก่มนุษย์และเกิดพุทธบริษัทขึ้นมาในโลก และก็ได้มาทำอะไรกันอย่างที่พุทธบริษัทเขากระทำกัน ขอให้ทำในใจว่า เราได้มีอายุอยู่ในระยะกาลที่เป็นพระพุทธศาสนาของสมเด็จพระบรมศาสดา ถ้าทำในใจถูกต้อง มันก็เหมือนกับว่า ได้เกิดทันสมเด็จพระบรมศาสดาพระองค์นั้น ข้อนี้มีหลักที่เคยอธิบายกันมาแล้ว โดยใจความสั้นๆว่า พระองค์ตรัสว่า “ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดไม่เห็นธรรมผู้นั้นไม่เห็นเรา” นี่หมายความว่าแม้ว่าบางคนเกิดในสมัยสองพันกว่าปีมาแล้วในประเทศอินเดียแต่ไม่เห็นธรรมก็เท่ากับไม่ได้เห็นพระพุทธองค์ ก็เท่ากับว่าพระพุทธองค์ไม่ได้มีอยู่สำหรับเขาผู้นั้น ต่อผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นจึงจะเชื่อว่าเห็นพระพุทธองค์ มีพระพุทธองค์ เป็นสาวกของพระองค์ เราก็จะพยายามให้เป็นผู้เห็นธรรม ธรรมชนิดที่พระองค์ได้ตรัสรู้แล้วทรงสั่งสอน ถึงความดับทุกข์ตามวิธีอันนี้ได้ชื่อว่าเห็นพระพุทธองค์ ยิ่งกว่านั้นถ้ามีการปฏิบัติด้วย ก็ชื่อว่ามีพระพุทธองค์อยู่ในเรา ถ้าสำเร็จประโยชน์ในการปฏิบัตินั้นโดยแท้จริงและสูงสุดแล้ว เราก็จะกลายเป็นพระพุทธเจ้าองค์เล็กๆ องค์หนึ่งได้เหมือนกัน แม้จะไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็เป็นพระพุทธเจ้าเล็กๆ อย่างธรรมดาสามัญที่เรียกกันว่าอนุพุทธะ จึงขอให้พยายามทำใจให้ดี ให้มีความหมายข้อนี้ แล้วเราก็จะมีพระพุทธเจ้าจริง สำหรับประกอบพิธีวิสาขบูชาในเวลาวันนี้ ข้อนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับเวลา ทีนี้ก็อยากจะพูดในกรณีที่เกี่ยวกับสถานที่ ท่านทั้งหลายจำนวนมากอุตส่าห์มาแต่ที่ไกลด้วยความยากลำบาก มานั่งอยู่ที่นี่ในลักษณะอย่างนี้ ซึ่งใครๆ ก็มีความรู้สึกว่ามัน มันแปลกออกไป การมาทำวิสาขบูชาในที่นี้เราเรียกกันง่ายๆ ว่า มาทำวิสาขบูชาป่า แบบป่า ไม่ต้องอธิบายก็เข้าใจได้ว่าแบบป่าหมายความว่าอย่างไร แต่อยากจะให้คิดได้เลยไปถึงว่า แม้การตรัสรู้ เอ้ย แม้การประสูติ แม้การตรัสรู้ แม้การปรินิพพานของพระพุทธเจ้า ก็มีแล้วในสถานที่ที่เรียกกันว่า ป่า เมื่อพูดถึงการประสูติ พุทธองค์ก็ประสูติกลางพื้นดิน ในป่าที่เขาเรียกกันว่าสวนลุมพินี คือเป็นวนอุทยานที่เที่ยวเล่นของพวกกษัตริย์ พูดกันถึงเรื่องกลางดินก่อน พระพุทธเจ้าประสูติกลางดิน ตรัสรู้กลางดิน นิพพานกลางดิน สอนภิกษุทั้งหลายก็กลางดิน เพราะว่าศาลาที่จะสอนก็พื้นดิน ยิ่งกว่านั้นก็คือว่าตรัสสอนในที่ทุกหนทุกแห่งที่เป็นโอกาส ที่มีนิมิตที่มีอารมณ์อะไรจะประกอบการสอนให้เป็นผลดีที่สุด พระองค์ก็ทรงสอนที่นั่นเวลานั้น เพราะฉะนั้น คำสอนหรือพระพุทธโอวาสจึงเป็นสิ่งที่กระทำกลางดินเหมือนกัน เป็นส่วนใหญ่ เมื่อปรินิพพานก็ปรินิพพานกลางดิน ในป่าวนอุทยานอย่างเดียวกันอีก มันน่าประหลาดที่ว่า พระศาสดาของทุกศาสนาก็ล้วนแต่ตรัสรู้กลางดิน นิพพานกลางดิน อะไรกันไปตามแบบของพระศาสดา ไม่มีพระศาสดาองค์ไหนตรัสรู้บนตึก บนวิมาน ในสถานที่ที่มนุษย์สร้างขึ้น สรุปความว่านอกจากในป่าแล้วยังกลางดินด้วย เดี๋ยวนี้เราก็ได้นั่งกันอยู่กลางดินและก็ในป่าด้วย คงจะเป็นการง่ายที่จะทำในใจถึงเหตุการณ์ที่เกี่ยวกับพระพุทธองค์ เมื่อนั่งกลางดินก็ขอให้มีความภาคภูมิใจว่า เราได้นั่งลงบนที่นั่งของพระพุทธเจ้า เพราะพระองค์ว่า เพราะพระองค์ประสูติกลางดิน ตรัสรู้กลางดิน นิพพานกลางดิน อะไรๆ ก็กลางดิน เมื่อนั่งอยู่กลางดินอย่างนี้ ในสถานที่นี้เกิดความรู้สึกอย่างไรแล้ว ก็ขอให้จำความรู้สึกอันนี้ติดไปด้วย แม้จะไปกลับไปกรุงเทพ หรือจะกลับไปที่ไหนก็ขอให้ความรู้สึกที่นั่งกลางดิน คือนั่งบนอาสนะของพระพุทธเจ้า สำหรับการประสูติ ตรัสรู้ และนิพพานนี้ติดไปด้วย จะมีผลดีอย่างไรท่านทั้งหลายจะรู้ได้เอง อาตมาก็ไม่ต้องอธิบายให้ละเอียดลอออะไร อีกอย่างหนึ่งก็เรียกว่าป่าไม้นี่ หรือสภาพอย่างนี้นี่มันเป็นธรรมชาติ เป็นไปตามธรรมชาติ เราอยู่ใกล้ชิดธรรมชาติอย่างนั้นก็เข้าใจเรื่องของไอ้ธรรมชาติได้โดยง่าย พระศาสดาทั้งหลายไปตรัสรู้ในป่าตามธรรมชาติ ใกล้ชิดธรรมชาติ จึงรู้กฏของธรรมชาติได้ง่าย สิ่งที่รู้นั้นก็คือ “กฏเกณฑ์ของธรรมชาติ” หรือ “ความจริงของธรรมชาติ” แตกต่างกันบ้างก็เพียงว่าตื้นลึกกว่ากัน เข้าถึงธรรมชาติมากก็ยิ่งรู้จักกฏของธรรมชาติมาก เดี๋ยวนี้เราทำจิตใจของเราให้ใกล้ชิดธรรมชาติ เพราะฉะนั้นก็จะเป็นการง่าย ที่จะรู้ธรรมะ ก็คือกฏของธรรมชาตินั้นได้โดยง่าย ขอให้ตั้งใจทำให้สำเร็จประโยชน์ ให้ได้รับประโยชน์ในการที่มานั่งอยู่ในท่ามกลางธรรมชาติ ซึ่งคล้ายๆ กับจะที่เป็นผลดีมาแล้วแก่พระศาสดาทุกพระองค์ เรียกว่าอยู่ใกล้ชิดธรรมชาติเท่าไร ก็จะมีจิตใจที่พร้อมที่จะเข้าถึงกฏเกณฑ์ของธรรมชาติ หรือพระธรรมได้ ฉะนั้นก็ขอให้ระลึกด้วย คือเตรียมใจให้เข้าถึงธรรมชาติ เช่นเดียวกับพระศาสดาเหล่านั้นได้เคยกระทำมาแล้ว แล้วเราจะกระทำซ้ำเพื่อเป็นเครื่องบูชากันในวันนี้ ก็ต้องด้วยจิตใจที่ผิดจากอยู่ที่บ้าน ที่เรือน ในบ้าน ในเมือง ในนคร ทีนี้มาอยู่กับธรรมชาติ
ทีนี้ก็อยากจะให้ดูต่อไปถึงกิริยาอาการ ท่านทั้งหลายมาที่นี่ด้วยความเสียสละ แม้มานั่งอยู่ที่นี่ ก็จะต้องมีการเสียสละ แม้จะ “กระทำประทักษิณ” ที่เรียกกันว่าเวียนเทียนนี้ ก็ต้องเสียสละ เพราะว่าจะรู้สึกเจ็บอวัยวะ เช่น ฝ่าเท้า เป็นต้น ซึ่งเราเสียสละถอดรองเท้าออกไป เพื่อเป็นเครื่องระลึกถึงพระพุทธเจ้าว่าพระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ใช้รองเท้าหรือท่านไม่ได้ใช่ร่ม แล้วจะเป็นอย่างไร ในประเทศอินเดียก็เหมือนกันกับประเทศไทย เมื่อเดินเท้าเปล่าก็ต้องปวดเท้าทั้งนั้น เราสวมรองเท้าเสียจนชิน ก็ไม่อาจจะหยั่งทราบความรู้สึกของผู้ที่ไม่สวมรองเท้า ดังนั้นวันนี้ก็ช่วยกันถอดรองเท้าออก แล้วก็เดินบนพื้นดินด้วยเท้าเปล่าเหมือนพระพุทธเจ้าดูบ้าง หรือว่าจะลำบากอย่างอื่น ก็จะใช้เป็นเครื่องบูชาคุณของพระพุทธองค์ไปหมด ยิ่งลำบากก็ยิ่งได้บุญ อย่าเข้าใจว่าอาตมาพูดเพ้อๆ ไป หรือว่าเจตนาจะหลอกลวง เพราะว่าถ้ามีความลำบากมันก็จะต้องทำลายความเห็นแก่ตัว ทำลายความยึดถือเกี่ยวกับความสุขสบายของตัว ถ้ามีความลำบากในลักษณะนี้ ก็เรียกว่าได้บุญ ขอให้เวียนประทักษิณในลักษณะที่มีการเสียสละ จะลำบากบ้างหรืออะไรบ้างก็ตามที เมื่อเกิดความลำบากขึ้นบ้างก็ให้นึกเป็นเครื่องบูชาคุณ อย่าไปโกรธเสีย อย่าไปอึดอัดใจเสีย เพราะความเจ็บปวดเล็กๆ น้อยๆ ถ้าจะเกิดมีขึ้นมาบ้าง อย่างนี้เรียกว่าเสียสละ เสียสละอื่นๆ ก็มีมาก เช่นว่าเดี๋ยวนี้ก็จะต้องสมาทานอุโบสถศีล เหล่านี้ก็เป็นเรื่องของการเสียสละ แล้วยังจะเสียสละถึงกับว่าวันนี้ วันหนึ่งคืนหนึ่งนี้ ตลอดเวลาคืนที่กำลังมานี้ไม่นอนกันก็ได้ เพราะว่าการตรัสรู้หรือ วัตรปฏิบัติที่พระองค์ทรงกระทำมานั้น ไม่ได้มีการพักผ่อน บรรทมหลับนอน อาจเป็นวันๆ ก็มี เป็นหลายๆ วันก็มี เราก็ไม่เคย ทีนี้เราก็ควรจะเคยเสีย ข้อเท็จจริงมันมีอยู่ว่า ถ้าเรามีปีติปราโมทย์ในข้อนี้ แล้วเราก็ไม่ง่วงเป็นแน่ อาตมาเคยเตือนให้นึกว่า เราลองนึกดู ถ้ามันมีอะไรพิเศษเกิดขึ้น เราจะต้องนั่งเฝ้าดูตลอดคืน เราก็คงนอนไม่หลับ เช่นว่า เรานั่งเฝ้าดูการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าจนตลอดคืน นี้คงไม่ง่วงและคงไม่หลับ ถ้าใครมันหลับคนนั้นมันคงจะเต็มทีมาก เดี๋ยวนี้ก็จะมาคิดว่า ไม่หลับนี่พยายามทำในใจให้ตื่นอย่างนี้ มันสมกับความหมายของคำว่า พุทธะ คำว่า “พุทธะ” ถ้าเป็นศัพท์ธรรมดาสามัญที่ชาวบ้านเขาพูดจากันอยู่นั้นมันแปลว่า ตื่นนอน ตื่นขึ้นมาจากการนอนเขาเรียกว่า พุทธะ นั้นภาษาชาวบ้าน พอมาเป็นภาษาธรรมะในพระศาสนา หมายถึงการตรัสรู้ ซึ่งก็เป็นอาการอย่างเดียวกับการตื่นนอน คือตื่นจากกิเลสคือนิทรา คือความหลับด้วยกิเลส ด้วยอวิชชา มาเรื่อยๆ หลายๆ ปีมาแล้ว จนกระทั่งวันหนึ่งได้สิ้นไป จากความหลับชนิดนั้น ก็ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า นี่คือการตื่นนอน หรือตื่นจากหลับคือกิเลส ฉะนั้นเราลองไม่หลับกันดูบ้าง แต่ว่าต้องอยู่ด้วยความรู้สึกที่มีค่าสูงสุด ในตามธรรมดาคนเขาตื่นอยู่ด้วยกิเลสหลับไม่ลงก็มี ได้รับเกียรติยศชื่อเสียง ได้รับลาภผลมหาศาล นอนไม่หลับไปตั้งหลายๆ คืนก็มี นั้นมันด้วยกิเลส มันจึงเป็นเพียงการไม่นอนอย่างทางกิเลส ทางเนื้อ ทางหนัง ทางร่างกาย แต่ถ้ามีความพอใจในการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า มันก็เหมือนกับตื่นอยู่เสมอ พอใจอยู่เสมอ มีปีติปราโมทย์อยู่เสมอ ไม่หลับก็มี แม้ในประวัติของพระพุทธองค์ก็มีกล่าวไว้ชัดว่า ตรัสรู้แล้วก็นั่งประทับอยู่ด้วยความพอใจ พอพระหฤทัยในการตรัสรู้นั้น ถึง ๗ สัปดาห์ก็มี พระบาลีเกี่ยวกับคำพูดคำนี้ ค่อนข้างจะกำกวม คือว่าจะ ๗ วันหรือ ๗ วัน ๗ ครั้งยังเถียงกันอยู่ ถ้า ๗ วัน ๗ ครั้งมันก็เป็น ๔๙ วัน แหมมันก็น่าอัศจรรย์ แต่เอาเพียงว่าว่า ๗ วันเพียงครั้งเดียวก็น่าอัศจรรย์ไม่น้อยแล้ว ตรัสรู้แล้วก็นั่งอยู่นิ่งๆ อีกตั้ง ๗ วัน ก็หมายความว่าไม่ต้องไปบิณฑบาต ไม่ต้องฉันอาหาร ไม่ต้องถ่ายอุจจาระปัสสาวะ มันการหยุดเลยชนิดหนึ่ง หยุดตั้ง ๗ วัน ด้วยความปีติ ใครจะไม่เชื่อก็ได้ แต่อย่างน้อยควรจะเชื่อว่าอำนาจของไอ้ความปีตินี้ ทำอะไรได้มากหลายอย่าง เช่นไม่ต้องนอนก็ได้ ไม่ต้องหลับก็ได้ อาตมาจึงชักชวนว่า ในวันวิสาขะก็ดี อาสาฬหะก็ดี มาฆบูชาก็ดี เราก็อยู่กันอย่างไม่หลับตลอดคืน เพื่อเป็นเครื่องบูชาคุณ ถ้าใครทำได้ก็จะดี ใครทำไม่ไหวก็ตามใจ แต่ขอชักชวนอย่างนี้ นี่เรียกว่า กิริยาอาการที่จะต้องนำมาระลึกนึกถึง แล้วก็ลองปฏิบัติดู ถ้าจะมานั่งอยู่คนเดียวบนภูเขาในที่นี้ตลอดคืนคงจะทำยากแล้ว แต่ว่าถ้าไปฟังเทศน์กันบ้าง สนทนากันบ้างสลับกันไปมันก็จะไม่ง่วง สว่างไม่ทันรู้ตัวก็ได้ ซึ่งมันก็ไม่ยากนัก จึงขอชักชวนอีกตามเคยเหมือนกับปีที่แล้วๆ มา
ทีนี้ก็อยากจะให้ดูต่อไปอีกสักมุมแง่หนึ่งมุมหนึ่ง คือความพร้อมเพรียงกัน เราก็ได้เห็นความพร้อมเพรียงกันของพุทธบริษัทโดยเฉพาะวันนี้และไม่เฉพาะแต่ในประเทศไทยนี้ แม้ในประเทศอื่นที่นับถือพระพุทธศาสนาก็พร้อมเพรียงกัน กระทำพิธีวิสาขบูชาอย่างที่เราทราบกันอยู่แล้ว เรียกว่าเป็นความพร้อมเพรียงของคนหมู่มาก ถ้าว่ากันตามตัวเลขที่เขาพูดๆ กัน มีคนเป็นพุทธบริษัทในโลกนี้หลายร้อยล้านคน เขาก็คงจะพร้อมเพรียงกัน เหมือนที่เราพร้อมเพรียงกันทำพิธีอาสาฬหบูชาในสถานที่นี้ เกี่ยวกับข้อนี้เราจะมองลงไปที่ความหวัง ว่าพุทธบริษัทเหล่านั้นที่มาประกอบพิธีวิสาขบูชานี้ มีความหวังอย่างไร ทำไมถึงพร้อมเพรียงกันมาต่อสู้กับความยากลำบากในการประกอบพิธีบูชา เมื่อพูดถึงความหวังก็มีหลายอย่าง อย่างแรกก็ควรจะเป็นความหวังที่แสดงความกตัญญูกตเวที ความรู้สึกในพระพุทธคุณ เป็นต้น จึงเป็นเหตุให้มากระทำพิธีอันนี้ หวังต่อไปถึงการที่จะทำให้พระธรรมนี้ยังคงมั่นคงอยู่ในจิตใจเป็นที่พึ่ง กำจัดทุกข์ภัยหรือกิเลสไปจนตลอดชีวิต ถ้ารู้จักหวังก็จะมีประโยชน์มาก จากการกระทำกิจใดๆ ในพระศาสนา หวังจะสืบอายุพระศาสนาอย่างนี้ ก็เป็นความหวังที่ประเสริฐและมีคุณค่ามหาศาล จะสืบอายุพระศาสนาก็จะต้องทำความเข้าใจแจ่มแจ้งอยู่ในตัวพระศาสนา ตลอดถึงพระศาสดาผู้ประดิษฐานพระศาสนานั้นๆ การประกอบกรรมอย่างที่กระทำอยู่นี้ก็จะเป็นไปเพื่อประโยชน์อย่างนี้ด้วย เรียกว่ามีความหวังที่หวังได้มากมาย จะทำสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่มนุษย์และแก่พระศาสนาพร้อมกันไป ถ้าพระศาสนามีอยู่ มนุษย์ก็ได้รับประโยชน์ แต่ถ้ามนุษย์ไม่สนใจที่จะให้พระศาสนามีอยู่ พระศาสนาก็จะค่อยลางเลือนและหมดสิ้นไป ฉะนั้นเรียกว่าต้องอาศัยซึ่งกันและกันอย่างนี้ ถ้ามีความพยายามด้วยกันทุกคนที่จะสืบอายุพระศาสนาด้วยวิธีใดก็ตาม ก็ย่อมจะเป็นประโยชน์แก่พระศาสนาและแก่มนุษย์ในโลกนี้ดังที่กล่าวมาแล้ว นี้ก็เป็นข้อหนึ่งซึ่งขอให้ท่านทั้งหลายเตรียมจิตใจของท่านให้เป็นอย่างนี้ สำหรับจะประกอบพิธีวิสาขบูชาให้ได้รับผลมากที่สุด
ทีนี้อยากจะพูด ขออภัยว่าจะให้มันแปลกออกไปอีกอย่างหนึ่งว่า การประชุมกันในป่านี่ ถ้าหากว่าเป็นการประชุมของพวกโจรนี่ เขาประชุมกันเพื่ออะไร เขาจะทำอะไรกันในการประชุม เขาก็จะปรึกษาถึงวิธีการที่จะไปปล้นไปฆ่า ไปยื้อแย่งทรัพย์สมบัติกันในบ้านในเมืองนี่ ถ้าพวกโจรเขาประชุมกันในป่า เขาประชุมกันอย่างนี้ เดี๋ยวนี้พวกเราก็กำลังประชุมกันในป่า เราจะประชุมกันด้วยเรื่องอะไร อาตมาก็อยากจะพูดเปรียบเทียบว่า เราจะประชุมกันเพื่อฆ่าโจรอีกทีหนึ่งจะดีกว่า พวกโจรเขาประชุมกันจะไปปล้นคน เราก็ประชุมกันเพื่อจะฆ่าโจรเหล่านั้นเสีย คำว่าโจรในความหมายนี้เป็นภาษาธรรม ทางธรรมะ ก็หมายถึงสิ่งที่เป็นภัย เป็นอันตราย เป็นผู้ทำลายล้างแก่มนุษย์ เราก็ประชุมกันในป่าเพื่อจะทำลายล้างหรือฆ่าโจรนั้นเสีย สิ่งอะไรที่มันเป็นอุปัทวะ เป็นอันตรายของมนุษย์ แก่มนุษย์เราจะประชุมกันเพื่อทำลายล้างสิ่งเหล่านั้นเสีย ทีนี้สาวกของพระพุทธเจ้าประชุมกันในป่าเหมือนพวกโจร ประชุมกันในป่า แต่ไม่ใช่เพื่อความหวังหรือกิจกรรมอย่างเดียวกับพวกโจรนั้น กลายเป็นเพื่อจะฆ่าโจรเสีย หมายความว่าเราจะประชุมกันเพื่อความเข้าใจในพระธรรมหรือพระศาสนา จะเป็นอาวุธ เป็นศาสตรา เป็นเครื่องมือที่จะฆ่าโจรในโลกเสีย ความเลวร้ายในโลกนี้มีหลายรูปแบบ สิ่งแรกที่สุดก็คือความคิดที่ผิดๆ ความคิดที่เลวทราม ตกต่ำไปตามอำนาจของกิเลสเป็นเครื่องทำลายโลกยิ่งกว่าสิ่งใด ก็พยายามที่จะฆ่าโจรตัวนี้ก่อน คือฆ่า “มิจฉาทิฏฐิ” ในโลก การเกิดขึ้นแห่งพระพุทธเจ้าในโลกก็คือการเกิดขึ้นแห่ง “สัมมาทิฏฐิ” คือความถูกต้อง ในความคิดนึก รู้สึก เข้าใจ เชื่อถือ ปฏิบัติ กระทำ นี่ก็เป็นความถูกต้อง แล้วขจัดมิจฉาทิฏฐิ รู้ผิด เห็นผิด คิดผิด เชื่อผิด พูดผิด ทำผิดตลอดสายไปเลย เรามีหน้าที่ที่จะสนองพระพุทธคุณข้อนี้
ทีนี้ก็อยากจะให้คิดดูต่อไป ถึงสิ่งที่เราควรระลึกหรือสำนึกกันในวันนี้ ที่มันเกี่ยวกับโลก อาตมากำลังพูดว่า ขอให้ท่านทั้งหลายกำหนดในจิตใจของตนให้ดี และทำความรู้สึกสำนึกกันเดี๋ยวนี้ ถึงสิ่งควรจะสำนึกอันเหมาะสมแก่การกระทำพิธีวิสาขบูชา ในปีก่อนๆ อาตมาก็เคยได้กล่าวในรูปแบบอย่างอื่น ในการคิดนึกรู้สึก ส่วนในวันนี้ที่นี่เดี๋ยวนี้ก็อยากจะวางรูปแบบสำหรับการคิดนึก ดังต่อไปนี้ ขอให้กระทำในใจให้ฉลาด ให้แยบคาย เพื่อว่าจะสำเร็จประโยชน์ตามนั้น หรืออย่างน้อยก็คิดไปตามที่อาตมาพูดไปก็แล้วกัน แม้จะไม่ลึกซึ้งไปกว่านั้นก็ขอให้เข้าใจตามที่จะพูดไปเรื่อยๆ สิ่งแรกที่จะสำนึกก็คือหน้าที่ของเราทั้งหลายที่เป็นพุทธบริษัท เรามีหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติต่อพระพุทธองค์ หรือต่อพระศาสนาก็แล้วแต่จะเรียก เราจะต้องมองให้เห็นซะก่อนว่า พระองค์ทรงรักสัตว์ทั้งหลายอย่างกับลูกที่เกิดในอุทร ทรงปฏิบัติต่อเราอย่างบุตรสุดที่รัก ข้อนี้ทราบได้จากพระพุทธภาษิตมากมายหลายแห่งในพระบาลีแห่งสุตตันตะนั้นๆ ซึ่งสรุปความว่าทรงเกิดมาเพื่อความรอดของสัตว์ทั้งหลายทั้งเทวดาและมนุษย์ และทรงยืนยันว่าได้ทรงกระทำเติมที่สุดกำลังสุดความสามารถของพระองค์แล้วในการทำอย่างนั้น และก็ได้ทรงเปิดเผยสิ้นเชิงในสิ่งที่ควรจะทราบ ไม่ได้ขยักอะไรเอาไว้เลยที่ไม่บอกกล่าวแก่สาวกทั้งหลาย นี่เพราะเห็นแก่สาวกทั้งหลายหรือแก่สัตว์ทั้งหลาย พระองค์ทรงรักสัตว์ทั้งหลาย คือทรงเมตตาต่อสัตว์ทั้งหลายเหมือนกับลูก เราก็จะต้องตอบสนอง คือมีความรู้สึกตอบสนองให้สมกัน โดยคำพูดที่กลับกันก็ตอบสนองอย่างที่ลูกตอบสนองพ่อที่หวังดีที่สุดที่รักที่สุด แต่มีกิจการบางอย่าง อาตมามีความรู้สึกว่าจะตอบสนองให้มากไปกว่านั้นก็ยังได้ เช่นตอบสนองอย่างทาส คือเป็นทาสรับใช้สุดชีวิตจิตใจนี้ ในบางกรณีมันต้องการตอบสนองในลักษณะอย่างนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเผยแผ่พระศาสนานั้น ถ้าจะทำสมกัน อาตมาเห็นว่าจะต้องกระทำอย่างว่า เป็นทาสรับใช้พระองค์ เพื่อตอบสนองในข้อนี้ อย่างอาตมาก็อยากจะเรียกตัวเองว่าเป็นทาสของพระพุทธเจ้า เหมือนกับที่เราสวดในบทสวดมนต์เย็นทุกวันๆ ........บทสวดมนต์ (นาทีที่ 40:30- 40:35 ) สมัครรับใช้อย่างทาส เพื่อให้มันยิ่งไปกว่าอย่างลูก อย่างลูกบางที่รักเกิดไปก็ไม่ค่อยจะรับใช้ หรือเสียสละอะไรมากนัก เป็นพ่อกับลูกหรือลูกกับพ่อ แล้วก็มักจะเล่นหัวกันซะมากกว่า แต่ถ้าทำตัวให้เป็นทาสรับใช้ถึงที่สุด นั่นแหละเข้าใจว่ามันจะพอๆ กัน ในกรณีอื่นอาตมาก็จะไม่พูด แต่ในกรณีที่ช่วยกันเผยแผ่พระพุทธศาสนาแล้ว อยากจะแนะนำว่าเราจะรับใช้พระองค์อย่างกับเป็นทาส เพราะว่าต้องทนความลำบากมากเหลือเกินในการเผยแผ่พระพุทธศาสนานั้น ต้องประสบอุปสรรคศัตรู โดยเฉพาะพวกที่เป็นอันธพาล พวกที่เป็นศัตรู พวกที่อิจฉาริษยา ต้องมีการเสียสละมากถึงขนาดนี้ และเมื่อพิจารณาดูกันถึงข้อที่ว่า การเผยแผ่พระธรรมนั้น พระองค์ทรงประสงค์จะให้เป็นแสงสว่างทั่วไปในจักรวาล ไม่มีขอบเขต ไม่มีอะไรจำกัด ที่เราจะช่วยกันเผยแผ่พระธรรมให้เป็นแสงสว่างทั่วไปในจักรวาลไม่มีขีดคั่นนี่ มันต้องทำกันอย่างสุดเหวี่ยงแหละ สุดชีวิตจิตใจ สุดกำลังกาย จึงจะทำได้ นี่แหละคือสิ่งที่อาตมาเรียกว่า หน้าที่ ที่เราจะต้องสำนึกในรูปแบบหนึ่งอย่างที่กำลังพูดนี้ สรุปว่าเราสำนึกในความรักความเมตตาของพระองค์ที่มีอย่างยิ่ง และจะตอบสนองความรักความเมตตาของพระองค์ในลักษณะอย่างยิ่ง เราสำนึกในวันนี้ซึ่งเป็นวันทำวิสาขบูชาแก่พระองค์
อีกข้อหนึ่ง ข้อต่อไปก็อยากจะให้เราสำนึกกันในวันนี้ ในเวลานี้โดยเฉพาะ ถึงความจริง ความจริงมันมีอยู่อย่างไรเกี่ยวกับเราและความจริงในประเด็นที่สำคัญที่สุดนั้นมันมีอยู่อย่างไร จะต้องสำนึกและก็จะต้องยืนยัน หรือว่าซักซ้อมให้มันแจ่มชัดกระจ่างอยู่เสมอ ความจริงที่กล่าวนี้ เช่น ความจริงที่ว่า เรากลัวต่อความทุกข์ เราจึงถือศาสนา ความจริงข้อนี้มันจริงกี่มากน้อยลองคิดดู เราถือศาสนาเพราะเรากลัวต่อความทุกข์จริงหรือเปล่า หรือว่าเราเห่อตามๆ กันมา มาถือศาสนานี่ เห่อตามๆ กันมา เหมือนเขาชวนไปเที่ยวที่ไหนก็เห่อตามๆ กันไป อย่างนี้มันก็ไม่มีความจริง เรารู้จักความทุกข์จริงและเรากลัวต่อความทุกข์จริง เราก็ถือพระศาสนาเพื่อจะทำลายความทุกข์นั้นเสีย ความทุกข์ที่กำลังคุกคามอยู่ ถ้าเราไม่รู้สึกว่าความทุกข์กำลังบีบครั้นคุกคามอยู่ การมาถือศาสนาก็เหมือนการเล่นละครชนิดหนึ่ง ไม่ได้ผลตรงตามความมุ่งหมายของศาสนา แล้วความทุกข์นี้ก็เหมือนกัน มันมีหลายชั้น อย่างน้อยก็ ๒ ชั้น คือความทุกข์ทางวัตถุทางร่างกาย เกี่ยวกับทางวัตถุนี้ก็อย่างหนึ่ง อีกทางหนึ่งก็เกี่ยวกับทางวิญญาณ ทางจิตในส่วนลึก มันก็มีความทุกข์ของมันอีกแบบหนึ่ง ถ้าเรายากจนเข็ญใจก็มีความทุกข์ทางฝ่ายร่างกาย ธรรมมะก็ช่วยได้เหมือนกันแหละ ที่จะปฏิบัติแล้วก็จะช่วยแก้ความยากจนได้ แต่ไม่ใช่ความมุ่งหมายแท้จริงของพระพุทธศาสนา การปฏิบัติเพื่อแก้จนเหล่านั้นมันก็เป็นหลักปฏิบัติทั่วๆ ไป และไม่เกี่ยวกับศาสนาก็มี และแม้เกี่ยวกับศาสนาในศาสนาไหนก็จะมี ที่สอนให้คนทำดี เอาตัวรอดได้ในทางสังคม ฉะนั้นก็ไม่ถือว่าเป็นความทุกข์ที่เป็นตัวปัญหาในที่นี้ ความทุกข์ที่เป็นตัวปัญหาในที่นี้ก็เป็นความทุกข์ทางวิญญาน คือทางจิตใจในส่วนทางสติปัญญา เราไม่มีสติปัญญาพอ เราโง่ เรายึดถือตัวยึดถือตนโดยความเป็นตัวกู ของกู เราก็มีความทุกข์ แม้จะร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐีแล้ว ก็ยังมีความทุกข์เพราะเหตุนี้ เพราะความหมายมั่นในตัวตนของตนนั่นแหละ ทำให้คนแม้จะรวย จะสวย มีอำนาจ มันก็ยังมีความทุกข์ ต่อให้เป็นเทวดาในเมืองสวรรค์ ที่มันยังมากไปด้วยตัวกู ของกูนี้ มันก็มีความทุกข์ ไม่ดีไปกว่ามนุษย์ ฉะนั้นจึงมีปัญหาทางจิต ทางวิญญาณในส่วนลึกที่จะต้องดับทุกข์ หรือแก้ไขกันในส่วนนี้ ส่วนนี้แหละเป็น เป็นเรื่องหรือเป็นวัตถุประสงค์ที่พระพุทธศาสนาจะช่วยกำจัด คือพูดสั้นๆ คือกำจัดความทุกข์ที่ชาวโลกเขากำจัดกันไม่ได้ ธรรมมะมีหน้าที่จะช่วยกันกำจัดความทุกข์ชนิดนี้ คือความทุกข์ในระดับวิญญาณ คำว่า “วิญญาณ” ในที่นี้ ไม่รู้จะ ไม่รู้จะเรียกว่าอะไร ก็ข้อใช้คำว่าทางวิญญาณไว้ทีก่อน คือทางสติปัญญาที่ละเอียด ประณีต ที่ยากที่คนธรรมดาจะเข้าใจ สรุปความว่าเรากลัวต่อความทุกข์ เราจึงนับถือพระพุทธศาสนา เพราะว่าไม่มีสิ่งอื่นใดที่จะช่วยได้ นอกจากพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ทีนี้จึงพูดว่าพุทธบริษัทนี้ นับถือหรือนับถือพระศาสนานั้น ไม่ใช่เพราะกลัวพระเจ้า เราไม่กลัวพระเจ้า แต่เรากลัวความทุกข์ที่แท้จริงที่เหนือสติปัญญาความสามารถของเรา เราไม่ได้ถือศาสนาเพราะกลัวพระเจ้า ไม่ได้ถือศาสนาเพราะจะประจบพระเจ้า เหมือนที่คนบางพวกเขาพูดๆ กัน เรามีความซื่อตรงต่อตัวเองที่จะพูดว่า เรากลัวต่อความทุกข์ของเรา เราจึงถือพุทธศาสนา เราไม่เล่นลิ้น เราไม่พูดกลับกลอก กลับไปกลับมา อย่างนั้นอย่างนี้ เกี่ยวกับการถือพระศาสนา และความรู้สึกอันนี้มันก็เป็นสิ่งที่มีเหตุผลเต็มที่อยู่ในตัวมันเอง การนับถือศาสนาก็ไม่ใช่เพื่อไปเป็นทาสของศาสนา ไม่ใช่ไปเป็นทาสของพระเจ้า อย่างที่ไม่รู้กัน ไม่รู้ ไม่รู้จักกันว่าพระเจ้านั้นคืออะไร พุทธบริษัทมีพระเจ้าก็คือ พระธรรม ที่เป็นกฏความจริงของธรรมชาติ ถ้าจะว่ากลัว ก็ไม่ถูกเพราะเราไม่ได้ทำผิด ต่อเมื่อทำผิดนั้นแหละ เราจึงจะกลัว เพราะมันจะมีความทุกข์ ฉะนั้นถ้าจะกลัวก็กลัวในแง่ที่ว่า กลัวว่าเราทำไม่ถูก เราจึงพื่งสติปัญญาหรือการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า เราก็ไม่ได้เป็นทาสของศาสนา ไม่ได้เป็นทาสของพระพุทธเจ้าในแง่อื่นใด นอกจากว่าจะรับใช้เพื่อสนองพระพุทธประสงค์ให้สุดความสามารถ ข้อให้เราสำนึกความจริงข้อนี้อยู่ตลอดเวลา และโดยเฉพาะในเวลานี้ที่นี่ เราจะสำนึกในข้อนี้ และทำการเวียนประทักษิณ เราทำทุกอย่างเพื่อความรอดของเรา รวมทั้งเพื่อมนุษย์ทุกคน แม้ทำพิธีวิสาขบูชานี้ ไม่ได้ทำอย่างพิธีรีตอง เหมือนที่เขากระทำกันโดยมาก มันกลายเป็นพิธีรีตองไป มันก็ได้ผลอย่างพิธีรีตอง ไม่คุ้มกัน ยิ่งมาไกลๆ อย่างนี้ แพงมากเหนื่อยมากจะไม่คุ้มกันแน่นอน ถ้าไปทำอย่างมีพิธีรีตอง ต้องทำให้มันเป็นการกระทำที่ถูกต้อง เรียกว่า “พิธี” ก็ได้แต่อย่ารีตอง พิธีมันแปลว่า “วิธี” วิธีมันคือเทคนิคอันหนึ่ง แล้วมันก็ไม่ต้องรีตอง มันจะได้ผลตรงตามที่เราต้องการ ทำทุกอย่างเพื่อความรอดของ ของเรานี้ต้องพูดอย่างนี้ก่อน พูดอย่างซื่อสัตย์ที่สุด ความรอดของเราก่อน ถ้าพูดเพื่อความรอดของผู้อื่นเดี๋ยวมันโกหกไม่ทันรู้ ถ้าพูดว่าของเราและของเพื่อนมนุษย์ทุกคนมันก็จะดี เราแสวงหาที่พึ่ง ทำที่พึ่งให้แก่ตนเองโดยคำแนะนำของพระพุทธองค์ ซึ่งเป็นผู้ชี้ทาง เราทำที่พึ่งให้แก่ตัวเราเองนี่เราต้องเข้าใจความหมาย เพราะพร้อมๆ กันนั้น เราก็พูดว่าเราพึ่งพระพุทธเจ้า เราพึ่งพระธรรม เราพึ่งพระสงฆ์ และบางทีเราก็พูดว่าตนเป็นที่พึ่งแห่งตน เอามารวมกันเข้าให้ได้ อย่าให้มันขัดแย้งกันอยู่ ว่าเรานี่แหละ ไม่ใช่ใครอื่น สามารถจะทำพระพุทธองค์ให้เป็นที่พึ่งแก่เราได้ การที่พระพุทธองค์มาเป็นที่พึ่งแก่เราได้เพราะเรากระทำด้วยเราเอง อย่างนี้เรียกว่าพึ่งตนเอง ทั้งที่อาศัยคำแนะนำหรือคำชี้แจ้งของพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์ได้ตรัสยืนยันไว้ตายตัวเด็ดขาดว่า ตถาคตเป็นแต่ผู้ชี้ทาง การเดินทางนั้นเป็นสิ่งที่พวกเธอจะต้องทำ ตถาคตเป็นแต่ผู้ชี้ทาง ฉะนั้นเราจึงทำพระพุทธเจ้าให้เป็นที่พึ่งแก่เราได้ด้วยการกระทำของเราเอง นี่คือความจริงที่เราจะต้องมีในจิตใจของเราในเวลานี้ แม้ในขณะที่จะเดินเวียนประทักษิณ นี่เป็นเนื้อหาของความจริง ดังที่ได้ยกมาเป็นตัวอย่างว่าเราจะต้องมีความรู้สึกอย่างนี้อยู่ในใจ ในขณะที่ทำประทักษิณ เรียกว่าสิ่งที่เราต้องสำนึกกันในเวลานี้ที่เรียกว่าความจริง ต่อมาจากสิ่งที่เราเรียกว่าหน้าที่
ทีนี้ก็ขอโอกาสต่อไปอีกสักหน่อย ฝนไม่ตกไม่ขัดคอมีเวลาพูด สิ่งที่เราจะต้องสำนึกกันอีกในเวลานี้ในโอกาสนี้ อาตมาอยากจะระบุไปยังสถานการณ์ของมนุษย์ในโลกปัจจุบัน โลกปัจจุบันมันกำลังอยู่ในสถานะอย่างไร ทั้งในการกระทำและการรับผลของการกระทำหรือว่าการกระทำแก่กันและกันในโลกนี้มันอยู่ในสถานะอย่างไร ไม่ต้องพูดกันมากก็ได้ เพราะท่านทั้งหลายก็ได้ยินได้ฟังกันอยู่ หรืออ่านหนังสือข่าวอยู่เป็นประจำ ศึกษามากเพียงพอที่จะรู้ได้ว่าสถานการณ์ในโลกนี้เป็นอย่างไร ทีนี้จะมาดูกันในแง่ที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา อาตมาก็จะกล่าวว่าสถานการณ์ของโลกปัจจุบันนี้ อยู่ในสภาพที่ต้องการธรรมะแห่งพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง ท่านจะมองเห็นหรือไม่ก็ลองสังเกตดูด้วยใจของตนเองว่า โลกปัจจุบันนี้อยู่ในสภาพที่ต้องการธรรมะของพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง ต้องการไปทำไม ถ้าว่ารู้จักสถานการณ์ในโลกดีแล้วก็ตอบได้เองว่าต้องการไปทำไม คือต้องการไปดับความเลวร้าย ชำระสะสางความเลวร้าย ที่มันกำลังมีอยู่ในปัจจุบันในโลกนี้ โลกอยู่ในสภาพที่ต้องการพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง และจะได้ จะได้หรือไม่ จะได้ด้วยวิธีใด ในเมื่อไอ้คนเหล่านั้นมันไม่สำนึกเลยว่าต้องการพุทธศาสนา เขาไม่สำนึกว่า พุทธศาสนาจะแก้ปัญหานี้ได้ เขาไม่นึกว่ามันมีปัญหา เขานึกว่าโลกมันดีแล้ว โดยเฉพาะเราได้มากแล้ว เราได้เปรียบ เราได้กำไร เราได้สนุกสนาน เอร็ดอร่อยทางเนื้อทางหนังแล้ว จะต้องการอะไรกันอีก ก็แปลว่าเขาไม่ได้มองไปที่วิกฤตการณ์ในโลก เขามองแต่สิ่งที่เขาได้ แล้วก็แย่งกันเพื่อจะได้ แล้วมันก็ได้ แล้วมันก็มัวเมาหลงใหลกันอยู่แต่ในสิ่งที่ได้ ไม่เคยเงยหน้าขึ้นมาดูว่าไอ้โลกนี้มันกำลังจะวินาศนะ มันกำลังจะวินาศ ไม่ได้ ไม่ได้มองเห็น มองแต่ว่าเราจะเอา เราจะได้แล้วก็ขวนขวายแต่เรื่องว่าเราจะได้ ดังนั้นจึงไม่เห็นว่า ไอ้โลกของตนนั้นกำลังต้องการธรรมะแห่งพระพุทธศาสนา นี่ถ้าว่าเราจะช่วยกันยึดทางใดก็ตาม ให้ลืมหูลืมตาให้ตื่นนอนจากความหลับคือกิเลส รู้จักโลกที่กำลังจะวินาศ แล้วก็ช่วยกันป้องกันแก้ไข นี่พุทธบริษัทควรจะมีความสำนึกในใจอย่างนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเอามานึกในวันนี้ ในเวลานี้ ที่จะประกอบพิธีวิสาขบูชา โลกกำลังต้องการพระพุทธศาสนา ทำไมพูดอย่างนี้ ก็มีเหตุผลที่จะพูดอย่างนี้ แล้วก็ไม่เอาเปรียบหรือไม่ดูหมิ่นดูถูกศาสนาอื่น ถ้าจะให้พูดก็พูดได้เหมือนกันว่าศาสนาไหนก็ได้ แต่ว่าศาสนาอื่นไม่อยู่ในความรับผิดชอบของเราที่เป็นพุทธบริษัทที่มานั่งกันอยู่กลางดินที่นี่ ในฐานะที่เป็นพุทธบริษัทของพระพุทธเจ้า เราก็พยายามกระทำตามที่มันเกี่ยวข้องกันอยู่กับพุทธศาสนานั้นอย่างไร โลกเขากำลังต้องการพระพุทธศาสนา ที่นี่เราจะเอาพุทธะ คำว่าพระพุทธะออกเสียเหลือแต่ศาสนา เรากำลังต้องการศาสนาชนิดไหน ก็ตอบได้หรือเปล่า ต้องการศาสนาที่มีระบบการประพฤติปฏิบัติอย่างวิทยาศาสตร์ เพราะว่าพุทธศาสนามีระบบศึกษาประพฤติกระทำอะไรก็ตาม ตามวิถีทางวิทยาศาสตร์คือมองเห็นอยู่ว่าสิ่งนั้นเป็นอย่างไรไม่มีการคาดคะเน ไม่มีการคำนวณ ไม่มีความเชื่ออย่างงมงาย คือไม่มีเรื่องของไอ้มิโธโลยี (Mythology) (นาทีที่ 59:58) เรื่องนิยาย เรื่องที่มันเป็นไม่ได้นะ คือไม่ต้องเชื่องมงาย แต่เห็นอยู่ เห็นอยู่ เห็นอยู่ แล้วก็ทำไป ทำไป อย่างนี้เราเรียกว่าระบบวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่ระบบปรัชญาด้วยซ้ำไป พุทธศาสนาที่แท้จริงนั้นมันเป็นระบบวิทยาศาสตร์ไม่ใช่ระบบปรัชญา เดี๋ยวนี้คนในโลกมันกำลังติดเฮโรอีนปรัชญา มันชอบปรัชญามันหลงปรัชญาอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง วิชาที่ตั้งต้นด้วยการคำนึงคำนวณไม่มีตัวจริงมา มาแสดงอยู่เฉพาะหน้า แล้วคำนึงคำนวณไปโดยไม่รู้จักจบ และไม่ปรากฏผลอะไรที่ชัดเจนอย่างแท้จริงอย่างนี้มันเป็นปรัชญา พุทธศาสนาเป็นอย่างนั้นไม่ได้ ฉะนั้นอย่าเรียกพุทธศาสนาว่าเป็นปรัชญา แต่ถ้าใครอยากจะเอาพุทธศาสนาไปคิดดูเล่นตามแบบวิธีปรัชญามันก็ได้ มันเป็นความสนุกสนานของเขา ซึ่งพวกฝรั่งชอบทำมาก และไม่จำเป็นเลยสำหรับพุทธบริษัทเรา เพราะพุทธศาสนาเป็นวิทยาศาสตร์ จะต้องรู้สึกลงไปจริงๆ ที่สิ่งนั้น เช่น ตาเป็นอย่างไร รูปเป็นอย่างไร ตากับรูปกระทบกันแล้วเกิดจักษุวิญญาณ เห็นแจ้งทางตาอย่างไร ๓ อย่างนี้เรียกว่า “ผัสสะ” คือกระทบกันแล้ว ถ้าขณะนั้นมันโง่ มันก็เกิดความรู้สึกผิดๆ ก็ทำอะไรผิดๆ เป็นเวทนาผิด เป็นตัณหาผิด เป็นอุปาทานผิด เกิดตัวกู ตัวกู เป็นทุกข์กันอยู่ นี่ในรูปแบบที่เป็นวิทยาศาสตร์อย่างนี้ ไม่ต้องคำนวณ ในสิ่งที่ไม่ได้มีอยู่จริง มันต้องดูลงไปเท่านั้นแหละ ยังสิ่งที่มีอยู่จริง อย่าใช้คำว่าคำนวณ โดยลอจิก (Logic) ก็ตามโดยวิธีอย่างอื่นก็ตาม รีดักชั่น (Reduction) อินดักชั่น (Induction) เป็นเรื่องบ้าบอทั้งนั้น ไม่ใช่เรื่องที่จะมาใช้กันกับพุทธศาสนาได้ โลกเขากำลังต้องการไอ้ศาสนาที่มีระบบอย่างวิทยาศาสตร์ ชาวโลกอาจจะไม่เข้าใจก็ได้ แต่ข้อเท็จจริงมันต้องการอย่างนั้น แต่อย่างไรก็ดี ชาวโลกในปัจจุบันนี้เขาไม่ต้องการไอ้ศาสนาแบบที่มันเป็นมิธโธโลยี (Mythology)(นาทีที่ 01:02:39) เป็นไอ้นิยายอะไรก็ไม่ทราบ ฉะนั้นเราก็มีพุทธศาสนาก็มีระบบที่มันตรงความประสงค์ของชาวโลก เป็นศาสนาที่ดู ๆๆ แล้วก็เห็นๆๆ แล้วก็ปฏิบัติเท่าที่เห็น ตรงตามที่เห็น ไม่ใช่ให้ ให้เชื่อก่อนคิดหรือให้เชื่อโดยไม่ต้องคิดนั้นมันใช้ไม่ได้ แล้วพุทธศาสนาก็ไม่มีพระเจ้าอย่างที่เป็นบุคคล ซึ่งคนสมัยนี้เขาเกลียดกันนักเพราะมันเป็นไปไม่ได้ ถ้าเป็นพระเจ้าแล้วจะเป็นอย่างบุคคลไม่ได้ พุทธศาสนาก็มีพระเจ้า แต่ไม่ใช่เป็นบุคคล มันยิ่งกว่าบุคคล พระเจ้าของพุทธบริษัทก็คือ กฎของธรรมชาติ เช่นกฏของ “อิทัปปัจจยตา” บ้าง กฏเรื่องกรรมบ้าง กฏเกี่ยวกับไตรลักษณ์บ้าง กฏของธรรมชาติมันเด็ดขาด คือพระเจ้าของพุทธบริษัท ฉะนั้นพุทธบริษัทก็มีพระเจ้า อย่าไปพูดให้มันเขลาๆ ว่า พุทธบริษัทไม่มีพระเจ้า มีพระเจ้าแต่ไม่ใช่อย่างของเขา นี้ไปยอมรับแต่อย่างของเขาว่าเป็นพระเจ้า เราก็เลยไม่มีพระเจ้า เราก็โง่เอง ทุกคนมันอยู่โดยไม่มีพระเจ้านั้นมันไม่ได้ มันต้องมีสิ่งที่สูงสุดอย่างใดอย่างหนึ่งที่เขาเชื่ออยู่ เขายึดถืออยู่ เดี๋ยวนี้คนโดยมากในโลกนี้มีพระเจ้าเงิน มันมีเงินเป็นพระเจ้ากันอยู่ทุกคน จะพูดว่าไม่มีพระเจ้ามันไม่ถูกหรอก แต่เรามีพระเจ้าที่จริงกว่านั้นที่ดีกว่านั้นมันก็เป็นเรื่องธรรมะอันแท้จริง อันเด็ดขาด อันสูงสุด คือ “กฏของธรรมชาติ” ไม่ใช่อย่างบุคคลเหมือนกับที่จะเขียนเป็นรูปภาพได้ อยากจะบอกให้ทราบอีกนิดหนึ่งว่าแม้พระพุทธเจ้าพระองค์จริงก็มิใช่บุคคล ที่จะเขียนเป็นรูปภาพหรือปั้นรูปจำลองท่านได้ ในสมัยพุทธกาล ในประเทศอินเดียนะ เขามีความคิดถูกอย่างนี้กันหมดแล้ว เขาไม่มีพระพุทธรูป เพราะเขาถือว่าพระพุทธเจ้าพระองค์จริงนั้นแสดงไม่ได้ด้วยรูปภาพ ด้วยรูป ด้วยแบบ ด้วยฟอร์ม ฉะนั้นไปดูหินสลักพุทธประวัติยุคแรกที่สุดจะไม่เห็นรูปพระพุทธเจ้า ตรงนั้นก็จะทิ้งว่างไว้หมด นี่คือมันสมองของคนในประเทศอินเดียสมัยนั้น เขารู้ว่าพระพุทธเจ้าพระองค์จริงแสดงไม่ได้ด้วยฟอร์ม รูปหรือแบบ จึงแสดงด้วยความว่าง ทีนี้พระเจ้าที่แท้จริงก็เหมือนกัน มันต้องเหนือนั้นนะ คือเหนือที่จะแสดงด้วย ด้วยรูป ด้วยแบบ ด้วยสัญลักษณ์อย่างที่เขาใช้กันอยู่ ใช้สัญลักษณ์ก็ยังดีพอให้รู้เรื่องได้กว่าที่ใช้รูปเหมือน เช่นรูปคนเป็นต้น เราก็ต้องรู้ว่าเรามีพระเจ้าของพุทธบริษัท แต่ไม่ใช้บุคคลหรือเป็นบุคคล แต่เป็นกฏของธรรมชาติซึ่งไม่มีใครเขียนรูปมันได้ พุทธศาสนาก็ไม่มีสวรรค์ของพระเจ้า เป็นเครื่องยั่วคน ไม่มีสวรรค์ของพระเจ้าสำหรับยั่วคนว่ามาทำบุญเถิดแล้วเราจะได้ไปอยู่ที่สวรรค์กับพระเจ้า นี่นี่สวรรค์ของพุทธบริษัท จึงถือว่าเหมาะสำหรับคนแห่งยุคปัจจุบัน ที่เขาเจริญด้วยการศึกษาทุกวิถีทาง
ทีนี้มันก็มีข้อๆ หนึ่งซึ่งลึกสักหน่อยคือว่า พุทธศาสนาเป็นเรื่องที่ พุทธศาสนาเป็นศาสนาที่สามารถ ทำเรื่อง ทำให้เรื่องทางจิตทางวิญญาณกลายเป็นเรื่องวิทยาศาสตร์ได้ คำว่า “วิทยาศาสตร์”โดยทั่วไปเขารู้กันแต่เรื่องทางวัตถุนะ เดี๋ยวนี้หลักหรือกฏเกณฑ์ในพุทธศาสนาสามารถทำเรื่องทางจิตทางวิญญาณที่ไม่มีตัวตนนี่ให้เป็นเรื่องทางวิทยาศาสตร์ หรือตามวิถีทางของวิทยาศาสตร์ คือตามแบบวิธีปฏิบัติอย่างวิทยาศาสตร์ คือสร้างสมาธิ สร้างปัญญาพิเศษขึ้นมา มองเห็นในสิ่งซึ่งเป็นเรื่องทางวิญญาณชัดแจ้ง ความทุกข์เป็นอย่างไรนี่ และปฏิบัติดับทุกข์นั้นได้โดยวิถีทางของวิทยาศาสตร์ เช่นความทุกข์นี่เกิดทุกทีที่มีความรู้สึกว่า “ตัวกู” ว่า “ของกู” ความรู้สึกว่าตัวกูของกูนี้มันเกิดทุกทีที่มันเกิดความอยาก ความต้องการหรือความโง่ เช่นไปรักอะไรเข้าก็จะเกิดความรู้สึกว่า กูรัก เรียกว่ารักสิ่งนั้นก็จะมีตัวกูที่จะรักสิ่งนั้นขึ้นมาเป็นของกู อย่างนี้ความทุกข์จะต้องเกิด ที่มันมีความรู้สึกว่าเป็นตัวกู ของกู มาจากความอยากที่โง่เขลา ความอยากที่โง่เขลาแล้วก็มาไอ้เวทนา คือรสของสิ่งต่างๆ ที่จะมาสัมผัสกับ ตา หู จมูก ลิ้น กายนี้ แล้วมีการสัมผัสกันอย่างโง่เขลา แล้วมันก็มาอยู่ที่ตากับรูปนี่ หูกับเสียง จมูกกับกลิ่นนี่เอง อย่างนี้จึงเรียกว่า มันเป็นวิทยาศาสตร์ อาตมาเคยคุยบ้าง เคยศึกษาบ้างกับพวกฝรั่งนี่ แนะเขาบ้างว่ามันเป็นวิทยาศาสตร์อย่างนี้ เขาก็ชอบใจ พุทธศาสนาอย่างนี้ เขาบอกเขาชอบใจพุทธศาสนาอย่างนี้ คือเป็นรูปแบบของวิทยาศาสตร์ หากแต่ว่าเป็นเรื่องทางจิตหรือทางวิญญาณ เดี๋ยวนี้สรุปความแล้ว ไอ้โลกนี้มันกำลังจมลึกอยู่ในหลุมแห่งเสน่ห์ของวัตถุ พูดแล้วฟังยาก ตะกุกตะกัก แต่มันก็ต้องพูดอย่างนี้ เพราะมันไม่มีคำอื่นที่พูดให้ตรงได้ เสน่ห์นั้นคือบาลีเรียกว่า อัตสาถะ(นาทีที่ 01:10:00) คือรสอร่อยที่มีไว้ข้างหน้าของสิ่งที่มันเป็นพิษอันตรายอยู่ข้างใน วัตถุนี้ประดิษฐ์ขึ้นมาเท่าไรก็ให้รสอร่อย หรือเสน่ห์ หรืออัตสาถะ(นาทีที่ 01:10:14) นี้อย่างยิ่ง เสร็จแล้วมันซ่อนพิษหรืออันตรายไว้ข้างในอย่างยิ่งเหมือนกัน เดี๋ยวนี้โลกทั้งโลกมันกำลังตกอยู่ในหลุมของเสน่ห์หรืออัตสาถะ(นาทีที่ 01:10:28) ของวัตถุ ไม่ลืมหูลืมตา วันนี้เรามาคิด เอามาปรึกษา เอามาสังเกต มาพิจารณา ว่าโลกมันอยู่ในสภาพที่ต้องการพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง ถ้าอย่างไรก็อย่าได้ลืมพระพุทธประสงค์ที่ว่า ธรรมะวินัยของตถาคตยังมีอยู่ในโลกนี้เพียงใดก็จะเป็นไปเพื่อประโยชน์หรือความสุข หรือความเกื้อกูลแก่โลกนั้นอยู่เพียงนั้น ทั้งแก่เทวดาและมนุษย์ พูดสมัยนี้หน่อยก็ต้องพูดว่าทั้งแก่พวกนายทุนและพวกชนกรรมาชีพ ถ้าธรรมะมันอยู่ในโลกนี้แล้วละก็ประโยชน์จะมีทั้งแก่พวกเทวดาคืออยู่อย่างไม่ต้องอาบเหงื่อและชนกรรมาชีพที่อยู่อย่างอาบเหงื่อก็หมดเท่านั้นแหละ ในโลกนี้มันมีเท่านั้น มันมีแค่ ๒ พวก พระพุทธองค์ทรงหวังไว้อย่างนี้ แล้วเราจะไม่รู้ไม่ชี้กันอย่างนั้นเหรอ มันจะอยู่อย่างเพ้อๆ ละเมอเพ้อฝันไปโดยไม่รู้ว่าอยู่ไปทำไม กระทั่งไม่รู้ว่าเป็นพุทธบริษัทนี้เป็นกันทำไม เหมือนกับตัวก็จะมุ่งแต่ประโยชน์ของตัว ไม่สนใจกับพระพุทธประสงค์ในข้อนี้ จึงตรัสว่าการเกิดขึ้นแห่งตถาคตก็ดี การแสดงธรรมของตถาคตก็ดี การมีอยู่แห่งธรรมวินัยของตถาคตก็ดี ในโลกนี้มันเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแห่งสัตว์ทั้งปวง ทั้งเทวดาและมนุษย์ นี่คือสิ่งที่พระองค์ทรงหวังตั้ง ๒๕๐๐ กว่าปีมาแล้ว และยังทรงหวังอยู่ และวันนี้เราก็มาทำพิธีระลึกถึงพระองค์ และจะระลึกไปทำไมกันถ้าไม่ระลึกถึงสิ่งที่พระองค์ทรงหวัง และก็เอามาพินิจพิจารณาเพื่อจะทำให้ได้ ตามที่เราจะทำได้ในการที่จะให้ตรงตามพระพุทธประสงค์ พูดตามธรรมดาก็ว่าให้พระองค์ทรงสมหวัง จึงขอร้องท่านทั้งหลายทุกคนว่าจงทำความสำนึกกันในวันนี้ ในข้อที่ว่าสถานการณ์ของโลกมันเป็นอย่างนี้ คือมันต้องการสิ่งที่เรียกว่าพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง เพราะว่าจมปรักลงไปในโคลน ในเลน ในหลุมของรสอร่อยของวัตถุอย่างไม่ลืมหูลืมตา จะมีอะไรช่วยดึงขึ้นมาจากหลุมนั้น มันคือพระธรรม
เอาล่ะทีนี้ก็มาถึงพวกเราที่ระลึกถึงพวกเราเองกันบ้าง พุทธบริษัทในประเทศไทยเรา เรารู้จักดีกว่าพุทธบริษัทในประเทศอื่น ถ้าเราดูไปที่พุทธบริษัทที่เป็นเพื่อนของเรา เราจะพบว่ามันก็ลงไปจมอยู่ในหลุมนั้นด้วยเหมือนกัน และส่วนมากก็กำลังจะจมลงไปอยู่ในหลุมนั้นด้วยเหมือนกัน อะไรที่น่ากลัวกว่านี้ อะไรที่ยิ่งน่าเศร้าสลดยิ่งไปกว่านี้ คือข้อที่เพื่อนพุทธบริษัทของเราก็กำลังจมลงไปในหลุมลึกแห่งความหลอกลวงของวัตถุนิยมนั้นด้วยเหมือนกัน แล้วใครจะช่วยใคร ที่พูดนี้ไม่ใช่พูดว่ายกตัวข่มท่านหรือไม่ได้พูดให้ท่านทั้งหลายเกิดความอวดดีมันขึ้นมา แต่พูดข้อเท็จจริงว่ามันเป็นอยู่อย่างนี้ และจะทำอย่างไรกัน พุทธบริษัทก็กำลังตกอยู่ในหลุมเลนโคลนตม ของความอร่อยทางวัตถุ โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกหลานเล็กๆ ตาดำๆ ของเรามันก็กำลังพ่ายแพ้แก่วัตถุนิยมยิ่งขึ้น นี่ยังไม่ร้ายเท่าไร ยังไม่ร้ายเท่าไร ที่ร้ายที่สุดก็คือว่า ไอ้ลูกหลานของเรา วัยรุ่นของเรากำลังถูกล่อ กำลังถูกหลอก โดยลัทธิที่ส่งเสริมวัตถุนิยม คือเขาเอาผลของวัตถุนิยมมาล่อ ให้ลูกหลานของเราพอใจว่า ถ้าสมัครนับถือลัทธินั้นแล้ว เราก็จะเป็นสุขสบายอย่างยิ่งขึ้นไปอีกในแง่ของวัตถุ แล้วเขามีระบบเศรษฐกิจอย่างนั้น มีระบบการเมืองอย่างนี้ อย่างโน้น จัดเสร็จแล้วทุกคนจะมีวัตถุเหลือเฟือ ก็เลยเฮกันไป หลงในลัทธิที่จะเป็นหลุมลึกขึ้นไปอีกที่จะทำลายโลก ฉะนั้นพุทธบริษัทควรจะเป็นห่วงลูกหลานของเราที่กำลังเป็นอย่างนี้ เอามาระลึกในวันนี้ ว่าพุทธบริษัทเองก็เป็นอย่างนี้ ว่าลูกหลานของพุทธบริษัทก็เป็นอย่างนี้ โดยสรุปความว่าป้อมค่ายกำแพงปราการอะไรก็ตามแล้วแต่จะเรียก ของพุทธบริษัทเรากำลังทรุด กำลังร้าวรานด้วยน้ำแห่งฤทธิ์เดชของวัตถุนิยม มันเซาะ ถ้าน้ำมันเซาะมากๆ อย่าว่าแต่กำแพงเลย ภูเขามันก็ทรุดได้ ถ้าหากว่าน้ำมันเกิดเซาะใต้ภูเขาได้ฉะนั้นภูเขามันก็ต้องทรุดและร้าว เดี๋ยวนี้มันมันไม่ถึงกับเป็นภูเขานี่ มันเป็นเรื่องทางจิตใจซึ่งเปลี่ยนแปลงง่าย และเป็นไปเหตุตามปัจจัยที่แวดล้อม ฉะนั้นป้อมค่ายแห่งพระธรรมนี้ ที่ตกอยู่ในมือของพุทธบริษัทที่เหลวไหล ที่ตกเป็นทาสของวัตถุนิยมนี่ มันเป็นป้อมค่ายที่กำลังทรุด ที่กำลังร้าว เพราะมันทรุดและมันจะพังทลายลงวันหนึ่ง แล้วมันจะไม่มีอะไรเหลือสำหรับคุ้มครองโลกให้พ้นจากความทุกข์อย่างที่ว่ามา นี่คือข้อสุดท้ายที่ขอร้องให้สำนึก ในโอกาสพิเศษเดี๋ยวนี้ที่นี่ ที่กำลังจะประกอบพิธีวิสาขบูชา
สรุปอีกทีหนึ่งว่า ขอร้องให้สำนึกที่นี่เดี๋ยวนี้ถึงเรื่องหน้าที่ ที่เราจะต้องประพฤติต่อพระพุทธองค์ และความจริงที่เราได้ยึดถือมาเป็นหลักเกี่ยวกับพระพุทธศาสนากับเรานี่ หรือว่าสถานการณ์ของโลกมันอยู่ในลักษณะที่ต้องการความช่วยเหลือจากพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง และพุทธบริษัทก็กำลังรวนเรจะไปเป็นทาสของวัตถุนิยมกันเสียหมด จนถึงกับกล่าวว่าไอ้ป้อมค่ายอันมั่นคงของพุทธบริษัทนี้มันกำลังร้าว ถ้าไม่ช่วยกันแก้ไขมันก็จะพังทลายลงมา ฉะนั้นวันนี้เรามาประชุมกันที่นี่ ก็ข้อให้ได้ความคิดสักเรื่องหนึ่งอย่างนี้ ไม่ต้องซ้ำกับปีที่แล้วๆ มาที่เราพูดกันในหัวข้ออื่น แต่ก็ด้วยความมุ่งหมายอย่างเดียวกัน คือจะสนองพระคุณของพระพุทธองค์ทั้งนั้น ฉะนั้นเรามาประชุมกันที่นี่ ซื่งอาตมาเรียกว่ามาประชุมกันเหมือนกับว่าพวกโจรเขาประชุมกันในป่า เพื่อจะไปฆ่า เพื่อจะไปปล้น เราก็ประชุมกันในป่าแต่เพื่อจะฆ่าโจรที่กำลังจะทำลายโลก ซึ่งมันเป็นโจรกว่า ขอให้มองเห็นว่ามันเป็นอย่างนี้ อาตมาอยากจะพูดว่าที่อื่นมันไม่เหมาะสำหรับจะคิด จะนึก จะพูด จะปรึกษาเรื่องนี้ ที่นี่เหมาะแล้วจะพูด จะคิด จะนึก จะปรึกษาเรื่องนี้ เพราะฉะนั้นจึงเสนอขึ้นมา หวังว่าท่านทั้งหลายจะทำในใจ เข้าใจ แล้วก็พอใจ แล้วก็รับเอาไว้ในใจ เพื่อเป็นเหมือนกับว่าเดิมพันที่เราทอดลงไปในการบำรุงรักษาพระพุทธศาสนา เพื่อสนองพระพุทธประสงค์ของพระองค์ ที่บ้านก็ทำได้ แต่ว่าที่ในป่าทำได้มากกว่า หรือถ้าพูดให้อย่าง ให้จริงกว่านั้นก็พูดว่า ที่บ้านมันเป็นเรื่องใช้กำลังงานซะหมด ไอ้ที่ในป่านี้มันเป็นเรื่องเพิ่มกำลังงาน หรือว่าอัดกำลังงานให้มันมากขึ้นมาอีก เพื่อไปใช้ที่บ้าน พูดอย่างวัตถุก็ว่ามาอัดหม้อไฟที่นี่ แล้วแรงไฟไปใช้ที่บ้าน จึงหวังว่าการมาทำพิธีวิสาขบูชาที่นี่ก็จะมีความหมาย ขอให้เราทำในใจอย่างนี้เพื่อสนองพุทธประสงค์กันโดยใจจริง ด้วยกันทุกคน ขอให้ระลึกนึกถึงพระพุทธองค์ด้วยเนื่องกาลเวลาอีกครั้งหนึ่ง ว่าพระพุทธองค์ได้ทรงประสูติขึ้นในโลกนี้นับมาถึงเดือนนี้ก็ ๒๖๐๐ ปีแล้ว ขอให้มันเป็น ๒๖๐๐ ปีที่ประกอบไปด้วยคุณค่า อย่ามาเสียหายเลือนลางไปในยุคของเราเลย มันจะถูกประนามว่ามันมาสูญหายในยุคของเรา ขอให้เรารักษาไว้อย่างถูกต้องและเข้มข้น เพื่อจะมอบหมายให้เป็นมรดกแก่คนที่จะมาข้างหลัง ซึ่งเป็นอนุชนของโลก การอุบัติบังเกิดของพระองค์ โดยรูปกาย โดยเนื้อหนัง ก็อยู่ได้ ๘๐ ปี เหมือนที่เราเรียนมาในพุทธประวัติ พอพระองค์มีพระชนมายุได้ ๘๐ ปีแล้วก็สลายไป นี่มันโดยรูปกาย มันมีเท่านั้น แต่เดี๋ยวนี้มันมีพระพุทธองค์โดยทางนามกาย การอุบัติโดยนามกายของพระองค์ แม้ว่าจะถือว่าเป็นเวลาเดียวกันกับที่ประสูติขึ้นมา แล้วก็ตรัสรู้ก็ได้ แต่โดยนามกายนั้นไม่ได้สิ้นไป ไม่ได้ดับไปในเวลาอันสั้นเพียง ๘๐ ปี เหมือนกับร่ายกายของพระองค์ คำว่า “นาม” นามในที่นี้ “นามกาย” นามในที่นี้มันแปลว่าชื่อก็ได้ หรือแปลว่าเรื่องทางจิตทางวิญญาณก็ได้ แต่แปลคำว่านามนี้ว่าชื่อ อาตมาก็ยังเชื่ออย่างมั่นคงว่า ชื่อว่าพระพุทธเจ้านี่ก็ยังคงอยู่ต่อไปอีกนาน แม้ว่าจะได้อยู่มาแล้วตั้ง ๒๕๐๐ กว่าปีนี่ ชื่อของท่านก็ยังอยู่ และชื่อของท่านก็ยังอยู่ไปอีกนาน จนคำนวณไม่ได้ว่าจะนานสักเท่าไร มันแล้วแต่โลกในอนาคต มันมีเหตุปัจจัยอย่างไรมันก็ไปอย่างนั้น แต่ถึงอย่างไรก็เชื่อได้ว่าชื่อพระพุทธเจ้านั้นจะยังอยู่อีกนาน ทีนี้ยังมีสิ่งที่นานกว่านั้น จริงกว่านั้นก็คือ นามกายของพระองค์ ที่หมายถึงพระคุณของพระองค์ คือพระพุทธคุณนั่นแหละ เรียกว่านามกาย พระองค์ที่ยังทรงอยู่โดยพระคุณที่เป็นนามกายนี้ ก็จะอยู่ต่อไปอย่างที่คำนวณไม่ได้ แล้วมันอาจจะเป็นถึงกับว่าเมื่อโลกเขาไม่รู้จักกันแล้ว ไอ้สิ่งนี้ก็ยังอยู่เพราะมันเป็นคุณ เป็นคุณธรรมของธรรมชาติ โดยธรรมชาติ ตามธรรมชาติไม่ได้ ไม่ได้หมายถึงบุคคลที่เป็นเนื้อเป็นหนังเป็นอะไรทำนองนี้ เรียกว่าโดยพระคุณ พระองค์ก็ยังทรงอยู่โดยไม่มีกำหนด เหมือนที่ได้ทรงมีมาแล้วจนถึงวันนี้ เรียกว่า พ.ศ. ๒๕๒๐ พระองค์ยังทรงอยู่โดยพระคุณ ใครตาบอดก็มองไม่เห็น หมายความว่าใจของเขาบอด คือตาของเขาบอด เขาก็มองไม่เห็น แต่ถ้าตาของเขาดี คือใจของเขามีปัญญาแหลม เขาจะมองเห็นว่าพระพุทธเจ้ายังอยู่ เดี๋ยวนี้ แม้ที่นี่ คือยังอยู่โดยพระคุณ และก็พระพุทธเจ้าองค์นี้เองที่เรายังเวียนเทียนรอบประทักษิณ บูชาคุณของพระองค์ที่นี่และเดี๋ยวนี้ ขอให้ทำในใจอย่างนี้ว่าพระพุทธองค์นั้นโดยพระคุณยังอยู่ทั่วไปในที่ทุกหนทุกแห่ง แล้วเราก็ประกอบพิธีบูชา ที่เราเรียกว่าเวียนประทักษิณ ทำพระองค์ที่ยังทรงอยู่โดยพระคุณนั้น เป็นผู้รับการบูชาของเรา ที่ทรงอยู่โดยพระคุณ ไม่รู้จักสิ้นสูญนี่จะเป็นผู้รับการบูชาของเรา ฉะนั้นการบูชาของเราจะเล่นละคร ไม่ใช่เดินเวียนกันรอบๆ อย่างรอบกองไฟของเด็กๆ แต่เป็นการบูชาพระองค์ซึ่งยังทรงอยู่โดยพระคุณ คราวนี้จะถึงหรือไม่ถึงมันก็แล้วแต่จิตใจของบุคคลคนๆ นั้นจะมองเห็นพระพุทธองค์อันนี้หรือหาไม่ นี่ล่ะโดยพระคุณนั้นยังอยู่ ทีนี้โดยพระกาย โดยร่างกาย เราก็พูดกันแล้วว่าอยู่ชั่ว ๘๐ ปีก็สลายไป มีการดับจิต จิตละมรรคจิตอย่างเดียวกับสัตว์ทั้งหลาย ก็สิ้นสุดลงไปในทางร่างกาย แล้วอะไรเหลืออยู่ สิ้นแล้วอะไรเหลืออยู่ โดยทางวัตถุโดยทางร่างกาย ก็คือพระธาตุ พระสารีริกธาตุ หรือพระเจดีย์อื่นๆ ที่แทนร่างกาย แทนพระวรกายของพระองค์ นับตั้งแต่พระธาตุที่เป็นกระดูกนะ ส่วนหนึ่งๆ แม้กระทั่งว่าบาตรของพระองค์ จีวรของพระองค์ กระทั่งว่าวัตถุที่เขาสร้างขึ้น มีพระเจดีย์เป็นต้น เพื่อเป็นสัญลักษณ์ตัวแทนพระองค์ในส่วนรูปกายก็ยังมีอยู่ บริเวณนี้ที่ ที่พระสงฆ์กำลังนั่งอยู่นี่ เคยเป็นเจดีย์ แล้วขโมยก็ขุดแหลกไม่มีเหลือเป็นหลุมลึกท่วมหัว นี่อิฐที่อยู่ข้างๆ นี่ เขารื้อขึ้นมา ถ้าไม่เชื่อว่าตรงนี้ก็เป็นฐานพระเจดีย์ที่มีพระธาตุหรืออะไรทำนองนั้นตั้งแต่สมัยศรีวิชัย ๑๒๐๐ กว่าปีมาแล้ว เพราะอิฐเหล่านี้แสดงถึง ความเป็นโบราณวัตถุสมัยศรีวิชัย ก็นี่แหละคือวัตถุที่เหลืออยู่ในรูปแบบของพระวรกาย ทางรูปกาย ก็มีอยู่ ขอให้ถือว่าวัตถุเหล่านี้เป็นเครื่องวัตถุที่เหลืออยู่ เนื่องด้วยพระวรกายของพระองค์ ฉะนั้นเราก็ใช้เป็นวัตถุสำหรับประกอบพิธีวิสาขบูชาหรือเวียนเทียนได้ในส่วนรูปกายของพระองค์ ทีนี้ในส่วนนามกายทางคุณธรรมของพระองค์นั้น ยังอยู่แน่ และไม่อยู่เฉพาะที่ตรงนี้ อยู่ในทั่วจักรวาลเลย ส่วนพระรูปกายวรกายนี้มันจำกัด มันจำกัดอยู่ใน พื้นที่อันจำกัด จำกัดอยู่ในเวลาอันจำกัด แต่ส่วนพระองค์ที่เป็นพระคุณ ทรงอยู่โดยพระคุณนี้มันไม่จำกัด เวลาก็ไม่จำกัด พื้นที่ก็ไม่จำกัดเรียกเป็นอนันตะ ให้เรานึกถึงพระองค์ในความหมายนั้นเป็นที่สุด แล้วก็ประกอบพิธีวิสาขบูชา ดังนั้นอาตมาจึงของร้องให้พระสงฆ์ ท่านกระทำในใจถึงสิ่งๆ หนึ่ง ซึ่งไม่มีขนาด ไม่มีประมาณ ไม่มีอะไรจะกำหนดได้ คือพระคุณของพระองค์ที่สรุปรวมอยู่ในรูปแบบของประโยชน์ที่มนุษย์จะพึงได้รับ คือพระนิพพาน ที่เป็นอนันตกาล เป็นที่ดับแห่งความทุกข์ทั้งหลาย บางทีก็เรียกว่าความว่าง ถ้าเรียกความว่างเข้าใจง่าย ก็มันมีอยู่ในที่ทุกหนทุกแห่ง ไม่จำกัดเวลา ไม่จำกัดสถานที่ ไม่มีทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศตะวันออก ทิศตะวันตก ข้างบน ข้างล่าง ฉะนั้นขอให้ทุกคนทำในใจอย่างนี้เมื่อเดินเวียนประทักษิณทำวิสาขบูชา และท่านทั้งหลายจะได้พระพุทธเจ้าพระองค์จริง สำหรับทำประทักษิณ ถ้าอยู่ในใจของพระท่าน ใจมันก็เวียนอยู่รอบๆ พระองค์ แต่ทีนี้เราถือว่าอยู่ในทั่วไป ในที่ทั่วไป ทุกหนทุกแห่ง เราก็สมมุติเอาส่วนหนึ่ง ตามที่เราจะยึดหรือว่าเจียดออกมาได้อย่างไร เท่าไร ในจิตใจของเรา แล้วก็เวียน ๆๆ รอบๆๆๆ แห่งพระพุทธองค์ซึ่งยังทรงอยู่โดยพระคุณ เมื่อท่านทั้งหลายได้กระทำในใจ มาโดยลำดับๆ ตามข้อความที่อาตมาได้กล่าวมาแล้วนี้ อาตมาก็เชื่อว่าท่านทั้งหลายมีจิตใจที่เหมาะสมแล้วที่เราจะประกอบพิธีวิสาขบูชา แล้วอาตมาก็พอใจถ้ามันเป็นได้อย่างนี้ และหวังว่าท่านทั้งหลายก็คงจะพอใจเหมือนกัน ที่จะเป็นได้อย่างนี้ เพราะฉะนั้นเราขอให้ร่วมมือกันทำให้มันได้อย่างที่เรากำลังต้องการอยู่นี้ และก็ขอให้การประกอบพิธีวิสาขบูชาที่นี่และเดี๋ยวนี้ เป็นไปอย่างประกอบได้ด้วยผล ด้วยประโยชน์ ด้วยอานิสงค์ เต็มตามที่ควรจะได้ทุกๆ ประการ ก็เป็นเวลาที่เหมาะสมแล้ว ที่จะได้ประกอบพิธีวิสาขบูชาต่อไป อาตมาของยุติธรรมเทศนานี้ด้วยความสมควรแก่เวลา เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้
เอาล่ะทีนี้ก็เตรียมตัวสำหรับพิธีเวียนประทักษิณ ขอให้ภิกษุสามเณรบูชาด้วยภาษาบาลี ทายก ทายิกา บูชาด้วยภาษาไทย ผลัดกันทำคนละครั้ง เพื่อความสมบูรณ์และมันไม่เสียเวลามาก ทายก ทายิกาคอยเฝ้าดูไปก่อน พระสงฆ์ทั้งหลายท่านจะกล่าวคำบูชาด้วยภาษาบาลี อ้าว..นิมนต์จุดธูปเทียนเฉพาะพระสงฆ์สามเณรและก็ยืนขึ้น จุดธูปเทียน พนมมือ ยืนขึ้น ขอให้ยืนขึ้น ทำในใจเป็นพิเศษ เพื่อถึงซึ่งพระพุทธองค์ซึ่งยังทรงอยู่โดยพระคุณ ฉะนั้นขอให้หลับตาเสีย มันง่าย หลับตาเสียเพื่อว่าเราไม่มีทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศตะวันออก ทิศตะวันตก ทิศบน ทิศล่าง ไม่มีประเทศอินเดีย ไม่มีประเทศไทย ไม่มีคนชื่อนั้นชื่อนี้อยู่ที่ไหน มีแต่ความว่าง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของพระนิพพาน หรือพระพุทธองค์พระองค์จริง ซึ่งแสดงไม่ได้ด้วยรูป ด้วยแบบ ก็คือความว่างเหมือนกัน ถ้าจิตไม่มีการถูกผูกพันอยู่ด้วยเหนือ ใต้ ตะวันออก ตะวันตก บน ล่างแล้วมันก็ถึงความว่างนั้น ฉะนั้นเรามีสิทธิที่จะกล่าวว่า เราได้บูชาพระพุทธองค์ ซึ่งยังอยู่โดยพระคุณโดยแท้จริง สุดความสามารถ ที่เราจะทำได้ ทีนี้เราจะกล่าวคำบูชาเป็นภาษาบาลี
........บทสวดมนต์ (นาทีที่ 01:36:48- 01:44:15 )
เอาล่ะนิมนต์นั่ง ขอเชิญท่านทายก ทายิกาทั้งหลายจุดธูปเทียนสักการะพระและยืนขึ้น ขอให้ท่านทายก ทายิกาทั้งหลายจุดธูป จุดเทียนสักการะถือไหว้แล้วยืนขึ้น จะได้กล่าวคำบูชาเป็นภาษาไทยแล้วเวียนประทักษิณ ต้องยืนขึ้น ถ้าไม่อยากยืนต้องหลีกไปให้พ้นแนวที่เขาจะเดิน ถ้าไม่อยากยืน ไม่อยากเวียนก็ต้องหลีกไปให้พ้นแนวที่เขาจะเดิน นี่สำหรับท่านผู้จะเวียนประทักษิณก็จุดธูปจุดเทียน แล้วก็ยืนขึ้น ถ้าจะถอยลงไปถึงชั้นล่างก็จะดีนะ คุณพระหรือว่าพิพิธนะยืนลงไปชั้นล่างจะเวียนได้เลย ถอยลงไปชั้นล่าง ถอยลงไปชั้นล่าง ไปยืนชั้นล่างแล้วก็จบเวียนได้เลย อ้าวขอได้จุดธูปจุดเทียนเสร็จทุกคนไม่เสียเวลามาก ขอให้ท่านอุบาสก อุบาสิกาทั้งหลายกล่าวเป็นภาษาไทย เข้าใจง่าย แล้วทำไว้ในใจด้วย แล้วเวียนประทักษิณโดยร่างกาย พระถ้านั่งอยู่ที่นี่ก็เวียนประทักษิณเหมือนกันไม่ใช่เอาเปรียบ แต่ว่าเวียนโดยจิตใจพร้อมกับท่านทั้งหลาย หรือจะเรียกว่าเราหุ้น หุ้นส่วนกันพระก็ไม่ต้องไปเดินนะเพราะมัน มัน มันน่าเกลียด ก็ให้ท่านเดินโดยจิตใจอยู่ที่นี่ ทีนี้อาตมาก็จะกล่าวนำ พร้อมแล้วอาตมาก็จะกล่าวนำ อ้าวพร้อมแล้วก็หันทะมะยัง ........บทสวดมนต์ (นาทีที่ 01:47:14- 01:47:50 ) เอาล่ะหลับตาเสีย ทำในใจไม่มีทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศตะวันออก ทิศตะวันตก ทิศบน ทิศล่าง ไม่มีประเทศอินเดีย ไม่มีประเทศไทย ไม่มีตะวันออก ตะวันตก มีแต่ความว่างถึงเป็นอันเดียวกันหมดคือ พระพุทธองค์ที่ยังทรงอยู่โดยพระคุณ แล้วกล่าวตามอาตมา
“เราทั้งหลาย ถึงซึ่ง พระผู้มีพระภาคพระองค์ใด ว่าเป็นที่พึ่ง พระผู้มีพระภาคพระองค์ใด เป็นศาสดาของเราทั้งหลาย เราทั้งหลาย ชอบใจซี่งพระธรรม ของพระผู้มีพระภาค พระองค์ใด พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น โดยพระวรกาย ได้อุบัติแล้ว ในหมู่มนุษย์ ชาวอริยกะ ในมัชฌิมชนบท เป็นกษัตริย์โดยพระชาติ เป็นโคตมะโดยพระโคตร เป็นศากยบุตร ออกบรรชา จากศากยะตระกูล เป็นผู้ตรัสรู้พร้อมเฉพาะแล้ว ซึ่งอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ในโลก พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ ทั้งเทวดาและมนุษย์ พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้ชอบเอง ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจะระณะ เสร็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษ ที่ควรฝึกได้ ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดา ของเทวดาแลมนุษย์ เป็นผู้ตื่นแล้ว เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้มีภัคยธรรม โดยไม่ต้องสงสัยเลย พระผู้มีพระภาค พระธรรม พระธรรมอันพระผู้มีพระภาค ตรัสไว้ดีแล้ว บุคคลพึ่งเห็นเอง ไม่ประกอบด้วยเวลา ควรเรียกกันให้มาดู ควรน้อมมาใส่ตน วิญญูชนพึงรู้เฉพาะตน อนึ่ง พระสงฆ์สาวก ของพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นผู้ปฏิบัติดีแล้ว เป็นผู้ปฏิบัติตรงแล้ว เป็นผู้ปฏิบัติเป็นธรรม เป็นผู้ปฏิบัติสมควร นั่นคือคู่แห่งบุรุษ๔ นับเป็นบุรุษบุคคล๘ นั้นแล พระสงฆ์สาวก ของพระผู้มีพระภาค เป็นผู้ควรของคำนับ เป็นผู้ควรของต้อนรับ เป็นผู้ควรของทำบุญ เป็นผู้ควรทำอัญชลี เป็นนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า พระสถูปนี้ มีการสร้างแล้ว อุทิศ พระผู้มีพระภาค พระองค์นั้น เพื่อเป็นที่ระลึกถึง พระผู้มีพระภาค พระองค์นั้น แล้วจะได้ ซึ่งความเลื่อมใส แลความสังเวช บัดนี้เราทั้งหลาย มาถึง วิสาขปุณณมี เวลาเป็นที่รู้กันว่า เป็นที่ประสูติ เป็นที่ตรัสรู้ เป็นที่เสด็จปรินิพพาน แห่งพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เราจึงมาประชุมกัน ณ สถานที่นี้ มีเครื่องสักการะ เช่นประทีปและธูป เป็นต้น ทำร่างกายของตน เป็นเหมือนภาชนะ เครื่องรับสักการะ ในใจระลึกถึง ซึ่งพระคุณ ทั้งหลาย ของพระผู้มีพระภาคเจ้า ตามที่เป็นจริง บูชาอยู่ ด้วยเครื่องสักการะ ทั้งหลายเหล่านี้ จะกระทำประทักษิณ สิ้นวาระ ๓ รอบ ซึ่งพระสถูปนี้ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้า แม้เสด็จปรินิพพานนานแล้ว โดยพระวรกาย แต่ยังทรงปรากฏอยู่ โดยพระคุณทั้งหลาย อันข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย รู้อยู่แก่ใจ โดยความเป็นอจิตะรมณ์ (นาทีที่ 01:54:43) กระทำให้เป็น อารมณ์ในปัจจุบัน ในที่เฉพาะหน้านี้ จงทรงรับ ซึ่งเครื่องสักการะทั้งหลาย อันข้าพเจ้าทั้งหลาย ถืออยู่นี้ เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุข แก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย ตลอดกาลนานเทอญ”
เอาล่ะทีนี้เตรียมสำหรับเวียนประทักษิณ ขอเชิญคุณพระดุลยภาพสุวรรณในฐานะผู้อาวุโสสูงสุดเดินนำหน้า ช่วยหลีกทางให้ท่าน ช่วยหลีกทางให้หัวหน้าเดินนำ หลีกทางให้หัวหน้าเดินนำ แล้วทำในใจให้ดีตามเดิม ในใจระลึกถึงอยู่อย่างที่ได้อธิบายให้ฟังแล้ว แล้วพระสงฆ์ทั้งหลายก็จะช่วยสวดพระพุทธคุณ ท่านทั้งหลายไม่ต้องสวด จะได้มีจิตใจเป็นสมาธิ
........บทสวดมนต์ (นาทีที่ 01:56:04- 02:05:30 )
หยุดเลย ลงตรงไหนหยุด เดี๋ยวนี้การประกอบพิธีวิสาขบูชาบนภูเขาพุทธทองนี้ ได้เป็นไปอย่างครบถ้วนแล้ว นับว่าเสร็จพิธีบนนี้ เราก็จะกลับลงไปข้างล่าง ไปพักผ่อน แล้วก็จะมีอะไรกันบ้างก็จะไปรู้กันข้างล่าง แต่ว่า ๓ ทุ่มนั้นมีแสดงธรรม แล้วก็ตี ๓ ก็มีแสดงธรรม ระหว่างนั้นก็มีอะไรตามที่เคยมี พิพิธจะทำอะไรน่ะ ... คราวนี้มันจะทำไหม...ไปไหว้พระอยู่กันข้างล่าง จะสวดอะไรก็ตามพอใจ ไปพักผ่อนสักเล็กน้อย สวดธรรมจักรก็ได้ สวดอะไรก็ได้ เอาล่ะขอเชิญกลับลงไปข้างล่าง ไปพักผ่อน ไปแล้วแต่จะทำอะไร ถ้าไม่มีเรื่องอื่นก็ไปประชุมกันที่หินโค้ง ทำวัตรเย็น ทำวัตรเย็น ไปประชุมหินโค้ง ทำวัตรเย็น