แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ทีนี้อาตมาเห็นว่าถ้าเรายังเข้าใจเรื่องนี้ผิด แล้วปัญหาต่างๆจะแก้ไม่ได้ ที่จะแก้โลกนี้ให้กลับสภาพมาอยู่ในความถูกต้องเป็นที่น่าพอใจนี้ไม่ได้ อาตมาเชื่อว่าท่านทั้งหลายทุกคนคงมีความหวังที่ว่าจะช่วยกันแก้ไขความเลวร้ายในโลกนี้ให้มันผ่านพ้นไป ช่วยให้โลกนี้กลับมามีธรรมมะมีอะไรที่ดีๆที่น่าชื่นใจ อาตมาว่าทำไม่ได้จนกว่าท่านทั้งหลายจะรู้จักความหมายของคำว่า อารยชน หรือ อนารยชน นี้ให้ถูกต้องกันเสียก่อน ถ้าความหมายมันไม่ถูกต้อง คือมันยังเข้าใจผิดอยู่แล้วมันจะกลับกันอยู่เสมอไป มันจะยิ่งสร้างความเป็นอนารยชนนี้มากยิ่งขึ้นไปอีกจนกระทั่งดูไม่ได้ ขอใช้คำว่าอย่างนี้ ความเป็นอารยชนของคนสมัยนี้จะสกปรก ลามก อนาจารจนกระทั่งดูไม่ได้ เพราะเราไม่เข้าใจความหมายของคำสองคำนี้ เดี๋ยวนี้ก็เป็นยุคที่เจริญด้วยวิชาความรู้นะ จากยุคไฟฟ้า มาเป็นยุคปรมาณู มาเป็นยุคอวกาศ สติปัญญามันเหลือประมาณ แล้วความเป็นอารยชนมันยิ่งหายไป มันยิ่งมีความเป็นอนารยชน เห็นแก่ตัวกู เห็นแก่ตัวกู ข้างเดียวนี้มันมากขึ้น นี่คือ อนารยชน ที่กำลังก้าวหน้าที่สุด กำลังลุกลามระบาดออกไปในโลกที่สุด ฉะนั้นคนหนุ่มคนไหนกล้ายืนยันว่าตัวจะเป็นผู้สมัคร อาสาเสียสละชีวิตจัดโลกให้มันดี พิจารณาข้อนี้เป็นดีกว่า อย่าไปงมโง่หลงลัทธิบ้าๆบอๆอะไรซ้ายจัดขวาจัดให้มันเสียเวลา มารู้จักความเป็น อารยชน – อนารยชน ที่แท้จริงนี่ แล้วก็ช่วยทำไปในลักษณะที่มันจะเป็นอารยชน ซึ่งมันไม่จำเป็นจะต้องใช้เลือดมาเป็นเครื่องล้าง ทีนี้มันยังคิดจะใช้เลือดเป็นเครื่องล้างกันอยู่ ก็เพื่อประโยชน์ตัวทั้งนั้น ก็ยิ่งเป็นอนารยชนยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อมาเปรียบเทียบกันกับคำว่าพุทธบริษัทแล้วมันก็ยิ่งมีปัญหาน่าเศร้าใจ พุทธบริษัทกำลังจะเป็นอนารยชนตามก้นพวกสมัยใหม่ไปหมดแล้ว แล้วมันจะมีอะไรเหลือ ก็พุทธบริษัท ที่เรียกตัวเองว่าพุทธบริษัท มันไม่เป็นพุทธบริษัทเลย มันกลับเป็นอนารยชนในคราบพุทธบริษัท พุทธศาสนาก็มีอยู่ไม่ได้ ไม่มีใครมาทำลายพุทธศาสนาได้นอกจากคนที่เรียกว่าพุทธบริษัทนั่นเอง เพียงสอนผิดเท่านั้นแหละพุทธศาสนาก็หมดไปจากโลก สอนผิดก็ปฏิบัติผิด พุทธศาสนาก็หมดไปจากโลก คนโง่ๆก็พูดว่าคนต่างศาสนาเข้ามาทำลายพุทธศาสนาในอินเดีย นั่นมันเป็นเรื่องเด็กอมมือมองเห็นก็พูดไปตามประสาโง่ว่า ศาสนาอื่นมาทำลายศาสนาอื่น นั่นมันไม่ร้ายกาจเท่ากับว่าคนในศาสนานั้นมันกลายเป็นผู้ทำลาย-เข้าใจศาสนาของตัวเองผิด เดี๋ยวนี้โลกกำลังขยายตัวไปในทางที่จะเป็นอนารยชน ใครจะเชื่ออาตมากี่คน? คนส่วนมากเขาไม่เชื่อเพราะเขาไม่ยอมพิจารณา เดี๋ยวนี้เรากำลังมีโลกที่เป็นอนารยชน มันจึงจะเหลือวิสัยที่เราจะสร้างสันติภาพ
ที่นี้ก็จะพูดถึงประเด็นที่ ติดต่อกันไปเลยว่า โลกเรานี้มันกำลังเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าไปในทางไหน มันก็จะมาเข้ารูปเดียวกัน สายเดียวกันนี่ล่ะ มันกำลังเจริญไปในทางที่จะเป็นอนารยชนยิ่งขึ้นทุกที และไม่รู้จะไปจบกันที่ตรงไหน ถ้าโชคดีมันหมุนกลับได้ มันก็รอดตัว ถ้ามันหมุนกลับไม่ได้ มันก็ต้องวินาศเสียก่อน เหลือไม่กี่คนแล้วมาสร้างโลกกันใหม่ ตามข้อความที่กล่าวไว้ในพระบาลีเกี่ยวกับเรื่องพระศรีอาริยเมตไตรย มีลัทธิโกหกมาหลอกลวงว่าลัทธิของเขาเป็นลัทธิพระศรีอาริยเมตไตรย ข้อนี้พิสูจน์ง่ายๆช่วยจำกันไว้ ศรีอาริยเมตไตรย แปลว่า มีความเป็นมิตรภาพอย่างอารยชนอย่างสูงสุด ศรี แปลว่า ดีที่สุด, อาริยะ ก็แปลว่า อารยะ แล้วก็ เมตไตรย นั้นแปลว่า ความเป็นมิตร ถ้าโลกไหนมันเต็มไปด้วยความเป็นมิตรเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ โลกนั้นเป็นโลกพระศรีอาริยเมตไตรย เดี๋ยวนี้ความเป็นมิตรหาทำยายากในโลกนี้ ในโลกปัจจุบันนี้ แม้ในประเทศไทยเรานี้มันยิ่งหาความเป็นมิตรที่บริสุทธิ์ยากยิ่งขึ้นทุกที อาตมาก็ว่าไกล ไกลโลกพระศรีอาริย์ยิ่งขึ้นไปทุกที มันจะรอให้วินาศหมด เหลือไม่กี่คนแล้วมาสร้างโลกกันใหม่เพื่อเป็นโลกพระศรีอาริย์ หรือว่าเราจะช่วยกันคนละไม้คนละมือ หยุดยั้งมันไว้ หยุดยั้งความเป็นอนารยชนนี้เอาไว้ให้มันหยุดและให้มันถอยหลัง ให้ความเป็นอารยชนกลับมา
เดี๋ยวนี้โลกเจริญไปทางไหน ท่านทั้งหลายก็ขยันถามตัวเองให้มาก โลกกำลังเจริญไปทางไหน รวมทั้งตัวเราเองด้วย จะพูดสรุปสั้นๆว่า มันกำลังเจริญไปในทางเป็นอนารยชน มันเห็นได้ชัดว่าอาชญากรรมมันกำลังระบาดเพิ่มอย่างน่าตกใจ ในประเทศไทยเราก็เถอะ อาชญากรรมทางทรัพย์สมบัติก็ดี อาชญากรรมทางเพศก็ดี อาชญากรรมทางเศรษฐกิจอื่นๆอะไรก็ดี มันกำลังเพิ่มมากเพิ่มมาก มันก็ไม่มีความเป็นมิตรได้ ก็เป็นบ้านเมืองนี้เป็นโลกที่เพิ่มอาชญากรรม อาชญากรรมนี้มองดูให้ดี เราจะมองดูได้ใน 3 ระดับ ว่ามันกำลังเป็นไปทั้งโลก หรือว่ามันกำลังล้นโลก หรือมันกำลังท่วมโลก ถ้าตักน้ำมาขันหนึ่งใส่พอเต็มก็เรียกว่าเต็มขัน ทีนี้ใส่ลงไปอีกมันก็ล้นจากขั้น ทีนี้ถ้ามันมากมันล้นไม่ทัน มันก็ท่วมขึ้นไปสูงขึ้นไป นี่อาชญากรรมมันกำลังเต็มโลก แล้วมันล้นโลก แล้วมันก็จะท่วมโลก ท่วมโลกมนุษย์ จนถึงโลกเทวดา โลกพรหม-พรหมโลก อาชญากรรมมันจะท่วมไปจนถึงพรหมโลก ก็ตอบได้เองแหละว่าโลกเจริญไปในทางไหน โลกเจริญไปในทางที่จะทำให้อาชญากรรมมันเต็มโลก ล้นโลก ท่วมโลก ทั้งที่เป็นอาชญากรรมระดับบุคคลต่อบุคคล อาชญากรรมระหว่างสังคมกับสังคม และอาชญากรรมระหว่างประเทศต่อประเทศ การรบราฆ่าฟัน สงครามนี้มันจะมากขึ้นจนเต็มโลก จนล้นโลก จนท่วมโลก จนไม่รู้จะทำกันอย่างไร เดี๋ยวนี้เขาออกไปนอกโลกได้ อาจจะทำสงครามกันระหว่างโลกก็ได้ ระหว่างโลกนี้กับโลกอื่นก็ได้ มันก็ไม่มีอะไรนอกจากความวินาศ เขาค้นคว้าก้าวหน้าในวิชาการเพื่อประโยชน์อันนี้ คือเพื่อจะเอาเปรียบผู้อื่น
ทีนี้จะล้อหรือไม่ล้อ เรามันโชคดีจริงๆที่เกิดมาในยุคนี้ อุตส่าห์มาเกิดกับเขาสมัยนี้ยุคนี้ ถ้ามองในแง่หมดหวังมันก็น่าล้อ ถ้ามองในแง่ที่ว่าจะตั้งใจแก้ไขก็ต้องถือว่ามีบุญ เกิดมาในยุคในสมัยที่จะได้ทำหน้าที่สูงสุด ประเสริฐที่สุดหรือยากเย็นที่สุด คือการช่วยโลกให้พ้นจากอนารยธรรม ถ้าเราเฉยเสียนั่นแหละจะต้องควรจะถูกด่าว่ามันไม่มีประโยชน์อะไรแล้วที่มาเกิดกับเขา ในโลกนี้ ในยุคนี้ ในปัจจุบันนี้ มาเกิดเป็นคนไม่มีประโยชน์อะไรเลย เห็นแก่ตัวยิ่งขึ้นไปอีก มันก็เพิ่มอาชญากรรมในทางจิตใจส่วนบุคคลเพิ่มมากขึ้นไปอีก เดี๋ยวนี้ยิ่งนิยมความสวยความงามอย่างเห็นได้ชัด นิยมความสุขสนุกสนานเอร็ดอร่อยทางเนื้อทางหนังอย่างเห็นได้ชัด อย่าให้อาตมาต้องยกตัวอย่างสิ่งเหล่านี้เลย มันลำบากใจ ไปดูเอาเองก็แล้วกันว่าโลกเรากำลังเจริญไปในทางไหน สรุปแล้วมันเจริญไปในทางทำโลกให้วินาศ มันก็ต้องได้ความวินาศ ถ้าจะล้อกันเป็นส่วนรวมต้องล้อว่ามันดีแต่จะเจริญไปในทางทำให้วินาศ พวกเราทุกคนโว้ย! มันดีแต่จะเจริญไปในทางทำให้โลกวินาศ
ทีนี้หัวข้อต่อ ไปที่จะพูดให้มันเนื่องกันไปก็คือหัวข้อที่ตั้งขึ้นมาว่า "โลกกำลังมีอะไรเป็นพระเจ้า" โลกกำลังมีอะไรเป็นพระเจ้า พุทธบริษัทอย่าโง่ถึงขนาดที่จะพูดว่า “เราไม่มีพระเจ้าโว้ย!” มันเป็นไปไม่ได้ที่ใครจะไม่มีพระเจ้า จะพูดว่าแม้แต่สุนัขมันก็มีพระเจ้า คือสิ่งใดที่มันเห็นว่าจะเป็นที่พึงแก่มันได้ จะทำความรอดให้แก่มันได้ คุ้มครองแก่มันได้ มันจะมีความรู้สึกในลักษณะที่เราเรียกกันว่าเป็นพระเจ้า สุนัขเหล่านี้พอเกิดอันตรายจะวิ่งมาหาเราให้ช่วย จะคอยติดตามเราก็เพื่ออยู่ในความคุ้มครองของเรา เป็นการสังเกตอันใหม่ที่อาตมาเพิ่งสังเกตเห็นว่าทำไมพอไปนั่งตรงไหนสุนัขก็ตามไปอยู่ด้วยที่นั่น คือเขาไม่อยากจะออกไปอยู่นอกความคุ้มครองของเรา เขาหวังความปลอดภัย เขารู้สึกปลอดภัยเมื่อเขาอยู่ใกล้เรา ถ้าอาตมากลับไปกุฏิมันก็ตามไปหมด ถ้าอาตมานั่งที่นี่มันก็ตามมาหมด เพื่ออยู่ในขอบเขตแห่งรัศมีของการคุ้มครอง และพร้อมกันนั้นมันก็จะรักเรา เป็นเพื่อนร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตายกับเรา ใครสักคนหนึ่งลองลุกขึ้นวิ่งพรวดพราดเข้ามาที่ธรรมาสน์นี่สิ สุนัขสามตัวนี้จะออกรับและจะกัดด้วย เพราะว่าเขาก็มีพระเจ้า ทีนี้คนทุกคนมีพระเจ้าหรือว่ามีอะไรที่จะช่วยตัวได้ คุ้มครองตัวได้ นั่นแหละมีพระเจ้า ทีนี้ทุกคนมันคิดว่าเงินช่วยเราได้ ฉะนั้นทุกคนมันมีเงินเป็นพระเจ้า ใครที่นั่งอยู่ที่นี่ไม่คิดว่าเงินจะช่วยอะไรได้ จะช่วยเราได้??? มันก็คิดอย่างนั้น แต่ก็อย่าเผลอไปถึงกับเอาไปเป็นพระเจ้า มันมีสิ่งอื่นที่คุ้มครองยิ่งกว่าเงิน ฉะนั้นเอาความหมายนั้นไปให้กับสิ่งนั้น แต่เดี๋ยวนี้คนทั้งโลกไม่เป็นอย่างนั้น ถือว่าเงินเป็นปัจจัยแห่งสิ่งทั้งปวงที่เราต้องการ ถ้าเราจะทำสงครามเราก็ต้องมีเงิน เราได้เงินมาแล้วเราก็ไปหาความสุขสนุกสนานทางเนื้อทางหนังให้สุดเหวี่ยงเราก็ต้องการเงิน ฉะนั้นทั้งโลกเขาจึงถือ "พระเจ้าเงิน" กันทั้งนั้น จะพูดว่าไม่มีพระเจ้ามันไม่ได้หรอก มันยิ่งกว่าโกหก
ที่เขาเรียกพระเจ้า พระเจ้า ในทางศาสนานั้นถูกทอดทิ้งไป จนกระทั่งสมมติว่าตายแล้วก็มี เขาไม่ให้อะไรได้ ให้เป็นปัจจัยแห่งการเป็นอยู่กินอยู่อะไรได้ เมื่อเหลียวมาดูทางนี้ เขามีความจำเป็นที่จะต้องมีเงิน เพื่อจะไปซื้ออาวุธมา จะไปซื้ออาหารมา จะไปซื้ออะไรมาสำหรับให้เขารอดอยู่ได้ ทุกคนมีพระเจ้า ทีนี้ถามว่าโลกสมัยนี้กำลังมีอะไรเป็นพระเจ้า ก็ชี้ไปได้เลย ที่สิ่งๆหนึ่งคือปัจจัยที่ทำให้เขาคิดว่า เขาจะรอดอยู่ได้และสนุกสนาน เอร็ดอร่อย เดี๋ยวนี้ไม่มีใครคิดว่าศาสนาหรือธรรมะจะช่วยเขารอด เขาคิดไปถึงเรื่องหยูก เรื่องยา เรื่องหมอ เรื่องอะไรต่างๆเพราะเขารู้แต่เรื่องทางวัตถุ เพราะว่าเงินจะช่วยเขาสบายได้อย่างใจตามที่เขาต้องการ ฉะนั้นจึงหวังพระเจ้ากันที่ปัจจัยที่จะให้สำเร็จตามความปรารถนาของความโง่ ไม่ใช่พูดหยาบคาย พูดตรงไปตรงมาว่า ความโง่เป็นเหตุให้ต้องการ อะไรจะทำให้สำเร็จตามต้องการอันนั้นเขาเรียกว่า "พระเจ้า" ก็เลยบูชา "พระเจ้าแห่งความโง่"
ที่พูดว่าเงินนี่ก็พูดเป็นกลางๆ บางคนอาจจะบูชาอะไรอื่นนอกจากเงินแต่มีความหมายอย่างเดียวกับเงิน พวกนักวิทยาศาสตร์ศึกษาค้นคว้าเขาอาจจะพูดว่า เขาบูชาเทคโนโลยี พวกประดิษฐ์อะไรต่างๆก็บูชาเทคโนโลยี หรือ "เทคโนโลยีเป็นพระเจ้า" อันนี้ก็ถูกตามความรู้สึกชั่วขณะแต่เขาก็ต้องการเงิน หรือมีเงินเป็นเหตุให้กระทำ, นักธุรกิจทั้งหลายก็ไม่ต้องพูดแหละมันมีเงินเป็นพระเจ้า, นักเศรษฐกิจทั้งหลายก็มีกำไรเป็นพระเจ้า, พวกบูชาความสำราญทั้งหลายก็มีเรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรติเป็นพระเจ้า เพราะว่าเรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรตินี้ทำให้เขาได้ประสบความสำราญ นี่เขากำลังมีสิ่งเหล่านี้เป็นพระเจ้า พระเจ้าในพระศาสนานั้นตายหมดแล้ว ในศาสนาคริสต์เขาก็กำลังมีปัญหาว่าจะเอาอะไรมาแทนพระเจ้าที่ตายไปแล้ว คือคนเขาไม่ถือกันเสียแล้ว พุทธศาสนาเรามีพระธรรมอันสูงสุดเป็นพระเจ้า คนก็ลืมแล้วหรือแกล้งลืมด้วย
สรุปความแล้วมันก็มีสิ่งๆหนึ่งซึ่งเป็นพระเจ้าโดยธรรมชาติ โดยความรู้สึกในสัญชาติญาณว่าเป็นพระเจ้า นั่นคือเวทนาอันเอร็ดอร่อย สุขเวทนาที่เอร็ดอร่อยเจือด้วยกิเลสนั่นแหละเป็นพระเจ้าของทุกคน ของทุกยุคทุกสมัยมาจนกระทั่งทุกวันนี้ นี่ถ้าว่าตามสัญชาติญาณเรามีสุขเวทนาเพื่อกิเลสนั้นเป็นพระเจ้า แต่นั่นเป็นความผิดพลาด คือทำให้เกิดความทุกข์ทั้งส่วนบุคคลและส่วนรวม ทีนี้เราจะมีอะไรเป็นพระเจ้าในฐานะที่จะช่วยให้รอด ก็ต้องมีกฎแห่งพระธรรมของพระศาสนาที่ถูกต้องจริงๆ เมื่อทุกคนประพฤติแล้วจะอยู่รอด แต่ไม่บ้าไปถึงพวกที่บางลัทธิเขาพูดว่าจะทำให้ทุกคนสม่ำเสมอกัน มีสิทธิเสรีภาพเท่ากัน มีสมบัติเท่ากัน นั้นเป็นเป็นเรื่องบ้า เพราะว่าธรรมชาติจะไม่ยอม กฎของธรรมชาติจะไม่ยอมให้คนเป็นอย่างนั้นได้ เพราะว่าธรรมชาติจะไม่อาจสร้างคนมาให้เสมอกันได้ เขาถึงสร้างให้มีความแตกต่างกัน เหลื่อมล้ำกัน แข็งแรงก็มี อ่อนแอก็มี ฉลาดก็มี โง่ก็มี บ้าๆบอๆก็มี แต่ขออย่างเดียวว่าให้มันมีความยอมรับว่า สัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น พระเจ้าเขาสร้างมาอย่างนี้แล้วก็มีวิธีจัดการอย่างนี้ คนทุกคนต้องแตกต่างกัน เมื่อทุกคนถือหลักที่ว่าทุกคนเป็นเพื่อน เกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันแล้ว ความแตกต่างนั้นก็จะหมดปัญหา ไม่เหลือให้เป็นปัญหาสำหรับจะต้องแก้ด้วยลัทธินั้น ลัทธินี้ ลัทธิการเมืองระบอบนั้น ลัทธิการเมืองระบอบนี้ ซึ่งไม่เคยแก้ได้เลยและจะไม่แก้ได้อีกต่อไปในอนาคต เว้นไว้เสียแต่ว่าธรรมะจะกลับมา
ให้ยอมรับการที่ว่ามันมีพระเจ้าแท้จริง เช่น กฎอิทัปปัจจยตาสร้างโลกสร้างแผ่นดินขึ้นมา กระทั่งว่าสร้างจิตใจของมนุษย์ให้มีความเข้าใจถูกต้องที่จะจัดการกับสิ่งเหล่านี้ อย่าทำลายมันเสียเร็วเกินไปเหมือนในบัดนี้กำลังทำลายโลกแม้ในทางวัตถุ สรุปความว่าสัมมาทิฐิจะเป็นพระเจ้าที่แท้จริง แต่สัมมาทิฐิก็ยังเป็นสิ่งที่เข้าใจยาก มีความหมายซับซ้อนอยู่หลายชั้น แต่ขอยืนไว้ทีก่อนว่าสัมมาทิฐินั่นแหละจะเป็นพระเจ้าที่แท้จริง ทีนี้เราจะสมมติเรียกว่าพระเจ้าชื่อนั้น พระเจ้าชื่อนี้ ตามศาสนานั้น ตามศาสนานี้ก็ได้เหมือนกัน แต่หัวใจแท้ๆมันอยู่ที่สัมมาทิฐิ พระเจ้าแท้จริงคือสัมมาทิฐิ แล้วโลกเราก็มีความอร่อยทางเนื้อทางหนังเป็นพระเจ้าไม่ยอมรับสัมมาทิฐิซึ่งเป็นพระเจ้าที่แท้จริง แต่เดี๋ยวนี้เราก็กำลังยอมรับผู้ทำลาย คือพระอิศวร ในนามของวัตถุนิยมที่กำลังทำลายโลกนี้ว่าเป็นพระเจ้าที่แท้จริง ขอให้ลองคิดดู เมื่อถามว่าโลกกำลังมีอะไรเป็นพระเจ้า? ก็ตอบได้หลายอย่าง มีอวิชชาก็ได้ มีอะไรก็ได้ ถ้าตอบให้ชัด ให้สั้น ให้แคบเข้ามา ให้ตรงจุดที่สุด ก็มีวัตถุนิยมในนามของพระอิศวรที่จะทำลายโลกนี้เป็นพระเจ้า บางคนอาจจะเคยคิดอยู่แล้ว บางคนก็ไม่เคยคิด ก็ขอให้ไปคิดดูว่า กำลังมีอะไรเป็นพระเจ้า แล้วก็มารำพึงถึงตัวเองว่า “เราคนหนึ่งนี้หนอมีอะไรเป็นพระเจ้า? เรากำลังจะเป็นไปอย่างไร?” ถ้าเป็นพุทธบริษัทจริงจะคว้าพบสัมมาทิฐิ และมีสัมมาทิฐิเป็นพระเจ้าแล้วเราก็กำลังดำเนินไปตามหนทางที่จะปลอดภัย พระเจ้ามีความหมายเพียงอย่างเดียวคือ “จะช่วยให้รอด” แต่เมื่อเราตีความหมายของคำว่า “รอด” ไปหลายๆอย่างแตกต่างกันตามความโง่ความฉลาดของเรา พระเจ้าก็เกิดขึ้นหลายชนิดหลายรูปแบบ และรูปแบบที่โง่เขลาที่สุดก็คือ พระเจ้าวัตถุนิยมสำหรับคนโง่เขลาที่สุดแห่งยุคนี้ นี่คือพระเจ้า
ทีนี้หัวข้อต่อไปที่มันเนื่องกันไปเรื่อยคือข้อที่ว่า "โลกกำลังวิปริต" โลกกำลังวิปริตนี้อาตมาเคยพูดมาหลายครั้ง แต่ยังติดใจที่จะพูดซ้ำอยู่บ่อยๆ เพราะว่าแทบทุกคนไม่รู้สึกว่าโลกนี้กำลังวิปริต มีความรู้สึกว่าโลกนี้กำลังเจริญ กำลังรุ่งเรือง กำลังก้าวไปด้วยดี กำลังจะลุถึงจุดหมายปลายทางอันสูงสุด พอเรามาบอกเขาว่าโลกกำลังวิปริตเขาไม่ยอมเชื่อ ในใจเขาก็นึกด่าด้วย หรือว่าดู หรือรู้สึกว่าเรานี้มันบ้าแล้วที่พูดว่าโลกนี้กำลังวิปริต คำว่า “วิปริต” เป็นภาษาบาลี มีใช้ในพระบาลี แปลว่า มันผิดออกไปจากลู่ทางที่ควรจะเป็นไปอย่างสิ้นเชิง เอาบาลีของพวกลูกเด็กๆมาถอดความ มาขยายความ วิ-ปริ-ตะ, วิ แปลว่าสิ้นเชิง, ปร แปลว่า อื่น, ต แปลว่า ไปหรือถึง วิปริตะ ก็ถึงความเป็นอย่างอื่นโดยสิ้นเชิง (นาทีที่24.26) อย่างอื่นนั้นคือว่า อื่นจากทางแห่งสันติ ถ้าเรากำลังเป็นไปตามทางแห่งสันติ เราไม่เรียกว่าวิปริต พอออกไปจากทางแห่งสันติอย่างสิ้นเชิงก็เรียกว่าวิปริตถึงที่สุด ถ้าไม่อย่างนั้นก็เรียกว่ามันเริ่มวิปริต เดี๋ยวนี้โลกของเรากำลังวิปริต คือเดินแยกออกไปจากหนทางแห่งสันติโดยประการทั้งปวง เราจึงเรียกว่าโลกนี้มันวิปริต แต่คำพูดนี้บางคนอาจจะรู้สึกว่าเป็นคำพูดที่เข้าใจได้ง่ายๆ ก็คิดเอาง่ายๆ แล้วก็ไม่ค่อยอยากจะฟัง แล้วก็ไม่ได้สอดส่องถึงความเป็นจริงของโลกในสมัยนี้ ดังนั้นเขาจึงไม่มองเห็นว่าโลกนี้กำลังเดินไปสู่ความวินาศอย่างสิ้นเชิง อย่างสุดเหวี่ยง คือกำลังเดินไกลออกไป ไกลออกไป จากทางแห่งสันติ สันติสุข สันติภาพ หรืออะไรก็แล้วแต่จะเรียก เพราะมันกำลังเดินออกไปไกลจากทางแห่งสันติ ก็เรียกว่าวิปริต ทุกชนิดเสียด้วย ทุกชนชั้นเสียด้วย ชนชั้นในโลกนี้ จะชั้นกรรมกร ชั้นนายทุน ชั้นไหนก็ตาม มันมีปัญหาอย่างเดียวกันนี้ และมันเป็นความโง่หลงที่สุดที่นายทุนจะล้างกรรมกร กรรมกรจะล้างนายทุน เป็นความโง่เขลาที่สุดว่าทุกฝ่ายมันกำลังเดินไปลงเหวแห่งความวินาศ ด้วยอำนาจของความลุ่มหลงในเนื้อหนัง ความสุขทางเนื้อหนัง เราจึงพูดว่าในทุกแง่ทุกมุมกำลังวิปริต ในทุกชนชั้นกำลังวิปริต คือทั้งโลกกำลังวิปริต เพราะนิยมไปในทางตรงกันข้ามจากสันติสุข สันติภาพ และส่งเสริมความวินาศ เห็นตำตาอยู่ทุกแห่งหนในโลกนี้ ขอร้องให้คนหนุ่มที่มีสติปัญญาวางก้ามจะจัดตัวเองเป็นผู้จัดโลกในอนาคตดูให้ดี ให้คนหนุ่มเหล่านี้มันมีปัญญาจริงๆ แล้วดูโลกในทุกแง่ทุกมุมว่ามันกำลังเดินไปทางวิปริตหรือไม่ คือมันกำลังเดินไปสู่ความวินาศหรือไม่ อาตมาก็ไม่ได้บังคับ ไม่ได้ยืนยันอะไรนัก ก็ขอให้ดูเอง เพียงแต่ขอให้ดูเองว่ามันกำลังเดินไปสู่ความวินาศหรือไม่ หรือจะย้อนหลังสักหน่อยว่ามันกำลังไปสู่ความวินาศยิ่งขึ้นทุกทีแล้วหรือไม่ จะดูข้ามไปถึงอนาคตว่ามันจะวินาศถึงที่สุดหรือไม่ ขอให้ดูแล้วก็มายุติเอาเองว่าโลกกำลังวิปริตหรือไม่
สติปัญญาของคนสมัยนี้ โดยเฉพาะคนที่อวดดีแล้วมันก็ไม่มองอย่างนี้ เห็นอะไรในโลกผิดปกติไปสักหน่อยก็วิปริตแล้ว เช่น ปีนี้ฝนแล้งเกินสี่เดือนมันก็ว่าโลกวิปริตแล้ว อย่างนี้มันเป็นคำพูดของลูกเด็กๆอมมือ มันก็นึกเรื่องเล็กน้อยเกินไป ที่มนุษย์แอบทำให้วิปริตมันมากกว่านี้มาก ที่ธรรมชาติเป็นเองนั้นน้อยเหลือเกิน แล้วก็ไม่เป็นภัยเป็นอันตรายอะไรมากเหมือนที่มนุษย์เป็นผู้ทำให้มันวิปริต เดี๋ยวนี้กำลังวิตกกันว่าน้ำมันจะไม่มีในโลก อาหารจะไม่มีในโลก อะไรจะไม่มีในโลกยิ่งขึ้นทุกที ยิ่งขึ้นทุกที เขาก็กลัว แต่พร้อมกับที่เขากลัวนั้นเขายิ่งทำให้มันเป็นอย่างนั้นมากขึ้นทุกที คือทำให้มันวิปริตยิ่งขึ้นทุกที ทำลายเสียโดยไม่มีประโยชน์อะไรมากขึ้นทุกที ไม่ว่าอะไรในโลกนี้ที่เป็นทรัพยากรธรรมชาตินี่มนุษย์เอามาทำลายเสียโดยไม่จำเป็นนี่มากขึ้นทุกที ยกตัวอย่างสักเรื่องหนึ่ง เช่นน้ำมันนี่ มันเอาไปแสวงหาความสุขสำราญทางกามารมณ์ เช่น รถยนต์ เป็นต้นนี่เสียมาก เอาไปใช้เป็นปัจจัยสงครามซึ่งไม่จำเป็นเสียเลยมันมาก แต่ที่เอาไปใช้เป็นประโยชน์ทางสันติแท้จริงเท่าที่จำเป็นนั้นมันน้อย มันน้อยจนไม่ทำให้เกิดปัญหา เขาเปลี่ยนการเป็นอยู่ชนิดที่จะทำลายทรัพย์ของโลกให้หมดไปในเวลาอันสั้น อย่างนี้เขาก็ยังไม่จัดตัวเองว่าเป็นคนวิปริตหรือบ้าๆบอๆ เมื่ออาตมาพูดว่าโลกกำลังวิปริต ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะวิจารณ์ วิจารณ์เต็มที่ วิจารณ์ตามความพอใจ ถ้าเห็นด้วยก็ช่วยกันป้องกันแก้ไขความวิปริตนี้เสีย มานั่งพูดกันที่นี่ ในสภาพอย่างนี้ แล้วพูดกันในเรื่องอย่างนี้ มันเป็นอย่างไรบ้าง มันเป็นเรื่องวิปริตหรือไม่ บางคนก็อาจจะคิดว่าวิปริตแล้ว มานั่งพูดกันที่นี่ ในลักษณะอย่างนี้ นินทาคนอื่นอย่างนี้ ขออย่าได้คิดอย่างนั้น คิดว่ามันเพื่อจะแก้ไขความวิปริตต่างหาก
อยากจะพูดต่อไปอีกโดยหัวข้อว่า “วิชาความรู้ของโลกแห่งยุคปัจจุบัน” วิชาความรู้ของโลกปัจจุบัน ทุกคนว่าตามๆกันไปว่า โลกกำลังก้าวหน้า เจริญด้วยวิชาความรู้ เอาล่ะเราก็ยอมรับว่าเจริญด้วยวิชาความรู้ เราก็จะรู้จนเต็มโลก จนล้นโลก หรือจนท่วมโลก แล้วทำไมโลกนี้มันไม่ดีขึ้น ทำไมโลกนี้มันจึงไม่มีสันติภาพที่แสดงออกมาให้เห็น ว่ามันจะมีสันติภาพ มันมีแต่ความระส่ำระสาย กระวนกระวาย ที่เรียกว่าวิกฤติการณ์แสดงออกมามากยิ่งขึ้น มากยิ่งขึ้น แล้วจะไปยกให้เป็นผลของอะไรถ้าไม่ใช่ผลของวิชาความรู้ในโลก เมื่อพูดถึงวิชาความรู้ ทุกคนชอบใจ เลื่อมใส บูชาด้วยกันทั้งนั้นแหละ บูชาวิชาความรู้ แต่แล้วไม่ดูว่าวิชาความรู้ในโลกปัจจุบันนี้กำลังทำให้โลกเป็นอย่างไร? นี่เป็นข้อหนึ่งที่เป็นปัญหาพื้นฐาน ทีนี้ปัญหาที่มันติดตามมาก็คือว่า รู้ความรู้มากดี หรือความรู้น้อยดี ? ที่จริงมันก็ไม่ถูก ความรู้มากก็ไม่ดี ความรู้น้อยก็ไม่ดี ความรู้ที่พอเหมาะสมนั้นแหละดี เดี๋ยวนี้เรามีความรู้มากแล้วก็ไม่เหมาะสมเลย ไม่เหมาะสมที่จะสร้างสันติภาพเลย คนแก่ๆเขาพูดกันมานานแล้วว่า คนรู้มากนี่มันยากนาน คนรู้น้อยมันพลอยรำคาญ แต่ความหมายของมันลึกลับซับซ้อน คนรู้มากมันก็ยากที่จะตัดสินลงไปว่าจะทำอะไร มันลำบากอย่างหนึ่งแล้ว หรือว่าถ้ามันรู้มากเกินไป มันจู้จี้พิถีพิถันจนทำอะไรลงไปไม่ได้ นี่คนรู้มากมันก็ลำบากมาก ทีนี้คนรู้น้อยก็พลอยลำบาก เรียกว่าพลอยลำบาก คนรู้มากมันแสดงอะไรที่น่านับถือ น่าเชื่อถือ คนรู้น้อยไปนับถือเข้ามันก็ทำไม่ได้ เดี๋ยวนี้ผู้รู้มันมีมากขึ้น ความรู้มันก็มากขึ้น โลกมันก็ยิ่งรู้มากขึ้นจนเต็มไปด้วยความลังเล ความสงสัย ทะเลาะกันระหว่างความรู้ว่าความรู้นี้จะแก้ไขได้ แล้วมันก็พิสูจน์ว่าไม่ได้อยู่เรื่อยไป โลกจึงใกล้ความวินาศเพราะความรู้ที่มันมากจนไม่ยุติลงไปว่าจะเอาอย่างไรกันได้ ในโลกนี้ก็มีความรู้สำหรับจะเถียงกันมันมีมากขึ้น ถ้าเรียกชื่ออย่างไพเราะว่า ปรัชญาบ้าง ตรรกวิทยาบ้าง นิยมกันนัก แล้วจัดให้เป็นวิทยาศาสตร์อย่างหลับตาเสียด้วย ใช้วิถีทางปรัชญา ทางตรรกวิทยาซักไซ้ ขัดขวาง ขัดแย้งกันจนไม่รู้ว่าจะเอาอย่างไร นี่ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้โลกนี้มันไม่มีแสงสว่างทั้งที่มีความรู้มาก ก้าวหน้าทางความรู้มาก ผลก็คือคนยิ่งลังเลจนไม่รู้ว่าจะทำอะไรดี
ความรู้มากของมนุษย์ในสมัยอื่น อาจจะเป็นอย่างอื่น แต่ความรู้มากของมนุษย์สมัยนี้มันกำลังเป็นอย่างนี้ ยิ่งรู้ ยิ่งฟุ้งซ่าน ยิ่งรู้ ยิ่งลังเล ยิ่งรู้ยิ่งสงสัยนี่ทางหนึ่ง ทีนี้ยิ่งรู้ก็ยิ่งใช้ความรู้ให้เป็นประโยชน์แก่กิเลส ถ้าแต่ก่อนโน้นเขาใช้ความรู้เพื่อจะกำจัดกิเลส เดี๋ยวนี้มันก็กลายเป็นยิ่งรู้ก็จะรับใช้กิเลสให้มันยิ่งขึ้นไป ขอให้ไปพิจารณาดู ความรู้ วิชาความรู้ หรือศาสตร์อะไรทุกแขนงเวลานี้ ยิ่งก้าวหน้าไปแต่ในทางที่จะรับใช้กิเลส เพราะว่าคนมันเป็นทาสของกิเลสเสียแล้ว ผู้ค้นคว้าเองก็เป็นทาสของกิเลส ผู้ที่จะเป็นลูกค้าซื้อหาสิ่งที่ค้นคว้ามาได้ก็เป็นทาสของกิเลส และทั้งหมดเป็นทาสของกิเลส ก็ใช้ความรู้กันไปแต่ในทางที่จะเป็นทาสของกิเลส แล้วโลกนี้มันจะเป็นอย่างไร ยิ่งรู้มากในแบบนี้มันจะเป็นอย่างไร อาตมาคิดว่าก็ยิ่งให้วินาศเร็วเข้า รู้มากแบบนี้จะยิ่งวินาศเร็วเข้า เราจึงเห็นว่าโลกวิ่ง วิ่งไปอย่างเร็วทีเดียวในทางวิกฤตการณ์ ยุ่งยาก ลำบาก ทุกข์ร้อน ระส่ำระสาย ไม่เห็นวี่แววแห่งสันติ นี่เพราะมันรู้มากกันแบบนี้ มีวิชาความรู้มากกันแบบนี้ ย้ำอยู่เสมอว่ารู้มากเพื่อรับใช้กิเลส ใครคนไหนบ้างที่มีปริญญายาวเป็นหาง มาจากเมืองนอก แล้วมันมีความรู้ชนิดที่จะใช้เพื่อทำลายกิเลส มันมีแต่ความรู้เพื่อจะรับใช้กิเลสด้วยกันทั้งนั้น นี่คือข้อเท็จจริงในโลกปัจจุบัน
ขอให้คิดเสียว่าเดี๋ยวนี้เราก็ไม่ได้มีฝ่ายไหนเป็นปฏิปักษ์ต่อฝ่ายไหน ถือว่ารวมกันทั้งโลกเป็นมนุษยชาติในโลก และกำลังเจริญด้วยวิชาความรู้ที่จะทำลายล้างมนุษยธรรมหรือมนุษยชาตินั้นเอง จริงไม่จริง ไปพิจารณาดูด้วยความเป็นธรรม คือเรื่องชนิดนี้เอาไว้เพียงสัมมนา อย่าลงมติเลย มันเถียงกันตาย อย่าลงมติเลย ต่างคนต่างรับเอาไปคิดนึกแล้วก็ออกความเห็นเทลงไปสำหรับเพื่อนเขาจะได้รับไป วินิจฉัยตามความรู้สึกของเขา อย่าลงมติว่าอย่างนั้นอย่างนี้ เดี๋ยวมันจะทะเลาะกันถึงกับฆ่าฟันกัน
ทีนี้ก็มามองดูถึงพุทธบริษัทเรา ถ้าพูดถึงความรู้สำหรับพุทธบริษัท มันก็มีความรู้พุทธศาสนาเป็นหลัก เดี๋ยวนี้รู้มากยากนานหรือเปล่า รู้น้อยพลอยรำคาญหรือเปล่า อาตมารู้สึกว่ามันเท่ากัน เหมือนกัน อย่างเดียวกันกับความรู้ของชาวโลก พุทธบริษัทก็มีความรู้ทางธรรมชนิดที่รู้มากยากนาน รู้น้อยพลอยรำคาญ ยิ่งรู้มากยิ่งสงสัย ยิ่งรู้มากยิ่งลังเลจนไม่รู้ว่าจะเอาอย่างไร ข้อเท็จจริงสำหรับอาตมานั้นมีอยู่ว่า มันมีคนมาถาม มาถามอาตมานี่ จากปัญหาที่เขาถามทั้งหมดนั้น อาตมาสรุปหมดเข้าด้วยกันแล้ว พิจารณาดู แหมมันเป็นความรู้ชนิดที่น่าเศร้า ความรู้ที่ไม่จำเป็น ความรู้ที่ไกลออกไปจากความจำเป็นยิ่งขึ้นทุกที ไม่จำเป็นจะต้องรู้ ที่จำเป็นจะต้องรู้กลับไม่รู้และไม่ถาม มันขยายความรู้ที่ไม่จำเป็นออกไป แล้วก็อ้างว่าเป็นธรรมะด้วย เป็นพุทธศาสนาด้วย ซึ่งมันไกลออกไปทุกที จนไม่เป็นแม้กระทั่งเปลือกหรือกระพี้ของพุทธศาสนาเอาเสียเลย นี่ขอให้คิดดูให้ดีว่าพุทธบริษัทนี้มีอะไรที่จะต้องนึกต้องคิดกระทั่งที่จะต้องแก้ไข ให้ความเป็นพุทธบริษัทมันยังคงอยู่ ระวังให้ดีว่าพุทธบริษัทจะไม่เหลืออยู่ในโลก จะมีแต่พุทธบริษัทแต่ชื่อแต่ทำไปอย่างอื่น แล้วก็ไม่มีประโยชน์อะไร ไม่สามารถทำพุทธศาสนาให้เป็นประโยชน์กับตัวเองหรือเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น
อาตมาก็อยู่ในพวกที่ช่วยทำให้ความรู้มันมากขึ้นเหมือนกัน แต่พร้อมกันนั้นอาตมาก็ระมัดระวังที่จะให้รู้จักใช้ความรู้นี้ให้เป็นประโยชน์ และมีปณิธานอันหนึ่งว่าจะทำสิ่งที่เขายังไม่อาจจะใช้เป็นประโยชน์นั่นแหละเอามาใช้ให้เป็นประโยชน์ให้ได้ เพราะฉะนั้นจึงได้พยายามอธิบายแล้วอธิบายอีกให้เข้าใจในหลักธรรมะที่เป็นหัวใจของพุทธศาสนาที่จะมาใช้ให้เป็นประโยชน์ให้จงได้ แต่แล้วในระยะเริ่มแรกก็ถูกหาว่าเป็นคนบ้า เป็นคนบอ เป็นคนอวดดี เป็นคนสร้างแฟชั่นอันใหม่ ตั้งลัทธิใหม่ไปทำนองนั้นเสีย ก็เสียเวลาไปตั้งสิบปี สิบกว่าปี จึงจะมีคนมามองเห็นและสนใจว่า เอ้า มันก็จะเป็นอย่างนี้เสียแล้วโว้ย! ก็เลยมาตั้งต้นคุ้ยเขี่ยกันใหม่ คล้ายๆมันต้องคุ้ยส่วนที่มันยังกลบๆกันอยู่นี่ออกมาดูใหม่ ให้พุทธศาสนานี่แสดงออกมาในลักษณะที่เป็นประโยชน์แก่มนุษย์ได้จริง เพราะถ้าไม่อย่างนั้นแล้วมันไม่มีประโยชน์อะไร มันไม่มีประโยชน์อะไร พุทธศาสนาจะต้องดับทุกข์ชนิดที่ความรู้ของชาวโลกดับไม่ได้ ศีลธรรมทั่วๆไปมันก็มีอยู่แล้ว ซึ่งใครก็ประพฤติกันอยู่ได้ แต่ถ้าในขณะที่ประพฤติศีลธรรมเหล่านั้นความทุกข์มันเกิดขึ้น นี่เขาจะต้องมีความรู้อีกชั้นหนึ่งมาแก้ไขความทุกข์เหล่านั้นเสีย เช่นเรามีธรรมะที่จะสร้างความเจริญ เช่น มีอิทธิบาท ๔ วิเศษที่สุด ฆราวาสธรรม ๔ วิเศษที่สุด เราก็ลงมือทำตามนั้นเพื่อจะยกตัวให้พ้นจากความทุกข์ แต่ในขณะที่ทำอย่างนั้นความทุกข์อีกชนิดหนึ่งมันเกิดขึ้น เช่นกิเลสมันบังคับให้ออกนอกทางหรือสิ่งยั่วยวนมาบังคับให้ออกนอกทาง หรือว่ากิเลสมันไม่สมัครจะเหนื่อยเราจะเอาธรรมะอันไหนมาทำให้มันยอมเหนื่อย หรือปัญหาอื่นมันแทรกเข้ามา ความวิบัติพัดพรากจากสิ่งที่รักที่พอใจ เป็นต้น มันเกิดขึ้นมา มันแทรกเข้ามา จะเอาวิชาความรู้ไหนมาขจัดมันออกไป อย่าเข้าใจว่าเรามีความรู้เรื่องปฏิบัติถูกต่อทิศทั้ง ๖ คือ บิดา มารดา บุตร ภรรยา เพื่อนฝูงมิตรสหาย ครูบาอาจารย์ ปฏิบัติอยู่อย่างถูกต้องแล้วมันจะพอ เท่านั้นมันไม่พอ เพราะสิ่งที่เกิดความทุกข์อย่างอื่นมันจะมีแทรกเข้ามา ฉะนั้นผู้ที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบอยู่แล้วนั่นแหละก็จงระวังเถิด มันยังมีปัญหาอย่างอื่นที่จะทำให้ความทุกข์เกิดขึ้นเนื่องจากการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบนั่นเอง นี่ขอให้ระวังสังวร สังเกตดูให้ดีว่า ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบอยู่ก็ยังมีปัญหาอันอื่นแทรกเข้ามา เพื่อให้เราเกิดความทุกข์อยู่ในขณะที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบนั้นก็ได้ ดังนั้นเราจึงต้องมีความรู้อีกชั้นหนึ่ง อีกพวกหนึ่ง อีกระดับหนึ่งที่จะขจัดปัญหาหรือความทุกข์นั้นให้ออกไป นี่คือตัวพุทธศาสนาที่สอนเรื่องความไม่ยึดมั่นถือมั่น เรื่องอนัตตา เรื่องสุญญตา ที่จะขจัดความทุกข์ทั้งหลายทุกรูปแบบ แม้ในขณะที่ประพฤติความดีอยู่ ก็มีความไม่เป็นไปตามต้องการนั้นเกิดขึ้นและเป็นความทุกข์เกิดด้วยเหมือนกัน
นี่ยังมีปัญหาพื้นฐาน คือปัญหาหลายๆชนิด เนื่องกันกับการเกิดแก่เจ็บนั้นก็มีอยู่ ทีนี้คนจะดีอย่างไร จะรวยอย่างไร จะสวยอย่างไร มันก็แก้ปัญหานี้ไม่ได้ จึงต้องมีธรรมะอีกชุดหนึ่งจะมาแก้ปัญหาที่เกิดมาจากการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ให้กับคนทุกคน ทั้งที่เป็นคนจนและทั้งที่เป็นคนรวย ทั้งที่เป็นมนุษย์และทั้งที่เป็นเทวดา กระทั่งเป็นพรหมในพรหมโลก พรหมโลกนี้เขาจัดไว้ว่าดีที่สุดแล้วสำหรับความมี ความเป็นแห่งสัตว์มันก็ยังมีความทุกข์ นับประสาอะไรกับชาวบ้านธรรมดาอย่างนี้มันก็มีความทุกข์ ฉะนั้นเมื่อปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ หรือแม้กำลังเสวยความสุขอยู่มันก็ยังมีความทุกข์ รู้จักความทุกข์ที่มันจะเกิดขึ้นในขณะที่กำลังเสวยความสุขอยู่นั่นแหละให้มาก และไม่มีอะไรที่จะกำจัดมันได้นอกจากพระพุทธศาสนา ขอให้เรารู้จักพุทธศาสนาให้เพียงพอ ให้ถึงตัวพุทธศาสนาอย่างนี้ แล้วเราก็จะไม่ติดตัง(นาทีที่ 46.31) อยู่เพียงแค่ความรู้เรื่องศีลธรรม ซึ่งพวกนักปราชญ์ในกรุงเทพฯ ส่วนมากเขายืนยันว่ามันพอแล้ว เรื่องศีลธรรม เรื่องจริยธรรม หรือเรื่องโลกียธรรม
แต่อาตมาก็กำลังบอกว่ามันไม่พอ มันมีความรู้ส่วนที่เป็นตัวพุทธศาสนาแท้ ที่เขาสมมติเรียกกันเสียว่าส่วนโลกุตรธรรมนั่นแหละต้องเอามาด้วย เพื่อจะแก้ปัญหา คือความทุกข์ที่เกิดขึ้น เมื่อคนกำลังปฏิบัติธรรมในชั้นโลกียธรรม จึงต้องมีความรู้ทางโลกุตรธรรมด้วยควบคู่กันไปกับความรู้ทางโลกียธรรม จะทำมาหากินอย่างไร จะเจริญก้าวหน้าด้วยทรัพย์สมบัติชื่อเสียงอย่างไร มันเป็นความรู้อย่างโลกียธรรม ถ้าในขณะนั้นความทุกข์เกิดขึ้นด้วยเหตุหลายๆอย่างตามธรรมชาติ จะต้องมีความรู้ส่วนหนึ่งจะป้องกันความทุกข์นั้นด้วย ไม่ให้เกิดขึ้นด้วย หรือสรุปความว่า เมื่อเจริญด้วยเรื่องของโลกแล้ว ความทุกข์ยังเหลืออยู่จะเอาอะไรมาแก้มัน ก็มีความรู้เรื่องโลกุตรธรรม ฉะนั้นคนที่หากิน ร่ำรวย มีเงิน มีทองมาก เป็นนายทุนตัวใหญ่อยู่นั่นแหละ ก็ยังต้องการความรู้เรื่องโลกุตรธรรม อย่าให้เกิดความทุกข์ขึ้นมาได้เพราะเงินที่มีมาก เพราะว่าเงินที่มีมาก ฟังให้ดีนะมันชัดเจนอยู่แล้วความทุกข์ที่เกิดขึ้นเพราะว่าเงินมีมาก ที่อุตส่าห์หามาด้วยความประพฤติอย่างถูกต้องของโลกียธรรมนั่นแหละ เดี๋ยวนี้มันมีปัญหาขึ้น ฉะนั้นจงมีโลกุตรธรรมให้พอสมควรสำหรับจะดับความทุกข์โดยประการทั้งปวง ความทุกข์อื่นๆ ที่ลัทธิอื่นหรือความรู้อื่นดับไม่ได้นั้น พุทธศาสนาดับได้ พุทธศาสนามีให้เพียงพอสำหรับจะดับเสียซึ่งความทุกข์ทั้งปวง จะเรียกว่าป้องกันก็ได้ จะทำลายก็ได้ จะดับก็ได้เสียซึ่งความทุกข์ทั้งปวง เดี๋ยวนี้ความรู้ของโลกในปัจจุบันมันไม่เดินมาในทางนี้ มันเฟ้อไปในทางที่ไม่ได้ใช้เป็นประโยชน์ หรือว่าถ้าเป็นประโยชน์ก็เป็นประโยชน์ในทางที่จะให้เกิดปัญหา หรือเกิดความทุกข์ คือว่าไปรับใช้กิเลสนั่นเอง เราจะต้องควบคุมไว้ให้ได้ อย่าให้วิชาความรู้ของเราไปรับใช้กิเลส ความรู้ที่จะควบคุมได้นั้นคือความรู้ที่เรียกกันว่าโลกุตรธรรม ฉะนั้นทุกคนแม้แต่เด็กๆก็ต้องมีความรู้เรื่องโลกุตรธรรม เพื่อว่าเขาอย่าต้องร้องไห้เมื่อตุ๊กตาของเขาแตกลงไปเลย ความรู้เหล่านี้ ในลักษณะนี้ไม่ล้นถ้วย ไม่เฟ้อ ไม่เป็นไปในลักษณะทีเรียกว่า รู้มากยากนาน หรือรู้น้อยพลอยรำคาญ แต่สามารถทำให้คนทุกคนทั้งที่รู้มากหรือรู้น้อยนั้นประพฤติประโยชน์แห่งตนได้อย่างเหมาะสมที่สุด ได้อยู่กันในโลกนี้สมกับที่ว่าเป็นมนุษย์ที่เป็นสัตว์สูงสุดด้วยสติปัญญา
อาตมาได้พูดมาเป็นเวลา ๓ ชั่วโมงเต็ม ก็รู้สึกว่าพอสมควรแล้วสำหรับตอนนี้ เอาไว้พูดกันตอนบ่ายอีกครั้งหนึ่ง ตอนค่ำอีกครั้งหนึ่ง สิ่งที่จะต้องเอามาล้อกันดูเล่น ก็คงจะหมดไปมาก มันก็จะเป็นประโยชน์สำหรับเราจะได้อยู่สบายมากขึ้นบ้างเพราะไม่มีสิ่งที่มารบกวน และขอยุติการบรรยายภาคเช้าไว้แต่เพียงเท่านี้ เราพบกันใหม่ตอนบ่ายสามโมง และสามทุ่ม