แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านสาธุชนผู้มีความสนใจในการทำบุญครบรอบปี ชนิดที่เรียกว่า ล้ออายุ ทั้งหลาย ก่อนอื่นทั้งหมด อาตมาอยากจะปรารภความรู้สึกในใจบางประการ ข้อแรกก็คือรู้สึกสงสัยว่า ทำไมจึงมากันมากเกินกว่าที่เคยมา สงสัยก็ทำให้ คิดต่อไปว่า จะมีประโยชน์อะไรเกิดขึ้น อ้า, สมควรแก่การที่ได้มา อาตมาจะทำอย่างไรจึงจะทำให้ ท่านทั้งหลายได้รับประโยชน์คุ้ม อ้า, กันกับการที่มา ซึ่งหมายความว่า เสียค่าใช้จ่าย เสียเวลา และเหน็ดเหนื่อย เป็นต้น ถ้าทำอะไรให้ไม่ได้รับผลคุ้มกันแล้ว ก็อดจะรู้สึกไม่ได้ว่า ตัวเองเป็นผู้ทำผิด แม้เขาไม่ถือกันว่าต้องรับผิดชอบ แต่อาตมารู้สึกอยู่เสมอว่า มันต้องรับผิดชอบ จะด้วยเจตนา หรือไม่เจตนาก็ตาม ถ้าทำให้ผู้อื่นไม่ได้รับผลคุ้มค่าในการเสียสละนั้นแล้ว อ้า, รู้สึกว่า มันต้องรับผิดชอบ เคยใช้สำนวนฟังกันง่ายๆ ว่า มันต้องไปทะเลาะกับยมบาล ซึ่งจะเป็นอะไรก็ไม่รู้ แต่ว่ามีหน้าที่ที่จะต้องดูแลให้สิ่งต่างๆ มันเป็นไปอย่างยุติธรรม ทีนี้ สำหรับการบำเพ็ญบุญ อย่างที่เรียกว่าล้ออายุนี้ ต้องการจะให้เป็นการกระทำที่พิเศษ ไม่มีพิธีรีตองอะไร เป็นเรื่องพูดกันเงียบๆ ปรึกษาหารือกันเงียบๆ จนจัด อ้า, เรียกว่ากระซิบกันมากกว่า เพื่อจะได้มีโอกาสล้อ การล้อนั้น จะมีประโยชน์อย่างไร เดี๋ยวก็จะได้พูดกันต่อไป เรื่องที่เป็นห่วงอยู่ก็คือว่า ถ้าท่านทั้งหลายไม่ตั้งใจฟังให้ดี คงจะไม่ได้รับประโยชน์อะไรที่มันคุ้มกันแน่ และปัญหามันก็จะเกิดขึ้น อย่างที่ได้กล่าวมาแล้ว ว่าผู้ที่เสียสละนี่ไม่ได้รับประโยชน์ที่เพียงพอ ถ้าจะช่วยไม่ให้อาตมารับผิดชอบแล้ว ทำไม่ได้ตามที่ต้องรับผิดชอบนี้ ก็ขอให้ช่วยกันตั้งใจฟังให้ดี ให้ได้รับประโยชน์ไป อ้า, พอสมควร คืออย่างน้อย ก็ขอให้ฟังให้เข้าใจ ฟังให้ถูกต้อง เกิดความฉลาด สว่างไสวขึ้นมา
สำหรับการบำเพ็ญกุศลในวันนี้นั้น เขาเรียกกันว่า บำเพ็ญกุศลครบรอบปี แต่ว่ามันมีทางที่จะทำได้หลายอย่าง แล้วแต่ว่า ใครจะชอบทำอย่างไหน เมื่อสรุปแล้ว ก็คงจะได้สัก ๒ อย่าง ซึ่งอยากจะเรียกว่า ทำบุญเพื่อประจบอายุ เหมือนอย่างที่เขาเรียกกันว่าต่ออายุให้มันยืนยาวออกไป ด้วยความหวัง จะให้อายุมันยืนยาวเท่านั้น เพราะว่าเขายังไม่ อ้า, ยังขี้ขลาด หรือว่ายังไม่อยากจะตาย ถ้าอย่างนี้ก็ต้องทำบุญประเภทประจบอายุ ทีนี้อีกประเภทหนึ่ง จะเรียกว่าทำบุญชนิดที่ล้ออายุ แปลว่าไม่ได้ประจบอายุ ไม่ได้ขี้ขลาด ไม่ได้กลัวตาย แต่จะทำเหมือนกับว่า เป็นความ เป็นคดีกันกับอายุ จะมาสะสางกันดูว่าได้ทำไปแล้วอย่างถูกต้องเพียงไร ถ้าว่าโดยที่แท้แล้ว อาตมาอยากจะทำเป็นส่วนตัวมากกว่า แต่เมื่อท่านทั้งหลายมากันมากอย่างนี้ มันก็จะต้องทำไปในทางที่ ให้ท่านทั้งหลายก็พลอยได้ทำด้วย ฉะนั้น ขอให้ฟังดูให้ดีๆ ในการที่เราจะชำระสะสางไอ้เรื่องที่ควรชำระสะสาง เกี่ยวกับการที่อายุมันล่วงมาอีก ๑ ปี ถ้าผลของการกระทำเกิดขึ้นเป็นที่น่าพอใจก็เรียกว่าทำถูกแล้ว การทำอย่างที่เรียกว่า ล้ออายุนี้ อาตมาก็ขอยืนยันว่า ถ้าทำเป็นนะ ถ้าล้ออายุเป็นก็จะทำให้อายุยืนยิ่งกว่าพวกที่ทำบุญล้อ อ้า, ต่ออายุกันเสียอีก ยังจะได้บุญกว่า ยังจะได้กุศลคือความฉลาดกว่า ยังจะได้ปีติปราโมทย์ อ้า, ที่ลึกซึ้งกว่า และข้อสุดท้าย ก็คือจะทำให้ได้นิพพานนะง่ายกว่า กว่าที่จะมัวทำบุญประเภทต่ออายุด้วยความขี้ขลาด และกลัวตาย เดี๋ยวนี้เราทำบุญประเภทที่ว่ากล้าเผชิญหน้ากันกับสิ่งที่เรียกว่าอายุ ชำระสะสางมันให้ดี คนขี้เมาอาจจะถามว่า ล้ออายุบ้าๆ บอๆ อะไรกันวะ เราก็จะบอกเขาว่า มันเป็นเรื่องของความไม่ประมาท ซึ่งเป็นธรรมะสำคัญที่สุด ที่พระพุทธเจ้าทรงย้ำ เป็นสิ่งสุดท้ายเมื่อจะเสด็จปรินิพพาน ถ้าคนขี้เมาก็จะถามว่า จะเป็นประโยชน์แก่ใครกันโว้ย ขอให้คิดดูให้ดี เราก็ตอบเขาว่า เป็นประโยชน์แก่คนทั้งโลกเชียวแหละ และเป็นประโยชน์แก่พระศาสนาด้วย อาตมายังยืนยันอย่างนี้ ว่าถ้ารู้จักทำบุญล้ออายุให้ดีนี่ ประโยชน์จะกว้างขวางถึงกับเป็นประโยชน์แก่คน อ้า, ทั้งโลกทีเดียว และยังจะเป็นประโยชน์แก่พระศาสนาด้วย คือทำพระศาสนาให้ตั้งมั่นอยู่ได้ อย่างบริสุทธิ์ผุดผ่อง เรามานั่งหลับตาล้ออายุกันดูสักทีจะเป็นไรไป ถ้าใครล้อไม่เป็น ก็คอยฟังดูให้ดีว่าอาตมาล้อว่าอย่างไร ก็ขอให้ล้อตาม ความหมายสำคัญที่สุดที่จะล้อ ก็คือว่า มันมีอะไรๆ ที่ไม่น่าจะเป็น ไม่น่าจะมี แล้วมันก็มามีขึ้นมา และเราก็เผอิญมาเกิดพอดีตรงกันกับที่ไอ้สถานการณ์เหล่านี้กำลังมี นี่แหละ จะเรียกว่า ทำบุญล้ออายุกันในวันนี้ ทีนี้ขอบอกกล่าวสำหรับผู้ที่ยังไม่เคยมา ให้ทราบ อ้า, ละเอียดออกไปอีกสักหน่อย ปีนี้ เรียกว่าเป็นการทำบุญล้ออายุในปี ๒๕๒๐ เป็นวันที่มีอายุครบ ๗๑ ปีเต็ม คือถ้านับปีมันก็ ๗๒ แล้ว ล้ออายุก็ทำอย่างเคยที่ทำมา อ้า, ของขวัญก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง และได้ยินว่า อ้า, มีคนเพิ่ม มีจำนวนคนเพิ่มขึ้นมากกว่าปีที่แล้วมา ในการที่จะให้ของขวัญ บางคนทราบแล้วว่าของขวัญ คือการเว้นอาหารเสีย ๑ วัน นี่ มันมีความหมายอย่างไร บางคนยังไม่ทราบ ก็ควรจะทราบว่ามันก็มีประโยชน์มากกว่าที่จะไม่เคยทำเสียเลย คนขี้ขลาดก็จะหายขี้ขลาด คนอ่อนแอก็จะหายอ่อนแอ คนโง่ก็จะหายโง่ พวกที่บอกว่า กระเพาะอาหารมันสู้ไม่ได้นั้น มันเป็นเรื่องของคนโง่ คนขี้ขลาด และคนอ่อนแอ ขอให้ไปพิสูจน์ดู ทั้งทางโลก และทางธรรมะ คือไปหาหมอ ให้ช่วยอธิบายให้ฟัง แล้วก็ไปศึกษาธรรมะกันเสียบ้าง เราพร้อมเสมอที่ว่า จะไม่หวั่นไหว บางวันจะได้รับประทานอาหาร บางวันจะไม่ได้รับประทาน ก็ตามใจ จะคงหวั่นไหว อ้า, จะคงเป็นผู้ไม่หวั่นไหวอยู่เสมอ ถ้าคนนั้นมันมีอะไรดีบ้าง มันคงไม่หิวข้าว อย่างที่พระพุทธองค์ตรัสรู้ใหม่ๆ มีความพอพระทัยเสวยวิมุตติสุข ในการตรัสรู้ ซึ่งตามพระบาลีกล่าวว่า ไม่ได้ฉันอาหารถึง ๔๙ วัน ข้อนี้เป็นความจริงที่เชื่อถือได้ ในเมื่อได้ใคร่ครวญดูแล้ว ถ้า ๔๙ วันมากไป เอาสัก ๗ วัน ก็ยิ่งเป็นความจริง หรือเป็นสิ่งที่จะเป็นไปได้ ถ้าคนนั้นมันมีอะไรดี มันพอใจในความดีได้ มันลืมหิวข้าว ถ้ามันเป็นคนโง่ เต็มไปด้วยกิเลสอนุสัย อยู่ทั้งวันทั้งคืน มันคงหิวจัด เว้นสักครึ่งวัน มันก็คงจะทำไม่ได้ ดังนั้น ขอให้พยายามสร้างสรรค์ความดี พอที่จะอิ่มได้ อิ่มอกอิ่มใจได้ จนไม่หิวข้าว ซึ่งเป็นความหิวในทางร่างกาย คนเสียใจก็กินข้าวไม่ลง มันอิ่มประเภทหนึ่ง คนดีใจก็กินข้าวไม่ลง เพราะมันอิ่มอีกประเภทหนึ่ง ไปสังเกตดูให้ดีๆ เดี๋ยวนี้เราเป็นคนมีใจคอปกติ เราก็อาจจะบังคับได้ เพื่อสร้างความเข้มแข็งอดทน นึกถึงพระพุทธเจ้า อ้า, เมื่อท่านกระทำทุกรกิริยาก็ดี เมื่อท่านตรัสรู้แล้วก็ดี สิ่งที่เรียกว่าข้าวปลาอาหารนี้ ไม่มีความหมายอะไรเลย เดี๋ยวนี้มันมีแต่ลูกศิษย์โง่ๆ ขี้ขลาด ขี้กิน ไม่มีความอดกลั้น อดทน จนกระทั่งลืมพระพุทธเจ้าไปในแง่นี้ ถ้าได้ศึกษาสังเกต จนเห็น อ้า, ความจริงแล้ว ปัญหาก็จะหมดไป เรื่องอดข้าว คือ เว้นอาหารสักวันหนึ่งนี้ เป็นเรื่องของลูกเด็ก ของ อ้า, ของ อ้า, ของลูกเด็กๆ อมมือก็ได้ ไม่มีความหมายอะไร ยังได้เคยคิดเปรียบเทียบให้ดู เมื่อบางปีว่า ถ้าเราประเทศไทย ๔๐ ล้านคน อดข้าวกันคนละวัน จะประหยัดเงินได้หลายร้อยล้านนะ แล้วเอาเงินนี้ไปช่วยใครที่ไหนก็ได้ ถ้าเดือนหนึ่งช่วยกันอดเสียวันหนึ่งทุกๆ เดือน ก็จะมีเงินเหลือแยะเอาไปช่วยใครอะไรที่ไหนก็ได้ นี่คือผลของความกล้าหาญ หรือว่า อ้า, มันกินไอ้บุญ กินความดีอิ่ม จนไม่ต้องกินข้าว แล้วก็เอาข้าวที่ไม่ต้องกินนั้นนะ ไปช่วยเหลือคนอื่นที่มันยังต้องกิน ในโลกนี้ กำลังพูดกันว่าอาหารกำลังขาดแคลน ฉะนั้น การที่จะเว้นอาหารเสียสักวันหนึ่งนี่ก็รวมอยู่ในบทเรียน ที่เรียกว่าเป็นการล้ออายุด้วยเหมือนกัน ก็ไปคิดดู พิจารณาดู ยังมีอีกหลายเรื่อง ที่จะต้องเอามาพิจารณาเกี่ยวกับการ อ้า, ล้ออายุ ทีนี้สำหรับคำว่า ล้ออายุนี้ ฟังดูแล้วมันเป็นคำตลกๆ ยังไงอยู่ ถ้ามันเป็นคำที่ตลกๆ ก็ไม่เป็นไร อาตมาขอรับผิดชอบ ฟังดูในภาษาคน ความหมายมันยังรวนเรอยู่ ไม่รู้ว่าจะล้อไปทำไมกัน สำหรับคนที่ไม่รู้จักว่าอายุคืออะไรด้วยแล้ว ก็ยิ่งล้อไม่เป็น ล้อไม่ได้ มันก็เลยเป็นคำพูดที่ไร้ความหมาย เขาจะรู้สึกว่า มันไร้ความหมาย แต่ถ้ากล่าว อ้า, ตามที่แท้จริง ที่ถูกต้องในภาษาธรรมแล้ว มันก็มีความหมายมาก เป็นคำที่มีความหมายจริงแท้ และก็ถูกต้อง ที่ว่าจริงแท้ก็คือ เป็นการล้ออายุกันได้จริงๆ ที่ว่าถูกต้องนั่น ก็เพราะว่ามันมีประโยชน์ อาตมายังขอยืนยันอยู่ตลอดเวลาว่า การล้ออายุนี้มันมีประโยชน์ แล้วมันก็ถูกต้องในข้อที่ว่า มันเป็นสิ่งที่ควรล้อ เพื่อให้มันฉลาดขึ้นบ้าง ไอ้ล้อนี่มีหลายความหมาย ล้อให้เขาโกรธ ให้เขาเกลียด นี้ก็ไม่ควรจะทำ แต่ล้อให้เขานึกได้นี่ มันก็มีประโยชน์ดี แต่คนเขาไม่ได้เจตนาจะล้อกันอย่างนั้น มันมักจะล้อด้วยกิเลส ก็ทำให้เกิดโกรธกัน เกลียดกัน คำว่าล้อจึงมีความหมายหลายชั้น ไอ้คำว่าล้อนี่มันมีความหมาย สนุกขบขันรวมอยู่ด้วย ดังนั้น ถ้าทำเป็น ใช้เป็น มันก็ป้องกันการเกิดความโกรธได้ ที่ลึกไปกว่านั้น ก็คือล้อตัวเอง ล้อตัวเองนี้ก็ต้องสมมติว่า มันเหมือนกับคนสองคนอยู่ในร่างกายเดียวกัน ไอ้คนหนึ่งมันล้อคนหนึ่งได้ คือ สติปัญญามันล้อความโง่ก็ได้ แต่บางทีไอ้ความโง่มันก็ล้อสติปัญญา ข้อนี้มันแล้วแต่ว่า ไอ้คนๆ นั้นมันโง่มาก หรือมันมีสติปัญญามาก ถ้ามันมีสติปัญญามาก สติปัญญาของมันก็ล้อความโง่ได้ แต่ถ้ามันโง่มากแล้ว มันก็คงจะลำบาก ว่าจะเอาความโง่อันไหนมาล้อสติปัญญา ดังนั้น ก็ล้อไปอย่างผิดๆ ตามประสาของคนโง่ รวมความว่าเราล้อตัวเองนี่ เป็นความมุ่งหมายที่แท้จริง แล้วเราให้คนอื่นช่วยล้อ คือปวารณาไว้เลย ถ้าเห็นว่าโง่ตรงไหน ไม่เข้าทีตรงไหนก็ช่วยบอก อย่างนี้เรียกว่าให้คนอื่นเขาช่วยล้อ นับว่ามีเหตุผล จะดูกันอีกสักนิดหนึ่งว่า ทำไมจะต้องล้อ ถ้าเรา อ้า, ล้อตัวเองได้ มันก็กันผีล้อ ถ้าผีมาล้อนี่ มันเลวกว่า มันเสียหายกว่า มันร้ายกาจกว่า คือมันเลวกว่า เราตัวเองล้อตัวเองเสีย มันดีกว่าให้ผีมันล้อ ถ้าใครกลัวผีล้อ ก็รีบล้อตัวเองเสีย ให้หมดปัญหาไปเสียก่อน คำว่าผีมันล้อ หรือผีมันหลอกนี่ ดูเหมือนจะฟังถูกกันทุกคน แต่น้อยคนที่จะฟังถูกถึงที่สุด ว่าความหมายอันแท้จริงนั้นเป็นอย่างไร พวกคนโง่ไม่มีผีนะ หรือถ้ามีผี ก็มีผีไปอีกแบบหนึ่งซึ่งไม่มีประโยชน์อะไร สำหรับหลอกตัวเองให้ตกใจ หาความสุขไม่ได้ จะไปไหน จะทำอะไรก็ลำบาก ถูกผีรบกวน นั้นมันก็เป็นความหมายหนึ่งของสิ่งที่เรียกว่าผี คล้ายๆ กับว่ามันนั่ง นอน อยู่บนปลายไม้ สลอนไปหมด คอยดูว่ามนุษย์นี้มันจะทำอย่างไร ที่เลวๆ แล้วมันก็จะได้ล้อ ผีอย่างนี้มันยังมีประโยชน์ ไปๆ มาๆ ก็มันเป็นความรู้สึกผิดชอบชั่วดี สติสัมปชัญญะในระดับหนึ่ง จึงคอยตักเตือนมนุษย์ ดังนั้น ขอให้สนใจล้อตัวเอง ป้องกันผีล้อ อีกแง่หนึ่ง การล้อตัวเองนี่มันสอนได้ลึก และมันสนุก ทุกคนมีทิฐิ มานะ กระด้าง ไม่ชอบให้ใครสอน ไม่ชอบให้พ่อแม่สอน โดยเฉพาะสมัยนี้คนวัยรุ่นทั้งหนุ่ม ทั้งสาว นี่ ไม่ชอบให้พ่อแม่สอน ไม่ชอบให้ครูบาอาจารย์สอน ไม่ชอบให้ใครสอน เพราะว่าการสอนมันไม่สนุก ถ้าอย่างนั้นจะเอาใครมาสอน ก็อยากจะพูดว่า ไอ้การล้อตัวเองนี่แหละ ทำไปให้ดี ให้ถูกต้องเถิด มันจะเป็นการสอนที่ลึกซึ้ง แล้วมันยังสนุกด้วย เพราะฉะนั้น จะต้องฝึกฝนในการที่จะล้อตัวเองให้เป็น ถ้ายังโง่อยู่ มันไม่มีทางที่จะล้อตัวเอง หรือสอนตัวเองอะไรได้ แล้วมันก็ไม่ลึก ไม่อะไรมาแต่ไหน ดังนั้น พยายามให้มันมีการสอนที่ลึกในการล้อ ก็พยายามคุ้ยเขี่ยดูอย่างละเอียดลออว่ามันมีอะไรที่บกพร่องที่น่าล้อ ทีนี้ผลที่ได้รับ มันจะเกิดขึ้นมาว่า ตัวเองนี่มันจะค่อยดีขึ้นๆ ทุกคราวที่ล้อ จะดีเป็นพิเศษ ในการล้อเป็นครั้งใหญ่ประจำปี ตัวเองมันดีขึ้น ทีนี้ก็มีผลคือ มีความสุขในการล้อ พออาตมาบอกว่ามีความสุขในการล้อ หลายคนคงไม่เชื่อ แต่สุภาพหน่อยเขาก็ไม่เถียง หรือไม่ด่าอาตมา ทั้งที่ไม่เชื่อ เดี๋ยวนี้ก็กำลังจะบอกว่า มันมีความสุขในการล้อ ถ้าไม่มีความสุขเพิ่มขึ้นในการล้อ อาตมาก็คงจะหยุดเสียแล้ว ไม่ล้ออยู่ทุกปีๆ อย่างนี้ เดี๋ยวนี้ที่มันมีความสุขเพิ่มขึ้น เนื่องจากการล้ออายุนี่ จึงยิ่งอยากจะล้อ หรือยิ่งอยากจะเก็บไอ้วิธีการล้ออายุนี้เอาไว้ เพราะว่ามันมีความสุขเพิ่มขึ้น เพราะการล้ออายุนี้จริงๆ เดี๋ยวนี้เรามันบ้าประชาธิปไตย ใครมาสอนใครไม่ได้ ก็สอนตัวเองกัน ก็แล้วกัน เรียกว่าวิธีการล้ออายุ จะไปข่มเหงตบตีมัน มันก็ ก็ยังทำไม่เป็น เพราะมันยังบ้าประชาธิปไตยอยู่ ดังนั้น ลดลงมาเป็นเพื่อนกัน เอาแต่ล้อ ล้อกันไปก่อน และผลมันก็คงจะเกิดขึ้นบ้างไม่เสียเปล่า มีความสุขเกิดขึ้น ก็เลยทำให้อายุยืนออกไป นี่คือข้อที่อาตมาบอกว่า ไอ้ล้ออายุนี่ ถ้าล้อให้เป็นๆ อายุจะยืนยาวออกไปกว่าการต่ออายุของคนขี้ขลาด หรือคนอ่อนแอ หรือคนโง่นั้นเสียอีก ขอย้ำอีกทีว่าเดี๋ยวนี้มันพูดตกลงกันแล้วนี่ว่า ล้ออายุหรือต่ออายุนี่มันเพื่อประโยชน์แก่อายุ เขาต่ออายุเขาก็อายุยืน เราก็ล้ออายุสิ อ้า, มันยืนกว่า นอกจากจะยืนกว่า แล้วมันยังยืนอย่างดีด้วย มันไม่ยืนอย่างโง่เขลา ไม่ยืนอย่างขี้ขลาด หรืออ่อนแอ อย่างนี้มันน่ายืน อายุอย่างนี้มันน่าจะยืน ถ้ายืนอย่างโง่เขลา อย่างขี้ขลาดอ่อนแอ ยิ่งแก่ยิ่งกลัว ยิ่งกลัวตาย อย่าไปต่อมันดีกว่า ให้มันตายไปเสียเร็วๆ เดี๋ยวนี้ยังจะดีกว่านี่ เพราะมันอยู่ด้วยความทนทรมาน จะต่ออายุชนิดนั้นไปทำไม นี่คือประโยชน์ที่บุคคลนั้นจะได้ในการต่ออายุแบบล้อ ดีกว่าต่ออายุแบบประจบด้วยความขี้ขลาด และอ่อนแอ ทีนี้ ก็ดูออกไปถึงผู้อื่น ระหว่างผู้อื่นกับผู้อื่นที่ล้ออายุด้วยกันนี่ มันยังมีผลพิเศษออกไป คือสนุก คนรู้จักล้ออายุนี่มันจะสนุก เพราะใครๆ ก็เข้าใจอยู่แล้วว่า ไอ้คำว่าล้อนี่มันสนุก ไอ้ด่าเขามันก็ อ้า, สนุก แต่เดี๋ยวมันจะถูกสวนมา ก็เลยไม่สนุก ถ้าล้อนี่ล้อให้เป็นแล้วมันก็สนุก หัวเราะกันทั้งวันก็ได้ มันให้ผู้อื่นพลอยสนุกด้วย แล้วพร้อมกันนั้น ก็พลอยได้รับประโยชน์แบบที่เรียกว่า ไม่ซ้ำใคร ไม่ซ้ำใคร เป็นความสนุกแบบที่ไม่ซ้ำกับที่เคยสนุกมาแล้วอย่างโง่เขลา เป็นการเล่นสนุกแบบที่ต้องใช้สติปัญญาอันลึกซึ้งจึงจะทำได้ ทีนี้อยากจะยืนยันเป็นข้อสุดท้ายว่า ไอ้การล้ออายุของเรานี่ จะทำให้อะไรๆ มันพลอยดีขึ้นมา พลอยถูกต้อง หรือพลอยดีขึ้นมา สังคมก็จะพลอยดีขึ้นบ้าง ถ้าเรารู้จักล้ออายุกันแบบนี้ ในโลกทั้งโลกก็จะพลอยดีขึ้นบ้าง แม้พระศาสนาเองก็จะพลอยดีขึ้นบ้าง ถ้าเรารู้จักล้ออายุกันแบบนี้ คือมันทำให้เกิดการกระทำที่ถูกต้องยิ่งขึ้น เหมือนกับการชำระ ชะล้าง หรือการสะสาง ทำให้อะไรมันสะอาดๆ ขึ้น ดีขึ้น งดงามขึ้น อาตมาจึงยืนยันว่า การล้ออายุของเรานี้จะมีประโยชน์ แม้แก่พระศาสนา แม้แก่โลก แม้แก่สังคม จริงไม่จริง ก็เอาไปคิดดูอีกที ไม่บังคับให้เชื่อ แต่ขอร้องให้เอาไปคิด ถ้าคิดก็ต้องคิดให้เป็น ถ้าคิดไม่เป็น คิดจนตายก็ไม่ออก หรือไม่เห็น นี่เป็นเรื่องของความไม่ประมาท อย่าให้มันซ้ำซากอยู่ที่นั่นเลย
อ้าว, ทีนี้ก็จะพูดไปตามลำดับ ที่นึกออก ว่าจะล้อกันอย่างไร อยากจะขออภัย หรือว่าอยากจะทำอะไรสักอย่างหนึ่งสำหรับปีนี้ ซึ่งเป็นปีที่ไม่ค่อยจะสบาย มีความอ่อนเพลีย มีความอ่อนแอ ฉะนั้น จะทำอะไรให้เป็นเรื่องเป็นราวจริงๆ จังๆ มันก็ทำไม่ค่อยได้ เพราะร่างกายไม่อำนวย จึงถือ อ้า, เสียใหม่ว่าจะทำตามสะดวก นึกอะไรได้ก็พูดไป ไม่เป็นเรื่องยาว พูดอย่างชาวบ้านพูดก็ว่า ไม่ได้ฉายหนังเรื่องยาว แต่เป็นการฉายหนังเรื่องข่าว เล็กๆ สั้นๆ เรื่อยๆ ไป นึกอะไรได้ก็จะพูดไปตามลำดับ เรื่องที่จะพูด เรื่องแรกก็คือ เรื่องความแก่ หลายคนที่นั่งอยู่ที่นี่เป็นคนแก่ ถึงขนาดที่เรียกว่าเป็นคนแก่ แล้วหลายคนหรือมากกว่านั้น ก็เป็นคนที่กำลังแก่ ต้องพูดว่ากำลังแก่ เดี๋ยวเขาจะโกรธเอา เพราะเขาไม่ยอมแก่ เพราะเขาไม่ยอมเชื่อพระพุทธเจ้าที่ตรัสว่า ความแก่มันซ่อนมาแล้ว ในความเกิด นี่เป็นพระพุทธภาษิตตรัสว่าอย่างนี้ ความตายมันซ่อนมาแล้วในความเกิด ความแก่ก็ซ่อนมาแล้วในความหนุ่ม อย่างนี้เป็นต้น ที่เขากำลังแก่ เขาก็ไม่รู้ว่าเขากำลังแก่ ก็ต้องช่วยบอกกันเสียหน่อยว่า คนเรามันก็เริ่มแก่มาตั้งแต่เกิด หรือจะเอาเปรียบสักหน่อยก็ว่า เริ่มแก่มาแล้วตั้งแต่เริ่มหนุ่ม นี่คงจะไม่โกรธมาก เมื่อปัญหาเรื่องความแก่มันเกิดขึ้น ก็ต้องรู้จักขจัดออกไป ธรรมะนี้มันเพื่อขจัดปัญหา ที่เกี่ยวกับความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ต้องฟังของพระพุทธองค์ให้ดีๆที่ท่านสอนว่า เราเกิดเป็นธรรมดา เราแก่เป็นธรรมดา เราตายเป็นธรรมดา เราไม่อาจจะพ้นความแก่ ไม่อาจจะพ้นความตายไปได้ นั้นนะ ท่านสอนให้รีบทำอะไร ให้ชนะความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่ให้ไม่ใช่ตรัสให้ยอมแพ้ ให้หยุด งอมือ งอเท้าเลย เราจะหลีกความแก่ไปไม่ได้ เราจะหลีกความตายไปไม่ได้ อย่างนี้มันบ้า พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ถึงที่สุด ท่านไม่ตรัสสิ่งที่มันไม่มีเหตุผล หรือไม่มีสาระอะไร เพราะว่าท่านได้ตรัสไอ้อุบาย ที่จะชนะความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตายได้ ธรรมะในพระพุทธศาสนานี้เพื่อชนะความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย แม้ว่าเรากำลังเกิด แก่ เจ็บ ตาย เราก็จะเอาชนะมันได้ เราจะพูดกันถึงเรื่องความแก่ อาตมาก็บอกอยู่แล้วว่า ไอ้สิ่งแรกมันต้องล้อตัวเองก่อน อาตมาก็อยากจะล้อเกี่ยวกับความแก่ เดี๋ยวนี้อายุเท่านี้ มันก็มีความแก่ ถ้าดูกันในทางร่างกาย ในทางระบบประสาทนี่ มันแย่มากทีเดียว นี่ ขอใช้คำโสกโดกนะ ภาษาชาวบ้านเพื่อประหยัดเวลาว่า มันแย่มาก มันไม่สุภาพ แต่มันฟังง่ายว่า มันแย่มาก ความแก่ในทางร่างกาย ในทางระบบประสาทนี้ เดี๋ยวนี้มันไม่มีกำลัง และก็ระบบประสาทนี่ก็แย่ คือว่าจะ อ้า, เริ่มลืม ลืม คนแก่หลายคนก็คงจะเป็นพยานได้ ว่าเรามันเริ่มลืมกันแล้ว ลืมชื่อคนทั้งที่จำหน้าได้ ว่านี่คนนี้ หน้าอย่างนี้จำได้ แต่ชื่ออะไรไม่รู้ มันเริ่มลืมไปๆ นี่เรียกว่าระบบประสาทมันแย่มาก อ่อนเพลียมากขึ้น ความจำก็เริ่มเสื่อม ทางร่างกายก็มีอะไรเพิ่มขึ้นในทางเสื่อม ทางลำบากนิดๆ หน่อยๆ อย่างนั้น อย่างนี้ ขัดยอกตรงนั้น เคล็ดบวมตรงนี้ ผิวหนังก็เปลี่ยนไป ไอ้เล็บนี่ก็เริ่มแข็งไม่เหมือนกับเมื่อก่อนๆนี้ ซึ่งมันอ่อนนุ่ม การถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ ก็เปลี่ยนไปจนทำความยุ่งยาก ลำบาก ตัดบทว่า ที่อาตมาเคยล้อคนแก่ตั้งแต่เป็นเด็กๆ นั้นนะ เดี๋ยวนี้มารับบาปหมดแล้ว มาอยู่ที่เราเองหมดแล้ว ทุกอย่างทุกประการ เหมือนกับที่เราเคยล้อคนแก่ๆ โน้น สมัยเป็นเด็กโน่น นี่ขอสารภาพบาปอันนี้ไว้กับคนแก่ที่ได้ตายไปแล้วนั้นนะ ว่าอาตมาเคยล้ออย่างไร เดี๋ยวนี้ก็ยอมสารภาพว่า ทำผิด ไม่ถูกแล้ว ก็ขอให้เด็กๆ รุ่นหลังล้ออาตมาแทนต่อไป ว่ามันมีอะไรที่มันแกล้งทำ ทั้งนั้นแหละ คนแก่นี่ แกล้งทำทั้งนั้น เดี๋ยวนี้ก็รู้ว่ามันไม่ได้แกล้งทำ แล้วที่ประหลาดอยู่หน่อยหนึ่งว่าไอ้สิ่งเหล่านี้มันมาใช้เวร ใช้กรรมแก่เรา อย่างที่ไม่บอกล่วงหน้านี่ แต่ขอบอกให้ทุกคนรู้ไว้ว่า ไอ้ความแก่นี้จะมาสู่ท่าน แต่ละคนๆ ที่ยังถือตัวว่าหนุ่มอยู่นั่นแหละ มันไม่บอกล่วงหน้า มันรู้ได้ต่อเมื่อมันมาถึงเสร็จแล้วทั้งนั้น เมื่ออาการอย่างนั้นมาถึงแล้ว ครอบงำแล้ว เต็มที่แล้ว อ้าว, จึงจะมองเห็น อ้าว, นี่มาแล้ว มาเมื่อไรก็ไม่รู้ ฉะนั้น เรา เอ้อ, จึงพ่ายแพ้แก่ความแก่ เพราะมันมาในลักษณะที่ไม่ให้เรารู้ พอรู้แล้ว มันก็แก่แล้ว แก่เสร็จแล้วในเรื่องนั้นแล้ว มาใหม่ก็ไม่รู้ เราก็รู้ ก็ เอ้า, แก่เสร็จแล้ว ในเรื่องความแก่ชนิดนั้น นี้สรุปความว่า ในเรื่องทางร่างกาย ทางระบบประสาทที่เนื่องกันอยู่กับร่างกายนี้มันแย่มาก
ทีนี้มาดูกันความแก่ในทางจิต กลับเป็นตรงกันข้าม คือยังไม่แก่ ช่วยฟังดีๆ หน่อยๆนะ ว่าทางจิตนะยังไม่แก่ อย่าตีความหมายไปในทางต่ำทราม ว่าเดี๋ยวนี้ไอ้ความคิดนึก สติปัญญานี้มันก็ ยังไม่แก่ จิตก็เป็นสมาธิได้ง่ายขึ้น เกือบจะไม่ต้องทำอะไร จิตมีความเป็นสมาธิได้ง่ายขึ้น
และมากขึ้น ไม่เหมือนกับเมื่อยังไม่แก่ คล้ายๆ กับว่า มันอยากจะเป็น อยากจะเป็นสมาธิตามธรรมชาติมากขึ้น เหลืออีกอย่างหนึ่งที่ดีมาก ก็คือว่า หาความสุขหรือความพักผ่อนในทางจิตได้ง่ายขึ้น และมากขึ้น ข้อนี้ขอท้าทาย คนหนุ่มทั้งหลาย ว่าพวกท่านอย่าเพิ่งอวดดี อย่าอวดดีด้วยความโง่ จนกว่าเมื่อไรจะมีความแก่มาถึงแล้ว ก็จะพบว่า จะหาความสุข หรือความพักผ่อนในทางจิตได้ง่ายขึ้น เดี๋ยวนี้คนหนุ่มยังหาได้ยาก และก็ไม่เชื่อด้วย แล้วก็ไม่ชอบไอ้ความพักผ่อนทางจิตด้วย คือไม่ชอบความสุขในทางจิต เพราะมีความโง่มาก จะไปหาความสุขในทางเนื้อหนัง เอร็ดอร่อย ซึ่งต้องซื้อหาด้วยความ อ้า, ยากลำบาก หรือว่ามีราคาแพง ความสุขทางเนื้อหนังซึ่งหลอกลวงที่สุดนั้น ซื้อมาแพงๆ แล้วก็ยากลำบากเหลือเกิน ส่วนความสุขที่แท้จริง อ้า, เป็นความสุขทางจิตนั้น เกือบไม่ต้องซื้อ ไม่ต้องเสียสตางค์ หาได้ง่าย ทุกหนทุกแห่ง แล้วคนก็ไม่สนใจ ถ้าชอบความสุข ชนิดที่ทำให้เงินเดือนไม่พอใช้ ยิ่งไม่พอใช้ ไอ้ความสุขที่จะทำให้เงินเดือนเหลือใช้นี่ มันไม่ชอบ จะว่ามันโง่ หรือมันฉลาด ก็ไปคิดเอาเอง อาตมาต้องขอพูดว่ามันโง่ อย่างบรมโง่ แสนที่จะโง่ ที่ไม่รู้จักหาความสุข ที่ไม่ต้องใช้สตางค์ ที่ไม่ต้องใช้ เอ้อ, ที่ไม่ต้องลำบาก พูดอย่างนี้มันจะเป็นการหวังดีกับคนหนุ่มไหม มาบอกว่าคนแก่นี่ก็มีความสุขอย่างนี้ได้ง่าย และเป็นได้เอง แต่คนหนุ่มเป็นไม่ได้ คนหนุ่มควรจะทำอย่างไร จึงจะได้ชื่อว่าเป็นคนที่มีโชคดี อ้าว, สรุปความข้อนี้ก็ว่า ในทางจิตนั้นยังไม่แก่นะ อาตมายืนยันตัวเองอย่างนี้ ไอ้ทางร่างกายนี้จะแย่อยู่แล้ว นี้ต้องไปดูกันอีกทางหนึ่งซึ่งเราเรียกว่า ทางสติปัญญา แต่ฟังแล้วมันก็ไปปนกับทางจิต ขอแยกออกมาว่าเป็นทางวิญญาณ เรียกทางสติ ปัญญา ทิฐิ ความคิด ความเห็น ซึ่งไม่ได้เกี่ยวกับสมาธิอะไร เกี่ยวกับความ เอ้อ, รู้อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้นไป อย่างนี้ก็จะตะโกนว่า มันไม่แก่โว้ย มันยิ่งหนุ่มเสียอีก ถ้าพูดถึงไอ้ทางวิญญาณ ทางสติปัญญา ที่จะทำให้เกิดความรู้แจ้งแทงตลอดนี้ มันกลับยิ่งหนุ่มลงไปเสียอีก มันก็น่าหัว ทีนี้ทางสติปัญญามันยิ่งมาก ในทางร่างกายมันหมด ก็เลยหมดกันตรงนี้เอง สติปัญญายิ่งลึกซึ้ง ยิ่งมองเห็นอะไรมาก ที่จะทำให้มีประโยชน์ได้มาก ยิ่งกว่าแต่ก่อนมาก แต่ทางร่างกายหมดกำลังนี่ หมดกำลังที่จะทำ เล่าเป็นเรื่องส่วนตัวว่า เมื่ออายุได้สัก ๖๕ ปี นี่ มันยังไม่รู้จักความแก่ว่าความแก่นั้นเป็นอย่างไร อาตมาเองนะเมื่ออายุ ๖๕ ปี ไม่รู้จักความแก่ ทั้งๆ ที่มันแก่มามากแล้ว มันก็ มีความคิดที่จะทำนั่น ทำนี่ มีโครงการมากมาย เรียกว่าเยอะแยะไปหมด แล้วก็ยังไม่ทันจะทำ เพราะมันไม่ใช่ของที่จะทำได้ทันที ต่อมาหลังจากนั้น ความแก่เริ่มเข้ามาแทรกแซง อย่างไม่รู้ตัว อย่างที่กล่าวมาแล้ว พอรู้แล้วมันแก่เสร็จแล้ว รู้แล้วมันแก่เสร็จแล้ว พออายุสัก ๖๘ ปี ๖๙ ปี นี้ มันมีการแสดงออกมาอย่างแน่นอนว่า ทำไม่ได้ ไอ้ที่เราคิดว่าจะทำนะ เริ่มทำไม่ได้ เริ่มแสดงให้เห็นว่า ทำไม่ได้ เพราะหมดแรงในทางกาย แม้ทางจิตจะยังไม่ถอย ทางสติปัญญายังแก่กล้า ทางกายยอมแพ้ เลยเลิกไป ก็เหลืออยู่แต่ว่า แล้วแต่ความแก่มันจะสงสาร มันจะอำนวยให้ทำเท่าไร ก็ทำมันเท่านั้น เดี๋ยวนี้ก็อยู่ในสภาพที่เรียกว่า แล้วแต่ความแก่มันจะอำนวยให้ทำอะไรในวันหนึ่งๆ ในการที่จะเป็น อ้า, แสงสว่างแก่ผู้อื่นนั้น มันก็แล้วแต่ความแก่มันจะอำนวยให้ทำ ก็เลยเป็นอันว่า ฝากไว้กับความแก่ในทางร่างกาย ความไอ้เข้มแข็ง ความไอ้ก้าวหน้าทางจิต ทางวิญญาณก็เลยเป็นหมันเสียมาก เหลืออยู่เท่าที่จะใช้ให้เป็นประโยชน์ได้นี่มันน้อย นี่คือข้อที่ว่า อยากจะล้อตัวเอง มันได้อย่างนี้ มันได้อย่างนี้ มันสมน้ำหน้าไอ้คนโง่ ที่มันไม่รีบทำอะไรเสียให้เสร็จก่อนหน้านี้ พอมาถึงชั้นนี้ มันทำอะไรให้ดี ให้เต็มที่ ตามที่ต้องการไม่ได้ เพราะว่าทางร่างกาย ทางระบบประสาทนะมันประสบกับความแก่ อย่างวูบวาบ ในทางจิตนั้นยังคงอยู่ ยังไม่แก่ ในทางสติปัญญาแล้วยิ่งหนุ่มมากขึ้นไปอีก จะวาดโครงการอะไร ก็สนุกสนานก็มากมายไม่รู้สิ้นสุด ก็ขอให้ท่านทั้งหลายฟังดู เผื่อจะเอาไปล้อตัวเองได้บ้างสำหรับบางคน ส่วนสำหรับทุกคนนั้น ก็อยากจะพูดว่า รีบเถอะ อย่าให้ตกที่นั่งลำบากเหมือนกับอาตมาเลย ที่ยังหนุ่มอยู่นั้นอย่าโง่ อย่าอวดดี รีบใช้ชีวิตนี้ให้เป็นประโยชน์ อย่าไปหลงระเริงอยู่เลย ใช้แต่ในทางที่ถูก ที่มีค่า รีบใช้เสียให้เป็นประโยชน์ คือใช้ทำประโยชน์ให้มากที่สุด มิฉะนั้นจะเสียใจทีหลัง และเสียใจอย่างมากด้วย เมื่อความแก่มันมาถึงเข้า หรือกระทั่งความตายมาเมื่อไรก็ไม่ทันจะรู้ จะทำอะไร อ้า, ได้น้อย มีประโยชน์น้อย ชีวิตนี้มีค่าน้อย ถ้าเราจะเอาชนะความแก่ให้ได้ ก็รีบทำสิ่งที่เป็นประโยชน์เสียโดยเร็ว แล้วก็อย่าเป็นห่วงว่าคนข้างหลังเขาจะช่วยทำ ทางสวนโมกข์นี่ ก็มีข้อที่คนเขาสงสัยกันมากว่า ถ้าอาตมาตายแล้วใครจะทำต่อไป นี่มันเล่นตลกกันอยู่ เราไม่ถืออย่างนั้น เรา เราคิดว่าพูดอย่างนั้น หรือถืออย่างนั้นก็เป็นคนโง่ ถ้ายังมีสติปัญญาก็รีบใช้ให้เป็นประโยชน์เสียโดยเร็ว ให้มันคุ้มค่า ให้มันเกินค่า ให้ท่านทั้งหลายช่วยร่วมมือกับอาตมาทำให้สวนโมกข์นี้มันเป็นประโยชน์อย่างคุ้มค่า เกินค่าเสียโดยเร็ว ก่อนแต่ที่อาตมาจะตายนะ จะตายโดยร่างกาย แล้วเราก็ไม่ต้องเป็นห่วงว่าใครจะอยู่ ไอ้คนบ้าไหนจะมาอยู่ก็ตามใจ คนฉลาดมาอยู่ได้ก็เป็นโชคดี มันก็ทำไปเป็นเรื่องของเขาละ ไม่ใช่เรื่องของเราละ เรื่องของเรานี้ก็รีบทำให้มันเป็นประโยชน์ให้มากที่สุด คุ้มค่าก็ยังดี ให้เกินค่าก็ยิ่งวิเศษ รีบใช้สวนโมกข์ให้เป็นประโยชน์ ทั้งในทางฝ่ายผู้ให้ และทั้งในทางฝ่ายเป็นผู้รับ ให้เสร็จเสียเร็วๆ ให้ทันกับความแก่ แล้วข้อนี้ก็เอาไป อ้า, ถือเป็นหลักทั่วไป เมื่อกลับไปที่บ้าน ที่เรือนของตัวแล้ว รีบทำอะไรให้เป็นประโยชน์ ให้คุ้มค่า ให้เกินค่าเสียก่อนแต่ความตายมันจะมาถึง หรือว่าก่อนแต่ที่ความแก่จะบีบคั้นเอาจนทำอะไรไม่ได้ นี่ปีนี้ก็มีความแก่อย่างนี้ ก็เอามาล้อกันอย่างนี้ ท่านทั้งหลายคงจะได้รับประโยชน์จากการล้อนี้บ้าง เพราะว่าอย่างน้อยที่สุด ก็เอาไปใช้เพื่อรีบทำอะไรๆ เสียให้มันเสร็จ ให้มากที่สุดก่อนที่มันจะแก่จนทำอะไรไม่ได้ ประโยชน์ทางวัตถุนั้นมันไม่ค่อยจะมีค่านัก วัตถุก็มีค่าอย่างนั้น เท่านั้น แต่ถ้าเราใช้ให้มันเป็นประโยชน์ทางจิตใจ มันจึงจะมีค่ามาก นี่เรียกว่าปัญหาเกี่ยวกับความแก่ คือมันเป็นการวิ่งแข่งกันกับเวลา
อ้าว, ทีนี้ เรื่องถัดมาอีก ที่จะเอามาพูดต่อไป ก็คือเรื่องวัตถุปณิธาน ๓ ประการ ของอาตมา ท่านทั้งหลายบางคนก็ได้เคยทราบดีอยู่แล้ว บางคนยังไม่ทราบ เมื่ออาตมามีปณิธานที่ตั้งไว้ในชีวิตเมื่อหลายปีมาแล้ว เป็นปณิธานสูงสุดในชีวิตว่า จะพยายามให้พวกเราทุกคนเข้าถึงหัวใจแห่งพระศาสนาของตนของตน นี่เป็นข้อที่หนึ่งให้พุทธบริษัทเข้าถึงหัวใจของพุทธศาสนา และให้บริษัทของศาสนาไหนก็ตามเข้าถึงหัวใจแห่งศาสนาของเขา นี้ข้อที่สองว่าทำความเข้าใจอันดีซึ่งกันและกันในระหว่างศาสนา อย่าให้ศาสนาอ้าแต่ละศาสนาทะเลาะวิวาท แข่งดี อิจฉาริษยากัน เหมือนกับที่กำลังเป็นอยู่ นี่เป็นข้อที่สอง ข้อที่สามก็เพื่อจะพรากจิตใจของคนในโลกนี้ออกมาเสีย จากสิ่งที่เรียกว่า วัตถุนิยม โลกกำลังวินาศลงไปทุกวันๆ เพราะอำนาจของสิ่งที่เรียกว่าวัตถุนิยม มีรายละเอียดมากมาย ที่ว่าโลกวินาศลงไปด้วยวัตถุนิยม คนก็ยังบูชาวัตถุนิยม ปณิธานเหล่านี้ยังไม่สมตามที่ตั้งไว้ ยังไม่ประสบความสำเร็จเต็มตามที่ตั้งไว้ แต่มันจะทำอย่างไรได้ ก็ต้องทำไปตามที่มันจะทำได้ ตามที่กำลังกาย กำลังจิต และกำลังสติปัญญาจะอำนวยให้ทำ แต่ว่า มิใช่ว่ามันจะไม่สำเร็จประโยชน์อะไรเลย ก็เรียกว่า มีความสำเร็จตามปณิธานนั้น อยู่บ้างเหมือนกัน แต่มันยังไม่ลุถึงเป้าหมายที่สมบูรณ์ สำหรับข้อแรกมันก็เห็นอยู่ว่า แม้แต่พวกชาวพุทธเรานี่ ก็ยังไม่รู้จักหรือไม่เข้าใจ ถึงหัวใจ อ้า, ของพุทธศาสนา วิ่งเลาะอยู่ที่เปลือก หรือกระพี้ เป็นอย่างมาก ของพุทธศาสนา ไม่เข้าถึงหัวใจ หรือแก่นแท้ ยิ่งกว่านั้น เข้าใจกลับกันอยู่ อย่างที่เรียกว่ากลับกันอยู่ อย่างพระพุทธเจ้าตรัสว่า จิตเป็นประภัสสร กิเลสมาเป็นครั้งคราว เราก็เข้าใจกลับกันเสียว่ากิเลสอยู่เป็นประจำ เป็นพื้นฐาน แล้วจิตประภัสสรเป็นครั้งคราว แล้วบางคนถึงกับว่า ไม่เคยประภัสสรเลย จิตจะมีกิเลสคือความเศร้าหมองอยู่ตลอดเวลา ไม่พบกันกับความเป็นประภัสสร ความหมายมันอย่างเดียวกันกับที่จะพูดว่า ธรรมดาเรามีนิพพานในระดับหนึ่ง ระดับน้อยๆ นี่ เป็นพื้นฐานอยู่ ไอ้วัฏฏสงสารนั้นนะ เพิ่งมา เพิ่งมาเกิดเป็นครั้งเป็นคราว แล้วก็ชั่วเวลา อันเล็กน้อยด้วย นั่งอยู่ที่นี่ เวลานี้ บางทีจะเข้าใจง่าย คือถ้าไม่มีอะไรมารบกวน จิตมันเกลี้ยง มีลักษณะ อ้า, สะอาด สว่าง สงบ ตามสมควร คือสรุปความว่า มีความเย็นตามความหมายแห่งพระนิพพานนี้ตามสมควร ส่วนกิเลสที่จะเกิดขึ้นเป็นโลภะ โทสะ โมหะนั้นเพิ่งมา มาเป็นครั้ง เป็นคราว ตามแต่ว่ามันจะมีเหตุปัจจัยอะไรเกิดขึ้น ทางตา หู จมูก ลิ้น กายใจ เป็นต้น ไอ้ร้อนนะมันเพิ่งมา ไอ้เย็นนี่อยู่เป็นพื้นฐาน เขากลับพูดเสียว่าเรามีกิเลสตลอดเวลา เราร้อนตลอดเวลา ไม่เคยนิพพานเลย หวังอีกหลายอสงไขยชาติ เราจึงจะพบกับพระนิพพาน นี่อาตมาจะช่วยด่าแทนพระพุทธเจ้าว่า ไอ้บรมโง่ มันไม่มองเห็นสิ่งที่มีอยู่จริง และมีอยู่ตลอดเวลา คล้ายๆ กับว่าไม่เชื่อคำว่า จิตนี้ประภัสสรเป็นพื้นฐาน ไอ้จิตสกปรกมืดมัวเร่าร้อนกิเลสนั้น มันเพิ่งมา เป็นครั้ง เป็นคราว นี่ถ้าชาวพุทธก็ยังไม่เข้าใจหัวใจของพระพุทธศาสนา อย่างนี้ก็เรียกว่าเราก็ยังไม่มีอะไรที่น่าพอใจ สำหรับส่วนตัวอาตมานั้นก็เรียกว่าวัตถุปณิธานนั้นไม่ประสบผลทันแก่เวลาเสียแล้ว จะต้องตายก่อนนะ พูดอย่างนั้น จะไม่มีคนยอมรับ หรือมองเห็นความจริงข้อนี้ ถ้าเห็นบ้างสองสามคนนี้ไม่นับนะ มันน้อยเกินไป เราพูดกันว่าทั้งหมด หรือเกือบทั้งหมด จะต้องมองเห็น ข้อที่สองที่ว่า จะทำความเข้าใจกันระหว่างศาสนา ให้เลิกความคิดที่เป็นไอ้ปรปักษ์ต่อกันนั้น ก็ไม่ ไม่บรรลุเต็มตามวัตถุปณิธาน เพียงแต่จะมองได้บ้างว่า มันดีขึ้นบ้าง อาตมายอมรับว่าได้มองเห็นว่าความเข้าใจระหว่างศาสนานี้มีขึ้นบ้าง เริ่มมีขึ้นบ้าง เริ่มพูดกันรู้เรื่อง เริ่มมีความเป็นมิตรกัน แต่เราก็ได้พยายามมาหลายปี สิบกว่าปีแล้ว ที่จะทำความเข้าใจระหว่างศาสนา ชี้ให้เห็นธรรมะของธรรมชาติที่มีอยู่ร่วมกัน พ้องกัน ในระหว่างศาสนา ทุกศาสนา เช่น ความไม่เห็นแก่ตัวนี่ ต้องการกันทุกศาสนา ความเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น นี่ก็เป็นความต้องการของทุกศาสนา แต่แล้วทำไมจึงทำความเข้าใจกันไม่ได้ ยังอิจฉาริษยา อ้า, กันอยู่ เป็นส่วนใหญ่ ระหว่างศาสนาก็ยังทำความเข้าใจกันไม่ได้ ในศาสนาเดียวกันแท้ๆ ระหว่างนิกายมันก็ยังทำความเข้าใจกันไม่ได้ บางทีในระหว่างกลุ่มพุทธบริษัท แต่ละกลุ่มๆ นี้ ก็ยังทะเลาะวิวาทกัน เพราะเข้าใจธรรมะบางข้อ บางประการ ผิดกันก็มี แต่ว่าส่วนใหญ่นั้น มันเป็นเพราะว่าต้องการกันคนละอย่าง คนหนึ่งต้องการจะมีตัวตน มีอะไรมากๆ ไว้เรื่อย จะหล่อเลี้ยงตัวตนเสียเรื่อย อีกพวกหนึ่งมันตรงกันข้าม อยากจะหมดตัวหมดตน มันพูดกันไม่รู้เรื่อง ก็ขอทำความปรองดองว่า ชอบอย่างไร ก็ให้เขาทำไปอย่างนั้น อย่าไปตำหนิติเตียนเขาเลย เรามองกันแต่ว่าจะทำความเข้าใจระหว่างบุคคลให้ดีขึ้น ระหว่างหมู่คณะให้ดีขึ้น ระหว่างพวก ระหว่างนิกายให้ดีขึ้น ระหว่างศาสนาให้ดีขึ้น ถ้ามันมีความเข้าใจระหว่างศาสนาดีขึ้นแล้ว ไอ้ความเข้าใจระหว่างชาติ หรือประเทศก็คงจะดีตามขึ้นไปเอง ทีนี้บาปมันหนาอยู่ที่ว่า แต่ละชาติแต่ละประเทศนะมันทิ้งศาสนา มันไปโง่เอาลัทธิบ้าๆ บอๆ ที่เป็นปฏิปักษ์ต่อศาสนาไปเสียอีก แล้วคนเราจะมีศาสนาได้อย่างไร คนกำลังถือศาสนาแห่งความโง่หลง ในทางวัตถุ ในทางเนื้อหนัง ในทางประโยชน์ เดี๋ยวนี้ที่นี่ มีอะไรหลอกลวงซึ่งกันและกัน ให้หลงอย่างนั้น หนักขึ้นไปอีก จนมีศาสนาใหม่ แล้วแต่จะเรียกว่าศาสนาอะไร นี่ปณิธานข้อที่สองที่ทำความเข้าใจกันระหว่างศาสนาก็ยังไม่สมบูรณ์ อาตมาก็ตายก่อน ฝากไว้แก่คนข้างหลัง ทีนี้ข้อที่สามที่ว่าจะพรากเพื่อนมนุษย์ของเรา ออกมาเสียจากอำนาจของวัตถุนิยม ข้อนี้ก็ยิ่งไม่มีหวังเพราะดูยิ่งแรงขึ้น คนยิ่งตกไปสู่ความลุ่มหลงในวัตถุนิยมแรงขึ้นกว่าเมื่อ ๕๐ ปีที่แล้วมา กว่าเมื่อ ๓๐ ปีที่แล้วมา นี้ทุกคนจะมองเห็น เพราะการ อ้า, ค้นคว้า ก้าวหน้าของโลกในปัจจุบันนี้ ค้นคว้าในทางวัตถุมาก แล้วก็พบไอ้สิ่งที่จะทำให้สวยมาก เอร็ดอร่อยมาก อะไรดียิ่ง อ้า, ยิ่งขึ้นไปอีก คนก็กำลังหลงกับวัตถุนิยม ไม่ทราบว่าเมื่อไรจะถึงจุดอิ่มตัว แล้วจะเลี้ยววกกลับ แล้วเราจะทำอย่างไร เราจะปล่อยไปอย่างนั้น หรือว่า เราจะต่อต้าน อาตมาก็ยังคิดว่า ต่อต้านไปตามเรื่อง พยายามไม่ ไม่ทำการทะเลาะวิวาทนะ ถ้าไปทำการทะเลาะวิวาทแล้วก็เป็นความโง่ ดังนั้น ต้องต่อต้าน อย่างไม่ทะเลาะวิวาท ชี้ให้เห็นไอ้ปีศาจอันร้ายกาจ คือ วัตถุนิยม ที่กำลังจับกุมเอาโลกนี้ไว้ให้ติดอยู่ในความโง่ ความหลง และความทุกข์ เดี๋ยวนี้กำลัง อ้า, เป็นโอกาสของวัตถุนิยม มันกำลังวิ่งสุดเหวี่ยง ยังไม่ถอยหลัง ยังไม่หยุด ยังไม่ถอยหลัง การเล่น การมี การเล่นหาความสนุกสนานเพลิดเพลิน แข่งกับพวกเทวดา นี่ก็ยังเป็นมาก และมากขึ้นในโลกนี้ เรื่องกิน ก็จะกินให้วิเศษแข่งกับพวกเทวดา เรื่องกามารมณ์ก็จะให้ยิ่งไปกว่าพวกเทวดา พวกเทวดาที่กล่าวไว้ในพระคัมภีร์ เขาก็ไม่มีอะไรส่งเสริมให้มันเกินธรรมชาติ แต่สมัยปัจจุบันนี้ เขามีวัตถุปัจจัยส่งเสริมกามารมณ์ให้มันเกินธรรมชาติ นี่มันจะเก่งกว่าพวกเทวดา มันมีปัจจัย เนื่องกันไปไอ้ทางอื่นอีก คือทำให้เกิดการกระหายสงคราม เพื่อจะรวบรวมวัตถุปัจจัย เรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรตินั้น ฉะนั้น ปัจจัยสงครามก็จำเป็นสำหรับคนเหล่านี้ แล้วก็มีการเตรียมสงครามกันมากขึ้น เนื่องมาจากความบ้าในวัตถุนิยม ปณิธานข้อนี้ คิดแล้วก็น่าใจหาย ต้องฝากไว้ให้กับคนข้างหน้า คนที่อยู่ต่อไปข้างหน้า ช่วยกันคิดนึกศึกษาต่อไป เดี๋ยวนี้ เราทำได้แต่เพียงว่า แสดงความคิดนึกอะไรไว้ให้เป็นหลักเป็นฐาน เมื่อเราตายแล้วก็เอาไปคิดนึก พิจารณาดู เดี๋ยวนี้มันกำลังเหมือนกับว่า คนกำลังบ้าจัด ห้าม ล้ออะไรก็ไม่ฟัง แต่ก็พูดไว้ว่าจะต้องทำอย่างไร จะล้อกันในแง่ไหน ล้อว่าโชคดีที่ได้เกิดมาในโลก ในสมัยปัจจุบันนี้ ที่มีความเป็นอย่างนี้ มันก็เป็นการล้อแบบประชดๆ อยู่ แต่ถึงอย่างนั้น ก็ต้องเอามาใส่ใจ ว่าเราเกิดมาพร้อมสมัยกับ อ้า, ลักษณะอย่างนี้ เราจะทำอย่างไรให้มันเป็นประโยชน์ที่สุด ส่วนตัวอาตมาก็รู้สึกอย่างนี้ เกี่ยวกับปณิธาน ๓ ประการนี้ ถ้าเผอิญผู้ใดมีปณิธานตรงกัน ก็ช่วยให้ไปคิดไปนึก แล้วก็สืบต่อ ต่อไปอีก สักวันหนึ่งมันก็จะหมุนกลับ หรือแกว่งกลับ เช่นลูกตุ้มนาฬิกา เมื่อเหวี่ยงไปสุดซ้าย หรือสุดขวา แล้วมันก็เหวี่ยงกลับ เดี๋ยวนี้มันกำลังจะเหวี่ยงไปกว่าจะสุดซ้าย หรือสุดขวา แล้วคนก็มันโง่ทั้งซ้ายและทั้งขวา คือวัตถุนิยมจัดทั้งซ้ายและทั้งขวา
อ้าว, ทีนี้ก็พูดเรื่องถัดไปอีก อ้า, ขออภัยที่ว่า ได้บอกไปแล้วว่าพูดตามที่จะนึกได้ พูดเรื่องน่าเศร้าชวนจะร้องไห้มากพอแล้ว ก็พูดเรื่องดีกันบ้าง เดี๋ยวก็จะร้องไห้กันเสียจริงๆ ทีนี้จะพูดเรื่องดี ก็พูดว่า อาตมานี้โชคดีตลอดเวลา พูดให้ถูกใจชาวบ้านสมัยนี้ก็จะพูดว่าอาตมานี้ดวงดีตลอดเวลา อาตมาดวงดีตลอดเวลาไม่ต้องดูดวงให้แสบตา เหมือนกับคนที่เขานั่งดูดวงกันอยู่ไม่รู้จักสิ้นจักสุด เมื่อเจ็บไข้นี้ก็ดวงดีที่สุด ได้รับอะไรมากเกินกว่าที่เมื่อไม่เจ็บไข้ ฟังดูให้ดีเถิด เมื่อเจ็บไข้นี้ กลับได้รับประโยชน์ทางธรรมะมากกว่าเมื่อไม่เจ็บไข้ เมื่อไม่เจ็บไม่ไข้มันดีแต่บ้า หลง พอเจ็บไข้มันนึกได้ ฉะนั้น เมื่อเจ็บไข้นี้อาตมาดวงดีกว่าเมื่อไม่เจ็บไข้ ทุกข์ยากลำบาก ถูกเขาด่า ถูกเขาใส่ความนี่ มีตะพรึดเลย มันดวงดีตลอดเวลา พวกคอมมิวนิสต์หาว่าอาตมานี้เป็นผู้ที่จะต่อต้านคอมมิวนิสต์ ควรจะฆ่าเสีย ทีนี้พวกที่ไม่ใช่คอมมิวนิสต์ พวกเราก็หาว่าอาตมานี้กำลังจะไปเข้าฝ่ายคอมมิวนิสต์ควรจะฆ่าเสีย นี่ อย่างนี้ดวงดีตลอดเวลา คือมันมีการแสดงให้เห็นความจริง และให้มีโอกาสที่จะรู้อะไรมาก คนเขาถือว่าเมื่อพ่ายแพ้เสียหาย ถูกด่า ถูกว่า ถูกใส่ความ นั้นเป็นโชคร้าย มันโชคร้ายของคนโง่ มันโชคดีของคนมีปัญญา ที่จะต้อนรับเอามาใช้ให้มันเป็นประโยชน์ เดี๋ยวนี้ก็ยังมีลมหายใจ อยู่ด้วยความพอใจในการทำดี ประพฤติธรรมะอยู่ อย่างนี้เรียกว่า ดีตลอดเวลา ไม่มีแม้แต่วินาทีเดียวที่ว่าดวงมันไม่ดี ดวงบ้าๆ ที่ไหนของมันก็ไม่รู้ มันดีเสียตลอดเวลา ไม่เว้นแม้แต่วินาทีเดียว นี่คงจะไม่ใช่เรื่องเศร้า คงจะเป็นเรื่องที่ชวนให้สบายใจบ้าง แทนเรื่องเศร้าที่ได้พูดมาแล ถ้าเราเป็นพุทธบริษัท เราต้องยอมรับว่าเมื่อใดทำดี เมื่อนั้นจะมีโชคดี ยามดี ฤกษ์ดี สุนักขัตตัง สุมังคะลัง สุปะภาตัง สุหุฏฐิตัง เมื่อนั้นมันเป็นโชคดี ดวงดี ฤกษ์ดี อะไรตลอดเวลา เมื่อเราทำดี ฉะนั้น เมื่อเรามีเจตนา และพยายามทำดีอยู่ทุกวินาที แล้วมันจะเลวได้อย่างไร มันก็ดีอยู่ตลอดเวลา โชคดีดวงดี อยู่ตลอดเวลา อ้าว, ทีนี้จะมองให้เห็นให้ถูกต้อง ว่าใครมันสร้างดวง ผีสางที่ไหนมันมาสร้างดวงให้ ให้ดวงมันดี เรามันสร้างเอง เรามันทำดีอยู่ ดวงมันจึงดี ฉะนั้น เราดี ดีกว่าดวงดี ดวงบ้าๆ บอๆ หลอกๆ ลมๆ แล้งๆ นะ มันจะดีได้อย่างไร ไอ้ดวงนะ มันลมๆแล้งๆ ไอ้เรานี้ มันเรื่องจริง ฉะนั้น เราดีดีกว่าดวงดี ขอบอกท่านทั้งหลายให้ทราบ เชื่อไม่เชื่อก็สุดแท้ ว่า เราดี ดีกว่าดวงดี ไม่เชื่อก็ตามใจ นี่เป็นความจริงที่สุด เราดีไว้ก่อนเถิด แล้วดีกว่าดวงดีเสมอ เพราะว่าเรามันเป็นเรื่องที่ทำได้จริง ไอ้เรื่องดวงนั้น มันลมๆ แล้งๆ แล้วยิ่งดวงตามในกระดาษ เขียนใส่กระดาษเลอะๆ ยิ่งบ้าๆ บอๆ ผิดก็ได้ถูกก็ได้ จำวันจำคืนผิดก็ผิดได้ ไอ้คนผูกดวงนั้นมันเผลอไปก็ผูกผิดได้ แล้วมันไม่จริงอะไรได้ ไอ้ดวงนะ ไอ้เราดีดีกว่าดวงดี ฉะนั้น จะอ่านบทท่องจำให้ฟังสักนิดนะ ต้องอ่านช้าๆ แล้วฟังให้ดีนะ เราดีดีกว่าดวงดี เพราะดีนั้นมี ที่เราดีกว่าที่ดวง ดีมีที่เราดีกว่ามีที่ดวง ทำดีนั่นแหละเราหน่วง เอาดีทั้งปวงมาทำให้ดวงมันดี เราทำดี แล้วมันก็เอาความดีนั่นแหละ มาทำให้ดวงมันดี เรามันจริงกว่า ไอ้ดวงมันเรื่องลมๆ แล้งๆ ดวงชั่วไม่ได้เลยนี่ ถ้าเราขยันมี ความดีทำไว้เป็นคุณ ถ้าเราทำความดีไม่รู้จักหยุดจักหย่อน ดวงชั่วไม่ได้ ดวงชั่วมีไม่ได้ พระพุทธเจ้ารับประกัน ไม่เชื่อพระพุทธเจ้าก็ตามใจ จึงว่า ดวงชั่วไม่ได้เลยนี่ ถ้าเราขยันมี ความดีทำไว้เป็นคุณ อยู่ดี ตายดี เพราะบุญ ทำไว้ เจือจุนตลอดชีวิตติดมา ที่เราอยู่ดี หรือกระทั่งตายก็ดี เพราะบุญที่ทำไว้ตลอดชีวิตติดมา ดวงดีมีอยู่อัตรา ก็เพราะเหตุว่าเราทำดีเป็น เห็นไหม คนโง่ทำดีไม่เป็น เราทำดีเป็น ดวงดีมีอยู่อัตรา ก็เพราะเหตุว่าเราทำดีเป็น เห็นไหม เหตุนั้น เราท่านใด ใคร ทำดีเสมอไป ดวงดีจะมีสมบูรณ์ ลองคิดดู อาตมากล้าท้าว่าอาตมาดวงดีตลอดเวลาเพราะว่าทำดีตลอดเวลา ไม่มีปณิธานปรารถนาจะทำชั่ว ดิ้นรนแต่ในทางที่จะทำดีตลอดเวลา ฉะนั้น ไอ้ความดีเหล่านั้น มันก็มาประมวลกันเข้า ทำให้สิ่งที่เขาเรียกกันว่า ดวงนั่นแหละมันดี คนโง่มันเรียกว่า ดวง คนฉลาดมันเรียกว่า กรรม หรือการกระทำ หรือวิบากของกรรม นี่ สรุปความว่า ดวงดีนั้นยังสู้เราดีไม่ได้ ฉะนั้น เราดีจึงดีกว่าดวงดี เผื่อใครอยากจะจำ ฟังซ้ำอีกทีว่า
เราดี ดีกว่าดวงดี เพราะดีนั้น มีที่เรา ดีกว่าที่ดวง
ทำดีนั่นแหละเราหน่วง เอาดีทั้งปวง มาทำให้ดวงมันดี
ดวงชั่วไม่ได้เลยนี่ ถ้าเราขยันมี ความดีทำไว้เป็นคุณ
อยู่ดี ตายดี เพราะบุญ ทำไว้เจือจุน ตลอดชีวิตติดมา
ดวงดีมีอยู่อัตรา ก็เพราะเหตุว่า เราทำดีเป็น เห็นไหม
เหตุนั้น เราท่านใด ใคร ทำดีเสมอไป ดวงดีจักมีสมบูรณ์
คนบ้าดวงก็รีบทำดีเถอะ ทำให้สมบูรณ์ ทำดีสมบูรณ์แล้ว ดวงมันก็จะดี จะล้อหรือไม่ล้อ บางคนคงจะไม่นึกว่าล้อ เห็นว่าเป็นด่า ที่จริงมันก็บอกกันให้รู้ สิ่งที่เคยเข้าใจผิด ถ้าจะล้อก็ล้อแต่เพียงว่า เราดีดีกว่าดวงดีโว้ย ฉันดี ดีกว่าดวงดีโว้ย ขอให้ดูให้ดีๆ จะพบความจริงข้อนี้ ถ้าใครเห็นเข้าใจ จะเอาไปล้อตัวเองที่เคยหลงดวงกันเสียบ้างก็ได้ แล้วก็มาสร้างดวงเสียใหม่ที่ดีแน่นอน ดีตลอดเวลา ดีอย่างไม่มีผันแปร ก็คือการประกอบกรรมดี เพื่อสร้างดวงดี เราสร้างดวง อย่าให้เรา อย่าให้ดวงสร้างเรา นอนรอให้ดวงสร้างเราก็นอนโง่อยู่ เรารีบสร้างดวง นั่นแหละคือเรามีตัวเราเองเป็นตัวเป็นตน และสร้างอะไรตามที่เราต้องการจะสร้างก็ได้ เราสร้างโลกก็ได้ เดี๋ยวจะว่า ว่าให้ฟังทีหลัง
อีกเรื่องที่ถัดไป อ้า ต่อไปอีกที่จะพูด ทำไมเวลามันเร็วนัก เมื่อสักครู่นี้พูดเรื่องน่าเศร้าแล้วก็พูดเรื่องน่าสนุก ทีนี้ก็พูดเรื่องน่าเศร้าอีก คนเป็นอันมากนะ เขารุมกล่าวหาว่าอาตมานี่พูดอะไรซ้ำๆ ซากๆ เรื่องเดียวอยู่นั่นเอง ที่นั่งอยู่ที่นี่ก็คงมีหลายคน ที่หาว่าอาตมาพูดอะไรซ้ำๆ ซากๆ เรื่องเดียวอยู่นั่นเอง เรื่องจิตว่าง ก็จิตว่างอยู่นั่นแหละ ไม่มีพูดเรื่องอื่น พูดเรื่องอื่นไม่เป็น นี่ก็ ก็ถูกหาอยู่ตลอดเวลา ถูกหาว่าพูดอะไรซ้ำซากเรื่องเดียว ขี้เกียจฟัง ขี้เกียจมาสวนโมกข์ ขี้เกียจมาวันเสาร์เพื่อฟัง เพราะพูดเรื่องเดียวซ้ำๆ ซากๆ อยู่นั่นแหละ แน่นอนๆ ข้อนี้มันแน่แล้ว มันแน่นอน มันพูดเรื่องเดียว พูดเรื่องอื่นไม่เป็น พูดที่นี่ มันพูดเรื่องอื่นไม่เป็น มันไม่มีเรื่องอื่นที่จะต้องพูด มันนอกจากไอ้เรื่องเดียวเท่านั้นแหละ เรื่องให้ว่างตัวกูของกู แล้วก็ต้องไม่มีทุกข์ ทำไมไม่มองดูให้ดีว่าคนเรานี้มันก็อยู่ด้วยเรื่องอะไรเพียงเรื่องเดียว อ้า, ซ้ำๆ ซากๆ ถ้ามองกลับอีกทีหนึ่งก็ว่า ของอย่างเดียวนี่มันใช้ได้ ๑๐๘ อย่าง สารพัดอย่าง ทำไมคน อ้า, พวกนี้จะไม่มองดูบ้าง พูดกล่าวหาอาตมาข้างเดียว ทำไมไม่มองดูบ้าง ว่าเรื่องเดียวนี่มันใช้ประโยชน์ได้ ๑๐๘ อย่าง โดยเฉพาะเรื่องความว่างแล้วก็ใช้ได้ทุกอย่าง ไม่เว้นเรื่องอะไร นับตั้งแต่เรื่องต่ำที่สุดจนถึงเรื่องสูงที่สุดคือ พระนิพพาน คนเราจะ อ้า, มีความสุขอยู่ได้ ก็เพราะเรื่องว่างเรื่องเดียว หุงข้าว หุงปลาอยู่ในครัว ก็ต้องทำด้วยจิตว่าง ทำงานกลางบ้านก็ต้องทำด้วยจิตว่าง ทำไร่ไถนาอยู่กลางนาก็ต้องทำด้วยจิตว่าง ทำราชการอยู่ที่ office ก็ต้องทำด้วยจิตว่าง พักผ่อนที่ไหนก็ต้องพักผ่อนด้วยจิตว่าง ถ้าจิตไม่ว่างมันไม่เป็นการพักผ่อน อะไรๆ มันก็สำเร็จอยู่ที่การรู้จักทำจิตให้ว่าง คนโง่คนนั้น อ้า, ควรจะสังเกตดูข้อเท็จจริงอันนี้ ว่าเมื่ออาบก็อาบน้ำ เมื่อดื่มก็ดื่มน้ำ เมื่อหุงข้าวก็ต้องใส่น้ำ เมื่อต้มแกงก็ต้องใส่น้ำ เมื่อล้างจานก็ต้องใช้น้ำ เมื่อล้างบ้านก็ใช้น้ำ เมื่อล้างเท้าก็ใช้น้ำ ขออภัย ล้างก้นก็ต้องใช้น้ำ รดต้นไม้ก็ใช้น้ำ ทำนาก็ต้องใช้น้ำ เลี้ยงปลาก็ต้องใช้น้ำ ทำเขื่อนไฟฟ้าก็ต้องใช้น้ำ แล้วทำไมไม่นึกถึงน้ำ ว่าทำไมมันซ้ำๆ ซากๆ แล้วมันก็ใช้ประโยชน์ได้ไม่มีที่สิ้นสุด นี่ตัวอย่างมันน้อยนะ ไอ้ที่เราต้องใช้น้ำมันยังมีมากมายกว่านี้หลายสิบเท่า ทำไมไม่ ไม่ ไม่บ่นบ้างว่า ซ้ำๆ อยู่ที่น้ำ ลองไม่ซ้ำๆ อยู่ที่น้ำ มันคงตายแน่ คนนั้นมันตายแน่ นี้เขาพูดอย่างไม่เป็นธรรม อย่างไม่ยุติธรรม หาว่าอาตมาพูดอะไรซ้ำๆ อยู่เรื่องเดียวนั้น ก็ยอมรับว่าแน่นอน ถูกแล้ว มันต้องพูดซ้ำเรื่องเดียว แม้แต่พระพุทธเจ้าท่านก็ต้องตรัสว่า ฉันพูดแต่เรื่องความดับทุกข์ทั้งนั้นแหละ ก็คือไม่ยึดมั่นถือมั่นสิ่งใด โดยความเป็นตัวตนของตน และเผอิญว่าพระธรรมทั้งหมดของพระพุทธเจ้านี้ ก็ถูกอุปมาหรือเปรียบไว้ด้วยน้ำ มีพระบาลีว่า ธมฺโม รหโท อกทฺทโม ธรรมะ เหมือนห้วงน้ำที่ไม่มีตะกอน ธมฺโม คือพระธรรม รหโท เหมือนกับห้วงน้ำ แอ่งน้ำ สระน้ำ บ่อน้ำ อกทฺทโม ไม่มีตะกอน ธรรมะเหมือนน้ำไม่มีตะกอน น้ำไม่มีตะกอนใช้ให้เป็นประโยชน์ แก้ปัญหาความเป็นอยู่ในทางวัตถุ ทางร่างกายด้วย ทางจิตทางวิญญาณด้วย น้ำสูงสุดในทางวิญญาณก็คือ สุญญตา ความว่างจากตัวกู ว่างจากของกู นี่เป็นน้ำอย่างยิ่ง ในฐานะที่เป็นพระธรรมชำระความทุกข์โดยประการทั้งปวง นี่ก็พูดเรื่องน้ำโดยที่ไม่ต้องกลัวซ้ำ น้ำนี่แหละใช้ไปทุกอย่างทุกประการ มันก็ได้รับประโยชน์ครบถ้วนทุกประการ ทีนี้ที่ถูกหาว่าพูดอะไรซ้ำๆ อยู่นี่ มันเป็นความจริงอย่างไร มันเป็นความจริงว่ามันทำไปอย่างโง่เขลาบ้าๆ บอๆ หรือว่ามันได้ทำจริงอย่างถูกต้องตามธรรมชาติ หรือตามกฎของธรรมชาติที่สุดแล้ว เพราะว่ามันไม่มีเรื่องอะไรนอกจากเรื่องน้ำ คุณไปทบทวนดูใหม่เถอะ ทางร่างกาย ทางวัตถุ ทางสิ่งของนี้ก็กินน้ำ อาบน้ำ เอาข้าว เอาน้ำหุงข้าว ต้มแกง ล้างจาน ล้างบ้าน ล้างเท้า รดต้นไม้ ทำนา เลี้ยงปลา เดี๋ยวนี้ก็ใช้ทำเขื่อนไฟฟ้า เขื่อนเป็นงานใหญ่หลวงเกี่ยวกับน้ำ นี้ถ้าว่าจะทำเรื่องทางจิตใจ จะเป็นอยู่ในระดับใด ก็ให้จิตมันว่างจากความหมายมั่นเป็นตัวกูของกู แล้วก็ไม่มีความทุกข์เลย นับตั้งแต่ กวาดบ้าน หรือล้างจาน จะเป็นบ่าว เป็นคนใช้ก็ดี จะเป็นนาย แม่บ้าน เจ้าของบ้าน อะไรก็ดี ถ้าจิตมันว่างแล้ว มันล้างจาน จะกวาดบ้าน สนุกทั้งนั้นแหละ ถ้าจิตมันไม่ว่างแล้วมันตกนรกทั้งเป็นอยู่ที่ตรงนั้นแหละ มันจะแก้ปัญหาได้หมด ไม่ว่าเรื่องอะไร ทีนี้มันน่า น่าหัว ที่ว่าน่าจะเอามาล้อเพราะว่ามันมองกันคนละด้าน มันมองกันคนละเหลี่ยม เพราะหนึ่งมันมองเหลี่ยมที่เห็นเป็นซ้ำซาก พูดเรื่องซ้ำซาก แล้วคนหนึ่งมันมองถูกวิธี มันเห็นว่าไม่ได้ซ้ำซาก มันพูดให้มันครบถ้วน ทุกแง่ทุกมุมของสิ่งที่มีชื่อเรียกอย่างเดียวกัน เพื่อมันจะได้เลื่อนชั้น คนโง่ไม่รู้จักเลื่อนชั้น ไม่รู้จักชั้นและก็ไม่รู้จักเรื่องเลื่อนชั้น พอพูดถึงน้ำ มันก็เห็นเป็นซ้ำกันไปหมด คนมีปัญญาเขารู้จักเลื่อนชั้น รู้จักใช้น้ำ น้ำทางธรรมดา หรือน้ำพระธรรมก็ตาม ให้มันเป็นประโยชน์ เลื่อนขึ้นไปเป็นชั้นๆ ถ้าอาตมาเป็นคนโง่พูดอะไรซ้ำซาก ก็ช่วยกันล้ออาตมา ถ้าคนนั้นมันมองไม่ดี มันพูดผิดๆ แล้วก็ช่วยไปล้อคนนั้น ที่อาจจะนั่งอยู่ที่นี่ก็ได้ที่หาว่าอาตมาพูดเรื่องเดียวซ้ำๆ ซากๆ อยู่เรื่อยไป
อ้าว, ทีนี้เรื่องถัดไปอีก คือเรื่องคำว่า พุทธทาส พุทธทาส ผู้เป็นทาสรับใช้ของพระพุทธเจ้า นี้ก็ได้มีเรื่อง ได้เกิดเรื่อง มาตลอดเวลา นับตั้งแต่ว่าไอ้คนบางพวกที่มันโง่ไม่มองหัวแม่เท้าของมันเอง ไม่รู้จักพุทธศาสนา ไม่รู้จักวัฒนธรรมไทย หาว่าเดี๋ยวนี้เขาเลิกทาสกันแล้ว พุทธทาสยังจะมาเป็นทาสพระพุทธเจ้ากันอีก ส่วนไอ้คนโง่คนนั้นมันไปเป็นทาสของลัทธิอะไรลัทธิใดลัทธิหนึ่ง ซึ่งเลวกว่าพระพุทธเจ้า แล้วมันไม่พูดถึง ตัวเองมันไปเป็นทาสของลัทธินั้น ยิ่งกว่าที่อาตมาเป็นทาสของพระพุทธเจ้า เดี๋ยวนี้เลิกกัน ไม่ต้องพูด ทีนี้มีคนบางคน มาคิด มาพูด ตะโกนว่ามาใช้ชื่อพุทธทาสบ้าง อะไรบ้าง พูดตรงๆ ก็ว่าไม่ใช้ชื่อ เจ้าคุณ พระครูทำนองนั้นแหละ เพราะว่านี้มันอวดดี นี้มันคนอวดดี มันสร้างแฟชั่นใหม่ เขียนชื่อว่า พุทธทาสภิกขุ แทนที่จะเขียนว่าเจ้าคุณนั้น เจ้าคุณนี้ นี้มันก็คนโง่ คนบรมโง่ คำว่าพุทธทาสมันเป็นความหมายที่ให้แก่ตัวเอง แล้วก็ใช้ชื่อนี้มาตั้งแต่ก่อนบวชโน่น ก่อนอาตมาบวชเป็นพระนั่นก็ใช้ชื่อนี้ ในความหมายอย่างนี้ เขียน อ้า, บทความไป ลงหนังสือพิมพ์ก็ใช้ชื่อนี้ ไม่ใช่เพิ่งจะเขียนกันเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่ตั้งนามปากกาใหม่ เมื่อริหัดเขียนบทความทางพุทธศาสนา ก็ได้ใช้ชื่ออย่างนี้ ๕๐ กว่าปีมาแล้ว ทีนี้ก็ทำงานอย่างเป็นทาสพระพุทธเจ้านั่น มันดีกว่าทำงานอย่างเป็นเจ้าคุณ ถ้าจะทำงานอย่างเป็นเจ้าคุณชั้นสูงๆ นี่ จะมีที่รับแขกอย่างนี้ไม่ได้หรอก จะต้องมีเครื่องใช้ไม้สอยนั่นนี่รับแขกพวกท่านทั้งหลายที่มานี่ ไม่ต้องมานั่งกลางดิน ไม่ต้องมาทำอย่างนี้หรอก นี่มันลำบาก ทำงานอย่างพุทธทาสนั้นมันสบาย ถ้าทำงานอย่างท่านเจ้าคุณแล้วมันลำบาก มันคงจะตายแล้ว มันคงจะตายแน่แล้ว ถ้าจะทำอะไรอย่างจะรักษาเกียรติยศของท่านเจ้าคุณไว้ให้ได้ อาตมาคงตายแล้ว แต่นี้มันขี้เกียจ มันไม่กลัวใครด่า ไม่กลัวใครว่า ไปนอนเสียก็ได้ ติดต่อกับผู้อื่น รับใช้ผู้อื่นอย่างกับว่าเป็นพุทธทาส โดยจิตใจมุ่งทำงานให้พระพุทธเจ้า เรียกว่าทำงานอย่างพุทธทาส ไม่ใช่ทำงานอย่างเจ้าคุณ นี้ก็เป็นไอ้แง่หนึ่งซึ่งว่าอาตมาไม่ได้อวดดี ไม่ได้ตั้งแฟชั่นใหม่ ชวนเพื่อนๆ กันเซ็นชื่อเป็นไอ้พุทธทาส อะไรทาส ไม่ใช้คำว่าเจ้าคุณ หรือพระครู นี้ไม่ใช่ดูหมิ่นดูถูก ไอ้ยศศักดิ์ เกียรติยศนั่น เหล่านั้นมันก็มีประโยชน์ มันก็เก็บไว้ใช้ในลักษณะที่มันสมกัน แต่ถ้าจะรับใช้ประชาชนอย่างท่านทั้งหลายแล้ว ทำงานอย่างพุทธทาส ดีกว่าที่จะเป็นเจ้าคุณ ก็ยังมีพวกเรานี่โง่ๆ อีกหลายคน ชอบเขียนราชทินนามไม่ว่าจะส่งจดหมายหรือส่งอะไรนี่ มันบ้ามันเองต่างหากเล่า ทีนี้อีกทีหนึ่ง ที่ใช้ชื่อพุทธทาสด้วยความจำเป็นบังคับ คือ เมื่อติดต่อกับคนต่างประเทศ คนต่างประเทศเขารู้จักชื่อพุทธทาสทั้งนั้นแหละ ไม่รู้จักชื่อมหา พระครู เจ้าคุณอะไร เขาไม่รู้ แล้วเขาก็เขียนไม่ถูกด้วย คล้ายๆ กับว่าเปลี่ยนกันบ่อยนัก เขาว่ามันบ้าแล้วโว้ย ทำไมเปลี่ยนชื่อ ทำไมบ่อยนักเล่า เดี๋ยวนี้คนเขารู้จักชื่อพุทธทาสกันทั้งโลก แล้วสะดวกที่สุดที่เขาจะเขียนและจะจำ ไม่อย่างนั้นเขาจำไม่ไหว เรามีความจำเป็นที่จะติดต่อกับชาวต่างประเทศ มันก็จำเป็นอยู่ที่จะต้องใช้ชื่ออย่างนี้ ซึ่งมันเปลี่ยนไม่ได้ และมันไม่เปลี่ยน ดังนั้น ขอให้เห็นใจด้วย ไม่ใช่ลบหลู่เกียรติยศ อ้า, ชื่อเสียง ซึ่งเขายกย่องให้ตามประสาโลก ตามประสาชาวโลกนั้นมันก็ดี อาตมาสารภาพว่ามันดี มันมีประโยชน์ ท่านเจ้าคุณพูดนะมันเชื่อ น่าเชื่อมากกว่าพระองค์หนึ่งพูด ฉะนั้น ในบาง บาง บางกรณี ต้องพูดในฐานะที่เจ้าคุณพูดไม่ใช่พูดอย่างพระธรรมดาพูด แต่ในบางกรณี หรือมากกรณี มันพูดอย่างพระหลวงตาคนหนึ่งพูด นี่ดีกว่า ได้รับประโยชน์กว่า เข้าใจง่ายกว่า และส่วนใหญ่มันเป็นอย่างนั้น ฉะนั้น คนจึงรู้จักอาตมา ว่าพุทธทาส บางคนไม่รู้ว่าเป็นเจ้าคุณชื่ออะไรด้วยซ้ำไป เพราะความสะดวก เพราะมันเป็นไปตามธรรมชาติ ทีนี้อยากจะบอกอีกประเด็นหนึ่งว่า อาตมาก็เคยขอร้องท่านทั้งหลายอยู่เป็นประจำว่า จะทำอะไรให้ทูลถามพระพุทธเจ้าก่อนว่ามันเหมาะไหม ว่ามันดีไหม ก็ทูลถามพระพุทธเจ้าตามแบบของอาตมาว่า ใช้ชื่อพุทธทาสนี้เป็นอย่างไร พระพุทธเจ้าตามแบบของอาตมาก็ว่ามันเพราะดี มันไพเราะดี แล้วมันไม่ทำงานแข่งกับพระพุทธเจ้า เพราะมันบอกจะเป็นทาสของพระพุทธเจ้า ฉะนั้น มันไม่มีโอกาสที่จะตีเสมอ เผยอผยอง ทำงานแข่งกับพระพุทธเจ้า เพราะว่ามันเป็นทาส มันถูกแล้ว พระพุทธเจ้าท่านอธิบายอย่างนี้ เดี๋ยวนี้เมื่อ เมื่อเป็นทาสแล้ว มันก็ไม่ต้องลบหลู่ดูหมิ่นใครด้วย อาตมาจัดตัวเองเป็นทาส มันก็ไม่มีความถูกต้อง ไม่มีความยุติธรรมที่จะไปลบหลู่ดูหมิ่นใคร เจียมตัวอย่างนี้อยู่เสมอ ฉะนั้น ขอฝากท่านทั้งหลายไว้ทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่ว่า ถ้าใครเขาไปพูดว่าอาตมาดูถูกดูหมิ่นใครเข้าแล้ว บอกว่ามันโกหก มันไม่จริง อาตมายังเป็นทาสของพระพุทธเจ้าอยู่ ไม่เผยอที่จะไปดูหมิ่น ดูถูกใคร จัดตัวเองไว้ต่ำสุด คือ บุคคลชั้นทาส ที่ต่ำสุด ดังนั้น จะไม่ดูถูกดูหมิ่นใคร จะยอมรับว่า เขาเป็นคนมีความถูกต้องดีมีประโยชน์ไปตามแบบของเขาด้วยกันทุกคนๆ นี่ความหมาย อ้า, ของคำว่า พุทธทาส และมีความตั้งใจแน่วแน่ ที่จะเรียกตัวเองว่าพุทธทาส จนถูกเขาเข้าใจผิดรอบด้าน หลายอย่างหลายประการ เรื่องนี้มันน่าล้อไหม ลองคิดดู มันน่าล้อไหม อ้าว, มันเกิดมามีกรรม มันชอบใช้ชื่อนี้ สมน้ำหน้ามัน ล้อก็ล้อ ด่าก็ด่า แล้วขอประกาศว่า ไม่อยากให้ใครจัดอาตมาให้เป็นอะไรมากไปกว่าพุทธทาส ขอเป็นพุทธทาสตลอดกาลปาวสาน อย่ามาจัดอะไรให้มันสูงไปกว่านั้น
นี่มัน เอ้อ, ฟังดูมันจะ ออกจะแปลกอยู่เรื่อยนะ สำหรับเรื่องที่พูดปีนี้ เป็นเรื่อง เอ้อ, ปกิณกะ เบ็ดเตล็ด เป็น เป็นหนังข่าวเฉพาะเรื่องนะ ไม่ใช่หนังเรื่องยาว ฟังก็ฟัง ไม่ฟังก็เชิญไปได้
เรามีเรื่องที่จะปรารภกันเป็นเรื่องๆ เป็นข้อๆ จะไม่เอามาพูดปนกันให้มันยุ่ง หัวข้อ อ้า, ที่จะเอามาล้อต่อไปก็คือว่า เป็นศาสนิกชนชนิดที่มิใช่ศาสนิกชน ท่านทั้งหลายทุกคนเป็นศาสนิกชน จะจัดตัวเองไว้เป็นอะไรก็ไม่รู้ ระวังให้ดี ทุกคนจงมองดูตัวเอง กำลังจัดตัวเองว่าเป็นอะไร จัดตัวเองว่าเป็นศาสนิกชนของพุทธ อ้า, พระพุทธศาสนา ก็เรียกว่าพุทธศาสนิกชน คนอื่นเขาถือศาสนาชื่ออื่น เขาก็เป็นศาสนิกชนของศาสนาอื่น ฉะนั้น ไม่มีใครที่จะเว้นเสียโดยไม่เป็นศาสนิกชน ก็ต้องเป็นศาสนิกชนศาสนาใดศาสนาหนึ่ง ทีนี้เราเป็นศาสนิกชนชนิดที่มิใช่ศาสนิกชน คือ ไม่ปฏิบัติตามหลักคำสอนแห่งศาสนาของตน ของตน มีความคิดเห็นตรงกันข้าม ว่า อ้า, เห็นไปในทางที่ว่าคนอื่นมันผิดทั้งนั้นแหละ มันถูกแต่เราคนเดียว แม้แต่อาจารย์วิปัสสนา มันก็ประนามไอ้สำนักอื่น ว่าผิดทั้งนั้นแหละ มันถูกแต่สำนักเราสำนักเดียว ที่พูดรวมกันเป็นศาสนาไอ้พวกที่ถือพุทธศาสนา ก็ว่าพุทธศาสนาเท่านั้นแหละมันถูกต้อง ศาสนาอื่นมันบ้าๆ บอๆ ทั้งนั้นแหละ ทีนี้ทางฝ่ายโน้นก็เหมือนกันอีก ฝ่ายที่เขาถือศาสนาอื่นอยู่ เขาก็เรียกตัวเขาอย่างนั้น แล้วเขาก็มอง ไอ้ศาสนาที่อื่นออกไปว่า มันบ้าๆ บอๆ ทั้งนั้นแหละ มันถูกแต่ศาสนาเราเท่านั้น แล้วทีมันแบ่งแยกกันเป็นนิกายๆ มันก็ยืนยันว่านิกายฉันเท่านั้นแหละถูก นิกายอื่นผิดทั้งนั้นแหละ บ้าๆ บอๆ ทั้งนั้นแหละ นี่มันเป็น กลับไปกลับมา กลับไปกลับมากันเสียอย่างนี้ตลอดไปทั้งโลกหรือทุกศาสนา นี่คือปัญหาที่มันกำลังเผชิญอยู่ในโลกนี้ ที่ทำให้โลกนี้มันดีขึ้นไม่ได้ แล้วมันก็จะได้กับท่านทั้งหลาย หลายคนที่นั่งอยู่ที่นี่ ที่ถือว่าสำนักอื่นผิดทั้งนั้นแหละ สำนักเราเท่านั้นแหละถูก หรือว่าศาสนาอื่นมันผิดทั้งนั้นแหละ ศาสนาพุทธเท่านั้นแหละมันถูก นี่คนมันบ้าไม่พอ แล้วมันยังหลับตาพูด มันก็ยิ่งผิดใหญ่เลย นี่เป็นสิ่งที่จะต้องปรับความเข้าใจกัน เพื่อทำความเข้าใจกันในระหว่างศาสนา ซึ่งเป็นวัตถุปณิธานอันหนึ่งของอาตมา และจะต้องเป็นวัตถุปณิธานของท่านทั้งหลายด้วย ช่วยกันทำความเข้าใจระหว่างศาสนา และก็ระหว่างนิกายหนึ่งๆ แห่งศาสนา และระหว่างพวกหนึ่ง คณะหนึ่ง หมู่หนึ่ง ในนิกายหนึ่งๆ กระทั่งระหว่างวัดหนึ่งกับวัดหนึ่ง ระหว่างบุคคลกับบุคคลหนึ่ง อย่าให้มีใครต้องเป็นคนผิดเลย อย่าปรับเขาเป็นคนผิดเลย อย่าปรับเขาเป็นศัตรูคู่ปรปักษ์เลย ถือเสมือนหนึ่งว่า คนในครอบครัวที่เผอิญมีความเข้าใจผิดเล็กๆ น้อยๆ ก็ทะเลาะวิวาทกันขึ้น แล้วก็แยกตัวออกไป ทำความเข้าใจกันเสียใหม่ ก็จะคืนดีกันได้ ผัวเมียแท้ๆ มันก็ยัง ฮื่อๆ แฮ่ๆ ต่อกัน แยกกันพักหนึ่ง แล้วมันยังคืนดีกันได้ ทุกเรื่องมันจะต้องเป็นอย่างนี้ เป็นธรรมดา เราก็จะไม่ถือเป็นเรื่องใหญ่ที่มีความเข้าใจผิดกันบ้าง ทะเลาะกันบ้าง มันต้องมีความผิดหรือความโง่ด้วยกันคนละครึ่งมันจึงทะเลาะกันได้ พูดแล้วมันก็คงจะไม่มีใครเชื่อ ว่าถ้าทะเลาะกันแล้ว มันจะต้องถือว่ามีผิดกันคนละครึ่ง ถ้ามันผิดอยู่ฝ่ายเดียว ฝ่ายหนึ่งมันไม่ผิดแม้ครึ่งหนึ่ง มันก็ทะเลาะกันไม่ได้ คือมันนิ่งเสียได้ คนที่มันรู้สึกตัว มันนิ่งเสียได้ ไอ้ข้างหนึ่งมันก็บ้าไปข้างเดียว มันจะทะเลาะกันได้อย่างไร ไอ้การทะเลาะกันนั้นมันต้องลุกขึ้นมาทั้งสองฝ่าย แล้วก็ยืนยันอย่างตรงกันข้าม ถ้าฝ่ายหนึ่งมันนิ่งเงียบเสีย มันก็ทะเลาะกันไม่ได้ นี่เรามีศาสนิกชนที่มิใช่ ศาสนิกชน อาตมาจะพูดลามปามเลยไปถึงว่าภิกษุสามเณร มันก็เป็นอย่างนั้น อุบาสก อุบาสิกา มันก็เป็นอย่างนั้น มันเกลียดความเป็นพุทธทาส มันเกลียดความที่จะเป็นให้ต่ำสุดลง จนไม่มีใครอิจฉา ที่พูดมานี้มันหมายความว่า ศาสนิกชนมันไม่เป็นศาสนิกชนคือ ศาสนิกชนนั่นแหละ มันไม่มีศาสนา ถ้ามองดูแล้วมันเป็นคำด่า เหลือประมาณ เพราะศาสนิกชนนั้นเอง มันไม่มีศาสนา คือ มันไม่เป็นศาสนิกชน ถ้าเป็นศาสนิกชนมันก็จะต้องมีศาสนา และก็ไม่ใช่มีศาสนาตัวหนังสือ หรือว่า อ้า, มัวตะโกนกันแต่เสียง แต่ปาก มันต้องมีความเข้าใจที่ถูกต้อง แล้วก็ประพฤติอยู่ แล้วก็ไม่มีการถือเป็นรากฐาน พื้นฐาน อยู่ตลอดเวลาว่า คนอื่นผิดทั้งนั้น เราคนเดียวเท่านั้นแหละถูก นี่ขอโอกาสพูดกันตรงๆ อย่างนี้ วิงวอนซักถถามทุกคนๆ ที่นั่งอยู่ที่นี่ ว่าใครมีความรู้สึกอย่างนี้บ้าง รู้สึกว่าเราเท่านั้นแหละถูก คนอื่นผิดทั้งนั้น ความรู้ก็ดี อะไรก็ดี คนอื่นมันผิดทั้งนั้น เราเท่านั้นแหละมันถูก ถ้ายังมีอย่างนี้แล้วก็ ไอ้ศาสนิกชนคนนั้นมันไม่ใช่ศาสนิกชน เพราะเป็นศาสนิกชนที่ไม่มีศาสนา เราจะถือว่าไม่มีใครผิด เขาถูกตามแบบของเขา หรือถูกกันคนละระดับ มันเป็นความถูกที่เหมาะแก่เขา สำนักไหนก็ไม่มีผิด แต่มันถูกตามระดับของเขา เช่น สำนักวิปัสสนาทุกสำนักแหละ ทำเถอะมันเป็นสมาธิได้ทั้งนั้น ไม่มากก็น้อย มันไม่ได้ผิดโดยประการทั้งปวง ศาสนาทุกศาสนาเขามีอยู่ระดับหนึ่งตามความเหมาะสมแก่เหตุการณ์ และ อ้า, สถานที่นั้นๆ หรือยุคสมัยนั้นๆ มันไม่ได้เกิดพร้อมกันทุกศาสนา ในยุคเดียวกัน ในที่เดียวกัน เดี๋ยวนี้ ความรัก เมตตา กรุณา มันก็ไม่มีในหมู่ศาสนิกชน มันมีแต่ความ อ้า, ไม่เข้าใจกัน เท่านั้นยังไม่พอ มันมีความอิจฉาริษยาด้วย มันเต็มไปด้วยความอิจฉาริษยา ซึ่งเป็นศัตรูของมนุษย์ จำไว้ว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ท่านก็ตรัสกันว่า ความริษยานี่ เป็นสิ่งที่ทำให้โลกวินาศ ไม่ยินดีในความดีของผู้อื่น เพราะว่าเขาไม่มองเห็นว่าผู้อื่นมันมีความดี ทั้งที่ทุกๆ คน มันมีความดี นี้ภายในศาสนาก็เป็นเสียอย่างนี้ ระหว่างศาสนาก็ยิ่งเป็นมาก ศาสนาไหน อย่า อย่าไประบุชื่อเขาเลย เขาจะหาว่า พุทธศาสนานี้ก็เป็นศาสนาป่าเถื่อน บ้าๆ บอๆ พ้นสมัยแล้ว มันทำความเข้าใจกันไม่ได้ เรื่องหัวใจของพระศาสนา หรือเรื่องคำๆ หนึ่ง คือคำว่า พระเจ้า พุทธบริษัทอย่าไปหาว่าพวกที่ถือพระเจ้านั้น อ้า, เป็นศาสนาบ้าๆ บอๆ เพราะว่าพุทธบริษัทเราก็มีพระเจ้าตามแบบของเรา ไอ้ที่เราไม่เรียกว่า พระเจ้านั้น เพราะเป็นปัญหาอย่างอื่น เป็นเรื่องเหตุผลอย่างอื่น ทุกคนยอมรับว่า มีสิ่งสูงสุด ทุกศาสนายอมรับว่ามีสิ่งสูงสุด ทุกศาสนายอมรับว่ามีสิ่งที่เป็นปฐมเหตุ เป็นที่เกิดที่ออกมาแห่งสิ่งทั้งปวง ทุกศาสนายอม ทุกศาสนายอมรับว่ามีสิ่งๆ หนึ่ง ซึ่งควบคุมโลกอยู่ ทั่วโลก ในที่ทุกหนทุกแห่งนี่ ลักษณะของพระเจ้ามันเป็นอย่างนี้ จึงยอมรับว่ามันมีสิ่งที่ทำให้โลกนี้เกิดขึ้น มีสิ่งที่ควบคุมโลกนี้อยู่ และมีสิ่งที่จะทำให้โลกนี้ให้วินาศลงไปเป็นคราวๆ เพื่อสร้างใหม่ เดี๋ยวนี้โลกเรา อ้า, มีลัทธิวัตถุนิยม เป็นพระเจ้าผู้ที่จะล้างโลกให้หมดไปเสียสักคราวหนึ่งแล้วเพื่อจะสร้างใหม่ โลกเรานี้อยู่ในยุคที่พระอิศวรครองโลก คือว่า พระผู้ทำลายล้าง พระพรหมเป็นผู้สร้างโลก พระนารายณ์เป็นผู้ควบคุมโลกให้เป็นระเบียบ พระอิศวรนี่เป็นผู้ทำลายล้างโลกให้หมดไปครั้งหนึ่ง เพื่อสร้างใหม่ ดังนั้น โลกเรานี้กำลังมีพระอิศวรครองโลก โดยเฉพาะก็คือวัตถุนิยม ที่ทุกคนเอามาทูนไว้บนหัว บนเกล้า บูชาวัตถุนิยมนั่น มันกำลังเป็นพระเจ้าในรูปแบบที่จะทำลายโลกให้สิ้นไปสักคราวหนึ่ง แล้วก็สร้างขึ้นมาใหม่ พระเจ้าอย่างนี้มันก็เก่ง ไม่มีใคร เอ้อ, ไม่มีใครห้ามได้นะ เมื่อเราไปสมัครไปเป็นไอ้ บริวารของพระเจ้าอย่างนี้แล้ว เราก็ต้องถูกทำลาย นี้ศาสนิกชนทั้งหลายไม่ว่าของศาสนาไหนจงรีบตื่นตัว อย่ามามัว อย่ามามัวโง่แข่งขันกันในระหว่างลัทธินั้น ลัทธินี้ มันกำลังจะวินาศกันไปทุกลัทธิด้วยอำนาจของวัตถุนิยม ถ้าศาสนิกชนเป็นศาสนิกชนคือมีศาสนากันจริงแล้ว เราก็จะปลดพระเจ้าองค์นี้ออกเสียจากหน้าที่ได้โดยเร็ว ไปหาพระเจ้าองค์ที่จะควบคุมโลกให้ดี สร้างสรรค์ค์โลกให้ดีขึ้นมาได้ใหม่ นี้จะไปโทษพระเจ้าก็ไม่ได้ เพราะเรามันไปสร้างพระเจ้าขึ้นมาเองโดยไม่รู้สึกตัวทีละนิดๆ คือความไปลุ่มหลงในวัตถุนิยมจนไม่มีศาสนา ดังนั้น ถ้ายังบูชาความสนุกสนาน เอร็ดอร่อยทางวัตถุ ทางเนื้อทางหนังอยู่แล้ว มันมีศาสนาไม่ได้ ช่วยไปบอกกันด้วย ถ้ามีศาสนาแล้วจะมีความรู้สึกตรงกันหมด ว่าเรามีปัญหาอย่างเดียวกัน คือ ความลุ่มหลงด้วยโมหะ ด้วยอวิชชา ในสิ่งที่ให้เกิดกิเลส อ้าว, สรุปความว่าเดี๋ยวนี้โลกกำลังไม่มีสันติสุข เพราะว่าศาสนิกชนไม่มีศาสนา ฟังแล้วไม่น่าเชื่อ ศาสนิกชนกำลังไม่มีศาสนา ศาสนิกะ แปลว่า ผู้มีศาสนา ผู้ถือศาสนาแล้วก็เป็นผู้ที่ไม่มีศาสนาเสียเอง ช่วยปรับปรุงกันในฐานะเป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันและกัน ให้ทุกคนกลับมีศาสนา คือเป็นศาสนิกชนที่แท้จริง นี่มัน มันน่าล้อ มันน่าจะด่าแล้ว คิดดูเถิด มันน่าล้อว่ามันไม่มีสันติสุข สันติภาพในโลกนี้เพราะว่ามันไม่มีศาสนิกชนที่แท้จริง มีศาสนิกชนแต่ตัวหนังสือนี่ ตัวหนังสือมันก็มีอย่างนี้ ศาสนิกะ ก็แปลว่า ผู้มีศาสนา ผู้ถือศาสนา ผู้เกี่ยวกับศาสนา แต่มันมีแต่ตัวหนังสือ นี่จะทำอย่างไร มันไม่มีผู้ที่มีศาสนาเป็นตัวแท้ ตัวจริง แล้วก็ยัง อ้า, ด่ากัน ทำลายกัน ในระหว่างศาสนา อาตมาเคยบอก พวกเพื่อนคริสเตียน ว่าไอ้กางเขนนั่นแหละ คือ หัวใจพุทธศาสนา สัญลักษณ์กางเขน ไอ้เส้นยืนนั้นมันเป็นตัวคน คือตัวกู เส้นขวางคือฆ่าคนเสีย เมื่อฆ่าคนเสียแล้วก็ถึงพระเจ้า หรือเป็นพระเจ้า อาตมาสารภาพเดี๋ยวนี้ บอกเดี๋ยวนี้ว่า อาตมาก็บูชากางเขน เคารพนับถือสัญลักษณ์กางเขนของคริสตัง คริสเตียน ว่ามันเป็นการฆ่าคนเพื่อถึงพระเจ้า สัญลักษณ์กางเขน มันก็เป็นเรื่องเดียวกัน เราจะมาด่าคริสตัง หรือคริสตังจะมาด่าเรา ว่ามันบ้าๆ บอๆ ไม่ควรจะมีอยู่ในโลกนี้ ฉะนั้น เลิกด่า อ้า, ระหว่างศาสนา ก็จะมีศาสนาขึ้นมาในโลก โลกนี้จะมีสันติสุข
อ้าว, หัวข้อต่อไป จะพูดถึงคำว่า อารยชน กับ อนารยชน ข้อนี้ก็สารภาพบาปของตัวเองให้ท่านทั้งหลายล้อ ว่าอาตมาก็เพิ่งรู้จักไอ้สิ่งที่ พวกที่เรียกว่า อารยชน หรืออนารยชน เมื่อไม่นานมานี้ ก่อนนี้เป็นเด็กๆ ก็ถูกเขาสอน อารยชนเป็นอย่างนั้น อนารยชนเป็นอย่างนี้ แล้วก็ยังถือหลักนั้นกันมาเรื่อยๆ เพราะว่าเอาทางวัตถุ ทางร่างกายมาเป็นหลัก อนารยชนคือ คนป่าเถื่อน คนป่า คนดอย คนดง คนสมัยดึกดำบรรพ์ยังไม่รู้จักนุ่งผ้า กระทั่งมาเป็นคนนุ่งผ้า ก็ยังเป็นอนารยชน ส่วนอารยชนคือ คนที่เล่าเรียนมาก ศึกษามาก มีดีกรี ปริญญายาวเป็นหาง เรียกว่าอารยชน เดี๋ยวนี้มันรู้จักว่ามันตรงกันข้าม พวกเดี๋ยวนี้คือ อนารยชน มีดีกรียาวเป็นหาง มีความรู้มาก อยู่บ้านเรือนคล้ายสวรรค์วิมาน กินอยู่อย่างที่เรียกว่าชั้นสูง ชั้นดี นี่คือ อนารยชน ซึ่งไม่มีธรรมะอย่างมนุษย์ มีธรรมะ แต่เพื่อความสุข สนุกสนานทางวัตถุ เป็น เป็นทาสของวัตถุ เป็นทาสของกิเลส นี่คือพวกอนารยชน ที่เรียกกันว่า สวยๆ งามๆ เต็มไปทั้งโลก พวกอนารยชนสมัยโน้นมันเกือบจะไม่รู้จักกิเลส มันไม่ได้ทำอะไรให้เกิดกิเลส มันหวังทำดีในทางที่จะรอดตัว จะรอดจากจากความทุกข์ ไม่ได้ทำบาป ทำชั่ว คนที่ยิ่งเป็นอารยชนเดี๋ยวนี้คือ ยิ่งเป็นอนารยชนที่แท้จริง ถ้าพูดให้ไปเป็นหลักภาษาสักหน่อยก็พูดว่า อารยชนทางร่างกายคือ อนารยชนในทางจิต ทางวิญญาณ ความก้าวหน้าในทางร่างกาย ทางวัตถุจนเรียกว่าเป็นอารยชน ตามที่พวกฝรั่งเขาบัญญัติให้พวกไทยโง่นั่นแหละ อารยชนชนิดนั้นคือ อนารยชน ไม่มีธรรมะแห่งความเป็นมนุษย์ คือไม่รู้เรื่องบังคับกิเลส ไม่ข่มขี่กิเลส ปล่อยตามใจกิเลสไปหมด พวกอารยชนสมัยใหม่นี่ สวยๆ งามหรูหรานี่ เป็นอนารยชน คือตามใจกิเลส มันจะจูบ จะกอดกันที่ตรงไหนก็ได้ ที่ลานสนามบินก็ได้ มันว่าอารยชน มันเจริญแล้ว มันไม่บังคับกิเลส ให้เป็นระเบียบเรียบร้อย เวลาไหนควรทำอย่างไรที่ไหนควรทำอย่างไร ควบคุมกิเลสให้เป็นระเบียบนี้มันไม่มี แล้วมันก็เรียกตัวมันเองว่าอารยชน ก็ต้องอารยชนทางร่างกาย ทางวัตถุ อารยชนอย่างภูตผีปีศาจ ถ้าเป็นอารยชนอย่างธรรมะแท้ มันก็มีระเบียบที่จะบังคับกิเลส กิเลสไม่โผล่ขึ้นมา อยู่ด้วยความปราศจากกิเลสต่างหาก จึงจะเรียกว่าอารยชน ถ้าอยู่อย่างปล่อยไปตามอำนาจของกิเลสแล้วเป็นอนารยชนทั้งนั้น ถึงจะมีรูปร่างอย่างไร แต่งตัวอย่างไร กินอยู่อย่างไร บ้านเรือนอย่างไร ก็เป็นอนารยชนทั้งนั้น ก่อนนี้เรามันถูกสอนกันอย่างอื่น สำหรับคำว่าอารยชน กับว่าอนารยชน เดี๋ยวนี้เราเกิดเป็นตัวเองของเราขึ้นมา เราไม่ยอมโง่เชื่อไอ้คำสั่งสอนอย่างนั้นตะพรึดไปหมด เรามาพิจารณาดู ตามหลักของพุทธศาสนาเรา อารยชนต้องชนะกิเลส ต้องควบคุมกิเลสได้ ต้องมีความเป็นอยู่อย่างเป็นระเบียบ ไม่เปิดโอกาสให้กิเลส นี้เรียกว่าอริยชนก็ได้ อารยชนก็ได้ ถ้าตรงกันข้ามแล้วต้องเรียกว่าอนารยชน ทีนี้เรามัน อ้า, ให้ความหมายกลับกันเสีย ไอ้คนป่าสมัยโน้นนะ มันกลัวบาปยิ่งกว่าอารยชนสมัยปัจจุบัน คนที่เขาอ้างตัวเองเป็นคนดี เป็นอารยชน เดี๋ยวนี้ไม่มีคำว่าบาปไม่มีคำว่าบุญ แล้วก็ไม่รู้จักบาป และก็ไม่กลัวบาปด้วย ส่วนคนป่ายุคที่ยังจะไม่นุ่งผ้า เขากลับกลัวบาป มีสิ่งที่บัญญัติกันว่าบาป และก็กลัวยิ่งกว่ากลัวอะไรหมด ตั้งแต่ยังไม่ อ้า, ไม่ ไม่รู้จัก ความสุข สนุกสนาน เอร็ดอร่อยอะไรเหมือนคนปัจจุบันโน้น ขอให้สังเกตว่าไอ้คำว่าบาป หรือชั่วนี่ เขามีชื่อเรียกต่างๆ กัน ทีนี้เราก็มักจะหลงแต่ว่า เรียกว่า บาปอย่างเดียว ดังนั้น ความรู้ของคนสมัยโน้น เขาเรียกชื่ออย่างอื่น เช่นคำว่าบาป เขาอาจจะเรียกชื่อว่า ตาบู ตาบูสมัยโบราณ เป็นคำโบราณสมัยดึกดำบรรพ์ ของชนชาติใดชนชาติหนึ่งก็ได้ เขากลัวตาบู คือ กลัวบาป เดี๋ยวนี้ไม่มีใครกลัวบาป เขาไม่มีกู มีสู มีมึง เหมือนกับคนเดี๋ยวนี้ คนเดี๋ยวนี้เห็นแก่ตัว มีแผนการล้มล้างผู้อื่นอย่างลึกลับ ซึ่งคนสมัยโน้นมันไม่มี คนสมัยที่เชื่อตาบู กลัวตาบู บาปอย่างคนโบราณนั้นนะ มันไม่มีความเห็นแก่ตัวที่คิดจะทำลายล้างเหมือนกับคนสมัยนี้ แล้วจะเรียกใครว่าเป็นอารยชน หรือเป็นอนารยชน ฝรั่งคนหนึ่งเขาบันทึกว่า เมื่อเขาไปสำรวจพวกเงาะป่าในจังหวัดพัทลุง ประมาณ ๑๐๐ ปีมาแล้ว เขาพบอะไรที่มันประหลาด สะดุดความรู้สึก เช่น เขาอยากจะฟังเพลงของคนป่าเหล่านั้น จะให้ร้อง เพื่อจะบันทึก อ้า, มาทำการศึกษานี้ เขาไม่ยอมร้อง เพราะว่า ในครอบครัวของเขา แม่ตาย ยัง อ้า, ปิดไว้ด้วยใบไม้นี่ จ้างเท่าไรก็มันก็ไม่ร้อง ดูสิมันถือเคร่งนี่ พ่อตาย แม่ตาย อย่างนี้ มัน มันแสดงความอาลัย ไว้ทุกข์ เศร้าโศก ตามความรู้สึก ทีนี้มันก็ประกอบไปด้วยธรรมะ เดี๋ยวนี้พ่อแม่มันตาย มันเอาเหล้ามากิน มันรำวง มันทำอะไรทุกอย่าง แล้วใครจะเป็นอารยชน ใครจะเป็นอนารยชน นี่ขอให้ลองคิดดู นี้ถ้าว่า จะมองในแง่ลึก คนสมัยปัจจุบันนี้นะ กับคนสมัยโน้นนะ ใครมีความรู้สึกว่าสัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้นนี่ อาตมาเชื่อว่าคนสมัยโน้นที่ยังเกือบจะไม่นุ่งผ้านะ เขามีความรู้สึกว่าคนทุกคนเป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ไม่เหมือนคนสมัยนี้ ตัวกูก็ตัวกู ตัวมึงก็ตัวมึง พยายามที่จะเอาประโยชน์ของผู้อื่นมาเป็นของตัวอยู่ตลอดเวลา ไม่มีความหมายว่า อ้า, คนทุกคนเป็นเพื่อน เกิด แก่เจ็บ ตาย นี่คืออารยธรรมสมัยใหม่ ที่เขาเรียกตัวเขาว่า อารยชน