แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ณ บัดนี้จะได้วิสัจฉนาพระธรรมเทศนาของพระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อเป็นเครื่องประดับสติปัญญาส่งเสริมศรัทธาความเชื่อและวิริยะความพากเพียรของท่านทั้งหลายผู้เป็นพุทธบริษัทให้เจริญงอกงามก้าวหน้าตามทางแห่งพระศาสนาของสมเด็จพระบรมศาสดาอันเป็นที่พึ่งของเราทั้งหลายกว่าจะยุติลงด้วยเวลา ธรรมเทศนาในวันนี้เป็นธรรมเทศนาพิเศษ ปรารภเหตุอภิลักขิตสมัยแห่งมาฆบูชา ดังที่ท่านทั้งหลายย่อมจะทราบได้เป็นอย่างดีอยู่แล้ว ในวันนี้เราประกอบพิธีมาฆบูชา ขอให้ทำในใจให้แยบคายให้สำเร็จประโยชน์ตามความมุ่งหมายนั้น ๆ แต่ในเบื้องต้นนี้อาตมาอยากจะปรารภเรื่องซึ่งเป็นเครื่องเตรียมตัวสำหรับทำมาฆบูชาให้สำเร็จประโยชน์ตามนั้นนั่นเอง อาจจะขอปรารภถึงเรื่องบางเรื่องที่ควรปรารภ การที่ท่านทั้งหลายมาเพื่อกระทำมาฆบูชาที่นี่อย่างในวันนี้ ถ้าไม่มีอุปสรรค เช่น ฝนตกอย่างเมื่อตอนเย็นนี้แล้ว ก็จะได้ประกอบพิธีมาฆบูชาบนยอดภูเขาตามที่เคยกระทำมา วันนี้เป็นเรื่องพิเศษมีฝนตก ทำไม่ได้ ก็ควรจะคิดให้เป็นไปในทางที่ดี ถ้าว่าไปโกรธฝนหรือมีความหงุดหงิดเพราะเหตุนั้น ก็ไม่ถูกต้องตามทำนองของพุทธบริษัทเลย ถ้าฝนตกก็ดีคือจะเป็นการสอบไล่คนทุกคนว่ามีความรู้สึกอย่างไร ถ้าเฉยได้โดยปรกติก็เป็นการดีซึ่งเป็นการแสดงว่าคนนั้นก็มีคุณธรรมของพุทธบริษัทเพียงพอ ถ้าเฉยไม่ได้หรือกระทำจิตให้ปรกติไม่ได้ก็ต้องถือว่าเป็นพุทธบริษัทอย่างลูกเด็ก ๆ อมมือ ขอให้ทุกคนตรวจสอบตัวเองดูในข้อนี้ด้วย การที่มาทำมาฆบูชาที่นี่ขอให้ถือว่าเป็นพิเศษกว่าการทำมาฆบูชาในที่อื่น ๆ เพราะว่าเป็นการกระทำในสถานที่ที่จัดไว้ตามธรรมชาติ นี่หมายถึงเมื่อเราจะทำมาฆบูชาตามปรกติกันบนยอดภูเขา หรือเมื่อกล่าวโดยทั่วไป การมาที่นี่ก็เป็นการใกล้ธรรมชาติเพราะว่าทั่วบริเวณเนื้อที่ทั้งหมดนี้สงวนไว้ในลักษณะที่ยังเป็นธรรมชาติ การประพฤติเป็นอยู่ในสถานที่นี้ก็ยังอนุโลมตามธรรมชาติอยู่มาก ถ้าทำมาฆบูชาบนภูเขาเราก็ได้นั่งกลางพื้นดินซึ่งถือว่าเป็นอาสนะอันศักดิ์สิทธิ์ของพระพุทธเจ้าเพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านประสูติกลางดิน ได้ตรัสรู้ก็กลาง ดิน นิพพานก็กลางดิน ท่านสอนสาวกก็กลางดิน กุฏิของท่านก็พื้นดิน ไปดูได้ที่ประเทศอินเดีย แต่อะไร ๆ ก็ไม่สำคัญเท่ากับข้อที่ว่าท่านประสูติกลางดิน ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าก็นั่งกลางดิน กระทั่งนิพพานก็นิพพานกลางดิน เดี๋ยวนี้เราก็เสียโอกาสไปมากทีเดียวที่ไม่ได้นั่งกลางดินอย่างทุกคราว กลายมานั่งบนอาคารสถานที่ก่อสร้างอย่างนี้ ข้อนี้อยากจะทำความเข้าใจกันว่า มาสวนโมกข์ก็มาให้ใกล้ชิดธรรมชาติ เพื่อกันลืมธรรมชาติ มนุษย์เรานี้มันเหมือนกับวิ่งเตลิดเปิดเปิง ทิ้งไกลธรรมชาติยิ่งขึ้นทุกที ทุกคนควรจะทราบดีว่ามีอะไรบ้าง เราทำตัวให้ไกลจากธรรมชาติยิ่งขึ้นทุกทีก็เรียกว่ามันกระทำเกินไปในการที่จะเป็นอยู่อย่างสงบสุขยิ่งขึ้นทุกที ร่างกายก็เปลี่ยนแปลงไปจากธรรมชาติมากขึ้น จนอ่อนแอ อย่างว่าสวมรอง รองเท้าอยู่ตลอดเวลาอย่างนี้ เท้าก็ต้องเปลี่ยนไปจนถึงกับว่าเท้าของคนบางคนสมัยนี้นิ่มนวลกว่าแก้มของคนสมัยโน้นก็ได้ ขอลองคำนวณดูเถิดว่ามันเปลี่ยนแปลงกันอย่างไร การเป็นอยู่ การกินอยู่ ได้เปลี่ยนไปจนไม่มีธรรมชาติเหลือ ฉะนั้นการมาที่วัดนี้ก็มาเยี่ยมธรรมชาติกันลืมธรรมชาติกันให้มากที่สุด ฉะนั้นอย่าได้คิดลึกอะไรให้มาก ถ้าหากว่าไม่ ไม่ได้รับความสะดวกสบายเหมือนกับอยู่ที่บ้าน ก็ขอให้รับเอาไอ้ความเป็นอยู่ที่ใกล้ชิดกับธรรมชาติคือเป็นเกลอกับธรรมชาติไปให้ได้ จงทุก ๆ คน ฉะนั้นจึงขอร้องท่านทั้งหลายที่มาพักค้างคืนอยู่ในวัดนี้ จงได้ถือเอาโอกาสนี้ทำตัวให้เป็นเกลอกับธรรมชาติให้มาก นั่นแหละท่านจะได้รับประโยชน์คุ้มค่าทั้งเวลาหรือค่าของเงิน หรือความเหนื่อยยากลำบากที่มาถึงที่นี่ ให้เป็นเกลอกับธรรมชาติและก็จะรู้ธรรมะได้ง่าย เพราะว่าธรรมะนั้นไม่มีเรื่องอะไรนอกจากเรื่องของธรรมชาติ เป็นเรื่องกฎเกณฑ์ของธรรมชาติเป็นส่วนใหญ่ที่เราจะต้องประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้องและก็จะได้รอดจากความทุกข์ ใกล้ชิดธรรมชาติเท่าไรก็รู้ธรรมะได้ง่ายขึ้นเท่านั้น เพราะว่าธรรมะนั้นคือกฎเกณฑ์ของธรรมชาตินั่นเอง และถ้ามาสวนโมกข์ก็พยายามทำตนให้ใกล้ชิดธรรมชาติจนกระทั่งเปรียบเหมือนกับว่าได้ยินต้นไม้พูด ได้ยินก้อนหินพูด ได้ยินแผ่นดินพูด แต่เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยได้ยินเพราะว่ามาสรวลเสเฮฮากันเองเสียหมด ไม่ได้ไปสู่ที่สงบสงัดแล้วก็นั่งฟังก้อนหินพูด ฉะนั้นจึงขอแนะนำว่าควรจะทำอย่างนั้นเพราะปีหนึ่งจะมาสักครั้งหนึ่งเท่านั้น มันควรจะได้อะไรมากถึงขนาดนี้ สรุปความว่าปีหนึ่งมาเยี่ยมธรรมชาติโดยสะดวกที่สวนโมกข์นี้สักครั้งหนึ่ง ทีนี้มองดูอีกทางหนึ่งตามความหมายของคำว่า โมกข์ หรือ สวนโมกข์ ซึ่งแปลว่าเกลี้ยง คำว่า โมกข์ นี้แปลว่าเกลี้ยง ขอได้โปรดเข้าใจกันด้วย จิตเกลี้ยงจากสิ่งรบกวนนี้เรียกว่าโมกข์สำหรับจิตนั้น ดังนั้นมาทำจิตเกลี้ยงหรือว่างกันเสียสักวันหนึ่งก็ยังดี ทุกคราวที่มาที่นี่ขอให้ได้ประสบกันกับความมีจิตเกลี้ยงหรือว่าง แล้วก็จะรู้สึกได้เองว่าเป็นความสุขอย่างไร บางคนไม่รู้เรื่องนี้เลยแต่พอเข้ามานั่งในสถานที่ที่จัดไว้ตามธรรมชาตินั้น เขาบ่นขึ้นมาว่าทำไมมันสบาย สบายอย่างกับบอกไม่ถูก เขาก็อธิบายไม่ได้ แต่อาตมาช่วยอธิบายแทนว่าเพราะว่าเวลานั้นจิตของเขาเกลี้ยงหรือว่างจากความรู้สึกประเภทที่หนัก ที่ร้อน ที่มืด สรุปแล้วก็คือความรู้สึกประเภทตัวกูของกู ความรู้สึกที่มีความหมายเป็นตัวกูของกูครอบงำจิตทุกคนอยู่แทบจะตลอดเวลา ถ้าเกลี้ยงไปจากความรู้สึกอันนี้แม้สักชั่วขณะหนึ่ง เราก็จะรู้สึกว่าสบายบอกไม่ถูกกันทีเดียว จะเรียกว่าจิตเกลี้ยงก็ได้ จะเรียกว่าจิตว่างก็ได้ มันเหมือนกัน คือมันว่างจากสิ่งที่ทำให้วุ่น แล้วก็เป็นจิตที่สงบเยือกเย็นเฉลียวฉลาดว่องไวที่จะรู้สึกอะไรได้ดีกว่าจิตอย่างอื่นหมด ดังนั้นมาสวนโมกข์ก็เรียกว่ามาทำจิตเกลี้ยงหรือว่างแล้วก็ได้รับรสของจิตเกลี้ยงนั้นตามสมควร หรือถ้าจะมองกันอีกทางหนึ่ง อาตมาจะใช้คำที่ท่านทั้งหลายบางคนอาจจะตกใจก็ได้ คือว่ามาสวนโมกข์นี้เหมือนกับมาสู่ปรโลก คำว่าปรโลกนั้นได้ยินกันแต่ว่าตายเข้าโลงไป แล้วไปสู่ปรโลก นี่ความหมายนี้ มันแคบมันสั้นเป็นเรื่องของลูกเด็ก ๆ คำว่า ปรโลก ตามความหมายในพระพุทธศาสนาก็หมายความว่าโลกอื่น อื่นจากอะไร ก็อื่นจากที่เป็นกันอยู่โดยมากที่มนุษย์มีจิตอย่างคนธรรมดาสามัญอยู่กันอย่างมมุด มนุษย์ปุถุชนจนเคยชินตั้งแต่เกิดจนตายไม่เคยพบโลกอย่างอื่น เป็นเทวโลก มารโลก พรหมโลก เช่นเป็นต้น คำว่า ปร (ปะระ) นี้แปลว่าอื่น ปรโลกก็คือโลกอื่น ถ้าอยู่ที่กรุงเทพฯ มันก็มีโลกอื่นชนิดที่ไม่เหมือนกับกรุงเทพฯ นี้ยืนยันได้ว่าที่สวนโมกข์นี่ไม่มีอะไรเหมือนกับที่กรุงเทพฯ ฉะนั้นบางคนมาที่นี่ก็พูดออกมาเองว่ามันคนละโลก ๆ ก็มาจากกรุงเทพฯ มาร้องบ่นที่สวนโมกข์นี้ว่าคนละโลก ๆ นั้นแหละคือโลกอื่น ดังนั้นมาที่สวนโมกข์มันก็เหมือนกับมาสู่ปรโลกโดยปริยายหนึ่ง ไม่ใช่ปรโลกที่ต้องตายเข้าโลงแล้วไปที่ไหนก็ไม่รู้ไม่เห็นมีประโยชน์อะไร แต่ถ้ามาสู่ปรโลกอย่างนี้ก็หมายความว่ามันได้รับรสอันใหม่ ไม่เหมือนกับอยู่ที่บ้านตามธรรมดาสามัญ กลัดกลุ้มหรือหมกมุ่นอยู่ด้วยอะไรท่านทั้งหลายก็ทราบดีอยู่แล้ว ดังนั้นขอให้ทำจิตใจเหมือนกับว่ามันมาอยู่ในโลกอื่น และก็จะต้องรู้สึกเป็นสุขแบบอื่นไม่เหมือนกับอย่างเป็นสุขชนิดที่อยู่ที่บ้าน ถ้าท่านผู้ใดทำได้ถึงอย่างนี้ก็ยิ่งได้รับประโยชน์มากในการมาสวนโมกข์ คุ้มค่ารถไฟ คุ้มค่าเหน็ดเหนื่อย คุ้มค่าเวลาเป็นแน่นอน ทีนี้อยากให้มองไปอีกทางหนึ่งแต่ว่าการมาทำมาฆบูชาก็ดี วิสาขบูชา หรือบูชาอะไรก็ตามที่สวนโมกข์นี้ก็ทำกันแบบป่า ๆ มันอยู่กันอย่างวัดป่าพระเถื่อน ทำมาฆบูชาเป็นต้น ก็ทำอย่างแบบป่า ๆ อย่างที่ทำบนยอดภูเขา เดี๋ยวนี้ต้องมาทำในที่อย่างนี้มันก็ไม่ค่อยจะป่าแต่ขอให้ถือว่าทำเหมือนกับทำบนยอดภูเขา ทำแบบอย่างที่ไม่มีความฟุ่มเฟือย ไม่ ๆ ไม่มีสิ่งฟุ่มเฟือย ไม่มีพิธีรีตองอะไร มุ่งหมายแต่จะให้ได้ความรู้สึกที่เป็นความหมายของมาฆบูชา ให้รู้สึกคล้าย ๆ กับว่าเราได้ไปแอบดูพระอรหันต์ทั้งหลายประชุมกันเป็นจาตุรังคสันนิบาตอย่างที่เป็นความหมายของวันมาฆบูชานี้ในป่า ท่านไม่ ไม่ได้ทำกันในบ้านในเมือง ท่านทำในป่า เราก็ทำในใจเหมือนกับว่าไปแอบท่าน ดูท่านทำอะไรกันอยู่ในป่าจะจัดทุก ๆ อย่างให้มันเป็นเรื่องของป่า อย่างว่าแม้จะเดินประทักษิณเวียนเทียนก็ต้องถอดรองเท้าเพราะเห็นแก่พระพุทธเจ้าซึ่งท่านไม่เคยสวมรองเท้าเลย นี้ตามความรู้และความรู้สึกของอาตมาเท่าที่ได้ศึกษาเล่าเรียนมาแต่ต้นจนบัดนี้ทราบว่าพระพุทธเจ้าท่านไม่เคยสวมรองเท้าเลย มุ้งก็ไม่มี ร่มก็ไม่มี แต่ลูกศิษย์ของท่านพอไม่มีมุ้งก็รู้สึกว่าเหมือนจะตายเอาทีเดียว เดี๋ยวนี้ยากันยุงช่วยได้ หรือว่าไม่มีร่มก็จะรู้สึกลำบาก อย่างวันนี้ฝนตกก็สอนให้แล้วว่ามีความรู้สึกอย่างไร ทำมาฆบูชาแบบป่าก็จะได้ผลอย่างนี้ เราจะได้รู้สึกว่าพระอรหันต์ท่านเป็นอยู่กันอย่างไร ทีนี้บางคนอาจจะมาทำอะไรที่นี่ มาทำมาฆบูชาหรืออะไรก็ตาม คิดว่ามาดูอะไรแปลก ๆ หรืออาจจะแปลกตามที่เพื่อนฝูงไปเล่าให้ฟัง ถ้าเป็นอย่างนี้ก็รู้สึกว่าจะได้อะไรน้อยมากไปสักหน่อย มาดูอะไรแปลก ๆ ตามที่เพื่อนฝูงเขาไปเล่าให้ฟัง มันจะได้อะไรน้อยไปสักหน่อย แล้วบางทีก็จะผิดหวังด้วยคือไม่มีอะไรที่จะแปลกนั่นแหละให้ดู เพราะว่าเขาชอบอย่างอื่น ไม่ยินดีรับเอาสิ่งซึ่งสถานที่นี้เขามีให้ เรียกว่ามาพบความผิดหวังเสียมากกว่า ใครกำลังรู้สึกว่าผิดหวังบ้าง ก็ลองใคร่ครวญดูให้ดี เพราะว่ามีคนบางคนมาแล้วรู้สึกว่าผิดหวังไม่ได้อะไร อยากจะกลับไปเร็ว ๆ อะไร ๆ ที่ ๆ นี่มีให้เขาไม่ได้รับ ขอให้ทุกคนแวะดูภาพโมเสกที่ ที่ตึกที่เรียกกันว่าโรงหนัง มีภาพแจกลูกตา ไม่กี่คนยอมรับเอาลูกตา นอกนั้นวิ่งหนีไปเป็นฝูง ๆ โดยไม่มีลูกตาติดไปเลย ข้อสังเกต สิบกว่าปีมาแล้วทำให้รู้สึกอย่างนี้ เพราะฉะนั้นจึงได้ให้ทำรูปภาพรูปนั้นขึ้น ท่านผู้ใดไม่เคยดู ขอได้แวะดู สังเกตดู พิจารณาดู ว่าเราอยู่ในพวกที่วิ่งหนีเป็นฝูง ๆ หัวขาดไม่มีตานั่นกับเขาด้วยคนหนึ่งหรือเปล่า นี่คือพวกที่ผิดหวัง ฉะนั้นท่าน ท่านที่มานี้จะอยู่ในพวกไหนก็ขอให้ตรวจสอบตัวเองดูเถิด มาเยี่ยมธรรมชาติเพื่อกันลืม หรือว่ามาเพื่อทำจิตให้เกลี้ยงให้ว่างสักครั้งหนึ่งก็ยังดี หรือว่ามาที่นี่เหมือนกับมาสู่ปรโลกคือโลกอื่น หรือว่ามาเพื่อทำมาฆบูชาแบบป่า หรือว่ามาดูอะไรแปลก ๆ ตามเขาว่า พอมาแล้วก็ผิดหวังโดยประการทั้งปวง นี่คือข้อที่อาตมาอยากจะให้คิดนึกเพื่อทำความรู้สึกให้ชัดเจนแจ่มแจ้งกันทุกคน และหวังว่าท่านจะได้รับประโยชน์คุ้มค่าที่มาหรือเกินค่าที่มานี่เป็นแน่นอน แม้จะมาอีกก็ไม่มีอะไรจะพูดแปลกไปจากนี้ ก็ยังคงพูดอย่างนี้กันอยู่ทุก ๆ ปี เป็นการเตือนสติว่าขอให้ได้ตั้งอกตั้งใจกระทำให้ดีที่สุด ให้ได้รับอะไรที่เป็นประโยชน์ให้มากที่สุด ทีนี้เรื่องที่จะพูดต่อไปอีกก็คือเรื่องวันนี้ที่เรียกว่าวันมาฆบูชา วันนี้เป็นวันมาฆบูชา เด็ก ๆ ก็พูดได้แต่ไม่รู้ความหมายว่ามันหมายความอย่างไร วันมาฆบูชาอย่างนี้อาตมาอยากจะให้ทุกคนถือเอาความหมายให้ชัดเจนลงไปว่า เป็นวันที่ระลึกแก่พระอรหันต์ พระอรหันต์ทั้งหมดในพระพุทธศาสนาก็แล้วกัน แม้ว่าเรื่องจะเกิดขึ้นโดยพระอรหันต์เพียง ๑,๒๕๐ รูปประชุมกัน เป็นเหตุให้เกิดวันเช่นวันนี้ขึ้นมา นั่นก็ยังหมายความว่าท่านทำไปในนามของพระอรหันต์ทั้งหมดในโลกหรือในพุทธศาสนา วันนี้พระอรหันต์ประชุมกันมีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน พระองค์ทรงแสดงสิ่งซึ่งเป็นแม่บท หรือเป็นตัวบทของพระพุทธศาสนาซึ่งเราควรจะสนใจ แต่เราจะมองดูในแง่แรกก็คือวันนี้เป็นวันที่ระลึกแก่พระอรหันต์ ฉะนั้นเราจะต้องทำอะไรให้เหมาะแก่การที่วันนี้เป็นวันที่ระลึกแก่พระอรหันต์ และอีกอย่างหนึ่งอยากจะเรียกว่าเป็นวันพระสงฆ์ นี้จะเข้าใจได้ง่ายยิ่งขึ้นไปอีก เรามีพระรัตนตรัยคือพระพุทธ พระธรรมและพระสงฆ์ วันวิสาขะที่ถือกันว่าเป็นวันประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานนั้นเราเรียกว่าวันพระพุทธเจ้า คือวันเป็นที่ระลึกแก่พระพุทธเจ้า ต่อมาอีก ๒ เดือนวันอาสาฬหบูชานี้ทรงแสดง ธัมมจักกัปปวัตตนสูตรคือทรงแสดงธรรมเป็นครั้งแรกและมีผู้รู้ธรรมนั้น วันอาสาฬหบูชาจึงเป็นวันพระธรรมหรือเป็นวันที่ระลึกแก่พระธรรม ต่อมาอีกไม่กี่เดือนก็มาถึงวันมาฆบูชานี้ ซึ่งมีพระอรหันต์ได้เกิดขึ้นแล้วถึง ๑,๒๕๐ รูป ประชุมกัน เป็นคณะสงฆ์ที่เป็นปึกแผ่น จึงเรียกได้ว่าเป็นวันพระสงฆ์ เราจึงมีวันครบทั้ง ๓ วันคือวันพระพุทธเจ้า วันพระธรรม และวันพระสงฆ์ วันมาฆบูชานี้เป็นวันพระสงฆ์ และเป็นพระสงฆ์ที่เป็นพระอรหันต์ด้วยแต่เราจะถือเอาใจความให้กว้างออกไปก็ได้ว่าเป็นวันพระสงฆ์ทั่วไปก็ได้ เดี๋ยวพระสงฆ์ที่ไม่ใช่พระอรหันต์จะเหลืออยู่โดยไม่รู้ว่าจะให้บรรจุไว้ที่ไหน วันนี้เป็นวันพระสงฆ์และพระสงฆ์ที่เป็นพระอรหันต์ นี้มองอีกทางหนึ่งก็จะเข้าใจได้ทันทีว่าเป็นวันที่พระศาสนาลงรกรากลึกซึ้งมั่นคง พระอรหันต์ประชุมกัน พระพุทธเจ้าทรงประกาศหลักของพระศาสนาที่เรียกว่าโอวาทปาติโมกข์ เป็นวันที่พระศาสนาลงรากลึกถึงที่สุด วันที่ทรงแสดงธัมมจักฯ นั้นยังไม่ลงรากอะไรมากมาย เป็นแต่เพียงคน ๆ หนึ่งฟังธรรมแล้วก็รู้เรื่องเป็นคนแรก ครั้นมาถึงวันนี้เป็นวันที่พระศาสนาลงรกรากซึ่งถือได้ว่าถึงที่สุด นี่เรามาประชุมกันเป็นที่ระลึกแก่วันที่พระศาสนาลงรกราก หรือว่าจะดูอีกทางหนึ่งเราก็จะถือว่าเป็นวันที่พระพุทธองค์ทรงประกาศหลักพระศาสนา หลักของพระศาสนาที่เป็นส่วนการ เป็น เป็นส่วนการปฏิบัติก็มี เป็นเพียงหลักทั่ว ๆ ไปทำนองหลักทฤษฎีนี้ก็มี ขอให้เข้าใจให้ดีว่าโอวาทปาติโมกข์นั้นมีอยู่เป็น ๒ ตอน ตอนที่ว่า สพฺพปาปสฺส อกรณํ กุสลสฺสูปสมฺปทา สจิตฺตปริโยทปนํ เอตํ พุทฺธานสาสนํ นั้นมันเหมือนกับหลัก หลักวิชาหรือหลักทางทฤษฎีเพราะบอก เพราะ ๆ เพราะกล่าวไว้แต่เพียงว่าการที่ไม่ทำบาปทั้งปวง การทำกุศลให้ถึงพร้อม การทำจิตให้บริสุทธิ์สะอาด ๓ อย่างนี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า ครั้นมาถึงหลักปฏิบัตินั้นมีคำต่อท้ายออกไปว่าอนูปวาโท ไม่พูดร้าย อนูปฆาโต ไม่ทำร้าย ปาติโมกฺเข จ สํวโร สำรวมในระเบียบวินัย มตฺตญฺญุตา จ ภตฺตสฺมึ รู้จักประมาณในการบริโภค ปนฺตญฺจ สยนาสนํ เสพคบที่นอนที่นั่งอันสงัด อธิจิตฺเต จ อาโยโค ประกอบความเพียรในอธิจิตคือการทำจิตให้ยิ่ง เอตํ พุทฺธาน สาสนํ นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย นี้จะเห็นได้ทันที่ว่าพระองค์ทรงประกาศหลักปฏิบัติต่อท้ายหลักวิชาหรือหลักปรัชญาทำนองนั้น บางคนสงสัยว่าทำไมกล่าวหลักโอวาทปาติโมกข์ ปาติโมกข์ถึง ๒ ตอน ๒ หน พิจารณาดูแล้วก็เห็นได้ทันทีว่าไอ้ตอนแรกหรือครึ่งแรกนั้นมันเป็นหลักวิชา ไอ้ครึ่งหลังนั้นเป็นการระบุตัวการปฏิบัติลงไปโดยตรง จึงถือว่าวันนี้เป็นวันประกาศหลักพระพุทธศาสนาทั้งส่วนทฤษฎีและทั้งส่วนปฏิบัตินั่นเอง ทีนี้ที่ชอบมองกันโดยมากก็คือว่าวันนี้เป็นวันประหลาดเสียแล้วกัน ที่เรียกว่าจาตุรังคสันนิบาตนะเป็นวันที่ประหลาดน่าอัศจรรย์ เช่นว่าพระอรหันต์ตั้ง ๑,๒๕๐ องค์ มาประชุมกันโดยไม่ได้นัดหมายกันเลยและก็ล้วนทุก ๆ องค์ล้วนแต่เป็น เอหิภิกขุอุปสัมปทา อุปสัมบันนา อุปสัมปันโน คือบวชด้วยวิธี เอหิภิกขุ และว่าพระพุทธเจ้าได้ประทับเป็นประธานและทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์ในวันเพ็ญ เดือนมาฆะ ซึ่งได้แก่วันนี้ เป็นวันที่คล้ายกับวันนี้ อย่างนี้พวกที่ชอบของประหลาดมหัศจรรย์ก็ถือว่าวันนี้เป็นวันที่ประหลาดและมหัศจรรย์ เราจะมองดูกันในแง่ไหนมุมไหนก็ได้ แต่ทางที่ดีแล้วมองให้ทุกแง่ทุกมุมว่าวันนี้เป็นวันพระอรหันต์ ว่าวันนี้เป็นวันพระสงฆ์ ว่าวันนี้เป็นวันพระศาสนาลงราก ว่าวันนี้เป็นวันที่ทรงประกาศหลักพระพุทธศาสนาทั้งฝ่ายทฤษฎีและฝ่ายปฏิบัติ และว่าวันนี้เป็นวันประหลาดที่สุดตามความหมายแห่งจาตุรังคสันนิบาตนั่นเอง ถ้ารู้ความหมายและความสำคัญความน่าอัศจรรย์ของวันนี้กันจริง ๆ แล้วคงจะไม่รู้สึกเหนื่อย คงจะไม่รู้สึกง่วงนอน คงจะตื่นเต้นถึงกับบำเพ็ญกุศลได้ตลอดทั้งคืนโดยที่ไม่ต้องนอนเหมือนกับที่ได้ทำมาแล้วในปีก่อน ๆ เป็นแน่ ทีนี้อาตมาก็จะพูดถึงการเตรียมตัวว่าเราจะทำมาฆบูชากันอย่างไรให้ได้ผลดีที่สุด ฉะนั้นก็ขอให้เตรียมกันอย่างนั้น ขอให้เตรียมข้อแรกคือว่ารำลึกนึกถึงเหตุการณ์แห่งวันนี้ ว่าเวลาบ่ายพระอรหันต์ ๑,๒๕๐ รูป ประชุมกันมีพระพุทธเจ้าประทับเป็นประธานและประกาศพระศาสนาอย่างกับว่าลงราก เราทำในใจถึงเหตุการณ์อันนี้ไว้ในเวลานี้ ก่อนแต่ที่จะทำการเวียนประทักษิณ และเราจะได้ทำในใจถึงคุณของพระอรหันต์ ให้คุณของพระอรหันต์มาแจ่มแจ้งอยู่ในใจของเราแล้วจึงจะเดินเวียนประทักษิณ คุณของพระอรหันต์จะมีอะไรบ้างนี้จะได้กล่าวต่อไป แต่การเตรียมจิตใจนี้เป็นสิ่งที่ต้องทำแน่ เตรียมเสียสละทุกอย่างทุกประการเพื่อเป็นเครื่องบูชาคุณของท่านแม้จะลำบากบ้างก็ยินดีที่จะเสียสละ เช่นเดียวกับที่เสียสละมาแต่ที่ไกลจากจังหวัดต่าง ๆ คือต้องเสียสละเรี่ยวแรง ความรู้สึก ความคิด ความนึก นึกถึงคุณของพระอรหันต์ แม้จะลำบากบ้างจะต้องถือศีลตลอดวันคืนวันนี้ นี้ก็รวมอยู่ในสิ่งที่เรียกว่าเป็นการเสียสละ ถ้าจะเดินเวียนประทักษิณเท้าเปล่า เจ็บเท้าก็ต้องรวมไว้ในความเสียสละ ยิ่งเสียสละไปเท่าไรก็ยิ่งเป็นการบูชามากเท่านั้น ขอให้ทำในใจอย่างนี้ด้วย ทีนี้การเวียนประทักษิณนั้นมีความหมายคือเดินเวียนขวา หมายความว่าเอามือข้างขวาไว้ทางสิ่งที่เราจะเวียน และก็เดินเวียนไปเป็นรอบ ๆ อย่างนี้เรียกว่าเวียนประทักษิณ โดยตัวหนังสือเขาว่าเวียนไปทางขวา แต่ถ้าโดยความหมายแล้วหมายถึงความเคารพและกระทำตาม การที่ยอมเวียนประทักษิณนั่นหมายความว่าเคารพต่อผู้นั้นหรือต่อสิ่งนั้นอย่างยิ่ง ถึงขนาดจะยอมทำตาม ดังนั้นเมื่อเวียนประทักษิณในการทำมาฆบูชานี้ก็หมายความว่าเคารพในพระอรหันต์และมุ่งหมายจะกระทำตามพระอรหันต์ ถ้าทำในใจอย่างนั้นแล้วเดินเวียนไปเป็นการแสดงออกแห่งจิตใจ อย่างนี้เรียกว่าเวียนประทักษิณ ฉะนั้นเมื่อจะทำการเวียนประทักษิณดังที่จะกระทำต่อไปนี้ก็ขอให้ทำในใจอย่างนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คืออนุสติ คือมีสติระลึกตามซึ่งคุณของพระรัตนตรัย อันได้แก่พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ แม้ว่าเราจะเรียกว่าคุณของพระรัตนตรัย คือคุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็น ๓ อย่างนี่ก็ได้ แต่แล้วเรื่องก็เป็นเรื่องเดียวกันคือเป็นคุณของพระอรหันต์นั่นเอง คุณของพระอรหันต์สำเร็จอยู่ที่มีความสะอาด สว่าง สงบ ปราศจากความทุกข์โดยประการทั้งปวง คุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ก็เป็นอย่างนั้น ฉะนั้นขอให้มีอนุสติในพระรัตนตรัยก็ได้หรือในคุณของพระสงฆ์ก็ได้ นี่แหละเรียกว่าการเตรียมตัวเพื่อทำมาฆบูชา ข้อสำคัญมันอยู่ตรงที่ว่าจะต้องทำในใจถึงคุณของพระอรหันต์ ดังนั้นเรามาเพื่อจะถือโอกาสนี้กล่าวถึงคุณของพระอรหันต์พอเป็นเครื่องสังเกตแก่ทุกคน และมีความหมายชนิดที่จะประพฤติหรือกระทำตามให้สำเร็จประโยชน์ได้ เมื่อกล่าวถึงคุณของพระอรหันต์ คนโดยมากก็มักจะมีความรู้หรือมีความรู้สึกอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่เสมอไปทุกคน อาตมาเคยลองถามดูว่าพระอรหันต์เป็นคนชนิดไหน เป็นคนอะไรตามความรู้สึกของท่าน ก็ล้วนแต่ตอบได้ทุกคนและจะตอบคล้าย ๆ กันมากก็ในข้อที่ว่าพระอรหันต์เป็นผู้ที่หมดกิเลสอย่างนี้เป็นต้น แต่วันนี้จะยกเอาคุณของพระอรหันต์มาสักบทหนึ่งซึ่งแปลกออกไปจากการที่จะพูดกันเพียงว่าพระอรหันต์คือผู้หมดกิเลส จะได้กล่าวถึงพระอรหันต์มีคุณที่ควรสนใจอย่างยิ่งอยู่ข้อหนึ่งก็คือเป็นผู้ชนะอินทรีย์ เป็นผู้ชนะอินทรี หรืออินทรีย์แล้วแต่จะออกเสียง นี้คงจะแปลกหูสำหรับบางท่าน แต่พออธิบายแล้วก็จะเข้าใจและจะมีประโยชน์เพิ่มขึ้นจากที่เคยได้ยินได้ฟังมาแล้ว นิกเขปบทต้น ๆที่กล่าวเมื่อตะกี้นี้ ก็ว่า สนฺตินฺทฺริยํ มีอินทรีย์อันระงับแล้ว ชิตินฺทฺริยํ มีอินทรีย์อันชนะแล้ว หสินทฺริยํ มีอินทรีย์อันกำจัดแล้ว นี่ ๓ คำนี้มีความหมายอย่างยิ่ง มีความหมายที่มีค่ามากที่ควรจะสนใจ อะไรเรียกว่าอินทรีย์ บางคนก็ทราบแล้วบางคนก็ยังไม่ทราบ ฉะนั้นจะบอกให้ทราบกันในที่นี้ทุกคนว่าสิ่งที่เรียกว่าอินทรี หรืออินทรีย์ ก็ตาม เราเรียกภาษาไทยเราเรียกว่าอินทรีย์ ภาษาบาลีมัน อินฺทฺริย อินทรีย์นั้นมีอยู่ ๖ อย่างคือตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็เป็นคำ เป็นเรื่องธรรมดาสามัญที่ได้ยินได้ฟังอยู่ทุกวันว่าตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ๖ อย่างนี้เป็นตัวการสำคัญที่จะทำให้มนุษย์มีความสุขหรือมีความทุกข์ แต่โดยมากมันเป็นในทางที่มีความทุกข์เพราะว่าเขาทำผิดต่อสิ่งที่เรียกว่าอินทรีย์คือตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ขอให้ท่านทั้งหลายตั้งใจฟังให้ดี เป็นเรื่องที่มีค่ามากเป็นเรื่องที่สูงสุดและเป็นเรื่องที่ไม่เหลือวิสัย ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจเป็นสิ่งสำคัญสำหรับความเป็นอยู่ของมนุษย์ ถ้าเราไม่มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันจะเป็นอย่างไรก็ลองคิดดู มีแต่ใจไม่มีตา หู จมูก ลิ้น กาย มันก็ไม่มีความหมายอะไร มีแต่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ถ้าไม่มีใจก็ไม่มีความหมายอะไร แต่ละอย่าง ๆ มันมีความสำคัญในตัวมันเองจึงได้เรียกว่าอินทรีย์ พระอรหันต์เป็นผู้มีอินทรีย์อันสงบระงับ คืออินทรีย์ของท่านเย็น อินทรีย์ของท่านไม่ร้อนเหมือนของพวกเรา เรามีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่ร้อนหรือทำให้เกิดความร้อน พระอรหันต์ท่านมีอินทรีย์ที่สงบระงับและเย็นสนิท และเริ่มเย็นไปตั้งแต่เป็นพระโสดาบัน และเย็นถึงที่สุดเมื่อเป็นพระอรหันต์ นี้เรียกว่ามีอินทรีย์อันระงับแล้ว ที่ ๆ ว่ามีอินทรีย์อันชนะแล้วนั่นคือท่านควบคุมอินทรีย์ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เหล่านี้ได้ ไม่อาจจะเกิดกิเลสขึ้นมา ท่านเอาไว้ในอำนาจได้ จึงเรียกว่าชนะ นี้ความหมายก็สูงขึ้นไปอีกคือชนะอินทรีย์ ที่สูงไปกว่านั้นก็เรียกว่ามีอินทรีย์ที่กำจัดแล้ว กำจัดนี่หมายความว่าทำให้หมดพิษ หมดฤทธิ์ หมดเดชแล้ว ดังนั้นเวทนาทั้งหลายที่เกิดจากอินทรีย์เหล่านั้นจึงเป็นของเย็นสนิท เราควบคุมตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่ได้ เวทนาทั้งหลายของเราจึงเป็นของร้อน คือไม่ได้เย็นเพราะไม่เย็นสนิท ต่อเมื่อควบคุมตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ได้ถึงขนาดที่เรียกว่าชนะได้หรือฆ่ามันแล้วได้ ให้มันหมดพิษ หมดฤทธิ์นี่จึงจะเย็นสนิท การแบ่งเป็น ๓ ชั้นนี่เพื่อความเข้าใจง่าย สันตะ สงบระงับของอินทรีย์ ชิตะ นี่ชนะมันได้ หะตะ นี่กำจัดมันแล้วโดยสิ้นเชิง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ของเราไม่เย็น ไม่ระงับและก็เราชนะมันไม่ได้ มันดึงเราไปทำนั่นทำนี่ตามความต้องการของกิเลส หรือเราจะใช้คำว่า ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ดึงไปก็ได้เพราะมันเป็น เป็นตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ของคนที่มีกิเลส เราจึงชนะมันไม่ได้ แต่พูดโดยอุปมาหยาบคายหน่อยก็ว่ามันก็ขี่คอเราไป ให้ไปทำนั้นทำนี่ตามที่กิเลสต้องการ ที่ว่ากำจัดเสียได้นี้หมายความว่าไอ้ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี่ไม่อาจจะเป็นปัญหาอีกต่อไป ไม่มีพิษ ไม่มีฤทธิ์ ไม่มีเดชอะไรที่จะทำให้คนผู้นั้นเป็นทุกข์ได้ ขอให้จำอุปมาไว้อย่างหนึ่งว่าในภาพ ภาพในสมุดข่อยที่เขียนไว้สำหรับสอนธรรมะแก่คนที่ไม่รู้หนังสือ เขาเขียนเป็นนกอินทรีย์ ๖ ตัว ๖ ตัวก็คือตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อย่างที่ว่ามาแล้ว อินทรีย์ทั้ง ๖ นี่มันเป็นนกอินทรีย์ตัวเล็กอยู่ ๕ ตัว คือตา หู จมูก ลิ้น กาย แล้วมันเป็นนกอินทรีย์ใหญ่อยู่ตัวหนึ่งคือใจ นี่เราก็เห็นได้ง่าย ๆ เข้าใจได้ง่าย ๆ ว่าตา หู จมูก ลิ้น กาย นี่มันหาอะไรไปป้อนให้แก่ใจ อะไรที่จะเข้าไปถึงใจนั้น บางทีก็เข้าไปทางตา บางทีก็เข้าไปทางหู บางทีก็เข้าไปทางจมูก บางทีก็เข้าไปทางลิ้น บางทีก็เข้าไปทางผิวหนัง มีอยู่ ๕ ทางด้วยกัน เหล่านี้เป็นนกอินทรีย์ตัวเล็ก ๆ แล้วมันก็หาเหยื่อไปให้นกอินทรีย์ตัวใหญ่คือใจ นี่คือสิ่งที่เรียกว่าอินทรีย์โดยสมมติอุปมาเหมือนกับว่านกอินทรีย์ นี้ก็เป็นปริยายอันหนึ่งซึ่งเราควรจะเข้าใจ แต่ถ้าโดยนัยที่ลึกซึ้งไปกว่านี้อีก ท่านกล่าวไว้โดยลักษณะที่ว่าไอ้นกอินทรีย์ทั้ง ๖ ตัวนี้มันก็เท่า ๆ กัน อย่างในปฏิจจสมุปบาท แจกไปตามอินทรีย์ทั้ง ๖ แล้วก็มีผลที่จะเป็นปฏิจจสมุปบาทได้โดยเท่ากัน เช่นว่าตากับรูปถึงกันเข้าแล้วก็เกิดจักษุวิญญาณ ๓ ประการนี้ก็เรียกว่าผัสสะ ผัสสะให้เกิดเวทนา เวทนาให้เกิดตัณหา ตัณหาให้เกิดอุปาทาน ภพ ชาติ และความทุกข์ทั้งหลาย นี่ทางตาเป็นอย่างนี้ ทางหูก็เป็นอย่างนี้ ทางจมูกก็เป็นอย่างนี้ ทางลิ้นก็เป็นอย่างนี้ ทางกายก็เป็นอย่างนี้ ทางใจก็เป็นอย่างนี้ อย่างนี้มันเป็นอันว่าทั้ง ๖ ตัวนี้มันมีอะไร ๆ เท่า ๆ กันอย่างนี้ก็มี นี้เรียกว่าเป็นการมองที่ลึกกว่า นกอินทรีย์นี่มันจิก ถ้ามัน ถ้ามันเกิดที่ตา เป็นอินทรีย์ทางตา มันก็จิกลูกตาให้เจ็บปวดให้เร่าร้อน เกิดทางหูก็จิกหูให้เร่าร้อน เกิดทางจมูกก็จิกจมูกให้เร่าร้อน ลิ้นก็ให้เร่าร้อน กายก็ให้เร่าร้อน กระทั่งใจก็ให้เร่าร้อน เดี๋ยวตัวนั้นเกิด เดี๋ยวตัวนี้เกิด คือเดี๋ยวเกิดทางตา เดี๋ยวเกิดทางหู เป็นต้น จึงเรียกว่าเดี๋ยวนกอินทรีย์ตัวนั้นเกิด เดี๋ยวนกอินทรีย์ตัวนี้เกิด ทุกตัวมันจิกทั้งนั้น แล้วมันจะเป็นอย่างไรขอให้ลองคิดดูให้ดี จนกว่าเมื่อไรมันจะถูกทำให้อ่อนกำลังลงจนกระทั่งเราจับมันได้ จนกระทั่งเราฆ่ามันเสีย นกอินทรีย์อันดุร้ายนี้ก็จะหมดฤทธิ์หมดเดชเหมือนกับที่พระอรหันต์ท่านกำจัดมันได้ ที่เรียกว่ามีอินทรีย์อันชนะแล้วนั่น พระอรหันต์ท่านชนะอินทรีย์ทั้งหลายแล้ว เกี่ยวกับอินทรีย์นี่ขอให้คนธรรมดาสามัญนึกถึงว่ามันมีอยู่ ๒ ความหมายตรงกันข้าม ถ้าอินทรีย์ระงับเขาก็เป็นสุขอย่างเยือกเย็น เป็นลักษณะที่จะสังเกตได้สำหรับบุคคลผู้ชนะกิ ผู้หมดกิเลสแล้ว จะมีคำทักขึ้นว่าอินทรีย์ของท่านผ่องใสเหลือประมาณ เมื่อเขาเห็นผู้ที่เป็นพระอรหันต์เดินมาทุกคนจะรู้สึกในใจว่าอินทรีย์ของท่านผ่องใสเหลือประมาณ บอกไม่ถูกว่าอะไรที่ตรงไหน แต่รวมกันแล้วมันมีอินทรีย์ที่ผ่องใสเหลือประมาณ เป็นคำสำหรับทักกันใน ในเมื่อมีพระอรหันต์ผ่านมาให้เห็น นี้ก็ความหมายหนึ่ง แต่ทีนี้ของคนธรรมดาสามัญมันเป็นคนละอย่างกัน ว่าช่างงามพร้อมสิ้นทั้งอินทรีย์นี่ งามพร้อมสิ้นทั้งอินทรีย์เป็นคำกลอนที่ใช้ชมคนสวยคนงามโดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกผู้ชายชมผู้หญิง ว่าช่างงามพร้อมสิ้นทั้งอินทรีย์ มองดูทั้งหมดแล้วมันงามไปหมดตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อะไรมันก็งามไปหมด แต่งามอย่างนี้มันเป็นงามของกิเลส มัน มันงามอย่างเป็นที่ตั้งของกิเลส ไม่ใช่งามอย่างสงบระงับซึ่งเป็นลักษณะของพระอรหันต์ พระอรหันต์ก็มีอินทรีย์งาม ปุถุชนก็มีอินทรีย์งาม ใช้คำว่างามเหมือนกันแต่มันงามคนละอย่าง อย่างหนึ่งมันงามของกิเลส เหมือนที่คนหนุ่มคนสาวจะชมกันว่ามันงามนี่ ก็อินทรีย์นั้นก็งาม แต่พระอรหันต์ก็งาม มีอินทรีย์ที่งามที่น่าเลื่อมใสแต่ความหมายมันตรงกันข้าม นี้เป็นสิ่งที่ควรจะทำความเข้าใจแล้วสังเกตไว้ว่าเรื่องของอินทรีย์นะมันเป็นอย่างนี้ และที่ว่าพระอรหันต์ชนะอินทรีย์แล้วฆ่าอินทรีย์เสียได้ มันมีความหมายอย่างนี้ เมื่อเราพูดกันถึงอินทรีย์มากมายอย่างนี้แล้วก็มาดูกันถึงเรื่องคนธรรมดาสามัญในโลกนี้บ้าง อาตมาอยากจะใช้คำว่าโลกทั้งโลกในปัจจุบันนี้กำลังแก่กล้าหนาแน่นไปด้วยอินทรีย์ที่โลกนี้โง่หลงไปเพาะเลี้ยงมันให้ยิ่งขึ้น ๆ ทั้งโลกในปัจจุบันนี้เขากำลังเลี้ยงนกอินทรีย์นี้ให้มันแก่กล้าหนาแน่นขึ้น มันถูกหรือยัง ก็ลองคิดดู ว่าคนในโลกเวลานี้ล้วนแต่บำรุงบำเรอสิ่งที่เป็นความเอร็ดอร่อยทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ อย่างไม่ลดละ จนไม่รู้ว่าเกินพอดีแล้วนี่ยิ่งเพาะเลี้ยงมัน ก็เลยเป็น เป็นทาส เป็นบ่าว เป็นขี้ข้า นี่คำหยาบคายนักของอินทรีย์ ของตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เพาะเลี้ยงตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ บำรุงส่งเสริมไปเหมือนกับว่าช่วยกันเลี้ยงนกอินทรีย์ให้มันจิกตา จิกหู จิกจมูก จิกลิ้น จิกกาย จิกใจ ของคนเหล่านั้น เรามองดูให้ดีเราจะพบว่าไอ้การเพาะเลี้ยงอินทรีย์เหล่านี้มันเป็นต้นเหตุแห่งวิกฤตการณ์ทั้งหลายในโลก วิกฤตการณ์ในโลกที่เห็นง่าย ๆ เช่น การทำสงคราม การทำสงครามฆ่าฟันกันเรื่อยไปไม่มีหยุดนี่ มันมี มีมีมูลเหตุมาจากการหลงเลี้ยงอินทรีย์ทั้งนั้นคือต้องการจะบุงบำรุงบำเรอตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจทั้งนั้น แสวงหาเหยื่อมาหล่อเลี้ยงอินทรีย์ เมื่อไม่ได้ตามปรารถนาก็ต้องมีการเบียดเบียนฆ่าฟันกัน ถึงเขาจะรบราฆ่าฟันกันเป็นการใหญ่ระหว่างโลกนี้ ในระหว่างครึ่งโลกนี้ ครึ่งโลกต่อครึ่งโลกรบราฆ่าฟันกัน มันก็มีมูลเหตุมาจากการหลงเลี้ยงอินทรีย์ ความโง่ ความหลง ไปเป็นทาสของอินทรีย์ จะหาสิ่งที่บำรุงบำเรอให้ยิ่งขึ้นไป แล้วก็ต้องรบราฆ่าฟันกัน ดูผิวเผินแล้วมันอยู่คล้าย ๆ กับว่าเขาต้องการอะไรอย่างอื่น แต่เนื้อแท้มันก็ต้องการเหยื่อที่จะไปหล่อเลี้ยงอินทรีย์จึงได้ทำสงครามกัน สงครามอาวุธก็เป็นอย่างนี้ สงครามเศรษฐกิจก็เป็นอย่างนี้ กระทั่งเกิดในวัตถุนิยมจะครองโลก อย่างลัทธิ Materialism, Dialectical Materialism ของคอมมิวนิสต์หรือของอะไรก็ตาม มันมีมูลมาจากการที่ตกเป็นทาสของอินทรีย์คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ คนในโลกกำลังเป็นอย่างนี้ ลองเปรียบเทียบดูกับพระอรหันต์เถิดว่าจะแตกต่างกันสักกี่มากน้อย เราควรจะรู้จักสิ่งที่เรียกว่าอินทรีย์ในฐานะเป็นเสนียดจัญไรของโลกที่ทำให้โลกเกิดวิกฤตการณ์อันไม่มีที่สิ้นสุด หรือจะมองให้แคบเข้ามาในบ้านเมืองของเราที่เต็มไปด้วยอาชญากรรมโดยพวกอาชญากรทั้งหลายอย่างที่เราจะได้พบเห็นเป็นประจำวันจากหน้าหนังสือพิมพ์โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ ก็ยิ่งมากกว่าที่อื่น อาชญากรรมเหล่านี้ก็มาจากสิ่งที่เรียกว่าอินทรีย์ ขอให้พิจารณาดูให้ดี ๆ อาตมาก็ไม่ได้แกล้งว่าอย่างที่เรียกว่าเดาสุ่ม เป็นการศึกษาพระคัมภีร์แล้วก็มาพิจารณาดูเป็นอย่างดี ก็พบเห็นว่าต้นเหตุแห่งอาชญากรรมนั้นมันอยู่ที่การเป็นทาสของอินทรีย์ ต้องการจะบำรุงบำเรออินทรีย์คือตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันจึงประกอบอาชญากรรม แต่คนทั่ว ทั่ว ๆ ไปไม่มองเห็นว่ามีมูลเหตุที่สิ่งนี้ เขาดูกันเพียงว่าเศรษฐกิจมันไม่ดีและมักจะหลงอย่างโง่เขลาว่าเพราะเขายากจนเขาจึงประกอบอาชญากรรม อาตมาเห็นว่าไม่ ไม่ใช่อย่างนั้น ไม่ใช่ว่าไอ้เศรษฐกิจมันแฟบแล้วก็ประกอบอาชญากรรม ที่จริงเศรษฐกิจยิ่งเฟ้อนั่นแหละยิ่งประกอบอาชญากรรม พูดระบุไปยังคนร่ำรวยนั่นแหละเป็นทาสของกิเลสมาก คนร่ำรวยนี่แหละประกอบอาชญากรรมมากและก็ลึกซึ้งกว่าคนยากจนไม่มีอะไรจะกินจึงประกอบอาชญากรรม อาชญา อาชญากรรมทั้งหลายที่มาจากเศรษฐกิจแฟบก็ดี ที่มาจากเศรษฐกิจเฟ้อก็ดี ทั้ง ๒ อย่างนี้มันมาจากการเป็นทาสของอินทรีย์ แสวงหาเพื่ออินทรีย์ด้วยกันทั้งนั้นแล้วจึงประกอบอาชญากรรม ดูปัญหาในครอบครัว ทะเลาะวิวาทกันก็ขึ้นอยู่กับอินทรีย์ เดี๋ยวนี้มีปัญหามากจนถึงกับว่าไม่เคารพบิดามารดา ไม่เคารพครูบาอาจารย์ ไม่เคารพคนเฒ่าคนแก่ของเด็กวัยรุ่น ก็เพราะว่าเด็กวัยรุ่นเหล่านั้นมันตกเป็นทาสของอินทรีย์ มันเป็นทาสของตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ดูเหมือนจะพูดได้เลยว่าวัยรุ่นของเราที่ไปนิยมลัทธิซ้ายนั้นนะก็คือตกเป็นทาสของอินทรีย์แล้วก็ไม่รู้สึกตัว ต้องการจะเปลี่ยนระบบการปกครอง เขาว่าเขาบูชาอุดมคติแต่ส่วนลึกนั้นมันเป็นทาสของอินทรีย์ คือว่าถ้าเขาเปลี่ยนอุดมคติได้หรือเปลี่ยนระบบการปกครองได้ เขาก็มีทางที่จะบำรุงบำเรออินทรีย์ทั้งหลายของเขาได้มากยิ่งขึ้นไปนั่นเอง ดังนั้นเขาจึงมีหัวเอียงซ้ายหรือเอียงอะไรก็ตามเพื่อจะให้ได้รับสิ่งที่เขาต้องการ ถ้าเขาชนะอินทรีย์ได้ปัญหาอย่างนั้นก็จะไม่มี สรุปความแล้วก็จะเรียกว่าความเสื่อมศีลธรรมเกิดขึ้นเพราะว่าคนเป็นทาสของอินทรีย์มากขึ้น จะเป็นเด็ก ๆ ก็ได้ ผู้ใหญ่ก็ได้ คนแก่หัวหงอกแล้วก็ได้ เมื่อมันไปเป็นทาสของอินทรีย์เข้าแล้ว มันจะไม่มีศีลธรรม ฉะนั้นความเสื่อมศีลธรรมนี่จะยืดเยื้อต่อไปไม่มีที่สิ้นสุดเมื่อคนมันยังเป็นทาสของอินทรีย์ สักวันหนึ่งมันก็จะพูดว่าศีลธรรมนี้ไม่จำเป็น อาตมาขอเป็นผู้ทำนายสักหน่อย เป็นโหรผู้ทำนายสักหน่อย ว่าสักวันหนึ่งข้างหน้านี้คนก็จะไปไกลจนถึงกับขนาดที่รู้สึกว่าศีลธรรมนี้ไม่จำเป็น เดี๋ยวนี้ก็มองข้ามศีลธรรมกันเหลือประมาณแล้ว อาชญากรรมทั้งหลายมาจากความไม่มีศีลธรรม เขาก็ไปโทษว่าเศรษฐกิจต่างหาก อย่างนี้เป็นต้น แล้วไม่มองดูให้ดีอีกทีหนึ่งว่าไอ้ที่เศรษฐกิจมันเสื่อมเสียก็เพราะคนมันไม่มีศีลธรรม แล้วคนมันไปประกอบอาชญากรรมเหล่านั้นเพราะไม่มีศีลธรรม ไม่ใช่เพราะเศรษฐกิจเสีย หรือเศรษฐกิจแฟบ หรือเฟ้ออย่างเดียว เศรษฐกิจจะแฟบก็เพราะไม่มีศีลธรรม เศรษฐกิจจะเฟ้อก็เพราะไม่มีศีลธรรม ถ้ามีศีลธรรมแล้วปัญหาทางเศรษฐกิจก็จะไม่มี เพราะว่าคนมันเมตตากรุณาซึ่งกันและกันถึงกับว่ารู้สึกอยู่ในใจเสมอว่าสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงนี้มันเป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน มันก็ไม่เอาเปรียบกัน ปัญหาทางเศรษฐกิจก็มีขึ้นไม่ได้ เมื่อตกเป็นทาสของอินทรีย์ขนาดนี้แล้ว มันก็ไม่มองเห็นไอ้ข้อเท็จจริงที่เป็นธรรมะ ที่เป็นสัจธรรม หรือเป็นธรรมสัจจะ มันจะมองเห็นแต่ในเรื่องเนื้อหนังไปหมด เมื่อพูดถึงเรื่องของพระอรหันต์เขาก็จะไม่สนใจเพราะเขาสนใจแต่เรื่องจะได้เหยื่อมาหล่อเลี้ยงอินทรีย์เท่านั้น ฉะนั้นจึงยากที่จะรู้จักพระอรหันต์ หรือยากที่จะเข้าใจเรื่องราวของพระอรหันต์ ดังนั้นเขาก็ไม่มาทำมาฆบูชาให้เป็นที่ระลึกแก่พระอรหันต์ นี่จึงกล่าวว่าผู้ที่เป็นทาสของอินทรีย์แล้วยากนักที่จะรู้จักพระอรหันต์ หรือแม้รู้จักแล้วก็ยากที่จะชอบความเป็นพระอรหันต์ จะมีแต่เกลียดโดยท่าเดียวนี่ โลก โลกมนุษย์ปัจจุบันนี้มันจะไม่มีความเป็นมนุษย์ก็เพราะว่าเป็นทาสของอินทรีย์ เขาไม่รู้จักอิน ไม่รู้จักอินทรีย์ในฐานะที่เป็นเหมือนกับนกอินทรีย์ที่จิก จิกกินอยู่เสมอ เขาก็เลยสมัครที่เป็นเหยื่อของนกอินทรีย์เรียกว่าเห็นกงจักรเป็นดอกบัว เห็นอันตรายนั่นนะว่าเป็นความสุข นี่คือการที่ไม่รู้จักพระอรหันต์ จึงตกอยู่ในฐานะที่เป็นทาสของอินทรีย์ชั้นสูงสุด มีเหตุผลที่จะอธิบายของตัว อย่างไม่ยอมแพ้ที่เราเรียกกันว่าวัตถุนิยมวิภาษคือ Dialectical Materialism เพราะมีเหตุผลที่จะชี้แจงทุกกระเบียดนิ้วว่ามันสำคัญอยู่ที่วัตถุหรือเนื้อหนังจนลูกเด็ก ๆ วัยรุ่นของเราหลงตามไปหมดแล้ว นั้นก็เลยเป็นทาสของนกอินทรีย์กันไปหมด สมัครจะเลี้ยงจะทะนุถนอมอินทรีย์ สมัครเป็นทาส เป็นทาสของอินทรีย์ราวกับว่าเป็นพระเจ้า นับถือพระเจ้าคือความเอร็ดอร่อยทางวัตถุทางเนื้อทางหนังนั่นเอง ในทางพระศาสนานี้เรียกว่าเป็นทาสของอายตนะ อายตนะก็คือตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สิ่งเดียวกับที่เรียกว่าอินทรีย์ เราจะทำมาฆบูชาแก่พระอรหันต์ในวันนี้ขอได้คิดถึงเรื่องนี้แล้วจะเข้าใจพระอรหันต์ จะมีศรัทธาเลื่อมใสในพระอรหันต์และจะทำมาฆบูชาถวายท่านก็จะมีความหมาย เดี๋ยวนี้โลกกำลังมีปัญหาเรื่องนี้คือเรื่องเป็นทาสของอินทรีย์ เขาเป็นผู้ค้าอินทรีย์อย่างกับสูบเลือดผู้อื่น ใช้กามารมณ์เป็นเหยื่อล่อแสวงหาประโยชน์ของตน ผู้นั้นก็ยังไม่รู้จักสิ่งที่เรียกว่าอินทรีย์นี่ ผู้ค้าผู้ขายอินทรีย์ก็ไม่รู้จักอินทรีย์ ไอ้คนโง่ที่ไปเป็นเหยื่อ ซื้อหาเหยื่อเหล่านั้นก็ไม่รู้จักอินทรีย์ ผู้ที่ขายอินทรีย์หากินอย่างโสเภณี เป็นต้น มันก็ไม่รู้จักอินทรีย์ อะไร ๆ มันก็เป็นเรื่องไม่รู้จักอินทรีย์ไปทั้งนั้น ภิกษุสามเณรก็ไม่รู้จักอินทรีย์ อุบาสกอุบาสิกาก็ยังไม่รู้จักอินทรีย์ตลอดเวลาที่ยังไม่รู้จักเรื่องราวของพระอรหันต์ ฉะนั้นอย่าได้เห็นเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เลย แม้เป็นภิกษุสามเณรก็ไปเป็นทาสของอินทรีย์ได้และกำลังเป็นอยู่แล้วในระดับใดระดับหนึ่งทีเดียว ยังไม่เห็นมีการปรับทุกข์กันเลย ว่าเราทั้งหลายนี้เป็นเหยื่อของนกอินทรีย์คือตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ วันนี้เราก็จะทำมาฆบูชาแล้วในเวลาอันสั้นนี้ ฉะนั้นขอได้เปลี่ยนจิตใจกันเสียใหม่บ้าง เปลี่ยนจิตใจกันเสียสักขณะหนึ่งเถิด เพื่อให้มีจิตใจเหมาะสมที่จะทำมาฆบูชา ขอให้ภาวนาในใจในวันนี้ จะทำมาฆบูชาอุทิศแก่พระอรหันต์ก็จงระลึกนึกถึงข้อที่พระอรหันต์เป็นผู้มีอินทรีย์อันสงบระงับแล้ว พระอรหันต์เป็นผู้มีอินทรีย์ที่ชนะแล้ว พระอรหันต์เป็นผู้มีอินทรีย์ที่ท่านทำลายแหลกลาญไปหมดแล้ว และจะดีสักเท่าไร จะประเสริฐสักเท่าไร ทำความรู้สึกในใจดังนี้แล้ว ทำมาฆบูชากันในวันนี้เถิด นี่แหละอาตมาเรียกว่าทำมาฆบูชาแบบป่า แบบสวนโมกข์ แบบวัดป่าพระเถื่อน ซึ่งมันต้องทำอย่างนี้ถึงจะตรงตามความมุ่งหมายของเรื่องนี้ หรือตามพระพุทธประสงค์ที่ทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์อยู่กลางป่า ขอให้ท่านทั้งหลายกระทำในใจถึงพระอรหันต์ผู้ชนะอินทรีย์ เรามาบูชาท่าน เวียนประทักษิณเพื่อบูชาคุณของท่านโดยความหมายที่แท้จริงว่าจะปฏิบัติตามท่าน จะปฏิบัติตามพระอรหันต์ เราก็จะมีหู ตา สว่างไสว รู้จักสิ่งที่ควรรู้จัก แล้วอันนี้ก็จะคุ้มกันโรคภัยหรืออุปัทวันตรายที่จะเกิดแก่เราเพราะการเป็นทาสแห่งอินทรีย์นั้นได้ตลอดสักปีหนึ่งก็ยังดี ทำมาฆบูชาวันนี้ขอให้เป็นเหมือนวัคซีนที่ฉีดคุ้มกันโรคการเป็นทาสของอินทรีย์ตลอดสักหนึ่งปีก็ยังดี การมาสู่สถานที่นี้ของท่านทั้งหลายก็จะสำเร็จประโยชน์ มีผลคุ้มค่าหรือเกินค่าเป็นแน่นอน ถ้าผิดจากนี่แล้วอาตมาก็ไม่ทราบว่าจะว่าอย่างไร และไม่อาจจะรับรองได้ จะรับรองได้ก็แต่เพียงว่าระลึกถึงพระอรหันต์ให้ถูกให้ต้องตลอดเวลาที่จะทำมาฆบูชาในวันนี้ก็แล้วกัน นี้เป็นการกล่าวเพื่อซักซ้อมความเข้าใจเพื่อให้ท่านทั้งหลายเตรียมตัวพร้อม เตรียมจิตใจพร้อมที่จะทำมาฆบูชา ให้สำเร็จประโยชน์ ให้สุดความสามารถตามที่เราจะทำได้ ขอย้ำว่าให้สุดความสามารถเท่าที่เราจะทำได้ อย่าขยักไว้เลย ขอให้ทำให้สุดกำลังความสามารถเท่าที่เราจะทำได้ ให้ดีที่สุดตามสติปัญญาความรู้ความคิดของเรา เป็นอันว่าต่อนี้ไปก็จะได้ประกอบพิธีมาฆบูชา ธรรมเทศนาที่เป็นการแสดงเพื่อให้มีการเตรียมตัวเพื่อความเหมาะสมแก่การประกอบพิธีมาฆบูชานี้ก็สมควรแก่เวลาแล้ว ขอยุติธรรมเทศนาไว้แต่เพียงนี้ เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้