แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านนักเรียน นักศึกษา ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย อาตมากำลังจะพูดกับท่านทั้งหลาย โดยหัวข้อว่าธรรมะกับครูบาอาจารย์ ซึ่งเห็นว่าจะเป็นเรื่องที่เหมาะสม คุ้มค่ากับเวลาซึ่งเรามีอยู่จำกัด สิ่งแรกก็ขอให้ท่านทำใจให้เหมาะสม ที่จะฟัง จะทำความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ การที่มานั่งอยู่อย่างนี้ก็มีความหมายมาก และควรจะเข้าใจด้วย การนั่งกลางดินอย่างนี้ ก็เป็นอย่างหนึ่งในหลายๆอย่าง ที่ทำตนให้ใกล้ชิดกับธรรมชาติ ถึงขนาดที่จะเรียกว่า เป็นเกลอกับธรรมชาติ ยิ่งดินก็เปียก อากาศก็อยู่ในสภาพอย่างนี้ ท่านก็คงจะรู้สึกได้ว่ามันผิดกันในห้องเรียน หรือห้องประชุม บนตึกหรือบนอาคารที่ใช้กันอยู่ทั่วๆไป เราอยากจะพูดว่าอาคารเรียนชนิดนั้นหรือวิชาที่เรียนนั้น มันก็เข้ารูปกัน คือมันเป็นวิชาชีพ เดี๋ยวนี้อยากจะพูดว่า วิชาครูนี่ก็เป็นวิชาชีพชนิดหนึ่ง ไม่เหมือนกับสมัยโบราณ ซึ่งความเป็นครูบาอาจารย์นั้น เขาไม่ได้เรียกว่าอาชีพ หรือจัดเป็นอาชีพ ดังนั้นมาถึงสมัยนี้ก็กลายเป็นวิชาชีพชนิดหนึ่งไป แต่ยังอยากจะขยักไว้ว่าเป็นอาชีพของปูชนียบุคคล ขอให้ท่านทั้งหลายที่จะเป็นครูหรือเป็นครูอยู่แล้ว สำนึกในข้อนี้ด้วย เราจะได้ทำตนให้เป็นผู้มีอาชีพของปูชนียบุคคล ส่วนการที่มานั่งกลางดินอย่างนี้ ขอให้จำไว้ด้วยว่าเรานั่งบนที่นั่งที่อยู่ของพระพุทธเจ้า หรือของพระศาสดาแห่งศาสนา ทุกศาสนาเลยก็ว่าได้ พระศาสดาตรัสรู้ธรรมะของท่านเมื่อนั่งกลางดิน เมื่ออยู่กลางดิน ในถ้ำ ในป่า ในเขา ในอะไรก็สุดแท้ แล้วท่านก็สอนกันกลางดิน โดยเฉพาะพระพุทธเจ้า ท่านประสูติก็กลางดินไปหาอ่านดูจากพระพุทธประวัติ ท่านตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าก็กลางดิน ท่านนิพพานก็กลางดิน ที่เกิดเป็นมนุษย์ก็กลางดิน เกิดเป็นพระพุทธเจ้าก็กลางดิน แล้วก็นิพพานก็กลางดิน ตลอดเวลาก็สอน ส่วนใหญ่นั้นก็ตามพื้นดิน ที่ไหนก็ได้ เดินอยู่ก็ได้ ที่อยู่ของท่านก็เป็นพื้นดินไปดูได้ แม้ในบัดนี้ก็มีซากเหลืออยู่ ดังนั้นก็ขอให้เข้าใจว่าเรากำลังนั่งบนที่นั่ง ที่อยู่อาศัยที่อะไรของพระพุทธเจ้า ซึ่งจำต้องมีจิตใจแปลกออกไปจากจะนั่งบนอาคารเรียน นี่ขอให้สังเกตดูในข้อนี้ แล้วเราก็มีจิตใจอีกอย่างหนึ่ง ในการศึกษาอย่างหนึ่ง คือการศึกษาธรรมะ ถ้าศึกษาที่โรงเรียน ที่วิทยาลัย มหาวิทยาลัย ก็เป็นเรื่องศึกษาความรู้ทั่วไป แล้วไปสรุปรวมอยู่ที่อาชีพทั้งนั้น เรื่องมันจึงต่างกัน การเรียนธรรมะนี้ ขอให้หลับตามองเห็นว่า มันเป็นเรื่อง เป็นการเรียนเรื่องของธรรมชาติ สิ่งที่เรียกว่าธรรมะนั้นมัน เป็นเรื่องของธรรมชาติ นี้เราเข้าใจธรรมชาติเท่าไร ก็คือเข้าใจธรรมะเท่านั้น เรานั่งใกล้ธรรมชาติเท่าไร เราก็มีโอกาสที่จะเข้าใจธรรมชาติได้เท่านั้น ดังนั้นเรื่องของธรรมะจึงอยู่ตามธรรมชาติ เช่น สะดวกที่จะค้นคว้าศึกษาในป่าตามธรรมชาติเป็นต้น แม้การอบรมสั่งสอนก็อย่างเดียวกัน
ฉะนั้นการที่ท่านมาถึงที่นี่ ที่เรียกกันว่าสวนโมกข์ แล้วมานั่งอยู่ในสภาพเช่นนี้ ก็ด้วยความมุ่งหมายอย่างนี้ แต่ท่านจะทราบหรือไม่ทราบก็ตามใจ แต่ความมุ่งหมายแท้จริงมันเป็นอย่างนี้ ให้เราเป็นอิสระจากสิ่งแวดล้อมอย่างบ้าน อย่างเรือน อย่างตลาดนั้นเสียก่อน แล้วก็มาอยู่ในสภาพแวดล้อมอย่างนี้ มันก็ง่ายในการที่จะเป็นเกลอกันกับธรรมชาติ เรามีคำพูดที่ช่วยให้จำง่าย ลืมยาก ว่าเมื่อทำจิตใจ หรือว่าปรับปรุงเนื้อตัวถูกวิธีแล้ว อยู่ในสถานที่ที่เหมาะสมแล้ว ก็จะได้ยินก้อนหินพูด ต้นไม้พูด เม็ดกรวด เม็ดทราย มด แมลงอะไรก็พูด แล้วก็พูดเรื่องที่สำคัญที่สุดก็คือเรื่อง อนิจจัง ทุกข์ขัง อนัตตา หรือเรื่องความจริงที่ถ้ามนุษย์รู้แล้ว ก็จะไม่มีความทุกข์ คือพูดถึงเรื่องความจริงของธรรมชาตินั่นเอง บางคนไม่เข้าใจว่า ทำไมจะได้ยินก้อนหินพูด ต้นไม้พูด ก็ลองปรับปรุงตัวเองดูไปเรื่อยๆจนมีจิตละเอียด ประณีตถึงขนาดความคิดก็จะผุดขึ้นมาเองในจิตใจ ในสภาพสิ่งแวดล้อมเช่นนี้ ในสภาพสิ่งแวดล้อมอย่างอื่น มันก็เกิดความรู้สึกคิดนึกขึ้นมาในใจอย่างอื่น แม้จะเห็นจริงอะไรบางอย่าง มันก็เห็นเป็นในสภาพอย่างอื่น ในรูปร่างอย่างอื่น หรือมานั่งอย่างนี้ จะเห็นสิ่งในสภาพที่เรียกว่าธรรมะ ที่เขาเรียกกันมาแต่โบรมโบราณว่าธรรมะ มนุษย์นี้ก็เป็นธรรมชาติ อย่าได้เข้าใจว่ามนุษย์ไม่ใช่ธรรมชาติ เด็กๆแรกเรียน แรกศึกษามักจะเข้าใจคำว่าธรรมชาติไม่ถูกต้อง เพราะการศึกษาอย่างใหม่ ซึ่งไปตามก้นฝรั่งโดยเฉพาะนั่น คำว่า คำว่าธรรมชาติก็มีความหมายอย่างอื่น แล้วก็แยกอะไรออกมาเสียจากธรรมชาติ เพราะตามทางของศาสนานั้น อะไรๆก็เป็นธรรมชาติ แม้ที่มนุษย์จะแยกตัวออกมา มีการกระทำบ้าๆบอๆชนิดไหน มันก็ยังเป็นไปตามธรรมชาตินั่นแหละ แต่มันเป็นธรรมชาติที่แปลกออกไป แปลกออกไป ฉะนั้นสิ่งที่เรียกว่าธรรมะนั้น หมายถึงตัวธรรมชาติก็มี หมายถึงกฎของธรรมชาติก็มี หมายถึงหน้าที่ที่จะต้องกระทำให้ถูกกับกฎของธรรมชาติก็มี ก็ยังคงเรียกว่าธรรมะ
ดังนั้นผลอะไรมันเกิดขึ้นมาจากการทำหน้าที่นั้นก็ยังเรียกว่าธรรมะอยู่นั้นเอง ไอ้คำนี้มันเป็นคำประหลาด เป็นภาษาที่ประหลาด เพราะธรรมะแปลว่าธรรมชาติ สิ่งทั้งปวงเป็นธรรมชาติ เป็นปรากฏการณ์ของธรรมชาติ ทีนี้ก็มีกฎของธรรมชาติควบคุมธรรมชาตินั้นอยู่ ไอ้ตัวกฎนั้นก็เรียกว่าธรรมชาติ เราเคยพูดแกมล้อพวกฝรั่งว่า เมื่อท่านเรียกว่า God ก็ตามใจ ไอ้เราเรียกสั้นเข้ามาเป็นกฎ กฎของธรรมชาติของพวกพุทธบริษัทนี่แหละ คือคำว่า God ของพวกที่มีพระเจ้า ทีนี้หน้าที่ที่มนุษย์จะต้องทำนี้ มันก็ไม่ ไม่แปลกไปจากกระทำไปให้ถูกกับกฎของธรรมชาติ เดี๋ยวมันต้องเป็นไปตามกฎของธรรมชาติ ทำผิดมันก็ไปตามกฎของธรรมชาติ ทำถูกมันก็ไปตามกฎของธรรมชาติ แม้ว่าจะต่างกันอย่างตรงกันข้าม มนุษย์ไม่มีปัญญาอะไรที่ทำให้แปลกออกไป หรืออยู่เหนือกฎของธรรมชาติได้ มันจะเก่งถึงกับไปโลกพระจันทร์ได้ ไปไหนได้ มันก็ต้องทำถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ มันจะทำผิด ทำเลว ทำชั่ว มันก็เป็นไปตามกฎของธรรมชาติทั้งนั้น นี่เรามีหน้าที่ที่จะต้องทำให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติในฝ่ายที่ดี หรือฝ่ายที่ไม่ต้องเป็นทุกข์ ดังนั้นจึงมีหน้าที่ตามธรรมชาติ ไม่ว่าอาชีพไหนเมื่อทำถูกต้องโดยสุจริตแล้วก็จะเป็นไปตามกฎของธรรมชาติ ที่จะทำให้มนุษย์นี่ประสบกับสิ่งที่พึงปรารถนา แล้วก็ออกเป็นผล เป็นผลออกมาจากการทำหน้าที่นั้นๆอย่างที่เราเห็นๆกันอยู่ มนุษย์ที่เป็นพาลก็ไม่มีความเป็นมนุษย์ มันก็มีความเป็นอันธพาล ก็ได้รับผลสมกับที่เป็นอันธพาล เป็นมนุษย์ที่ถูกต้อง ก็ได้รับผลสมกับความเป็นมนุษย์ที่ถูกต้อง
ดังนั้นขอให้ครูบาอาจารย์ทั้งหลายระมัดระวังให้ดี ในการเป็นมนุษย์ของตน ท่านที่เป็นนักเรียน นักศึกษาก็ยิ่งต้องระวังให้มาก ศึกษาให้ถูกเรื่องของธรรมชาติ ดูให้ถูกเรื่องของธรรมชาติ แล้วก็จะพบว่าธรรมชาติไม่ได้สร้างเรามาเพียงว่าให้มีอาหารกิน มีเครื่องนุ่งห่ม มีที่อยู่อาศัย มียาแก้โรคเท่านั้นก็หามีได้ มันไม่ใช่เพียงเท่านั้น มันยังมีอะไรมากไปกว่านั้น มันสำหรับจะอยู่กันเป็นผาสุก มีจิตใจชนิดที่เป็นความสงบสุขสูงยิ่งไปกว่าธรรมดา เพียงแต่มีอาหารกิน มีเครื่องนุ่งห่ม อย่างนี้มันก็ ใครๆก็มีได้ ไม่เกี่ยวกับธรรมะ ไม่เกี่ยวกับศาสนามันก็มีได้ แต่ถ้าจะมีจิตใจให้ดี ให้สูง ให้ประเสริฐนั้นมันต้องอาศัยไอ้สิ่งที่เรียกว่าธรรมะ นี่คนสมัยปัจจุบันนี้ ละเลยศาสนาของตนๆยิ่งขึ้น สิ่งที่เรียกว่าธรรมะก็เลือนไปๆๆ หลายสิบปีเข้ามันก็เลือนมาก จนเดี๋ยวนี้ไม่รู้ว่าจะไปคว้าธรรมะหรือศาสนาที่ ที่ ที่ดี ที่แท้จริง ที่มีประโยชน์กันที่ไหนขอให้สังเกตดู เพราะว่าคนทั้งโลกมันเฮไปในทางของวัตถุโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวมากขึ้นๆ จนผิดกับบรรพบุรุษมากเหลือเกิน บรรพบุรุษของเราชั่วสัก ๘๐ ปีนี้ผิดกับเดี๋ยวนี้มาก ผิดกับลูกหลานเดี๋ยวนี้มาก มีจิตใจต่างกันมาก ลูกหลานสมัยนี้บูชาเรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรติมาก ซึ่งบรรพบุรุษเขาไม่ได้บูชาสิ่งเหล่านี้ เขามีสิ่งเหล่านี้ไว้สำหรับใช้ให้เป็นประโยชน์ ไม่หลงการกินเหมือนคนสมัยนี้ ไม่หลงแต่งเนื้อแต่งตัวเหมือนคนสมัยนี้ ไม่ทำอะไรบ้าๆบอๆ อย่างที่พวกวัยรุ่นสมัยนี้กระทำ ให้คนทั้งเมืองมันเดือดร้อน เขาไม่เคยทำ อย่างที่วัยรุ่นเรียกร้องในโรงเรียนอย่างนั้นอย่างนี้เป็นเรื่องบ้าๆบอๆทั้งนั้นแหละไปดูเถิด มันไม่จำเป็นจะต้องทำให้ยุ่งยากลำบากอย่างนั้น ไปเรียนหนังสือดีกว่า มันก็ทำ เพราะมันไปบูชาเรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรติ โดยไม่รู้จักสิ่งเหล่านี้ ๓ คำนี้ช่วยจำไว้ให้ดีว่า ถ้าทำผิดกับมันแล้ว มันก็คือยักษ์ เหมือนกับมาร ซาตาน อะไรก็แล้วแต่จะเรียก ที่จะทำลายมนุษย์ อย่าไปบูชาเรื่องกินจนเกินที่จำเป็น ถ้ามันกินโดยจำเป็นเท่าที่จำเป็น มันก็เป็นอาหาร แต่ถ้าไปกินเกินจำเป็นมันก็เป็นเหยื่อ เหยื่อล่อโดยทางลิ้น พาคนไปลงนรก อาหารกับเหยื่อนั้นมันต่างกันมาก กินอาหารก็บำรุงร่างกาย กินเหยื่อก็สำหรับให้ติดเบ็ดของเขา แล้วพาไปลงนรก เรื่องกินก็พาคนไปลงนรกอยู่เรื่อย ๆ เรื่องกาม ถ้าบริสุทธิ์ตามธรรมชาติมันเป็นเรื่องสืบพันธุ์ ถ้าเป็นเรื่องโง่เขลา มันก็เป็นเรื่องบ้าหลัง จนไม่มีความเป็นมนุษย์เหลืออยู่เลย สำหรับผู้ที่บูชากาม กามอารมณ์ เรื่องเกียรติก็เหมือนกัน ถ้าถูกต้องมันเป็นเครื่องกระตุ้นใจให้ทำความดี หรือทำประโยชน์แก่สังคม ถ้ามันเป็นเรื่องทุจริตผิดความหมาย มันก็เป็นความบ้าชนิดหนึ่ง แล้วก็ทำอันตรายผู้อื่น ใช้อำนาจ ใช้อะไรต่างๆ ทำอันตรายผู้อื่น แล้วมันก็วกกลับมาทำอันตรายตัวเอง นี่ขอให้เข้าใจอย่างนี้ ๓ คำจำไว้ให้ดี คือกิน คือกาม คือเกียรติ เรียกว่า ๓ ก ถ้าทำกับมันอย่างถูกต้องก็มีประโยชน์ ทำผิดก็ให้โทษ แต่ว่าแม้จะถูกต้องอย่างไรมันก็ยังไม่ใช่ธรรมะอันสูงสุด ถ้าเป็นธรรมะอันสูงสุดมันก็ต้องควบคุมสิ่งเหล่านี้ได้โดยสิ้นเชิง เรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรติ ก็กลายเป็นเพียงอุปกรณ์สำหรับมีชีวิตอยู่ สำหรับไม่สูญพันธุ์ อะไรทำนองนี้ แต่ยังไม่อาจจะทำให้มนุษย์มีสันติสุขโดยส่วนบุคคล หรือมีสันติภาพโดยส่วนรวมด้วยกันทั้งโลกใหม่ได้ ขอให้สนใจเรื่องธรรมะ
ที่จะพูดถึงคำว่าธรรมะอย่างที่ได้เอ่ยถึงมาแล้วตั้งแต่ตอนต้นว่าจะพูดเรื่องธรรมะกับครูบาอาจารย์ ถ้าถือเอาตามความหมายที่ถูกต้อง คำว่าครูบาอาจารย์นี่ก็มีความหมายเป็นผู้เปิดประตูและเป็นผู้นำ นี้พูดตามปทานุกรมด้วยซ้ำ แต่ว่ามันเป็นปทานุกรมของภาษาอื่น ซึ่งไม่ใช่ภาษาไทย เพราะคำว่าครู ครุ นี้ไม่ใช่ภาษาไทยโดยกำเนิด ไปยืมมาจากภาษาอื่น เมื่อไปดูปทานุกรมของคนที่เป็นเจ้าของภาษาคำๆนี้ เขาก็ค้นกันมาก จนถึงเขาพูดว่าไอ้คำแรกทีเดียวนี่มันมาจากไอ้รากศัพท์ root ศัพท์อะไรอันหนึ่งซึ่งแปลว่าเปิดประตูมากกว่า เพราะว่าครูคือผู้เปิดประตูในทางวิญญาณ ให้มนุษย์ออกมาจากเล้ามืดๆ คอกมืดๆ กรงมืดๆ ออกมาสู่แสงสว่างนี่ คำว่าครูแปลว่าอย่างนี้ ปทานุกรมปัจจุบันก็มักจะแปลกันว่าผู้นำในทางวิญญาณ spiritual ใจ คำธรรมดาๆนี่ แปลว่าผู้นำทางด้านวิญญาณ ดังนั้นครูต้องมีสมรรถภาพในการที่จะนำคนในด้านวิญญาณ เดี๋ยวนี้ในเมืองไทยเราก็ได้ใช้คำว่า ครูนี้เป็นเพียงผู้สอนหนังสือ แม้จะนำวิญญาณก็เป็นเรื่องส่วนน้อยเพราะมันไม่มีในหลักสูตร แต่ก็ขอให้เข้าใจไว้ว่า ทำอะไรให้เป็นครู ก็ต้องทำไปให้เป็นในลักษณะที่เป็นผู้เปิดประตู หรือเป็นผู้นำในทางวิญญาณ ให้มนุษย์ออกมาจากความมืด มาสู่แสงสว่าง นี้คำว่าธรรมะก็คือระเบียบปฏิบัติ สำหรับออกมาจากความมืด มาสู่แสงสว่าง สำหรับออกมาจากความทุกข์ มาสู่ความไม่มีทุกข์ สรุปความแล้วก็พูดว่า ออกมาเสียจากสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา ออกมาสู่สิ่งที่ควรปรารถนาอย่างยิ่ง เป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วจะไม่เรียกว่ามนุษย์ ดังนั้นอย่าใช้คำว่ามนุษย์ให้มันพร่ำเพรื่อนัก อย่าใช้คำว่ามนุษย์ให้มันมีความหมายต่ำเกินไป
คำว่ามนุษย์ควรจะเอาตามรูปตัวศัพท์ ตัวคำว่าหมายถึงสัตว์ที่มีใจสูง แล้วมันสูงขึ้นไป สูงขึ้นไป สูงขึ้นไป จนถึงที่สุดที่มนุษย์มันจะสูงได้ นั่นแหละคือมนุษย์ ดังนั้นครูก็จะต้องนำเขาไปที่นั่น โดยอาศัยสิ่งที่เรียกว่าธรรมนั่นเอง ให้นึกถึงคำว่าธรรม ในความหมาย ๔ อย่าง อย่างที่ได้พูดไว้แล้วเมื่อตะกี้นี้ ว่าธรรมคือธรรมชาติ ธรรมคือปรากฏการณ์ของธรรมชาติ ธรรมคือกฎของธรรมชาติ ธรรมคือหน้าที่หรือ การปฏิบัติให้ถูกตามกฎของธรรมชาติ ธรรมคือผลที่ได้รับมาจากการปฏิบัติหน้าที่นั้นๆ ข้อนี้จะเป็นหลักเดียวตรงกันหมดทุกๆศาสนา และทุกๆยุค ทุกสมัย เพียงแต่ว่าได้มากขึ้นๆ หรือสูงสุดยิ่งขึ้นๆ จนเดี๋ยวนี้เราก็จะต้องเรียกว่าเป็นมนุษย์ในระดับสูงสุด คือมันมีอะไรให้ทุกอย่างสำหรับเป็นมนุษย์ในระดับสูงสุด แต่เราอย่าทำผิดกับสิ่งเหล่านี้ ความเจริญในทางวัตถุ ทางร่างกายมันก็ต้องเรียกว่าสูงสุดจนจะเกินสุด จะเกินๆพอดี จะเฟ้อไป ไอ้สูงสุดนี้ไม่ใช่เกินและเฟ้อ มันก็สูงสุดอยู่เพียงว่ามันควรจะดีเท่าไร เท่านั้นก็พอ ถ้าเลยนั้นมันก็เฟ้อ แล้วมันก็จะบ้า เหมือนกับการสูงสุดในทางวัตถุสมัยนี้มันกำลังบ้า คือมันเกินพอดี เกินจำเป็น แต่เมื่อเหลือบไปดูในทางฝ่ายจิตใจ มันยังเว้าแหว่งขาดอยู่มาก มนุษย์ไม่มีความสูงสุดในทางจิตใจเท่าๆกับความสูงสุดในทางวัตถุ จึงมีปัญหามากขึ้น จนเดี๋ยวนี้มีอาชญากรรมมากขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ ก็เพราะไอ้ความสูงสุดในทางวัตถุนั้นมันเฟ้อ แล้วความสูงสุดในทางจิตใจมันไม่มี ดังนั้นเราก็ลดไอ้ความสูงสุดทางวัตถุให้มันพอดี แล้วเพิ่มความสูงสุดในทางจิตใจให้มันสูงขึ้นไปตาม นี่เป็นหน้าที่ของครูบาอาจารย์ ท่านจะรู้หรือไม่รู้ก็ตามใจ ท่านจะรับผิดชอบหรือไม่รับผิดชอบก็ตามใจ แต่ธรรมชาติมันต้องการอย่างนี้
ถ้ามนุษย์ในโลกนี้มันยังโง่ มันก็ยังทำผิดต่อธรรมชาติ รัฐบาลไหนกระทรวงศึกษาธิการของประเทศไหนมันยังโง่ มันก็จัดไม่ถูก มันก็ทำให้ประเทศหรือว่าโลกนี่ ประสบประเด็นปัญหาอย่างนี้มากขึ้น ช่วยเอาไปคิดดู พวกท่านทั้งหลายจะเป็นแต่เพียงทำงาน เพื่อปากเพื่อท้อง เป็นครูอาชีพเท่านั้นก็ตามใจ แต่ต้องรู้ไว้ว่าถ้าทำผิดพลาดนี่จะเป็นผู้ช่วยสร้างอาชญากรรมขึ้นมาในโลกนี้ เพราะว่าสอนแต่เพียงให้ฉลาด ยิ่งฉลาดก็ยิ่งเห็นแก่ตัว พอเห็นแก่ตัวก็ประกอบอาชญากรรมยิ่งๆขึ้นไป มันก็ไม่ใช่ครูที่แท้จริงเพราะว่านำคนลงนรก ครูในโลกโดยมากจะกำลังเป็นอย่างนี้อยู่กันหรือไม่ก็ขอให้คิดดู ไม่ใช่ผู้เปิดประตูทางวิญญาณให้ออกมาสู่แสงสว่างแล้วเดินถูกทาง ไม่ต้องตกนรก ถ้าในโรงเรียน หรือในวิทยาลัย ในมหาวิทยาลัย มันบ้ากันเสียเอง คือเห็นแก่ตัว ตามใจตัว ตามใจกิเลสของตัว เห็นได้ที่พิธีที่เลวทรามที่สุด เช่น พิธีรับน้องใหม่เป็นต้น อย่างนี้มันก็พาให้ลงนรกแล้วตั้งแต่ยังอยู่ในวิทยาลัย ในมหาวิทยาลัยนั่นเอง พูดนี้ไม่ใช่พูดเข้าข้างตัวหรือเข้าข้างใคร พูดไปตามความเป็นจริงของมนุษย์สำหรับมนุษย์ ขอให้ไปดูด้วย มันเป็นครูกันอย่างไร ลูกศิษย์จึงออกมาในรูปร่างที่เห็นแก่ตัว เลวร้าย ยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉานนะ สัตว์เดรัจฉานไม่ได้เลวร้าย เพราะเห็นแก่ตัวเหมือนกับคนในยุคปัจจุบัน ขอให้ดูให้ดี สัตว์เดรัจฉานไม่ได้ก้าวหน้าในทางนี้ ยังคงอยู่เหมือนเดิม เมื่อแสนปี ล้านปีมาแล้ว แต่คนนี้มันก้าวหน้าในทางความฉลาด แล้วมันก็ใช้ความฉลาดแต่ในทางเห็นแก่ตัว มันก็เกิดคนเห็นแก่ตัว เต็มไปทั่วทั้งโลก และมันก็ทำแก่กันและกันอย่างนี้ แล้วจะไปโทษใคร ปัญหาทุกอย่างในโลกนั้น มันกำลังมีอยู่อย่างนี้ เพราะเหตุอย่างนี้ คือเหตุที่ไม่มีธรรมะสำหรับความเป็นมนุษย์ จะฉลาดกันไปถึงไหน ถ้าฉลาดเพื่อเห็นแก่ตัว เพราะว่ายิ่งเห็นแก่ตัวมันก็ยิ่งทำลายผู้อื่น มันช่วยไม่ได้ เราบูชาเรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรติเป็นพระเจ้า แทนที่จะมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ หรือพระเจ้าที่ถูกต้อง มันก็เป็นไปอย่างนี้ นี่อาตมาจะต้องพูดอย่างนี้เพราะไม่มีหน้าที่พูดอย่างอื่น แล้วก็พูดอย่างอื่นก็ไม่เป็นด้วย ยอมรับว่าโง่ในการที่จะพูดอย่างอื่น มันก็ได้แต่พูดอย่างนี้ เพราะธรรมะนี้มันมีสำหรับมนุษย์ จะได้เป็นมนุษย์ที่สูงสุด ตามความมุ่งหมายที่ว่ามันมีมนุษย์ขึ้นมา ทิ้งสัตว์เดรัจฉาน ไกลออกไปๆๆๆ เพราะมีความคิดมีสติปัญญา มีมันสมองอีกประเภทหนึ่ง คือมีการศึกษาทำให้ก้าวหน้าในทางมันสมอง นี้ถ้าว่าควบคุมความก้าวหน้านั้นไม่ถูกต้อง มันก็เป็นไปในทางเห็นแก่ตัว อย่างนี้เขาเรียกว่ามันมีกิเลส มีกิเลสซึ่งเป็นศัตรูร้ายกาจที่สุดของมนุษย์เรา ก็ทำโลกนี้ให้เต็มไปด้วยวิกฤตการณ์ ตกนรกทั้งเป็นก็ยังไม่รู้ นรกที่ตกอยู่แท้ๆมันก็ยังไม่รู้ จะไปพูดถึงนรกต่อตายแล้วนั้นมันป่วยการเปล่าๆ เดี๋ยวนี้มันตกนรกอยู่แท้ๆ มันก็ยังไม่รู้จัก จะลำบากยุ่งยากมากขึ้นทุกที จะอยู่ด้วยความหวาดผวา ความระแวง ความกลัวมากขึ้นทุกที เหมือนที่มันกำลังแสดงให้เห็นอยู่ในเวลานี้ แล้วก็ดูที่หัวใจของคนทุกคนกำลังร้อนเป็นไฟ ร้อนด้วยความอยากก็มี ร้อนด้วยความโกรธก็มี ร้อนด้วยความโง่ก็มี แต่ส่วนใหญ่มันร้อนด้วยความอยากอย่างโง่เขลา มันอยากในเรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรติ อย่างโง่เขลา แล้วมันร้อนยิ่งกว่าไฟเพราะมันเผาจิตใจ ไอ้ไฟแท้ๆนี้มันเผาแต่เพียงร่างกาย เนื้อหนัง มันไม่ร้อนลึกซึ้งเหมือนกับไฟที่มันเผาจิตใจ คือความโง่ มีความทะเยอทะยานเรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรติ อย่างที่กำลังเผาโลกอยู่ในเวลานี้
ถ้าท่านมีตา ท่านก็จะพบว่า ไอ้โลกนี่ มันกำลังเหมือนกับถูกไฟเผาลุกโพลงๆอยู่ คือไม่มีความสงบสุขทั่วไปทุกหัวระแหง ประเทศที่ยิ่งเจริญมาก ยิ่งใหญ่โตมาก ยิ่งมีไฟอย่างนี้มาก ไปดูเถิด พวกที่ไปมาแล้วมันก็เห็น แล้วมันก็มาบอกอย่างนี้ทั้งนั้น ประเทศที่ล้าหลังที่เรียกกันว่าป่าเถื่อนนั่นแหละมันกลับมีไฟน้อย อยู่กันอย่างเย็นๆ นี่จะผิดถูกอย่างไรก็ไปคิดเอาเอง แต่เดี๋ยวนี้ไอ้ทางธรรมะหรือทางศาสนานั้นเขาต้องการแต่ที่เย็น ให้ร่างกายก็เย็น ให้จิตใจก็เย็น รวมกันแล้วมันเป็น ๒ เย็นก็มีความสมบูรณ์ ทีนี้ก็อยากจะย้อนไปถึงคำว่า ธรรมะอีกครั้งหนึ่ง คือเป็นกฎของธรรมชาติที่จะต้องประพฤติให้ถูกต้อง มันจึงจะเย็น ทางกายก็ดี ทางจิตก็ดี ต้องประพฤติให้ถูกต้องตามความต้องการของพระเจ้า หรือ God แล้วประพฤติให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติที่เราเรียกกันว่ากฎนี่ก็ได้ กฎนี่คือธรรมะ ในความหมายที่สำคัญที่สุด ก็บอกแล้วว่าธรรมะโดยสรุปแล้วมีถึง ๔ ความหมาย แต่ว่าความหมายที่สำคัญที่สุด คือความหมายว่ากฎของธรรมชาติ ซึ่งใครฝืนมันไม่ได้ กฎของธรรมชาตินี่บันดาลให้สิ่งต่างๆเกิดขึ้นและเป็นไป เมื่อยังไม่มีโลก มันก็อยู่ตามกฎของธรรมชาติชนิดหนึ่ง เมื่อมันมีดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ โลกอะไรขึ้นมา มันก็มีกฎของธรรมชาติชนิดหนึ่ง มันสร้างขึ้นมา มันควบคุมเอาไว้ แล้วมันให้เป็นไปกว่ามันจะสลายลงไปตามกฎของธรรมชาติ มันมากถึงขนาดนั้นจะสู้มันไหวที่ไหน เหลืออยู่แต่ว่าเราจะต้องทำให้ถูกต้องเป็นประจำวัน เป็นวันๆไป อย่าให้เกิดความผิดพลาดเดือดร้อนเป็นทุกข์ มนุษย์ทำให้ได้เพียงเท่านี้ก็พอแล้ว แต่ต้องถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ หรือตามความประสงค์ของพระเจ้า ซึ่งในความหมายที่ถูกต้อง คนยังรู้จักพระเจ้าผิดๆ ผิดถึงขนาดเกลียดพระเจ้าก็มี อย่างพวกฝรั่งนี่ เขาเลิกพระเจ้ากันแล้ว เขาว่าพระเจ้าตายหมดแล้ว เหลือแต่สติปัญญาของมนุษย์ แล้วฝรั่งเป็นอย่างไรก็ไปคิดดูเอง ไปมองดูเอง
คำว่าฝรั่งในที่นี้ เราไม่ได้ดูถูกเขาไปทุกคนนะ ฝรั่งที่ดี ที่ฉลาด ที่เข้าถึงพระเจ้าก็มี แต่ว่าส่วนมากเขาเป็นผู้นำ เป็น ให้ก้าวหน้าไปในทางที่จะหันหลังให้พระเจ้า คือไปดีกันในทางวัตถุ คือกิเลส คือเหยื่อของกิเลส นี้ธรรมะมันก็ตรงกันข้ามเพื่อจะกำจัดกิเลส เพื่อจะไม่ให้มีเสนียดจัญไร เลวร้ายอะไรเกิดขึ้นในโลก หรืออยู่ในโลก โลกในที่นี้ก็คือจิตใจของคน อย่าให้กิเลส สิ่งเลวร้ายที่เรียกว่าภูตผีปีศาจ พญามาร ซาตานอะไรก็ตาม อย่ามาเกิดขึ้นในจิตใจของคน สิ่งที่จะต่อสู้ ป้องกัน แก้ไขได้ก็คือธรรมะ นี้ใครไม่มีธรรมะก็ลองคิดดูก็แล้วกัน ท่านทั้งหลายทุกคนนี่แหละ ในบางเวลาที่ไม่มีธรรมะ ที่มันว่างไปจากธรรมะบ้าง มันเป็นอย่างไร มันร้อนระอุด้วยราคะ ร้อนระอุด้วยโทสะ โมหะ มีมากน้อย นี่ไป ไปสังเกตดู นี่เป็นจุดตั้งต้นที่จะรู้จักธรรมะ คือต้องรู้จักความไม่มีธรรมะเสียก่อน แล้วมีผลมันก็ตกนรกทั้งเป็น แล้วก็จะรู้ว่ามันจะต้องแก้ไขกันอย่างไร คือดูที่ความทุกข์ว่ามันเกิดขึ้นจากอะไรก็จัดการที่ตรงนั้น จะไม่ให้เกิดกิเลส มันก็ต้องรู้เรื่องที่เกิดของกิเลส เดี๋ยวนี้กิเลสคืออะไรก็ไม่รู้ ไม่รู้ยังไม่พอ แถมรู้ผิด ไปบูชากิเลสเป็นพระเจ้า เหมือนกับวัยรุ่นทั้งหลายเขากำลังบูชากิเลสเป็นพระเจ้า ที่กำลังเป็นอันธพาลอยู่ในโรงเรียน ในวิทยาลัย ในมหาวิทยาลัย ประสาท แต่ยังมีวัยรุ่นอยู่พวกหนึ่งซึ่งไม่เป็นอย่างนั้น ที่กำลังต่อสู้ไม่ให้เป็นอย่างนั้น นี่จะเป็นผู้ที่จะช่วยมนุษย์ได้ นี้การที่จะไม่เป็นทาสของกิเลส จะไม่บูชากิเลสนั่นต้องอาศัยธรรมะ นี้ธรรมะนี่มันมีรายละเอียดมากเกินไปกว่าที่จะเอามาพูดได้ในเวลาเพียงชั่วโมงๆ หรือแม้แต่วันๆ จึงต้องเอาใจความหรือหัวข้อสำคัญบางข้อมาพูด ถ้าเข้าใจแล้วมันก็แจกออกไปเป็นทุกข้อได้ เช่นว่าความไม่เห็นแก่ตัวอย่างนี้ ทำอย่างไรไม่เห็นแก่ตัว หยุดความเห็นแก่ตัวเสียได้ ก็ไม่เกิด โลภะ โทสะ โมหะ มันก็อยู่กันสบาย นี้จะรับไปถึงไอ้วิธีที่จะไม่เห็นแก่ตัว หรือว่าจะควบคุมความแก่ตัว จะควบคุมความเห็นแก่ตัวก็ได้ ถ้าเรายังไม่หมดความเห็นแก่ตัว เราก็ต้องควบคุมมันไว้ ตลอดเวลาที่ควบคุมไว้ได้ มันไม่หือขึ้นมา มันก็เหมือนกับไม่มี ไม่มีความเห็นแก่ตัวนั้นเหมือนกัน
สำหรับฆราวาสอย่างท่านทั้งหลายก็มีหลักธรรมะในพุทธศาสนาหรือเก่าก่อนพุทธศาสนาก็ได้ ได้วางไว้แล้วก็คือการบังคับตัว มันเหมือนกับกำปั้นทุบดิน การบังคับตัวนั่นท่านแจกไว้เป็น ๔ หัวข้อ เรียกว่าสัจจะข้อหนึ่ง ทมข้อหนึ่ง ขันติข้อหนึ่ง จาคะข้อหนึ่ง ไอ้ลำดับนี้ไม่ค่อยแน่ บางที่มาก็เป็น ยทิ สจฺจา ทมา จาคา ขนฺตฺยาภิยฺโยว วิชฺชติ คือเป็นสัจจะ ทม จาคะ ขันติ อย่างนี้ก็มี แต่แล้วมันก็ไม่พ้นไปจาก ๔ หัวข้อนี้ ลำดับนั้นไปว่าเอาเองก็ได้ตามความประสงค์ จะต้องมีสัจจะหรือความจริง จริงต่ออุดมคติของความเป็นคน อย่าให้เลวกว่าสัตว์เดรัจฉาน จะรักษาไอ้ความเป็นมนุษย์ไว้ให้ได้ อย่างนี้เรียกว่าสัจจะ ไอ้จริงต่อเวลา จริงต่อบุคคล จริงคำพูด จริงอะไรเหล่านี้มันมารวมอยู่ที่นี่ มารวมอยู่ที่จริงต่อตัวเอง มีความเป็นมนุษย์ให้จริง แล้วก็มีสัจจะที่จะละกิเลส ที่จะบังคับกิเลส ให้สั้นเข้ามา ก็สัจจะที่จะไม่ทำชั่วอย่างที่เคยทำแล้วอีกต่อไป หรือที่จะไม่ได้ทำ ยังไม่ได้ทำก็จะไม่ทำ มันมีสัจจะอย่างนี้ก่อน ข้อที่ ๒ ก็คือ ทม ทมนี่คือการบังคับตัว เป็นบท เป็นแม่บทหรือเป็นหัวข้อของทั้งหมดที่เรียกว่าบังคับตัว เพื่อไม่ให้เห็นแก่ตัวนั่นแหละ ในที่นี้เรียกว่า ทม ท ทหาร ม ม้า บังคับตัวให้เป็นไปตามสัจจะ สัจจะตั้งไว้แล้วอย่างไร แล้วมันค่อยเป็นไปตามนั้น เดี๋ยวนี้นักเรียนเหลวแหลกหมด เพราะว่ามันขาดทม ที่ว่าการบังคับตัว ให้เป็นไปตามสัจจะของการที่จะเป็นนักเรียน เห็นนักเรียนมันไปเป็นเจ้าชู้ เป็นคนบ้ากาม เป็นคนบ้าบิ่น เป็นคนบ้าวัฒนธรรมผี ปีศาจอะไร เรียกร้องกันไม่ ไม่มีที่สิ้นสุด นี่มันไม่เห็นสัจจะของความเป็นนักเรียน ไม่บังคับให้อยู่ในความเป็นนักเรียน อย่างนี้เขาก็เรียกว่าไม่มีธรรม ไม่มีทม ต้องบังคับตัวให้เป็นไปตามสัจจะที่ตั้งไว้ว่าจะเป็นนักเรียน คือเป็นบุตรที่ดีของพ่อแม่ เป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ เป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อนนักเรียนด้วยกัน เป็นพลเมืองที่ดีของประเทศชาติ เป็นศาสนิกที่ดีของศาสนานั้นๆ อย่างนี้ก็เรียกว่าสัจจะที่ได้ตั้งปณิธานไว้ แล้วก็มีทม มาบังคับให้เป็นอย่างนั้น ทีนี้จะเป็นอย่างนั้นได้หรือไม่ มันก็ยังต้องอาศัยธรรมะที่ถัดไปคือขันตี หรือขันติเป็นความอดทนเป็นความอดกลั้น เพราะว่าเมื่อเราบังคับหนักเข้าๆ ถ้าไม่ทนได้ มันก็เลิก มันก็เลิกบังคับ มันก็ล้มละลาย การบังคับก็เป็นไปไม่ได้ นี่เราก็บังคับแล้วก็มีความอดทน ที่จะให้เป็นไปได้ตามนั้น เผอิญความสำเร็จมันกินเวลายาวนาน ถ้าไม่อดทนมันก็ไม่ลุถึงความสำเร็จ ข้อนี้เข้าใจว่าท่านทั้งหลายรู้จักดี มันต้องอาศัยเวลายาวจึงจะเรียนมัธยมสำเร็จ เรียนชั้นอาชีพ หรือชั้นอุดมศึกษาสำเร็จ มันกินเวลายาว แล้วก็ไม่มีความอดทน ก็ไม่สำเร็จ อดทนบ้าง ไม่อดทนบ้าง มันก็ล้มลุกคลาน มีความรู้สุกๆดิบๆ ไม่สำเร็จประโยชน์ ฉะนั้นต้องอดกลั้นอดทนทุกอย่างทุกประการที่จะต้องอดกลั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งอดกลั้นกิเลสที่มาบีบบังคับให้ออกนอกลู่นอกทาง มันจะไปดูหนังบ้าง มันจะไปทำเลวอย่างอื่นบ้าง แม้แต่สูบบุหรี่นี้มันก็อดไม่ได้ แล้วมันไม่ต่อสู้ แล้วมันไม่อดทนกับเรื่องของกิเลส
ดังนั้นขอให้มีขันตี อดกลั้นอดทน ในทางร่างกายอดทนหนาวร้อน เช่น อย่างเดี๋ยวนี้เราก็มาฝึกการอดทน นั่งที่ดินเปียกๆ อย่างนี้ให้ดู จะต้องอดกลั้นอดทนต่อความเหน็ดเหนื่อย เหงื่อไหลไคลย้อยได้ มันจึงจะทำงานได้ดี เดี๋ยวนี้ไม่อยากออกเหงื่อ มันก็ทำงานอะไรไม่ได้ ไม่อยากออกเหงื่อ มันก็ขี้เกียจ ยังจะต้องอดทนต่อเรื่องเจ็บไข้ได้ป่วยก็ต้องอดทนเหมือนกัน แต่ว่ามันไม่สูงสุด มันก็อดทนต่อการบีบคั้นของกิเลสที่มันจะมาขี่คอ มันจะมาไสหัวออกไปหาสถานอบายมุข อบายมุขนี้เกือบจะไม่ต้องพูดก็ได้กระมัง แต่บางคนไม่สนใจจะจำ ก็อยากจะเอ่ยชื่ออีกทีหนึ่งว่า อบายมุข ๖ ประการนั้น คือ ดื่มน้ำเมา เที่ยวกลางคืน ดูการเล่น เล่นการพนัน คบคนชั่วเป็นมิตร เกียจคร้านทำการงาน นี่รวมเป็น ๖ อย่าง นี่เป็นเรื่องที่จะต้องจำให้ได้ ไม่อย่างนั้น มันจะเข้ามาครอบงำเมื่อไรก็ไม่รู้ มันครอบงำอยู่แล้วก็ไม่รู้ว่านี่คืออบาย อบายคือนรก นี้เป็นประตูแห่งอบาย ไปมองดูเอาเองว่าเป็นอบายอย่างไร คนชอบเมาดื่มน้ำเมาก็เรียกว่าเมา เมาหนัง เมาละคร เมาเรื่องบ้าๆบอๆ อุดมคติบ้าๆบอๆ ก็เรียกว่าเมา ต้องเลิกดื่มน้ำเมาชนิดนี้ ไม่ได้หมายถึงเฮโรอีน หรือไอ้กัญชา อะไรอย่างนั้นหรอก มันยังน้อยไป ไอ้เมาหนัง เมาละคร เมากามรมณ์ เมานั้นน่ะ มันเมาผิดอันตรายมาก เที่ยวกลางคืนนี่ไม่บังคับตัว เสื่อมเสียสุขภาพเป็นข้อแรก แล้วไปเอานิสัยเลวๆมา ดูการเล่นที่เป็นข้าศึกแก่ความดี อะไรบ้างก็รู้กันอยู่แล้ว แล้วไปติด แล้วก็เข้าใจว่าดี แล้วก็หลอกตัวเองว่าดี ไอ้เล่นการพนัน ก็ยังเชื่อว่ามันยังมีอยู่แม้ในสถานที่ศึกษาเล่าเรียน ทำการกีฬาให้เป็นการพนันไปอย่างนี้ก็เรียกว่าการพนัน ไม่ได้ทำเพื่อให้จิตใจมันสูง แต่มันทำเพื่อพนันเอาแพ้เอาชนะ เป็นเรื่องบ้าชนิดหนึ่ง คือเป็นการพนันที่ลึกซึ้ง ไม่เป็นการกีฬา ระวังให้ดีว่าอย่าไปจัดการพนันทางวิญญาณชนิดนี้ขึ้นมา คบคนชั่วเป็นมิตร มันจึงได้เป็นฝูงๆ ที่จะสไตรค์กฎของโรงเรียน หรือว่าจะทำอะไรที่ไม่น่าดู ข้อสุดท้ายเกียจคร้านทำการงานนี่มีความหมายกว้างมาก เดี๋ยวนี้โรงเรียนหรือวิทยาลัยก็ตาม บ้ากันหมดแล้ว ไม่อยากให้นักเรียนทำงาน แม้แต่จะรักษาความสะอาดของโรงเรียน สมัยอาตมาเป็นเด็กๆ มาโรงเรียนก่อนใครก็ต้องกวาดโรงเรียน ทุกคนก็กวาดโรงเรียน ก็ดายหญ้า ก็ทำอะไรทุกอย่าง ไม่ขี้เกียจเป็นนิสัยขึ้นมา เดี๋ยวนี้เขาจัดให้ภารโรงทำ นักเรียนไม่ต้องทำ นักเรียนเอาแต่เล่น แต่หัว เพาะนิสัยอย่างนี้ขึ้นมา ว่าที่จริงอยากจะขอร้องให้ดูให้ดี ว่าที่อุตส่าห์มาเล่าเรียนให้มีอะไร วิทยฐานะดี เพราะขี้เกียจทำงานทั้งนั้นแหละ มันขี้เกียจทำนาโว้ย, มันขี้เกียจทำสวนโว้ย, มันขี้เกียจทำอะไรที่ควรจะทำอย่างพ่อแม่โว้ย, มันมาเรียนให้ดีๆ ไม่ ไม่ได้ ไม่ต้องทำอย่างนั้น มันคือขี้เกียจทำงาน คนอย่างนี้เรียนเสร็จแล้ว มันก็ไปเอาเปรียบการงานในออฟฟิศ จะไปเป็นข้าราชการอะไรมันก็จะขี้เกียจทำงานในหน้าที่ จะเอาเปรียบการงานนั้น จะมีอยู่ตลอดไป จนตลอดชีวิต เพราะฉะนั้นก็ไปคิดกันเสียใหม่ งานอะไรที่พอจะทำได้แล้วก็ ช่วยทำเถิด ถ้าเหงื่อออกมาแล้วมันจะล้างความชั่ว ช่วยจำประโยคนี้อีกทีว่า ถ้าเหงื่อออกมาแล้วมันจะล้างความชั่ว จะล้างความเห็นแก่ตัว ซึ่งเรามุ่งหมายอย่างยิ่งเป็นคำพูดคำแรก ที่เขาพูดว่าต้องทำลายความเห็นแก่ตัว ดังนั้นเหงื่อออกมาเท่าไร มันจะล้างความเห็นแก่ตัวออกไปทีละน้อยๆเท่านั้น
ขอให้ชอบ ให้รัก ให้บูชาการงาน ให้เป็นสุขอยู่ในการทำงาน อย่าต้องไปดูหนังดูละครเลย ถ้ามีธรรมะแท้จริงจะเป็นสุขอยู่ในการงาน อาตมาขอรับรองเอาชีวิตเป็นประกัน เพราะถ้าคนถึงธรรมะแท้จริงแล้วจะเป็นสุข สนุกสนานอยู่ในตัวการงาน ไม่ต้องไปดูหนังดูละคร ไม่ต้องไปเที่ยวตามสถานเริงรมย์ สำหรับเป็นภูตผี ปีศาจ การงานที่ทำอยู่นี้จะสนุกเหลือประมาณ การงานค้นคว้าก็ดี การงานศึกษาก็ดี กระทั่งการงานที่เหน็ดเหนื่อยของไอ้คนทำงานอาบเหงื่อต่างน้ำ เขาก็ยิ่งได้รู้รสของอันนี้มาก เราจะต้องถือเป็นหลักประจำชีวิตว่า การงานเป็นสิ่งสูงสุด เป็นสิ่งที่ทำมนุษย์ให้เป็นมนุษย์ จะทำลายปัญหาต่างๆในโลกได้ ถ้าคนรักการงาน บูชาการงานกันทุกคนแล้ว ปัญหาในโลกจะหมดไป ปัญหาในที่นี้หมายถึงไอ้วิกฤตการณ์เลวร้ายทั้งหลายจะหมดไป นี้เราจึงต้องเลิกอบายมุขทั้งหมด ดื่มน้ำเมา เที่ยวกลางคืน ดูการเล่น เล่นการพนัน คบคนชั่วเป็นมิตร เกียจคร้านทำการงาน นี่เลิกให้หมด เราจึงต้องอดทนได้ต่อสิ่งที่มายั่วยุ สิ่งที่มายั่วยุคือเหยื่อล่อของภูตผี ปีศาจ เขาเรียกให้ไพเราะสักหน่อย เขาเรียกว่าดอกไม้ของพญามาร พญามารรูปร่างสวย แล้วยังมีเหยื่อล่อคือดอกไม้ คนก็ไปเป็นบ่าว เป็นทาส ของพญามารกันมากขึ้นๆ จะต้องอดทนต่อสิ่งยั่วยวนเหล่านี้ ที่เรียกว่าการบีบบังคับของกิเลสนี้ต้องทนได้ แล้วก็เลยไปถึงธรรมะข้อที่ ๔ ที่เรียกว่า จาคะ คือสละๆๆ ไม่ใช่สละสตางค์ซื้อสวรรค์ วิมาน อย่างที่โง่เขลาเบาปัญญาทำกันอยู่มากมายที่กรุงเทพฯ นั้นมันสละสตางค์ซื้อสวรรค์วิมานตามสถานเริงรมย์ หรือที่มากไปกว่านั้นก็ว่าจะได้สวรรค์วิมานต่อตายแล้ว อย่างนี้ก็ตามใจ เราไม่ได้พูดถึงไอ้จาคะแบบนั้น คำว่าจาคะ แปลว่าสละสิ่งที่ไม่ควรอยู่กับเรา จาคะนี้ แปลว่าสละ แล้วก็ถามดูทีว่าอะไรควรสละ ตอบกำปั้นทุบดินว่าสิ่งที่เป็นอันตรายแก่เราไม่ควรอยู่กับเรา เราต้องสละ ความรู้สึกชั่วร้ายในจิตใจทั้งหลายต้องสละ แล้วก็สละเรื่อยๆไป มันมีมากอย่างก็สละมันทุกอย่าง สละเรื่อยไปทีละเล็กทีละน้อย ทีละเล็กทีละน้อย อย่างในกรณีอย่างนี้ถือไอ้ภาษิตว่าฝนทั่งเป็นเข็มให้ได้ดี ในกรณีอย่างนี้นะ คือสละมันไปเรื่อย เพราะมันสละยาก ขอให้ตั้งใจสละ ความขี้เกียจ ความดื้อดึง ความคดโกง ความอกตัญญูต่อบิดา มารดา ครูบาอาจารย์ ไปนึกเอาเองได้ นึกง่ายแล้วเห็นง่าย ว่าอันนี้เป็นข้าศึก แล้วก็ต้องสละ การสละอยู่เรื่อยๆนี่ก็เพื่อจะให้ทนได้ ถ้าเราไม่สละมันเสียเลย เราจะทนไม่ได้ เราจะบังคับตัวไม่ได้ เราจะรักษาสัจจะไว้ไม่ได้ ให้ถือว่าจาคะเหมือนกับรูรั่ว หรือไอ้เครื่องควบคุมไอ้ความปลอดภัย ให้ปลอดภัยไว้เรื่อย ระบายความชั่วไว้เรื่อย มันก็อยู่ในสภาพที่ทนได้ ก็เรียกว่าสละ ขอให้ทุกคนสละ การเรียนจะสำเร็จ หน้าที่การงานจะสำเร็จ อะไรๆจะสำเร็จ ก็ครบเป็นธรรมะ ๔ ประการ ช่วยตั้งใจจำไว้อีกทีหนึ่งว่า สัจจะ ความจริง จากความเป็นมนุษย์ ทม บังคับตัวเองให้เป็นอย่างนั้น ขันตี อดกลั้น อดทนเมื่อมันเจ็บปวดขึ้นมา จาคะ สละออกไปเรื่อย เพื่อมันไม่ต้องทนมาก แล้วมันทนได้ มันรักษาไอ้ความเป็นมนุษย์ไว้ได้ เรื่องมันก็จบกัน ถ้าท่านทั้งหลายทำได้อย่างนี้ก็เป็นอันว่าทำได้ถึงที่สุด ในเรื่องที่มนุษย์จะต้องทำ แล้วก็เรียกว่าหมดปัญหาต่างๆ ที่เกี่ยวกับความเป็นมนุษย์ จะได้เป็นมนุษย์ที่ดี แล้วการมาที่นี่ของท่านทั้งหลายก็จะมีประโยชน์เกินคาด แม้ว่ามาเพียงครั้งเดียว แม้ว่าฟังคำพูดนี้เพียงสักชั่วโมงเดียว นี่ก็ได้ประโยชน์คุ้มค่าจนตลอดชีวิตได้
ดังนั้นขอให้จดจำออกไป คิดนึกพิจารณาดูเห็นจริงแล้วก็ปฏิบัติตามนี้ ให้สุดความสามารถของตนๆ คำพูดสุดท้ายที่จะพูดก็คือ คำว่าสวนโมกข์ เพราะว่าท่านกำลังมาที่สวนโมกข์ มานั่งอยู่ท่ามกลางสวนโมกข์ คำว่าโมกข์แปลว่าเกลี้ยง คำว่าเกลี้ยงในที่นี้ คือเกลี้ยงจากของสกปรกในทางกาย ทางวาจา ทางจิต อย่าได้มีของสกปรก แต่เรามุ่งหมายทางธรรมะในระดับสูง คือจิตใจที่มันเกลี้ยงจากกิเลส การมีสวนโมกข์นี้ ก็จัดขึ้นเพื่อให้สะดวกแก่การที่จะมาศึกษาเรื่องความเกลี้ยง เดี๋ยวนี้ท่านก็ได้มาแล้ว แล้วก็ได้ศึกษาบ้างแล้ว เรื่องความเกลี้ยง ฉะนั้นขอให้มีจิตใจเกลี้ยงเหมือนที่กำลังนั่งอยู่ที่นี่เวลานี้ วินาทีนี้ อย่างน้อยท่านก็จะมีจิตใจเกลี้ยงบ้าง คือไม่มีกิเลสประเภทตัวกู ของกู เกิดขึ้นทำจิตใจให้สกปรก อย่างน้อยก็ต้องมีบ้าง จึงจะพูดว่าไม่เสียทีที่มาสู่สวนโมกข์นี้ หรือเรียกว่ามาถึงสวนโมกข์
ถ้าผู้ใดมาแล้ว ไม่ได้เกิดความรู้สึกจิตใจเกลี้ยงแม้แต่สักเล็กน้อย ก็เรียกว่าไม่ได้มาสวนโมกข์ แม้ว่ามานั่งอยู่ที่นี่แล้วก็ไม่ได้ถึงสวนโมกข์ เพราะว่าคำว่าสวนโมกข์ หมายถึงไอ้ภาวะที่จิตใจมันเกลี้ยง จากการรบกวนของกิเลสประเภทตัวกู ของกู ดังนั้นจึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ท่านทั้งหลายทุกคนจะสนใจศึกษาไอ้เรื่องจิตชนิดนี้ คือจิตที่มันเกลี้ยงจากกิเลสทั้งหลาย ซึ่งรวมอยู่ในคำว่าตัวกู ของกู
ในที่สุดนี้อาตมาขออวยพรให้ท่านทั้งหลาย ทุกคนจงได้มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องนี้ และสามารถประพฤติ ปฏิบัติในเรื่องนี้ และได้รับความเป็นสัตบุรุษ คือมนุษย์ที่มีจิตใจอันเกลี้ยง อันสงบ อันสะอาด อันสว่าง ซึ่งเขาเคยเรียกกันมาว่าสุภาพบุรุษที่แท้จริงต้องมีจิตใจอย่างนี้ ขอให้ท่านทั้งหลายมีจิตใจอย่างนี้ ดำเนินชีวิตต่อไปในลักษณะที่มันมีความสะอาด สว่าง สงบ ยิ่งขึ้นทุกที แล้วก็มีความก้าวหน้าในการงานนี้ มีความสุขสวัสดีอยู่ทุกทิพาราตรีกาลเทอญ