แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
นักศึกษาที่มีความสนใจในธรรมจนถึงกับบวชเมื่อมีโอกาสทั้งหลาย ในการบรรยายเป็นครั้งที่ ๙ นี้ ผมจะพูดโดยหัวข้อว่า เมื่อธรรมศาสตราเผชิญหน้าศัตรู ในครั้งที่แล้วๆ มา ส่วนใหญ่เราได้พูดถึงหัวใจของพระพุทธศาสนาที่เรียกว่า สุญญตา ในฐานะเป็นธรรมศาสตราของมีคมที่จะตัดปัญหาทั้งปวง ทีนี้ก็เป็นการสมควรหรือว่าเป็นลำดับที่มันมาถึงคราวที่เราจะพิจารณากันดูว่า เมื่อธรรมศาสตรามันเผชิญกันเข้ากับปัญหานั้น มันจะมีอะไรบ้างที่จะต้องรู้ เผอิญก็มีผู้มาถามข้อดีของการฆ่าว่า ถ้าเขาจะฆ่าเรา เราจะทำอย่างไร นี่ใจความมันก็ลงกันนะ ศัตรูผู้ที่จะฆ่าเรา เราไม่ต้องการจะเป็นศัตรู แต่ในเมื่อผู้ที่เป็นศัตรูเขาจะฆ่าเรา เราจะทำอย่างไร ถ้าเราจะมองให้กว้างกว่านี้ก็จะพูดได้ว่า เมื่อธรรมะเผชิญกันเข้ากับอธรรม จะต้องทำอย่างไร สำหรับผู้ที่ยินดีที่จะยึดถือธรรมเป็นหลัก หรือแม้ว่าส่วนตัวบุคคล เมื่อไม่ได้รับความเป็นธรรมต้องเผชิญกันเข้ากับความอยุติธรรมเราจะทำอย่างไร เราจะฆ่าเขาเสีย หรือว่าเราจะทำอย่างไร เรื่องนี้มันมีทั่วไปในโลก เพราะเหตุว่าไอ้ฝ่ายหนึ่งเขาเอาธรรมะเป็นอำนาจ อีกฝ่ายหนึ่งเขาเอาอำนาจเป็นธรรมะ ต้องเข้าใจคำนี้กันเสียก่อน ฝ่ายหนึ่งเอาธรรมะเป็นอำนาจใช้ความถูกต้อง ความจริง ความยุติธรรม มันเป็นอำนาจ อีกฝ่ายหนึ่งเขาเอาอำนาจที่เขามีอยู่นั่นแหล่ะ เขาคุมอำนาจอะไรไว้ เขาก็ถือว่านั่นเป็นธรรม อำนาจอาวุธ อำนาจเงิน อำนาจอะไรก็สุดแท้แต่ หรือว่าฝ่ายหนึ่งเขาเอาเหตุผลเป็นธรรม เหตุผลของเขานะ ไม่ได้เหตุผลของความถูกต้อง เหตุผลของเขา เขาเอาเป็นธรรมเอาเป็นความถูกต้อง อีกฝ่ายหนึ่งเอาธรรมเป็นเหตุผล ว่าต้องถูกต้องตามธรรม จึงจะยึดถือเอามาเป็นหลัก คนๆ นี้เอาธรรมะเป็นเหตุผล อีกพวกหนึ่งมันตรงกันข้าม เอาเหตุผลส่วนตัวเองเป็นธรรมะ ก็เกิดความขัดกัน โดยประการทั้งปวงที่สำคัญที่สุดก็คือประโยชน์นะมันขัดกัน ที่มาเผชิญหน้ากันมันจะเกิดอะไรขึ้น และปัญหามันยังมีแตกแขนงออกไปถึงกับว่า ฝ่ายหนึ่งเล็กกว่า ฝ่ายหนึ่งใหญ่กว่าโตกว่า เช่น ฝ่ายที่ถือธรรมเป็นหลักนี่ ตัวมันเล็กกว่า ฝ่ายที่ถืออำนาจเป็นธรรมตัวมันโตกว่า แล้วจะทำอย่างไร
นี่เป็นปัญหาที่มีอยู่จริงในโลกนี้ ถ้าพูดถึงการเมืองนี้ที่แล้วมา ประเทศไทยเราก็ถือว่าเป็นตัวเล็ก ไม่อาจจะใช้ดอกบัวสีแดง จำเป็นต้องใช้ดอกบัวสีเหลือง และก็เคยเอาตัวรอดมาได้ จากความเป็นเมืองขึ้นของตัวโตๆ ที่เข้ามาล่าเมืองขึ้น ประเทศเพื่อนบ้านของเราซึ่งเป็นประเทศเล็กๆ ด้วยกัน ที่สมัครใช้ดอกบัวสีแดงเป็นเครื่องแก้ปัญหา ก็กลายเป็นเมืองขึ้นของประเทศตัวโตๆ เหล่านั้นไปทั้งหมด ยอมรับกันว่าเหลืออยู่แต่ประเทศไทยประเทศเดียวที่รอดอยู่ได้ ในวิกฤตการณ์ของจักรวรรดินิยมครานั้น แม้แต่ยอมมองกันในแง่ที่ว่า เพราะว่าเราถือดอกบัวสีเหลืองจึงรอดอยู่ได้ ไม่เหมือนกับพวกที่ถือดอกบัวสีแดงรับหน้าศัตรู ก็เลยได้ผลต่างกัน คล้ายๆ กับมันจะให้เกิดความรู้สึกสังหรณ์ว่ามันเป็นดอกบัวสีแดงด้วยกันมันเลยเข้าไปหากันง่าย คือกลายไปเป็นเมืองขึ้นทำนองนี้ ดูมันก็เป็นเรื่องตลกอยู่บ้าง แต่มันก็น่าคิด นี่เป็นตัวอย่างที่ควรจะเอามาพิจารณาดูเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่าเมื่อธรรมะมันเผชิญกับอธรรม และฝ่ายธรรมะตัวมันเล็กกว่าจะทำอย่างไร ข้อความที่กล่าวมาแล้วทั้งหมด ก็จะมุ่งชักชวนให้ใช้ดอกบัวสีเหลือง โฆษณาดอกบัวสีเหลือง และก็พูดไปในทำนองว่า แม้จะเผชิญกับดอกบัวสีแดง เราก็ยังใช้ดอกบัวสีเหลืองในการต่อสู้ แม้จะปราบปรามไอ้ดอกบัวสีแดงที่ตัวเล็กกว่า เราก็ยังใช้ดอกบัวสีเหลืองที่ใหญ่กว่า ไม่สามารถจะใช้ดอกบัวสีแดงนั่นเป็นหลักของธรรมะ ถ้าไม่ถือหลักธรรมะอย่างนี้ ผลมันก็จะเกิดขึ้นเป็นอย่างอื่น ก็อย่างที่เราจะปราบคอมมิวนิสต์โดยการใช้ดอกบัวสีแดงนี่ ปราบผู้ก่อการร้าย ไม่ไปใช้คอมมิวนิสต์ จะปราบผู้ก่อการร้ายด้วยดอกบัวสีแดง ผลมันจะเป็นอย่างไร ก็ขอให้คอยดู ถ้าสมมติว่าใช้ดอกบัวสีเหลือง ผลมันจะเป็นอย่างไร
เราเคยอ่านเรื่องที่ถือกันว่าเป็นพงศาวดารหรือเป็นนิยาย เช่น เรื่องสามก๊ก เป็นต้น มันก็มีเรื่องราวได้กล่าวว่า ฝ่ายหนึ่งได้จับศัตรูมาได้เป็นชั้นหัวหน้าจะฆ่าเสียก็ได้ แต่นั้นเขาก็กลับปล่อยไป เพื่อที่จะให้มันกลับไปคิดดูใหม่ และไม่ทันไร มันก็กลับมารบอีกจับได้อีก เอามาพูดกันใหม่แล้วก็ปล่อยไปอีก ไม่ฆ่าเสียตั้งหลายครั้งหลายหน จนมันเป็นเรื่องที่ดีไป ที่มันชนะด้วยน้ำใจ ไม่ได้ชนะด้วยอาวุธ ที่ใช้ดอกบัวสีเหลือง รวมกันก็เรียกว่าเรื่องที่ใช้ดอกบัวสีเหลือง ดูเหมือนเขาถือกันว่าไอ้โจรพวกนั้น หรือกบฏพวกนั้น ที่ขงเบ้งจับมาได้ นี่มันเป็นคนไทย เขาว่ากันว่านะ มันไม่แน่เป็นเท็จเป็นจริง เขาว่าเป็นพวกคนไทยไม่ได้จีน และก็ถือเป็นเรื่องนิยาย ไอ้ตัวเรื่องอย่าเอามาเป็นประมาณ เอาแต่ว่าวิธีการอย่างนั้น มันน่าหยิบขึ้นมาพิจารณาไหม ถ้าเราจับหัวหน้าคอมมิวนิสต์ ต้องขออภัยผิดอีกแล้ว ผู้ก่อการร้ายนี่น่ะ จับหัวหน้าผู้ก่อการร้ายมาได้ก็ปล่อยไปจับมาได้อีกก็ปล่อยไปคนเดียวกันนั้นแหล่ะ ซักสิบครั้งมันจะเป็นอย่างไร ทีนี้ว่าเราจะฆ่ากันทุกคราวทุกคนที่จับมาได้และผลมันจะเป็นอย่างไร นี่น่าจะเป็นโจทย์ที่ควรจะเอาไปคิดดู
เดี๋ยวนี้พวกเรานะ ถือพุทธศาสนาเป็นพุทธบริษัท คุณเองก็บวชตัวเหลืองแดงอยู่อย่างนี้แหล่ะ ไม่ใช่จะนิยมว่าถือหลักอะไร จะใช้ดอกบัวสีเหลืองหรือดอกบัวสีแดง ไอ้สิ่งที่เรียกว่าอหิงสา Non-Violent เขารู้จักกันมานมนานแล้ว จนไม่รู้ว่าตั้งแต่ครั้งไหนก็ยังมีคำว่า อหิงสาปรโมธัมโม อหิงสาเป็นบรมธรรม นี่เป็นหลักสากลในประเทศอินเดีย หรือชมพูทวีปซึ่งรวมทั้งพระพุทธศาสนาด้วย ข้อความว่า อหิงสาปรโมธัมโม ไม่มีอยู่ในพระพุทธวจนะโดยตรง พระพุทธบรมธรรมพระพุทธเจ้าตรัสถึงนิพพาน แต่นิพพานก็คืออหิงสาสุดยอด ไม่เบียดเบียนใครเลย
ทีนี้เป็นอหิงสาทั่วไป นี่เป็นหลักที่ถืออย่างยิ่งในประเทศอินเดีย จนเรากล่าวได้ว่าบรรดาศาสนา หรือลัทธิที่พึ่งศาสนาเป็นแม้แต่ขนบธรรมเนียมประเพณีที่ยึดอหิงสาเป็นหลักนี้ ไม่มีที่ไหนที่เท่ากับชมพูทวีปหรือประเทศอินเดีย คือว่าขยายขอบเขตของอหิงสานี้ออกไปถึงสัตว์เดรัจฉาน ลองคิดดูศาสนาอื่นไม่ได้ขยายไปถึงสัตว์เดรัจฉาน แต่ศาสนาคริสต์เตียนนี่เขาถือว่าไอ้สัตว์เดรัจฉานเป็นอาหารของมนุษย์ แต่ถ้าสำหรับคนละก็ถืออหิงสาอย่างยิ่ง แต่ในอินเดียหรือศาสนาอินเดียกับประหลาดที่ว่าถืออหิงสา คนเล้วขยายออกไปถึงสัตว์เดรัจฉาน และผมอยากจะเล่าให้ฟังว่า บางลัทธินิกายขยายไปถึงต้นไม้ นักบวชนี้จะทำลายชีวิตต้นไม้ไม่ได้ ถือเป็นการเบียดเบียนเหมือนกัน เลยกล่าวได้ว่าการถือหลักอหิงสาในประเทศอินเดียสุดยอด และพุทธศาสนาก็เกิดขึ้นในประเทศอินเดียในวัฒนธรรมนี้แหล่ะ วัฒนธรรมที่ถือว่าอหิงสาปรโมธัมโม จึงติดมาในพระพุทธศาสนามากพอๆ กัน ที่ประเทศอินเดียจึงมีหลักประจำใจที่จะใช้ดอกบัวสีเหลือง จนกระทั่งบัดนี้ แม้จะมีการต่อสู้ป้องกันตัวถึงหลั่งเลือดมาแล้ว ก็ไม่ได้มีเจตนาที่จะใช้ดอกบัวสีแดง ดอกบัวสีเหลืองก็มีสิทธิที่จะป้องกันตัว นั้นวัฒนธรรมของอินเดียจึงเป็นไปหนักมากในทางที่ไม่หลั่งเลือด
เมื่อมาถึงประเทศไทยประเทศไทยก็ได้รับวัฒนธรรมนี้ ทั้งฝ่ายพุทธศาสนาและฝ่ายพราหมณ์ ศาสนาพราหมณ์ก็เคร่งครัดมากเหมือนกันที่จะไม่หลั่งเลือด วัฒนธรรมของไทยเรามันออกปรัชญาศาสนาหรือวัฒนธรรมอย่างนี้ นั้นจึงเป็นคนไทยที่มีใจบุญ ไม่เหมือนกับพวกอื่น ที่มันมาจางออกไปตอนหลังจนกระทั่งกลายเป็นทารุณโหดร้าย นี่มันเรื่องที่หลัง เมื่อมันมีการเปลี่ยนแปลงแล้ว
เมื่อคืนฟังวิทยุบอกว่า ที่กรมตำรวจเขาบอกเป็นสถิติที่ว่าประเทศไทยปัจจุบันนี้ มีการฆ่ากันตายทั่วประเทศวันละ ๓๐ ราย เฉพาะในกรุงเทพเฉลี่ยแล้ววันละ ๒ ราย การฆ่ากันตาย ลองไปคิดดูว่ามันเปลี่ยนแปลงเท่าไร ทั่วประเทศวันละ ๓๐ ราย ก็ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงต่อราย ในกรุงเทพ ๒ ชั่วโมงต่อราย นี่เป็นความเปลี่ยนแปลงที่มันเพาะเชื้อดอกบัวสีแดงมากขึ้นๆ ไม่ถือธรรมะ ไม่หักห้ามความโกรธ ไม่อดกลั้น ไม่ใช้ธรรมะเป็นเครื่องตัดสินปัญหา ใช้โทสะใช้อาวุธเป็นเครื่องตัดสินปัญหา มันก็มีผลเปลี่ยนไปอย่างนี้ เกือบจะกล่าวได้ว่ามันเปลี่ยนไปเกือบจะตรงกันข้าม ถ้าไปเทียบกับสมัยโบราณซึ่งมัวแต่ท่องว่า สัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น แต่มาถึงสมัยนี้แล้วมันไม่มีเลย เสียงอย่างนี้ หรือความรู้สึกอย่างนี้ มันไม่มีเลยความเปลี่ยนแปลงมันก็เกิดขึ้น มันจองเวรมากขึ้น อาฆาตมากขึ้น มันก็แต่จะทวีขึ้น การที่เราจะเอาธรรมะข้อไหนมาวินิจฉัยกันว่าอย่างไร ต้องสำนึกถึงไอ้ความเปลี่ยนแปลงนี้ด้วยว่า เราจะพูดกันสำหรับเมื่อไหร่ที่ไหน ธรรมะนี้มันเป็นของสำหรับที่ไหนและเมื่อไหร่ โดยธรรมชาติมันเป็นของที่จะใช้กันเมื่อไหร่ ที่ไหน ทีนี้บุคคลบางพวกบางกลุ่มก็มีธรรมะใช้ ใช้ธรรมะกันอย่างไร ที่ไหน เมื่อไหร่ ตามแบบของตัว การเปลี่ยนแปลงก็มีด้วยเหตุนี้
ขอให้มองดูว่าเราจะเลือกเอาทางไหน จะเลือกตามบรรพบุรุษไทยแต่โบราณ ซึ่งนิยมใช้ดอกบัวสีเหลืองเรื่อยจนประเทศไทยรอดตัวมา แล้วเดี๋ยวนี้จะมามีเหตุผลข้อแก้ตัวมันเปลี่ยนเสียแล้ว มาใช้ดอกบัวแดงแล้ว ไม่ใช้ดอกบัวสีเหลืองอยู่ไม่ได้ก็ตามใจ มันเป็นเสรีภาพที่ใครจะคิดหรือจะใช้ แต่ผมมีความเห็นว่าถ้าขืนใช้ดอกบัวแดงมันก็จะมีอะไรมันก็มีแต่ดอกบัวแดงเต็มไปทั้งโลก ถ้ามีดอกบัวสีเหลืองต้านทานอยู่ดอกบัวสีแดงมันก็มีน้อยลง เพราะไม่มีใครใช้นี่ มันมีชูดอกบัวสีเหลืองสลอนอยู่บ้างนี่ ดอกบัวสีแดงก็ไม่มีโอกาสจะเต็มไปทั้งโลก จะแก้ปัญหาของโลกด้วยดอกบัวสีแดงทั้งหมด มันก็แดงไปทั้งโลก เพียงเท่านี้ก็พอจะเลือกได้กระมังว่าจะเอาอย่างไหนดี
ทีนี้มาถึงตัวปัญหาที่ว่า เมื่อดอกบัวสีเหลืองเผชิญหน้าดอกบัวสีแดง อย่างปัญหาของผู้ที่ถามว่า เมื่อเขาจะฆ่าเรา เราจะทำอย่างไรนี่ ควรจะคิดกันดูต่อไป กระทั่งปัญหาเป็นอุปมาว่า ดอกบัวสีเหลืองจะรับหน้าดอกบัวสีแดงได้อย่างไร ก็จำง่ายดี มันกว้างกว่ากัน ถ้าเอาเรื่องของบุคคลคนเดียวมันแคบนัก และบางทีมันมีเหตุผลที่กำกวม ต่างคนต่างเห็นแก่ตัว ไม่อยากให้คนอื่นฆ่าทั้งที่ตัวเป็นผู้ผิด ไม่พยายามลงให้ลงโทษ เรื่องมันก็ผิดหมดนะ ถ้าพูดว่าเขาจะฆ่าเรานี้ ก็หมายความว่า เมื่อเรามีความถูกต้อง เขาจะเอาประโยชน์หรือบีบบังคับให้เราเปลี่ยนหรือเสียประโยชน์ หรือเปลี่ยนความคิดนึกรู้สึกยึดถือหรือการกระทำ อย่างที่ประเทศอินเดียได้รับจากศาสนาอิสลาม ถ้าเป็นไปตามเขาว่านะ เขาว่านี่ก็ประวัติศาสตร์เขียนไว้ ผู้เผยแพร่ศาสนาอิสลามถือดามมาบังคับให้ประเทศอินเดียเปลี่ยนศาสนา ถ้าไม่เปลี่ยนก็ฆ่า ทีนี้ไอ้สถาบันต่างๆ ของพุทธศาสนาก็ช่วยกันเผาหมด ถ้าเราไปดูที่ประเทศอินเดีย ก็จะพบไอ้ซากปรักหักพังทั้งหลายเหล่านั้น ซึ่งจะมีผู้บอกว่านี่เป็นฝีมือของไอ้ชนชาติอิสลามเข้ามาเผา ยังอยู่กระทั่งเดี๋ยวนี้ พระถูกฆ่าถูกเผาถูกทำอย่างที่เรียกกันว่าฆ่าหมู่ แต่ประเทศอินเดียก็ไม่ได้สูญเสียศาสนาเดิมของตน ที่ถือศาสนาอิสลามก็เป็นส่วนน้อย บางทีอาจจะเพื่อประโยชน์มากกว่า ไม่ใช่เพื่อด้วยลัทธิที่เขาพอใจจริงๆ และนี่ก็เป็นตัวอย่างอันหนึ่งที่ว่าการใช้ดอกบัวสีแดงไม่สำเร็จ ในเมื่อชนชาตินั้นๆ มันยังถือดอกบัวสีเหลืองอยู่ ในสายโลหิตของอินเดียมันจึงเป็นอย่างนี้ จึงฆ่ากันยาก และก็จะทำสงครามทางปากทางธรรมะกันเสียมากกว่า เมื่อแบบโบราณเขาไม่ต้องฆ่าคนทั้งกองทัพ แค่หัวหน้าพ่ายแพ้โดยอย่างใดอย่างหนึ่ง แล้วก็ยอมแพ้เลย มันก็เรียกว่าสติปัญญาของสีเหลืองอยู่ ไม่ใช่อำนาจของสีแดง
นี่คือสิ่งที่จะเอามาประกอบกันดู สำหรับหาคำตอบ เมื่อเขาจะฆ่าเรา เราจะทำอย่างไร เราจะต้องมองให้เห็นในข้อมูลที่จะใช้เป็นข้อเท็จจริงต่างๆ พอสมควรกันเสียก่อน เช่นว่าการหลั่งเลือดทำให้มีการหลั่งเลือดอย่างไร เรียกว่าเป็นการใช้ดอกบัวสีแดง และการหลั่งเลือดชนิดไหน ไม่ถือเป็นการใช้ดอกบัวสีแดง จะมีไหม อาจจะตั้งปัญหาแคบขึ้นมาว่าการป้องกันตัวเองจนถึงกับมีการหลั่งเลือดนี่ จะเรียกว่าเป็นการใช้ดอกบัวสีแดงหรือไม่ ถ้าตีความข้อนี้ผิด ก็คงจะผิดไปหมด คงจะพูดกันไม่รู้เรื่อง เพราะการป้องกันตัวนั้น มันอีกอย่างหนึ่งต่างหาก การบุกรุกเข้าไปเพื่อประโยชน์อย่างไร ใช้อำนาจบังคับเพื่ออุดมคติอะไรก็ตามนั้น มันอีกอย่างหนึ่ง ตรงกันข้ามก็ได้ การหลั่งเลือดไม่ต้องมีความหมายเหมือนกันไปหมด การหลั่งเลือดเพื่อรักษาไว้ซึ่งธรรมะก็มี พวกนั้นก็ยอมหลั่งเลือดยอมตาย ยอมอะไร เพื่อรักษาไว้ซึ่งธรรมะก็มี การหลั่งเลือดอีกอย่างหนึ่งก็มีคนไปฆ่าเขา ให้เขาเปลี่ยนหรือให้เขายอมแพ้ ให้เขาให้ประโยชน์
ทีนี้ถ้าเราจะมองในวงแคบๆ ก็ตามการแก้ปัญหาสังคมในประเทศเรา มันก็ไม่ใช่เรื่องป้องกันตัวโดยตรง และมันก็ไม่ใช่เป็นการบุกรุกทำลายล้างใครที่ไหนโดยตรง แต่เมื่อจะแก้ปัญหาที่มีอยู่ในประเทศชาติหรือในโลกก็ตามเถอะ ที่มันเป็นศัตรูของสันติก็แปลเจตนาดี ที่ทำให้มันเกิดเป็นสันติขึ้นมา และจะทำอย่างไรกันดี ต้องหลั่งเลือดหรือจะไม่ต้องหลั่งเลือด ฉะนั้นการที่จะมีอะไรเกิดแฝงออกมา เช่น การป้องกันตัวในการแก้ปัญหาของสังคม มันก็อาจจะมีการหลั่งเลือดได้ ก็แล้วแต่เจตนามันจะทำไปอย่างไร จะเป็นดอกบัวสีเหลืองหรือสีแดง แต่ถ้าใคร่ครวญดูแล้วมันคนละอย่าง มันแยกกันอยู่เป็นอย่างๆ ไม่ใช่ว่าหลั่งเลือดแล้วจะเป็นดอกบัวสีแดงไปหมด มันมีการใช้ดอกบัวสีเหลืองก็ได้ในการที่จะป้องกันตัว หรือในการแก้ปัญหาของสังคม
จึงตอบมาสั้นๆ ว่าเมื่อเขาจะฆ่าเรา เราป้องกันตัวด้วยดอกบัวสีเหลืองก็ได้ ซึ่งถึงอย่างไรก็ต้องดีกว่าการใช้ดอกบัวสีแดงเป็นแน่นอน คนที่ถูกขู่จะฆ่า จะเป็นใครก็ตาม จะถือลัทธิอะไรก็ตาม ผมเห็นว่าเขาควรจะใช้ดอกบัวสีเหลืองเป็นเครื่องป้องกันตัวจะดีกว่าจะใช้ดอกบัวสีแดง
เกี่ยวกับความหมายสั้นๆ นี่เราพูดกันมาเป็นที่เข้าใจแล้วดอกบัวสีเหลือง คือสติปัญญาที่จะทำความเข้าใจแก่กันและกัน นี่เป็นตัวการปฏิบัติ ส่วนดอกบัวสีแดงนั้น จะใช้อำนาจถึงขนาดชีวิต ถึงขนาดล้างชีวิต นี่เป็นการแก้ปัญหาหรือเป็นการป้องกันตัวก็ตามใจ
ทีนี้เรามันกลัวตายเกินไป จนถึงกับใช้ดอกบัวสีเหลืองไม่เป็น ลองสังเกตดูให้ดีๆ นะที่เราใช้อะไรอย่างถูกต้องไม่ได้ เพราะว่าเรามีจิตที่ไม่ประกอบด้วยสติปัญญาในขณะนั้น เช่น เรากลัวมากเกินไป เราก็ทำอะไรไม่ถูก ก็ทำไปตามสัญชาตญาณเขลาๆ โง่ๆ มันก็มีการทำลายล้าง ถ้าใจคอปกติมันมีสติปัญญามา อาจจะหาพระอุบายอย่างอื่นจะแก้ปัญหานั้นไปได้ ป้องกันตัวก็ได้ และมีผลเรียบร้อยสนิทลึกซึ้งดีกว่า ที่จะใช้ความโง่เขลาแก้ปัญหาหลั่งเลือด แล้วก็ยังไม่ผลอะไร แต่นี่ยอมให้ว่ามันเป็นเพียงสมมติฐาน ในการจะพูดว่าจะถือดอกบัวสีเหลืองในการแก้ปัญหาก็ได้ ในการป้องกันตัวก็ได้ เอาไปพิจารณาดู แต่อย่าลืมว่าเราใช้ดอกบัวสีเหลืองไม่ค่อยได้ เพราะเรามันเป็นผู้ที่มีจิตไม่อยู่กับตัว มันขาดธรรมะโดยเฉพาะอย่างยิ่งธรรมะเรื่องสุญญตา มันก็ทำให้กลัวตายจนไม่รู้ว่าจะทำอะไรดี ก็เลยทำผิดยิ่งขึ้นไปกว่าเดิม
นี่เป็นข้อแรกที่ทำความเข้าใจกันก่อน จะพูดกันต่อไปถึงที่สุดว่า เราจะยึดถือการใช้ดอกบัวสีเหลืองเป็นหลักตายตัวลงไปจะได้หรือไม่ ถ้าถืออย่างหลักพระพุทธศาสนาละก็ ไม่ต้องสงสัยอย่างไรๆ ก็คงใช้ดอกบัวสีเหลืองร่ำไป ด้วยความเป็นธรรมความถูกต้อง แม้ว่าตัวจะต้องตายก็ไม่ยอมเสียความเป็นธรรม นี่พุทธศาสนามันมีอยู่อย่างนี้ ใครจะหาว่าโง่เขลาหรือว่าอ่อนแอขี้ขลาด เขาก็หาไปเถอะ แต่ความจริงมันไม่ได้เป็นอย่างนั้น อย่าหาว่าไอ้พวกใช้ดอกบัวสีเหลืองเป็นพวกอ่อนแอหรือขี้ขลาด ควรจะมองให้เห็นชัดว่าเป็นพวกมีสติปัญญาสูงสุดใช้สติปัญญานั้น บางทีมันก็ดูเป็นขี้ขลาดหรืออ่อนแอ ก็ไม่รู้ไปถึงในใจของเขา แม้ระหว่างบุคคลกับบุคคลนี่เราก็ควรจะดูดีๆ บางทีเราจะไปเข้าใจผิดว่าคนนี้มันขี้ขลาดอ่อนแอ มันจึงยอมแพ้จริงๆ อาจมีปัญญาสูงสุด คือมันอยากจะตัดบทตัดปัญหาระงับเรื่องราวนั้นเสีย ก็เลยยอมแพ้อย่างนี้ก็มี พระพุทธเจ้าก็ทรงสอนในลักษณะอย่างนี้ เสียสละเพื่อให้เวรภัยมันระงับไปได้นั่นแหละดี และก็ไม่ใช่ผู้แพ้ด้วย
ทีนี้จะดูการกระทำที่ประกอบด้วยธรรม มันไม่ใช่เรื่องแพ้ เรื่องอ่อนแอ แม้ว่าบางทีมันต้องตายลงไปเป็นจำนวนมาก ก็กล่าวได้อย่างภาคภูมิใจว่า ไม่ได้ตาย คือเป็นการรักษาธรรมะเอาไว้ รักษาสิ่งที่ควรจะรักษาเอาไว้ ในเมื่อเหตุการณ์มันถึงขนาดที่จะต้องแลกเอาไว้ด้วยชีวิต ไอ้คนเหล่านี้มันยอมแลกชีวิตกับแลกความถูกต้องความเป็นธรรมเอาไว้ เพียงแต่ว่าเดี๋ยวนี้มันจะหายากกันทุกที เพราะเขาไม่นิยม ไอ้ที่เรียก martyrdom ยอมตายเพราะรักษาธรรมะไว้ เดี๋ยวนี้ไม่มีใครนิยม หัวเราะเยาะ ครั้งหนึ่งก็เคยนิยม ศาสนาคริสต์เตียนยังเอามายกย่องอยู่ ไอ้ martyrdom, matyr, matyrdom
ทีนี้จะพูดว่าการกระทำในศาสนานี่ มันยังมีสองความหมายอยู่ การกระทำไปในนามของศาสนา มันทำด้วยคนโง่ก็ได้ ไม่มีธรรมะไม่เป็นนักศาสนาแท้จริง แต่มันก็อ้างว่าทำไปในนามของศาสนา อ้างศาสนาบังหน้าและก็ทำเพื่อประโยชน์ทางการเมืองอย่างนี้ก็มี อีกอย่างหนึ่งก็ทำไปในนามของศาสนาเพื่อประโยชน์แก่ศาสนาโดยแท้จริงอย่างนี้ก็มี และมันมีได้ด้วย เรียกว่ามันผิดอย่างร้ายที่ทำไปในนามของศาสนาด้วยความโง่เขลาด้วยเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวซ่อนเร้นกันไว้ เพราะในประวัติศาสตร์มันเคยมีว่ามันทำสงครามกันเป็นสิบๆ ปี สามสิบปี สี่สิบปีในนามของศาสนาอย่างนี้ก็ถือว่าผิด ไม่ในนามของศาสนา ไม่ใช่ในนามของพระเจ้าโดยแท้จริง เพียงแต่ไปอ้างเอามา ถ้าเป็นเรื่องของศาสนาจริง มันก็ไม่ทำอย่างนั้น มันจะมีวิธีอื่นซึ่งยึดติดกันได้ ก็เลยพูดได้ว่าถ้ามันเป็นเรื่องศาสนาจริง มันก็ไม่มีการหลั่งเลือดแน่นอน เพราะมันทนได้ถึงขนาดตัวเองตาย ไม่ยอมฆ่าคนอื่น ศาสนาแท้จริงมันจะไปเสียอย่างนั้น เอ้า, ถ้าเป็นในนามศาสนาจริงมีการหลั่งเลือดจริง มันก็ไม่ได้เลือดของดอกบัวสีแดง เป็นเลือดของดอกบัวสีเหลือง หรือว่าจะรักษาอุดมคติของดอกบัวสีเหลืองไว้ จะมีการหลั่งเลือด อย่างนี้ก็ไม่เรียกว่าเขาจะใช้ดอกบัวสีแดง ถ้ามันไม่เป็นอย่างนี้มันก็ไม่ใช่เรื่องของศาสนาไม่ใช่ทำไปในนามของศาสนา และไม่เกี่ยวศาสนา เพราะมันใช้ดอกบัวสีแดง ซึ่งเป็นว่าสิ่งที่ตรงกันข้ามกับศาสนา เพราะเหตุใด ตอบได้ง่ายๆ ว่าศาสนานี่เขามีขึ้นมาไว้ จะกำจัดการใช้ดอกบัวสีแดง
ศาสนามันเกิดขึ้นมาตั้งขึ้นมางอกงามขึ้นมาโดยใครก็ตาม อะไรก็ตามแต่ว่าเหตุผลหรือเจตนารมณ์ของมันนั้น เพื่อจะกำจัดดอกบัวสีแดง หรือการใช้ดอกบัวสีแดงเป็นต้นเหตุ เริ่มต้นมีศาสนาที่เราจะเรียกว่าดอกบัวสีเหลือง การตายของพระเยซูบนไม้กางเขนนี่ จะดูตามข้อเท็จจริง ตามความเป็นจริง เป็นการรักษาเกียรติของดอกบัวสีเหลือง เอาพระเยซูเป็นตัวอย่างก็ได้ เพื่อใช้ชีวิตเป็นเดิมพัน เพื่อรักษาไว้เป็นเกียรติ ฉะนั้นการใช้ดอกบัวสีเหลืองไม่ได้มีการต่อต้าน ไม่ได้มีอะไรรบราฆ่าฟันเสียเลือดเสียเนื้อแม้แต่หยดเดียว พระเยซูต้องตายด้วยเหตุที่มันเกี่ยวพันกันหลายอย่าง ที่สุดก็เป็นอันว่าในการเสียสละอย่างยิ่งเพื่อให้มนุษย์นิยมการใช้ดอกบัวสีเหลือง นี่เรื่องของศาสนามันเป็นอย่างนี้ ศาสนาไหนก็ตามถ้ามันเป็นไปอย่างถูกต้องแท้จริงแล้วมันจะเป็นอย่างนี้ ก็เลยพูดไปเสียอีกทีนึง
และผมก็ขอพูดอย่างสมมติฐานอีกว่าไม่ได้บังคับให้ใครเชื่อหรือว่าไม่ใช่ว่าอันนี้เป็นความจริงโดยเด็ดขาด คือจะพูดว่าศาสนาทั้งหลายที่แท้จริง ยึดถือหลักการใช้ดอกบัวสีเหลืองที่แก้ปัญหา มันจะเกิดจากการใช้ดอกบัวสีแดงหรือว่าเกิดการใช้ดอกบัวสีแดงขึ้นมาแล้ว จะยุติสิ่งนั้นเสียด้วยการใช้ดอกบัวสีเหลือง ฉะนั้นศาสนาจึงเป็นสิ่งที่มีไว้เพื่อรักษาและป้องกันสันติภาพของมนุษย์โดยแท้จริง ถึงกับมีคนมาหาว่าเป็นเรื่องบ้าบอครึคระ หรือเป็นยาเสพติด หรืออะไรทำนองนั้น จริงหรือไม่จริง คุณไปคิดดูก็แล้วกัน
พูดถึงศาสนาแล้วล่ะก็ พูดให้มันสิ้นเชิงเอาไว้สักหน่อย เพราะถ้าถือตามหลักของศาสนาแล้ว มันมีหลักตายตัวเหมือนๆ กันทั้งนั้น คือ จะชนะความชั่วด้วยความดี ซึ่งเป็นความหมายของการใช้ดอกบัวสีเหลือง จะชนะความชั่วด้วยความดี หรือจะชนะคนชั่วด้วยความดี ไม่ใช่เอาความชั่วชนิดหนึ่งซึ่งเหนือกว่ามีเท้าใหญ่กว่า แล้วก็มาชนะคนนั้นซึ่งมีอะไรๆ เล็กกว่า อย่างที่ว่าจะใช้ดอกบัวสีแดงดอกใหญ่กว่า มาห้ำหั่นไอ้ดอกสีแดงที่มันเล็กกว่า อย่างนี้ไม่มี มันจะต้องใช้ความดีชนะความชั่ว ซึ่งเราสมมติเรียกว่า ใช้ดอกบัวสีเหลืองแก้ปัญหาดอกบัวสีแดงเรื่อยไป หรือว่าชนะเวรด้วยการไม่ก่อเวร ไม่รักษาเวรไว้ เมื่อได้ทำผิดลงไปแล้ว ครั้งแรกเกิดการเกลียดชังอาฆาตมาดร้ายขึ้นมาแล้ว ก็จะไม่ระงับมันด้วยการกระทำตอบในทำนองเดียวกันนั้น แต่จะกระทำในทางที่มันจะหยุดเวรอย่างนั้นเสีย ต้องเป็นฝ่ายที่อดทนมาก ถ้าไม่มีผู้อดทนเวรนั้นจะไม่ระงับ จนกว่าจะแหลกลานกันไปหมด ถ้ามีการอดทนเสียฝ่ายหนึ่ง ไอ้เวรนั้นมันก็หยุด เพราะผู้ที่อดทนนั้นเอง และผู้ที่อดทนนี้มักจะถูกหาว่าอ่อนแอขี้แพ้อะไรทำนองนี้ มันไม่จริง ถ้าเขาเข้มแข็งพอที่จะทำอย่างเดียวกันก็ได้ ฆ่าล้างแค้นก็ได้ แต่เขาเห็นว่ามันเป็นการเพิ่มเวรขึ้นมาอีก ทีนี้ฝ่ายนั้นตอบแทนมาอีก ก็เพิ่มเวรอีก จนโลกนี้เต็มไปด้วยเวร เห็นว่าไม่ถูกก็เลยยุติเสียด้วยการไม่ก่อเวรเพิ่มขึ้น
ทีนี้หลักเกณฑ์อันนี้กลัวว่าพวกที่ถือดอกบัวสีแดงสมัยนี้ไม่ยอมรับ เขาไม่ยอมรับ หรือพวกที่ถือดอกบัวสีม่วงนี้ เขาก็ไม่ยอมรับ มันจะยอมรับกันได้ก็คือพวกที่ถือดอกบัวสีเหลือง พวกชนกรรมาชีพผู้ตกยากนี้ ก็ไม่ยอมรับลัทธิอย่างนี้ เพราะว่าเขากำลังมึนเมาด้วยความโกรธความอาฆาต พวกนายทุนที่เรียกว่า ถือดอกบัวสีม่วงสีน้ำเงิน เขาก็ไม่อยากจะถืออย่างนี้ เพราะเขามุ่งประโยชน์อย่างเดียว เหลืออยู่แต่พวกที่ยังถือดอกบัวสีเหลือง ก็ยังคงยึดถือหลักเกณฑ์อันนี้ว่าจะชนะความชั่วด้วยความดี จะชนะเวรด้วยการไม่ก่อเวร ขอให้ลองคิดดู เราจะเป็นพวกไหน จะเป็นพวกยึดถือหลักเกณฑ์อย่างไหน ทั้งๆ ที่เราก็กำลังห่มจีวรเหลืองโล่อยู่อย่างนี้ หรือพวกอุบาสกอุบาสิกาทั้งหลายก็เหมือนกัน ยังประกาศตัวว่านับถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มอบกายนี้ ชีวิตนี้ให้แก่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อยู่ เขาเห็นเป็นของครึ ดูให้ดี ดูให้ดีจะชี้ให้เห็นว่าเขาเห็นเป็นของครึ เห็นธรรมะเป็นของครึ บางทีเขาเคยได้ยินได้ฟังมาแล้วว่า สอนกันอย่างนี้ เขาก็ไม่เห็นด้วยไม่ยอมรับ แล้วเอามาล้อเลียน เดี๋ยวนี้ขึ้นธรรมมาสแล้ว ก็จะพูดยกหัวข้อแสดงธรรม อักโกเธนะ ชิเนโกธัง พึงชนะความโกรธด้วยความไม่โกรธ อสาธุง สาธุนา ชิเน ชนะความไม่ดีด้วยความดี นะหิ เวเรนะ เวรานิ สัมมันตีธะ กุทาจะนัง ในโลกนี้ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาแล้วนี้ เวรไม่เคยระงับได้ด้วยการจองเวร อย่างนี้เป็นต้น มีข้อความอย่างนี้แยะไปหมดในพระบาลี พระคัมภีร์ สำหรับกลายเป็นของที่คนสมัยนี้หัวเราะเยาะ ถ้าคุณเคยนึกหัวเราะเยาะมาบ้างแล้ว ก็ไปคิดดูใหม่ เขาเห็นเป็นของครึพ้นสมัยล้าสมัย เอามาใช้ไม่ได้ เขาก็เบื่อกันเต็มที ก็เกลียดดอกบัวสีเหลือง ไม่มีอะไร รังเกียจ รังเกียจเกลียดชังดอกบัวสีเหลืองด้วยการใช้ดอกบัวสีเหลือง เพราะฉะนั้นเขาไม่เคยคิดจะใช้ เพราะฉะนั้นอีกทีหนึ่งคือ เขาใช้มันไม่เป็น เขาจึงใช้มันไม่เป็น แล้วก็มาถามว่า ถ้าเขาจะฆ่าเรา แล้วเราจะทำอย่างไร แสดงว่ามืดตื้อเลย มืดตื้อตันอย่างนั้นไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ถ้าเขาจะฆ่าเรา
ฉะนั้นลองไปศึกษาวิธีการอย่างนี้ให้มากพอ มันจึงจะยุติธรรม ดอกบัวสีเหลือง มันอย่างไร เราจะใช้มันอย่างไร ใช้โดยไหวพริบปฏิภาณอย่างไร วิธีใช้มีอะไรกี่อย่าง แล้วก็ใช้ให้มันถูกต้อง เดี๋ยวนี้มันมีอุปสรรคอยู่หลายอย่างที่ทำให้ไม่อาจจะยึดถือหลักอันนี้ได้ เพราะความกลัว ความกล้าไม่พอ ที่เห็นอยู่ทั่วๆ ไป กลัวยากจน ขว้างทิ้งดอกบัวสีเหลืองเลย ถึงจะกลัวจน กลัวจะไม่มีสตางค์ใช้อย่างสมัยนี้นะ หากินไม่พอนี้ก็ต้องไปทำคอรัปชั่นบ้าง หรือไปทำอาชญากรรมอย่างอื่นบ้าง หรือแม้แต่กระทำมิจฉาวานิชชาอะไรก็ตาม ที่มันไม่ควรทำ ก็ทำซะ เพราะเหตุเพียงว่ามันกลัวจน ทั้งที่มันยังไม่ทันจะยากจนมันก็กลัวจนมันก็ทำ หรือจนจริงๆ มันก็ทำ เพราะมันกลัวความยากจนมากกว่าการสูญเสียธรรมะไป
ทีนี้บางคนเลวกว่านั้น เลวมากจนไม่รู้จะใช้คำว่ายังไงดี คือเพียงแต่ว่าลำบากนิดหน่อยก็ทิ้งความเป็นธรรม ทิ้งความถูกต้อง เพราะเขาไม่ยอมรับความลำบาก ไม่ยอมรับความอดทน เสียนิสัยที่พ่อแม่มันอบรมมาไม่ดี ไม่ยอมรับความลำบากความอดทน ในการเรียนก็ดี ในการทำการงานก็ดี ไม่ยอมรับความลำบาก มันก็เลยปฏิเสธการที่จะยึดถือหลักความถูกต้อง ฉะนั้นการทุจริตในห้องเรียนก็ดี ในที่ที่เขาไปก็ดี ในการทำกิจกรรมระหว่างประเทศชาติก็ดี มันเต็มไปด้วยทุจริต
คงจะไม่คัดค้านกระมัง ถ้าจะพูดว่าบางคนนี้ มันเห็นแต่ผู้รับของมัน มันทำบาปมหาศาล ผู้รับของมันจะใช้ทำบาปชนิดไหน มันก็ทำอย่างนี้ก็มี มันไม่มีอะไรเหลืออยู่ที่จะยึดถือว่าเป็นดอกบัวสีเหลือง คุณสึกออกไปคงจะมีผู้รับ ลองเก็บเอาข้อนี้ไปคิดดูด้วย คืออย่าให้ถึงกับให้เขาใช้เราทิ้งดอกบัวสีเหลืองขว้างทิ้ง นั่นจะมีผลร้ายกันมาก นี่เรียกว่าความกล้าไม่พอ ที่จะยึดหลักอันถูกต้องไว้ โดยเฉพาะบุคคลในยุคนี้ในสมัยนี้ มันจะเป็นไปเสียอย่างนี้ ก็เลยไม่อาจจะถืออุดมคติของคนโบราณ คนที่เขาถือศาสนาเป็นหลัก มันมีหลักที่เรียกว่าโบรงโบราณ นี่ต้องใช้คำว่า สะนันตะโน คือไม่มีใครบอกได้ว่าตั้งแต่ครั้งไหน ก่อนพุทธกาลนานไกลไปโน้นอยู่มากเหมือนกัน หลักธรรมะเหล่านั้นมีอยู่มาก
แม้แต่หลักธรรมะที่ว่า ให้เสียสละทรัพย์ เพื่อจะรักษาอวัยวะนี้ไว้ และยอมเสียอวัยวะนี้ เพื่อจะรักษาชีวิตเอาไว้ และก็ยังต้องเสียสละชีวิต เพื่อรักษาธรรมะด้วยความถูกต้องเอาไว้ หลักธรรมะที่เป็น สนันตะนะ มันเป็นอย่างนี้ ใครจะยอมถือกันบ้างเดี๋ยวนี้ สละชีวิตเพื่อเอาธรรมะไว้ นอกจากพวกที่นิยมลัทธิที่ถือ martyrdom ยอมเสียชีวิตเอาศาสนาไว้ เอาความถูกต้องไว้ ยืนยันอยู่ ถ้าคนถือหลักอย่างนี้อยู่ โลกไม่เป็นอย่างนี้ โลกไม่เป็นอย่างที่กำลังเป็นอยู่นี้ ที่ว่าเสียทรัพย์เอาอวัยวะ มือตีน เป็นต้นไว้นี่ เพื่อเสียเงินรักษา อย่าให้อวัยวะเสียไป ถ้าอวัยวะเสียไปรักษาไม่ได้ ก็ตัดทิ้งไป อย่าให้ชีวิตเสียไป ก็หมายความถึงชีวิตนี่อีกว่า ควรจะเสียทิ้งไปเพื่อเอาธรรมะไว้ ไว้ให้ใครคนนั้นตายแล้ว ก็คือให้ธรรมะอยู่เป็นธรรมะ อยู่ในโลก เป็นสถาบันของธรรมะ เขาไม่มีตัวกูของกูกันถึงขนาดนี้ เอาธรรมะเป็นหลัก ถ้าเป็นตัวเอาธรรมะเป็นตัว นั่นเรียกว่ามันกล้าพอ มันไม่มีความกลัว มันมีความกล้าที่เพียงพอ แต่มาถึงยุคนี้มันจะเป็นความกล้าที่ถูกถ่มน้ำลาย ไม่มีใครสร้างภาษาบาลี เทิดทูน และจะสร้างภาษาบาลีให้แก่คนที่ฆ่าคนได้มากๆ ฉะนั้นเราจะต้องมีความกล้าที่ถูกต้อง ที่ประกอบไปด้วยธรรมะ และเพียงพอด้วย จึงจะสามารถชูดอกบัวสีเหลืองหลาอยู่ได้ ไม่มีปัญหาเรื่องความตาย ดังนั้นใครเข้ามาจะฆ่าเรา ก็เอาดอกบัวสีเหลืองฟาดหัวมัน ที่ถามว่าถ้าเขาเข้ามาจะฆ่าเรา เราจะทำอย่างไร ตอบโดยอุปมาว่าก็เอาดอกบัวสีเหลืองฟาดหัวมัน ไอ้เราไม่มีความตาย ไม่มีเรื่องที่ว่าจะอยู่หรือจะตาย
ทีนี้ก็มีอยู่ว่า มันมีคำกำกวม ในคำพูดที่เรียกว่า ความกล้าหรือความกลัว ในการปฏิบัติที่ตรงตามความหมายที่แท้จริง เมื่อมีความกำกวม มันก็แยกเป็นสองฝ่ายสามฝ่าย แต่ละฝ่ายมันก็มีเหตุผล จับเอาคำพูดเหล่านี้ไปยึดถือใช้เป็นเหตุผล อย่างข้อความในพระคัมภีร์ก็มี ที่เถียงกันในระหว่างตัวแทนของธรรมะกับอธรรม ถึงใช้เป็นชื่อเรื่องนั้นว่า เรื่องสงครามระหว่างธรรมะกับอธรรม ในที่ประชุมใหญ่นั้นถือทำการ เหมือนกับสัมมนา แต่มันลงมติ มันไม่เหมือนกับสัมมนาในเดี๋ยวนี้ เพราะเราสัมมนาอย่างลงมติ และเราควรจะถือธรรม คือดอกบัวสีเหลือง อธรรมดอกบัวสีแดง พวกที่ถืออธรรม มันก็ร้องขึ้นมาว่า ไม่ได้ คือจะปล่อยไปตามนั้นไม่ได้ มันก็จะลุกลามเราใหญ่ เหมือนกับสุนัขหรือวัว เราวิ่งหนีมันก็ยิ่งไล่ใหญ่ นั้นต้องตีมันให้ตาย นี่พวกนี้ถือว่ายอมไม่ได้ แพ้ไม่ได้ อ่อนแอไม่ได้ ถ้าเราตายอ่อนแอ แล้วมันจะลุกเราใหญ่ อีกพวกหนึ่งมันก็ไม่ยอมถืออย่างนั้น มันถือว่ามีความถูกต้องแล้วก็ไม่มีการลุกใหญ่อย่างนั้น เราใช้ความถูกต้องที่จะหยุดยั้งไอ้การลุกลานนั้น ไม่ใช่ใช้อำนาจหรือกำลังที่จะไปฆ่าเขาเสีย เขาพูดกันมาก ในที่สุดที่ประชุมก็เห็นด้วยกับฝ่ายว่าใช้ธรรมะเป็นกำลัง
สุภาษิตก็มีอยู่ ว่าหมา หมาใดตัวร้ายขบบาทา อย่าขบตอบต่อหมา อย่าค่อม อย่าทำอะไรก็แล้วแต่จินตนา ขอให้มันเป็นว่าถ้าหมากัดก็อย่าไปกัดหมาก็แล้วกัน ทีนี้พวกที่ว่าหมากัดก็ต้องตีให้ตาย มันเป็นคนละความหมาย ถ้าหมานี่ เดี๋ยวนี้มันไม่ใช่หมาตัวเล็กๆ อย่างนั้น มันเป็นหมาตัวโต ก็มีเรื่องแน่ แต่ถึงไปขบกับหมาอย่างน้อยก็เสียเกียรติของมนุษย์แล้ว ฉะนั้นใช้ดอกบัวสีเหลืองก็ได้ จะขู่หมา ตีหมา ไล่หมาก็ใช้ดอกบัวสีเหลือง ด้วยเจตนาอย่างอื่น คือไม่เจตนาจะฆ่าเขาให้ตาย เจตนาโดยตรงที่จะฆ่าเขาให้ตายนั้น อย่าเลย ทำความเข้าใจอย่างมากที่สุด ก็ป้องกันตัว อย่างนี้เรียกว่ามันยังอยู่ฝ่ายการใช้ดอกบัวสีเหลืองอยู่ มีเหตุผลสำหรับความถูกต้องอยู่ร้อยเปอร์เซ็นต์
ดอกบัวสีเหลืองนี้มันไม่ได้ทำให้ขลาดนะ มันไม่ได้ทำให้กลัว ไม่ได้ทำให้อ่อนแอ เพราะเราพูดกันมาหลายวันแล้วว่า มันออกมาจากสุญญตา เป็นความรู้ที่ถูกต้อง ที่สุดสูงสุดของธรรมชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นหัวใจพุทธศาสนา และสิ่งเหล่านี้ทำให้คนเกิดความกลัวตาขาวขี้ขลาด มันก็เป็นไปไม่ได้ พุทธศาสนาก็ใช้ไม่ได้ ผู้ที่เข้าใจพระพุทธศาสนา จะมาเป็นคนขลาดเป็นคนอ่อนแออย่างนี้ เป็นไปไม่ได้ เราต้องดูเสียใหม่ มันมีความกล้าชนิดที่ว่าจิตใจไม่ผิดปกติ ความกลัวต่างหากที่ทำจิตใจให้ผิดปกติ ความกล้าที่ถูกต้องที่ออกมาจากสุญญตานี่ ไม่มีส่วนที่จะทำให้จิตใจผิดปกติ ทั้งยิ้มแจ่มใสสดใสอยู่ด้วยความถูกต้อง มันไม่เห็นแก่ตัว มันไม่มีตัว มันก็ไม่มียินดียินร้าย หรือว่าหวาดเสียวเรื่องได้เรื่องเสีย มันยืนอยู่ตรงกลางที่เป็นความถูกต้อง นี่เรียกว่าไม่เห็นแก่ตัว แต่มันเห็นแก่ธรรมะคือความถูกต้อง ฉะนั้นมันไม่กลัวตาย เพราะมันไม่มีใครตาย ถ้าถึงสุญญตาแล้ว ไม่มีใครตาย และมันจะกลัวตายได้อย่างไร มันไปเอาธรรมะเป็นตัว ร่างกายนี้ตาย นี่มันของเด็กอมมือ ไม่มีความหมาย ธรรมะอยู่ก็แล้วกัน เขาไปมีตัวอยู่ที่ธรรมะ ฉะนั้นจึงไม่กลัวตาย
ในความกล้าที่มาจากสุญญตามันมีอย่างนี้ มีสติ มีไหวพริบ มีปฏิภาณทุกอย่างที่จะแก้ปัญหาได้ ยังถือว่าดอกบัวสีเหลืองนี้เต็มไปด้วยความกล้าที่บริสุทธิ์ ไอ้ดอกบัวสีแดงนี่มาจากความกลัวที่โง่เขลา ไปคิดดู ถ้าเราใช้ดอกบัวสีแดงแล้วไม่ว่าขนาดไหน ดอกไหนเป็นเรื่องของความกลัวที่โง่เขลา โง่เขลาในข้อที่ต้องฆ่าคนให้มากๆ ไม่พบทางอื่นที่จะไม่ต้องฆ่า และก็จะแยกทางกันเดิน ความกล้าที่บริสุทธิ์รู้จักผิดชอบชั่วดี ความกลัวที่โง่เขลา แม้จะเจตนาที่ต้องทำดี มันก็ผิด นี่พยายามให้เข้าใจไอ้ดอกบัวสีเหลืองให้เพียงพอ จะใช้เป็นประโยชน์ได้ ขนาดที่ว่าใครจะมาฆ่าเรา แล้วเอาดอกบัวสีเหลืองฟาดหัวมันได้ ปัญหามันจะหมดไปเอง
เดี๋ยวนี้ถ้าดูกันอีกที มันเปลี่ยนมาก ไอ้ดอกบัวสีเหลืองมันชักไม่มีอยู่ในเมืองไทยกันเสียแล้ว ไอ้คนที่เคยมีอยู่บาง คนแก่ๆ มันก็ชักจะตามลูกเด็กไปเสียแล้ว มันเอาไว้ไม่อยู่ ทีนี้คนหนุ่มผู้กล้าหาญบางคน ก็ทำท่าว่าจะถือดอกบัวสีเหลือง พอเห็นดอกบัวสีแดงมาไรๆ มันก็เปลี่ยนสีเสียแล้ว ดอกบัวมันเปลี่ยนสีเสียแล้ว สติปัญญามันได้เปลี่ยนเสียแล้ว และมันไปเข้าใจผิด หรือเพราะถูกชี้ชวนไปด้านเดียว ถ้าผมพูดให้ตรงกว่านี้นะ และพูดถึงลัทธิขวาซ้ายอะไรแบบนี้ ก็จะพูดว่า รัฐบาลหรือใครก็ตามที่มีหน้าที่ชี้ชวนให้คนพลเมืองรู้จักดอกบัวสีเหลือง และใช้ประโยชน์เต็มที่นะ มันไม่ได้ทำ มันไม่ได้ทำ มันไปทำอะไรกันก็ไม่รู้ ไปทำตามหลังตามก้นวัตถุนิยมที่ไหนกันก็ไม่รู้ ทีนี้ฝ่ายซ้ายที่เขานิยมดอกบัวสีแดง เขาก็ชี้ชวนกันไปเรื่อย ชักจูงกันเรื่อย ยั่วยวนกันเรื่อย ล่อหลอกกันเรื่อย ที่จะไปใช้ดอกบัวสีแดง นี่เป็นเหตุให้ดอกบัวสีเหลือง มันเปลี่ยนสีหมด และผลมันจะเกิดขึ้นอย่างไร ก็ดูต่อไป จะถือดอกบัวสีเหลืองให้มันมั่นคง อย่าให้มันเปลี่ยนสีได้ จะเอาสีมาย้อมดอกบัวสีเหลืองนิดเดียวมันก็กลายเป็นสีแดงได้ เพราะสีเหลืองมันก็ตอมด้วยสีแดง ด้วยโฆษณาชวนเชื่อหลายๆ วิธี ทั้งที่เกิดมาโดยสายเลือดที่ถือดอกบัวสีเหลือง มันก็เปลี่ยนสีเหลือง เพราะว่าดอกบัวสีแดงมันดูโลดโผนดี ขึงขังดี เหมาะสมสำหรับคนใจร้อน พรวดพราด ขึงขัง ส่วนดอกบัวสีเหลืองนั้นมันสุภาพเกินไป
พูดอย่างนี้ดีกว่าว่า ไอ้ธรรมะก็ดี อหิงสาก็ดี สันติก็ดีแล้วแต่จะเรียกนี้ มันสนุกน้อยเกินไปสำหรับเด็กๆ สมัยนี้ซึ่งมันชอบความโลดโผน มันไม่มีเสน่ห์สำหรับคนรุ่นนี้ คนในยุคนี้ ไอ้ธรรมะก็ดี อหิงสาก็ดี สันติก็ดี ไม่เป็นเสน่ห์แก่คนยุคนี้ มันว่าดอกบัวสีเหลือง ไม่เป็นเสน่ห์แก่คนยุคนี้ ดอกบัวสีแดงมันเป็นเสน่ห์ยั่วยุให้สนใจ ให้สนุก เผลอนิดเดียวก็เห็นเป็นของดีไปแล้ว เพราะว่าการศึกษาในโลกปัจจุบันนี้ มันเต็มทีแล้ว มันผิดพลาด สอนให้เห็นแก่ได้ ไม่สอนให้เห็นแก่ธรรมะ มันจึงเปลี่ยนง่าย ถ้ามีเรื่องได้เข้ามา มันก็เปลี่ยนเรื่องธรรมะเป็นเรื่องได้ไปหมด ก็ถือว่าได้นี่ดี เลยถือว่าเรื่องอหิงสา เรื่องสันติเป็นที่น่าหัวไปเลย น่าหัวเราะเยาะไปเลย
นี่เราพูดกันถึงสถานะทางจิตใจของพวกเราในสมัยปัจจุบัน โดยเฉพาะปัญญาชน ผู้ที่เรียกตัวเองว่าปัญญาชนของประเทศไทยนี้ กำลังจะเป็นอย่างไร ถึงจะเปลี่ยนประเทศไทยเป็นสีแดงไปได้ แค่ว่าการชี้ชวนชักชวนทางด้านฝ่ายสีเหลืองมันไม่พอ ที่ว่ารัฐบาลหรือว่าผู้มีหน้าที่ปกครองประเทศ ไม่ได้สนใจเรื่องนี้ ไม่ได้ชี้ชวนไปดอกบัวสีเหลืองอย่างถูกต้องและเพียงพอ เพราะความกลัวอีกเหมือนกัน กลัวจนลาน กลัวจนทำอะไรไม่ถูก จึงไปยุ่งเรื่องเศรษฐกิจ เรื่องการเมือง เรื่องอะไรที่ตามก้นพวกอื่น พวกที่ใหญ่กว่า พวกที่เขากลัว ไม่มาสนใจกันถึงเรื่องศีลธรรม ไม่มีการพูดถึงคำว่าศีลธรรม พูดถึงเรื่องการเมือง เรื่องสหกรณ์ เรื่องเศรษฐกิจ เรื่องปฏิรูปที่ดินเยอะแยะไปหมด โดยที่ไม่รู้ว่ามันจะต่อต้านได้อย่างไร ที่ทำไปมันจึงกลายเป็นสมุนของดอกบัวสีแดงหมด เพราะไม่รู้ว่าจะต้องยึดหลักดอกบัวสีเหลืองนี้ไว้ให้คงถูกต้อง
ที่ผมว่าแก้ด้วยดอกบัวสีเหลืองนี้ หมายความว่าต้องเหนือกว่า เพราะธรรมะมันต้องเหนือกว่าอธรรม เพราะธรรมะมันไม่ได้เป็นไปเพื่อฆ่าเพื่อทำลาย หรือเพื่อวุ่นวาย นี่จะแก้กันที่เศรษฐกิจก็ได้ จะให้เป็นเศรษฐกิจศีลธรรม หรือศีลธรรมเศรษฐกิจ ให้เรามีระบบเศรษฐกิจที่เหนือกว่า เราก็ชนะไอ้ระบบเศรษฐกิจที่เลวกว่า ทีนี้เราทำไม่ได้ เป็นระบบเศรษฐกิจตามก้น เศรษฐกิจเล็กๆ ในอุ้งมือ แล้วเราจะไปทันอะไรได้ เอายกตัวอย่างเรื่องคอมมิวนิสต์เลยทีนี้ ว่าถ้าเราจะชนะคอมมิวนิสต์ เราต้องมีเศรษฐกิจที่เหนือกว่าคอมมิวนิสต์ หรือว่าเราจะชนะคอมมิวนิสต์ เราต้องมีระบบสหกรณ์ที่เหนือกว่าสหกรณ์ของคอมมิวนิสต์ หรือว่าเราจะใช้ระบบปฏิรูปที่ดิน มันก็มีการปฏิรูปที่ดินที่เหนือกว่าคอมมิวนิสต์ จงทำเป็นคอมมิวนิสต์ที่เหนือกว่าคอมมิวนิสต์ และเราก็จะชนะคอมมิวนิสต์ได้ เดี๋ยวนี้เป็นเรื่องล้าหลังเป็นเรื่องเด็กๆ เป็นเรื่องเล็กๆ เป็นเรื่องตามก้น และยังไม่มีศีลธรรมอีกด้วย คือไม่ได้ใช้ดอกบัวสีเหลือง มันทำไปด้วยความขลาด ความเขลา หรือความไม่ได้แจ่มแจ้งในเรื่องของการใช้ศีลธรรม เป็นการแก้ปัญหา ดังนั้นเรายิ่งแก้ปัญหา ก็ยิ่งเป็นการไม่แก้ เพราะเราไม่มีศีลธรรมในการแก้ปัญหา ยิ่งแก้ก็ยิ่งเป็นการไม่แก้ เพราะไม่มีศีลธรรม ยิ่งเคลื่อนไหวไปเท่าไหร่ก็ยิ่งเป็นการคดโกงคอรัปชั่นไปเสียหมด อย่างนี้ไม่มีวี่แววของดอกบัวสีเหลืองเหลืออยู่ มันเลอะเทอะไปหมดแล้ว มันก็เป็นสีอะไรก็บอกไม่ถูกแล้ว
คุณควรจะไปคิดอย่างที่ผมเคยพูดมาเป็นสิบครั้งแล้วว่า มันไม่มีอะไรที่ไม่ใช่ศีลธรรม เพราะคำว่าศีลธรรม คือสิ่งที่จะทำความปกติ เศรษฐกิจก็ทำความปกติให้แก่มนุษย์ระบบหนึ่ง การเมืองมาทำความปกติให้แก่มนุษย์ระบบหนึ่ง แม้แต่การทหารก็ทำถูกต้องตามเจตนารมณ์แล้วก็เป็นเครื่องมือทำความปกติให้แก่มนุษย์ ที่เดี๋ยวนี้มันตรงกันข้ามไปหมด มันเป็นระบบที่ไม่มีศีลธรรม เศรษฐกิจก็ไม่มีศีลธรรม การเมืองก็ไม่มีศีลธรรม การทหารก็ไม่มีศีลธรรม ปฏิรูปที่ดินก็ไม่มีศีลธรรม อะไรมันก็เป็นไปอย่างไม่มีศีลธรรม มันก็เลยมีแต่ทรุดลงไปๆ ยิ่งไกลศีลธรรมยิ่งตรงกันข้ามศีลธรรม มันก็ยิ่งไกลไปจากที่เราเรียกว่าดอกบัวสีเหลือง ใครไปจัดเศรษฐกิจให้มีศีลธรรมอะไร ให้มันมีศีลธรรม มันจะแก้ปัญหาได้
นี่เรียกว่าในระบบโลกๆ กันนี้ เราต้องมีอะไรที่เหนือกว่าผู้ที่เราตั้งใจจะต่อต้าน หรือต่อสู้ ถ้าไม่ต้องการจะต่อสู้ก็แล้วไป และจะต้องการจะต่อสู้ก็ต้องทำสิ่งที่เป็นศีลธรรมกว่า เพื่อเป็นสีเหลืองกว่าเสมอไป มีแต่รอดอย่างเดียวกับที่เคยรอดมาแล้วเหมือนสมัยที่จักรวรรดินิยมกำลังอาละวาด
ทีนี้ดูในทางธรรม ในทางภายในกันบ้าง เราต้องมีเมตตาที่จริงกว่า มีความรักที่เหนือกว่า เดี๋ยวนี้มันหาเมตตาทำยายาก หาความรักกันและกันหรือรักประเทศชาติที่แท้จริงก็หายาก มันจะรักแต่ปาก แม้แต่ความสามัคคี ก็ต้องมีความสามัคคีที่เหนือกว่าที่ถูกต้องกว่า เดี๋ยวนี้มีแต่สามัคคีหาประโยชน์ สามัคคีกันทำคอรัปชั่น แล้วจะเป็นสามัคคีได้อย่างไร เห็นอยู่ว่าตะโกนหาสามัคคีกันอยู่ทุกวันๆ มันก็ไม่เป็นสามัคคีได้ เพราะมันไม่ทำไปอย่างที่ประกอบในศีลธรรม ถ้าเราจะใช้คำว่า เสรีภาพ อิสรภาพ ชอบกันนัก ปรารถนากันนัก มันก็ต้องให้เป็นเสรีภาพ หรือ อิสรภาพที่จริงกว่า เสรีภาพ ที่ได้มาด้วยดอกบัวสีแดง ผมว่าไม่จริงอะไรได้ แต่ถ้าเสรีภาพ อิสรภาพที่ได้มาด้วยดอกบัวสีเหลืองนี้จะบริสุทธิ์ มันจะจริงกว่า
ในที่สุดมันก็ไปจบลงที่คำว่า สันติ สงบสุข มันต้องเป็นสันติตั้งแต่ต้นเรื่อยไปจนถึงท่ามกลาง เบื้องปลายต้องใช้สันติวิธี สันติเรื่อยไป ไม่มีการหลั่งเลือด ไม่มีการเสียน้ำตา นั่นแหล่ะลักษณะของการใช้ดอกบัวสีเหลือง มันมีแต่เหตุผลที่ทำให้ฆ่ากันไม่ลง เดี๋ยวนี้เรามีเหตุผลว่าต้องฆ่ากัน คุณรู้ดีกว่าผมแน่นอน เดี๋ยวนี้มีเหตุผลกันว่าต้องฆ่า ต้องใช้การฆ่า จึงจะจับสันติภาพในโลกได้ ผมมัวงมอยู่คนเดียวว่า เราไม่ต้องใช้การฆ่า เราจึงจะจับสันติภาพในโลกได้ เพราะการฆ่านั้นไม่ใช่สันติเป็นเสียตั้งแต่ต้นบึง ในการบีบบังคับ พอหมดแรงบังคับ มันก็เปลี่ยนไปรูปอะไรที่มันก็ยิ่งร้ายเสียกว่าเดิมเสมอ ถ้านิยมดอกบัวสีเหลืองมันก็มีสันติตั้งแต่เริ่มลงมือ และก็เรื่อยไปจนถึงจุดหมายปลายทาง มีเหตุผลที่ทำให้ฆ่ากันไม่ลง เดี๋ยวนี้แม้แต่ภายในวงของตัวเอง ก็มีการฆ่า จะพูดอะไรถึงต้องไปปะทะกันกับศัตรูภายนอก ไม่เกี่ยวกับสงครามไม่เกี่ยวกับอะไร มันก็ฆ่ากันเองเป็นภายในมากมาย อย่างที่ว่ามาเมื่อสักครู่นี้ วันละ ๓๐ ราย เป็นอย่างน้อย
นี่เพราะจิตใจมันเดินไปผิดทาง หนักเข้าๆ เห็นการฆ่าเป็นของเล็กน้อย ตอนนี้การฆ่ากันอย่างไม่มีเหตุผล อย่างเดี๋ยวนี้มันไม่มี เดี๋ยวนี้มากกันจนฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ฆ่าอะไรกันได้สูงไปถึงขนาดนั้น ก็เลยต้องสร้างเหตุผลที่ให้ฆ่ากันไม่ลงให้มากขึ้นมาใช้ ทำไมเราจึงไม่ควรฆ่ากัน เหตุผลอันนี้มันยังน้อยไป ไม่ได้สั่งสอน ไม่ได้ลงเรียนในมหาวิทยาลัย ในอะไรก็ตาม สิ่งที่เรียนๆ กันนั้นให้เรียนไปทางวิชาชีพ และก็เพื่อผลที่ไม่รู้จักพอ บำรุงบำเรอให้ชีวิตให้ชิวิตกว้างไกลอะไรก็ไม่พอ สอนกันแต่เรื่องอย่างนี้ ทุกชาติทุกประเทศทั่วทั้งโลก ไม่ได้สอนให้เข้าถึงเหตุผลที่ทำให้เราฆ่ากันไม่ลง เพราะมันตรงกันข้ามอยู่กับสิ่งที่เขาต้องการ เพราะเขาต้องการจะได้กันทั้งนั้น เขาก็หาเหตุผลทำไมเราจึงจะได้มา ส่วนเหตุผลที่ทำให้เราฆ่ากันไม่ลงนั้นไม่มี ไม่มีใครหยิบขึ้นมาดู หรือว่าไม่ศึกษาไม่สนใจ โลกนี้ก็เต็มไปด้วยการฆ่าแรงขึ้นๆ อย่างที่ผมลงทุนให้เขาด่า ผมด่าเขาก่อนว่าให้ตั้งโครงการนั้น โครงการนี้ขึ้นมาอีกสิบเท่ายี่สิบเท่า มันก็ทำให้โลกนี้สงบไม่ได้ เพราะไม่ตั้งองค์การที่พิจารณาเรื่องสันติ หรือการใช้ดอกบัวสีเหลืองกันเสียเลย
เอาละ, ทีนี้มาถึงคำตอบตรงๆ ต่อคำถามนี้ดีกว่า ที่เมื่อวานนี้มีคนถามว่า เขาจะฆ่าเรา แล้วเราจะทำอย่างไร ตอบโดยอุปมาสั้นๆ ก็ว่าใช้ดอกบัวสีเหลืองฟาดหัวมัน ทำให้มันฆ่าเราไม่ลง แต่ความหมายมันไกลออกไป กว้างออกไปรอบตัวได้ ถ้าจำเป็นจะต้องป้องกันตัว ในการทำให้เขาเสียชีวิต ก็ใช้ดอกบัวสีเหลืองนั่นแหล่ะป้องกันตัวแม้ว่าเขาจะต้องเสียชีวิต ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ช่วยไม่ได้ในการป้องกันตัว เพราะคนป้องกันตัวก็จะเอาแต่ชีวิตรอดเสมอ ทีนี้เรามีความถูกต้องเป็นธรรมเราก็ป้องกันตัวได้สุดเหวี่ยง เหมือนกับว่าหลักของศาสนา มันก็ยังยอมให้กินยาถ่ายฆ่าตัวพยาธิได้นี้ จะมีความสำคัญอยู่ที่ว่าต้องมีความบริสุทธิ์ใจ บริสุทธิ์ใจจริงๆ ก็ทำไปเท่าที่ควรจะทำ ฉะนั้นอย่าให้มันเกินที่ควรจะทำ แต่ว่าทำเท่าที่ควรจะทำ แล้วเป็นเหตุให้อะไรมันตายลงไปบ้างนั้น ก็ไม่ใช่ทำไปด้วยเจตนาร้าย ไม่ได้คิดจะฆ่า มันเป็นเรื่องการป้องกันตัวโดยบริสุทธิ์ อย่างนี้ก็ยังเรียกว่ายังถือดอกบัวสีเหลืองอยู่ ถึงจะอ่อนบ้างก็ไม่เป็นไร สีเหลืองจะเข้มไปก็ได้ ถ้าเรายอมเสียชีวิต เพื่อเอาธรรมะไว้อย่างนี้ก็ไม่ได้เรียกว่าถูกฆ่า แต่ก็ไม่มีใครเอาแน่ เพราะเต็มไปด้วยความกลัว ไม่มีใครยอมเสียชีวิต เพื่อว่าไม่ต้องมีการฆ่า ไม่ต้องมีการฆ่าผู้อื่น แต่ธรรมะมันก็ยังมีหลักว่า ถ้าจะระงับเหตุร้ายเสียได้ เพราะการยอมเสียชีวิตจะได้มีธรรมะอยู่ในโลกนี้มันก็ได้เหมือนกัน ก็ตะกี้พูดแล้วว่า เสียชีวิตเพื่อเอาธรรมะไว้ก็มี แต่ว่าถ้าดอกบัวสีเหลือแท้จริงแล้ว ทำให้ไม่ต้องมีทั้งสองอย่าง คือ สติปัญญาที่เพียงพอจริงๆ จะช่วยได้จะไม่ทำให้เกิดการที่เราป้องกันตัวจนมีใครเสียชีวิต หรือว่ากระทั่งตนเองเป็นผู้เป็นฝ่ายเสียชีวิต มีไม่ได้ ขอให้เห็นใจในสิ่งที่เรียกว่าธรรมะให้พอและก็มีสติสัมปชัญญะ ใช้ธรรมะให้มันทันท่วงที มันจะพูดกันได้แม้กับเสือ สติปัญญาในที่นี้ต้องเรียกว่าสมบูรณ์ทั้งในการป้องกันและในการแก้ไข เราจะถือว่าเป็นสิ่งที่พระเจ้า พระเป็นเจ้าประทานให้มา ใครเรียกว่าพระเจ้าก็ได้ ถ้าชอบเรียก ไอ้เราเรียกสัจธรรม ธรรมะสัจจะของธรรมชาติ มันให้มา ไม่มีอะไรที่ว่าธรรมชาติไม่ได้ให้มาไว้สำหรับเป็นคู่กัน มันมีอยู่ แต่ว่าเราไม่รู้จัก ที่จะเอาของผู้ปรับนั้นมาใช้สิ่งที่ควรจะต้องใช้ เพราะว่าเราสนใจธรรมะนี้น้อย ไม่พอ และยิ่งไปศึกษาผิดๆ นอกลู่นอกทาง รีรี ขวางขวาง ข้างข้าง คูคู มันก็ไม่พอ ก็คุณคิดดูเถอะ บวชยี่สิบวัน มันได้อะไรบ้าง มันพอหรือยัง ยิ่งทำให้มันออกเป็นข้างข้างคูคูเสียเวลามากเปล่าๆ ก็ยังไม่พอ มันยิ่งไม่พอ แต่เรายังไม่ได้รับประทานของ ไม่ใช่กิน เรายังไม่ได้รับไอ้สิ่งที่พระเจ้าให้ไว้ สำหรับแก้ปัญหา คือธรรมที่จะแก้ปัญหาของอธรรม คือดอกบัวสีเหลืองที่สามารถกำจัดปัญหาจากดอกบัวสีแดงหรือสีอื่นๆ ทั้งหลาย สีเหลืองอยู่ตรงกลาง ทางซ้ายเป็นพวกแดงเรื่อ แดงจัดหรือกระทั่งเหลือบแดง ทางขวาก็เป็นเขียว เป็นน้ำเงิน เป็นม่วง มันจำง่ายที่เราพูดด้วยสีที่เป็นสเปคตัม เพราะมันเป็นเรื่องของธรรมชาติแท้จริง ให้ดอกบัวสีเหลืองที่อยู่ตรงกลางนี้ สามารถจะแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ทุกสี ปัญหาทุกสีแก้ได้ด้วยดอกบัวสีเหลือง เมื่อแก้ได้หมดแล้วจึงกลายเป็นสีขาว ในระหว่างที่ยังต่อสู้กันอยู่นี้ ก็เป็นสีเหลืองไปก่อน พระเจ้าประทานให้มาสำหรับคุ้มครองโลก เป็นของจริงที่มีสมรรถภาพพอ
เวลาก็หมดแล้ว ก็สรุปความกันเสียที ว่าในการที่จะแก้ปัญหาทั้งหลายก็ดี ในการที่จะปราบสิ่ง ลัทธิหรืออะไรก็ตามที่ไม่พึงปรารถนา ที่เป็นฆ่าศึกโดยตรงก็ดี ขอให้ใช้ดอกบัวสีเหลืองเถิด ปัญหาทั่วไป ไม่ต้องนึกถึงปัญหาที่มีบุคคลที่สองก็ได้ คือเราคนเดียว มันก็มีปัญหาอยู่ในตัวเรา เราคนเดียวก็มีปัญหาอยู่ในตัวคนเดียวตั้งแต่เรื่องหากิน เรื่องใช้ เรื่องกิน เรื่องอาบ เรื่องถ่าย โรคภัยไข้เจ็บ กระทั่งเรื่องกิเลส อันร้ายกาจนี่ก็เป็นปัญหาในตัวเรา ก็ใช้ดอกบัวสีเหลืองเถิด ทีนี้ข้างนอกลัทธิทั้งหลาย การกระทำทั้งหลาย สิ่งดึงดูดทั้งหลาย สิ่งยั่วยวนทั้งหลาย ลุ่มๆ นี้เต็มไปหมด ก็ใช้ดอกบัวสีเหลืองเถิด ทีนี้ก็เพื่อให้ดอกบัวสีเหลืองมันครองโลก และถ้าใช้ดอกบัวสีแดง มันก็ขยายพืชพันธุ์ของดอกบัวสีแดง ทีนี้ดอกบัวสีแดงมันก็จะเต็มโลก ประเทศไทยเคยรอดมาได้ด้วยดอกบัวสีเหลือง พอกันที ขอยุติการบรรยายในวันนี้ แต่เพียงเท่านี้