แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
นักศึกษา ผู้สนใจในธรรมถึงกับออกบวช ตามโอกาสทั้งหลาย การบรรยายในครั้งที่ ๘ นี้ เราจะพูดกันถึง
ธรรมศาสตรา คือสิ่งที่สามารถตัดปัญหาทั้งปวง ขอทำความเข้าใจกันสักหน่อยว่า เราเอาธรรมะในพระพุทธศาสนามาพูดกันด้วยการเรียกชื่อใหม่ตามความประสงค์ เพื่อฟังง่ายสำหรับสมัยนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อฟังง่ายในการที่จะพิจารณา หรือวินิจฉัยแก้ปัญหาเกี่ยวกับการเมืองในปัจจุบันของโลก ฟังดูคล้ายๆ กับว่าจะทำให้ธรรมะ หรือพุทธศาสนากลายเป็นเรื่องการเมืองไป หรือมิฉะนั้น บางคนจะรู้สึกว่านี่ไม่ใช่เรื่องธรรมะหรือเรื่องพุทธศาสนาเลย เป็นเรื่องที่พูดใหม่ขึ้นมาอีกเรื่องหนึ่ง ขอซ้อมความเข้าใจว่า เราพูดกันถึงหลักพระพุทธศาสนา และพูดถึงขั้นที่เป็นหัวใจของพุทธศาสนา และจะเอามาเป็นศาสตรา สำหรับตัดปัญหาแห่งยุคปัจจุบัน กระทั่งปัญหาทางชนชั้นที่มีอยู่เฉพาะหน้านี้เป็นต้น ตามที่เราเรียกกันว่า ประยุกต์ คือเอามาใช้ประโยชน์ให้ได้ อย่าให้เป็นหมันอยู่ในตู้ ทีนี้ก็ได้พูดกันมากแล้วในข้อที่ว่า ปัญหาเหล่านั้น ถ้าแก้ไข หรือตัดฟันกันด้วยธรรมศาสตรา เป็นการแก้ไขที่ต้นเหตุ แก้ไขอย่างลึกซึ้ง แก้ไขอย่างที่เรียกว่าคุ้มค่า มีประโยชน์อย่างคุ้มค่า
ในขั้นแรกเราได้พูดกันถึงข้อที่ว่าพุทธศาสนามีอะไรให้แก่เรา เมื่อพูดสำหรับนักศึกษาแห่งยุคปัจจุบัน และก็มีปัญหาดังที่ถามขึ้นมานั้น ก็ได้ตอบอย่างที่ตอบมาแล้วว่า พุทธศาสนาจะให้การหมดปัญหาแก่เรา ทั้งทางกาย ทั้งทางจิต และทั้งทางวิญญาณ ในสิ่งที่เรียกว่าธรรมะนั้น เป็นสิ่งที่มีไว้สำหรับแก้ปัญหาของมนุษย์ แม้จะเป็นทางแห่งจิต หรือทางวิญญาณโดยส่วนใหญ่ก็ตาม แต่มันก็สามารถจะแก้ปัญหาออกมาทั้งทางกาย ทางวัตถุได้ด้วย ถ้าธรรมะไม่แก้ปัญหาของมนุษย์แล้ว ก็ไม่มีประโยชน์อะไรแก่มนุษย์ เอาไปทิ้งเสียก็ได้ เดี๋ยวนี้มันยังจำเป็นที่จะต้องมีสำหรับมนุษย์ พอมีอะไรที่ไม่ถูกเรื่องของธรรมะแล้วก็จะมีปัญหา จะมีความวุ่นวาย จะมีความทุกข์ จึงขอซ้อมความเข้าใจเกี่ยวกับ ธรรมะ คำนี้ใน ๔ ความหมาย อีกครั้งหนึ่ง รู้สึกว่าหลายคนยังไม่เคยได้ยินและยังถามอยู่ ข้อนี้หมายความว่า เมื่อกล่าวโดยภาษาบาลี หรือภาษาที่เนื่องกับภาษาบาลี เช่น ภาษาสันสกฤต หรือภาษาสันสกฤต ที่มีคำเครือเดียวกัน คือคำว่าธรรมะนี้ มีความหมายอย่างเดียวกันนี้
คำว่า ธรรมะมีความหมายอยู่ ๔ ความหมาย คือ สิ่งที่เป็นไปตามธรรมชาติ อยู่ตามธรรมชาติ นี่ก็เรียกว่า ธรรม เป็นภาษาไทย ถ้าภาษาบาลีออกเสียงว่า ธรรมะ นี่เป็น ธรฺม ในภาษาสันสกฤต ธรรมชาติที่ปรากฏแก่เรา ในแง่ของวัตถุธรรมก็ดี เป็นร่างกายมนุษย์ก็ดี เป็นความรู้สึกคิดนึกอยู่ตลอดเวลาก็ดี นี่เป็นนามธรรม อย่างนี้ก็เรียกว่าธรรม ก็เรียกว่าธรรมชาติที่ปรากฏอยู่ ไม่มีอะไรที่ไม่ใช่ธรรมชาติ แม้แต่นิพพานก็เป็นธรรมชาติ โดยพูดเสียว่า ปรากฏการณ์ตามธรรมชาติทั้งหลายก็เรียกว่าธรรม เป็นนัยที่หนึ่ง
ความหมายนัยที่สอง ก็คือ กฎของธรรมชาติ มีธรรมชาติที่ไหน มีกฎของธรรมชาติอยู่ที่นั่น ที่ในสิ่งนั้นว่ามันกำลังควบคุมบังคับ ให้สิ่งนั้นๆ เกิดขึ้นเป็นไปอยู่ กว่าจะดับไป กว่าจะเกิดใหม่นี่เรียกว่ากฎของธรรมชาติ นี่ไม่เป็นรูป เป็นร่างอะไร และเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยิ่งไปกว่าสิ่งใดๆ จนพอที่จะเรียกได้ว่าเป็นพระเจ้า พระพุทธศาสนาจะมีพระเจ้ากับเขาบ้าง ก็คือสิ่งที่เรียกว่า กฎของธรรมชาตินั่นเอง สร้างอะไรก็ได้ ควบคุมอะไรก็ได้ ทำลายอะไรก็ได้ นี่ก็เรียกว่า ธรรม คำเดียวเหมือนกัน
ทีนี้นัยที่สาม หน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิตที่จะต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ นัยนี้เล็งถึงหน้าที่ ตัวหน้าที่นี่เรียกว่า ธรรม ปทานุกรม ในประเทศอินเดีย เขาว่าธรรมก็จะให้ความหมายออกมาว่า หน้าที่ ก็คือเอาความหมายนี้เป็นหลัก หน้าที่คือ สิ่งที่สิ่งที่มีชีวิตจะต้องปฏิบัติให้มีชีวิตรอดอยู่กันได้ ให้พ้นจากปัญหา หรือความทุกข์ทั้งหลายก็ได้ อย่างนี้เรียกว่าหน้าที่ ทุกคนมีหน้าที่ต่อร่างกายของตนเอง ต่อความเป็นอยู่ของตนเอง ต่อสังคม กระทั่งต่อโลก หน้าที่เหล่านี้เรียกว่า ธรรม
ที่นี้นัยสุดท้ายที่สี่นี้ก็ว่า มีอะไรเป็นผลออกมา คือ ผลที่ออกมาจากการปฏิบัติหน้าที่นี้ เขาก็เรียกว่า ธรรม ธรรมในฐานะที่เป็นผลรางวัล พวกโน้นก็ว่าพระเจ้าประทานให้ พวกเราก็ว่า มันเป็นผลสนองออกมาจากการประพฤติหน้าที่ หรือการกระทำกรรม มีผิดก็มี ถูกก็มี ดีก็มี ชั่วก็มี มากก็มี น้อยก็มี ตรงตามประสงค์ก็มี ไม่ตรงก็มี นี่เรียกว่าผลที่ได้รับจากการปฏิบัติหน้าที่ ก็เรียกว่า ธรรม นี่มีอยู่ ๔ ความหมายอย่างนี้ ขอให้จำให้ดี
เพราะเหตุว่าข้อความในพระบาลี ใช้คำว่าธรรม คำเดียวในหลายๆ ความหมาย ถ้าเราไม่รู้ถึงขนาดนี้ เราจะงงไปหมด หรือเข้าใจไม่ได้ ขอให้จำเถอะว่า พอได้ยินคำว่าธรรม ก็ขอให้พิจารณาเห็นทันทีว่าเล็งเห็นถึงธรรมในความหมายไหน แล้วก็จะเข้าใจข้อความนั้นอย่างถูกต้อง ไม่อย่างนั้นแล้วก็จะงง อย่างเราจะเอาธรรมเป็นที่พึ่ง เอาพระธรรมเป็นที่พึ่งนี่ จะเอาธรรมะในความหมายไหน มันก็แล้วแต่ว่า เราจะเล็งถึงอะไร เราอาจจะเอาพระเจ้าเป็นที่พึ่ง หรือกฎของธรรมชาติเป็นที่พึ่งก็ได้ เมื่อเล็งถึงหลักพุทธศาสนาแล้ว ก็ถือว่าเอาการกระทำของตนเป็นที่พึ่ง เรียกว่า กรรม พึ่งกรรม การกระทำของตนมันจะเป็นที่พึ่ง ทำถูกก็เป็นที่พึ่ง ทำไม่ถูกก็ไม่เป็นที่พึ่ง ถ้าเอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง คือรวมกันหมดทั้งกฎของธรรมชาติ คือคำสอนของพระพุทธเจ้านั้น เป็นการบรรยายกฎของธรรมชาติ ท่านเป็นที่พึ่งแก่เราได้ ก็เพราะท่านบอกสิ่งนี้ให้ แล้วเรามาปฏิบัติตามหน้าที่ที่ควรปฏิบัติ แล้วก็รอดตัว ถึงขนาดที่บรรลุมรรคผลนิพพานได้ ไม่ใช่เรื่องศักดิ์สิทธิ์ หรือว่าเรื่องที่จะฝากไว้กับความงมงาย มันเป็นสิ่งที่ชัดแจ้งอยู่อย่างนี้
ทีนี้สิ่งที่เรียกว่าพุทธศาสนา ระบอบการปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งมีใจความสำคัญไปรวมอยู่ที่คำว่า สุญญตา สุญญตาคือ ว่างจากตัวกู ว่างจากของกูเป็นอันดับแรก จนกระทั่งว่างไม่มีอะไรแล้ว ไม่มีความยึดมั่นติดพันในอะไรที่เป็นเหตุให้มีความเห็นแก่ตัว คนธรรมดาสามัญคนเดินถนน ถ้าเขาไม่มีความเห็นแก่ตัว ก็เรียกว่าเขากำลังมีสุญญตา หรือเข้าถึงสุญญตา แม้โดยบังเอิญก็ได้ ก็เป็นสุญญตาอย่างบังเอิญไป ถ้าเขามีความรู้จริงควบคุมจิตใจให้ว่างจากความเห็นแก่ตัวจริง ได้จริง เขาก็มีสุญญตาในพระพุทธศาสนา เป็นผลของการปฏิบัติของเขา ถ้ามีหัวใจของพุทธศาสนาอย่างนั้นแล้วมันก็ไม่เกิดปัญหาอะไร ไม่มีอะไรมาทำให้เขามีความทุกข์ และเขาก็จะไม่สร้างปัญหาอะไร เพราะเขาไม่เห็นแก่ตัว
เราได้พูดถึงสุญญตากันเสีย ในการบรรยาย ทั้ง ๕ ครั้ง คุณก็เห็นแล้วว่า มันมีความหมายอย่างไร มีความสำคัญอย่างไร ซึ่งเราจะสรุปความได้ว่า แม้ปัญหาอย่างของฆราวาส สุญญตาแก้ปัญหาได้ ฆราวาสคนเดียว หรือฆราวาสทั้งสังคม สุญญตาก็แก้ปัญหาได้ หรือเอากันทั้งโลก ปัญหาของโลกทั้งโลก สุญญตาก็แก้ปัญหาได้ เดี๋ยวนี้เขาไม่แก้ปัญหากันด้วยสุญญตา คือความว่างจากความเห็นแก่ตัว ต่อให้มีองค์การของสหประชาชาติสัก ๑๐ องค์การก็แก้ปัญหาอะไรไม่ได้ อย่าว่าองค์การเดียวอย่างนี้ ถ้าต่างฝ่ายต่างมีความเห็นแก่ตัว การรักษาประโยชน์ของตัวเข้ามาพูดกันอย่างนี้ นั้นไม่แก้ปัญหาอะไรได้ มันเป็นการหลีกเลี่ยงการกระทบกระทั่งไปได้อย่างลมๆ แล้งๆ ก็ไม่มีที่สิ้นสุด
ถ้าเขาทำให้คนว่างจากความเห็นแก่ตัว อย่างน้อยมีความเป็นสุภาพบุรุษ อย่างที่เขานิยมกันมาแต่กาลก่อน เดี๋ยวนี้เลิกซะแล้วนั่นแหละ มันจะแก้ปัญหาได้ เมื่อเราเข้าใจได้โดยส่วนหลักใหญ่ๆ หรือใจความว่า สุญญตา ความว่างจากตัวกูของกู ซึ่งเป็นหัวใจของตัวพุทธศาสนาจะแก้ปัญหาได้ ปัญหาที่นี่อย่างโลกๆ ก็ได้ ปัญหาเพื่อไปนิพพานก็ได้
แต่เดี๋ยวนี้กำลังพูดกันถึงปัญหาสังคมทั้งหลายในโลกปัจจุบันนี้ โดยเฉพาะในประเทศของเรา และโดยเฉพาะปัญหาทางสังคมที่รุนแรงที่สุดปัญหาหนึ่ง คือ ปัญหาชนชั้น ซึ่งมันเกิดขึ้นมา เพราะความเห็นแก่ตัวของทั้งสองฝ่าย ถ้าทั้งสองฝ่ายประกอบด้วยธรรมะแล้ว จะไม่มีปัญหาชนชั้น จะไม่มีนายทุน หรือชนกรรมาชีพ จะไม่มีซ้าย ไม่มีขวา ซึ่งล้วนแต่มาจากความยึดมั่นด้วยความเห็นแก่ตัวทั้งนั้น และเราก็ได้ปรารภสำหรับชนชาติไทยเราโดยเฉพาะเมื่อชนชาติไทยเราเป็นมาอย่างนี้ อย่างน้อยก็พันปีสองพันปีแล้ว มีวัฒนธรรมอย่างไร คือมีวัฒนธรรมที่เนื่องมาจากพุทธศาสนาอย่างไร มีศีลธรรมอย่างไร ขนบธรรมเนียมประเพณีอย่างไร จนสิ่งเหล่านี้เข้าไปอยู่ในสายโลหิต ในเลือดในเนื้อ เป็นนิสัยเป็นธรรมชาติของคนไทยอย่างนี้แล้ว จะเอาอะไรแก้ปัญหา คนไทยชนิดนี้จะเอาอะไรแก้ปัญหา ถ้าปัญหามันเกิดขึ้น ที่จริงถ้าเขาเป็นคนไทยชนิดนี้อย่างถูกต้อง เป็นมาแต่เดิมแล้วมันไม่เกิดปัญหา เดี๋ยวนี้มันมีความบกพร่อง หรือเผลอไปสะเพร่าอะไรบางอย่าง หรือเพราะความเปลี่ยนแปลงของโลกโดยไม่รู้สึกตัว นี่มันมีปัญหาเกิดขึ้นแล้ว คนไทยลักษณะนี้จะมีอะไรเป็นเครื่องแก้ปัญหาของตนโดยเฉพาะ เพราะว่ามันไม่เท่ากัน มันไม่เหมือนกัน มันมีสายเลือดที่เจืออยู่โดยวัฒนธรรมต่างกัน เราไกลกันลิบกับพวกฝรั่ง แล้วก็ยังไกลกันกับประเทศชนชาติแม้ในเอเชียด้วยกัน ประเทศอินเดีย ประเทศจีน ประเทศอะไรก็ไม่ได้เหมือนกัน เพียงใหญ่เล็กกว่ากัน โดยอะไรๆ อีกหลายๆ อย่าง ไม่อาจจะแก้ปัญหาด้วยสิ่งเดียวกันได้ เราควรแสวงหาสิ่งที่อาจจะแก้ปัญหาได้ สำหรับคนไทยโดยเฉพาะ
คนที่มีเลือดเนื้อเชื้อไขของพุทธบริษัท มีปัญหาแบบพุทธบริษัท มีการแก้อย่างพุทธบริษัท แก้ปัญหาด้วยสิ่งที่เป็นหัวใจของพุทธศาสนา คือเรื่องสุญญตาอย่างที่กล่าวแล้ว ขอให้คิดดูง่ายๆ ว่า ปัญหาเฉพาะหน้าในปัจจุบันนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาชนชั้น นั่นเกิดจากการเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัวของคนทั้งสองฝ่าย ทั้งฝ่ายนายทุนและฝ่ายชนกรรมาชีพ ทำให้ปัญหาเกิดขึ้นเพราะความเห็นแก่ตัวทั้งสองฝ่าย แล้วจะมาแก้ปัญหาด้วยการแก้ปัญหาของคนฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอย่างสุดเหวี่ยงอย่างนี้เป็นอย่างไร มันเป็นเรื่องบ้า หรือเรื่องดีลองคิดดู มันมีการสร้างปัญหาขึ้นมา โดยคนทั้งสองฝ่ายที่มีความเห็นแก่ตัวพอๆ กัน แล้วคนหนึ่งจะมาอ้างว่าจะแก้ปัญหานั้นด้วยตัวของตัวฝ่ายเดียว ก็รุนแรงสุดเหวี่ยงด้วย อย่างนี้ไม่มีความเป็นพุทธบริษัทเหลืออยู่ ก็แปลว่าละทิ้งหลักเกณฑ์ของพุทธบริษัท มันก็หมดความเป็นคนไทยที่มีเลือดเนื้อเชื้อไขอย่างนี้ ลองไปคิดดูด้วยกันทุกคน
ทีนี้เรามาพูดกันถึงคำว่าแก้ปัญหาดีกว่า แก้ปัญหานั่นคือจะทำอย่างไร ในชั้นแรกก็ต้องมองเห็นว่าการแก้ปัญหานี่ มิใช่การต่อสู้กันระหว่างสองฝ่าย และเพื่อประโยชน์ของตนโดยเฉพาะ นั่นไม่ใช่การแก้ปัญหานะคุณ คุณลองคิดดูให้ดี ผมคิดมานานแล้ว เพราะการต่อสู้กัน ทำลายล้างกันอะไรก็ตาม เพื่อประโยชน์แก่ฝ่ายของตนฝ่ายเดียว ทำอะไรอย่างไรเสียก็ไม่เป็นการแก้ปัญหา จะเป็นปัญหาของสังคมหรือเป็นปัญหาของโลก หรือแม้แต่ปัญหาของเอกชนก็ทำไม่ได้ เว้นไว้แต่ว่าจะหลงไป หรือเอาตามความรู้สึกของตัว
เราจะต้องมีการแก้ปัญหาให้ถึงต้นเหตุ ต้นตอของมัน แล้วต้องเป็นไปเพื่อสิ่งหนึ่งซึ่งร่วมกันคือ สิ่งที่เรียกว่า สันติ ถ้าไม่มุ่งผลเป็นสันติแล้วมันไม่เป็นการแก้ปัญหา มันเป็นการทำเพื่อประโยชน์ฝ่ายตัวทั้งนั้น แต่เขาก็ต้องเรียกแก้ปัญหา อย่างฝ่ายซ้ายจะทำลายฝ่ายขวาให้หมดไป เขาจะเรียกว่าเป็นการแก้ปัญหาของสังคม อย่างนี้เป็นไปไม่ได้ การแก้ปัญหาต้องให้ได้รับประโยชน์เป็นสันติด้วยกันทั้งสองฝ่าย ปัญหาสังคม การแก้ปัญหาสังคมต้องทำให้เกิดสันติ ทีนี้มันยังมืดมัว ไม่รู้อะไรเป็นอะไร ปัญหาสังคมอย่างไร มีต้นตอมาจากไหน มองสั้นๆ เพียงแค่ว่าปัญหาสังคม คือการที่ตัวเองมันขาดประโยชน์ การทำให้ตัวเองได้ประโยชน์เต็มที่ นี้เรียกว่าแก้ปัญหาสังคมมันก็ไม่ไหว มันผิดเกินกว่าที่จะเรียกว่าผิด มันบ้าบอเกินกว่าที่จะเรียกว่าบ้าบอ ถ้าแก้ปัญหาสังคม มันก็ต้องทำให้สังคมมีสันติ และไปตั้งแต่ต้นด้วย
ทีนี้เราจะไม่พูดถึงการต่อสู้ระหว่างชั้น จะพูดถึงอุดมคติที่ไกลออกไป พวกหนึ่งเขาว่า ปัญหาสังคมจะหมดไปเมื่อวัตถุสมบูรณ์ คือ มีการผลิตวัตถุสมบูรณ์ มีกินมีใช้มีอะไรทุกอย่างกันทุกคนแล้ว ก็จะหมดปัญหา คือมีสันติ ทีนี้พวกพุทธบริษัทเราที่เล่าเรียนมาอย่างนี้มันเห็นด้วยไม่ได้ เพราะว่าความสมบูรณ์ด้วยวัตถุนั้น มิได้ทำลายความเห็นแก่ตัว พออร่อยสนุกสนานในส่วนไหน ก็เพิ่มความเห็นแก่ตัวในส่วนนั้น และก็มีความเห็นแก่ตัวมากขึ้น ผลมันก็ย้อนกลับหรือวกกลับไปสู่การมีความเห็นแก่ตัวชนิดที่ไม่เห็นแก่ผู้อื่น มันก็ทำให้เกิดความแยกกัน และไกลกันออกไปอีกตามเดิม โดยความรู้สึกคิดนึก โดยสติปัญญา
คนพวกหนึ่งจะทันคนอีกพวกหนึ่งไม่ได้ เพราะธรรมชาติสร้างคนมาไม่เหมือนกัน แม้ทีแรกสร้างมาเหมือนกัน สิ่งแวดล้อมไม่เหมือนกัน บางคนมันออดแอด มันไม่มีสุขภาพ มันไม่มีอะไร มันไม่มีปัญญา มีมันสมองไม่สมประกอบ นี่มันก็ไม่อาจทำอะไรเหมือนกันได้ เรียกว่าธรรมชาติเป็นผู้จัดให้มนุษย์ต่างๆ กัน กรรม เป็นผู้จัดให้ผู้กระทำกรรมเป็นไปต่างๆ กัน มันไม่ใช่วัตถุที่จะขูดจะเกลากันด้วยเครื่องมือ แล้วมันจะเกลี้ยงเสมอกัน
ทีนี้พุทธบริษัทเรา ก็มองเห็นว่าความสมดุลทั้งสองฝ่าย คือทั้งฝ่ายวัตถุ หรือทางฝ่ายมโนธรรมหรือจิตใจเท่านั้นที่จะนำมาซึ่งสันติ คือความหมดปัญหา ถ้าให้เราเลือกเอาแต่ฝ่ายเดียวเราจะเลือกเอาฝ่ายมีมโนธรรม มากกว่าความสมบูรณ์โดยวัตถุ พุทธบริษัทมิอาจจะเป็น Materialist ชนิดไหนหมด แม้ Materialist ที่ว่ามีเหตุผลที่สุดเป็น Realistic อย่างนี้มันก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นที่ชอบใจของพุทธบริษัท ซึ่งมันมี ธรรมชาติ หรือนิสัยใจคอมาอย่างนี้ เราถือคุณธรรมฝ่ายมโนธรรมเป็นสิ่งสูงสุดเสมอ ฝ่ายวัตถุนั้นเป็นเหมือนกับว่าของลากหางมาเท่านั้น
เมื่อวานนี้ก็เคยพูดถึงเรื่องพระศรีอาริย์ให้ฟัง ว่า ไม่ใช่สมบูรณ์ด้วยวัตถุ ศาสนาพระศรีอาริย์ไม่เพียงแต่สมบูรณ์ด้วยวัตถุ สมบูรณ์ด้วยมโนธรรมที่พอจะควบคุมวัตถุให้อยู่ในสภาพที่ถูกต้องได้ และร่ำรวยทั้งทางฝ่ายวัตถุและสมบูรณ์ทั้งฝ่ายมโนธรรม อย่างนี้เป็นศาสนาพระศรีอาริย์ ที่หวังกันอยู่ข้างหน้า แต่เมื่อสังคมนิยมชนิดไหนก็ตามที่ไม่อาจให้ความสมบูรณ์ทางฝ่ายมโนธรรมแล้ว จะเป็นศาสนาพระศรีอาริย์ไปไม่ได้ นี่มีให้เลือกอย่างเดียวเราเลือกเอาฝ่ายมีมโนธรรม เช่นเดียวกับพระพุทธศาสนานี้ ในสมัยพระพุทธเจ้าพระองค์นี้ไม่มีความสมบูรณ์ทางวัตถุ แต่สมบูรณ์ทางมโนธรรมเราก็อยู่ได้ ถ้าสมบูรณ์ด้วยวัตถุ จนลุ่มหลงโดยวัตถุแล้วก็เต็มไปด้วยกิเลส และก็มีปัญหาจนถึงขนาดฆ่าฟันกันเป็นมิคสัญญี เราจึงรับเอาไว้ไม่ได้
นี่พุทธบริษัทมีวิธีแก้ปัญหา โดยการทำให้เกิดความสมดุลในระหว่างวัตถุกับมโนธรรม ที่จริงถ้าพูดถึงมโนธรรมแล้ว มันจะมีการเกินไปหรือขาดไปไม่ได้ แต่นี่เราจะพูดกันเป็นภาษาธรรมดาๆ คือไม่เป็นจิตนิยมเกินไปจนบ้าบอ และก็ไม่เป็นวัตถุนิยมเกินไปจนบ้าบอ มีความสมบูรณ์หรือถูกต้องทั้งฝ่ายร่างกายและฝ่ายจิตใจ นี่คือสิ่งที่พุทธบริษัท ต้องการ และยึดเป็นหลักสำหรับสร้างสันติภาพ ฉะนั้นถ้าใครคนไหนมีจิตใจดี สูงถึงขนาดที่จะแก้ปัญหาสังคม ก็ขอให้นึกถึงข้อนี้ ซึ่งเป็นทางเดียวเท่านั้นที่จะแก้ได้ ไม่ใช่ไปเอาความมุทะลุดุดัน ของผู้ที่เห็นแก่ตัวฝ่ายหนึ่ง ทำเพื่อแก้แค้น นี่มันเป็นไปไม่ได้ หรือจากความมุทะลุดุดันของฝ่ายหนึ่ง ทำเพื่อป้องกันตัวรักษาสภาพของตัวไว้ นี่มันก็ไม่ได้ ต่อเมื่อใดธรรมะเข้ามา มันจะทำลายความเห็นแก่ตัวหมดสิ้น นายทุนก็ตายหมดไปทันที ชนกรรมาชีพที่มุทะลุดุดันก็ตายหมดไปทันที เพราะไม่มีความเห็นแก่ตัว มีธรรมะเข้ามา นายทุนหมดความเป็นนายทุน มาเป็นเศรษฐีใจบุญ รักกรรมกรลูกน้องเหมือนลูกเหมือนหลาน ชนกรรมาชีพทั้งหลายหมดความเห็นแก่ตัว มีจิตใจประกอบไปด้วยธรรมะ มันก็กลายเป็นลูกหลานที่ดี นี่ก็เรียกว่าอยู่ร่วมกันได้โดยสันติ ทั้งที่มีความเป็นอยู่ต่างกันเพราะว่ามีสิ่งสิ่งเดียว หรือสิ่งสิ่งหนึ่งมาเป็นหลักสำหรับดำรงชีวิตอยู่ หรือประสานทั้งสองฝ่ายนี้เกลื่อนให้เป็นกลางไปหมด ก็คือธรรมะ หรือพระศาสนาที่มีหัวใจอยู่ที่คำว่าสุญญตา ศาสนาไหนก็ได้ถ้าเป็นศาสนาที่ถูกต้องตามแบบเดิม ฉบับเดิมเขาแล้วจะทำลายความเห็นแก่ตัวทั้งนั้น ไม่ว่าศาสนาไหน ถ้ามีพระเจ้าก็เอาตัวไปให้พระเจ้าเสียหมด ตัวของตัวก็ไม่มีที่จะเห็นแก่ตัว มันก็มีผลเท่ากันว่าเราไม่ต้องมีพระเจ้า เรามีธรรมะหลัก เราก็ไม่มีตัวได้เหมือนกัน ต่างฝ่ายต่างเอาความไม่เห็นแก่ตัวมาเป็นเดิมพัน ทำอะไรร่วมกันก็เกิดสันติสุขขึ้นมาในโลกนี้ นี่คือคำว่าแก้ปัญหา ดูโดยส่วนใหญ่แล้วไม่แก้ได้ด้วยความสมบูรณ์ทางวัตถุอย่างเดียว ต้องแก้ด้วยความสมบูรณ์หรือสมดุล ระหว่างมโนธรรมกับวัตถุ
ทีนี้มาดูส่วนแคบ ปัญหาเฉพาะหน้าที่ได้เกิดอยู่แล้วจริง เช่นปัญหาชนชั้น อย่างนี้ก็ไม่แก้ได้ด้วยความเห็นแก่ตัวของฝ่ายใดก็ตาม เพราะปัญหามันเกิดขึ้นเพราะความเห็นแก่ตัวของทั้งสองฝ่าย ต้องแก้ได้ด้วยความถูกต้องที่อยู่ตรงกลาง นั่นเราได้พูดถึงดอกบัวสีเหลืองกันมาโดยเป็นที่เข้าใจแล้ว ว่ามันอยู่ตรงกลาง สติปัญญาสีเหลืองมันอยู่ที่ตรงกลา ทางซ้าย เป็นดอกบัวสีแดง เป็นสติปัญญาสีแดง มันหนักไปทางวัตถุ และมันก็นิยมการหลั่งเลือด ทางขวาก็เป็นดอกบัวสีม่วง สีน้ำเงิน สีม่วง หรืออัลตราไวโอเลต เลยม่วงไปอีกก็ตามใจ มันก็เป็นฝ่ายที่ตรงกันข้าม คือฝ่ายที่จะใช้ความสะดวกสบาย ลุ่มหลงในความสะดวก สุขสบายทางเนื้อทางหนัง จะใช้นั่นเป็นที่ตั้งหรือเป็นอาวุธในการแก้ปัญหามันก็ไม่ได้ สุดของสุดสเปคตรัม ทางขวาเป็นสีม่วง สุดทางซ้ายเป็นสีแดง แต่กลุ่มที่อยู่ตรงกลางก็เป็นสีเหลืองทั้งนั้น คุณก็เคยเห็นเคยเรียนมาแล้ว เมื่อสีเหลืองแก้ปัญหาได้ถึงที่สุด มันจะรวมทุกสีให้เป็นสีขาวได้ สีแดงก็หายไป สีม่วงก็หายไป สีเหลืองก็หายไป เป็นสีขาวตามหลักของสเปคตรัมที่ว่า สีทุกสีเมื่อรวมกันแล้วก็เป็นสีขาว นี่คือหลักเกณฑ์ที่เป็นหัวใจของพุทธศาสนามีอยู่อย่างนี้ นั่นแหละจะแก้ปัญหา นั่นแหละคือสิ่งที่จะแก้ปัญหา
ทีนี้มาดูถึงสิ่งที่เรียกว่าปัญหา เพราะว่า ปัญหาเป็นสิ่งที่ทำความทุกข์ให้เกิดขึ้น หรือทำให้ไม่เกิดความปกติสุขอยู่ได้ เรียกว่าปัญหา ปัญหาทางกายมันก็ทำให้กายสบายไม่ได้ มันขาดสุขภาพอนามัย มันเจ็บ มันไข้ อะไรก็ตาม เรียกว่าปัญหาทางกาย ปัญหาทางวัตถุ วัตถุขาดแคลนเกินไป จนว่าบ้านเรือนจะอยู่ก็ไม่มี อย่างนี้ก็เป็นปัญหาทางวัตถุ ทีนี้อีกด้านหนึ่ง เป็นปัญหาทางจิต คือ ความมีจิตไม่ถูกต้อง มันรวมทั้งวิญญาณ หรือสติปัญญาไม่ถูกต้อง จะรวมจิตกับวิญญาณเข้าเป็นอันเดียวกันก็ได้ ถ้าไม่รวมก็แยกจิตออกมาเป็นเรื่องของจิตล้วนๆ จิตที่ไม่สมบูรณ์ด้วยสุขภาพทางจิต ไม่ปกติ ไม่สมประกอบ ไม่มีอนามัยทางจิตนี้เป็นปัญหาทางจิต ต้องไปโรงพยาบาลปากคลองสาน ส่วนปัญหาทางวิญญาณนั้นคือ มีความรู้ไม่ถูกต้อง มีความเชื่อไม่ถูกต้อง เป็นคนดีๆ อยู่นี่ แต่มีมิจฉาทิฐิ นี่มีปัญหาทางวิญญาณรวมกันก็เป็นเรื่องทางจิต เราต้องไม่มีปัญหาทั้งทางกายหรือทางวัตถุ และก็ไม่มีปัญหาทั้งทางฝ่ายจิตหรือทางฝ่ายวิญญาณ จึงจะเรียกว่าเป็นผู้ไม่มีปัญหา ฉะนั้นถ้ามีความไม่ถูกต้องในสิ่งเหล่านี้เหลืออยู่ ก็เรียกว่ามีปัญหา
เดี๋ยวนี้มีปัญหาแม้กระทั่งทางวัตถุ วัตถุไม่พอใช้ แต่มันจะเป็นเพราะความโง่ของมนุษย์เอง ทำลายวัตถุมากเกินไปก็ได้ หรือว่าความเอาเปรียบ ได้เปรียบ เสียเปรียบมันมีเข้ามามากเกินไป ก็ไม่พอใช้ แต่ความไม่พอใช้โดยแท้จริงมันเกิดมาจากความโง่ของผู้ใช้ หวังจะใช้ในทางที่ไม่จำเป็นทั้งนั้น อย่างนี้ก็ไม่มีวันที่จะพอแน่ ไปดูกันเสียใหม่ให้ดี เราต้องการจะใช้อะไร เกินความจำเป็นที่จะต้องใช้ ไปตัดทิ้งไปเสีย และทุกอย่างก็จะพอใช้ เงินเดือนก็พอใช้ อะไรก็พอใช้ไปหมด
ทีนี้ทางฝ่ายจิตใจนี่ มันไม่ได้ต้องการอะไรเป็นวัตถุ ต้องการความถูกต้อง มีความคิดถูก ตั้งไว้ถูกมันก็สงบ หรือเป็นสุข มันจึงไม่เกิดปัญหาทุลักทุเลเหมือนกับทางฝ่ายวัตถุ ปัญหาทางฝ่ายวัตถุที่กำลังรบกวนโลกอยู่ และโลกทั้งโลกก็ไม่รู้ต้นเหตุของปัญหาอันนี้ ยิ่งแก้ปัญหายิ่งเพิ่มปัญหา
ข้อนี้ขอให้จำติดปากไว้ด้วย การแก้ปัญหาที่ผิด ก็เป็นไปโดยมากด้วย การแก้ปัญหาโดยมากเป็นไปในทางผิด คือ ยิ่งแก้ปัญหายิ่งมีปัญหามากขึ้น เขาพูดว่ายิ่งปราบคอมมิวนิสต์ คอมมิวนิสต์ยิ่งมากขึ้น นี่เป็นการแก้ปัญหาคอมมิวนิสต์ที่ไม่ถูกเป็นแน่นอน จึงทำให้คอมมิวนิสต์มากขึ้น และแก้ปัญหาที่ไม่ถูกจุดของปัญหา ก็สร้างปัญหาเพิ่มขึ้น ก็ไปดูกันเสียให้ดีว่า ปัญหามันคืออะไร และก็มีมูลเหตุที่อะไร แล้วก็แก้กันที่ต้นเหตุ อย่าไปมัวแก้กันที่ปลายเหตุ ถ้ามาจากความเห็นแก่ตัวของทั้งสองฝ่าย ก็ต้องทำลายความเห็นแก่ตัวของทั้งสองฝ่าย แล้วปัญหาก็จะหมดไปเอง
เดี๋ยวนี้ปัญหาอื่นเราจะยกเว้น เพราะคุณต้องการให้พูดเรื่องปัญหาของสังคม ผมก็จะพูดแต่ปัญหาของสังคม ปัญหาสังคมเฉพาะหน้าก็คือ ปัญหาชนชั้น ที่เกิดขึ้นมาเพราะความผิดพลาดแห่งสังคม แข่งกันทางสังคม ระหว่างมนุษย์นั่นเอง ปัญหาชนชั้นไม่อาจจะ แก้ได้ด้วยการต่อสู้และทำลายกันในระหว่างชนชั้น ขอย้ำอีกทีย้ำบ่อยๆ ปัญหาชนชั้นไม่อาจจะแก้ไขให้หมดไปได้ด้วยการต่อสู้และทำลายกันระหว่างชนชั้น มันจะวกกลับมาเป็นการ มีปัญหาเพิ่มขึ้น และจะยิ่งไปกว่าเดิม เอาล่ะพวกไหนก็ใช้ดอกบัวสีแดงแก้ปัญหาอย่างนี้ คอยดูก็ได้ แล้วมันจะเกิดปัญหาใหม่ ที่ยิ่งไปกว่านั้น มันจะตลบหลังมา เป็นปัญหาที่ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าสมมติว่าปราบนายทุนลงได้ กรรมกรก็เป็นนายทุนซะเองอีก เพราะเขาลุ่มหลงในวัตถุจึงเป็นทาสของวัตถุ และเขาจะมุ่งแก้ปัญหาด้วยวัตถุ เพราะเขาบูชาวัตถุ อย่างนี้ไม่มีทางที่จะยุติ มีแต่จะกลับไปกลับมาๆ อย่างนี้เราไม่เรียกว่าการแก้ปัญหา การทำลายกันระหว่างชนชั้น ไม่มีทางจะแก้ปัญหาของมนุษย์ได้ มันเป็นการต่อสู้เพื่อประโยชน์ของคนฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่การแก้ปัญหาของสังคม อย่าลืมว่าได้พูดไว้ทีแรกแล้วว่า การต่อสู้เพื่อประโยชน์ของฝ่ายตนนั้นไม่เป็นการแก้ปัญหาสังคม มันต้องเป็นการแก้ให้มีผลคือ การอยู่รวมกันด้วยสันติระหว่างชนชั้น
ชนชั้นนั้นต้องมี พระพุทธเจ้าตรัสว่า ไม่มีวรรณะ ไม่มีชนชั้นนั่นมีความหมายอย่างอื่น คือชนชั้นโดยกำเนิด ว่าเป็นกษัตริย์ เป็นพราหมณ์ เป็นเวศย์ เป็นศูทร โดยกำเนิด พระองค์ทรงเห็นว่ามันเหลวไหล แต่พระองค์ก็ได้ตรัสว่า มนุษย์ทุกคนนี่ก็มีชนชั้น จำแนกแจกออกไปตามกรรมที่เขากระทำ การกระทำหน้าที่ของเขาอย่างไร เขาก็จะเป็นอย่างนั้น ตามกรรมที่เขากระทำ เพราะฉะนั้นชนชั้นอย่างนี้ไม่มีใครเลิกได้ พระพุทธเจ้าก็เลิกไม่ได้ เพราะมันเป็นการจัดชนชั้นโดยกรรมหรือโดยธรรมชาติ ฉะนั้นชนชั้นจะต้องมี แต่ว่าไม่ใช่ว่ามีชนชั้นแล้ว เราต้องฆ่าฟันกัน หรือเป็นศัตรูกัน มันก็มีทางที่จะอยู่กันโดยสันติ
อย่างสมัยพุทธกาล เคยรวบรวมข้อความมาพิจารณาดูแล้วเห็นว่า เอ้า, เดี๋ยวนี้ เพราะมันอยู่กันอย่างมีชนชั้นที่มีสันติ คนมั่งมีทั้งหลายไม่เป็นนายทุน ครั้งพุทธกาลไม่มีนายทุน มีคนมั่งมีมากกลายเป็นเศรษฐีใจบุญ ไม่ตั้งโรงทานไม่เรียกว่าเศรษฐี มหาเศรษฐีต้องตั้งโรงทานมาก และได้เท่าไรก็ต้องเลี้ยงโรงทาน เหลือก็ฝังดินไว้เพื่อหล่อเลี้ยงโรงทานในอนาคตเผื่อเงินมันขาดมือ บ่าวไพร่กรรมกรทั้งหลายก็ทำงานกันอย่างช่วยกันทำการกุศล ภาพกรรมกรของเศรษฐีนั้น ทำงานให้นายเหมือนอย่างทำการกุศล นายเลี้ยงดูเหมือนลูกหลาน และเงินผลิตผลที่ได้มานั้นเพื่อโรงทาน เพื่อสังคม เป็นสังคมนิยมที่แท้ และสุดเหวี่ยง ต้องเป็นสังคมนิยมอย่างนี้ จึงจะชนะสังคมนิยมบ้าๆ บอๆ ของสมัยนี้ได้ มันมีเศรษฐีใจบุญ มันไม่มีนายทุน แม้จะมีคนมั่งมี แม้กระทั่งฝ่ายคนจน มันก็อยู่ในศีลในธรรม ไม่เหลวไหลในการที่จะสร้างตัว กลัวอบายมุข หรือกลัวบาป
อย่างในอินเดียนี้ แม้เดี๋ยวนี้ ถ้าคุณไปถามก็ยังมีว่า เป็นขอทาน ดีกว่าเป็นขโมย เป็นขอทานดีกว่าเป็นขโมย เมืองไทยใครหาได้หรือ คำพูดอย่างนี้ ในอินเดียทั่วๆ ไปเป็นขอทานดีกว่าเป็นขโมย ฉะนั้นขอทานมันมากหน่อยแต่แล้วมันก็ไม่เป็นคอมมิวนิสต์ได้ เพราะสมัครเป็นขอทาน ดีกว่าเป็นขโมย
ฉะนั้นจึงมีธรรมะชนิดหนึ่งยึดประชาชนยากจนเหล่านี้ไว้ แม้จะเป็นอย่างงมงายก็ยึดไว้ได้ ดังนั้น อินเดียจึงไม่มีการต่อต้านคอมมิวนิสต์อะไร เพราะไม่มีปัญหา เพราะคนจนฝากเนื้อฝากตัวไว้กับพระเจ้า ผู้หญิงแก่ๆ ผอมอย่างกับเดินไม่ค่อยไหว ถามว่าต้องการอะไร เขาอยู่ที่ท่าน้ำ ที่เผาศพ เขาบอกว่า เขาต้องการ มุตติ ไม่ต้องการอาหารหรือ เพราะจนอย่างนี้ไม่มีอะไรจะกิน เขาบอกว่าเขาต้องการทีหลัง เขาต้องการ มุตติก่อน มุตติ คือ วิมุตติ หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด หรือออกจากกองทุกข์เขาต้องการก่อน ส่วนอาหารเขาต้องการเป็นอันดับที่สองที่สาม นี่สังเกตดูในเลือดในเนื้อของเขามันมีอะไรสิงอยู่ จึงคิดว่าเป็นขอทานดีกว่าเป็นขโมย เพราะสิ่งแรกที่เราต้องการคือวิมุตติ หรือ มุตติ เขาเรียกตามภาษาปรากฤต หรือสันสกฤตเรียกว่า มุตติ ปัญหามันก็ไม่มี
มาถึงสมัยหนึ่งซึ่งบางกลุ่ม วัตถุนิยมมากเกินไป มันก็ไม่ต้องการอย่างนั้นต้องการอาหารก่อน ถ้าไม่ได้ หรือไม่ยุติธรรมในการได้ ก็ต้องเป็นขโมย ถ้าเป็นขโมยไม่ได้ เราต้องเป็นโจร เราต้องปล้น มันก็เกิดอะไรขึ้นมาในรูปอย่างนี้ ไม่เป็นการแก้ปัญหา ถ้าหากว่าธรรมะไม่เข้ามา ถ้าปราศจากธรรมะแล้ว ไม่เป็นการแก้ปัญหาใดๆ ทั้งสิ้น มีแต่การต่อสู้ฟัดเหวี่ยงกลับไปกลับมาๆ ระหว่างคนที่มีประโยชน์ขัดกัน เพราะมีตัวที่เห็นแก่ตัวนั้น มันคนละฝ่ายกัน นี่เป็นช่องว่างสำหรับจะได้ต่อสู้กัน ถ้าว่าธรรมะแท้จริงเข้ามาสมัยนี้ โลกนี้ก็จะหมดนายทุนหมดชนกรรมาชีพ เหลือแต่คนใจบุญ สงเคราะห์ซึ่งกันและกัน ร่วมมือกัน เพื่อการอยู่โดยสันติ ชนทุกชั้นต้องมีสันติ นั่นคือการแก้ปัญหา ขอให้เพ่งการแก้ปัญหาลงไปที่นี่ คือมีเครื่องมือวิเศษประเสริฐที่สุด ไม่มีไหนที่ดีกว่าสำหรับแก้ปัญหา
ซึ่งเราขอสมมติเรียกกันในที่นี้ว่า ดอกบัวสีเหลือง เรียกเป็นอุปมาว่า ดอกบัวสีเหลือง เรียกอย่างไม่อุปมาก็เรียกว่า สติปัญญาที่ถูกต้องตามที่เป็นจริง คำนี้เป็นคำสำคัญที่สุด ต้องจำไว้ด้วย เดี๋ยวจะพูดถึงสิ่งนี้ แต่จะพูดอย่างโฆษณาชวนเชื่อสักนิดหนึ่งก่อนว่า การแก้ด้วยดอกบัวสีเหลืองนี้ มันเป็นการแก้ที่น่าเลื่อมใส น่าชื่นใจ
เอ้า, ไปข้อ ๑ ดีกว่า ข้อ ๑ เพระว่ามันเป็นการกระทำแก่กันและกันอย่างมนุษย์ เมื่อวานผมพูดถึงคำว่ามนุษย์ แยกความหมายชัดเจนดีแล้วนะ ต้องเป็นการกระทำแก่กันและกันอย่างมนุษย์ ไม่ใช่อย่างคน คน คนนะ คน คนธรรมดานี้ไม่ใช่มนุษย์ คือใจยังไม่สูง มันจะแก้ปัญหาสังคม หรือของโลกก็ตาม ต้องกระทำชนิดที่ว่า กระทำแก่กันและกันอย่างมนุษย์กระทำแก่กันและกัน ถ้ากระทำอย่างคนธรรมดา ปุถุชนธรรมดากระทำแก่กันแล้ว มันก็ไม่มีอะไร นอกจากใช้กำลังห้ำหั่น คือใช้ดอกบัวสีแดงทันที ถ้าไม่ทำอย่างมนุษย์ หรือว่าอย่างดีก็จะใช้ล่อหลอกต่างๆ คือเป็นดอกบัวสีม่วง สีน้ำเงิน แต่ถ้าทำอย่างถูกต้องอย่างที่หวังผลได้จริง ก็ต้องใช้ดอกบัวสีเหลือง ให้เป็นการกระทำแก่กันและกันอย่างมนุษย์
ข้อ ๒ เป็นการกระทำที่เป็นการแก้ที่ต้นเหตุไม่ใช่ปลายเหตุ การใช้ดอกบัวสีเหลือง คือสติปัญญาที่ถูกต้องตามที่เป็นจริง มันจะแก้ที่ต้นเหตุ ไม่มัวแก้ที่ปลายเหตุ เหมือนจับปูใส่กระด้ง มันไม่มีทางที่จะเป็นไปได้
ข้อ ๓ แก้อย่างสันติวิธี เพื่อมีสันติ มิใช่เพื่อเพิ่มความจองเวร เดี๋ยวนี้มันแก้อย่างไม่ใช่สันติวิธี วิธีแก้ของเขาระหว่างชนชั้นที่จะแก้กัน มันไม่อย่างสันติวิธี และมันก็ไม่มีผลเพื่อสันติ และยิ่งกว่านั้นจะเพิ่มการจองเวร สนองเวร อาฆาตแก้แค้นมากขึ้นไปกว่าเดิม สามข้อก็พอแล้ว
ดังนั้น ดอกบัวสีเหลืองจะมีประโยชน์ ดอกบัวสีอื่นไม่สร้างประโยชน์อย่างนี้ ที่ว่าแก้กันอย่างมนุษย์ว่ามีใจสูง ถ้ามีใจสูงมันยอมตายกว่าจะยอมทำผิดทำชั่ว อย่างที่ว่าเมื่อกี้ที่ว่า เป็นขอทานดีกว่าเป็นขโมยนั่นแหละ นี่น้ำใจมนุษย์ผู้มีใจสูง เป็นยายแก่ยากจนไม่มีอะไรจะกิน นั่งอยู่ตามท่าน้ำศักดิ์สิทธิ์ในประเทศอินเดีย นี่มันอย่างมนุษย์ ไม่ไปฆ่าใคร อย่าว่าแต่ไปฆ่า แม้จะขโมยก็ไม่เอา และต้องการมุตติก่อนอาหาร เหมือนกับพระเยซูพูดว่า ชีวิตอยู่ได้ด้วยพระธรรมของพระเจ้า ไม่ได้อยู่ได้ด้วยขนมปัง ดังนั้นต้องเอาชีวิตแบบนี้ก่อน เพราะชีวิตที่อยู่ได้ด้วยขนมปังค่อยมาทีหลัง นี่แหละมีน้ำใจอย่างมนุษย์ มีสภาพหรือจิตใจอย่างมนุษย์ แก้ปัญหาอย่างมนุษย์ ไม่ใช่ว่าเอากันอย่างฟันต่อฟัน ตาต่อตา
ผมกลัวว่าพวกคุณ ตลอดทั้งวัยรุ่นทั้งหลายจะเข้าใจคำนี้ผิด ฟันต่อฟันตาต่อตา มันเป็นคำพูดของพวกยิวหลายพันปีก่อนพระเยซู ถือว่าเป็นคำสอนที่ถูก ฟันต่อฟันตาต่อตา ว่าเขาทำฟันเราหักซี่หนึ่ง เราก็ทำฟันเขาหักซี่หนึ่ง เขาทำเราตาบอดข้างหนึ่ง เราก็ทำให้เขาตาบอดข้างหนึ่ง สมัยก่อนพระเยซูคำนี้ถูก แล้วเขาก็สอนอย่างนั้น พอมาถึงสมัยพระเยซูเกิดขึ้นท่านบอกว่ามันไม่ใช่อย่างนั้น อย่างนั้นมันผิดหรือมันเลว ท่านมาเพื่อให้บอกความถูก เช่นว่าถ้าเขาตบแก้มซ้าย แล้วให้เขาตบแก้มขวาด้วย เราอย่าไปตบตอบเขาเลย เช่นเมื่อเขาตบแก้มซ้ายเราทีหนึ่งแทนที่จะไปตบเขาทีหนึ่ง ก็ให้เขาตบแก้มขวาด้วย ถ้าเขาขโมยเสื้อไปแล้ว ก็เอาผ้าห่มตามไปให้เขาด้วย อย่าไปจับตัวส่งตำรวจอะไรทำนองนั้น พอมาสมัยพระเยซู ก็ยกเลิกคำสอนที่ว่าฟันต่อฟันตาต่อตา เว้นว่าไม่เอาไม่เรียกร้อง ฟันหักไปซี่ เขาฟันหักไปซี่ ก็จะทำอย่างอื่นที่ถูกต้อง ที่ไม่มีใครต้องเสียฟันอีกหนึ่งซี่ แม้แต่คนเดียวแล้วเรื่องมันก็ระงับไป
ทีนี้ก็กลัวว่าวัยรุ่นทั้งหลายของเราจะหลงไป คว้าเอา อะไรที่โบราณก่อนพระเยซูมาใช้ แล้วจะเป็นอันธพาล ฟันต่อฟันตาต่อตานี่ระวังไว้ให้ดี เดี๋ยวนี้มันเป็นเรื่องอันธพาลไป พระพุทธเจ้าก็จะพูดอย่างเดียวกับพระเยซู หรือโกรธไม่ได้หรือจะเรียกคืนอย่างนั้นไม่ได้ ถึงกับตรัสว่า เราถูกพวกโจรจับไปเลื่อยหนังขาด เนื้อขาด กระดูกขาด ก็โกรธไม่ได้ นี่คือไม่ถือลัทธิฟันต่อฟันตาต่อตา แต่ถือลัทธิอย่างมนุษย์ มีใจสูงอย่างมนุษย์ ให้อภัยได้ คือ มันยุติเรื่องลงได้ถ้าทำกันอย่างมนุษย์
ทีนี้กลัวว่าจะไม่แก้ปัญหากันอย่างมนุษย์ ระหว่างชนกรรมาชีพกับนายทุน หรือแม้ที่สุดแต่ผู้ที่อ้างตนว่าจะไปปราบนายทุนก็ดี หรือปราบคอมมิวนิสต์ก็ดี กลัวจะไม่ใช้วิธีการอย่างที่เรียกว่า ทำแก่กันและกันอย่างกับว่าเขาเป็นมนุษย์ด้วยกัน จะมองเห็นว่าเขาไม่ใช่มนุษย์ เขาเป็นคนไม่มีค่าอะไรเลย แล้วทำกับเขาอย่างทารุณ ไม่มีทางจะแก้ปัญหาได้ เราต้องกระทำแก่กันและกัน อย่างตัวเป็นมนุษย์ นี่เรามักจะเห็นกันว่าเป็นไปไม่ได้ สมัยนี้เป็นไปไม่ได้ ยิ่งยืนยันในทางเป็นไปไม่ได้ ไม่ใช้ดอกบัวสีเหลือง จะใช้ดอกบัวสีแดงเสียเรื่อย หาว่าพูดกับเขาไม่รู้เรื่อง ไม่มีทางพูดกับเขารู้เรื่อง แล้วตัวเองไปทำกับอย่างนั้น มันเป็นคนรู้เรื่องหรือเปล่า มันมีความถูกต้องหรือเปล่า ดังนั้น เราใช้ดอกบัวสีเหลืองเพื่อการกระทำกันอย่างกับว่าเป็นมนุษย์ด้วยกันทั้งสองฝ่าย แล้วก็ยังมีความเข้าใจกันและกันได้โดยเร็ว เป็นการกระทำที่มุ่งตรงไปที่ต้นเหตุคือ ความเห็นแก่ตัว ทำลายความเห็นแก่ตัว และมุ่งสันติเป็นหลัก อย่าเอาสิ่งที่เรียกว่า อสันติ มาใช้เพื่อนำมาซึ่งสันติ บางทีประโยคนี้ต้องจำให้แม่นยำ เมื่อคุณจะทำเพื่อสันติ แล้วทำไมจะเอาอสันติมาเป็นเครื่องมือเล่า เมื่อเราจะทำเพื่อสันติ ทำไมจะเอาอสันติมาเป็นเครื่องมือ คือเอาหิงสา คือ การล้างด้วยโลหิตมาเป็นเครื่องมือ เราก็ควรใช้อหิงสา คือสันตินั่นแหละเป็นเครื่องมือ เพื่อจะแก้สิ่งที่ไม่สันติให้เป็นสันติขึ้นมา ถ้าผิดจากนี้แล้วมันก็จะไม่มีทางจะได้ผล มันจะกลับไปกลับมา การใช้เลือดล้างปัญหานั้นเป็นได้ชั่วครู่ชั่วขณะ ไม่ทันสิ้นกลิ่นเลือดมันก็มีการปฏิวัติ มีการเปลี่ยนกลับ คอยดูไปก็แล้วกัน ถ้าประเทศไหนเก่งกาจสามารถอย่างไร ใช้เลือดเป็นการแก้ปัญหา ไม่ทันสิ้นคาวเลือด ปัญหาก็จะกระดกกลับ เป็นปัญหาที่หนักไปกว่าเดิม เป็นเรื่องชักเย่อกันไป ชักเย่อกันมา ระหว่างสองฝ่ายหาสันติไม่ได้ เพราะฉะนั้นพุทธบริษัทเราไม่ใช้ คือ ไม่ใช้หิงสามาทำเพื่ออหิงสา ไม่ใช้อสันติมาทำเพื่อสันติ ก็ต้องใช้ให้มันถูกตัวถูกฝา ถ้าต้องการสันติก็ต้องใช้วิธีแห่งสันติ อย่าใช้วิธีแห่งอสันติ คือดอกบัวสีแดง ควรใช้ดอกบัวสีเหลืองต่อไป
เอาละ, ทีนี้พูดให้ใกล้ตัวดอกบัวสีเหลืองยิ่งขึ้นไปอีก คือตัวธรรมะยิ่งขึ้นไปอีก ดอกบัวสีเหลืองนี้ เราจะเรียกว่า ธรรมศาสตรา ศาสตราของธรรมะ ศาสตราของพระธรรม ฟังดูแล้วบางคนจะงงว่า แม้พระธรรมก็มีศาสตรากับเขาด้วย พระธรรมก็มีศาตราสำหรับแก้ปัญหา พระธรรมนี้จะมีศาสตราที่ใครต่อต้านไม่ได้ ถ้าโดนศาสตราของพระธรรมเข้าแล้ว จะต้องสำเร็จตามที่ต้องการ
ธรรมศาสตรา คือสิ่งที่จะตัดปัญหาได้ แท้จริงและเด็ดขาดเพราะตัดถึงต้นเหตุ เพราะกระทำกันอย่างมนุษย์ เพราะว่าทำสันติเพื่อสันติ นี่คือดอกบัวสีเหลืองซึ่งต่อไปจะขาวหมด สิ่งนี้จะเรียกเป็นชื่อของธรรมะไปเลย และก็เรียกตามภาษาบาลีด้วย อย่าเข้าใจว่าผมเอาภาษาบาลีมายัดเยียดให้คุณจำไว้หนักหัวลำบากยุ่งยาก มันจำเป็นบางคำต้องใช้คำบาลี คือมันแปลแล้ว มันผิดความหมายไม่มากก็น้อย และมันไม่ศักดิ์ สิทธิ์ คือไม่ชวนให้เห็นเป็นของจริงจัง คำแรกที่จะให้ได้ยินได้ฟังให้จำไว้แม่นยำ คือคำว่า ยถาภูตสัมมัปปัญญา นี่เป็นคำที่พระพุทธเจ้าตรัสถึงมากที่สุดคำนี้ ยถาภูตสัมมัปปัญญา ปัญญาที่ถูกต้องตามที่เป็นจริง ปัญญาคือความรู้ สัมมัปปัญญา คือความรู้ที่ถูกต้อง ยถาภูตะ คือตามที่เป็นจริง ความรู้นี้หมายถึง ความรู้ที่แท้จริง ความรู้เห็นชัดแจ้งความรู้แท้จริง ไม่ใช่ความรู้ผิดๆ จึงต้องใช้คำว่า สัมมัปปัญญา ความรอบรู้ที่ถูกต้อง ยถาภูตะ ตามที่เป็นจริง คำนี้ใช้ได้หมดเรื่องโลกเรื่องธรรม เรื่องอดีต อนาคต ปัจจุบัน ใช้ได้กันหมด สิ่งที่เรียกว่า ยถาภูตสัมมัปปัญญา จะแก้ปัญหาคนยากจนให้พ้นความยากจน คนที่ต้องการเจริญยิ่งๆ ขึ้นไปอีก ก็จะเจริญยิ่งขึ้นไปอีก จนกระทั่งถึงคนที่อยากจะบรรลุมรรคผลนิพพาน ก็ต้องใช้สิ่งที่เรียกว่า ยถาภูตสัมมัปปัญญา ในกรณีของการที่จะตัดกิเลสตัณหาบรรลุนิพพาน จะมีแต่คำนี้ซ้ำๆ ซากๆ อยู่อย่างนั้น พระสูตรกี่พระสูตรก็จะลงเอยด้วยคำว่า ยถาภูตสัมมัปปัญญา ถ้าพระพุทธเจ้าท่านทรงมุ่งหมาย จะตรัสการทำลายกิเลสชื่อใดชื่อหนึ่งอย่างสมบูรณ์ ยถาภูตะ ตามที่เป็นจริงนี้ ตามที่เป็นจริงของอะไร ของธรรมชาติ ของความถูกต้องของความเป็นจริง เอาธรรมชาติเป็นหลักก็ของตัวมันเอง ถ้าธรรมะก็ของธรรมะเอง ซึ่งเป็นความจริงของธรรมชาติมันผิดไม่ได้
เอาละทีนี้เราจะลดต่ำลงมาถึงว่าจะทำนา ถูกต้องตามที่เป็นจริง บางคนอาจจะพูดว่า ถูกต้องตามฤดูกาลบ้าง ถูกต้องตามสิ่งที่ต้องมี ต้องใช้ เรื่องปุ๋ยเรื่องน้ำ เรื่องอะไรต่างๆ บ้าง นั่นก็ไม่พ้นไปจากเรื่องถูกต้องตามที่เป็นจริง เพราะกฎของธรรมชาติ มันต้องการว่า ต้องมีน้ำอย่างนั้น มีปุ๋ยอย่างนี้ มีอุณหภูมิอย่างโน้น หรือมีเคลื่อนไหวอย่างนี้ มันต้องถูกต้องตามที่เป็นจริง ต้นข้าวจึงจะงอกงามปราศจากศัตรู เจริญดี จนมีข้าวเปลือกมาให้แก่คนที่ทำนา
นี่ความหมาย ยถาภูตสัมมัปปัญญา ต้องมีมาใช้ แม้ในระดับต่ำๆ อย่างนี้ แล้วเลื่อนขึ้นไป พวกคุณจะสึกไปเป็นคนค้าขาย หรือว่าเป็นนักธุรกิจ หรือจะไปเป็นอะไรก็สุดแท้ สิ่งที่เรียกว่า ยถาภูตสัมมัปปัญญา นั้นจะต้องมีติดตัวไปเรื่อย ขยายโตขึ้นๆ เมื่อไปเป็นผู้ที่มีความรับผิดชอบมาก เป็นหัวหน้าใหญ่ เป็นอะไร ก็ยิ่งต้องใช้อย่างนี้มากขึ้น ก็ต้องใช้คุณธรรมอย่างอื่นมากขึ้น ยถาภูตสัมมัปปัญญา จะบอกให้ทำถูกต้อง ไม่มีการบอกให้ทำผิดพลาด อย่างเช่นว่า ยิ่งเป็นนาย ผู้บังคับบัญชา ยิ่งเป็นหัวหน้าสูงขึ้นไปเท่าใด คนนั้นกลับจะยิ่งต้องอดกลั้นอดทนมาก อดกลั้นอดทนกับคนใต้บังคับบัญชามากยิ่งๆ ขึ้นไปอีก แต่ความเห็นอย่างโง่ๆ มันเห็นตรงกันข้ามว่า เรายิ่งเป็นนายเขาเราจะอดทนอะไร เพราะเราอยู่เหนือกว่า เราก็ฟาดฟันลงไป อย่างนี้ยิ่งไม่มีทางสำเร็จ เพราะมันไม่ใช่ ยถาภูตสัมมัปปัญญา เป็นตัวอย่างที่จะต้องใช้อยู่ในปัจจุบันนี้ให้ทุกๆ วัน สติปัญญาที่ถูกต้องตามที่เป็นจริง จะแก้ปัญหาทุกอย่างได้ กระทั่งปัญหาตัดกิเลส และการบรรลุนิพพาน
ทีนี้คำนี้เป็นคำหลักจำไว้ คือดีกว่าคำอื่นหมด แต่ก็ยังสมควรที่จะรู้คำอื่นๆ ที่แทนกันได้ เพื่อความเข้าใจที่กว้างออกไป ที่แทนกันได้เรียกว่า ไวพจน์ คือคำที่แทนกันได้ โดยรูปคำต่างกัน แต่ความหมายแทนกันได้เหมือนกัน เช่นคำว่า สัมมาทิฏฐิ คำนี้บัญญัติ ในรูปแบบอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งไม่ชัดเจนเหมือนคำว่า ยถาภูตสัมมัปปัญญา แต่เป็นคำที่ใช้มาก บางทีไปได้ยินคำว่า สัมมาทิฏฐิ เข้าแล้วจะไม่ได้นึกถึงคำว่า ยถาภูตสัมมัปปัญญา ดังนั้นขอให้รู้ด้วยว่าคำว่า สัมมาทิฏฐิ นั้น คือไวพจน์ คือคำแทนของคำว่า ยถาภูตสัมมัปปัญญา สัมมา ก็แปลว่าชอบ เช่นเดียวกับ สัมมะ สัมมา แปลว่า โดยชอบ ทิฐิแปลว่า ความเห็น แต่ว่าความเห็นในที่นี้หมายถึง เห็นจริง ไม่ใช่ความเห็นเดา ความเห็นคำนวณ หรือความเห็นอย่างชั่วแล่นชั่วขณะ เหมือนที่เราชอบใช้กันนัก ความเห็นชนิดนั้นไม่ใช่คำว่า สัมมาทิฏฐิ ในที่นี้ ทิฎฐิ ความเห็นในที่นี่ จะลึกลงไปถึงว่าเห็นแจ่มแจ้ง แล้วสรุปเป็นความหมายอะไรขึ้นมา คือความเห็นที่เกิดมาจากประสบการณ์อันเพียงพอ เพราะนั่นมีการใคร่ครวญพินิจพิจารณาอย่างเพียงพอ สรุปเป็นความถูกต้องขึ้นมาได้อย่างไร เพราะฉะนั้นจึงไม่เกี่ยวกับตรรกะ หรือปรัชญาอะไรทำนองนั้น เพราะนั่นเขาไปเอาเหตุผลไม่รู้อะไรที่ไหน แต่ส่วนอันนี้ไม่เอาเหตุผลทำนองนั้น แต่เอาประสบการณ์ที่มีอยู่แล้วจริงๆ อย่างชัดเจนแจ่มแจ้งอยู่ในใจ เอามาดูว่าเป็นอย่างไร ประกอบกันเข้า แล้วจะเป็นทฤษฎีออกมาว่าอย่างไร คือเป็นทิฏฐิออกมาว่าอย่างไร จึงจะถือว่าทิฏฐินั้นถูกต้อง จะมีวัดผลว่าถูกต้องจริงหรือไม่ นี่ก็ไม่ยาก คือถ้าทำไปตามนั้นแล้ว ผลเกิดขึ้นมา เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขทั้งแก่ตนแลผู้อื่นแล้วก็เป็นอันถูกต้อง ความถูกต้องทางศาสนา เขาจำกัดไว้อย่างนี้ ฉะนั้นมันไม่ยุ่งยากเหมือนคำว่าถูกต้องทางปรัชญา ความถูกต้องทางปรัชญานั้นชวนให้เวียนหัว อ้างเหตุผลอย่างนั้นอย่างนี้ อย่างโน้น และไม่ตั้งรากฐานอยู่บนความรู้สึกจากใจจริงๆ นั้นเป็นความถูกต้อง เมื่อพูดตามวิธีทางปรัชญา
ส่วนความถูกต้องตามวิธีทางพุทธศาสนานี้ระบุลงไปชัดว่า ถูกต้องนั้นคือ ทำลงไปแล้ว มันมีประโยชน์ทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น ถ้าไม่มีประโยชน์ก็ลบทำใหม่ จนกว่าจะมีประโยชน์แก่ตนและผู้อื่น จึงจะถือว่านี่เป็นความถูกต้อง แต่ว่าบางอย่างมองเห็นได้ตั้งแต่ทีแรกแล้ว เช่นบอกว่า ความเห็นแก่ตัวเป็นสิ่งที่ควรยึดถือไว้เป็นหลักทำไปจะเป็นประโยชน์ทั้งแก่ตนและผู้อื่น คนก็มองเห็นแล้ว ผู้ฟังก็มองเห็นแล้วว่า เป็นอย่างนั้นจริง นี่เห็นด้วยตั้งแต่ทีแรกแล้ว มี สัมมาทิฏฐิ ตั้งแต่ทีแรกแล้ว ก็ทำไปตามนั้นมันก็มีผล ราคะ โทสะ โมหะ อย่าไปเล่นกับมัน มันร้อน มันเผา ระวังอย่าให้เกิดขึ้นในจิตเลย ถ้าพูดทางวิธีปรัชญาก็พูดอย่างอื่น นี่เราพูดอย่างวิธีทางศาสนา ทีนี้ใครเคยมีราคะมาแล้ว เคยมีโทสะมาแล้ว เคยมีโมหะมาแล้ว มันก็อาศัยความเจนจัดนั้น มองเห็นได้ทันทีว่า เออ, มันร้อนจริง มีราคะ โทสะ โมหะ มันร้อนจริง อย่างนี้ไม่ต้องฝากไว้กับเหตุผลอะไรอีก ไม่ต้องใช้ Logic ไม่ต้องใช้ Philosophy หรือไม่ต้องใช้อะไรทำนองนี้ ใช้ความรู้สึกจริงๆ ในใจ ตามวิถีทางของศาสนา เป็นวิทยาศาสตร์ทางจิตไม่ต้องเป็นตรรก หรือไม่ต้องเป็นปรัชญาก็ได้ รีบสร้าง สัมมาทิฏฐิ ให้มากขึ้น จงพอกพูน สัมมาทิฏฐิ ให้มากขึ้น เรายิ่งโตวันโตคืน โตไปข้างหน้า เรายิ่งพอกพูน สัมมาทิฏฐิ นี้ให้มากขึ้น ให้แจ่มแจ้งชัดเจนยิ่งขึ้น นี่เขาเรียกว่า มี ยถาภูตสัมมัปปัญญา ก็ได้มี สัมมาทิฏฐิ ก็ได้
ทีนี้ที่เรียกโดยชื่ออื่นให้ชวนสนใจมากขึ้นไป ก็มีอีกมาก ยกตัวอย่างเช่นว่า จะเรียกว่า อริยพละ อริยพล กำลังของพระอริยเจ้า พระอริยเจ้าท่านมี สัมมาทิฏฐิ นี้เป็นกำลัง ส่วนคนพาลเขามี มิจฉาทิฏฐิ เป็นกำลัง มีกำลังกายเป็นกำลัง มีอำนาจทรัพย์ อำนาจอาวุธเป็นกำลัง พระพุทธเจ้ามีธรรมะเป็นกำลังจึงเรียกว่า ธรรมาวุธ ก็มี ธรรมาวุธ อาวุธคือธรรมะ หรือว่า อริยพละ อริยพละ อริยพละ มีกำลังของพระอริยะ หมายถึงว่าเราใช้ สัมมาทิฏฐิ ใช้ ยถาภูตสัมมัปปัญญา ในฐานะที่เป็นกำลัง เป็นอาวุธ เป็นศาสตรา เพื่อจะแก้ปัญหาทั้งหลาย อย่าใช้สิ่งอื่นที่จะแก้ปัญหา หรือตัดปัญหา ควรใช้ธรรมศาสตรา คือสติปัญญาที่ถูกต้องตามความเป็นจริง ของความจริง ก็จะแก้ได้ เมื่อไม่รู้จักสิ่งนี้ก็เที่ยวไปหวังสิ่งนั้นสิ่งนี้ หวังบุคคลช่วยแก้ หวังเงินให้ช่วยแก้ หวังอำนาจให้ช่วยแก้ หรือคอยดูฤกษ์ยามให้เทวดาผีสางอะไรช่วยแก้ มีเครื่องราง มีอะไรสำหรับจะป้องกันให้ช่วยแก้ ทั้งหมดนี้ไม่ใช่ ยถาภูตสัมมัปปัญญา มันต้องแก้ด้วยความรู้ที่ถูกต้อง แม้จะต้องใช้อาวุธบ้าง ใช้เงินบ้าง ใช้อะไรบ้าง ก็เป็นส่วนประกอบ ส่วนย่อย ส่วนเล็ก ส่วนใหญ่ความรู้ที่ถูกต้อง ความรู้ที่ไม่ถูกต้องไม่เข้ามาหรอก ไม่เข้ามารวมอยู่ในนี้ เรียกว่ามันแก้ด้วยแสงสว่าง แก้ด้วยลูกตาที่ลืมอยู่ ไม่ใช่ตาที่มันหลับอยู่ นี่จะเป็นธรรมศาสตรา
ทีนี้ถ้าจะพูดให้เห็นชัดขึ้นไปอีกว่า ธรรมศาสตรา คือใช้กฎของธรรมชาติเป็นศาสตรา ธรรมะคือกฎของธรรมชาติ เมื่อเราใช้กฎของธรรมชาติเป็นศาสตรา แล้วใครจะต่อต้านได้ ใครบ้างที่จะต่อต้านกฎของธรรมชาติได้ แต่ว่าคำ คำนี้ใช้กันผิดๆ อยู่ แม้ในหมู่พวกคุณ กล้าพูดอย่างนี้เลย คำว่าธรรมชาตินี้ คุณอาจจะพูดไปตามฝรั่ง ถ้าพูดตรงๆ ก็ว่าตามก้นฝรั่ง พูดอย่างสุภาพหน่อยก็ตามฝรั่ง ที่ว่าเอาชนะธรรมชาติได้ ฟังแล้วน่าสะอิดสะเอียน ที่คนเหล่านั้นพูดว่า เขาเอาชนะธรรมชาติได้ โดยที่เขาไม่รู้ว่านั่นคือเขาพ่ายแพ้ต่อธรรมชาติอยู่ตลอดเวลา และมีผลออกมาอย่างนี้ ก็คือพ่ายแพ้ต่อธรรมชาติ เขาค้นคว้าอะไรอย่างที่เรียกว่า เขาเอาชนะธรรมชาติได้ อย่างว่าไปเหยียบโลกพระจันทร์ได้นี่ ว่าเขาเอาชนะธรรมชาติได้ เรากลับมองว่า นี่มันโง่พ่ายแพ้ต่อธรรมชาติตลอดเวลา อุตส่าห์ลำบากไปเหยียบโลกพระจันทร์ซึ่งไม่ได้อะไรเลย แต่อย่าพูดอย่างนั้นก็ได้ คือพูดว่าที่เขาทำได้ คิดได้อย่างนั้น เพราะเขาทำไปอย่างถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ จึงออกไปได้ ไปอยู่ที่นั่นได้ โดยการทำถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ ทางฟิสิกส์ ทางเคมี ทางแมคคานิค อะไรก็ตาม มันถูกต้องตามกฎของธรรมชาติหมด มันจึงไปเหยียบโลกพระจันทร์ได้ กฎของธรรมชาติอำนวยให้เป็นไปได้ เขากลับพูดว่าเขาเอาชนะธรรมชาติได้ เขาทำไปตามกฎของธรรมชาติแท้ๆ ฉะนั้นธรรมชาติยังเหนือกว่าอยู่ตามเดิม เมื่อเราใช้กฎของธรรมชาติเป็นศาสตรา แล้วใครจะต่อต้านได้ ใครจะมีอะไรมีความดี วิเศษ ศักดาอะไร สูงกว่ากฎของธรรมชาติ ซึ่งพวกหนึ่งเขายอมเรียกว่า พระเป็นเจ้า กฎของธรรมชาตินี้ เขายอมเรียกว่า พระเป็นเจ้า ไม่มีใครต่อต้านพระเป็นเจ้าได้ แม้แต่กฎแห่งกรรมในพุทธศาสนานี้ก็เรียกว่า กฎของธรรมชาติ แล้วใครไปต่อต้านได้
เดี๋ยวนี้เรามีกฎของธรรมชาติเป็นธรรมศาสตรา บางคนไม่เชื่อ ถ้าไม่เชื่อก็ไปคิดดูเถอะ ไปคิดดูก่อนไม่มามัวเถียงกัน กฎของธรรมชาติต้องการให้ใช้ดอกบัวสีเหลือง คือเป็นเรื่องของสันติ ไม่เอียงโน่นไม่เอียงนี่ ไม่โครงเครง กฎของธรรมชาติแท้ ๆ ต้องการให้อยู่ด้วยความสงบ ที่ไม่ค่อยสงบนั้นผิดธรรมชาติที่ควรจะปรารถนา กลายเป็นธรรมชาติแห่งความวุ่นวาย เพราะไปทำตามกฎแห่งธรรมชาติของความวุ่นวายกันแล้ว ก็ได้รับความวุ่นวาย อย่างในโลกนี้ทำผิดในเรื่องนี้ ก็ได้รับแต่ความวุ่นวาย ที่เราเรียกกันว่าวิกฤตการณ์
ที่เรารู้จักธรรมชาติแท้จริง ว่าแม้แต่ธรรมชาติก็มุ่งหมายเป็นไปอย่างสงบ เพราะเราเกิดความรู้สึกขึ้นมาได้ง่ายๆ ในใจของเราเองว่า เมื่อธรรมชาติสงบ คือ ธรรมชาติอันแท้จริง ก็เลยถือเอานี่เป็นหลักว่า ธรรมชาติโดยแท้จริงนั้น มันต้องการให้มีความสงบ เพราะ ความวุ่นวายพลัดตกไปหมดแล้ว ก็เหลือแต่ความสงบ นั่นคือธรรมชาติที่แท้จริง ธรรมชาติแท้จริงต้องการความสมดุล อยู่อย่างสมดุลและไม่มีอะไรวุ่นวาย เดี๋ยวนี้เหวี่ยงซ้ายไปเป็นชนกรรมาชีพ เหวี่ยงขวามาเป็นนายทุนมันก็ไม่สงบได้ นั่นก็คือความผิดธรรมชาติ เพราะความเห็นแก่ตัวมันมากเกินไป ฝ่ายหนึ่งก็เห็นแก่ตัวอย่างหนึ่ง ฝ่ายหนึ่งก็เห็นแก่ตัวอย่างหนึ่ง แล้วมันก็มากเกินไป แล้วก็เกิดความวุ่นวายขึ้นมา ด้วยการกระทบกระทั่งกัน ต้องเอาธรรมศาสตราของธรรมชาติมาทำความสมดุล ทำลายความเห็นแก่ตัวเสีย ก็จะเกิดมิตรภาพ แล้วก็เป็นมิตรภาพเดียวกัน อย่างที่เรียกว่ามนุษย์ หรือคนทั้งหลาย เป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น มองดูกันในแง่นี้เถิด อย่าไปเข้าใจผิดแบ่งแยกเป็นกูเป็นสู
ให้ดูอีกนิดหนึ่งให้เห็นว่า ธรรมศาสตราที่สมบูรณ์แท้จริงนั้น มุ่งจะตัดปัญหาข้างใน ไม่ตัดปัญหาที่ผิวนอก ผิวนอกไม่ใช่ปัญหา ปัญหาตั้งต้นอยู่ที่ข้างใน ออกมาเป็นผิวนอก นี่มันเปลือกของปัญหา แต่เราเอาเปลือกของปัญหาเป็นตัวปัญหา เพราะว่าเราทนไม่ได้ เช่น เมื่อเกิดการฆ่าฟันกันขึ้นมาแล้ว ก็เกิดขาดแคลนอาหารไม่มีอะไรจะกิน ถูกกดขี่ นี่เราทนอยู่ไม่ได้ในข้อนี้ นี่เป็นปฏิกิริยามากกว่า ที่ออกมาจากปัญหาแท้จริง ที่อยู่ข้างในใจของคน คือความเห็นแก่ตัว
ทีนี้ธรรมศาสตราทั้งหลายมุ่งจะตามเข้าไปแก้ที่ต้นตอที่ข้างใน เพราะว่ามองเห็นโดย ยถาภูตสัมมัปปัญญา จนเห็นว่าปัญหาทั้งหลายมันตั้งต้นมาจากข้างใน ความผิดพลาดทั้งหลายมันตั้งต้นมาจากข้างใน เดี๋ยวนี้โลกมีความผิดพลาดจนต้องมีความเป็นทุกข์ แต่ปัญหามันตั้งต้นมาจากข้างใน ความผิดพลาดนั้นตั้งต้นมาจากข้างในใจของคนเหล่านั้นเอง อย่ามามัวฆ่าฟันกันให้เลือดนองไม่มีแก้ปัญหาได้ ต้องแก้ด้วยต้นตอของปัญหาคือ ข้างใน และโดยธรรมศาสตรา ซึ่งมีมาจาก ยถาภูตสัมมัปปัญญา เห็นแจ้งตรงตามที่เป็นจริง ถ้าไม่ถูกต้องข้างในออกมาเป็นความไม่ถูกต้องข้างนอก จึงไม่มีความสมดุลกันในระหว่าง มโนธรรมและวัตถุธรรม พอสองอย่างนี้ไม่สมดุลกันแล้ว เป็นอันหวังได้ว่าความโกลาหลวุ่นวายระส่ำระสายทุกข์ยากลำเค็ญทั้งหลายจะเกิดขึ้น ถ้าหยุดไว้ไม่ได้ จะเลยไปถึงมิคสัญญี ที่ว่ามนุษย์ คนดีกว่า เผลอทุกที มนุษย์มันไม่ฆ่ากัน คนนี่มันจะฆ่ากันอย่าง ฆ่าเนื้อฆ่าปลา ในที่สุดของโลกยุคหนึ่งเหลือเดนตายไม่กี่คน มาตั้งต้นกันใหม่ นี่ความผิดพลาดที่เกิดมาจากปัญหาข้างใน
สรุปความกันเสียทีว่า เราจะต้องมีธรรมศาสตรา แก้ปัญหาของสังคมที่เกิดมาจากภายใน คือความเห็นแก่ตัวของสองฝ่ายนั้น ว่าทำผิดต่อกันและกันในระหว่างบุคคลก็ดี ระหว่างหมู่คนไม่กี่คนก็ดี ระหว่างสังคมของคน เป็นร้อยเป็นพัน เป็นหมื่นก็ดี กระทั่งระหว่างประเทศชาติก็ดี ของโลกทั้งหมดก็ดี เป็นอย่างนี้ ทำผิดกฎธรรมชาติฝ่ายสงบ ไปถูกกฎธรรมชาติฝ่ายเป็นทุกข์วุ่นวาย เห็นตามที่เป็นจริงอย่างนี้แล้ว แก้ปัญหาได้โดยใช้ธรรมศาสตรา อยู่ในรูปของดอกบัวสีเหลือง ไม่ต้องหลั่งเลือด
ผมดูเครื่องหมายของคอมมิวนิสต์คือ ค้อนกับเคียว ไม่เห็นมีอาวุธที่ไหน ค้อนก็ไม่ใช่อาวุธ เคียวก็ไม่ใช่อาวุธ แล้วทำไมยังต้องหลั่งเลือดกันด้วยอาวุธ ดูมันยังไขว้เขวอะไรกันอยู่ เราเลยยังไม่เข้าใจเรื่องคอมมิวนิสต์ ดังนั้นเราจะไม่พูดถึงเรื่องคอมมิวนิสต์เขามากมายนัก เพราะดูอะไรมันไขว้เขวกันอยู่ ถ้ามีแต่ค้อนกับเคียวจริงก็เป็นดอกบัวสีเหลืองมากกว่าดอกบัวสีแดง คุณลองไปคิดดู
ในที่สุดนี้สรุปความนิดเดียวว่า ถ้าเป็นมนุษย์ ขอให้แก้ปัญหากันอย่างมนุษย์ ใครนิยมซ้ายใครนิยมขวา ใครจะอาสาเป็นผู้แก้ปัญหาให้กับสังคม ทั้งที่อยู่ในโรงเรียน ทั้งที่อยู่ในวิทยาลัยก็ตาม ขอให้เป็นมนุษย์ที่แก้ปัญหากันอย่างมนุษย์ สร้างความรู้ความถูกต้องด้วย ยถาภูตสัมมัปปัญญา เป็นมนุษย์ มนุษย์เรามีใจสูง ถ้าสูงต้องมี ยถาภูตสัมมัปปัญญา ใครจะค้านข้อนี้ ผมว่าถ้าเป็นมนุษย์จริง ต้องเป็นด้วย ยถาภูตสัมมัปปัญญา ปัญญาถูกต้องตามที่เป็นจริง ถ้าเป็นมนุษย์ ใครค้านก็ค้าน จะมีหลักตายตัวลงไปว่า เป็นมนุษย์ก็สมบูรณ์ด้วย ยถาภูตสัมมัปปัญญา ปัญหาก็หมด เพราะมันรู้ตามที่เป็นจริง มันจึงแก้ปัญหาได้ เดี๋ยวนี้แก้ปัญหาไม่ได้ เพราะไม่รู้ตามที่เป็นจริง ไม่ต้องมัวเถียงกันอีกต่อไป
ขอยุติการบรรยายในวันนี้ไว้ เพียงเท่านี้ คือ ให้ทุกคนมุ่งหาธรรมศาสตรา