แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
นักศึกษาผู้สนใจในธรรมทั้งหลาย การบรรยายของเราในวันนี้ก็ยังคงพูดโดยหัวข้อว่า สุญญตาแก้ปัญหาแม้ของสังคม ต่อไปอีกสักครั้งหนึ่ง สิ่งที่เรียกว่าสุญญตา ไม่ชินหูของคนทั่วไป และมิหนำซ้ำยังแปลความหมายของคำนี้ผิด ผิดยิ่งกว่าผิด ที่แปลกันว่าสูญเปล่า เมื่อสูญเปล่าก็ไม่มีประโยชน์อะไร ไม่ทราบว่าไอ้คำแปลว่าสูญเปล่านี่มันเกิดขึ้นมาอย่างไร แปลว่าศูนย์เฉยๆ ก็ยังดี ศูนย์มันก็เลขศูนย์ ถ้ามันเป็นเลขศูนย์มันก็ไม่มีค่าอะไรก็ได้ความหมายมันเป็นแบบนั้น ของเดิมก็แปลว่า ว่าง ก็แปลกันผิดว่าสูญเปล่า ในวัดในวานี่ก็ยังแปลผิด มหาเปรียญก็ยังแปลผิด น่าหัวนะ ที่แปลสุญญว่าสูญ แล้วก็ไม่ยอมอธิบายว่าหมายความว่าอย่างไร มันถูกไปตามตัวหนังสือ มันก็เลยผิดโดยความหมายในภาษาไทย ในเมืองไทยโดยเฉพาะในยุคปัจจุบันนี้
ทีนี้มันมีความสำคัญอยู่ที่ว่าไอ้คำสุญญ หรือ สุญญตานี่มันเป็นหัวใจของพุทธศาสนา หัวใจของพุทธศาสนาจะกลายเป็นของใช้ไม่ได้ ไม่มีประโยชน์อะไร มันก็เลยเสียหายหมด เมื่อเป็นหัวใจของพุทธศาสนาทั้งที มันก็ต้องใช้ประโยชน์ได้ยิ่งกว่าสิ่งอื่นสิ่งใดหมด ขอให้พวกคุณสนใจเป็นพิเศษ เพื่อเข้าใจพุทธศาสนาถึงหัวใจ และเป็นการร่วมมือกันกับผม คือทำให้คำนี้แพร่หลายออกไปในหมู่ประชาชน ไปอยู่ในการพูดจาของประชาชน เราประสบความสำเร็จมาแล้วบางเรื่อง จนเรื่องปฏิจจสมุปบาทแพร่หลายติดริมฝีปากของคนเป็นอันมากขึ้นมานี่ ก็เพราะเราได้พยายาม มีเจตนา ในเรื่องสุญญตายังไม่ถึงอย่างนั้น เราไปใช้คำไทยแปลว่าความว่าง แปลว่า จิตว่าง คนเขายังเข้าไม่ถึง บางคนก็เข้าใจผิดเอาไปล้อเลียน เราจะไม่ ไม่ไปรู้ไปชี้กับไอ้พวกเหล่านั้น เราจะพยายามทำให้คำสุญญตานี้ให้เป็นที่เข้าใจให้จนได้ เลิกเป็นที่ล้อเลียนกันสักที
ที่ว่าสุญญตาเป็นหัวใจของพุทธศาสนานั่น ก็มิได้หมายความว่าจะใช้ได้แต่เฉพาะคน หรือเฉพาะระดับ คือระดับของบรรพชิต หรือโยคี หรือมุนี ที่เขาจะไปนิพพานกันเร็วๆ แต่ว่ามันเป็นธรรมที่จำเป็นแม้แต่พวกฆราวาสครองเรือน อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสว่าธรรมะที่เนื่องด้วยสุญญตานี้เป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่ฆราวาสทั้งหลายตลอดกาลนาน คนที่ไม่เคยอ่านเรื่องนี้ก็ไม่คิดอย่างนี้ แล้วบอกเขาว่าพระบาลีมีอยู่อย่างนี้ เขาก็พาลจะหาว่าเราหลอกมากกว่า เพราะเขารู้สึกว่ามันไม่น่าจะเป็นได้ ตามความรู้สึกของเขาที่เขาไปศึกษาเล่าเรียนมาในปัจจุบัน เดี๋ยวนี้พวกคุณเป็นนักศึกษา ก็เอาตามการศึกษาที่แท้จริง ที่ถูกต้อง โดยเฉพาะก็ตามพระบาลี หรือตามพระพุทธวัจนะนั่นเอง
ทีนี้ก็ดูถึงหัวข้อของเราที่ว่าสุญญตา หรือธรรมะที่เนื่องด้วยสุญญตา แก้ปัญหาแม้แต่ของฆราวาส มาทีหนึ่งแล้ว ทีนี้ก็แก้ปัญหาแม้ของสังคม คือฆราวาสอีกนั่นแหละ แต่ในความหมายคือว่ารวมหมู่กันเป็นหมู่ใหญ่ ใหญ่ออกไปจนกระทั่งเป็นระดับประเทศ ใหญ่ออกไปจนกระทั่งเป็นระดับโลก หรือสังคมโลกมีเพียงสังคมเดียว ถ้าโลกทั้งโลกมันจะมีปัญหาอะไร ก็จะแก้ได้โดยแท้จริงด้วยธรรมะที่เนื่องด้วยสุญญตา ประเทศๆ หนึ่งก็จะแก้ธรรมะของประเทศได้ด้วยธรรมะนี่ด้วยเหมือนกัน กระทั่งสังคมเล็กลงมาก็ต้องแก้ด้วยข้อนี้กระทั่งเหลือบุคคลคนเดียว ก็ต้องแก้ด้วยปัญหาข้อนี้ ฟังแล้วมันไม่น่าเชื่อ ทั้งนี้เพราะว่าไอ้สิ่งที่เรียกว่าสุญญตานั่นมีหลายระดับ มันยืดหยุ่นได้หลายระดับ มันปรับปรุงให้เป็นขึ้นมาได้หลายๆ ระดับ ขอให้สนใจในข้อนี้แหละให้มาก
อย่างครั้งที่แล้วมาเราก็พูดถึงสุญญตาจะให้สิ่งที่เราต้องการสำหรับแก้ปัญหาของสังคมในยุคปัจจุบันนี้ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาชนชั้น ปัญหาสังคมทั่วไปมิได้มีแต่ปัญหาเรื่องชนชั้น หรือช่องว่างระหว่างชนชั้น ปัญหาอะไรก็ได้มันมีอีกมากมาย แต่ในปัจจุบันนี้ปัญหาที่ยิ่งใหญ่หรือสนใจกันมากก็คือปัญหาชนชั้น เราอาจจะพูดรวมกันได้ว่าปัญหาทั่วไปก็ดี ปัญหาชนชั้นก็ดี แก้ได้ด้วยธรรมในระบบของสุญญตา เช่นได้พูดถึงความอดทนนานาแบบ นานาชนิด ที่ทำให้ทนได้และก็ไม่เป็นทุกข์เพราะการที่ต้องทน เราก็ใช้ธรรมะที่เนื่องด้วยสุญญตา ความอดทนมีกี่แบบก็ได้ยกตัวอย่างมาให้หลายแบบเพียงพอแล้วในการบรรยายครั้งที่แล้วมา
ทีนี้สังคมจะต้องมีการปรองดอง คือทำความความเข้าใจกันได้ เดี๋ยวนี้ก็ทำความเข้าใจกันไม่ได้ เพราะต่างฝ่ายต่างมีตัวกู ต้องการแต่จะเอาเปรียบด้านเดียว ไม่มีศีลธรรมเพราะมันมีตัวกูจัดเกินไป เมื่อต้องการจะมีการปรองดองในเรื่องอะไรขอให้นึกถึงเรื่องอย่ามีตัวกูของกูนี่กันเสียก่อน มันจะไปอยู่ที่อะไรถูกอะไรผิดได้ง่ายขึ้น แต่ถ้ามันมีตัวกูของกูแล้วมันจะมีแต่ว่าของกูเท่านั้นถูก ของคนอื่นผิด พอเอาตัวกูของกูออกไปเสีย มันก็จะมีขึ้นมาอย่างบริสุทธิ์ว่าอย่างไรถูก อย่างไรผิด การปรองดองก็เกิดขึ้น คือยอมกันได้ง่ายๆ เพราะเห็นแก่ความถูกจึงยอมกันได้ง่ายๆ นี้ การปรองดองระหว่างชนชั้น การปรองดองระหว่างรัฐบาลกับประชาชน รัฐบาลกับกรรมกร โดยเฉพาะประชาชนกับบริการประชาชน นักศึกษากับรัฐบาล รัฐบาลกับรัฐสภา มันยุ่งไปหมด ก็มีตัวกูของกูมันยุ่งไปหมด มันก็เป็นเรื่องของความไม่มีศีลธรรม
เดี๋ยวนี้เราก็ไม่มีศีลธรรมกันมากขึ้น อย่างที่เห็นได้ง่ายๆ ตัวอย่างว่าสองสามวันนี้ก็มีพระราชบัญญัติออกมา ซึ่งจะออกได้แน่ สำเร็จแน่ๆ ควบคุมการมีทรัพย์สมบัติ ให้แจ้งทรัพย์สินและหนี้สิน ทั้งฝ่ายรัฐสภา ทั้งฝ่ายรัฐบาล ข้าราชการการเมือง ข้าราชการประจำ นี่มันเพราะเหตุที่ว่ามันมีศีลธรรมด้อยลงไป และก็ไม่รู้สึก และก็ไม่ละอาย สมัยก่อนไม่ต้องมีกฎหมายอย่างนี้ เพราะมันมีศีลธรรม พอไม่มีศีลธรรมมันก็ต้องมีกฎหมายชนิดนี้ออกมา ถ้าไม่มีศีลธรรมนี่จะทำให้เกิดความคดโกงคอรัปชั่นมากขึ้น จนกระทั่งว่ารัฐสภากับรัฐบาลนี้ไม่ต้องทำอะไร นอกจากมานั่งประชุมกันเพื่อหาทางปิดกั้น แก้ไข ไอ้เรื่องคอรัปชั่นเรื่องคดโกง นี่มันเสียเกียรติของความเป็นมนุษย์นะดูให้ดีๆ ถ้าไม่มีศีลธรรมก็คดโกง ความรุนแรงยิ่งขึ้นๆ อย่างที่สมัยก่อนนั้นมันไม่มี สมัยคนป่าโบราณนั้นยิ่งไม่มี ไม่ต้องมีระเบียบชนิดนี้ เดี๋ยวนี้ความเจริญมันมาในรูปนี้ มันมาในรูปของวัตถุ ซึ่งเป็นเหตุให้คนจะต้องคดโกงคอรัปชั่น และกฎหมายที่ไม่เคยออกมาในรูปอย่างนี้มันต้องออกมา คือกฎหมายควบคุมการมีทรัพย์สมบัติ อย่าให้มันโกงได้ แต่แล้วก็น่ากลัวว่าจะไม่มีความหมายอะไร คือมันยังโกงได้โดยวิธีอื่น ก็ต้องออกกฎหมายกันอย่างอื่นอีก ในที่สุดก็มานั่งระวังแต่การคดโกงไม่ต้องทำอะไรอื่น ซึ่งเป็นการพัฒนาให้มันแท้จริงยิ่งๆ ขึ้นไป นี่โทษของความที่ไม่สนใจเรื่องธรรมะ ที่ทำให้ไม่เห็นแก่ตัว จึงขอยืนยันว่าธรรมะที่เนื่องด้วยสุญญตานี่ทำให้ไม่เห็นแก่ตัว และก็ไม่คอรัปชั่น เป็นต้น
ทีนี้สิ่งที่ต้องละ แล้วก็ละกันไม่ได้ สิ่งที่ต้องละคือสิ่งที่ถ้ามีไว้มันทำความเสื่อมของความวินาศของบุคคลก็ดี ของหมู่คณะก็ดี ของประเทศชาติก็ดี ถ้าคนในชาติของเราทั้งชาติละอบายมุขได้ ความเจริญจะมีมากกว่านี้ นี่ก็ทำไม่ได้ เพราะเห็นแก่ตัว เห็นแก่ความสุขสนุกสนานของตัว โดยไม่ต้องคิดว่ามันถูกหรือผิด เอาแต่สนุกสนานเอร็ดอร่อยมันถูกทั้งนั้น ธรรมะไม่มีมีแต่อธรรม คือธรรมะที่ผิดที่ทำให้เห็นแก่ตัว เรียกโดยสมมุติเรียกว่าอธรรม ธรรมะที่ผิดเป็นธรรมที่ผิด การที่มีคุณธรรมอย่างอื่นอีกหลายๆ อย่าง มีไม่ได้เพราะกิเลสประเภทเห็นแก่ตัวมันมากเกินไป ในที่สุดไอ้ความฟุ้งซ่านของคนแต่ละคน มันก็มาจากความเห็นแก่ตัวอย่างใดอย่างหนึ่ง ถ้าใครเคยมีจิตฟุ้งซ่าน ทำอะไรไม่ได้ ก็ดูให้ดีเถอะ มันก็มาจากตัณหาอันใดอันหนึ่ง เกิดมาจากความเห็นแก่ตัวของใครคนหนึ่งแล้วก็มาเป็นของเราด้วย เราฟุ้งซ่าน สะเพร่า ไม่มีสติสัมปชัญญะ มีกำลังจิตท้อแท้ และธรรมะทั้งหลายที่ต้องการให้มีไม่ได้เพราะว่ากิเลสประเภทตัวกูมันเข้ามา แล้วธรรมะที่เนื่องด้วยสุญญตานั่นจะแก้ได้
เมื่อพูดถึงความสามัคคี ใครๆ ก็ต้องมองเห็นและยอมรับว่าเป็นสิ่งที่ประเสริฐ และต้องการกันอย่างยิ่ง แต่แล้วทำไมมันยิ่งไม่มีความสามัคคี ในสมัยโบราณหาความสามัคคีได้ง่ายกว่านี้ เพราะมันมีอะไร ก็มันมีความเห็นแก่ตัวเบาบาง เดี๋ยวนี้ความสามัคคีมีกันยากเพราะความเห็นแก่ตัวมันหนาแน่น ถ้ารัฐบาลเรียกร้องความสามัคคีจากประชาชน ก็ดูให้ดีเสียก่อนสิว่าในคณะรัฐบาลมีกี่คน นั่นมันสามัคคีกันหรือเปล่า ในรัฐสภาซึ่งมีสมาชิกสองสามร้อยคนนี่มันสามัคคีกันหรือเปล่า เป็นอย่างนี้ทุกประเทศ ทุกชาติในโลก ผมอุตส่าห์เสียเวลาทนฟังทนว่าในรัฐสภาหรือในคณะรัฐบาลประเทศอื่นๆ ทั่วไปทั้งโลกประเทศที่ใหญ่ที่สุดมันก็ยังเป็นอย่างนี้ ความไม่สามัคคีกันได้ เพราะมันมีตัวกู ตัวกูที่จะไปต่อสู้ป้องกันประโยชน์ของตน แล้วจะสามัคคีอะไรกันได้ และต้องเอาธรรมะที่ลดตัวกูก็คือสุญญตา นี่คือเรื่องราวที่เราได้พูดกันมาแล้วเมื่อวาน
ทีนี้ก็อยากให้เห็นชัดยิ่งขึ้นไป ว่ามันเป็นข้อเท็จจริงที่เราทุกคนที่เราทุกคนนี่แหละจะพอเห็นได้ ตามที่กล่าวมานั้น ความไม่เห็นแก่ตัวกับความเห็นแก่ตัวสองอย่างเท่านั้น ดูให้ดีเถิด อันหนึ่งก็จะสร้างปัญหาอันหนึ่งก็จะแก้ปัญหา จะเสนอหัวข้อเสียก่อนว่า ปัญหาทางโลกก็แก้ได้ด้วยความไม่เห็นแก่ตัวของมนุษย์ ปัญหาทางธรรมก็แก้ได้ด้วยความไม่เห็นแก่ตัวของมนุษย์ ใครค้านใครอยากค้านก็ขอให้ค้านเถอะ เอาไว้เวลาจบบรรยายก็ได้ ทีนี้ยืนยันว่าปัญหาทางโลกก็ดี ปัญหาทางธรรมก็ดี ต้องแก้ด้วยความไม่เห็นแก่ตัว ปัญหาทางสังคมในโลก ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาการเมือง ปัญหาทุกอย่างที่ว่ามันเป็นเรื่องโลกๆ มันต้องแก้ด้วยความไม่เห็นแก่ตัวของคนเหล่านั้น ไม่อย่างนั้นไม่มีทางแก้ คนบางคนเขาเสนอวิธีการบีบบังคับหรือเผด็จการ มันก็ไม่เคยแก้ได้เท่าที่เห็นๆ มาแล้ว ในอนาคตมันก็ไม่มีทางจะแก้ได้เพราะการบีบบังคับ
ถ้าปัญหาเป็นปัญหาทางธรรมะด้วยแล้วมันยิ่งต้องแก้ด้วยความเห็นแก่ตัว เพราะว่าเรื่องธรรมะนั่นก็คือเรื่องจะขจัดความเห็นแก่ตัวหรือขจัดความรู้สึกว่ามีตัว ปัญหาทางธรรมะก็จะบรรลุมรรคผลนิพพาน ก็ต้องแก้ได้ด้วยการทำลายความมีตัวหรือความเห็นแก่ตัวออกไปได้ นี่เป็นหัวข้อแรก ถ้ามองเห็นและเชื่ออย่างนี้เรื่องมันก็จะง่ายขึ้น ที่จะได้รวมกันพยายามร่วมมือกันแก้ปัญหาด้วยความไม่เห็นแก่ตัว ช่วยกันสั่งสอน อบรม ปฏิบัติ ธรรมที่เป็นความไม่เห็นแก่ตัวให้มากขึ้น ทีนี้มันไปแก้ด้วยอย่างอื่น ซึ่งสรุปแล้วก็เรียกได้ว่าเอาน้ำโคลนมาล้างโคลน แม้จะเป็นน้ำโคลนกันคนละชนิด มันก็ล้างไม่ได้ ยิ่งบังคับให้เขาโกรธ เขาก็ยิ่งไม่เชื่อหนักขึ้น ยิ่งแกล้งประชดประชันหนักขึ้น มันจึงแก้ไม่ได้ด้วยความที่ไปบีบบังคับให้คนหมดความเห็นแก่ตัว
ทีนี้อยากให้ดูต่อไปว่าที่ว่าเป็นที่ยอมรับกันได้ มันมีความหมายกว้างแคบเท่าไร ในข้อนี้ผมขอยืนยันว่าต้องว่าเป็นที่ยอมรับกันได้ทุกรูปแบบของสังคม ไม่ว่าสังคมแบบไหนจะยอมรับข้อนี้ ขอท้าเลยว่าแม้สังคมคอมมิวนิสต์ มันก็ต้องยอมรับในข้อที่ว่าต้องไม่เห็นแก่ตัว เพราะสังคมคอมมิวนิสต์เขาก็ทำลายความเห็นแก่ตัวของคนบางพวก แม้บางทีจะหนักมือไปบ้าง โดยใช้อำนาจ ใช้อย่างนี้มันก็เรียกว่าเขาเกลียดความเห็นแก่ตัวเหมือนกัน และระบบคอมมิวนิสต์ก็ต้องยอมรับว่าความไม่เห็นแก่ตัวคือสิ่งที่เราต้องการ ระบบสังคมนิยมทั้งหลายทุกรูปแบบมันก็ชัดอยู่แล้วว่า ปัญหาของสังคมเกิดเพราะมีพวกหนึ่งเห็นแก่ตัวจนพวกหนึ่งเดือดร้อน สังคมนิยมทุกรูปแบบแม้ไม่ถึงคอมมิวนิสต์มันก็ต้องการความไม่เห็นแก่ตัวมาแก้ปัญหาของสังคม
ทีนี้ระบบประชาธิปไตย ประชาธิปไตยเพ้อเจ้อ หรือประชาธิปไตยแท้จริง มันก็มองเห็นคุณของความไม่เห็นแก่ตัว เห็นโทษของความเห็นแก่ตัว โดยใช้วิธีอะลุ้มอล่วย ค่อนข้างจะไม่มีขอบเขต ระบบประชาธิปไตยจึงกำจัดความเห็นแก่ตัวของสังคมได้ยาก เพราะถือเอาความหมายของคำว่าประชาธิปไตยนั้นอย่างหลับหูหลับตา อย่างเคลิ้มๆ ละเมอๆ ว่ามุ่งหมายจะให้ทุกคนมีอิสรเสรีไปทางความคิดและการกระทำ และเมื่อคนมันมีกิเลสแล้วจะทำอย่างไร มันก็ต้องทำความเห็นแก่ตัวตามเสรี การโต้เถียงกัน การอะไรกัน มันก็ทำอย่างเสรีของบุคคลผู้มีความเห็นแก่ตัว ระบบประชาธิปไตยมันก็ยากที่จะกำจัดความเห็นแก่ตัว แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยอมรับว่าความไม่เห็นแก่ตัวนี้เราต้องการ อยากให้ทุกคนไม่เห็นแก่ตัวด้วยเหมือนกัน จะเป็นประชาธิปไตยเพ้อเจ้อ หรือจะเป็นประชาธิปไตยถูกต้อง มันก็มุ่งหมายจะให้คนไม่เห็นแก่ตัวทั้งนั้น
พวกเผด็จการร้ายกาจทั้งหลาย ทุรราชอะไรก็ตาม แม้ว่าเขาจะเป็นผู้แสดงบทบาทแห่งความเห็นแก่ตัวออกมาอย่างเต็มที่ แต่ในจิตใจของเขาก็ยังมองเห็นอยู่ว่าความไม่เห็นแก่ตัวนั่นแหละมันดี ทั้งที่เขาได้ถือเอาประโยชน์จากความเห็นแก่ตัวอย่างเต็มที่ แต่ความสำนึกผิดชอบชั่วดีมันก็ยังมองเห็นอยู่ว่านี้มันไม่ถูก ความไม่เห็นแก่ตัวนี่เป็นของถูก นี่แปลว่าฝ่ายไหนก็ตามมันจะยอมรับคุณธรรมอันหนึ่งคือความไม่เห็นแก่ตัวว่าเป็นของถูกต้อง มีประโยชน์ หรือเป็นหนทางแห่งสันติภาพ ทุกคนก็ต้องการอย่างนั้น และยังทำไม่ได้ อีกพวกหนึ่งเห็นประโยชน์ของตัวมากเกินไป ไม่ยอมทำเสียเลย ทั้งที่ยอมรับว่าหลักเกณฑ์อันนี้มันถูกต้อง
ทีนี้มาทางฝ่ายศาสนา ทางฝ่ายศีลธรรม นักศีลธรรม นักประเพณี อะไรก็ตามนี้ก็ไม่ต้องพูดแล้ว ยอมรับความไม่เห็นแก่ตัวนี้อย่างเต็มที่ เป็นเรื่องของศาสนาของศีลธรรมโดยตรง คือมีหน้าที่ที่ต้องกำจัดความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ ธรรมะหรือศาสนามันเกิดขึ้นมาก็เพราะเหตุนี้ ด้วยเหตุที่ว่ายุคหนึ่งสมัยหนึ่งมนุษย์เริ่มเห็นแก่ตัว ก็เริ่มมีกฎระเบียบอันนี้ อันเป็นธรรมะสูงสุด ว่าถ้าใครทำลายความเห็นแก่ตัวเสียได้ เป็นพระอรหันต์ไปนิพพานแล้ว นั่นคือไม่มีตัวกันจริงๆ
ทีนี้อยากจะมองตะหลบอีกทีหนึ่งโดยวงรอบๆ ว่า ผู้มีการศึกษาก็ดี ผู้ไม่มีการศึกษาก็ดี ต้องยอมรับว่ามันเป็นความถูกต้อง โดยสามัญสำนึก ถ้าเขารู้จักว่าความเห็นแก่ตัวคืออะไร โดยสามัญสำนึกของคนทุกคนจะมีการศึกษาหรือไม่มีการศึกษา ก็ต้องยอมรับว่าความไม่เห็นแก่ตัวนี้มันถูกต้อง ความเห็นแก่ตัวนี้มันน่าเกลียดน่าชัง ทีนี้ก็ขอให้พวกคุณพิจารณาดูว่าทำไมมันจึงยังไม่มีธรรมะข้อนี้ขึ้นมาครองโลก ทำไมโลกนี้มันจึงถูกครอบครองด้วยความเห็นแก่ตัวอยู่เสมอไป จะแบ่งเป็นสัดเป็นส่วนหรือไม่เป็นสัดเป็นส่วน มันก็กำลังถูกครอบครองอยู่ด้วยความเห็นแก่ตัวเสมอไป ทั้งที่ในใจของทุกคนแต่ละคนมันก็นิยมความไม่เห็นแก่ตัว นี่เป็นเครื่องชี้ให้เห็นว่า ความรู้มันอย่างหนึ่ง การปฏิบัติหรือการกระทำนั้นอีกอย่างหนึ่ง ถ้ามีการบังคับจิตใจ คือบังคับตนเองไม่ได้ มันก็ไม่มีการปฏิบัติ มันจึงไม่สามารถจะปฏิบัติเพื่อให้เกิดความไม่เห็นแก่ตัว ความรู้มันจึงเป็นหมันอยู่ รู้เรื่องความไม่เห็นแก่ตัวก็มีประโยชน์ แต่แล้วก็ไม่มีใครปฏิบัติ คอยทะเยอทะยาน ชะโงกชะเง้อ แต่จะทำไปตามความเห็นแก่ตัว จะเอาอะไรมาเป็นของตัว
นี่คือเป็นสิ่งที่ต้องมองและเข้าใจได้ไม่ยาก เขาไม่เรียกว่าสิ่งที่อาจจะเห็นได้และยอมรับด้วยในส่วนทฤษฎี หรือว่าผู้ที่ยอมรับนั้นก็จะยินดี ยอมรับสำหรับการปฏิบัติด้วย แต่พอถึงคราวเอาเข้าจริงมันปฏิบัติไม่ได้ เพราะมันพ่ายแพ้แก่กิเลสที่เห็นแก่ตัว ซึ่งกำลังมีอำนาจ มีอิทธิพลรุนแรงกว่า
ทีนี้เราจะทำอย่างไร นี่คือตัวปัญหา เมื่อมนุษย์มันมีปัญหาอย่างนี้ จะใช้คำว่าสังคมนี้ดีกว่าอย่าใช้คำว่ามนุษย์เถอะ เพราะมนุษย์นี่ผมเอาไปไว้สำหรับคนที่มีจิตใจสูง มนุษย์ มน อุสสะ อุษยะ จามะ คนที่มีใจสูง ถ้ามีใจสูงมันไม่เห็นแก่ตัวหรอก อย่าใช้คำว่ามนุษย์มาในกรณีอย่างนี้ คนธรรมดาสังคมปัจจุบันนี่มีปัญหา คือเต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัว จนต้องมีอะไรๆ ยุ่งยากลำบากเพิ่มมากขึ้นในการแก้ปัญหา
เมื่อปัญหามีอยู่อย่างนี้พวกหนึ่งก็เสนอการแก้ปัญหาด้วยการบีบบังคับที่เราจะเรียกว่าดอกบัวสีแดงให้มันหลั่งเลือด พวกหนึ่งยังไม่เอายังต้องการจะใช้ดอกบัวสีเหลือง คือการทำความเข้าใจแก่กันและกันด้วยสติปัญญา ทีนี้ก็ลองเปรียบเทียบดู ความเห็นแก่ตัวที่เราจะบีบบังคับเอาด้วยเลือดมันจะไปได้สักเท่าไร มันจะสำเร็จสักเท่าไร หรือว่าสำเร็จลงไปสักขณะหนึ่ง แล้วมันจะกระดกกลับขึ้นมาแรงกว่าเดิมก็ได้ พอหมดอำนาจบังคับมันก็จะลุกแรงขึ้นมากกว่าเดิม และอีกอย่างหนึ่งซึ่งมันละเอียดลงไปกว่านั้นก็คือว่าสิ่งที่เราบังคับให้เขาจำยอมเพราะจิตใจของเขาไม่รู้สึกอย่างนั้นจริงๆ นั้นมันยาก พอหมดอำนาจบังคับมันก็กลับรุนแรงกว่าเดิม หรือบังคับลงไปได้ เมื่อในที่สุดก็ในที่สุดมันก็กลายเป็นว่า อยากจะใช้ความเห็นแก่ตัวนั่นแหละแรงขึ้นไปกว่าเดิม เพราะมันไม่ได้ตัดรากเหง้าของกิเลสชื่อนั้น
ทีนี้เราจะใช้วิธีที่จะไม่บังคับคือให้รู้ธรรมะ ให้เข้าใจธรรมะ ให้กลัวโทษของความไม่มีธรรมะ ให้เห็นแก่ส่วนรวม เพราะมันจะวินาศด้วยกัน มันไม่ใช่วินาศข้างเดียว คงจะมีผู้ยอมรับหรือว่าได้ผลบ้าง และได้ผลเท่าไรมันไม่มีการกลับหลัง มันไม่มีการกระดกกลับหลัง เพราะมันรู้ลงไปถึงรกราก มันมีรกรากที่เปลี่ยนแล้วตามถูกต้องแล้ว ไม่เหมือนการบังคับที่มันไม่เปลี่ยนรกรากของความผิดนั้น พอสิ้นกำลังบังคับมันก็กระดกกลับขึ้นมาแรงกว่าเดิม
นี่ขอให้นึกกันดูว่าเราจะใช้วิธีที่เรียกว่าถือดอกบัวสีแดง หรือว่าถือดอกบัวสีเหลืองกันดี เดี๋ยวนี้ก็มีคนเป็นอันมากคิดว่าดอกบัวสีเหลืองนี้พ้นสมัยแล้วใช้ไม่ได้ ต้องใช้ดอกบัวสีแดง ผมก็ยังยืนยันอย่างเดิมนะว่าลองใช้กันดู มันจะได้ไหม ถ้ากรรมกรฆ่านายทุนตายหมดเกลี้ยงได้ทั้งโลก นี่สมมุติว่า แล้วไม่กี่นาทีกรรมกรเหล่านั้นก็กลายเป็นนายทุนเสียเอง มันจะเป็นอย่างนี้ มันไม่ประสบความสำเร็จ แล้วก็ต้องมีกรรมกรอื่นมาปราบนายทุนชุดที่สองนี้อีก ไม่มีทางจะสำเร็จได้ เพราะมันไม่ถูกทำลายไอรากเหง้าของกิเลสนั้นๆ
ขอให้เอาไปคิดดูว่าปัญหาสังคมของคนในโลกปัจจุบันนี้จะแก้ด้วยอะไร ถ้าไม่ใช่ด้วยธรรมะ คือการทำความเข้าใจซึ่งกันและกันถึงเรื่องของธรรมะ ถึงเรื่องของศาสนา ถึงเรื่องของพระเป็นเจ้า ถูกแล้วเราจะดูว่าความไม่เห็นแก่ตัวนี่มันจะมีทางมาได้อย่างไร ในเมื่อพวกหนึ่งถือศาสนาอย่างมีพระเจ้า พวกหนึ่งถือศาสนาอย่างไม่มีพระเจ้า พระเจ้าในความหมายธรรมดาจะใช้กันอยู่ในภาษาพูดในปัจจุบันนี้ เช่นพุทธศาสนานี้ไม่มีพระเจ้าอย่างนั้น ศาสนาคริสเตียน อิสลาม ฮินดูเขามีพระเจ้า ต่างกันอยู่อย่างนี้ ทั้งสองพวกนี้จะมีความไม่เห็นแก่ตัวได้อย่างไร ถ้าเขาถือลัทธิต่างกันอยู่ ข้อนี้ขอให้มองไปให้ลึกซึ้งเถอะจะพบว่ามันมีได้ พวกที่ถือพระเจ้าถ้าเชื่อพระเจ้า มันก็หักห้ามความเห็นแก่ตัว เพราะทำตามประสงค์ของพระเป็นเจ้า คัมภีร์ของศาสนาที่มีพระเจ้าทุกศาสนาเขาเขียนไว้ชัดเจนทำลายความเห็นแก่ตัว ให้รักเพื่อนบ้าน ให้เห็นแก่ผู้อื่นยิ่งกว่าเห็นแก่ตัวก็มี ถ้าเขาเชื่อพระเจ้าจริง เขาก็ไม่มีความเห็นแก่ตัวได้ เพราะว่าเขาถือว่าพระเจ้าต้องการให้ไม่เห็นแก่ตัว ให้รักเพื่อนบ้าน ศาสนาอย่างศาสนาพุทธนี้ก็มีอยู่หลายศาสนาไม่มีพระเจ้า มันก็ต้องใช้ motive อันอื่น คือความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องตามหลักของธรรมะที่ว่า ความเห็นแก่ตัวเป็นอันตราย ความไม่เห็นแก่ตัวมันเป็นประโยชน์เป็นอานิสงค์เห็นชัดอยู่อย่างนี้ด้วยปัญญา นี่ก็ด้วยอำนาจปัญญานั่นแหละ มันก็ทำให้พอใจที่จะไม่เห็นแก่ตัว นี้เป็นส่วนการคิดนึกหรือเป็นความรู้
ทีนี้มาถึงตัวการปฏิบัติ ต่างฝ่ายต่างก็มีระบอบปฏิบัติ ศาสนาที่มีพระเจ้าก็ต้องปฏิบัติตามประสงค์ของพระเจ้าเสียสละตัวตนไปเลย ก็มีธรรมะของเขาอยู่หลายชั้นหลายระดับ ที่ทำให้เขาเป็นคริสเตียนที่ดีเป็นอะไรที่ดี ส่วนในพุทธศาสนาของเรานี้ก็มีหลายระดับที่จะทำให้มีความไม่เห็นแก่ตัว ธรรมะขั้นศีลธรรมแรกๆ ก็ทำลายความเห็นแก่ตัว แม้แต่ศีลห้านี้ก็ยังทำลายความเห็นแก่ตัว ไปแยกแยะดู ข้อที่หนึ่งไม่ประทุษร้ายชีวิตร่างกายผู้อื่น ข้อที่สองไม่ประทุษร้ายทรัพย์สมบัติผู้อื่น ข้อที่สามไม่ประทุษร้ายของรักของใคร่ของผู้อื่น ข้อที่สี่ไม่ประทุษร้ายความเป็นธรรมของส่วนรวมด้วยวาจา ข้อที่ห้าไม่ประทุษร้ายสติสมปฤดีของตนเอง คือไม่กินน้ำเมา นี่ลองไปปฏิบัติมันจะทำลายความเห็นแก่ตัวอยู่ในตัวโดยอัตโนมัติ ทีนี้พอไปถึงขั้นสูงสุดเรื่องสุญญตา ก็ทำลายความเห็นแก่ตัวสิ้นเชิง
เรามาดูกันอีกทีหนึ่งว่าความไม่เห็นแก่ตัวนี่มันจะมีอยู่สักกี่รูปแบบหรือกี่ระดับ ในชั้นแรกนี่เราจะถือว่าเราจะยกเอาความไม่เห็นแก่ตัว เพราะถูกบังคับอย่างที่ว่าอย่างเลว เป็นอย่างเลวที่สุด ความไม่เห็นแก่ตัวเพราะถูกบังคับ เช่น เราเอาไม่เรียวมาบังคับเด็กๆ ต้องทำอย่างนั้นต้องทำอย่างนี้ ในลักษณะที่ไม่เห็นแก่ตัว หรือลัทธิที่เขาใช้ดอกบัวสีแดงบังคับประชาชนให้อยู่ในระเบียบโดยไม่ต้องเห็นแก่ตัว อย่างนี้ก็เป็นเรื่องบังคับ ผมไม่ได้หมายถึงระบบไหนลัทธิไหนในประเทศในโลกเวลานี้ เพราะเขามีอะไรบ้างเราก็ไม่รู้ พูดเป็นหลักลงไปว่าไอ้พวกหนึ่งต้องมีการใช้การบังคับ นี่ก็ทำให้ไม่เห็นแก่ตัวโดยภายนอก โดยท่าทางภายนอก หรือชั่วระยะหนึ่งที่มีการบังคับ
ทีนี้อันดับที่สองความจำเป็นในตัวเองมันบังคับนี้ก็มีอยู่ แล้วก็มีอยู่ได้ คือ เป็นได้เหมือนกัน บางทีความจำเป็นในหนึ่งมันบังคับให้เราเห็นแก่ตัวไม่ได้ ไม่ใช่เราอยากจะไม่เห็นแก่ตัว เรามันยังเลวอยู่ แต่ความจำเป็นอะไรบางอย่างมันบังคับ มันทำให้เอาเปรียบไม่ได้ เห็นแก่ตัวไม่ได้ มองเห็นอยู่ว่าถ้าเราทำโดยความเห็นแก่ตัวอย่างนั้นแล้วเราก็จะตายทันที ตายเองทันที นี่ทำให้ทุกคนหรือหลายๆ คน กล้าเสียสละ ยอมเสียสละ ทำไปอย่างไม่เห็นแก่ตัว นี่ก็ไม่บริสุทธิ์
ทีนี้อันที่สาม ความไม่เห็นแก่ตัวเพราะมีวัฒนธรรมดี มีศีลธรรมดี มีความเป็นสุภาพบุรุษอยู่ในสันดาน ผมขอร้องให้พวกคุณทุกคนอย่าได้สะเพร่า เลินเล่อ มองข้ามข้อนี้ไปเสีย รู้สึกว่าคนวัยรุ่นสมัยนี้ส่วนมากที่สุดในประเทศไทยเรามองข้ามข้อนี้ไปเสีย จะไปรับเอาลัทธิอื่นมาใช้กับประเทศไทยโดยเห็นว่ามันเหมาะ ผมมีความเห็นไปในทางยืนยันว่าไม่เหมาะ เพราะว่าประเทศไทยเรา มีคนไทยที่มีความเป็นไทยอย่างแบบพุทธบริษัท มีวัฒนธรรมดี มีศีลธรรมดี มีขนบประเพณีดี อยู่ในสายเลือดอยู่มาก แม้ว่าเดี๋ยวนี้จะได้เปลี่ยนแปลงไปก็ยังไม่หมด ยังเหลืออยู่มากโดยเนื้อแท้ โดยสัญชาติ ของเรานี่เรียกว่ายังมีศีลธรรม วัฒนธรรมอยู่ในสายเลือด ความเห็นแก่ตัวมันก็น้อยอยู่เองโดยอัตโนมัติโดยไม่รู้สึกตัว
คนไทยเคยได้รับยกย่องจากชาวต่างประเทศว่าเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ที่สุด นี่มันเป็นเพียงเศษหรือซากที่เหลืออยู่เท่านั้นแหละ ที่พวกฝรั่งมาเห็นแล้วออกข่าวอย่างนั้น ก่อนหน้านั้นบรรพบุรุษของเราเป็นมากกว่านั้น แล้วก็น่า ก็ต้องยอม แล้วก็เสียใจ รู้สึกเสียใจ หรือจะเรียกว่าอะไรก็ได้ว่าพวกคุณไม่มีโอกาสจะเห็น ก็มีอายุเพียงยี่สิบปี สามสิบปี หรือสี่สิบปี นี่มันจางมากแล้ว มันต้องเลยนั้นไป อย่างผมนี่ ผมจะกล้าท้าว่าเคยเห็น เพราะเดี๋ยวนี้อายุเจ็ดสิบปีเศษแล้ว เคยเห็นที่ว่าคนไทยมีความไม่เห็นแก่ตัว เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ อยู่โดยกำเนิดโดยประเพณี มีเครื่องแสดงออกอะไรเต็มไปหมด ก็อย่างเช่นว่าเมื่อก่อนนี่เขายังมีน้ำวางไว้ให้กินหน้าบ้าน เดี๋ยวนี้ไม่มี การต้อนรับขับสู้ การให้กินอาหาร การอะไรอย่างที่เรียกได้ว่ามีน้ำใจกว้างทั้งที่ไม่รู้จักกันนี้ เดี๋ยวนี้มันไม่มี ช่วงห้าสิบหกสิบปีนี้หายๆ ไปหมด ที่เรียกว่าโรงทานนั้นก็หายไป ศาลาทานนั้นก็หายไป ตอนผมเด็กๆ นั้นยังเห็นมีอยู่ ไอ้ศาลาที่เขาทำให้คนเดินทางพัก ไม่ใช่มีเพียงน้ำกิน มีข้าวปลา มีปลาแห้งมีอะไรอยู่ในที่เก็บที่ศาลานั้นเอง ยังเคยเห็นไม่ใช่ว่าเป็นเรื่องเล่า เดี๋ยวนี้ไม่มี เดี๋ยวนี้ที่ไหนก็ไม่มี เห็นไม่ได้ ไม่อาจจะเห็นได้ เพราะผู้ที่จะทำอย่างนั้นมันก็ไม่ทำเพราะเห็นแก่ตัว และถ้าขืนทำอย่างนั้น คนเอาหมดเลย นาทีเดียวมันก็ขโมยไปหมด เพราะคนมันเห็นแก่ตัว ถ้าเป็นสมัยก่อนโน้นมันอยู่ได้ เคยเห็นที่ศาลานั้นมีข้าวสาร มีปลาแห้ง มีเครื่องครัวแห้งๆ เราก็ถามผู้ใหญ่ นี่อะไรกัน เขาก็บอกว่าอย่างนั้นๆ แหละ ที่ว่าคนมันเหน็ดเหนื่อยมา มันได้หุงข้าวกิน ที่ผมเห็นนั้นที่บ้านเกิดที่ตำบลท่าฉาง เมื่อผมเด็กเล็กๆ
นี่ตัวอย่างที่ว่าขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรมในสายเลือดของคนไทย มันมีความไม่เห็นแก่ตัวอยู่ในนั้น มันจึงแสดงออกมาโดยอัตโนมัติ โดยไม่ต้องมีใครชักจูงชี้แจง ถึงเดี๋ยวนี้ก็ยังไม่หมด เพราะมันยังมีอยู่ในสายเลือด หรือมันไม่แสดงให้เห็น ก็ต้องยอมรับว่ามันแปลกจากชนชาติอื่น เผ่าอื่น เหล่าอื่น ที่อื่น ที่มันไม่มีความเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นอย่าไปใช้ดอกบัวสีแดงแก่คนไทยที่มีเลือดเนื้ออย่างนี้เลย ไปตามใช้ดอกบัวสีเหลืองกันไปก่อนเถอะ มันมีเชื้อแห่งธรรมะที่จะพูดกันรู้เรื่อง หรือจะเข้าใจกันได้ เสียสละได้
ความไม่เห็นแก่ตัวมาจากการความที่มีวัฒนธรรมดี ศีลธรรมดีอยู่ในสายเลือด นี่ก็สูงขึ้นมาตามลำดับ จะสูงขึ้นมาอีกจะต้องเป็นผู้ที่ปฏิบัติธรรมในระดับใดระดับหนึ่ง ปฏิบัติธรรมตามหลักของพระศาสนามีพระเจ้าก็ได้ ไม่มีพระเจ้าก็ได้ เขาก็มีความไม่เห็นแก่ตัวสูงขึ้นไปๆ แต่สูงสุดอยู่ที่ผู้ประพฤติปฏิบัติธรรมที่เนื่องด้วยสุญญตา
ปฏิบัติธรรมประเภทที่เนื่องอยู่ด้วยสุญญตา คนนี้จะมีความไม่เห็นแก่ตัวสูงสุดดีขึ้นๆ สูงสุดจนเป็นพระอรหันต์ หมดความรู้สึกว่าตัว หมดความรู้สึกว่าของตัว ไม่มีทางที่จะเห็นแก่ตัว ถ้าธรรมะข้อนี้กลับมาในเวลานี้ ในยุคนี้ โลกนี้ก็เป็นโลกพระศรีอารย์ทันที ในพริบตาเดียว ถ้ามันกลับมาในพริบตาเดียว ไอ้โลกนี้ก็จะเป็นโลกพระศรีอารย์ทันทีในพริบตาเดียว
ความหมายของโลกพระศรีอารย์นั้นก็คือว่าสมบูรณ์ทั้งสองฝ่าย ทั้งฝ่ายจิตและทั้งฝ่ายวัตถุ เดี๋ยวนี้มันมีแต่สมบูรณ์ฝ่ายวัตถุจนเฟ้อ ฝ่ายจิตมันไม่มี ในครั้งพุทธกาลสมัยพระพุทธเจ้าของเราก็สมบูรณ์แต่ฝ่ายจิต ฝ่ายวัตถุมันยังขาดอยู่มาก ฉะนั้นเขาจึงไม่เรียกว่าศาสนาพระศรีอารย์ ศาสนาของพระพุทธเจ้าพระองค์นี้ที่เราเป็นสาวกท่านอยู่นี่ ยังไม่เรียกว่าศาสนาพระศรีอารย์ คือมันสมบูรณ์โดยทางจิตใจ ไม่สมบูรณ์ทางวัตถุ ถ้าเผอิญว่าความสมบูรณ์ทางจิตใจมันมาในเวลานี้ ทางวัตถุมันสมบูรณ์อยู่แล้วจนเฟ้ออยู่แล้วมันก็เลยสมบูรณ์ในทางฝ่ายวัตถุและจิตใจ ความถูกต้องฝ่ายจิตใจก็จะควบคุมวัตถุทั้งหลายไม่ให้เป็นภัย ไม่เห็นเป็นอันตรายเป็นที่ตั้งแห่งกิเลส วัตถุที่เจริญมากนี่ก็รับใช้มนุษย์อย่างถูกต้อง ไม่เป็นไปเพื่อกิเลส เราก็สะดวกในส่วนวัตถุ สบายในส่วนวัตถุ จิตใจก็มีธรรมะดีอยู่แล้ว ก็เลยดีหรือสมบูรณ์ทั้งฝ่ายจิตใจและวัตถุนี้ เราเรียกว่าศาสนาพระศรีอารย์ ตามหลักของพระคัมภีร์ เดี๋ยวนี้เราทำไม่ได้ ถ้าทางจิตใจมันเลวลง เลวลง เลวลง เท่ากับที่ทางฝ่ายวัตถุมันเจริญขึ้น เจริญขึ้นท่วมทับ จะแก้ปัญหาข้อนี้อย่างไร ถ้าแก้ด้วยดอกบัวสีแดงไม่มีวันไปพบกันกับศาสนาพระศรีอารย์ เพราะมันเป็นการกระทำไปด้วยความเห็นแก่ตัวอย่างมุทะลุดุดัน หรือว่ามันเข้ากันไม่ได้
การฆ่าการทำให้หลั่งเลือดนี้ มันมีอยู่สองความหมาย ถ้าลงโทษคนผิดที่ควรตายนั้นก็ไม่เป็นไร นั้นไม่ใช่ดอกบัวสีแดง คนนี้ทำผิดควรจะประหารชีวิต จะฆ่าเขาให้ตาย อย่างนี้ไม่ใช่ความหมายของการใช้ดอกบัวสีแดง การใช้ดอกบัวสีแดงหมายความว่าเกี่ยวกับอุดมคติ เกี่ยวกับลัทธิ แล้วก็ยกพวกฆ่ากัน โดยที่สองฝ่ายนั้นมีความเห็นขัดแย้งกัน เราไม่ถือว่าไอ้พวกที่ไม่ยอมปฏิบัติธรรมะอย่างถูกต้องนี้เป็นอาชญากรแล้ว อย่าได้ถืออย่างนั้นเลย มันมากนัก เขายังไม่ได้เป็นอาชญากรเพราะเหตุที่ว่าเขาไม่ยอมปฏิบัติธรรมะ มันยังอยู่ในระดับที่ต้องชี้แจงให้เขาเข้าใจและยอมปฏิบัติธรรมะ อย่าเพิ่งฆ่าเขาเลย เขายังไม่เป็นอาชญากร แต่ถ้าเขาเป็นอาชญากรทำผิดแล้วก็ศาลตัดสินได้ตามกฎหมายประหารชีวิตได้ กี่คนก็ได้ กี่ร้อยกี่พันคนก็ได้ นั้นมันคนละเรื่อง
ปัญหาของสังคมที่มีอยู่ในเวลานี้ก็เพราะวัตถุมันเฟ้อ และวัตถุชนิดนี้ล้วนแต่สร้างความเห็นแก่ตัว เพิ่มความเห็นแก่ตัว นั่นจึงเต็มไปด้วยคอรัปชั่นทั้งหลาย หนทางที่ดีก็คือเพิ่มฝ่ายที่มันยังขาดอยู่ คือฝ่ายจิตใจ ฝ่ายธรรมะ ชี้แจงกันให้เห็น ให้เข้าใจก็จะเกิดความกลัวกันขึ้นมา ร่วมมือกันแก้ไขในส่วนของจิตใจ คงจะมีสักวันหนึ่งที่ทำความเข้าใจกันได้ ไปเพิ่มความก้าวหน้าทางจิตใจ จนกว่าจะทันความก้าวหน้าทางวัตถุ หรือทางวัตถุกำลังออกหน้า กำลังเฟ้อ เป็นตัวปัญหาหรือเป็นต้นเหตุของปัญหาของสังคม แต่ทำไมเราจึงพูดกันไม่รู้เรื่อง ทุกคนเห็นแก่ตัว ก็เพราะว่าความเจริญด้วยวัตถุนั้นมีเสน่ห์อย่างรุนแรง ดึงจิตใจของเขาไปให้หลงใหล แล้วมันก็สร้างความเห็นแก่ตัว
การที่พวกคุณอุตส่าห์มาที่นี่ ก็เพื่อศึกษาธรรมะ ศึกษาธรรมะทำไมกัน ศึกษาธรรมะอะไร อย่างไร หรือเท่าไร ขอให้ลองคิดดู ถ้ามันเป็นไปอย่างถูกต้อง มันก็ต้องศึกษาธรรมะนี้แหละ ธรรมะที่จะช่วยโลกได้ ตัวเราอย่านึกถึง ถ้าคิดว่าช่วยโลกได้แล้ว เราไม่ไปไหนเสีย หรือช่วยสังคมได้ก็ได้ ตัวเราอย่านึกดีกว่า ถ้ามันช่วยสังคมได้ ไอ้เรามันก็ด้วย เพราะเราเป็นหน่วยหนึ่งของสังคม ไปมัวนึกแต่ตัว บางทีมันเผลอ ระวังไม่ดี ระวังไม่ทัน มันจะวกกลับไปเป็นความเห็นแก่ตัว มันจะยุ่ง
บางคนก็คัดค้านว่าหลักพุทธศาสนานี้สอนให้เห็นแก่ตัวก่อน แล้วสอนให้เห็นถึงผู้อื่นทีหลัง นั้นมันเป็นเรื่องไปนิพพาน ถ้าเป็นเรื่องช่วยกันแก้ไขปัญหาของสังคมเฉพาะหน้าแล้วก็ทิ้งตัวเสียก่อนดีกว่า ไปเห็นแก่สังคม ไปยึดเอาสังคมเป็นตัว ถ้าเก่งกว่านั้นก็ยึดเอามนุษย์ทั้งหมดเป็นตัว เอาคนทั้งโลกเป็นตัว นั่นแหละแก้ปัญหาของตัวอย่างนี้ก็ดีเหมือนกัน
เดี๋ยวนี้มันไม่ใช่อย่างนั้น มันมีกิเลสเป็นตัว ก็มีตัวกูตัวสู พูดกันไม่รู้เรื่องว่าสัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น นี่พูดกันไม่รู้เรื่อง ถ้าเมื่อไรมันพูดกันรู้เรื่องด้วยประโยคนี้ละก็เมื่อนั้นหมดปัญหาแน่ สัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น สัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ลองท่องดูบ่อยๆ มันจะต่อคำพูดออกไปว่า อย่าเห็นแก่ตัวกูตัวสูกันนักเลย เพราะมันเป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น มันก็จะไม่เห็นแก่ตัวกูหรือตัวสู มันเห็นเป็นตัวเดียวกัน ไม่มีมึง ไม่มีกู มันเห็นเป็นตัวเดียวกันเสีย ความมุ่งหมายของธรรมะก็ต้องการอย่างนี้ ให้ทุกคนมองเห็นชีวิตทั้งหมดเป็นตัวเดียวกันเสีย ไอ้ตัวกูของกิเลสว่างไปนั่นแหละคือสุญญตา เหลืออยู่แต่ตัวคือจิตที่เข้าถึงสุญญตา ปราศจากความรู้สึกที่เป็นตัวกูเป็นของกู คำว่าตัวนี้มันทำความยากลำบากให้แก่คนในปัจจุบันนี้มาก ข้อนี้พวกคุณอาจจะยังไม่รู้ไม่ทราบก็ได้นะ
พุทธศาสนานี้มีระบบพูดจาหรือการวางหลักเกณฑ์ไปทางหนึ่ง คือไปในทางที่จะไม่ให้มีตัว ให้เห็นเป็นธรรมชาติของธรรมชาติล้วนๆ ไม่มีตัว แต่ก็ไม่วายที่จะบอกว่ามีตัวธรรมชาติ คือตัวธรรม ที่ไม่ให้มีตัวนั้นไม่ให้มีตัวของกิเลส ของมิจฉาทิฏฐิ แต่ถึงอย่างไรก็ดีพุทธศาสนานั้นถือเป็นหลักว่า ปฏิเสธความมีตัว ไม่ยอมให้มีตัว ให้เป็นธรรมชาติไปก็ตามใจ แต่ว่ามีศาสนาอีกหลายศาสนาอีกกลุ่มหนึ่ง หากแม้ในประเทศอินเดียด้วยกัน เขาไม่ใช้คำนี้ เขาไม่ใช้คำว่าไม่มีตัว เขาใช้คำว่ามีตัวที่แท้จริง และเป็นอนันตะ เป็นนิรันดร ฝ่ายที่ตรงกันข้ามกับพุทธศาสนาเขาพูดอย่างมีตัว เป็นของนิรันดร ก็แปลว่าเขาเว้นยกเลิกไอ้ตัวกิเลสที่มันต่ำ ไม่ใช่ตัวเดียวกัน ศาสนาที่ว่ามีตัวมีปรมาตมันมีอะไรนั่น เขาจะปฏิเสธตัวที่เกิดมาจากเวทนาผูกจิตใจแล้วเกิดปัญหา เกิดอุปาทานเป็นตัว อันนี้เหมือนกัน เขาก็ปฏิเสธเหมือนกัน แต่เขามีหลักที่วางไว้ว่าเราจะเข้าไปสู่ความมีตัวที่แท้จริงและนิรันดร
นี่ถ้าไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริงแล้วจะเห็นว่ามันขัดกันแล้ว มันอยู่ด้วยกันไม่ได้แล้ว คนหนึ่งมันจะมีตัว คนหนึ่งมันจะไม่มีตัว ไม่มีทางที่มนุษย์หรือสัตว์มีชีวิตทั้งหลายจะรวมเป็นตัวเดียวกันได้ คนหนึ่งมันถือว่ามีตัว คนหนึ่งมันถือว่าไม่มีตัว อย่าเข้าใจอย่างนั้น ขอให้เอาตัวชนิดเลวที่สุดของกิเลสตัณหา ตัวกูของกู ออกไปเลย เหลืออะไร มันก็รวมกันได้ ไอ้เราเหลือสุญญตา มันก็เป็นนิรันดรไปรวมกับปรมาตมันนิรันดรของฝ่ายฮินดูเวรัญตะ อะไรได้
พูดสั้นๆ ย้ำอีกทีหนึ่งว่าอย่ามีตัวกูที่กำลังมีอยู่นี่ ทำลายตัวกูนี้ให้หมด แล้วมันจะเหลืออะไรอยู่นี่มันจะเข้ากันได้ ตัวกูชนิดนี้เหมือนกันหมดไม่ว่าของชาติไหน ศาสนาไหน โดยที่แท้จริงแล้วมันมาจากอารมณ์ที่มากระทบแล้วถูกใจ รักก็หลงใหล ก็เป็นปัญหา เป็นอุปาทาน เป็นตัวกูเป็นของกู นี่เป็นเหตุที่ทำให้เราไม่เมตตา ไม่กรุณา ไม่ช่วยเหลือ เกิดเป็นปัญหาสังคมขึ้นมา นายทุนก็มีตัวกู ชนกรรมาชีพก็มีตัวกู มีตัวกูที่ขัดกัน มีประโยชน์ก็ขัดกัน จนต้องห้ำหั่นกัน ถ้าอย่ามีตัวกูนี้ ผมก็เคยพูดหลายหนแล้ว คุณก็คงจะได้ยินบ้างแล้ว แต่ก็ยังอยากจะพูดซ้ำหรือย้ำ พอไม่มีตัวกูวันนี้ ตัวกูที่เลวชนิดนี้ ที่มาจากความรู้สึกทางวัตถุทางเนื้อหนัง อย่ามีก็มีธรรมะ ตัวกูนั้นไม่มีธรรมะ ซึ่งใครจะเรียกว่าตัวกูก็ได้ ไม่เรียกตัวกูก็ได้
นายทุนก็จะเปลี่ยนเป็นเศรษฐีใจบุญ กรรมกร ชนกรรมาชีพ กำลังมุทะลุก็จะเปลี่ยนเป็นลูกหลานที่เชื่อฟัง หรือว่านอนสอนง่าย มันกลายเป็นพ่อแม่กับลูกหลานไปเสีย ช่องว่างนั้นก็เต็มขึ้นมาเองทันที ไม่มีช่องว่างคือไม่มีปัญหาชนชั้น ถ้าธรรมะเข้ามาช่องว่างไม่มี มันอุดเต็มเสียเอง ธรรมะนั้นมันอุด นายทุนปราศจากความเห็นแก่ตัว ที่ทำให้กอบโกยจนไม่ดูหน้าใคร กรรมกรก็มีธรรมะแล้วก็ไม่ต้องผูกอาฆาตนายทุนก็ยกตนขึ้นมาได้โดยธรรมะที่สมบูรณ์ โดยความช่วยเหลือของเศรษฐีใจบุญที่เกิดมาจากนายทุนที่ตายไปแล้ว โลกก็จะไม่มีช่องว่าง อย่างนี้เรียกว่าเราใช้ดอกบัวสีเหลือง เราไม่ใช้ดอกบัวสีแดง ถึงไม่เหมาะแก่คนไทยเรา ที่มีเลือดเนื้อเชื้อไขอยู่อย่างนี้
นี่ผมก็พยายามที่จะให้เข้าใจเรื่องปัญหาของสังคมและสิ่งที่จะแก้ปัญหาของสังคม อย่างสุดความสามารถที่จะพูดได้แล้ว จะนึก จะคิด จะเอามาพูด จะเอามาอธิบาย ให้เห็นครอบปัญหาสังคมในโลกปัจจุบันนี้ทั้งโลก ต้องแก้ด้วยธรรมะที่เรียกว่าสุญญตา หรือเนื่องอยู่ด้วยสุญญตา ขจัดความเห็นแก่ตัวทั้งหลายออกไปให้หมดสิ้น ที่เลวมากก็เรียกว่าอะไร Selfishness Selfishness ความเห็นแก่ตัวที่เลวมาก ที่เป็นอันธพาล นี่ความเห็นแก่ตัวที่ดีตามธรรมชาติ ตามปกติ แต่ก็ยังมีโทษที่เรียกกันว่า Egoism Egoism มันรู้สึกว่ามันมีตัวเห็นแก่ตัวตามสัญชาตญาณ นี้ถ้าว่าเป็น Selfishness มันความเห็นแก่ตัวที่เลวร้าย ที่เกิดมาจากสิ่งแวดล้อมที่ผิดที่เลวร้าย นี้กิเลสอย่างเลว เดี๋ยวนี้ที่เรามีปัญหาอยู่มากนี่มันจากตัวกูที่เลวร้ายชั้นเลวร้าย ชั้นเลวร้าย เสียงหาย นาทีที่ 1:07:34 ถึง 1:08:10
ชั้นเลวร้าย คือชั้นที่เรียกว่า Selfishness ถ้าอันนี้หมดไป ความเลวร้าย วิกฤตการณ์ทั้งหลายในโลก ที่เลวร้ายหรืออาชญากรรมทั้งหลายก็จะหมดไป ที่นี้ก็เหลือชั้นดี ตัวกูชั้นดีคือ Egoism ตามธรรมชาติ อันนี้มันมีหวังที่จะเปลี่ยนมันเสียได้ จะ Sublimate (นาทีที่ 1:08:40) ให้มันมาเป็นตัวกูที่อยากดีได้ ที่เราอยากดี เพราะเห็นแก่ตัว รักตัว สงวนตัว และอยากจะทำดี มันเอามาจาก Egoism นั้นเป็นพื้นฐานอยู่กลางๆ ส่วน Selfishness นี้ไม่มีทางที่จะไป ไปนั่นมันได้ มันต้องตัดขาดฆ่าให้ตายไปเลย ความเห็นแก่ตัวชั้นธรรมชาติ ชั้นสัญชาตญาณนั้น อุตส่าห์พัฒนามัน คือ Develop หรือว่ายิ่งกว่านั้นคือ Sublimate คือเปลี่ยนกระแส เปลี่ยนความหมายอะไรของมันมา มันก็มาเป็นตัวกูที่ดี คือมีธรรมะ แต่ยังไม่ใช่หมดตัวกู มันยังไปนิพพานไม่ได้ ตัวกูที่ดี แต่มีประโยชน์แล้วเหมาะสมแล้วที่จะอยู่ในโลกนี้ ที่จะทำให้โลกนี้มีสันติภาพ ตัวกูที่ดี
ทีนี้ก็มาถึงธรรมะชั้นละเอียดที่ต้องศึกษาจึงจะมองเห็น ว่าแม้เราจะมีตัวกูที่ดี มันก็ยังหนัก เพราะมีความยึดถือตัวกู มันก็ยังเป็นทุกข์อันละเอียดประณีตอีกแบบหนึ่ง แต่มันเป็นคนที่ดีขึ้นมาแล้ว ไม่ต้องเอาไปเปรียบเป็นพระอริยะเจ้าขั้นเข้มข้นหรอก จนกระทั่งไม่มีความรู้สึกว่าตัวกูชนิดไหนเหลืออยู่เลย ถึงระดับสุดท้ายที่เรียกกันว่าพระอรหันต์ ไม่มีความรู้สึกใดๆ ที่เป็นความหมายแห่งตัวกู
สรุปความอีกทีหนึ่งสั้นๆ ว่า ปุถุชนชั้นเลว อันธพาลนี่มันมีตัวกูประเภท Selfishness คนธรรมดาสามัญหรือว่าคนที่ดีนี้มันก็มีตัวกูประเภท Egoism ที่ควบคุมไม่ได้ อยู่ในฐานะที่ไม่เป็นอันตราย แต่แล้วก็ยังมีความทุกข์เป็นส่วนตัว ต้องทำให้หมดไปโดยความรู้ที่ถูกต้องคือธรรมะที่เนื่องด้วยสุญญตานั่นเอง ดูเหมือนว่าจะไม่มีหนทางที่จะแก้ไข Selfishness เลวทรามนั้นได้ด้วยความรู้เรื่องสุญญตา ทว่าถึงขนาดนั้นแล้วมันไม่ฟังเสียงอะไรหมด ฆราวาสที่จะใช้ความรู้เรื่องสุญญตาได้นั้นต้องเรียกว่าเป็นฆราวาสที่ไม่ใช่อันธพาล เป็นฆราวาสที่หวังสันติสุข สันติภาพ ความสงบสุขอันแท้จริง นี่พอจะพูดกันรู้เรื่องที่จะเริ่มใช้ความรู้ของสุญญตาให้เป็นประโยชน์ได้
สรุปแล้วเมื่อปัญหามันอยู่ในสถานะที่จะแก้ได้ ก็ต้องแก้ด้วยความรู้เรื่องด้วยธรรมะเรื่องสุญญตา คือเป็นธรรมสัจจะอันสูงสุดของธรรมชาติ มีอยู่ตามธรรมชาติ เข้าถึงธรรมสัจจะนี้แล้ว ความรู้สึกต่ำทราม ที่เป็นตัวกูตัวสู เห็นแก่กูนี้มันมีไม่ได้ ขอให้นึกถึงการบรรยายวันแรกที่พูดถึงสุญญตาในหลายรูปแบบ สุญญตาคือความว่างจากตัวกูของกูเรียกว่าสุญญตา ภาวะของจิตที่ว่างจากความหมายมั่นเป็นตัวกูของกูนี้ก็เรียกว่าสุญญตา หรือว่าเมื่อเห็นปฏิจจสมุปบาทอยู่โดยสมบูรณ์ถึงที่สุดก็คือเห็นสุญญตา ว่าไม่มีตัวตนมีแต่กระแสแห่งปฏิจจสมุปบาท หรือเมื่อเห็นธรรมคือเห็นธรรมชาติอันแท้จริง ความสมดุลของสติปัญญาตามธรรมชาติแล้วก็ไม่เห็นตัวกูเหมือนกัน จะเห็นว่างเหมือนกัน เมื่อจิตเข้าถึงธรรมชาติอันนั้น ก็เรียกว่าเป็นตถาคตขึ้นมา ผู้ที่เข้าถึงซึ่งตถา คือผู้ที่เข้าถึงซึ่งสุญญตานั่นเอง พระตถาคตแปลว่าผู้ถึงซึ่งตถา คำนี้ใช้ลงมาถึงใครก็ได้แม้ไม่ใช่พระพุทธเจ้า ถ้าเขาเข้าถึงตถา คือเป็นสุญญตานี้แล้ว ก็เรียกว่าตถาคตได้ทั้งนั้น นี่เรียกว่าความว่างหรือสุญญตา คำสอนใดๆ หรือการปฏิบัติใดๆ ที่มันเป็นไปเพื่อสุญญตา คือระบบคำสอนหรือระเบียบปฏิบัติ ที่จะแก้ปัญหาในโลกได้ ปัญหาของสังคมทุกรูปแบบ ปัญหาที่กำลังเผชิญหน้าอยู่คือปัญหาชนชั้น
ฉะนั้นเป็นอันว่า หวังว่าพวกคุณคงจะพอมองเห็นแล้วว่าดอกบัวสีเหลืองจะแก้ปัญหาได้อย่างไร และดอกบัวสีเหลืองนี้ ไม่ใช่ยาหอม หรือยาแอสไพริน ที่จะใช้กลบเกลื่อนอะไรเล็กๆ น้อยๆ ไปพลาง พวกที่นิยมดอกบัวสีแดงเขาหาว่าดอกบัวสีเหลืองนี้เป็นเพียงยาหอมหลอกเด็กชั่วขณะ เราพิจารณาดูสิว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงหรือไม่ พวกที่เขาไปหลงดอกบัวสีแดงจนเลือดเข้าตาตัวเอง แล้วก็พูดว่าดอกบัวสีเหลืองนี่มันไม่เคยแก้ปัญหาได้เลยเป็นพันๆ ปีมาแล้ว ดูที่เขาพูดสิ นี่ไอ้คนมันไม่มองเห็นอะไร ไอ้ตามันเลือดเข้าตาไปแล้วมันก็จะมองเห็นไปในทำนองที่ว่า ไอ้ดอกบัวสีเหลืองตั้งแต่เกิดขึ้นมานี้ไม่แก้ปัญหาอะไรของโลกได้เป็นพันๆ ปีมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้ ดังนั้นเราจะใช้ดอกบัวสีแดง นี่ลองคิดดู มันเหมือนกับว่ามันจะไม่ยอมท่าเดียว จะไม่ยอมรับฟังความคิดเห็น การที่เขาพูดอย่างนั้นมันไม่ถูก ดอกบัวสีเหลืองมันไม่เคยเป็นหมัน แต่มันทำให้มีความปกติสุขเรื่อยๆ มา เรื่อยๆ มา เรื่อยๆ มา แล้วมันไม่มีอะไรพิสูจน์ว่ามันอยู่ได้ด้วยอำนาจทั้งดอกบัวสีเหลือง คือความปกตินี้ เราจะไม่ค่อยมองเห็นว่ามันมีเหตุปัจจัยอะไรอยู่มันจึงปกติ เราจะมักเข้าใจว่ามันปกติเองตามธรรมชาติเอง นี่มันไม่ถูก เพราะมันมีเหตุปัจจัยของความปกตินี้ ไอ้สภาพปกติมันจึงยังมีอยู่ สิ่งที่เรียกว่าดอกบัวสีเหลืองมันช่วยทำให้โลกเป็นปกติหรือสงบราบคาบมาตั้งแต่เมื่อมันเกิดขึ้นมา ในความรู้ความคิดในมันสมองของบุคคลเช่นพระพุทธเจ้า ดอกบัวสีเหลืองขนาดเล็กๆ มันก็ได้เกิดขึ้นแล้วก่อนพระพุทธเจ้า จนกระทั่งพระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ แล้วก็พบดอกบัวสีเหลืองที่พอที่จะแก้ปัญหาของสังคมทั้งหมดได้จริง และท่านยังมีดอกบัวที่ดีกว่านั้นคือดอกบัวสีขาว คือไม่เหลือง ไม่แดง ไม่เขียว ไม่ม่วง ไม่อะไร ซึ่งสุญญตาโดยสมบูรณ์
พูดถึงดอกบัวแล้วไหนๆ ก็พูดกันเสียให้หมด ว่าดอกบัวสีเหลืองมันอยู่ตรงกลาง ถ้าซ้ายมาทางนี้เป็นสีแดง จนกระทั่งต่ำกว่าแดง สุดสเปกตรัมทางนี้มันเป็นสีน้ำเงินหรือสีม่วง นั้นพวกนายทุน สีแดงนี้พวกชนกรรมาชีพที่กระหายเลือด สีเหลืองมันอยู่ตรงกลาง มันจะกลืนสิ่งทั้งสองข้างนี่ให้หายไป ให้กลายเป็นสีขาว แบบทฤษฎีสเปกตรัมเมื่อสีทุกสีรวมกันหมดมันก็เป็นสีขาว สีแดงข้างซ้าย สีเหลืองตรงกลาง สีม่วงข้างขวา รวมกันแล้วก็เป็นสีขาว เป็นพระอรหันต์กันหมดเลย อย่าเอาถึงขนาดนั้น ให้มันอยู่ได้ด้วยดอกบัวสีเหลือง คือมีสันติสุข สันติภาพ พอสมกับมนุษย์ธรรมดาก็แล้วกัน ไม่ใช่ระดับพระอรหันต์
ทีนี้ปัญหาที่จะทำความเข้าใจกันไม่ได้ก็คือเรื่องกรรม สัตว์จะต้องเป็นไปตามกรรม ตามหลักธรรมะเราจะต้องยอมให้สัตว์เป็นไปตามกรรม จะให้เหมือนกันเท่ากันเหมือนกับเอาไม้มาตัดหัวตัดท้ายให้เท่ากันนี้ ทำไม่ได้ พวกคอมมิวนิสต์หรือพวกไหนเขาก็ว่าเขาจะทำได้ก็ตามใจเขา เราเห็นไม่เห็นมันไม่มองเห็นได้ว่าจะทำให้คนทุกคนเสมอกันหรือเท่ากัน ถ้าเรายอมรับหลักกรรมที่ทำให้ต่างกัน นี่จะพูดกันไม่รู้เรื่องก็ตรงนี้ ถ้าเรายอมรับว่าคนต่างกันโดยกรรม มันก็ต้องมีคนมั่งมีและคนยากจน แต่ทั้งสองฝ่ายประกอบไปด้วยธรรมะ และปัญหาก็ไม่มี คนมั่งมีก็เป็นพ่อแม่ คนยากจนก็เป็นลูกหลาน อยู่กันได้แม้ต่างกันโดยกรรม คนหนึ่งร่ำรวย คนหนึ่งยากจน แต่อยู่กันได้ก็ธรรมะนั้น คนมั่งมีเป็นพ่อแม่ คนยากจนเป็นลูกหลาน แล้วไม่มองเห็นว่าจะทำให้คนทุกคนร่ำรวยเสมอกันหมดได้ ไม่มองเห็นเลย ไม่มองเห็นจริงๆ นั้นจึงไม่อาจจะยอมเข้าใจยอมรับระบบที่จะทำให้ทุกคนเหมือนกัน
นี่ความคิดหรือคำพูดอย่างนี้มันเกิดขึ้นมาเพราะตีความหมาย ในข้อความเรื่องราวของพระศรีอารย์ผิดพลาด เรื่องราวที่เกี่ยวกับศาสนาพระศรีอารย์นั้นมีว่า ผู้คนลงจากเรือนแล้ว ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ลงเรือนของตัวมาแล้ว อยู่กลางถนนก็ตาม ที่ไหนก็ตาม ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร มันเหมือนกันไปเสียหมด แล้วต่อเมื่อกลับไปที่บ้าน ไปถึงบ้านตัวอีกที จึงรู้ว่านี่บ้านของเรา นี่สามีของเรา ภรรยาของเรา ลูกของเรา พอออกไปที่ถนนมันเหมือนกันหมดจนจำกันไม่ได้ ขอให้รู้ว่านี่มันเป็นคำพูดที่อุปมาคุณค่าของความมีศีลธรรมเสมอกัน แต่จะเหมือนกันโดยรูปร่าง โดยความมั่งมี ยากจน ถ้าเหมือนกันนั้นมันเป็นไปไม่ได้มันตีความหมายของพระบาลีนั้นผิด แล้วมาพูดอย่างที่จะถูกไม่ได้ แล้วมันไม่ต้องรับผิดชอบมันพูดเท่านั้น ว่าเราจะทำให้ทุกคนเสมอกัน แม้แต่เดี๋ยวนี้ที่ว่าระบบประชาธิปไตยเพ้อเจ้อนั้น มันไม่ใช่ทุกคนมีสิทธิเท่ากันนั้น มันเป็นไปไม่ได้ ทุกคนมันไม่เหมือนกัน ไม่เท่ากัน โดยอะไรอีกหลายๆ อย่าง แต่เราจะทำให้เสมอกันได้ โดยความมีศีลธรรม คนจน คนมั่งมี คนครึ่งๆ กลางๆ ผู้หญิง ผู้ชาย เด็ก ผู้ใหญ่ เหมือนกันหมดโดยความมีศีลธรรม นี่ที่ออกไปกลางถนนแล้วจำไม่ได้ว่าใครเป็นใคร ต้องกลับเข้าบ้านเสียก่อนจึงจะรู้ว่าใครเป็นใคร
ปัญหาเรื่องคนจนเกลียดชังคนมั่งมี หรือคนมั่งมีไม่มีปราณีปราศรัยคนจน นี้ก็ควรจะหมดไป เพราะมีธรรมะที่ถูกต้อง พวกที่ถือดอกบัวสีแดงจะเอาอะไรที่ไหนมาที่จะทำให้ทุกคนเหมือนกันหรือเท่ากันได้ ถามดู นี่สิ่งที่น่าหัวอีกอย่างหนึ่งคือเขาถือว่าการใช้ดอกบัวสีแดงนี้เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เสียแล้ว มาถึงยุคนี้ เราหลีกไม่ได้แล้วที่จะไม่ใช้ดอกบัวสีแดง คือจะไม่ฆ่าล้างกัน มันจะเห็นเป็นเสียอย่างนั้น ข้อนี้เราไม่รู้ที่ประเทศอื่น ที่อื่น ที่มุมโลกอื่นอาจจะเป็นอย่างนั้นก็ได้ แต่เมืองไทยไม่ ยังไม่เป็น เมืองไทยเราที่มีเลือดเนื้อ ในสายเลือด โดยวัฒนธรรมอย่างนี้ ยังไม่จำเป็นถึงขนาดนั้นที่จะต้องใช้วิธีล้างกันด้วยเลือด ฆ่ากันอย่างที่ไม่มองอะไร เรียกว่ามิคสัญญีนั้นก็ความหมายอีกแบบหนึ่ง คือไม่มีศีลธรรมเลย ฆ่ากันเพราะความไม่มีศีลธรรม อย่างที่ไม่ต้องคิดก็ได้ จะเหลือรอดอยู่ก็แต่พวกที่หนีไปเสียเท่านั้นเอง นี้ก็ไม่ใช่ลักษณะอาการของลัทธิที่จะใช้ดอกบัวสีแดงคือของคนยากจนทำลายคนมั่งมี นี่มันเป็นความไม่มีศีลธรรมเหมือนกันหมด เสมอกันหมด มันก็ฆ่ากันเพราะความไม่มีศีลธรรม
เดี๋ยวนี้เรามีเพียงปัญหาเกี่ยวกับการเป็นอยู่ควรจะพูดกันได้ และพูดกันรู้เรื่อง โดยที่ไม่ต้องใช้การฆ่าหรือการเบียดเบียน เรียกเป็นภาษาบาลีให้เข้าสักหน่อยก็ว่า หิงสา หรือ อหิงสา หิงสา Violence อหิงสา Nonviolence พวกหนึ่งมันก็ไม่มีทางจะหลีกต้องใช้ Violence แปลว่า ไม่ มันมีทางที่จะไม่ต้องใช้ ที่ใช้หิงสาแล้วมาใช้อหิงสา แล้วก็ไม่ต้องเป็นมิคสัญญีด้วย ขอให้ไปทำความเข้าใจ ให้เกิดความเข้าที่ถูกต้อง นี่คือบุญกุศลที่สูงสุด อยากจะบอกยืนยันให้ก้องไปหมดเลยว่า บุญกุศลที่สุดสำหรับสมัยนี้คือการไปทำความเข้าใจกันให้ถูกต้อง เรื่องนี้พวกคุณเป็นนักศึกษาไม่มีเงินสักบาทสักสตางค์ก็ได้ แต่คุณอาจจะทำบุญได้บุญอย่างมหาศาลยิ่งกว่าทำบุญด้วยเงินตั้งล้านร้อยล้านพันล้าน โดยการไปทำให้คนมีความเข้าใจที่ถูกต้อง ให้ทานธรรมะสูงสุด ให้ทานธรรมะเนื่องด้วยสุญญตา ไม่ต้องลงทุนสักสตางค์เดียว แต่ต้องใช้ปากหน่อย ใช้เรี่ยวแรงหน่อย ใช้สติปัญญาหน่อย จะทำให้ทุกคนมันมีความเข้าใจที่ถูกต้อง แล้วคุณจะได้บุญยิ่งกว่าพวกที่เขาทำบุญด้วยเงินร้อยล้านพันล้านหมื่นล้าน สร้างวัดสร้างโบสถ์ร้อยหลังพันหลังหมื่นหลังแสนหลังก็ไม่เท่ากับที่จะให้คนมีความเข้าใจที่ถูกต้อง ว่าที่จริงสร้างวัดสร้างโบสถ์นั้นก็สร้างเพื่อให้คนมีความเข้าใจถูกต้องเหมือนกัน ตามความมุ่งหมายเดิมหรือความจริงมันเป็นอย่างนั้น แต่เดี๋ยวนี้มันมาชะงักมาตายด้านเสียหมด มีแต่สร้างวัดสร้างโบสถ์ให้มันดูเกะกะไปหมด ไม่ได้ทำหน้าที่ที่ว่าทำให้คนเขามีความเข้าใจถูกต้อง
อย่างศาลาหลังนี้มันก็เสียเงินไปหลายสตางค์เหมือนกัน ถ้าว่ามันไม่มีการกระทำที่ทำให้คนได้รับความเข้าใจถูกต้อง ผมก็ตกนรกอเวจีเลย เพราะใช้เงินของประชาชนไม่คุ้มค่า ตามความมุ่งหมายนี่มันทำด้วยเงินของประชาชน หรือเพื่อนฝูงก็ตามเขาก็ให้ ก็เขาไว้ใจเรา ถ้าว่าศาลาหลังนี้มันได้ทำให้ใครมีความเข้าใจถูกต้องไม่กี่คนนักก็ได้ ก็เรียกว่ามันคุ้มกันแหละ ไม่ต้องตกนรก ผู้สร้างไม่ต้องตกนรก หรือผู้จัดให้สร้างไม่ต้องตกนรก คุณก็เหมือนกันแหละอุตส่าห์ไปทำเถอะ ให้มันเกิดความเข้าใจถูกต้องในหมู่คน แล้วก็ได้บุญ ยิ่งกว่าบุญที่มันต้องใช้เงินมากๆ มันไปตายด้านเพียงแค่เกะกะรกรุงรังไปหมด ไปบอกเขาให้เข้าใจถูกต้องในเรื่องที่ว่าความเห็นแก่ตัวเป็นมูลเหตุแห่งปัญหาทั้งหลาย แห่งวิกฤตการณ์ทั้งหลาย
ความเห็นแก่ตัวเริ่มต้นขึ้นมาโดยมนุษย์ ที่เริ่มรู้จักเอาเปรียบ สมัยคนป่าที่ยังไม่นุ่งผ้าหลายหมื่นปีแสนปีมาแล้วมันไม่มีอาการอย่างนี้ มันไม่เอาเปรียบมันเหมือนกับนก หนู สัตว์เดรัจฉานทั่วไป มันไม่เอาเปรียบ มันไม่มีการกักตุน มันไม่มีธนาคารกักตุนทรัพย์สมบัตินั้น ไม่มีอะไรทุกอย่างที่จะเป็นเหตุให้รวบรวมส่วนเกิน กอบโกยส่วนเกิน มันก็อยู่โดยปกติสุข ทีนี้ต่อมามันมีความคิดนึกที่แหลมออกไป ว่าเราเอามาเก็บไว้เป็นของเรามากๆ ที่บ้านดีกว่า อย่าปล่อยอยู่ในป่า แล้วถึงเวลาไปเก็บกินเลย มันก็เริ่มไปเก็บของในป่ามากักตุนไว้ที่บ้าน แล้วมันทำมากจนเพื่อนที่ไม่ได้กักตุนอย่างนั้นเดือดร้อน จุดตั้งต้นมาตั้งแต่เรื่องเห็นแก่ตัวและกอบโกยส่วนเกิน สมัยคนป่าที่ยังจะไม่นุ่งผ้าก็ได้ ลักษณะการอันนี้มันขยายตัวมากขึ้นๆ มันสมองของมนุษย์ ของคนดีกว่านะ อย่าคือมนุษย์ ถ้ามันสมองของมนุษย์มันเต็มที่เสียแล้ว เพราะมนุษย์ใจสูงจนมันสมองสูงเสียแล้ว นี้ของคนทั่วไป ช่วยระวังหน่อยคำว่ามนุษย์กับคำว่าคนนี้ไม่เหมือนกัน แล้วมันทำให้เราพูดผิด และเข้าใจผิดหลักธรรมะด้วย เพราะถ้าเป็นมนุษย์เสียแล้วมันหมดปัญหา คือใจสูงไม่มีทางที่จะทำผิด แต่ถ้ายังเป็นคนที่ยังไม่ใช่มนุษย์เรียกว่าชน หรือ นร หรืออะไรก็ตาม เพราะไม่ได้เล็งที่ใจสูง คนที่ไม่มีใจสูงยังไม่ถึงขีดของมนุษย์นี้ มันก็มีมันสมองเจริญๆ เท่านั้น ในการเอาส่วนเกินหรือสะสมส่วนเกิน นี่มันก็ก้าวหน้ารุนแรงๆ ธรรมชาติบางอย่างมันป้องกันให้ไม่ได้ ที่จะไม่ให้พวกหนึ่งเอาส่วนเกินหรือเอาเปรียบอีกพวกหนึ่ง ก็เกิดคนเอาเปรียบฝ่ายอื่นรุนแรงขึ้นๆ
ทางเดียวนี้จะมองเห็นแต่ว่าพวกไหนได้รับระโยชน์ตอบแทน น้ำแรง ค่าน้ำแรงตนเท่าไร พวกไหนได้อย่างไร กี่ร้อยเท่ากี่พันเท่า ของพวกที่อยู่ในระดับที่ได้น้อยมาก อย่างชาวนาเหนื่อยที่สุด เหน็ดเหนื่อยที่สุด ได้ผลิตผลมาก็ขายได้ โดยพอคุ้มๆ พอเป็นอยู่ได้ พอรอดชีวิตอยู่ได้ ได้รับประโยชน์ตอบแทนเหงื่อไหลไคลย้อย ที่ว่าหยาดเหงื่อแรงงานก็แล้วแต่จะเรียกพอมีชีวิตอยู่ได้ เขาไม่ได้รู้ไม่ได้ชี้ก็พอใจ แต่คนที่ทำหน้าที่เป็นสื่อการค้าระหว่างสินค้านั้นกับสินค้านี้ สินค้านี้กับสินค้าโน้น ที่โน้นกับที่นี้ คือคนที่เป็นคนกลาง มันเหนื่อยไม่เท่าไหร่หรอก แต่มันได้ประโยชน์ตอบแทนค่าเหนื่อยของมันหลายสิบเท่าหลายร้อยเท่าของชาวนาผู้ผลิต นี่มันไม่มีความเป็นธรรมเกิดขึ้นแล้ว คนหนึ่งเหนื่อยนิดเดียว ก็ได้ผลระโยชน์ตอบแทนหลายเท่าของพวกที่เหนื่อยอย่างจะเรียกว่าสายตัวขาด แทบจะสายตัวขาด ทีนี้มันเกิดชนชั้นที่มีโอกาสสำหรับจะกอบโกยประโยชน์ขึ้นมาแล้ว แล้วพวกนี้ก็ขยายตัวไปตามแนวของตนจนไปไกลลิบ ทีนี้พวกคนผลิตด้วยแรงก็ยังอยู่ที่นี่ ยังทำนา ได้ผลมาพอเลี้ยงชีวิตไปวันหนึ่ง เดือนหนึ่ง ปีหนึ่งเท่านั้น แต่แล้วหยาดเหงื่อแรงงานของเขาที่เขาได้รับค่าตอบแทนนิดเดียว มันไปผลิตดอกออกผลมาก จนทำให้โลกนี้เต็มไปด้วยสิ่งสวยงาม อัศจรรย์ ตึกกี่ร้อยชั้น หรือว่าอะไรต่างๆ นี้ มันก็คือผลที่เขาไปทำให้มันทวีคูณขึ้นมาได้จากค่าแรง หยาดเหงื่อแรงงานของชนกรรมาชีพ ไปวกกลับไป วกกลับมา วนเวียนกันอยู่ในระดับนายทุนกับผู้จัดการ เป็นนักการเมืองเป็นผู้ปกครองประเทศนี้มันหมุนเวียนกันอยู่แต่ที่นั่น ทำให้ดอกผลมันมากออกไป มันจึงสร้างโลก เหมือนกับโลกสวรรค์ โลกอะไรก็แล้วแต่จะเรียก ประเทศที่เจริญด้วยวัตถุ แล้วไม่มีใครมองเห็นว่ามันมีความเหลื่อมล้ำต่ำสูงกันอย่างไร ความได้เปรียบเสียเปรียบกันอย่างไร ทำไมข้อนี้จึงเกิดขึ้น ย่อๆ จะระบุยังความเห็นแก่ตัว ที่รู้สึกตัวบ้างไม่รู้สึกตัวบ้าง มีโอกาสที่จะทำมากเกินไปบ้าง ถ้าโลกนี้ก็จะเป็นแบบนี้ หนักขึ้นไปอีก สิ่งที่ไม่ต้องมีไม่ต้องสร้าง มันก็จะมีหรือจะสร้างยิ่งขึ้นไปอีก สิ่งฟุ่มเฟือยทั้งหลายที่เขาจะมีใช้กันอยู่ในฝ่ายคนร่ำรวย ยังจะทวีมากไปกว่านี้ ทีนี้คนยากจนก็ยังอยู่ตามเดิม ใครก็ทนไม่ได้ ยังคิดที่จะว่าใช้ดอกบัวสีแดง หรือว่าพังทำนบนี้ให้ทลายลงมา ให้ประโยชน์มันหลั่งลงมาหาคนจน จะทำได้หรือไม่ได้ก็คอยดู
แต่การทำอย่างนั้นไม่ถูกธรรม ไม่ถูกธรรมะ มันจำเป็นเอาน้ำโคลนล้างโคลน จะต้องแก้ไขกันอย่างอื่น เอาน้ำสะอาดมาล้างแทนน้ำโคลน เอาน้ำสะอาดมาล้างโคลน คือธรรมะจะช่วยได้ ช่วยกันเผยแผ่ธรรมะเถิด มันจะมีการแก้ปัญหานี้โดยอัตโนมัติ เช่นเดียวกับความได้เปรียบนั้นมันเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ เป็นช่องโหว่เป็นโอกาส โดยไม่มีใครรู้ สร้างความเมตตากรุณา เป็นธรรมะเบื้องหน้า และอีกอย่างหนึ่งที่ควรจะเข้าใจไว้ก็คือว่าอย่าไปชอบอย่างนั้นเลย มันเป็นความโง่ คืออย่างไปชอบความเจริญ ร่ำรวย ฟุ่มเฟือย ในวัตถุเหล่านั้นเลยมันเป็นความโง่ ดูแต่เท่าที่จำเป็น และก็เอาเวลาเอาสิ่งของกำลังทรัพย์ไปทำประโยชน์อย่างอื่นดีกว่า อย่าไปสร้างสวรรค์วิมานแบบหลอกลวง ลามกอนาจารเลย เดี๋ยวนี้กำลังมีมากขึ้น นิยมกันมากขึ้น และเป็นเครื่องมือของผู้ร่ำรวย ที่เขาจะสร้างความร่ำรวยยิ่งขึ้น ไปใช้เหยื่อเหล่านี้เป็นเครื่องมอมเมาคนทั้งหลาย จนกระทั่งแม้แต่คนจนไม่มีอะไรจะกิน หาเช้ากินค่ำอยู่แล้ว มันก็ยังไปสถานที่เริงรมย์ชนิดนั้น นั่นคือความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงของคน ซึ่งยังมิใช่มนุษย์เลย
อยากจะให้มองไปว่าเราอยู่กันอย่างธรรมชาติได้เท่าไหร่ก็จะยิ่งดี ไม่ใช่ถึงกับขาดแคลน อยู่อย่างสะดวกสบาย ผมได้ยินคือได้อ่านคำพูดของมหาตมะคานธี ว่าอยู่กันอย่าง village ดีกว่า อย่าไปอยู่กันอย่าง Town city อะไรทำนองนั้น มันจะสร้างปัญหา มันจะสร้างสิ่งที่แก้ไขไม่ได้ อย่างที่กรุงเทพกำลังมีอยู่ตอนนี้ ถ้าแบ่งแยกกันอยู่อย่างธรรมชาติ เป็นตำบลเล็กๆ ปัญหาหลายอย่าง จะไม่เกิดขึ้น ก็ไม่มีทางที่คนจะเห็นแก่ตัวจะกอบโกย ไม่มีทางที่คนฉลาดจะทำนาบนหลังคนโง่ มันอยู่กันอย่างสงบเงียบที่เดียว เป็นสันติสุขอันบริสุทธิ์ แล้วทำไมมันทำไม่ได้ ทำไมจึงไม่มีใครเห็นด้วย เพราะว่าเรามันแก่ด้วยกิเลส คนมันแก่ด้วยกิเลส มันต้องการสิ่งบำรุงบำเรอ ก็เฮกันไปแต่ในทางที่จะได้รับการบำรุงบำเรอ มันจึงไม่ต้องการที่จะแยกกันอยู่เป็นนิคมน้อยๆ เป็นหมู่บ้านน้อยๆ ตำบลน้อยๆ มันจะเฮไปหาที่ที่จะได้ประโยชน์และได้สิ่งบำรุงบำเรอ นี่นครหลวง นครใหญ่ มันก็เกิดขึ้น แล้วก็เต็มไปด้วยปัญหา ชอบอย่างนั้นก็ได้ เขาก็หาทางต่อสู้กันไป และดูจะไม่มีความสงบสุข ทั้งทางกายและทางจิต ไปไกลธรรมชาติออกไปเท่าไร จะมีปัญหามากเท่านั้น
ฉะนั้นอย่าชอบให้มันผิดธรรมชาติหรือไกลธรรมชาติ อยู่แต่พอๆ ดี ใกล้ๆ ธรรมชาติ แต่ว่าพอๆ ดี ไม่ต้องถึงกับว่าไม่ต้องนุ่งผ้า หรือไม่ต้องทำบ้านเรือนอาศัยไม่ถึงขนาดนั้น มีอะไรๆ เป็นปัจจัยครบสี่ และมีธรรมะเป็นปัจจัยที่ห้า ไปสอนเรื่องปัจจัยที่ห้า ปัจจัยสี่คืออาหาร คือเครื่องนุ่งห่ม คือที่อยู่อาศัย คือหยูกยาแก้ไข้ นั้นเรียกเป็นปัจจัยสี่จำเป็นแก่ชีวิต แต่มันเป็นแต่เพียงทางร่างกายเท่านั้น ทีนี้ปัจจัยที่ห้าปัจจัยสำหรับจิตนั้นไม่ต้องมาก อันเดียวพอ เรียกว่าปัจจัยที่ห้าคือธรรมะ ธรรมะต้องมีหัวใจเป็นสุญญตาซึ่งสามารถทำลายความเห็นแก่ตัว นั้นก็พอสำหรับให้ทุกคนอยู่กันเป็นปกติสุข มีธรรมะอย่างนี้มานายทุนกลายเป็นพ่อแม่ ชนกรรมาชีพกลายเป็นลูกหลาน นายทุนก็ตายไปหมด ชนกรรมชีพมุทะลุนั้นก็ตายไปหมด เหลือแต่คนมั่งมีก็ได้ คนยากจนก็ได้ แต่ประกอบไปด้วยธรรมะ ไม่เอาเปรียบพร้อมที่จะช่วยเหลือ
นี่พูดมาอย่างนี้ สำหรับหัวข้อสั้นๆ เพียงข้อเดียวว่าสุญญตาแก้ปัญหาแม้ของสังคม เมื่อหูกผมพูดว่าสุญญตาแก้ปัญหาของฆราวาสจบลงไปแล้ว วันนั้นก็มีพระองค์หนึ่งเข้ามาถามว่าสุญญตาแก้ปัญหาสังคมได้ไหม ทำนองว่าจะไม่รู้ หรือว่าไม่เชื่อว่าจะแก้ได้ ผมจึงพยายามพูดว่าสุญญตาแก้ปัญหาของสังคมทุกชนิด ของปัญหาด้วย นี่อย่างที่ได้พูดมาแล้วหลายครั้ง โดยหัวข้อว่าสุญญตาแก้ปัญหาของสังคม สุญญตาในฐานะที่เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา หรือหัวใจของธรรมะที่เป็นธรรมชาติอันบริสุทธิ์ เป็นอนันตกาลตลอดนิรันดร คำบรรยายวันนี้ก็พอกันที ขอยุติไว้เพียงเท่านี้